Bunnag News ผลิตสื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศล

Bunnag News ผลิตสื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศล ผลิตภาพ สื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศล พัฒนาทุกวัด ทั่วไทย 089 9922 304

รับบริจาค ช่วยเหลือ #ผลิตสื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศล ช่วยเหลือประชาสัมพันธ์ พัฒนาวัด สังคม ชาาวบ้าน ร้านค้า ชุมชน เชิดชูวงตระกูล ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไทย โปรดอย่าได้กลั่นแกล้ง แจ้งความเท็จ เพราะเพจข่าวนี้ ไม่ตเคยตั้งใจ ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด โปรดได้อย่าอิจฉา ตาร้อน คืดดี ทำดี หมั่นสร้างทำแต่กุศลกรรม เข้าไว้ เพื่อลูก-หลาน บ้านเมืองไทย จะได้เจริญ รุ่งเรือง สาธุ ครับผม.

30/06/2025

*** 💞 สุขสันต์ เทศกาล "เข้าพรรษา" ประเพณีถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน ทอดผ้าป่า ถวายสังฆทาน กับ #สาระน่ารู้ เรือง #โรตีสายไหม ขนมหวานอร่อย สินค้า ของฝาก จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และประวัติเมือง "กรุงเก่า" ของสยามประเทศ

❤ แนะนำเรื่อง #โรตีสายไหม ของฝากจากเมืองกรุงเก่า โดย คุณ บุญพา เขตร์กุฎี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
❤ ขอบคุณภาพนายแบบ คุณ อินแก้ว ระลึก (ทหารบก ขาดรัก) จ.พิษณุโลก
❤ ร้าน โรตีสายไหม บังหมัด ตลาดกลาง อยุธยา "นกกับโป้ง" สั่งซื้อกันได้ จำหน่ายทั้งขายปลีก และขายส่ง 087-0003-554 ยุ (บังหมัด โรตีสายไหม)

💞 โรตีสายไหม เป็นประเภทขนมหวาน อาหารว่างอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีส่วนประกอบหลักด้วยกัน ๒ ส่วน คือ แผ่นแป้งทอด และ ส่วนไส้ในที่ใช้น้ำตาล นำมาเคี่ยว แล้วนำมายืดทำให้เป็นเส้นฝอย ๆ ที่เรียกกันว่า "สายไหม" เวลารับประทาน จะนำแผ่นแป้งมาห่อหุ่ม ม้วนส่วนของไส้ใน คือ น้ำตาลที่ทำเป็นฝอย ที่มักใส่สีผสมอาหาร ที่เรียกกันว่า "สายไหม" ขนมหวานของโปรด ที่ทุกชนชั้น ทุกเพศทุกวัย ชื่นชอบนิยมรับประทานกัน

แรกเริ่มเดิมที นั้น โรตี-สายไหม ได้เข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทย โดยชาวมุสลิม หรือที่คนไทยเรียกกันว่า "แขก" ในสมัยท่านเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหะหมัด) ประเทศอิหร่าน ปัจจุบัน มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ว่า "สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน" เป็นประเทศในเอเชียตะวันตก ท่านเฉกอะหะหมัด เป็น ชาวเปอร์เซีย ในรุ่นบุกเบิก ที่ควรกล่าวถึง ก็คือ ท่านเป็นพ่อค้าวาณิช ที่มีชื่อว่า อาหมัด หรือที่เรียกกันว่าท่าน “เฉกอะหมัด” หรือ เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหะหมัด) ซึ่ง "เฉก" มาจากคำว่า "ชีค" ภาษาอาหรับ ซึ่งแปลว่า หัวหน้า หรือเป็นคำนำหน้าชื่อ เพื่อให้เกียรติบุคคล ที่แสดงถึงความเคารพนับถือ) เชื่อว่า ท่านเฉกอะหมัด มาจากเมืองกุม เมืองที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ของมุสลิมนิกายชีอะห์ ซึ่งเป็นเมืองศาสนาที่สำคัญของชาวอิหร่าน

ท่านเฉกอะหมัด ได้เดินทางเข้ามาค้าขาย ในกรุงศรีอยุธยา หรือสยามประเทศ ด้วยเรือสำเภา และได้นำเอาวัฒนธรรม ในการบริโภคโรตี มาเผยแผ่ในประเทศไทย สมัยอยุธยา ราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม โดยท่านเฉกอะหมัด ได้เข้ามาสวามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์ไทย จนได้รับความไว้วางใจได้เข้ารับราชการ จนท่านได้เป็นขุนนาง ที่มีอำนาจในราชสำนักของสยามประเทศ และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น "พระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐี" และ "เจ้าพระยาบวรราชนายก" ราวปี ค.ศ 1602 (พ.ศ. ๒๑๔๕) ท่านเสียชีวิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๗๔ ด้วยวัยชรา ปัจจุบัน สรีระสังขารท่านเฉกอะหมัด เจ้าพระยาบวรราชนายก ปฐมจุฬาราชมนตรี ต้นตระกูลบุนนาค ฝังอยู่ ณ กุโบ ใน ม.ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา เลขที่ ๙๖ ถ.ปรีดีพนมยงค์ ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้รับการบริจาคที่ดิน โดยวิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา และสถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ได้ยกฐานะขึ้นเป็น "มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา" เมือปี พ.ศ. ๒๕๔๗

แต่เดิมก่อนมานั้น โรตีสายไหม จะห่อน้ำตาลสายไหม ด้วยแป้งโรตีที่เป็นแป้งอบความร้อนแผ่นหนา ต่อมามีชาวไทยเชื้อสายจีน ได้นำมาประยุกต์ทำ นำแป้งห่อ เปาะเปี๊ยะสด ของชาวจีน นำมาทำการห่อเส้นน้ำตาลสายไหมแทน จนเกิดเป็นโรตีสายไหมแป้งบาง อย่างที่ท่านเห็น และได้รับประทานโรตีสายไหม กันอยู่ในปัจจุบัน ทุกวันนี้

จนต่อมา โรตีสายไหม มีผู้นิยมบริโภค รับประทานกันมากเพิ่มขึ้น จึงมีผู้ผลิตมากเพิ่มขึ้น จนเป็นผลิตภัณฑ์ สินค้า OTOP ที่ขึ้นชื่อ ของ ต.คานหาม อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ที่มีให้เลือกซื้อหามารับประทาน กันอย่างมากมาย ทั้งในตลาดสด ในเมือง และริมถนนสายเอเชีย หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒ ขาเข้า กทม. ร้านโรตีสายไหมบังหมัด เลขที่ ๓๒ ต.ท่าตอ อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา 13150 ยกเว้น บนทางด่วน ยังไม่มี โรตีสายไหมขาย หากเจอร้านให้รีบซื้อ ก่อนไปขึ้นทางด่วน ถ้าซื้อไปฝากเจ้าหน้าที่เก็บเงินค่าทางด่วน ลดครึ่งราคา

ผู้รู้ทราบประวัติศาสตร์ ทางวัฒนธรรมในการรับประทานโรตี ของชาวมุสลิม ให้ข้อมูลว่า โรตีสายไหม นั้น เป็นขนมบริโภครับประทานเล่น เป็นอาหารว่างในกลุ่มของขาวเปอร์เซียร์ อินเดีย รวมทั้งกลุ่มมุสลิมเชื้อสายจีน ขนมแป้งโรตี ห่อน้ำตาล จะมีให้เลือกรับประทาน ด้วยกัน ๒ แบบ คือ เเบบเส้นน้ำตาล ที่ดึงเป็นเส้นสายไหม และอีกชนิด จะเป็นน้ำตาลก้อนหรือแท่งยาว ที่ชาวจีนเรียกกันว่า แตงเมย์ จะห่อด้วยแป้งโรตีหรือไม่ห่อก็ได้ ในเมืองไทยจะพบเห็นผู้ที่ขายมากที่สุดโดยในช่วงแรก ๆ คือ ชาวจีน และชาวอินเดีย ฯ

ส่วนโรตีสายไหม ใน จ.อยุธยา มีชื่อเสียงที่โด่งดัง จนกลายมาเป็นขนมประจำจังหวัดอยุธยา ก็ด้วยสื่อมวลชน ช่วยกันเชียร์ โรตีสายไหม ใน จ.อยุธยา มานานหลายสิบปี และมีด้วยกันหลายจ้าว ส่วนมากแล้วจะเป็นพี่น้องชาวมุสลิม ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ผลิตจำหน่าขายกัน อร่อยทุกเจ้า ท่านใดใครคิดค้นผลิตทำขึ้นมา ในสมัยนั้น ไม่มีการบันทึกไว้ แต่ด้วยความรักใน จ.อยุธยา ซึ่งอดีด เคยเป็น เมืองหลวงเก่า ของคนไทยเรา มาแต่ครั้งในอดีตสมัยปู่-ย่า-ตา-ทวด โดยมีเรื่องเล่ากันว่า จุดเริ่มต้นของโรตีสายไหมใน จ.อยุธยา นั้น ได้เล่ากันว่า เกิดจาก นายซาเล็ม แสงอรุณ หรือบังเปีย ชาวมุสลิม ใน จ.พระนครศรีอยุธยา มีเคหะสถานบ้านอยู่แถวคลอง ๑ ใน อ.วังน้อย จ.อยุธยา ด้วยความที่มีฐานะยากจน จึงได้ออกจากบ้าน ไปตระเวนรับจ้างทำงาน ไปไกลจนถึง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บังเปีย ชาวอยุธยา (บัง แปลว่า พี่) ได้ทำขนมหวานขาย เช่น โรตีกรอบ โรตีใส่ไข่ ใส่นม แล้วนำไปขาย ยังบริเวณ วัดสัตหีบ หรือ วัดหลวงพ่ออี๋ เลขที่ ๓๓๓ หมู่ที่ ๑ ถ.ชายทะเล ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

โดยในแต่ละวัน นั้น เมื่อบังเปีย ขายขนมหมดแล้ว จะต้องกลับไปเคี่ยวน้ำตาล ที่บ้านพัก เพื่อนำไปหยอดทำแป้งโรตีกรอบ จนมีบางครั้งนั่งเคี่ยวน้ำตาล เผลอหลับนานไปหน่อย น้ำตาลก็เลยแข็งตัว บังเปียจึงทดลองดึงน้ำตาลให้ยืด เพื่อให้น้ำตาลอ่อนตัว แล้วนำหยอดที่โรตีกรอบ จึงทดลองยืดน้ำตาล จนเป็นสายไหม จึง เป็นจุดเริ่มต้นของการทำโรตีสายไหม และฝึกหัดดึงน้ำตาลเคี่ยวให้เป็นเส้นไหมอยู่นานหลายปี จนเกิดมีความชำนาญ ในการดึงน้ำตาลที่เคี่ยว จนเป็นเส้นไหม ที่น่ารับประทาน

เล่ากันว่า ต่อม่า เมือปี พ.ศ. ๒๕๐๖ บังเปีย อายุได้ ๒๗ ปี คิดถึงบ้านเกิด จึงได้กลับมาที่ จ.อยุธยา โดยไปเช่าบ้านอยู่ที่ข้างสุเหร่าวัฒนา ใน อ.พระนครศรีอยุธยา ด้วยการทำโรตีสายไหม ใส่กล่องไม้สะพาย ถีบขึ้นจักรยานออกเร่ขาย ตามหมู่บ้านไปทั่ว โดยในสมัยนั้น คนซื้อจะนำเหรียญสลึง มาหย่อนลงในช่องที่เจาะไว้ เข็มที่หน้าปัดซึ่งมีตัวเลขเขียนไว้จะหมุนไป เมื่อเข็มหยุดที่เลขใดก็จะได้จำนวนชิ้นของโรตีสายไหม เท่าที่เข็มของมอเตอร์ หยุดหมุน ชี้ที่หมายเลขนั้น เป็นแผนการตลาด เชิญชวนใหเด็ก ๆ ที่ชอบรับประทานโรตี และวัดดวงเสียงโชค หนึ่งสลึง อาจได้โรตีสายไหม ๒-๓ ชิ้น แต่ส่วนมากแล้ว จะหยุดที่หมายเลข ๑ ไม่รู้ว่า บังเปีย เล่นกลหลอกเด็กหรือเปล่า แต่ก็นานหลายสิบปีมาแล้ว ก็ยังคงสงสัยอยู่ 555 บังเปียอดทนขายโรตี เก็บเงินอยู่นานหลายปี ต่อมา เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ บังเปีย ได้สมรสแต่งงานกับนางมั่น เป็นชาวโคราช มีบุตรด้วยกัน ๕ คน เพราะบังเปียเป็นคนขยันทำงาน มีบุตรชาย ๓ คน และบุตรตรี ๒ คน ปังเปีย จึงคิดที่จะสร้างครอบครัวให้เป็นปึกแผ่น กว่าที่เป็นอยู่ในสมัยนั้น ต่อมาครอบครัวบังเปีย จึงได้ย้ายไปเช่าบ้าน ทำมาหากินอยู่ในตัวเมืองอยุธยา ริมถนนอู่ทอง เส้นทางไปโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา กับภรรยาช่วยกันทำโรตีสายไหมขาย จนยึดเป็นอาชีพหลัก ของครอบครัวบังเปีย ชีวิตความเป็นอยู่ของบังเปียและภรรยาพร้อมด้วยลูก ๆ ทั้ง ๕ คน จึงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เรื่อยมาจวบจนกระทั่งถึงในปัจจุบัน เพราะความมุมานะ ขยันอดทนของบังเปียและภรรยา

บังเปีย ได้พยายามปรับปรุงรสชาติแป้งโรตี ให้ถูกใจลูกค้าผู้บริโภค จากสูตรดั้งเดิม ตัวแป้งมีส่วนประกอบ ที่เป็นแป้งสาลี ผสมน้ำ และใส่เกลือ ก็เพิ่มรสชาติด้วยการใส่นม , กะทิ , งา และธัญพืชชนิดต่าง ๆ ให้มีรสชาติที่หลากหลาย เป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้เลือกรับประทาน ตามที่ชอบใจ จนต่อมากิจขายโรตีสายไหม ของครอบครัวบังเปียได้ขยายตัวขึ้น จนเป็นที่รู้จักของชาวพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดที่ใกล้เคียง ตลอดจนนักท่องเที่ยว ในหลายจังหวัดได้รู้จัก ซื้อหานำไปรับประทานและบอกต่อกัน จนขายได้ ๒๐๐-๓๐๐ กิโลกรัม ต่อวัน พอบังเปียขายดีจนอยู่ตัวรวยแล้ว จึงได้ชักชวนพี่น้อง จำนวน ๖ คน ให้มายึดอาชีพทำโรตีสายไหมขายกัน ทำให้ตระกูลแสงอรุณ ขยายกิจการสาขา การขายโรตีสายไหม กระจายไปทั่วถนนอู่ทอง และขยายวงกว้างขึ้น ไปตามเส้นทางถนนสายเอเชีย และถนนมิตรภาพ หากท่านใดขับรถยนต์ผ่านไป-มา แถว จ.อยุธยา ท่านก็จะสังเกตุเห็นร่มกางสีสรรค์สวยสะดุดตา อยู่ข้างทางถนนสายเอเชีย และถนนมิตรภาพพร้อม พร้อมมีป้ายปักเขียนไว้่ว่า "โรตีสายไหมอยุธยา" ก็ขับรถชิดซ้าย แล้วอย่าลืมเหยียบเบรค จอดหน้าร้าน ห้ามนำรถพุ่งเข้าไปเหมาในร้าน แบ่ง ๆ กันช่วยซื้อหานำไปเป็นของขวัญของฝาก รับประทานกัน เป็นการสนับสนุนคนไทย พี่น้องชาวมุสลิม ที่ทำอาหารอร่อย สะอาด ตามหลักศาสนาอิสลาม ของพี่น้องชาวมุสลิม ที่ทำอาชีพสุจริต และเป็นผู้ที่มีน้ำใจ เพื่อสร้างรายได้หาเลี้ยงครอบครัวกัน และบังเปีย บังหมัด พี่น้องชาวมุสลิม มักจะไม่หวงวิชา พร้อมถ่ายทอดความรู้ให้ ด้วยความเต็มใจ ขอให้เป็นคนที่ขยันทำมาหากินอย่างสุจริตใจ บังเปีย และบังหมัด พี่น้องมุสลิมอยุธยา จึงมีลูกศิษย์ที่ไปขอบังทำโรตีสายไหมขายเลี้ยงชีพ และครอบครัว แยกตัวไปประกอบอาชีพขายโรตีสายไหม กันอยู่ในหลายจังหวัด มากมาย จนต่อมา การทำโรตีสายไหม ที่ จ.อยุธยา จึงได้เติบโต ขยายตัวออกไปในหลายพื้นที่ มีผู้ผลิตโรตีสายไหมเพิ่มมากขึ้น เพราะพี่น้องชาวมุสลิม มักเป็นผู้ที่มีน้ำใจ และรักในประเทศไทย และสร้างชื่อเสียง ในการขายโรตีสายไหม จนโด่งดังไปจนถึงเมืองนอก จนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ชื่นชอบรับประทานโรตีสายไหมกันมาก ต่างก็ยกนิ้วให้ และชอบไปท่องเที่ยวกัน ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา กันอยู่เสมอ โรตีสายไหม จึงเป็นขนมที่ขึ้นชื่อ ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอรับ ครับผม

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลาง และเป็นจังหวัดเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่สำคัญของไทย โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด ซึ่งมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ ๓ ของประเทศไทย และมีประวัติศาสตร์ความเป็นมา เรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติไทยที่ยาวนาน และอยุธยา ยังเคยมีชื่อเสียงที่เป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญ ซึ่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นั้น เป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทย ที่ไม่มีอำเภอเมือง แต่มี อำเภอพระนครศรีอยุธยา เป็นศูนย์กลางการบริหารการจัดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ โดยชาวบ้านโดยทั่วไป มักนิยมเรียก จ.พระนครศรีอยุธยา อีกชื่อหนึ่งว่า "กรุงเก่า" หรือ "เมืองกรุงเก่า" ซึ่งมีระยะทาง ห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ ๗๕ กิโลเมตร

เมืองกรุงเก่า พระนครศรีอยุธยา เคยเป็นราชธานี ของสยามประเทศ หรือ เมืองหลวงของประเทศไทย และหรือที่เรียกกันว่า อาณาจักรอยุธยา โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือพระเจ้าอู่ทอง ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเมื่อ ปีพุทธศักราช ๑๙๘๓ กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้าขาย ในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้นี้ ในระดับนานาชาติ เช่น ค้าขายกับประเทศ จีน , เวียดนาม , ญี่ปุ่น , อินเดีย , เปอร์เซีย และชาติตะวันตก เช่น โปรตุเกส , สเปน เนเธอร์แลนด์ (ฮอลันดา) อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งในช่วงหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา อณาจักรสยาม ได้เคยขยายอาณาเขตของประเทศ ไปจนถึงรัฐฉานของพม่า , ทั้งอาณาจักรล้านนา ไปถึงมณฑลยูนนาน อีกทั้งอาณาจักรล้านช้าง ,อาณาจักรขอม และคาบสมุทรสุดแหลมมลายู เป็นอาณาจักรของสยามประเทศ สืบต่อยาวนานถึง ๔๑๗ ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครอง ๓๓ พระองค์ จาก ๕ ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง , ราชวงศ์สุพรรณภูมิ , ราชวงศ์สุโขทัย , ราชวงศ์ปราสาททอง และราชวงศ์บ้านพลูหลวง สูญเสียเอกราชแก่พม่า ๒ ครั้ง โดยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๑๒ ตรงกับในรัชสมัยของ สมเด็จพระมหินทราธิราช (อยุธยา) กับ พระเจ้าบุเรงนอง (พม่า) การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ตรงกับในรัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ (อยุธยา) กับ พระเจ้ามังระ (พม่า)

ครั้นเมื่อ พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราชไทย โดยขับไล่ทหารพม่าออกไปจากราชอาณาจักรสยามได้สำเร็จ นับตั้งแต่ที่เสียกรุงศรีอยุธยา ภายในระยะเวลาเพียง ๗ เดือน เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ โดยทรงเห็นว่า กรุงศรีอยุธยา ยากแก่การบูรณะขึ้นใหม่ และข้าศึกพม่าก็รู้เส้นทางเข้าตี จึงทรงทรงสถาปนาราชธานีแห่งใหม่ขึ้น ณ กรุงธนบุรี เพราะทรงเล็งเห็นว่า กรุงธนบุรีเป็นเมืองที่มีขนาดเล็ก สะดวกแก่การดูแล เพราะพลเมืองชาวบ้านเหลือน้อย และพื้นที่เหมาะสม กับกำลังป้องกันทั้งทางบก และทางน้ำ โดยตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา และสะดวกในการติดต่อค้าขาย กับชาวต่างชาติในหลายประเทศ และยังสะดวกต่อการควบคุม การลำเลียงขนถ่าย อาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียง ไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ได้โดยสะดวก และรวดเร็วกว่าทางบก หากเมื่อเกิดศึกสงครามสู้รบกับสัตรู แต่กรุงศรีอยุธยา ก็มิได้กลายเป็นเมืองร้าง ก็ยังมีคนไทย และชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาพึ่งร่มโพธิสมภาร จากบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ไทย ในสยามประเทศ ที่ยังคงรักถิ่นฐานบ้านเดิม ก็ยังได้อาศัยกันอยู่ในกรุงศรีอยุธยา และก็ยังมีชาวบ้านราษฎร ที่หลบหนีกันเข้าไปอยู่ตามป่า และที่ถูกพม่าข้าศึกจับตัวไปเป็นเชลย ได้หลบหนีกลับเข้ามาอาศัยอยู่ในรอบ ๆ เมืองกรุงศรีอยุธยา เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนรวมเข้ากันเข้าเป็นเมืองขึ้นมาใหม่ จนมาถึงในสมัยกรุงธนบุรี ทางราชการ จึงได้ยกให้กรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองจัตวา ซึ่งเรียกกันว่า "เมืองกรุงเก่า"

โดยเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงยกเมืองกรุงเก่า ขึ้นเป็น หัวเมืองจัตวา เช่นเดียวกับในสมัยกรุงธนบุรี หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้โปรดให้จัดการปฏิรูปการปกครองทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค โดยการปกครองส่วนภูมิภาค นั้น โปรดให้จัดการปกครองแบบเทศาภิบาลขึ้น โดยให้รวมเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน ๓-๔ เมือง ขึ้นเป็นมณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครอง โดยในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ โปรดให้จัดตั้งมณฑลกรุงเก่าขึ้น ประกอบด้วยหัวเมืองต่าง ๆ คือ เมืองกรุงเก่า หรืออยุธยา , อ่างทอง , สระบุรี , พระพุทธบาท , ลพบุรี , พรหมบุรี , อินทร์บุรี และสิงห์บุรี รวมเข้าด้วยกัน

และต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองอินทร์บุรีและเมืองพรหมบุรีเข้ากับเมืองสิงห์บุรี และรวมเมืองพระพุทธบาทเข้ากับเมืองสระบุรี โดยตั้งที่ว่าการมณฑลที่เมืองกรุงเก่าอยุธยา และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ จึงได้เปลี่ยนชื่อจาก "มณฑลกรุงเก่า" เป็น "มณฑลอยุธยา" ซึ่งจากการจัดตั้งมณฑลอยุธยานั้น มีผลให้อยุธยามีความสำคัญทางการบริหารและการปกครองมากยิ่งขึ้น โดยการสร้างสิ่งสาธารณูปโภคในหลายสิ่งหลายอย่าง มีผลต่อการพัฒนาเมืองอยุธยาในเวลาต่อมา จนเมื่อได้มีการยกเลิกการปกครอง ในระบบมณฑลเทศาภิบาล ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาใช้ในระบอบการปกครองแบบ ประชาธิปไตย เมือ ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ "อยุธยา" จึงได้เปลี่ยนฐานะมาเป็นจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจน จวบจนกระทั่งถึงในปัจจุบัน

ครั้นพอมาถึงในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม (แปลก ขิตตะสังคะ) เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายบูรณะโบราณสถานภายในเมืองกรุงเก่าอยุธยา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ประจวบกับในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ นายกรัฐมนตรีประเทศพม่า ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย และได้มอบเงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาทไทย เพื่อปฏิสังขรณ์วัด และองค์พระมงคลบพิตร เป็นการเริ่มต้นบูรณะโบราณสถาน ในกรุงเก่าพระนครอยุธยา กัยอย่างจริงจังเรื่อยมา จนต่อมากรมศิลปากร ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่สำคัญ ในการดำเนินการบูรณะปฏิสังขรณ์วัด สานโบราณต่าง ๆ ใน จ.พระนครอยุธยา จนองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก มีมติให้ประกาศขึ้นทะเบียนเมืองกรุงเก่าอยุธยา ขึ้นเป็นอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็น "มรดกโลก" เป็นแหล่งศึกษาทางประวัติศาสต์ชาติไทย และสถานที่ท่องเที่ยว เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ มีพื้นที่ครอบคลุมในบริเวณโบราณสถาน ของเมืองอยุธยา ทั้งหมด

ฅนไทย ทุกท่าน @ผู้ติดตาม ก็อย่าลืมเชิญชวนกันไป ท่องเที่ยวเยือนเมืองกรุงเก่า "พระนครศรีอยุธยา" เพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษในอดีต ที่ท่านได้ปกป้องบ้านเมือง จากภัยสงคราม จากอริราชศัตรู กว่าจะได้มาเป็นประเทศไทย ให้เราท่านทั้งหลาย ได้มีผืนแผ่นดินอยู่ร่วมกัน อย่างสุขสบาย บรรพบุรุษท่านทั้งหลาย ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เสียชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย นี้ไว้ให้ลูกหลานไทย นั้น ล้มตายกันไปเท่าไร ควรรู้รักสามัคคี รักและหวงแหนแผ่นดินนี้ไว้ เยี่ยงชีวิต อย่าได้เป็นคนคิดขายชาติ เพราะบรรพบุรุษ ปู่ ยา ตา ยาย ท่านเฝ้าดูพฤติกรรม ของพวกเรากันอยู่ ณ เมืองกรุงเก่า "พระนครศรีอยุธยา" สาธุ ครับ. Dr. Siam Bunnag

❤ ขอขอบคุณ ข้อมูล : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
❤ ร้านโรตีสายไหม บังหมัด ตลาดกลาง อยุธยา
❤ ติดต่อสั่งซื้อโรตีสายไหม บังหมัด คลิก กดที่ลิงก์ ด้านล่าง นี้ ❤👉
>>> https://www.facebook.com/profile.php?id=100057460899683

❤ : เรียบเรียง โดยอาจารย์ประพนธ์ บุนนาค ฐานันดร ๔ นกน้อยในไร่ส้ม
หากมีข้อความใดที่ผิดพลาด ขอกราบอภัย คณาจารย์ ท่านผู้รู้ด้วย สาธุ ครับ.
❤ : ถ่ายภาพ กาฟฟิกภาพ โดยอาจารย์ #สยาม #บุนนาค #ครูแอ๊ด #ข้าบดินทร์ #ศิษย์พระตถาคต วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เชิงสะพานพุทธ ประชาสัมพันธ์โดย ผลิตสื่อสาระข่าวสารเพื่อการศึกษาและการกุศล เผยแผ่พระพุทธศาสนา พัฒนาวัด วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของไทย สนับสนุนสินค้าพื้นบ้านคุณภาพดี ท่องเที่ยวทั่วไทย บนโลกโซเชี่ยนสื่อสารออนไลน์
❤ รับโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า ห้างร้าน บริษัทต่างๆ เพื่อหารายได้จัดซื้อจัดหาและซ่อมแซมบำรุงอุปกรณ์ในการผลิตสื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศล เป็นสะพานบุญ ประชาสัมพันธ์พัฒนาวัด แนะนำท่องเที่ยวชุมชนต่าง ๆ ทั่วไทย
💞 หรือ ร่วมบริจาคได้ที่ ธนาคารออมสิน บัญชีเลขที่ 0 2 0 4 1 6 5 0 8 2 7 1 และหรือที่ ธนาคารกรุงเทพ บัญชีเลขที่ 0 2 6 0 4 1 0 0 0 6 ชื่อบัญชี Parpon Boonnak ❤ติดต่อสอบถามได้ที่ ครูแอ๊ด Siam Bunnag (สยาม บุนนาค) หมายเลขโทรศัพท์ 089 9922 304 สาธุ ท่าน @ผู้ติดตาม ทุกท่าน ครับผม. 🙏😘😍🥰💞❤👉 >>>https://www.youtube.com//videos🙏😘😍🥰💞❤🙏😘😍🥰💞❤🙏

27/06/2025
*** 💞  กับ  #ดาราภาพยนตร์💞 ครูแอ๊ด เพิ่งได้รับการขอบคุณ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ใน @แฟนตัวยง @ผู้ติดตาม ของนิตยสาร ดาราภาพยน...
30/05/2025

*** 💞 กับ #ดาราภาพยนตร์💞 ครูแอ๊ด เพิ่งได้รับการขอบคุณ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ใน @แฟนตัวยง @ผู้ติดตาม ของนิตยสาร ดาราภาพยนตร์ ที่ผลิตสื่อสาระข่าววสาร และความบันเทิง ให้กับฅนไทย มานาน หลายสิบปี 💞หากรักดาราภาพยนต์ โปรด ติดตาม นิตยสาร ดาราภาพยนตร์ ❤ คลิก กดที่ลิงก์ ด้านล่างนี้ 💞รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย จะเกิดภาคไหน ๆ เราก็ไทย ด้วยกัน 💞และก็ต้องสนับสนุน ฅนไทย ด้วยกันไว้ ด้วยความรู้รักสามัคคีกัน ในหมู่คณะของฅนไทย 💞ขอให้มีความสุขมาก ๆ ทุกท่าน ทั่วไทย กับเพจนิตยสาร #ดาราภาพยนตร์ และ Siam Bunnag ขอรับ ครับผม.
💞❤👉 https://www.facebook.com/darapappayon/ 🙏💞❤🙏

❤👉 >TV 35 >7HD > TV 35 > 7HD > ช่อง 7 สี ทีวี เพื่อคุณ🙏

*** 💞🎥   กับ สาระน่ารู้ เรื่อง ลิ้นจี่ หนึ่งในพืชเศรษฐกิจ ปลูกมากทางภาคเหนือตอบบน และบริเวณภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดสมุทรสง...
17/05/2025

*** 💞🎥 กับ สาระน่ารู้ เรื่อง ลิ้นจี่ หนึ่งในพืชเศรษฐกิจ ปลูกมากทางภาคเหนือตอบบน และบริเวณภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดสมุทรสงคราม

: แนะนำเรื่อง โดย คุณพี่ครู อานุภาพ บุนนาค อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
: ขอขอบคุณภาพ น้องป๊อป เจ้าหน้าที่ช่างภาพ เกษตร จ.เพชรบูรณ์ หลานสาวคนสวย ขาว จ.นครศรีธรรมราช
: สนับสนุน โดย วัดหนองม่วง ต.นิคมกระเสียว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี
: ร่วมทำบุญบริจาค บูรณะพัฒนา วัดหนองม่วง สุพรรณบุรี คลิก กดที่ลิงก์ ด้านล่างนี้ สาธุ ครับผม. 🙏💞👉
https://www.facebook.com/siam.bunnag.999999999/videos/684017140715786


🍒 " ลิ้นจี่ " เป็นไม้ผลไม้ ติดผลปลายเดือนมีนาคม เก็บเกี่ยวผลต้นเดือนถึงกลางเดือนมิถุนายน รูปทรงผลรูปหัวใจ ปลายผลป้านกลม ผลมีขนาดใหญ่ กว้างเฉลี่ยราว ๔.๔ เซนติเมตร และยาวเฉล่ยราว ๔.๕ เซนติเมตร น้ำหนักของผลเฉลี่ย ๓๒.๓ กรัม เปลือกหนาเล็กน้อย น้ำหนักเปลือก ๖.๑ กรัม เมื่อแรกผลออกเปลือกเป็นสีชมพู หรือแดงเข้ม หนามห่าง แหลม และสั้นมาก น้ำหนักเนื้อ เฉลี่ยราว ๒๑.๗ กรัม เนื้อฉ่ำน้ำ และมีสีขาวขุ่น รสชาติหวานอมเปรี่ยว มีกลิ้นหอมอ่อน ๆ

🍒" ลิ้นจี่ " มีแหล่งปลูกดั้งเดิม อยูทางตอนใต้ ในแถบมณฑลกวางเจา มณฑลเสฉวนและยูนาน ในประเทศจีน ปัจจุบัน ลิ้นจี่ ปลูกกันอย่างแพร่หลายในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศไทย เช่น ที่เชียงใหม่ เชียงราย ส่วนมากเป็นพันธุ์ที่มาจากประเทศจีน เช่น พันธุ์ฮงฮวย พันธุ์กิมเจง พันธุ์โอเฮียะ พันธุ์จุดบี้ และพันธุ์หน่อมีจือ เป็นต้น

💞 สรรพคุณของ ลิ้นจี่ (๑.) รับประทานผลสด เป็นยาบำรุงร่างกาย , (๒.)ช่วยแก้อาการไอเรื้อรัง , (๓.) ช่วยลดอาการคัดจมูก เนื่องจากหวัด , (๔.) ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน , (๕.) ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม , (๖.) ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร , (๗.) ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียื่งขึ้น , (๘.) ช่วยรักษาอาการท้องเดิน , (๙.)เปลือกผลของลิ้นจี่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฯ (ข้อมูล ห้องวิจัย ฯ)

🍒 " ลิ้นจี่ " เป็นชื่อของผลไม้ประเภทผลเดี่ยว (เมล็ดเดียว) ซึ่งมีลักษณะของเปลือกหุ้มผล สีแดงอีกชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ SAPINDACEAE ซึ่งก็เป็นผลไม้วงศ์เดียวกกันกับเงาะและลำไย ลิ้นจี่ นั้นเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ให้ผลผลิตมาก คุ้มค่ากับการลงทุนเพาะปลุก ถือได้ว่า ลิ้นจี่ นั้น เป็นพืชผลไม้ทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของประเทศไทยเรา ที่สามารถนำผลผลิตที่ได้นำไปจำหน่าย ขายกันในรูปของผลไม้สด และนำไปแปรรูปได้้หลายอย่าง ทั้งอาหารหวาน และอาหารคาว ปัจจุบัน สายพันธุ์ "ลิ้นจี่" ได้รับการพัฒนา ให้มีความหลากหลายสายพันธุ์ มากขึ้นเรื่อย ๆ จากสายพันธุ์ที่มีอยู่ดั้งเดิม

"ลิ้นจี่" ได้ถูกกล่าวถึงมาแต่ในประวัติศาสตร์ของประเทศจีน ในสมัยราชวงศ์ถัง โดยลิ้นจี่เป็นผลไม้โปรดของแม่นาง "หยางกุ้ยเฟย" พระสนมของจักรพรรดิถังเสวียนจง ทรงบัญชาให้ทหารม้า นำลิ้นจี่จากแหล่งปลูกทางตอนใต้ของจีน เดินทางข้ามวันข้ามคืน มาถวายที่ฉางอาน ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศจีน ปัจจุบัน คือ เมืองซีอาน ซึ่งเปลี่ยนชื่อในสมัยราชวงศ์หมิง

ปัจจุบัน แหล่งปลูกลิ้นจี่ แหล่งใหญ่ในประเทศไทย มี ๒ แห่ง คือ บริเวณภาคเหนือตอบบน และบริเวณภาคกลาง ได้แก่ จ.สมุทรสงคราม และนอกจากนี้แล้ว เกษตรกรยังกระจายการปลูกลิ้นจี่ ไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือทางภาคอีสานของประเทศไทย ได้แก่ที่ จังหวัดเลย จ.หนองคาย จ.นครพนม จ.มุกดาหาร เป็นต้น ส่วนทางภาคตะวันออกของไทย ปลูลิ้นจี่กกันมากที่ จังหวัดจันทบุรี และทาง ภาคตะวันตก ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี แต่เกษตรกร ปลูกลิ้นจี่กันยังไม่มากนัก

"ลิ้นจี่" เป็นพืชยืนต้น การปลูกด้วยการเพาะเมล็ด และหรือติดตา ตอนกิ่ง ต้นลิ้นจี่ กิ่งตอนมีทรงพุ่มแผ่กว้าง ต้นลิ้นจี่มีรากแก้วและรากฝอย ต้นสูงราว ๙-๑๕ เมตร ทรงพุ่มกิ่งใบปกคลุมลำต้นกว้าง ๕-๑๐ เมตร เปลือกของลำต้นสีน้ำตาล หรือสีเทาปนน้ำตาล ผิวเปลือกของลำต้น แตกเป็นสะเก็ดและมีร่องขรุขระ กิ่งใบขอฃลำต้นกลม แต่เนื้อไม้ของลิ้นจี่ เปราะหักง่าย ไไม่เหมาะกับการนำไปใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องใช้ภายในครัวเรือน.

: เรียนเรียง โดย อ.ประพนธ์ บุนนาค (ฐานันดร ๔ นกน้อยในไร่ส้ม)
: ถ่ายภาพ-กราฟฟิก โดย Siam Bunnag (ข่าวเฉพาะกิจ) ศิษย์พระตถาคต วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร (เชิงสะพานพุทธฯ) ฝั่งธนบุรี กทม. : รับชมคลิปภาพวิดีโอ ปชส. คลิก กดที่ลิงก์ ด้านล่าง นี้ ครับผม. ❤👉 https://www.facebook.com/siam.bunnag.999999999/videos/588590268975095
: เผยแผ่ ปชส. โดย Bunnag News : ร่วมบริจาค ในการผลิต สื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษา เพื่อลูก-หลานไทย แล้วแต่กำลังศรัทธา อันความเมตตา กรุณา เป็นเครื่องค้ำจุลโลก : คลิก กดที่ลิงก์ ด้านล่างนี้ ขอรับ ครับผม. ❤👉 https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1141200044687826&set=pb.100063935239150.-2207520000&type=3
: รับชมภาพ สื่อสาระข่าวสาร เรื่องราวดีดี (พิเศษ) มากมาย แชร์ความรู้กันได้ ผลิตขึ้นเพื่อคนไทย : คลิก กดที่ลิงก์ ด้านล่างนี้ ขอให้มีความสุข ทุกท่าน ทั่วไทย สาธุ ครับผม. ❤👉 https://www.facebook.com/siam.bunnag.999999999/photos_albums
💞สงกรานต์ ปีใหม่ไทย ปีนี้ ขอให้ ท่าน @ผู้ติดตาม @แฟนตัวยง มีความสุขมาก ๆ ทุกท่าน ทั่วไทย สาธุ ครับผม.🙏💞 Siam Bunnag😘😍🥰💞❤🙏

*** 💞   กับ สาระน่ารู้ เรื่อง "ศีล สมาธิ ทำให้เกิด ปัญญา นั้น เป็นเยี่ยงไร !  และ ศีล สมาธิ ปัญญา ตัดกิเลส ความรัก โลภ โ...
15/05/2025

*** 💞 กับ สาระน่ารู้ เรื่อง "ศีล สมาธิ ทำให้เกิด ปัญญา นั้น เป็นเยี่ยงไร ! และ ศีล สมาธิ ปัญญา ตัดกิเลส ความรัก โลภ โกรธ หลง ได้จริงหรือ !

: แนะนำเรื่อง - โดย พระอาจารย์ หลวงพ่อ ธนู เพชร บุนนาค
: ภาพ - พระมาหา ธนเดช พูลผล พระนักเทศน์ชื่อดัง อนาคต ตกไกล สาธุ.
(กราบนมัสการ ขออภัย ที่โยมครูแอ๊ด ไม่ทราบฉายาสงฆ์) ลุยกันไปก่อน สาธุ
: สนับสนุน โดย วัดหนองม่วง ต.นิคมกระเสียว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี
ร่วมทำบุญบริจาค บูรณะพัฒนา วัดหนองม่วง สุพรรณบุรี คลิก กดที่ลิงก์ ด้านล่างนี้ สาธุ ครับผม. 🙏💞👉
https://www.facebook.com/siam.bunnag.999999999/videos/684017140715786

❤🙏 คำว่า "ศีล , สมาธิ , ปัญญา" นั้น คือการที่มนุษย์เรา ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องของศีลธรรม ที่มีอยู่หลายระดับชั้น ส่วนการศึกษาในเรื่องของการทำ "สมาธิ" นั้น ก็คือ การที่ได้ศึกษา ในเรื่องของศีลและภาวนา ซึ่งทำให้เกิดสติปัญญา รู้ถึงความเป็นจริง นั่นเอง การศึกษาเรื่องศีลธรรม นั้น ก็เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้นำมาใช้ ควบคุมอารมณ์ ความประพฤติ กิริยา คือ กาย วาจา และ ใจ ที่หมายถึงคาวมนึกคิด ที่มาจากสติสัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกของตัวเอง ความระลึกถึงความรับผิดชอบถึงความชั่วหรือดีได้ คือ ความที่รู้สึกตัวเองได้ว่า สิ่งที่เรากำลังจะกระทำ นั้น มันผิดหรือถูก ดีหรือชั่วหรือ ด้วยการที่ใช้สติสัมปชัญญะ สติปัญญา คิดควรไคร่ ไตร่ตรอง พิจารณาดูให้รอบคอบก่อนลงมือกระทำการใด ๆ โดยไม่เผลอสติ หรือขาดสำนึกในความรู้สึกรับผิดชอบ ในสิ่งชั่ว-ดี ในการกระทำของตัวเราได้ นั่นเอง

มนนุษย์ หรือ ฅนเรานั้น ถือได้ว่ามีวรรณะ ที่สูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน เช่น หมู หมา วัว ควาย เป็ด ไก่ เป็นต้น หากพวกอมนุษย์ ที่ไม่ใช่ฅน เพราะไม่มีศีลธรรม ประจำใจ ก็มักที่จะหลงตัวเอง แบบจะคิดจะทำอะไรต้องตามใจตัวเอง โดยไม่รับฟังคำพูดของผู้ใด ถึงแม้นว่าบุคคลผู้นั้น จะมีความรู้ประสบการณ์ และหรือมีอาวุโสที่มากกว่า จึงนึกเข้าข้างตนเองนั้นไปว่า ได้กระทำถูกต้องแล้ว จนลืมตัวเผลอเลอ ไปกระทำความผิด ที่ผู้อื่นมีความรู้สึกว่า มันไม่ควรหรือถูกต้อง ก็มักที่จะโดนผู้อื่นว่ากล่าว ด่ากันว่า ไอ้สัตว์ ไอ้ควายบ้าง เลวยิ่งกว่า หมู หมา วัว ควายบ้าง เป็นต้น และหากถ้าเป็นนักบวชอยูู่ในเภทสสมนะ ห่มดองครองผ้าเหลืองแล้ว ไปกระทำความผิดศีล โดยที่ตั้งใจและที่ไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ก็ย่อมที่จะเป็นบาปกรรมเสมอ แก้ไขรรมนั้น ๆ ไม่ได้ เพราะได้ลงมือกระทำไปแล้ว และหรือ ไม่สำนึกรู้จักในหน้าที่ของตน มัวแต่ไปลุ่มหลงตัวเอง นึกว่าตนเองเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว มีบารมี มีอำนาจ โดยใช่เมตตาธรรมไม่เป็น เห็นแก่ตัว ญาติโยมก็เลยเสื่อมศรัทธา และมักเอ่ยขานนามกัน ว่า "สมี" หรือพวก "อลัชชี" คือ บุคคลที่ ไม่อาย หรือไม่มีความละอายต่อบาปกรรม หวังแสวงหาแต่ผลประโยชน์ใส่ตนเพียงอย่างเดียว โดยไม่คิดถึงผู้อื่น ไม่สนใจว่าใครจะมองและแอบนำเอาไปคิดติฉินนินทา หรือที่มักเรียกกันว่า พวก "นอกรีต" หรือนอกจารีตประเพณี นอกศาสนา ที่บรรพบุรุษท่านสืบทอดกันต่อ ๆ มา หรือเรียกอีกอย่า ว่า พวกสมองหมา ปัญญาควาย เห็นขี้ดีกว่าไส้ พวกเลว อัปปรี จรรไร ประมาณ นั่น เป็นต้น สาธุ

การที่มนุษย์เรานั้น จัดว่าเป็นสัตว์ประเสริฐได้ ก็เพราะไม่ไปโอหัง กระทำบาปกรรม และหรือไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร ๆ หรือไปรบกวนผู้หนึ่งผู้ใด ผู้ที่รักษาศีล มีศีลธรรมประจำใจ จะรู้จักถึงความเกรงใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัตริย์ของผู้ดี ส่วนมากแล้วจะมีอยู่ในตัวของบุคคล ที่มีศีลธรรมประจำใจ นั่นเอง เช่น การยึดมั่นถือมั่นในศีลธรรม โดยจะยึดถือศีล ๕ ข้อ เป็นธรรมข้อห้ามหลัก คือ เป็นศีลเบื้องต้น เป็นศีลและธรรม ที่มนุษย์เราท่านทั้งหหลาย ควรเชื่อมั่นยึดหมั่นในการยึดถือปฏิบัติ ให้ได้ครบทั้ง ๕ ข้อ เพื่อเป็นการรักษาความสงบสุข ความมีวินัยในกการปฏบัติ ให้เกิดมีความเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว และเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ในหมู่คณะชุมชน และมักที่จะกระทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ก่อนที่จะได้ไปสอนใคร ๆ และจะไม่ไปก้าวกายในหน้าที่ของผู้อื่น หรือหน้าที่ของบุคคลนั้น ๆ ในชุมชนสังคมไทยเรา จึงจะอยู่กันได้อย่างมมีความสงบสุข ไม่เกิดความขัดแย้งกันในหมู่คณะ นั่นเอง

❤🙏👉 ศีลทั้ง ๕ ข้อนี้นั้น หากผู้ใดยึดมั่นถือมั่น หมั่นปฎิบัติธรรมแล้ว จะเป็นผู้ที่มีความเป็น "มนุษยธรรม" และเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น พร้อมมักมองแต่โลกในแง่ที่ดี ส่วนโลกที่พวกเลวระยำอัปปรีชอบกกันนั้น เค้าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวไม่เข้าไปมองกันให้มัน "อุจาดตา" (Disgusting) เสียเวลาในการปฏิบัติธรรม กันไปเปล่า ๆ สาธุ การที่เรารักษาศีล ๕ นั้น จึงเป็นการแสดงบ่งบอกถึงความตั้งใจจริง ที่จะงดเว้นจากการกระทำความชั่วร้าย ทั้งหลายทั้งปวง อาทิ เช่น ไปกระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ไม่เป็นมงคลกับชีวิตกับตัวของเรา เยี่ยงที่พวก "อมนุษย์" คือ พวกที่ไม่ใช่มนุษย์ ที่ชอบกระทำกัน เช่นไปยุแหย่ชาวบ้าน ให้เกิดความเข้าใจผิดในผู้อื่น แบบพูดเอาดีใส่ตน เอาชั่วให้ผู้อื่นที่เค้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ก็แค่เรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น แบบผิด ๆ ที่ไม่ถูกต้องในทำนองครองธรรม เป็นต้น บุคคลประเภทที่เอ่ยมานี้นั้น จึงเป็นบุคคลที่สังคมรังเกียจ ไม่สสมมควรคบค้าสมาคมด้วย เพราะจะเป็นอันตราย พาให้ตัวเราและครอบครัวเดือดร้อน การรักษา "ศีล" จึงเป็นสิ่งที่ดี ที่มนุษย์ พุทธศาสนิกชน ทานทั้งหลายควรปฏิบัติ เพื่อขัดเกลาละเว้นจากกิเลสตัณหา หลักใหญ่ของศีลนั้น มี ด้วยกัน ๕ ข้อ ที่มนุษย์ ผู้ประเสริฐ หรือผู้ดีในสังคมไทยเรา ควรปฏิบัติกระทำกัน นั้นคือ การรักษาศีลทั้ง ๕ ข้อ จึงจะถือได้ว่า เป็นมนุษย์ บุคคลผู้ประเสริฐ จะไม่ไปรบกวนหรือเบียดเบียน สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น "ศีล" นั้น คือ "ข้อห้าม" ส่วน "ธรรม" นั้นคือ ข้อปฏิบัติ

❤🙏👉 ประโยชน์ ของการรักษาศีล ๕ นั้น มีดังนี้ คือ ๑. เป็นหนทางที่มาของทรัพย์สิน มากมายมหาศาล ไม่มีวันหมด จนถึงชาติหน้า
๒. ทำให้มีชื่อเสียง (Famous) และเป็นที่รักยิ่ง (Popular) ของเทวดาประจำตัวเรา และเทวดา อารักษ์ นางฟ้า นางไม้ เทพารักษ์ คนธรรพ์ พันรำ ฯ ต่าง ๆ
๓. ผุ้ที่รักษาศีล ๕-๘ ท่าทางจะสง่า กล้าหาญ หน้าตาไม่หมองศรี เวลาเยื้องยากกายาไปไหน ก็มีแต่ผู้ฅนรักเคารพนับถือ ผู้ใหญ่ให้ความเมตตา ไปติดต่อธุรกกรรม การค้าใด ๆ ก็มักที่จะประสบผลของความสำเร็จ การดำเนินชีวิต ก็จะไม่วุ่นวาย ไม่มีอุปสักใดมาคอยขัดขวาง กระทำกิจการงานใด ก็ราบรื่น
๔. ตายอย่างมีสติ ไม่มีความกังวน ติดห่วงบ่วงกรรมใด ๕. ตายแล้วไปสู่ภพภูมิที่ดี ไปกว่าที่อยู่บนโลกมนุษย์ หลายสิบเท่า ครับ

โทษของการที่ พุทธบริษัท พุทธศาสนิกชน ท่านทั้งหลาย ผิดศีลทั้ง ๕ ข้อนี้
คือ ๑. ทรัพย์สินที่แสวงหามา จะเสื่อมสลายไป จากผลของกรรมหลายสาเหตุ
- ๒. จะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และไม่เป็นที่รักของผู้ที่รู้จัก และผู้คนในสังคม
- ๓. จะเป็นผู้ที่เก้อเขิน ไม่กล้าแสดงออกในสถานที่สาธารณะ สถานที่ต่าง ๆ
- ๔. มักที่จะตายด้วยใจเศร้าหมอง ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติสนิท มิตรสหายสายบุญ
- ๕. ตายแล้วตกนรก ไปชดใช้กรรม ที่ตนก่อกระทำไว้ในชาตินี้

❤🙏👉 คำสมาทานศีล ๕ นั้น มีดังนี้ คือ
- ศีลข้อ ๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี, สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ
- คำแปล "ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่องงดเว้น จากการฆ่าสัตว์ทำร้ายสัตว์ ด้วยตนเอง และใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ด้วยเหตุผลทั้งปวง"
- ศีลข้อ ๒. อะทินนาทานา เวระมะณี, สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ
- คำแปล "ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่องงดเว้น จากการลักทรัพย์ ด้วยตนเอง และใช้ให้ผู้อื่นลักทรัพย์สิน ของผู้อื่น"
- ศีลข้อ ๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี, สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ
- คำแปล "ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่อง งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม เป็นชู้กับลูกเขาหรืออเมียใคร"
- ศีลข้อ ๔. มุสาวาทา เวระมะณี, สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ
- คำแปล "ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่อง งดเว้นจากการพูดปด พูดให้ร้ายต่อผู้อื่น พูดส่อเสียด พูดคำหยาบคาย และพูดเพ้อเจ้อ "
- ศีลข้อ ๕. สุรา เมระยะ มัชชะ ปะมาทัฏฐานา เวระมะณี, สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ
- คำแปล "ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเครื่อง งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา เหล้า อุ สุรา หรือ ยาดองเหหล้า อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท"

❤🙏👉 การฝึกทำ "สมาธิ" ทำให้เกิดปัญญา ให้มีใจที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ คือ จะไม่พูด จะไม่กระทำใในสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ ที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียชื่อเสียง และวงตระกูล จะมีสติ ในการไม่ทำในสิ่งที่วิปริต ผิดไปจากทำนองครองทำ ในการถือศีลบริสุทธิ์ ศีล ๕ - ๘ ของตนเอง และหรือไปกระทบต่อผู้อื่น ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อน การรักษาศีลได้แล้ว จะทำให้สมาธิ นั้นเกิดง่าย เพราะจิตใจ จะจดจ่ออยู่กับ การปฏิบัติธรรม ของการถือศีลภาวนา ชีวิตก็จะไม่วุ่นวาย ทำให้เกิดปิติสุข ทุุกเช้า-ค่ำ ตลอดปี และตลอดไป หากถือศีลไม่ดี ปฏิบัติไม่ได้ สมาธิ นั้น ก็จะไม่เกิด และก็จะค่อย ๆ เสื่อมสลายหายไป ในที่สุด ครับ

ในสมัยพุทธกาล มีเรื่องราวตัวอย่างให้เห็น คือ "พระเทวทัต" ท่านมีสมาธิดี
ดีจนขนาดถึงขั้นได้ฌาณจิต อภิญญา ชำนาญเข้าสมาธิถึงขนาดทำอภิญญาได้ การทำสมาธิ นั้น เป็นการปฏิบัติธรรมในเบื้องต้น ส่วน "วิปัสสนา" แปลว่า การทำสมาธิ "ดูให้รู้แจ้ง" (ไม่ใช่ไปสอดรู้สอดเห็น หยั่งรู้ในเรื่องของชาวบ้าน) "วิปัสสนา" นั้น มีพลังในการเผากำจัด ซึ่ง กิเลส ตัณหา รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ให้งงกับชีวิตของตัวเอง ด้วยมีสติ "สัมปชัญญะ" และ "อุเบกขา" เป็นสื่อนำ ส่วน "กรรมฐาน" นั้นเป็นกลอุบาย ที่ทำให้จิตใจเราสงบ เรียก ว่า "สมถกรรมฐาน" และ อุบายในเรื่องของ "ปัญญา" เรียกรวมว่า "วิปัสสนากรรมฐาน" นั่นเอง

"พระเทวทัต" ถือศีล ๒๒๗ ข้อ ไม่ดี ไม่สนใจในหน้าที่ของตน เพราะไปมักใหญ่ใฝ่สูง จึงคิดที่จะฆ่าพระพุทธเจ้า ซึ่งครูบาอาจารย์ ที่บวชให้กับตน สมาธิของ"พระเทวทัต" ก็เลยค่อย ๆ เสื่อมถอยลงไปเรื่อย ๆ จนเรือนหายไปจากจิตใจ ผลสุดท้าย ขนาดแค่เดินก็ยังเดินไม่ไหว ต้องให้ลูกศิษย์หามไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงประทานอภัย แต่ผลของกรรม "พระเทวทัต" จึงถูกแม่ธรณีสูบ ลงจมหายไปในดิน ไปโผล่ที่วัดไหนบ้างนั้น ไม่ทราบ อาจเป็นวัดในชุมชนบ้านท่านก็ได้ ใครจะไปรู้ ต้องช่วยกันคอยสอดส่อง ดูแลพฤติกรรมพระในวัดของท่านกันเอง ละครับ วัดจึงจะได้มีควมเจริญรุ่งเรือง และจะได้ไม่มีใครที่จะกล้าเข้าไป แสวงหาผลประโยชน์กับทางวัด กันอีกละครับ สาธุ

การถือ "ศีล" ภาวนา จึงเป็นเครื่องข่มจิตใจ จากความนึกคิดฟุ้งซ่านทั้งหลาย ที่ตัวเองนึกคิดกันไปเอง ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ทั้งที่มันไม่เป็นความจริง เกิดจากการที่จิตใต้สำนึก ปรุงแต่งขึ้นมาหลอกหลอนตัวเอง นั่นเอง การถือ "ศีล" ภาวนา จึงเป็นเครื่องข่มจิตใจ เพื่อมิให้จิตคิดพากายไปกระทำความผิด เพราะไปหลงในกิเลส ตัณหา จากตาที่เห็น หูที่ได้ยิน และจิตคิดฟฟุ้งซ่านไปเอง ที่จะนำพาให้ตนเองไปพบกับความเศร้าหมอง ไม่เป็นมงคลกับชีวิตของตัวเรา นั่นเอง การที่เราเป็นผู้ที่มี "สมาธิ" นั้น จึงเป็นเครื่องข่มกิเลส ตัณหา เพื่อไม่ให้จิตใจเราคิดฟุ้งซ่าน จนพากายหยาบไปกระทำความผิดศีลธรรม ด้วยความที่คิดหลงผิด จนไปเบียดเบียน สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น เมื่อเรามี "สมาธิ" แล้ว ก็จะทำให้เกิด "ปัญญา" ซึ่งเป็นเครื่องขุดรากถอนโคน "กิเลส" "ตัญหา" ความอยากทั้งปวง คือ ความยากได้ ยากมี เหมือนผู้อื่น แต่ไม่อยากทำงาน เอาหยาดเหงื่อแรงกายเข้าแลกมา จิตจึงไปสร้างความมเดือดร้อนให้ร่างกายของเรา และผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน เพราะจิดใจเรา ขาดสติสัมปชัญญะ เพราะไม่มีสมาธิ "กิเลส" "ตัญหา" จึงเขามาครอบงำทางความคิดจิตใจเรา ทำให้เกิดความยากได้ ยากมี นั่นเอง จากศีลข้อ ๒. อะทินนาทานา เวระมะณี นั่นเอง ครับ

ฉะนั้น หากเราถือศีลปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอแล้ว สมาธิก็จะเกิดง่าย และหากเรามีสมาธิเป็นเพื่อนคู่กายแล้ว จะคิดกระทำการสิ่งใดแล้ว ก็มักที่จะประสบผลของความสำเร็จ แต่ก็อาจไม่เสมอไป เพราะอาจมีพวกเปรต พวกมาร ที่ขี้อิจฉาตาร้อน ตามมาผจญ คอยขัดขวาง หนทางทส้างบุย ผู้เขียนก็เคยโดนมาหลายครั้งแล้ว ในสังคมไทยยังต้องยกระดับ สภาวะของจิตใจ ผู้คนในสังคมไทยอีกมาก ควรต้องเร่งสร้างคน ไม่ใช่แค่แต่มุ่งที่จะผลิตคน สร้างถาวรวัตถุอวดโชว์กันเพียงอย่างเดียว จะไม่เกิดประโยชน์อันใดกับการเผยแผ่พระพพุทธศาสนา สิงที่สำคัญ คือ การเผยแผ่ธรรมะ ของพระพุทธองค์ ละครับ

ถ้าหากการถือศีลภาวนาเสีย สมาธิและปัญญา ก็จะไม่เกิดหรือเกิดขึ้นได้ยาก เช่น อย่างเราคิดอิฉาริษยา หรือคิดมุ่งหวังที่จะทำลาย ทำร้ายผู้อื่น จิตใจเราก็จะไม่เป็นสุข จะคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานา จะไม่มีสมาธิ ที่ทำให้เกิดปัญญา ไปกระทำในสิ่งที่ดีงาม ที่เป็นมงคลกับชีวิตของตัวเรา ภายในจิตใจ ก็จะมีแต่โทสะ โมหะ และอารมณ์ที่จุนเฉียว โกรธง่าย จะคิดจะพูดหรือจะกระทำในสิ่งใด ๆ ก็ผิดพลาดไม่ถูกต้อง จนเป็นที่รังเกียจของผู้ที่บวชที่ใจ ที่ถือศีลภาวนา หมั่นปฏิบัติธรรม ที่กระทำสิ่งใดก็ถูกต้อง ได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่เเกิดการผิดพลาด

หากศีลไม่มี สมาธิก็จะไม่เกิด เพราะถูกกิเลส นั้นเข้าครอบงำจิตใจ จึงดูเหมือนเป็นคนที่คิดเพ้อเจ้อคิดฟุ้งซ่าน จะพูดจาหรือจะทำการงานสิ่งใด ก็มักที่จะใช้แต่อารมณ์เป็นตัวนำพา จนผู้อื่นที่อยู่ใกล้รู้เห็นพฤติกรรมแล้ว ดูเหมือนคนที่วิกลจริต เพระตกไปเป็นทาษของอารมณ์ ที่มีกิเลส-ตัณหา เข้าครอบงำจิตใจผู้นั้น จะคิดกระทำการสิ่งใด ก็มักที่จะเจ้งขาดทุนย่อยยับ ไปซะทั้งหมด ก็เพราะจิตใจ นั้นเกิดกิเลส ตัณหา คือ ความยากมี อยากได้ แต่กระทำไม่ถูกต้อง เพราะขาดสมาธิ ที่จะทำให้เเกิดปัญญา นั่นเอง หรือการที่คิดที่จะไปขโมยทรัพย์สิน หรือเพราะอยากได้สิ่งของ ๆ ผูู้อื่น ด้วย "โลภะ" คือ ความโลภ มันเข้าครอบงำจิตใจ สติสัมปชัญญะ สมาธิและปัญญา ที่คิดกระทำในสิ่งที่ถูกต้องที่ดีงาม มันก็จะไม่เกิด จากศีล ในข้อที่ ๒. อะทินนาทานา เวระมะณี ละครับท่านผู้อ่านที่เคารพ ทุกท่าน ครับ

การประพฤติผิดในกาม ก็เช่นกัน คือ "โลภะ" ความมักมากในกามคุณ มันก็จะเกิดขึ้นในสมองในความนึกคิด สติสัมปชัญญะ สมาธิและปัญญา ก็จะไม่มี ความคิดอื่น ๆ ที่ดีดี ก็จะเสื่อมถอยลดน้อยลงไป กลิ่นคาวราคะ ก็จะเกิดปรากฏการณ์นั้นขึ้นมา และอาจทำให้ได้พบเห็น เป็นข่าวคาวโกกีกันมากมาย จากศีล ในข้อที่ ๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี ละครับ

การพูดเท็จ ชอบพูดจาส่อเสียด เสียดสี พูดจาหยาบคาย พูดให้ร้ายผู้อื่น หรืพูดจา ยกตนข่มท่าน พูดแต่ในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง พูดจาไม่อยู่กับร่องรอย พูดจาปลิ้นปล้อน หลอกลวงผู้อื่น ด้วยโลภะบ้าง โทสะ และโมหะบ้าง เพราะจิตใต้สำนึก นั้นคิดฟุ้งซ่าน เพราะขาดสติสัมปชัญญะ ที่มาจากการถือศีลภาวนา ฝึกสมาธิ นั่นเอง จากศีล ข้อที่ ๔. มุสาวาทา เวระมะณี ฯ ชักที่จะเมื่อยมือแล้วครับ

เพราะฉะนั้นแล้ว คำว่า "ถือศีล" จึงถือได้ว่าเป็นการบังคับหรือข่มจิตใจ ในเวลาที่เราต้องสู้กับกิเลส และตัณหา ที่มาหลอกหหลอนล่อลวงเรา ให้ไไปกระทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรม นั่นเอง กิเลส ตัณหา นั้น จะยั่งยุทำให้เรา กระทำความผิด หรือผิดศีลธรรม ทั้ง ๕ ข้อ ฉะนั้น "ศีล" เบื้องต้น จึงเป็นมาตรการขั้นต่ำ
ในขณะที่กิเลสเข้มแข็งกว่าเรา หากจิตอ่อนเราก็จึงสู้กิเลสไม่ไหว เราก็ต้องฝึกจิต ให้เข้มแข็ง ไม่ทำตามกิเลส ที่มายั่งยุ ยั่วยวน ขนาดข้าวมันไก่ทั้งตัว นำมาตั้งใกล้ ๆ อาตมา ยังไม่สนใจ เพราะพระอาจารย์ คอยนั่งดูอยู่ใกล้ ๆ สาธุ

หากพุทธศาสนิกชน เราท่านทั้งหลาย หากได้ทำความเข้าใจในเรื่องของศีลได้ศึกษาเรื่องสมาธิ ที่ทำให้เกิดปัญญาแล้ว ก็จะได้รู้เท่าทันโลก รู้เท่าทันในการที่จะดำเนินชีวิตให้มีความสุขได้ต่อไป เพราะเราจะรู้เท่าทันคน พูดแบบง่าย ๆ ก็คือ เพื่อให้รู้เท่าทันตามความเป็นจริง จะได้เลิกโง่กับในเรื่องกิเลส ต่าง ๆ ที่มายัวยุ เย้ยหยันเรา นั่นเอง

อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา คือ เมื่อเราตั้งใจฝึกฝนตนเอง ให้เกิดมีสมาธิ มีสติสัมปชัญญะ ตามลำดับขั้นตอนของสีลแล้ว ตามที่องค์พระศาสดา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านทรงมีพระเมตตา อบรมสอนสั่งเอาไว้ ซึ่งมีสิกขาบท ซึ่งหมายถึงข้อศีล ข้อวินัย ที่นักบวชควรปฏิบัติ คือ ต้องศึกษาเรียนรู้ถึงศีลในแต่ละข้อ และ วินัยในแต่ละข้อ เช่น ศีล ของสามเณร มี ๑๐ ข้อ เรียกว่ามี ๑๐ สิกขาบท ส่วนศีลของ พระภิกษุสงฆ์ มี ๒๒๗ ข้อ เรียก ว่ามี ๒๒๗ สิกขาบท ที่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก กันอย่างจริงจัง ด้วยความมจริงใจ แบบชนิดที่เอาชีวิตเป็นเดิมพัน จนรู้แจ้งและเห็นจริงแล้ว จึงจะได้เข้าสู่ประตูนิพพาน ไม่ใช่หวังรอเข้าสู่ ประตูวิวาห์ เมื่อแสวงหาเงินตราได้ครบ สาธุ

การฝึกสมาธิ จากศีลธรรมดา ที่ใช้ควบคุมกาย วาจา และจิตใจ ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์แล้ว สมาะจิตก็จะสูงขึ้นอีกขั้น กลายเป็น "อธิศีล" หรือว่าการรักษาศีล ที่ดียิ่งขึ้นมา จากการฝึกสมาธิจิตธรรมดา ที่ใช้ควบคุมจิตใจตน ก็จะยกระดับสูงขึ้นเป็น "อธิจิต" หรือว่า จิตที่ดียิ่งขึ้นมา จากการเกิดปัญญาธรรมดา ก็จะยกระดับ กลายเป็น "อธิปัญญา" หรือว่า "ปัญญา" ที่ดียิ่งขึ้นมา สาธุ

ขั้นตอนของการปฏิบัติธรรมรักษาศีล ให้เปลี่ยนจากศีล มาเป็น "อธิศีล" นั้น พุทธศาสนิกชน ท่านผู้สนใจปฏิบัติธรรม ทท่านทั้งหลาย ต้องลองสำรวจตัวเอง โดยใช้ "ศีล ๕" เป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบก็ได้ เมื่อตอนที่เราเข้าวัด ไปทำบุญกันใหม่ ๆ ศีล ๓ ข้อแรก ได้แก่ ศีลข้อที่ ๑. ให้ละเว้น จากการฆ่าสัตว์ ศีลข้อที่ ๒. ให้ละเว้น จากการลักทรัพย์ และ ศีลข้อที่ ๓. ให้ละะเว้น จากการประพฤติผิดในกาม ซึ่งเป็นเรื่องของการควบคุมอารม ทางจิต ทางความคิด ทางกาย วาจาและใจของตัวเราเอง ล้วนทั้งนั้น

การรักษาศีล ยกตัวอย่าง เช่น ศีลข้อที่ ๑ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ตอนเราไปทำบุญ เข้าวัดครั้งแรก พวกเราส่วนมาก มักที่จะมีอาการของผู้ครองเรือน เช่น พอยุงกัด ก็ เงื้อมือขึ้นเตรียมจะตบยุงทันที แต่พอจะตบยุง สติของจิตจึงเตือน ให้นึกขึ้นได้ว่า " เรากำลังรักษาศีล ๕ ข้ออยู่ " แล้วจึงแค่ปัดยุงไป แล้วเอามือลง ก็จะเป็นการรักษาศีล ในข้อที่ ๑ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ นั่นเอง

และพอในเวลาต่อมา การปฎิบัติธรรม การรักษาศีลบ่อยเข้า พอยุงกัด ก็จะไม่ตบยุง เพราะจิต จะคอยเตือนเรา ไม่ให้กระทำ ในการตบยุง ครั้นพอได้รักษาศีล เรียนรู้และฝึกฝนการทำสมาธิ เป็นเวลานาน ๆ จนเข้าใจและเกิดดความเคยชินแล้ว จิตใจก็จะอ่อนโยน ความมีเมตตาธรรมก็จะเข้ามาแทนที่ ที่เราเคยคิดจะฆ่า หรือทำร้ายสัตว์นั้นก็จะหมดไป จากความคิดอารมความรู้สึก พอถูกยุงกัด ก็แแค่โบกมือไล่ปัดไป หรือจะเอาปืนลูกซอง ๕ นัด มายิงยุง ก็ตามใจ สาธุ

พอเราได้ศึกษาและรักษาอุโบสดศีล ได้ระยะหนึ่งแล้ว พอนานวันไป หากเราเห็นการลักเล็กขโมยน้อย ก็จะเกิดความคิดขึ้นมาใหม่ว่า "สัตว์โลกก็ย่อมที่จะแย่งชิงกันเเยี่ยงนี้ เป็นของธรรมดา ของสัตว์โลก" ที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝน ถืออุโบสถศีลปฏิบัติ ก็จะมีความรู้สึกเฉย ๆ เพราะว่าเรารู้แจ้งเห็นจริงแล้ว แต่ถ้าเห็นใครกำลังจะขโมย ตู้รับบริจาค ของทางวัดไป ก็อย่าได้ไปนิ่งเฉย ให้วิ่งถอยห่าง จากที่เกิดเหตุ แล้วร้องตะโกนดัง ๆ ว่า ซอยข่อยแน มีคนขโมยตู้บริจาคของวัด ตะโกนดัง ๆ ให้ท่านสมภาร เจ้าอาวาส พระทั้งวัดได้รับรู้ สาธุ ครับผม

และหากเห็นเขาผิดสามี ผิดภรรยาเป็นชู้กัน เราก็จะเกิดความคิดใหม่ ขึ้นมาว่า "สัตว์ โลก นั้น ย่อมที่จะไม่รู้จัก ควบคุมใจ ควบคุมอารมตนเอง ไไม่เหมือนผู้ปฏิบัติธรรม" แต่ถ้าเห็นว่า เป็นสามีเรา ก็ให้ทำใจ หรือจะทำเยี่ยงไร ก็สุดแล้วแต่จะพิจารณา เพราะกิเลส นั้น มาแรง แซงทางโค้ง เราจะอยู่ในสมาธิ ดีหรือไม่ สาธุ

และจากเมื่อก่อน ที่เราเพิ่งมาฝึกสมาธิรักษาศีลใหม่ ๆ จะต้องคอยระมัดระวังในการรักษาศีล พอเราหมั่นรักษาศีล ปฏิบัติธรรม ให้เกิดความเคยชินขึ้นมากแล้ว จวบจนกระทั่ง ศีลกับใจเรา ได้กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว เรา ก็จะไม่ต้องมาคอยระวัง ในการรักษาศีลอีกต่อไป เพราะว่าจิตใจเรานั้นใสสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ขุ่นจนหมองมัว จึงจะไม่คิดที่จะไปอิฉาริษยา เคืองแค้น หรือคิดแค้นพยาบาทม อาฆาตผู้ใด หรือจะไปพูดใส่ร้าย รบกวนทำร้ายผู้ใด ให้ได้รับความเดือดร้อน เหมือนที่เคยเป็นมา จากการรักษาศีลธรรมดา ก็จะกลายมาเป็น "อธิศีล" ขึ้นมาได้ อย่างนี้ คือ การรักษาศีล จนกระทั่งกลายเป็นศีลรักษาเรานั่นเอง

ส่วนขั้นตอนของการเปลี่ยนจาก "สมาธิจิต" เป็น "อธิจิต" นั้น ก็เหมือนกับการฝึกสมาธิอย่างที่ทำกันอยู่โดยทั่วไป จากใจที่วุ่นวาย ได้สงบหยุดนิ่งบ้าง จิตพากายตะเลิดเปิดเปิง หนีไปเที่ยวบ้าง นั่งคิดฟุ้งซ่านบ้าง แต่ถ้าเราฝึกสมาธิ กันอย่างจริงจัง แบบถวายชีวิตเป็นเดิมพันแล้ว เวลาที่ผ่านไป จะพาจิตใจเราให้สงบหยุดนิ่งสนิท ไม่คิดฟุ้งซานไปเรื่อย จิตจะอยู่ที่ศูนย์กลางของร่างกายอย่างถาวร จะไม่คิดฟุ้งซ่านอีกต่อไป และจิตจะไม่ตะเลิดหนีไปเที่ยวที่ไหนอีกเลย ซึ่งเป็นการฝึกฝนจนเกิดความก้าวหน้าของสมาธิ และเป็นความก้าวหน้าของจิตใจเราอีกด้วย

พอเราฝึกสมาธิ ฝึกจิตมาถึงตอนนี้แล้ว ไม่ว่าจะหลับตา หรือลืมตา สัมผัสกับภาพกิเลสใด ๆ จิตใจก็จะใสสะอาด แจ้งสว่างเลยทีเดียว เมื่อจิตใจเราใส สว่าง พฤติกรรมท่างกาย และความคิดอ่าน ก็จะแตกต่างไปจากบุคคลธรรมดาโดยทั่วไป ที่ยังทำพฤตอกรรมเดิม ๆ กันอยู่ ท่านเรียกผู้ที่มีจิตใจ ที่มีสมาธิในการปฏิบัติตนเยี่ยงนี้ ว่า เป็นผู้ที่มี "อธิจิต" หรือว่า จิตอย่างยิ่ง หรือผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดียิ่ง นั่นเอง

ส่วนขั้นตอนของการ เปลี่ยนจากปัญญา ให้เป็น "อธิปัญญา" นั้น พระอาจารย์ ที่ท่านที่มี อภิญญา ญาณ หรือ ฌานสมบัติสูง ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อจิตของเราใสสะอาดบริสุุทธิ์อย่างยิ่ง ด้วยอำนาจแห่ง "อธิศีล" แล้ว จิตใจก็จะมีแต่ความใสสว่างยิ่งกว่าตะวัน ด้วยอำนาจแห่ง "อธิจิต" สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดตามมา ลูกนัยน์ตาของเราก็คงจะมองอะไรได้ทะลุ และแลเห็นรับรู้ได้ตามสภาพของความเป็นจริง ที่ไม่มีอบายอะไรมาปิดบัง

เช่น รู้เรื่องกรรม ที่เราเคยสงสัยกันว่า จะเป็นเยี่ยงไร และจะรู้ว่าบุญและบาปนั้นเป็นเยี่ยงไร และสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ว่า "กิเลส" นั้น ซุกซ่อนอยู่ที่ใด ที่คอยบีบคั้นจิตใจของเราให้มีความโลภ ความโกรธ ความหลง นั้น ที่มาเป็นเยยี่ยงไร จะใช้ปัญญาที่เกิดจากจิต ในการมองเห็นจากภายใน ซึ่งอาศัยความสว่างจาก "อธิจิต" ทำให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างไดด้อย่างถูกต้อง ตามความเป็นจริง ของทุกสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกมยุษย์ โดยไม่ต้องเสียเวลามานั่งคิด พระอาจารย์ ท่านผู้สอนวิชา วิปัสสนากรรมฐาน ท่านเรียกว่า "อธิปัญญา"

ฉะนั้นแล้ว อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา จึงเป็นเสมือนลูกโซ่ที่ต่อเนื่องกันมา จากการที่ได้ศึกษาในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา มาตั้งแต่ต้น ในการฝึกทำสมาธิ กันนั่นเอง คือ ศึกษาพระธรรมแล้ว ไม่ควรศึกษาเปล่า เมื่อรู้และเข้าใจแล้ว ก็ให้ใช้ชีวิต ในการนำอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา มาประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนตนเอง จนกระทั่งทั้งกาย วาจา และจิตใจ เกิดความใสสะอาดบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ดียิ่ง ทำให้เกิดความสว่างภายในจิตใจ เป็นอย่างยิ่ง ดียิ่ง แล้วชีวิตของท่านผุ้ที่ปฏิบัติธรรม ท่านทั้งหลาย ก็จะเกิดความสงบ เป็นสุขใจสุขกายดี เป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นแล้ว พุทธบริษัท พุทธศาสนิกชน เราท่านทั้งหลาย ก็ควรที่จะได้ศึกษา ทำความเข้าใจถึงศีล สมาธิ ที่ทำให้เกิดปัญญา ทำความสว่างของจิตใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ เพราะความสงบกายสงบใจนี้ จึงเป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกชน เราท่านทั้งหลายทุกคน ต้องฝึกสมาธิกันให้ได้ เพื่อที่ได้ปิดทางลงนรกให้สนิท และเปิดประะตูสวรรค์ให้กว้าง เพื่อเป็นหนททางไปสู่ พระนิพพานได้อย่างสะดวกสบาย จงตั้งใจฝึกจิตกันให้ดี จะได้ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ในพระพุทธศาสนา บนผืนแผ่นดินไทย สาธุ ครับผม.

: เรียนเรียง โดย อ.ประพนธ์ บุนนาค (ฐานันดร ๔ นกน้อยในไร่ส้ม)
: ถ่ายภาพ-กราฟฟิก โดย Siam Bunnag (ข่าวเฉพาะกิจ) ศิษย์พระตถาคต วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร (เชิงสะพานพุทธฯ) ฝั่งธนบุรี กทม. : รับชมคลิปภาพวิดีโอ ปชส. คลิก กดที่ลิงก์ ด้านล่าง นี้ ครับผม. ❤👉 https://www.facebook.com/siam.bunnag.999999999/videos/588590268975095
: เผยแผ่ ปชส. โดย Bunnag News : ร่วมบริจาค ในการผลิต สื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษา เพื่อลูก-หลานไทย แล้วแต่กำลังศรัทธา อันความเมตตา กรุณา เป็นเครื่องค้ำจุลโลก : คลิก กดที่ลิงก์ ด้านล่างนี้ ขอรับ ครับผม. ❤👉 https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1141200044687826&set=pb.100063935239150.-2207520000&type=3
: รับชมภาพ สื่อสาระข่าวสาร เรื่องราวดีดี (พิเศษ) มากมาย แชร์ความรู้กันได้ ผลิตขึ้นเพื่อคนไทย : คลิก กดที่ลิงก์ ด้านล่างนี้ ขอให้มีความสุข ทุกท่าน ทั่วไทย สาธุ ครับผม. ❤👉 https://www.facebook.com/siam.bunnag.999999999/photos_albums
💞สงกรานต์ ปีใหม่ไทย ปีนี้ ขอให้ ท่าน @ผู้ติดตาม @แฟนตัวยง มีความสุขมาก ๆ ทุกท่าน ทั่วไทย สาธุ ครับผม.🙏💞 Siam Bunnag😘😍🥰💞❤🙏

ที่อยู่

30/1037 ต. คลองสาม อ. คลองหลวง จ. ปทุมธานี
Bangkok
12120

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Bunnag News ผลิตสื่อสาระข่าวสาร เพื่อการศึกษาและการกุศลผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

เดินตามรอยพระบาทพ่อ ผลิตสื่อสาระข่าวสาร การกุศล เพื่อสังคมไทย

ผลิตสื่อสาระข่าวสาร พร้อมความบันเทิง เพื่อการศึกษา เผยแผ่พระพุทธศาสนา การกุศล และศิลปะ ประเพณีอันดีงาม วัฒนธรรมไทย ช่วยเหลือชาวบ้าน ทำมาหากิน ทั่วท้องถิ่นไทย ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมือง พรรคใด ทำบุญสร้างกุศล สร้างสรรค์ เพื่อสังคมไทย ครับผม. :สนับสนุน สาระข่าวสาร พร้อมความบันเทิง โดย พี่น้องตระกูลบุนนาค พี่น้องตระกูลแซ่ (แซ่ตั้ง ฯลฯ)