26/03/2019
📌 สรุปขั้นตอนการทำธุรกิจ"ขายของออนไลน์" ในยุคปี 2019
((ยาวมากมาย เซฟเก็บไว้ก็ดีครับ ได้ใช้แน่นอน))
ขั้นตอนที่ 1:
* ดูความเหมาะสมของสินค้า “ต้องทำเว็บไซต์ หรือ แฟนเพจ”
* เว็บไซต์เหมาะกับสินค้าฟังค์ชั่น ส่วนแฟนเพจเหมาะกับสินค้าแฟชั่น
--------------------
ขั้นตอนที่ 2:
หากต้องทำเว็บไซต์ เราต้องปฏิบัติดังนี้ ~
- ฝึกใช้งาน Lnwshop.com หรือ Wix.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำเร็จรูป (สะดวกและง่ายกว่า สำหรับมือใหม่)
- 2 เว็บไซต์ข้างต้น จะติด SEO ได้ง่าย แต่ก็ยังไม่ดีเท่ากับเวป CMS จำพวก Wordpress, Magento
- หากเราทดสอบตลาดเรียบร้อยแล้ว และมั่นใจในธุรกิจขายของออนไลน์ ให้เราจดโดเมนเนม เพื่อทำให้เวปติดอันดับ Google ได้ง่ายขึ้น
- การจดโดเมนเนม ไม่สำคัญเหมือนสมัยก่อน ไม่ต้องประมูลโดเมน หรือจ่ายแบบ Premium ในราคาแพง จดโดเมนเนมแบบปรกติประมาณ 500 กว่าบาทต่อปีก็พอแล้ว
- เว็บไซต์สมัยใหม่ เน้นปิดการขายแบบหน้าเดียว หรือเรียกว่า Landing Page เราควรให้ความสำคัญกับหน้าแรก 90%++
- หน้า Sale Page ต้องสั้นกระชับ ใส่รูปภาพเยอะ แต่ต้องโหลดไว มีสลับ Youtube บ้าง เน้นปิดการขายเป็นหลัก
- สิ่งที่ควรระวัง คือ อย่าให้ลิงค์ออกจากหน้าแรกเยอะเกินไป จะทำให้เว็บไซต์ไม่ติดอันดับบน Google
- หากเราต้องการทำเว็บไซต์ด้วยตนเอง ควรจะรอสักพัก ให้ยอดขายเริ่มเยอะ จึงค่อยขยับตัวเพื่อเลือกทำ Wordpress, Woocommerce หรือ Magento
- เว็บไซต์ประเภท Wordpress มีคนรับทำมากมาย ราคาไม่แพง เริ่มต้นที่ 10,000 บาท
- การเลือกโฮสติ้ง ไม่จำเป็นต้องเลือกแพง แต่ให้เลือกเจ้าที่ดูน่าไว้ใจ มีลูกค้าใช้บริการอย่างต่อเนื่อง หมั่นติดตามใน Fanpage ผู้ให้บริการ จนกว่าจะเจอเจ้าที่ถูกใจ ปรกติราคาไม่เกิน 5,000 บาทต่อปี
--------------------
ขั้นตอนที่ 3:
ในกรณีทำแฟนเพจ เราต้องปฏิบัติดังนี้ ~
- จำนวนคนกดไลท์เพจ ไม่สำคัญเหมือนสมัยก่อน อัตรา Reach(คนเห็นโพส) ลดลงมหาศาล
- คอนเทนต์คือสิ่งสำคัญเหนือทุกอย่าง สินค้าดี คอนเทนต์แย่ จะขายไม่ดี และทำกำไรได้น้อย
- สมัยก่อน เราอยากให้ลูกค้ากด See First เพื่อให้เห็นโพสต์เราก่อน แต่สมัยนี้ See First ไม่ดีเหมือนเดิม
- สรุปแฟนเพจสั้น ๆ ว่า หากไม่มีเงินยิงโฆษณา ห้ามทำแฟนเพจเด็ดขาด
- ข้อดีของแฟนเพจคือ เก็บฐานลูกค้า สำหรับยิงโฆษณากลับไปหาลูกค้าได้
- หมั่นมีวินัยในการสร้างคอนเทนต์ใหม่เดือนละครั้ง แล้วธุรกิจบนแฟนเพจจะสดใส
--------------------
ขั้นตอนที่ 4:
ขายอะไรดี มีคำตอบ ~
4.1 สินค้าดี...ต้องมีที่มา
ยุคนี้ต้องยอมรับว่า Content ขาดไม่ได้ หรือแปลกันตรงไปตรงมาว่า หากไม่มี Story(เรื่องราว) หรือ Experience(ประสบการณ์ร่วม) ไม่ต้องคิดจะขายสินค้า ลูกค้าไม่ซื้อและไม่ยอมจ่ายเงินที่แพงกว่าแน่นอน เช่น เราดู Youtube ถึงความลำบากยากเย็นในการปลูกชาออแกร์นิคของชาวไร่คนนึง เรายินดีซื้อราคาแพง เพราะเนื้อเรื่องที่ซาบซึ้งและกินใจ
4.2 สินค้าดี...ต้องทำให้ลูกค้าโดดเด่น
หากเราซื้อโดนัทชิ้นนึง เราคงจ่ายไม่เกิน 30 บาท แต่หากโดนัทก้อนนี้ ผลิตจากดาราดัง หรือมีความพิเศษในตัว สามารถโพสลง Facebook แล้วมีคนกดแชร์ต่อมากมาย ต่อให้โดนัทราคา 100 บาท เราก็ยินดีซื้อด้วยรอยยิ้ม
4.3 สินค้าดี...ต้องมีความแตกต่าง
ไม่มีใครอยากเหมือนคนอื่น ยุคนี้คือยุคแห่งความ Unqiue(เฉพาะตัว) หากเราทำให้ลูกค้ารู้สึกภูมิใจ เป็นสินค้าประเภท One in the Million ไม่เหมือนใคร ไม่ซ้ำใคร แตกต่างสุดขั้ว ย่อมปิดการขายได้ง่ายกว่าแน่นอน
4.4 สินค้าดี...ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกฉลาด
หากลูกค้ารู้สึกได้เปรียบ รู้สึกภูมิใจในตนเอง เช่น ไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมที่ Outlet ได้ส่วนลด 80% ถึงแม้ราคากระเป๋าหลังลด 80% จะเหลือ 5,000 บาท ซึ่งก็ยังแพงอยู่ดี เมื่อเทียบกับกระเป๋าทั่วไป แต่เราภูมิใจที่ได้ส่วนลดเยอะมากกก แบบนี้สินค้าก็จะขายดีเช่นกัน
ยุคนี้ต้องเน้นความฉลาดทางอารมณ์ อย่าใส่เหตุผลให้เยอะมาก
--------------------
ขั้นตอนที่ 5:
หมวดการตลาดออนไลน์
- การตลาดสำหรับโลกออนไลน์ มีตัวเลือกค่อนข้างเยอะมาก แต่โดยภาพรวมจะมีดังนี้
** Facebook Ads - ยิงโฆษณาโดยใช้ Interest และ Custom Audience เป็นหลัก ปัจจัยหลักอยู่ที่ Content + การกระจายงบประมาณสู่เครื่องมือทุกตัว และวัดผลให้เป็น
** Google Ads - การดัก Keyword ห่านทองคำ ใครรู้ว่าลูกค้าชอบกดคำว่าอะไร จะได้เปรียบมาก แต่ในยุคนี้ ยุคที่ AI ฉลาดมาก เราจึงมีทางเลือกให้ยิงโฆษณามากมาย ไม่ว่าจะเป็น GDN Interest, Intend, Similar, Youtube Interest, Intend, Similar เรียกได้ว่ามีมากกว่า 20 ตัวทีเดียว
** Line@ - ลิสต์ที่เพิ่มขึ้นของ Line@ มาจาก Facebook 70%, Google 30% ดังนั้น หมั่นสร้างกิจกรรมบนหน้า Facebook เพื่อพาคนเข้า Line@ ชีวิตจะดีมากถ้าสมาชิกใน Line@ มีเยอะ ^^
** SEO - การทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้น ๆ บนกูเกิ้ล ต้องใช้ความขยันเป็นหลัก ถึงแม้จะฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ในความเป็นจริง เวลาที่เราเสียไป ก็ถือเป็นค่าเสียโอกาสเช่นกัน
* Marketplace (Lazada, Shopee) - การตลาดที่ง่ายที่สุดในยุคนี้ คือฝากขายเลย ไม่มีค่าใช้จ่าย อาศัยความถึกล้วน ๆ ง่ายกว่าทำ SEO ด้วยตนเองเยอะมาก แต่ต้องปรับตัวตามกฏ กติกาของเค้าให้ได้
--------------------
ขั้นตอนที่ 6:
การเงินและภาษี
- การควบคุม Cashflow ถือเป็นหน้าที่หลักที่ต้องทำ หากมีกำไร แต่ไม่มีเงินเหลือไปสต็อคของเพิ่ม ก็อาจจะเจ๊งได้
- รวมถึงการใช้เงินส่วนตัว ห้ามนำเงินกิจการไปปนกัน นี่คือสิ่งที่อันตรายที่สุด
- เงินที่ได้จากการทำธุรกิจ ควรหมั่นนำไปลงทุน หัดใช้เงินทำงานให้เป็น เพื่อให้เกษียณก่อนอายุได้จริง
- ภาษีคือหน้าที่ของประชาชน ในช่วงที่เราเริ่มทำธุรกิจ อาจจะยังไม่จำเป็นมากที่ต้องเรียนรู้เชิงลึก แต่ในวันที่เราเป็นมืออาชีพด้านขายของออนไลน์ ภาษีต้องทำให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้น จะมีปัญหาตามหลัง
- ยุคที่ AI ฉลาดขนาดนี้ เราไม่มีทางหลบเลี่ยงภาษีได้ในทุกกรณี ดังนั้น ทำให้ถูกต้องให้เร็วที่สุด แล้วจะไม่ต้องปวดหัวทีหลัง
--------------------
ขั้นตอนที่ 7:
โปรแกรมช่วยเหลือ และ แอพพิเคชั่นต่าง ๆ
- ยุคนี้มีโปรแกรมมากมายที่ช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Evernote, Google Keep, Google Calendar, Google Sheet, Google Drive, Page365, Sellsuki, Flowaccount, Wonderlist และอื่น ๆ
- หมั่นใช้แอพให้เกิดประโยชน์ เราจะมีชีวิตที่ง่ายขึ้นอีกเยอะ รวมถึงธุระอันใดที่กินเวลา ตัดออกให้หมด เช่น ไปธนาคาร ซื้อของ Supermarket, ส่งของด้วยตนเอง ยุคนี้เป็นสังคม Sharing Economy เราต้องใช้ทรัพยากรให้เป็น แล้วชีวิตจะง่ายขึ้น 100%
--------------------
ขั้นตอนที่ 8:
การจัดการเวลา และวางแผนชีวิต
ผมเคยยกตัวอย่างการจัดการเวลาไว้บ้างแล้ว ขออนุญาตยกเคสที่ผมชอบ มาแชร์ให้อ่านอีกครั้งนะครับ
ผมชอบหนังสือเรื่อง “Atomic Habits"
บทนึงของหนังสือเล่มนี้แนะนำว่า “หากเราต้องการ Reward เช่น นอนดู Netflix หรือนั่งเล่น God of War 4 เราควรจะทำงานหนึ่งอย่างให้เสร็จ เพื่อแลกกับรางวัลนั้น”
เนื้อหาในหนังสือเรียกว่า “ I WANT TO DO และ I NEED TO DO “
โดยสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำ คือ หน้าที่การงาน
สิ่งที่เราอยากจะทำ คือ นอนดู Netflix + นั่งเล่นเกมส์ก่อนเข้านอน
เราต้องทำการ Matching หรือจับคู่ 2 อย่างนี้เข้าด้วยกัน
นั่นคือ หากเราทำงานเสร็จ เราจะได้ดู Netflix ทันที
เป็นกุศโลบายให้เราเห็นเป้าหมาย และได้รับรางวัลในทันที ไม่ต้องรอนาน
เหมือนเช่นว่า หากผมเขียนบทความได้ดี ผมจะได้ดู Netflix รวม 2 ชม. เต็ม !!
เชื่อไหมว่า แค่รางวัลเล็ก ๆ แค่นี้ ทำให้ผมมีพลังในการสร้างความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงอยากทำงานมากกว่าเดิม และไม่รู้สึกผิดกับตัวเองด้วย
แค่ทุกคนเปลี่ยนการคิดจะทำอะไรสักอย่าง เข้ากับรางวัลที่ตนเองจะได้รับ เพียงแค่นี้เราจะมีพลังมากมายในการทำงานเราให้เสร็จแบบไม่กดดันตนเองมากเกินไป
ส่วนการวางแผนชีวิตนั้นง่ายมาก เราเพียงจดโน็ตสิ่งที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้น ดังนั้น ในทุกวัน คุณเพียงทำงานที่คุณโน็ตเอาไว้ให้เสร็จสิ้น แค่นั้นชีวิตก็ง่ายขึ้นเยอะแล้วครับ ^^
--------------------
บทสรุปของธุรกิจ ~
บางที ธุรกิจอาจจะยากสำหรับหลายคน
เราคงเคยได้ยินคำว่า “หากคุณทำธุรกิจนานเกิน 5 ปี โอกาสรอดของคุณมีไม่ถึง 5%”
ตัวผมเอง โชคดีที่ทำธุรกิจหลากหลาย แม้ว่าจะมีธุรกิจหลายตัวที่เจ๊งอย่างจริงจัง แต่ก็มีบางตัวที่รอด และทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่างชัดเจน
แน่นอนว่า ธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่สังเกตหรือไม่ว่า “ลักษณะของคนที่สำเร็จ มักจะมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่เพียงอย่างเดียว”
คือ “ไม่ยอมแพ้ และสู้ต่อไป”
หากใครมีคุณสมบัตินี้ ย่อมเป็นผู้เหลือรอดในสงครามที่แสนโหดร้าย
เชื่อผมอย่างหนึ่งว่า ความร่ำรวย ไม่ได้มีไว้ให้คนที่มัวแต่คิดว่า “ทำอย่างไรจึงรวย”
แต่มีไว้ให้คนที่ “ทำโดยไม่คิด และยอมรับผลที่ตามมา รวมถึงพร้อมจะแก้ไขทุกปัญหาที่เข้ามาในชีวิต"
ถึงเวลาแล้ว ที่จะเดินหน้าสับเกียร์ 8 ลุยให้เต็มที่ ผลลัพธ์ค่อยว่ากัน !!
แล้ววันนึง คุณจะพบกับความสำเร็จ
เจอกันที่จุดหมายปลายทางนะครับ
เครดิต อ.ตรี
Create a free website with Wix.com. Choose a stunning template and customize anything with the Wix website builder—no coding skills needed. Create yours today!