Bunnag News ผลิตสื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศล

Bunnag News ผลิตสื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศล ผลิตภาพ สื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศล พัฒนาทุกวัด ทั่วไทย 089 9922 304

รับบริจาค ช่วยเหลือ #ผลิตสื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศล ช่วยเหลือประชาสัมพันธ์ พัฒนาวัด สังคม ชาาวบ้าน ร้านค้า ชุมชน เชิดชูวงตระกูล ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไทย โปรดอย่าได้กลั่นแกล้ง แจ้งความเท็จ เพราะเพจข่าวนี้ ไม่ตเคยตั้งใจ ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด โปรดได้อย่าอิจฉา ตาร้อน คืดดี ทำดี หมั่นสร้างทำแต่กุศลกรรม เข้าไว้ เพื่อลูก-หลาน บ้านเมืองไทย จะได้เจริญ รุ่งเรือง สาธุ ครับผม.

***💞   💞🇹🇭🧡 ๑๗ กันยายน สุขสันต์  #วันคล้ายวันเกิด ณ. ต.โพธิ์พระยา อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี 💛 กับ ชีวประวัติ พระพรหมบัณฑิต (ป...
07/09/2025

***💞 💞🇹🇭🧡 ๑๗ กันยายน สุขสันต์ #วันคล้ายวันเกิด ณ. ต.โพธิ์พระยา อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี 💛 กับ ชีวประวัติ พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร เชิงสะพานพุทธ กทม.

💞พระพรหมบัณฑิต ธมฺมจิตฺโต *กรรมการมหาเถรสมาคม
*อุปนายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
*ประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ
*อาจารย์ประจำหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

🧡ศาสตราจารย์ ดร. พระพรหมบัณฑิต ท่านเป็นชาว ต.โพธิ์พระยา อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี นามเดิมท่าน ประยูร มีฤกษ์ ฉายาสงฆ์ "ธมฺมจิตฺโต" ราชบัณฑิต เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏ ปัจจุบัน ท่านดำรงตำแหน่ง กรรมการมหาเถรสมาคม, เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร, อุปนายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ประธานคณะกรรมการฝ่ายเผยแผ่พระพุทธศาสนาของมหาเถรสมาคม, ประธานศูนย์พระปริยัตินิเทศก์แห่งคณะสงฆ์, ประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ประธานสมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ (IABU), ประธานสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก (ICDV), อาจารย์ประจำหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต ท่านเป็นพระนักวิชาการ นักบริหาร นักการศึกษา นักเทศน์และนักเขียน ท่านผู้มีผลงานการประพันธ์หนังสือมากมาย ทั้งทางด้านภาษาไทย และภาษาอังกฤษ หลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต ท่านเป็นพระสงฆ์ไทยรูปแรก ที่ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลและดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากทางหลายสถาบัน และเป็นราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญา ในฐานะเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร พระอารามหลวงขั้นโท ท่านได้บูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุมหาเจดีย์องใหญ่ ของวัดประยุรวงศาวาส ซึ่งเป็นวัดประจำตระกูลบุนนาค สร้างวัดโดยท่าน สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาพระคลัง ว่าที่กรมท่า และสมุหพระกลาโหม ได้อุทิศสวนกาแฟของทาน สร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๓๗๑ ต่มาครั้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕ ท่านดิศ บุนนาค ได้ถวายเป็น พระอารามหลวง แด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ ๓ ทรงพระราชทานนามว่า "วัดประยุรวงศาวาส" โดยญาติพี่น้องตระกูลบุนนาค ได้ช่วยกันทำการบูรณะซ่อมแซม วัดประยุรวงศาวาส เรื่อยมา

จวบจนกระทั่งมาถึงในยุคสมัยของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต ท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านได้ทำการบูรณะพระมหาเจดีย์องค์ใหญ่ ซึ่งเกิดการเอียงให้ตั้งตรงคืนกลับมาดังเดิม และเสริมโครงเหล็ก ให้รากฐานของมหาเจดีย์องค์ใหญ่ แข็งแรงและสง่างามสวยไปกว่าเดิม จนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระพรหมบัณฑิต ท่านได้รับรางวัลยอดเยี่ยม อันดับ ๑ ทางด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรรม จากองค์การยูเนสโก และท่านก็เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถึง ๕ สมัยและท่านได้ก่อสร้างสำนักงานใหญ่ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยหลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต ท่านเป็นประธานผู้ก่อตั้งสมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ โดยท่านเป็นประธานผู้ก่อตั้ง สภาสากลวันวิสาขบูชาโลก ที่ได้รับฐานะเป็นองค์กรที่ปรึกษาพิเศษ ขององค์การสหประชาชาติ (UN) จวบจนกระทั่งถึงในปัจจุบันทุกวันนี้
องค์การยูเนสโก (องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า "ยูเนสโก" (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization – UNESCO)

พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระพรหมบัณฑิต เดิมท่านชื่อ ประยูร มีฤกษ์ ท่านเกิด เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ณ. ตำบลโพธิ์พระยา อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านบรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ ๑๑ ปี ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ท่านสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุด ในด้านบาลีศึกษาของประเทศไทย คือ ท่านสอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค ในขณะที่ท่านยังเป็นสามเณร และเมื่อท่านอายุครบบวช ๒๐ ปีบรบูรณ์ ท่านได้รับการอุปสมบทในฐานะ "นาคหลวง" ณ. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้วมรกต) พระบรมมหาราชวัง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร) วัดสามพระยา เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) วัดชนะสงคราม ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมปิฎก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมธีรราชมหามุนี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบท พระพรหมบัณฑิต ธมฺมจิตฺโต

จากนั้น สองปีต่อมา ท่านได้รับปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาปรัชญา เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และหลังจากนั้น ท่านได้เข้าศึกษาต่อ ในมหาวิทยาลัยเดลี ที่ประเทศอินเดีย ท่านได้รับประกาศนียบัตรภาษาฝรั่งเศส ปริญญาโทและปริญญาเอก สาขาปรัชญา วิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาเอกของท่าน ซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษ และได้รับการตีพิมพ์ในชื่อเรื่องว่า “อนัตตาในปรัชญาอัตถิภาวนิยมของซาตร์ และในพุทธศาสนาดั้งเดิม” และได้มีการพิมพ์ซ้ำ ในหลายครั้ง

หลังจากที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระพรหมบัณฑิต จบปริญญาเอก ท่านก็ได้เป็นอาจารย์ ประจำที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ระยะหนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านได้รับอนุมัติจากมหาเถรสมาคม ให้ไปเป็นพระธรรมทูต ประจำที่ "วัดธัมมาราม" เมืองชิคาโก้ ในประเทศสหรัฐอเมริกา และท่านได้กลับมารับ ตำแหน่งผู้อำนวยการกองวิชาการ และเป็นคณบดีบัณฑิตวิทยาลัยท่านแรก และท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็น อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จากสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ และในปีถัดมา ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็น "เจ้าคณะภาค ๒ " รับผิดชอบเขตปกครองคณะสงฆ์ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา, จังหวัดอ่างทอง และจังหวัดสระบุรี

นอกจากงานปกครองทางคณะสงฆ์แล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระพรหมบัณฑิต ท่านยังเป็นพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ทางด้านวิชาการของประเทศไทยรูปหนึ่ง ท่านได้นิพนธ์หนังสือ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และปรัชญาต่าง ๆ กว่า ๖๐ เล่ม โดยงานพิมพ์ต่าง ๆ ของท่าน ทั้งทางด้านภาษาไทย และภาษาอังกฤษ รวมทั้งหนังสืออื่น ๆ มากมาย เช่น ประวัติศาสตร์ปรัชญากรีก, พุทธวิธีสร้างสันติภาพ, จริยธรรมชาวพุทธ, โลกทัศน์ของชาวพุทธ และ "วันวิสาขบูชา" วันสำคัญสากลของโลก

พร้อมกันนั้น พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต ท่านได้รับอาราธนา นิมนต์ ในการกล่าวคำบรรยายธรรม ทั้งทางสถานีวิทยุ และสถานีโทรทัศน์หลายช่อง และท่านได้อาราธนานิมนต์ เชิญท่านบรรยายธรรม เป็นประจำทุกปี ทั่วประเทศและทั่วโลก มากกว่า ๒๐ ปีมาแล้ว ซึ่งรวมทั้งการบรรยายธรรมเป็นชุดๆ อย่างต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา มาตั้งแต่ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ และท่านก็ยังเป็นผู้แทนของประเทศไทย การนำเสนอบทความทางวิชาการ ในที่ประชุมใหญ่ขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ที่ในกรุงเทพมหานคร และในที่ประชุมสัมมนาผู้นำทางศาสนา ที่จัดเนื่องในการประชุมใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ ณ.กรุงไคโร ประเทศอียิปต์

และในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. ๒๕๔๓ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต ท่านได้รับเชิญไปบรรยายธรรมเรื่อง “พุทธทัศนะสลายความขัดแย้ง” ในการประชุมสุดยอดผู้นำทางศาสนาและจิตวิญญาณ เพื่อสันติภาพโลก ณ.สหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ในประเทศสหรัฐอเมริกา และสามเดือนต่อมา ท่านได้รับนิมนต์บรรยายพิเศษเรื่อง “การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพของโลก” ในการประชุมสุดยอดผู้นำชาวพุทธ เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งโลก ครั้งที่ ๒ ณ. พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย

ในรอบ ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต ท่านได้รับอาราธนานิมนต์บรรยายธรรม และแสดงปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษหลายครั้ง ในที่ประชุมนานาชาติในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมทั้งสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติอีกด้วย โดยการที่ท่านเป็นที่ยอมรับในงานบทความทางด้านวิชาการ และการสละอุทิศตนเพื่อสังคม ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของท่าน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานตำแหน่ ศาสตราจารย์ สาขาปรัชญาแก่ท่าน ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต ท่านได้เป็นประธานคณะกรรมการจัดงานในการประชุมสุดยอดผู้นำชาวพุทธ เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งโลก ครั้งที่ ๒ จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๙ – ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓ นอกจากนี้แล้ว ท่านยังเป็นประธานคณะกรรมการจัดประชุมสภาผู้นำศาสนาแห่งโลก ณ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม และศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕

และหลังจากนั้น ๒ ปีต่อมา ท่านได้ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการจัดงานการประชุมสภาผู้นำศาสนาแห่งโลก พร้อมกับการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนเพื่อสันติภาพแห่งโลก ณ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ และท่านก็เป็นประธานคณะกรรมการจัดงาน การประชุมการทำงานร่วมกันของชาวพุทธนานาชาติ ครั้งที่ ๑ ในหัวข้อ “เอกภาพและความร่วมมือของชาวพุทธ” ณ. พุทธมณฑล จ.นครปฐม และศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ท่านก็เป็นแกนหลัก และประธานในการจัดงานเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญสากลของโลก ที่ในประเทศไทย และเป็นประธานคณะกรรมการการจัดงานประชุมนานาชาติ วันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓ อย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ และ พ.ศ. ๒๕๔๙ ตามลำดับ

หลังจาก การจัดประชุมวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลกครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ประมุขสงฆ์ ผู้นำชาวพุทธทั่วโลก ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมรับรอง ให้พุทธมณฑล จ.นครปฐม เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก โดยพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต ท่านเป็นประธานคณะกรรมการการจัดงานการประชุมนานาชาติ ครั้งที่ ๔ วันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๖-๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ภายหลังการประชุม พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต ท่านได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ

และเมื่อ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้แต่งตั้งให้ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต ผู้เคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นอุปนายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ส่วน
สมณศักดิ์ไทย พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต ทายได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ตามลำดับ ดังนี้ คือ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ท่านเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ที่ พระเมธีธรรมาภรณ์, (สป.) ต่อมา เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ท่านเป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชวรมุนี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี และ
- ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ท่านเป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพโสภณ วิมลปริยัติกิจ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
- ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ ท่านเป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมโกศาจารย์ สุนทรญาณดิลก สาธกธรรมวิจิตร ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
- ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ท่านได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์พัดยศขึ้น เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ในราชทินนามที่ พระพรหมบัณฑิต สิทธิวรธรรมประยุต วิสุทธิศีลาจารนิวิฐ ไพศาลวิเทศศาสนกิจดิลก ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี

สมณศักดิ์ทางต่างประเทศ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต
- ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ท่านได้รับสมณศักดิ์ที่ อัคคมหาสัทธัมมโชติกธชะ รัฐบาลและคณะสงฆ์แห่งประเทศพม่า ได้ประกอบพิธีถวาย ณ.มหาปาสาณคูหา ในประเทศเมียนมาร์ (พม่า)
- ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ท่านได้รับสมณศักดิ์ที่ อัครมหาบัณฑิต ณ.กรุงเนปิดอร์ ที่ประเทศเมียนมาร์ (พม่า)
(ประเทศพม่า เปลี่นชื่อ เมียนมาร์ (Myanmar) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
- ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ท่านได้รับรางวัลคนดีศรีสังคม จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย
- ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ท่านได้รับรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
- ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ท่านได้รับรางวัลมหิดลวรานุสรณ์
- ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ท่านได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญาการศึกษา จากมหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ
- ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ท่านได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญาและศาสนา จากมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์
- ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ท่านได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ตำแหน่งศาสตราจารย์ สาขาวิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2546
- ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ท่านได้รับปริญญาศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพระพุทธศาสนา จากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
- ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ท่านได้รับปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารองค์การจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม
- ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ท่านได้รับรางวัลกิตติคุณเสมาคุณูปการ จากกระทรวงศึกษาธิการ
- ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ท่านได้รับเข็มกิตติคุณสถาบันพระปกเกล้า
- ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ท่านได้รับพระราชทานรางวัลศาสตรเมธี สาขาศึกษาศาสตร์ ด้านการบริหารการศึกษา จากมูลนิธิศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมาร
- ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ท่านได้รับเกียรติบัตรศิษย์เก่าดีเด่นเกียรติคุณของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม ประเทศชาติ พระพุทธศาสนา
- ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ สภาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ถวายปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ภาษาอังกฤษ)
- ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ สภามหาวิทยาลัยวงษ์เชาวลิตกุล ถวายปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
- ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ท่านได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ประเภทวิชาปรัชญา สาขาวิชาอัคฆวิทยา ฯ

💖 : เรียบเรียง โดยอาจารย์ประพนธ์ บุนนาค ฐานันดร ๔ นกน้อยในไร่ส้ม
💖 : ถ่ายภาพ กาฟฟิกภาพ โดยอาจารย์ Siam Bunnag #ครูแอ๊ด #ข้าบดินทร์ ศิษย์พระตถาคต วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร เชิงสะพานพุทธ กทม. ประชาสัมพันธ์โดย Bunnag News ผลิตสื่อสาระข่าวสารเพื่อการศึกษาและการกุศล เผยแผ่พระพุทธศาสนา พัฒนาวัด วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของไทย สนับสนุนสินค้าพื้นบ้านคุณภาพดี ท่องเที่ยวทั่วไทย บนโลกสื่อสารออนไลน์ รับโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า ห้างร้าน บริษัทต่าง ๆ เพื่อหารายได้จัดซื้อจัดหาและซ่อมแซมบำรุงอุปกรณ์ในการผลิตสื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศล เป็นสะพานบุญ ประชาสัมพันธ์พัฒนาวัด แนะนำท่องเที่ยวชุมชนต่าง ๆ ทั่วไทย
💞 ร่วมบริจาคได้ที่ ธนาคารออมสิน บัญชีเลขที่ 0 2 0 4 1 6 5 0 8 2 7 1 และหรือที่ ธนาคารกรุงเทพ บัญชีเลขที่ 0 2 6 0 4 1 0 0 0 6 ชื่อบัญชี Parpon Boonnak หรือติดต่อสอบถามได้ที่ ครูแอ๊ด Siam Bunnag หมายเลขโทรศัพท์ 089 9922 304 สาธุ ครับผม. 🙏🇹🇭😍🥰💞❤👉 >>>https://www.youtube.com//videos
🙏🇹🇭💞 >TV35 > ช่อง 7 สี ทีวีเพื่อคุณ 💞🙏 ครับท่าน @ผู้ติดตาม @แฟนตัวยง ที่เคารพรัก ทุกท่าน ทั่วไทย ครับผม. 🙏🇹🇭😍🥰💞❤🙏 Siam Bunnag

*** 💞   ❤ 🇹🇭 กับ  #สาระน่ารู้ เรื่อง  #การทำบุญ ที่วัดมีความสำคัญอย่างไร !  ทำไมทั่วไทย ?  จึงมีวัดร้าง มากมาย กว่า ๕,๘๐...
03/09/2025

*** 💞 ❤ 🇹🇭 กับ #สาระน่ารู้ เรื่อง #การทำบุญ ที่วัดมีความสำคัญอย่างไร ! ทำไมทั่วไทย ? จึงมีวัดร้าง มากมาย กว่า ๕,๘๐๐ แห่ง
ที่จังหวัดอื่น ปล่อยให้พระสงฆ์ "อด" แต่ที่ จ.สุพรรณบุรี ถึงจะเป็นเมืองรอง แต่ก็เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของไทย มาแต่ในสมัยโบราณ โดยเฉพาะ ชาว ต.นิคมกระเสียว อ.ด่านช้าง ยังมีความเคารพศรัทธา ต่อในพระพุทธศาสนา ไม่ยอมปล่อยให้ลูก-หลาน ฅนสุพรรณ พระภิกษุสงฆ์ อด ในยามศึกสงคราม พระสงฆ์ชาวสุพรรณฯ ยังสละจีวร จับดาบออกสู้รบกับข้าศึก อริราชศัตรู ของสยามประเทศ เพราะท่านมีสายเลือด เป็นฅนเมืองสุพรรณบุรี ขอเชิญไปท่องเที่ยว ทำบุญ ชมของดี ในเมืองขุนช้าง ขุนแผน กันที่ จังหวัดสุพรรณบุรี

❤ แนะนำเรื่อง โดย พระครูวินัยธร สายัณห์ สุภทฺโท เลขานุการเจ้าคณะตำบลห้วยขมิ้น เขต ๑ เจ้าอาวาส วัดหนองม่วง สุพรรณบุรี
❤ ภาพ : พระอาจารย์ ครูผู้สอนพระนวกะ ศึกษา นักธรรมตรี อ.ด่านช้าง
❤ สถานที่ ศาลาการเปรียญ วัดหนองม่วง ม.๑ ต.นิคมกระเสีบว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี อุบาสก - อุบาสิกา ท่านใด สนใจเรียน ฟรี นักธรรมตรี - โท - เอก ☎️ 061-4063-574 พระครูวินัยธร สายัณห์ สุภทฺโท หรือร่วมบริจาค บูรณะหอระฆัง พัฒนาวัด สร้างกุฏิสงฆ์ - ศาลาปฏิบัติธรรม - โบสถ์มหาอุตม์หลังแรก วัดหนองม่วง สุพรรณบุรี 🧡ร่วมบริจาค โดยโอนผ่านเข้าบัญชีของทางวัดได้ที่ ธนาคาร ธกส. เลขที่บัญชี 0202 1447 9476 ชื่อบัญชี "วัดหนองม่วง" สาธุ ครับผม. 🙏💞🇹🇭

💞 ชาว ต.นิคมกระเสียว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี-ชัยนาท-สิงห์บุรี-อ่างทอง-อยุธยา-ปทุมธานี-นนทบุรี-นครปฐม-ราชบุรี-กาญจนบุรี-อุทัยธานี 💞 ขอเชิญชวน พุทธศาสนิกชน ทุกท่าน สวมชุดไทย เข้าวัด ทำบุญ ทุกวัด ทั่วไทย
💖 รับชม คลิปภาพวิดีโอ ปชส. ประวัติ วัดหนองม่วง เล่าเรืองโดย พระครูวินัยธรสายันห์ สุภทฺโท เจ้าอาวาสวัดหนองม่วง เลขที่ ๒๒๐ ม.๑ ต.นิคมกระเสียว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี คลิก กดที่ลิงด้านล่างนี้ ฝากแชร์ ปชส. ร่วมทำบุญ สร้างอุโบสถ โบสถ์หลังแรก ของวัดหนองม่วง สุพรรณบุรี กันด้วย นะครับ สาธุ ครับผม. 🙏🇹🇭😘😍🇹🇭🥰💞🇹🇭❤👉 https://www.facebook.com/siam.bunnag.999999999/videos/684017140715786 👈👀🙏💞🇹🇭😍🥰💞❤🙏💞🇹🇭😍🥰💞❤🙏

💞❤🇹🇭 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เผยผลการสำรวจทั่วประเทศพบว่ามีวัดร้างกว่า ๕,๘๐๐ แห่ง โดยวัดร้างที่สำรวจพบนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นวัดร้าง ที่มีมาแต่สมัยโบราณ และบางวัดเป็นวัดร้าง มาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ ที่จะเข้าไปฟื้นฟู บูรณะวัดร้าง ทั่วไทย "วัด" เป็นของแผ่นดิน มิใช่เป็นของผู้หนึ่งผู้ใด หากทำไม่ดี ระวัง จะถูกยึดวัด โดนกันไปแล้ว หลายวัด

สาเหตุ ที่ทำให้วัดร้าง นั้น มีหลายกรณี มากมาย เช่น พุทธศาสนิกชน ทั่วไทย ต้องการสร้างวัดในหมู่บ้านชุมชน ให้ได้รับ วิสุงคามสีมา และต้องการมีโบสถ์ โดยแจ้งว่า มีความประสงค์ มีไว้ให้ ลูก-หลาน ได้บวช อุปสมบถ กันจริงหรือ ! คำถาม จากเบื้องสูง (ไม่ต้องถาม สูงกว่าต้นตาล ก็แล้วกัน ละครับ) แต่ชาวบ้าน ไม่สนใจ ที่จะเข้าวัด ช่วยพระภิกษุสงฆ์ บริหารพัฒนาวัด โดยอ่างว่า ไม่ว่างกันบ้าง แต่ถ้าวันไหนว่าง ก็ชวนกันนั่งสังสรรค์ (Get together) ดื่มเหล้าเป็น OK เซกันเข้าไป ปล่อยให้ พระทำ แต่ไม่สนใจใน "พระธรรม" บอกไม่ใช่หน้าที ถ้าวัด จ่ายค่าแรงที่พอใจ จึงจะเข้าไป แล้วเมื่อไร วัดในหมู่บ้าน ในชุมชนของท่านทั้งหลาย จึงจะเจริญ กันทั่วถิ่นไทย เพราะ วัด เป็นศูนย์ร่วมจิตใจ เป็นที่พึ่งทางใจ ของพุทธศาสนิกชน ชาวบ้านโดยทั่วไป และวัด ยังเป็นสถานที่ศึกษา และผลิตสื่อสาระความรู้ ทางการศึกษา เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม มานาน และยังเป็นหน้าตา ของหมู่บ้าน ชุมชน มากว่า ๒๕๘๐ ปี หากวัดขาดการบูรณะ พัฒนา วัดก็จะเสื่อมลง จนกลายเป็นวัดร้าง ไปในที่สุด ละครับผม.

💞 การเข้าวัดในการ #ทำบุญ นั้น มีความสำคัญ ต่อพุทธศาสนิกชน ผู้ที่สนใจใฝ่เรียนรู้ศึกษาในหลักธรรม เป็นอย่างยิ่ง โดยหลักธรรมที่สำคัญ นั้นคือ บุญกิริยา ๑๐ ประการ ที่กล่าวกันได้ว่า ไม่ต้องเสียเงินทองกันมากมายกันเลย ซึ่งมีข้อเดียวที่เสียวัตถุ คือ "ทานมัย" ที่เหลือ ๙ ข้อ ไม่ต้องมีการเสียวัตถุในการทำบุญใด ๆ เลย ซึ่งกล่าวกันได้ว่า ใช้ศรัทธา และสติปัญญาในการทำบุญ ที่มุ่งเน้นในการละความโลภ มิใช่การนำทรัพย์สินมาโชว์อวดว่า ฉันมีบุญมากกว่าสูงกว่าผู้อื่น แต่ไม่มีกุศลจิตและคุณธรรม ที่เป็นบุญกุศล เข้าสู่ภายในจิตใจ จนนำพาเราไปสู่การปฏิบัติศีล สมาธิ ภาวนา จนเกิดปัญญา ได้อย่างสงบมีความสุขใจ ปราศจากอกศล หรือความกังวลใด ๆ ต่ออำนาจของกิเลส ตัณหา ความอยาก ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเอาชนะจิตใจของตัวเอง ผู้ที่เอาชนะจิตใจตัวเอง คิอผู้ที่เลิศกว่ามนุษย์ทั้งปวง

คำว่า "ทำบุญ" นั้น คืออะไร ? มีหลายคำตอบ และหลายท่าน ก็ยังมีความกังวล (worried) มีความ ลังเล (Hesitant) หรือ สงสัย (I wonder) ว่า ทำไมต้องทำบุญ ! ทำแล้วได้อะไร ! เมื่อไหร่ และอย่างไร แล้วพระพุทธเจ้าท่านให้หลักธรรม ในการทำบุญ ไว้อย่างไร ! ถึงจะมีสติในการทำบุญ แบบไม่งมงาย ต่อการทำบุญ ?

โดยคณะพระภิกษุสงฆ์ พระอาจารย์ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ท่านเมตตาให้ขอคิดไว้ ดังนี้ คือ ซึ่งโดยเบื้องต้นแล้ว จุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธ นั้นก็คือ การทำให้ตนเอง ครอบครัว และเพื่อนบ้านผู้อื่นในสังคมชาวพุทธเรา "พ้นทุกข์" ด้วยการเดินตามธรรมะ หรือคือทางสายกลาง ที่ประกอบด้วย องค์ ๘ หรือ "มรรค" ๘ ประการ หรือ พูดง่าย ๆ แบบเบื้องต้น ก็คือ "จาคะ" เป็นการให้หรือบริจาคทาน รักษาศีล ฝึกสมาธิ ภาวนา จนทำให้เกิด ปัญญา เพื่อที่จะทำให้เราเห็นทางออก ของการพ้นทุกข์ นั้นเอง และจุดมุ่งหมาย ในการศึกษาธรรมขั้นแรก ก่อนที่จะไปศึกษาธรรม ในขั้นอื่น ๆ ที่สูงกว่านั้น ต้องฝึกตัวเราให้มีทานมัย หรือบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ และ ศีลก่อน จนเป็นที่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ มีเหตุผลซะก่อน แล้วเราจึงจะมีสติในการทำบุญได้และไม่งมงาย กับในการบริจาคทำบุญให้ทาน ให้กับผู้ที่ขัดสน มีความจำเป็น ก็คือการทำเพื่อไม่ให้ตัวเรา หรือผู้ที่ปฎิบัติธรรมนั้น ไม่เป็นผู้ที่เห็นแก่ตัว และจะได้ไม่เกิดความโลภ ที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์เรา นั่นเอง หรือที่กล่าวกันว่า "การทำบุญ" แล้ว "ทำทาน" ที่ควบคู่กันไป ก็คือการมอบในสิ่งที่ดีต่อผู้อื่น ซึ่งคำบาลี ว่า "จาคะ" ก็คือการบริจาคทำบุญ ทำทานให้กับผู้ที่ขัดสน และมีความต้องการ จึงจะได้บุญกุศลที่สูง คือ ผู้ที่บริจาคสิ่งของมีค่า มอบให้กับผู้อื่นก่อนด้วยความเต็มใจ และไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ ย่อมที่จะเป็นผู้ที่ได้รับตอบแทนกลับมา นั่นเอง

"การทำบุญ" อีกในหนึ่งนั้น หมายถึง การประกอบความดี ทำให้เกิดขึ้น ซึ่งมาจากคำว่า “บุญ” ในคำบาลี "ปุญฺญ" หรือ "บุณย์" สันสกฤต "ปุณฺย" ที่หมายถึง "ความดี" ซึ่งจะตรงกันข้าม กับคำว่า "บาป" ในภาษาบาลี "อปุญฺญ"
โดยการทำบุญ ที่จะให้ได้ผลบุญมาก หรือน้อยนั้น มีหลักเกณฑ์ด้วยกันอยู่ ๓ ประการ คือ
๑.) "ผู้รับ" หรือ "ผู้ที่จะได้รับ" ก็จะต้องเป็นผู้ที่มีศีลธรรม มีคุณธรรมประจำใจ มีประพฤติตนที่ดีในสังคมไทย และไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นพระสงฆ์ หรือนักบวช จะเป็นปุถุชนคนธรรมดาโดยทั่วไปก็ได้ ถ้าผู้ได้รับเป็นคนดี ผู้ที่ทำบุญก็จะได้รับผลบุญมาก เช่นเดียวกับถวายพระสงฆ์ และหากผู้รับเป็นผู้ที่ไม่ดี ผู้ที่มอบให้ ก็จะทำให้ได้บุญน้อย เท่ากับไปส่งเสริมผู้ที่ไม่ดี กระทำบาป เพราะเขาจะอาศัยผลบุญของเรา ไปสร้างทำแสวงหาผลประโยชน์ ทำความชั่วให้เป็นบาปกรรมได้ คนดี-คนชั่ว นั้น ดูกันไม่ยาก เพราะพฤติกรรม อุปนิสัยใจคอ ของคนชั่วกับคนดี นั้นจะแตกต่างกัน เช่น จ้องคอยที่จะเอาสิ่งของจากทางวัด ขนไปไว้ใช้ที่บ้านตน หรือไปพูดมุสา โกหกแม้นกระทั่งพระสงฆ์ ด่าว่ากล่าวร้าย สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ก็เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนเอง เป็นต้น ก็ไม่สมควรที่จะทำบุญ หรือมอบอะไรให้

ทางพุทธศาสนา ชาวพุทธนั้นจะถือกันว่า บุคคลเหล่านั้น เป็นพวกเปตร ที่เนรคุณต่อผู้ให้ แม้นกระทั่งพระสงฆ์ องค์เจ้ายังกล้ามุสาคตโกง แม้นกระทั่งเงินบริจาค ของทางวัด หากนำไปใช้จ่ายผิดประเภท ผิดวัตถุประสงค์ ของผู้ที่อธิษฐานบริจาค สาธุมอบให้ จะต้องมีอันเป็นไป แม้นกระทั่งเป็นพระสงฆ์ ในชั้นระดับไหนก็ตาม กิริยาอาการก็จะแสดงออกมา ด้วยโทษะจริต หากนานวันไปก็จะเป็นบ้า หากกระทำผิดพระวินัยสงฆ์ ดังที่ท่านทั้งหลาย เห็นทราบกันจากสื่อต่าง ๆ คือผลของกรรม นั่นเอง

๒.) วัตถุสิ่งของที่เราจะมอบให้ผู้อื่นนั้น ต้องดีมีความเป็นบริสุทธิ์ หรือได้มาโดยสุจริต มิได้ยักยอก โขมย หรือ คตโกงผู้ใดมา และเป็นสิ่งของที่เหมาะสม และมีประโยชน์ต่อผู้ที่จะได้รับ เช่น เสียสละมอบให้เสื้อผ้า กับผู้ที่ยากไร้ขัดสน หรือผู้ชราภาพ มอบของเล่นแก่เด็กกำพร้า เป็นต้น คือ บริจาคสิ่งของที่ดี หรือใช้งานได้ หากเป็นสิ่งของบริโภค หรือของกิน ก็ควรพิจารณาดู ว่าไม่ให้บูดหรือใกล้ที่จะเสีย เพื่อเป็นบารมีทาน ของที่มอบให้ จึงจะเป็นผลดี เป็นบุญบารมี ต่อผู้มอบให้ และผู้ที่ได้รับ จึงจะทำให้เกิดกุศล ได้ผลบุญมาก แต่หากสิ่งของนั้น ๆ ได้มาโดยทุจริต แม้จะเอาไปทำบุญ ก็จะได้บุญน้อย หรือไม่ได้บุญกุศลนั้นเลย

๓.) ผู้ที่ทำบุญบริจาคทาน หรือผู้ที่มอบสิ่งของให้กับผู้อื่น มักจะเป็นผู้มีศีลธรรมประจำใจ และเป็นผู้ที่มีเจตนาที่ดี ที่จะทำให้เกิดเป็นบุญเป็นกุศล จากการกระทำ "จาคะ" หรือการทำบุญ บริจาคทาน ที่เรียก ว่า การทำบุญ ทำทาน บุคคลทั้งหลายเหล่านี้ จะได้บุญกุศลมาก เพราะทำให้เกิดประโยชน์สุข กันทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้งผู้ให้และผู้ที่ได้รับ จะไม่เหมือนกับบุคคลจำพวกที่ทำบุญ แต่ใจไม่คิดเป็นกุศล เช่น ให้แล้วเสียดาย หรืออยากได้คืน บุคคลจำพวกนี้ ทำบุญก็มักที่จะไม่ได้บุญกุศล เพราะไม่ได้ตั้งใจทำบญ เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว การทำบุญ ต้องมีเจตนาที่ดี หรือมีจิตใจที่ดีงาม ในขณะที่ทำบุญ ไม่คิดเป็นอกุศลใด ๆ ทั้งหลายที่กล่าวมานี้ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ในการทำบุญ บริจาคทาน กล่าวคือ จะก่อนให้เกิดกุศล หรือไม่ ในขณะที่บริจาคมอบให้ และหลังที่บริจาคมอบให้ หากผู้ให้มีความตั้งใจที่ดี ตั้งใจในการทำบุญ เมื่อได้กระทำ "จาคะ" หรือทำบุญแล้ว ก็จะเกิดความปิติสุข เบิกบานใจ ถึงจะเบิกสตางค์จากภรรยาที่บ้านไม่ได้ แต่ใจก็เป็นสุข เพราะภายในจิตใจ คิดถึงแต่บุญกุศลที่ได้กระทำ เพราะมนุษย์เรานั้น เมื่อใดที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์แล้ว หน้าตาก็จะผ่องใส ไม่หมองคล้ำ ดำคร่ำเคลียด มักมีรอยยิ้มที่มุมปากอยู่เสมอ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็จะทำให้ผู้ที่ปฎิบัติธรรม หรือผู้ที่กระทำ "จาคะ" คือการทำบุญ บริจาคทาน จะได้บุญกุศลมาก แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกเช่นดังนี้แล้ว การทำบุญ การสร้างกุศล ผลบุญก็จะลดน้อยถอยลง ตามจิตที่เจตนา

การทำบุญ นั้น มีหลักธรรมอันสำคัญ คือ "บุญกิริยา" ๑๐ ประการ ที่กล่าวมาแล้วนั้น มีข้อเดียวที่เราต้องเสียวัตถุ สิ่งของ ด้วยการกระทำ "จาคะ" หรือการบริจาค คือ "ทานมัย" ส่วนที่เหลืออีก ๙ ข้อ ไม่มีการเสียวัตถุทรัพย์สิน ในการทำบุญใด ๆ เลย ซึ่งกล่าวได้ว่า ใช้ศรัทธาและปัญญา อย่างมีสติ ในการทำบุญ ที่มุ่งเน้นการละเว้นจากความโลภ มิใช่การทำบุญ คือการที่นำทรัพย์สินมาอวด ว่า มีบุญมากกว่าหรือสูงกว่า แต่ผู้ที่มีความตั้งใจจริงที่มีคุณธรรม โดยมีกุศลจิต ที่ธรรมะได้ซึมซับ (absorb) เข้าสู่ในจิตใจแล้ว โดยเข้าสู่การปฏิบัติ ศีล สมาธิ ภาวนาได้ บุคคลเหล่านี้ มักที่จะอยู่อย่างสงบ ไม่วุนวายใจ เพราะปราศจากการกกังวลใด ๆ ต่ออำนาจของกิเลสและตัณหา ๓ คือ "ความอยาก" ๓ ประการ ซึ่งในทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ ๑.) "กามตัณหา" คือ ความอยากในสิ่งที่น่าพอใจ ทั้งทางกาย และทางจิตใจ ในรูป, รส, กลิ่น, เสียง, สำผัส นั่นเอง, ๒.) "ภวตัณหา" คือ ความอยากที่จะได้ หรืออยากที่จะได้เป็น ตามที่ตนปรารถนา ต้องการ เช่น อยากมั่งมี อยากร่ำรวย เป็นผู้ที่มีบารมี มีอำนาจที่สูงกว่าผู้อื่น เป็นต้น และ ๓.) "วิภวตัณหา" คือ ความอยากให้พ้นไป จากสิ่งที่ไม่ต้องการ, ไม่อยากให้เป็น เช่น ไม่อยากแบกรับภาระ ในหน้าที่ของตน หรือ ไม่อยากตาย เป็นต้น ซื่งตัณหา สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้ เป็นเหตุแห่งความทุกข์

"บุญกิริยาวัตถุ" ทั้ง ๑๐ ประการ นั้น "บุญกิริยาวัตถุ" แปลว่า "หลักแห่งการบำเพ็ญบุญ" หรือ หนทางในการสร้างบุญกุศล ๑๐ ประการ คือ
๑.) "ทานมัย" บุญกุศล ที่เกิดจากการให้ทาน คือ การทำบุญบริจาค ด้วยการเสียสละสมบัติ หรือสิ่งของ ๆ ตนเอง ให้เป็ทานบารมีกับผู้อื่น หรือคือการเสียสละ แบ่งปัน ควมสุขส่วนตน ให้กับผู้อื่น เพื่อสร้างบารมี คือการมอบให้ เป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความสุขให้กับผู้อื่น ที่อ่อนแอ ยากไร้ ขัดสน และมีความต้องการ
๒.) "สีลมัย" คือ บุญกุศล ที่เกิดจาก การรักษาศีล อยู่เป็นนิจ
๓.) "ภาวนามัย" คือ บุญกุศล ที่เกิดจาก การเจริญศีล ภาวนา ไหว้พระ สวดมนต์
๔.) "อปจายนมัย" คือ บุญกุศล ที่เกิดจาก การอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อญาติผู้ใหญ่ พ่อ แม่ ครูบา อาจารย์ ปูชนียบุคคล คือ บุคคลที่น่าให้ความเคารพนับถือบูชา หรือควรค่าแก่การเคารพเทิดทูน เช่น พ่อ แม่ ครูบา อาจารย์ พระพุทธเจ้า หรือบุคคลที่กระทำคุณงามความดี เป็นแบบอย่างที่ดี ให้กับผู้อื่นในสังคม หรือเป็นวัตถุสิ่งที่สมควรสักการะ เช่น พระพุทธรูป ตัวแทนองค์ศาสดา ของศาสนาต่าง ๆ เป็นต้น
๕.) "ไวยยาวัจมัย" คือ บุญกุศล ที่เกิดจาก การทำบุญด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้ หรือช่วยเหลือผู้อื่น ที่ทำให้กิจการนั้น ๆ ที่เป็นประโยชน์สำเร็จ โดยไม่หวังผลตอบแทนใด เช่น ช่วยเป็นกระบอกเสียง ประชาสัมพันธ์ ช่วยพระภิกุสงฆ์ บูรณะพัฒนาวัด สร้างโบสถ์ วิหาร เจดีย์ ศาลาการเปรียญ เมรุ เป็นต้น
๖.) "ปัตติทานมัย" คือ บุญกุศล ที่เกิดจาก การทำบุญ แล้วอุทิศส่วนบุญกุศล ในการทำบุญนั้น แล้วตั้งใจอุทิศส่วนบุญกุศล ให้กับญาติผู้ที่ร่วงลับ และเจ้ากรรมนายเวร พระภูมิ เจ้าที่ เจ้าทาง สัมภเวสี หรือผีไม่มีญาติ ผีเปรต อสุรกาย ทั้งหลาย เป็นต้น
๗.) "ปัตตานุโมทนามัย" คือ บุญกุศล ที่เกิดจากการอนุโมทนาบุญ หรือ การทำบุญ ด้วยความยินดี หรือ การยอมรับในการกระทำความดีของผู้อื่น โดยไม่มีความคิดที่ริษยา หรือ อิจฉาตาร้อน
๘.) "ธัมมัสสวนมัย" คือ บุญกุศล เกิดจากการฟังธรรมะ หรือ บุญที่สำเร็จด้วยการฟังธรรม และศึกษาหาความรู้ จากธรรมะ ในพระพุทธศาสนา
๙.) "ธัมมเทสนามัย" คือ บุญกุศล ที่เกิดจากการแสดงธรรม หรือ ถ่ายทอดความรู้ ให้กับเครื่อญาติของตน เพื่อนๆ สายบุญ และผู้อื่น แบบสาธารณะ
๑๐.) "ทิฏฐุชุกัมม์" คือ บุญกุศล ที่เกิดจาก การทำความคิดเห็นให้ถูกต้อง โดยไม่ยึดมั่นความคิดเห็นของตนเอง แต่เพียงอย่างเดียว แต่รู้จักในการปรับปรุงตัวเอง ในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ตามพระธรรมคำสั่งสอน ขององค์พระศาสดา แห่งพระพุทธศาสนา อยู่เสมอ เพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อที่จะนำพาเราไป สู่การที่มีชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อการพ้นทุกข์ ทั้งปวง

ผู้ที่สนใจ "ใฝ่ในธรรมะ" ก่อนอื่นก็ควรที่จะได้ศึกษาหาความรู้ และมีความเข้าใจก่อนว่ากุศล "บุญ" นั้น คือ อะไร ! บุญ นั้น เป็นสภาพธรรม ที่มีอยู่จริง ถึงจะเป็นนามธรรม แต่ในขณะที่เวลาใด ที่จิตปราศจากโลภะ, โทสะ, และ โมหะ ปราศจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ณ.ในขณะนั้น จะเป็นกุศลบุญ เป็นสภาพธรรม ที่ชำระจิตใจเราให้ใสสะอาด เพราะโดยปกติแล้วจิตของมนุษย์ จะสกปรกไปด้วยเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ คือ กิเลส ตัณหา ต่าง ๆ มากมาย หากเราปฏิบัติธรรม ฝึกจิตให้พ้นจากอกุศล ให้จิตค่อย ๆ เป็นกุศลขึ้น ในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่ให้จิตได้พ้นไปจากจิตเป็นกุศล ให้จิตได้อยู่ในศีลในธรรม อยู่ในการอบรมเจริญสมาธิ ความสงบของจิต และไม่เป็นไปในการอบรมเจริญสติปัญญา ในการที่จะไปทำบุญ เพราะบุญนั้นอยู่ที่สภาพของจิตใจเรา เมื่อจิตเป็นกุศล จึงเกิดเป็นบุญกุศล แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าจิตเป็น "อกุศล" การทำบุญนั้น ก็ย่อมที่จะไม่ได้กุศลจากบุญเลยแม้แต่น้อย ละครับ

"บุญ" นั้น ย่อมเกิดขึ้นที่จิต ที่มีสมาธิ ในการตั้งใจทำบุญ บุญจะเจริญขึ้นในขณะที่จิตใจเราเป็นกุศล แต่ในขณะใดที่จิตเป็น "อกุศล" หรือ คิดไปในทางอกุศล มีความวิตกจริตในการทำบุญ ประการต่าง ๆ ที่ยังยึดติดกับความโลภ ความต้องการ หรือความโกรธ ขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ รวมไปถึงในขณะที่นอนหลับ คิดฟุ้งซ่าน บุญกุศลก็จะไม่เจริญ แต่เมื่อใดที่สติเราเกิด มีความระลึกได้ เป็นไปในความดีงามประการต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของการบริจาคให้ทาน การให้วัตถุสิ่งของต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ในเรื่องของศีล การวิรัติงดเว้นจากทุจริตกรรม และการน้อมนำความประพฤติ แต่ในสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม จึงจะเกิดเป็นกุศลบุญ ในเรื่องความสงบของจิตใจ คือ ต้องสงบจาก อกุศลจิตต่าง ๆ ที่ได้จากการอบรมเจริญสติ จนเกิดปัญญา เมื่อนั้นกุศลของบุญก็ย่อมที่จะเจริญ ซึ่งในการทำบุญสร้างกุศลนั้น ไม่ได้มีการจำกัดเลย เพราะการกระทำ "จาคะ" สร้างบุญสร้างกุศล นั้น ไม่ใช่มีแต่เฉพาะการทำทาน บริจาค เพียงอย่างเดียวเท่านั้น การทำบุญสร้างกุศล มีอยู่ถึง ๑๐ ประการ คือ

๑.) "ทาน" คือ การให้, การแบ่งปัน, การเสียสละ, การเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ต่อผู้อื่น ผู้ยากไร้ ต้องการ ก็คือการมอบให้วัตถุสิ่งของ เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น
๒.) "ศีล" คือ ความประพฤติทางกาย วาจา จืตใจที่เป็นกุศล ไม่เบียดเบียนหรือสร้างความเดือดร้อน ให้กับบุคคลอื่น เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน
๓.) "ภาวนา" คือ การอบรมจิตใจของเรา ให้สงบจากอกุศล (สมถภาวนา) เป็นการฝึกสมาธิ ทำให้เกิดปัญญา จนมีความเข้าใจ นำไปสู่การปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง ทั้งกาย วาจา และความนึกคิดของจิตใจ (วิปัสสนาภาวนา)
๔.) "อปจายนะ" คือ การอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อผู้ที่เราเห็นว่าควรอ่อนน้อม แสดงถึงความอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง กับผู้ใหญ่ ผู้ที่ปฏิบัติตนดี ที่ควรเคารพนับถือ
๕.) "เวยยาวัจจะ" คือ การขวนขวายหาความรู้ เพื่อประพฤติ ปฏิบัติตน ในการกระทำแต่ในสิ่งที่ถุกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น และสังคมประเทศชาติ
๖.) "ปัตติทาน" คือ การอุทิศส่วนกุศลผลบุญ ที่เราได้กระทำ ส่งมอบให้บุคคลอื่น เช่น บรรพบุรุษญาติผู้ใหญ่ เจ้าที่ สัมภเวสี เปรต อสุรกาย เจ้ากรรม นายเวร สัตว์น้อยใหญ่ ที่เวียนว่ายตายเกิด ให้พ้นทุกข์ เราจึงเกิดกุศลจิต เหล่าเทพ เทวา ก็จะอนุโมทนา บุญกุศลนั้นด้วย
๗.) "ปัตตานุโมทนา" คือ การอนุโมทนาพลอยชื่นชมยินดี ในการทำบุญสร้างกุศล ที่ผู้อื่นได้กระทำ แม้ตนเองจะไม่มีส่วนร่วม ในการกระทำ บุญกุศลนั้น ๆ ก็ตาม แค่เราแสดงความชื่นชมยินดีด้วย ก็ได้รับกุศลของบุญ ที่ผู้อื่นกระทำด้วย เช่น คำว่า "สาธุ" , "อนุโมทนามิ" เป็นการชื่นชมยินดีภายหลัง จากที่รู้หรือเห็นคนอื่นทำความดี
๘.) "ธัมมเทศนา" คือ การแสดงธรรม หรือ กล่าวธรรม กล่าวในสิ่งที่เป็นจริงตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงธรรม เพื่อเป็นประโยชน์สุข แก่ผู้อื่น ที่ต้องการรับฟัง
๙.) "ธัมมัสสวนะ" คือ การสดับรับฟังเทศน์ธรรม จากพระภิกษุสงฆ์ ภายในวัด รับฟังแต่ในสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นจริง ฟังแต่ผู้ที่ปฏิบัติธรรม พูดจาที่เป็นวาจาสัจจะ ความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และเห็นความถูกต้อง ในสภาพธรรม ตรงตามความเป็นจริง จึงจดจำ แล้วนำไปปฏิบัติ ขัดเกลากิเลส ตัณหา ที่เกาะกินทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง ออกไปด้วยการเจริญศีล สมาธิ จนทำให้ตัวเราเกิด "ปัญญา"
๑๐.) "ทิฏฐุชุกัมม์" คือ การกระทำความคิดเห็น ให้ตรงตามสภาพธรรมและเหตุผลของสภาพธรรมนั้น ๆ ได้ถุกต้อง หมายถึง การไม่ยึดมั่นความคิดเห็นของตนเอง เพียงอย่างเดียว แต่รู้จักปรับปรุง พัฒนาความรู้ความเข้าใจ รับฟังผู้อื่นบ้าง ในสิ่งต่าง ๆ ที่เกืดขึ้นจริง ให้ถูกต้องตามธรรมอยู่เสมอ เพื่อทำให้เรามีสติ และเกิดปัญญา ที่นำไปสู่การมีชีวิตที่ดีงาม จนมีผู้ให้ความเชื่อถือ เคารพและศรัทธา

ฉะนั้นแล้ว ในการทำบุญสร้างกุศล นั้น ไม่ได้มีข้อพระบัญญัติ จำกัดว่าเรา จะต้องทำบุญ ให้กับพระภิกษุ หรือพระสงฆ์ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้า ท่านทรงมีพระดำรัสตรัสไว้ ว่า หากทุกฅนได้เข้าใจ ถึงการทำบุญสร้างกุศลแล้ว และรู้ว่า "บุญ" นั้นคือ อะไร ? และหมายความของบุญ นั้นว่าอย่างไร ? และมีมากหรือน้อยแค่ไหน ? สำหรับบุคคลผู้ที่เห็นประโยชน์ของการทำบุญ ซึ่งเป็นความดีงาม ในประการต่าง ๆ ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ผุ้ที่ขาดแคลนและมีความต้องการ และก็เพื่อเป็นการขัดเกลากิเลส ของตนเองนั้น ก็จะไม่ละเลยโอกาส ในการเจริญกุศล ในการทำบุญในประการต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของมนุษย์หรือว่าฅนเรานั้น ถ้าหากไม่สร้างทำกุศลให้เกิด ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้อกุศล ในการกระทำของตัวเรา ได้เกิดพอกพูนหนาแน่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เราควรที่จะได้พิจารณา ว่า มนุษย์เกิดมาแล้ว ทุกฅนก็ต้องละสังขารจากโลกนี้ไปทุกตน อย่างแน่นอน แต่จะจากไปพร้อมกับกิเลส ที่มีพอกพูนมากในตัวเรา หรือจะจากโลกนี้ไป พร้อมกับกุศลบุญ จากสติ ปัญญา ที่ได้ฝึกอบรมปฏิบัติ เจริญศีล เจริญธรรม ภาวนา สร้างบุญกุศล ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ พุทธศาสนิกขน ท่านทั้งหลาย ก็จงคิดตรองดู สาธุ ครับ

ท้ายสุด จากประเด็นคำถาม ว่า ตู้บริจาค ในโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ เช่น ตู้บริจาค ค่าน้ำค่าไฟฟ้าของวัด ตู้บริจาคสะเดาะเคราะห์ หรือตู้บริจาคค่าดอกไม้ ธูป เทียน ฯ ตามวัดต่าง ๆ สมควรมีหรือไม่ ? ถ้าหากเราคิดบวก ในเชิงการกุศลแล้ว พระท่านไม่ได้รับจ้างทำงาน ปฏิบัติธรรม นำความรู้ที่ได้ มาถ่ายทอด สอนบอกพวกเรา ถ้าเรามีความเข้าใจ และมีความประสงค์ ที่จะเกื้อกูลพระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ก็ควรคิดพิจารณา กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง และต้องคิดพินิจพิจารณา ว่า น้ำประปา และไฟฟ้า ทางวัด ไม่ได้ใช้กัน ฟรี ค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้า วัดในชนบท เสียปัจัย เดือนหมื่นกว่าบาท หากเป็นวัดในเมือง มีงานฌาปนกิจศพบ่อย ค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้า ค่าจ้างฅนทำความสะอาด เก็บกวาดขยะในวัด ค่าซ่อมบำรุงอุปกรณ์ ที่ญาติโยม ใช้ในการจัดงานในวัด ฯลฯ มีค่าใช้จ่ายของในแต่ละเดือน ไปรับกิจนิมนต์ ใส่ซองกันแค่คนละ ๒๐ บาท รถวัด ก็ต้องใช้น้ำมัน เสียก็ต้องซ่อมบำรุง เวลาคิดที่จะทำบุญสร้างกุศล ก็ควรไปทำบุญที่วัดนอกเมืองกันบ้าง เช่นที่ @วัดหนองม่วง สุพรรบุรี ซึ่งเป็นวัดขัดสน ชาวบ้านมีแค่ ๑๐ กว่าหลังคาเรือน พระในวัด นุ่งสบงกันแค่ผืนเดียว จัดว่า เป็นวัดที่ยากจน ขาดสีกาผู้ใจบุญ เหลียวแล ละครับผม

ส่วน เรืองของ "สังฆทาน วน" ส่วนมากแล้ว ทางวัดจะให้หยอดตู้ สังฆทานชุดละ ๑๐๐ บาท ในหลานวัด เท่าที่ผู้เสียบข่าว ไปสังเกตุการณ์ จึงทราบว่า สิ่งของในสังฆทาน ที่ญาติโยมนำไปถวาย ซื้อสำเร็จรูป ที่แพคสิ่งของ บรรจุไว้อย่างสวยงาม แต่ สิงของในนั้น หมดอายุในการใช้งานนานแล้ว ผ้าอาบน้ำฝน ก็ผืน กว้างแค่คืบ ยาวศอก พระสงฆ์ท่านนำไปนุ่งห่ม ปิดศีล ที่ยาว ๒๒๗ ไม่ได้ ดังนั้นแล้วการถวายสังฆทาน ผู้ทำบุญ ควรไปเลื่อซื้อหาสินค้า ผลิตภัณฑ์ ที่ผลิตขึ้นใหม่เอง ที่ตลาดหรือห้างร้านไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้อง แพคบรรจุถังให้สวยงาม ใส่ถุงพลาสติ๊กหิ้วไปถวายพระก็ได้ ไม่มีพระรูปใดท่านว่า เพราะท่านรู้ทราบว่า สิงของที่โยมนำไปถวาย เป็นผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่ ที่ฉันได้ไม่อันตราย ท้องไม่เสียอย่าแน่นอน เพราะเห็นชัดว่า ข้างกล่อง มี อย.รับประกันคุณภาพ ชัวร์ ของใหม่แน่นอน โดยพิจารณาดูว่า ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ท่านตื่นขึ้นมาดูโลก ท่านอุปโภค และบริโภค อะไร ?

สิ่งของเคื่องใช้ ที่จะซื้อหานำไปถวายพระสงฆ์ เครื่องอุปโภค เช่น สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผงซักฟอก แชมพูสระผม พระท่านก็ใช้ได้ ถึงจะไม่มีผม ส่วนหวีไม่ต้องซื้อหา นำไปถวาย ฯ เป็นต้น ส่วนเครื่องบริโภค เช่น ชา, กาแฟ, นม, ขนมปัง ผักสด ผลไม้ ยา เวชภัณฑ์ หรือ ยาสามัญประจำบ้าน ต่าง ๆ ได้ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้, แก่หวัด, ยาแก้แพ้, แก้คัน, ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร, ยาธาตุบันเทาอาการปวดท้อง, ผงน้ำตาลเกลือแร่, ยาแก้ท้องเสีย ฯ ยกเว้น สุรา, บุหรี่, และเครื่อดื่มชูกำลัง ห้าม เพราะ "สังฆทาน" เป็นการถวาย หรือบริจาคมอบให้ เพื่อพระสงฆ์ ส่วนรวม โดยไม่เฉพาะเจาะจง ว่าจะต้องเป็นพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งรูปใด จึงจะเป็นการถวายสังฆทาน ได้อย่างถูกต้อง ถูกวิธี คือ ถวายไว้เป็นกองกลาง หากพระสงฆ์รูปใด จำเป็นที่จะต้องใช้ ท่านจึงมาเบิกนำไปใช้ ที่ห้องพัสดุกองกลาง ของทางวัด สิ่งของที่บริจาค ถวายเป็นสังฆทาน นั้น จะต้องเป็นสิ่งที่เหมาะสม สมควรถวายแด่ พระภิกษุสงฆ์ เพศบรรพชิต เท่านั้น พุทธศาสนิกชน ท่านผู้ใจบุญ ใจกุศล ท่านทั้งหลาย ก็ควรต้องพิจารณา ว่า สิ่งของใดเหมาะสม และไม่เหมาะสม ครูแอ๊ด ก็ขอ อนุโมทนาบุญ กับท่านผุ็ใจบุญ ใจกุศล ทุกท่านด้วย สาธุ ครับผม.

💖 : เรียบเรียง โดยอาจารย์ประพนธ์ บุนนาค ฐานันดร ๔ นกน้อยในไร่ส้ม
💖 : ถ่ายภาพ กาฟฟิกภาพ โดยอาจารย์ Bunnag #ครูแอ๊ด #ข้าบดินทร์ ศิษย์พระตถาคต วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เชิงสะพานพุทธ ประชาสัมพันธ์โดย Bunnag News ผลิตสื่อสาระข่าวสารเพื่อการศึกษาและการกุศล เผยแผ่พระพุทธศาสนา พัฒนาวัด วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของไทย สนับสนุนสินค้าพื้นบ้านคุณภาพดี ท่องเที่ยวทั่วไทย บนโลกสื่อสารออนไลน์ รับโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า ห้างร้าน บริษัทต่าง ๆ เพื่อหารายได้จัดซื้อจัดหาและซ่อมแซมบำรุงอุปกรณ์ในการผลิตสื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศล เป็นสะพานบุญ ประชาสัมพันธ์พัฒนาวัด แนะนำท่องเที่ยวชุมชนต่าง ๆ ทั่วไทย
💞 ร่วมบริจาคได้ที่ ธนาคารออมสิน บัญชีเลขที่ 0 2 0 4 1 6 5 0 8 2 7 1 และหรือที่ ธนาคารกรุงเทพ บัญชีเลขที่ 0 2 6 0 4 1 0 0 0 6 ชื่อบัญชี Parpon Boonnak หรือติดต่อสอบถามได้ที่ ครูแอ๊ด Siam Bunnag หมายเลขโทรศัพท์ 089 9922 304 สาธุ ครับผม. 🙏🇹🇭😍🥰💞❤👉 >>>https://www.youtube.com//videos
🙏🇹🇭💞 >TV35 > ช่อง 7 สี ทีวีเพื่อคุณ 💞🙏 ครับท่าน @ผู้ติดตาม ที่เคารพรัก ทุกท่าน ทั่วไทย ครับผม. 🙏🇹🇭😍🥰💞❤🙏 Siam Bunnag

ที่อยู่

30/1037 ต. คลองสาม อ. คลองหลวง จ. ปทุมธานี
Bangkok
12120

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Bunnag News ผลิตสื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศลผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

เดินตามรอยพระบาทพ่อ ผลิตสื่อสาระข่าวสาร การกุศล เพื่อสังคมไทย

ผลิตสื่อสาระข่าวสาร พร้อมความบันเทิง เพื่อการศึกษา เผยแผ่พระพุทธศาสนา การกุศล และศิลปะ ประเพณีอันดีงาม วัฒนธรรมไทย ช่วยเหลือชาวบ้าน ทำมาหากิน ทั่วท้องถิ่นไทย ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมือง พรรคใด ทำบุญสร้างกุศล สร้างสรรค์ เพื่อสังคมไทย ครับผม. :สนับสนุน สาระข่าวสาร พร้อมความบันเทิง โดย พี่น้องตระกูลบุนนาค พี่น้องตระกูลแซ่ (แซ่ตั้ง ฯลฯ)