ข่าวจริงประเทศไทย

ข่าวจริงประเทศไทย Official page ข่าวจริงประเทศไทย
นำเสนอประเด็นชี้แจงทันสถานการณ์ , ข่าวเท็จ ข่าวลวง (Fake New "ถูกต้อง รวดเร็ว เชื่อถือได้" ข่าวจริงประเทศไทย
(2)

สำนักพระราชวัง ขอแจ้งการวางพวงมาลาถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมน...
03/10/2025

สำนักพระราชวัง ขอแจ้งการวางพวงมาลาถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องใน “วันนวมินทรมหาราช” พุทธศักราช 2568

📍 ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
🗓 วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม 2568

📝 รับลงทะเบียนวางพวงมาลา
วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึงเวลา 18.00 น.
วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึงเวลา 12.00 น.

🌼 วางพวงมาลาและถวายสักการะ
วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม 2568
ช่วงที่ 1 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึงเวลา 12.00 น.
ช่วงที่ 2 ตั้งแต่เวลา 17.00 น. ถึงเวลา 21.00 น.

🔖 รับพวงมาลากลับคืน
วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 07.00 น. ถึงเวลา 12.00 น.

ℹ️ หมายเหตุ :
1. พวงมาลาที่นำมาวาง มีขนาดไม่เกิน เส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร สูง 90 เซนติเมตร
2. ผู้ที่ประสงค์จะวางพวงมาลา กรุณาลงทะเบียน เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้อำนวยความสะดวกสถานที่ตั้งพวงมาลา
3. สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มลงทะเบียนhttps://www.royaloffice.th/wp-content/uploads/2025/10/%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9913%E0%B8%95%E0%B8%84.pdf เพื่อนำไปแจ้งความประสงค์ที่กองอำนวยการ ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ

#วันนวมินทรมหาราชพุทธศักราช๒๕๖๘
#การวางพวงมาลาถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์
#อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร
#ข่าวจริงประเทศไทย

Quick Big Win วัฒนธรรมไทย“รมว.ซาบีดา” ประกาศปักหมุดนโยบายเรือธง 3 ด้าน ชู “สืบสาน สร้างสรรค์ นำวัฒนธรรมไทย สู่อนาคตอย่าง...
03/10/2025

Quick Big Win วัฒนธรรมไทย
“รมว.ซาบีดา” ประกาศปักหมุดนโยบายเรือธง 3 ด้าน ชู “สืบสาน สร้างสรรค์ นำวัฒนธรรมไทย สู่อนาคตอย่างยั่งยืน ”
ส่งเสริม “พลังวัฒนธรรม” ให้เกิดเป็น “รายได้จริง”
เดินหน้าเปิด “พื้นที่ทางวัฒนธรรมใหม่ๆ” (Unseen Thai Thai) สร้างแลนด์มาร์กวัฒนธรรมไทย – ให้ทันสมัยเข้าถึงง่าย สำหรับคนทุกกลุ่ม
ผลักดัน Cash Rebate หนุนผู้สร้างคอนเทนต์ชาวไทย – เปิดทางเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้ง่าย เห็นผลใน 3 เดือน
พลิกโฉม CPOT สู่ CPOT Next Gen: Thai Culture x Global Brands เปิดโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการไทยโกอินเตอร์ สู่แบรนด์ระดับโลก ชูไอเดียปั้น CPOTคอลแลปกับดีไซเนอร์ชั้นนํา - เพิ่มยอดขาย - ช่องทางขาย “ได้เห็น ได้จับต้อง และได้ซื้อ”
นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในการแถลงนโยบายด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ภายใต้วิสัยทัศน์ “สืบสาน สร้างสรรค์ นำวัฒนธรรมไทย สู่อนาคตอย่างยั่งยืน” โดยมีนายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัด ข้าราชการ เข้าร่วม
นโยบายเรือธง 3 ด้าน
1. “ไท ไทย” เปิดพื้นที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมใหม่ๆ ในชุมชน เฟ้นหาคุณค่าความเป็นไทย เสมือน “การค้นพบไทยใหม่”
(1) วัฒนธรรมจังหวัดบูรณาการร่วมกับผู้นําชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านในการค้นหาทุนทางวัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ (Unseen Thai Thai) (2) พัฒนาและปรับใช้เทคโนโลยี “โลกเสมือนจริง” (Digital & Virtual Cultural Tourism) และ (3) ทําให้ “พื้นที่ทางวัฒนธรรม” ทันสมัยและเข้าถึงง่าย (Culture for All)
2. ผลักดันมาตรการ Cash Rebate สนับสนุนเงินลงทุนบางส่วนสําหรับผู้ประกอบการ “ชาวไทย” ผลิตภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ แอนิเมชัน และมิวสิกวิดีโอ
(1) กําหนดหลักเกณฑ์ แนวทางการดําเนินงานที่ชัดเจน โปร่งใส และครอบคลุมผู้ประกอบการรายย่อย (2) ดำเนินการภายใน 3 เดือนเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนชาวไทย (3) ติดตามและรายงานผลผ่าน KPI ที่ชัดเจน เช่น การเติบโตของ GDP อัตราการจ้างงาน ภายหลังการขับเคลื่อนนโยบาย
3. เปิดโอกาสใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการไทย CPOT Next Gen: Thai Culture x Global Brands ในการเชื่อมต่อวัฒนธรรมไทยกับแบรนด์ระดับโลก ผลักดันผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทยสู่แพลตฟอร์มระดับนานาชาติ
(1) เปิดพื้นที่และโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์พัฒนา แบรนด์ไทยสู่ระดับโลก (2) ร่วมออกแบบสินค้า (Collab) CPOT กับดีไซเนอร์ชั้นนําและมีตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานโดยกระทรวงวัฒนธรรม (3) เพิ่มช่องทางการจําหน่าย CPOT ในงานเทศกาลขนาดใหญ่ เพื่อให้นักท่องเที่ยว “ได้เห็น ได้จับต้อง และได้ซื้อ”
สำหรับผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมภายใต้แนวคิด “ไท ไทย” จะเกิดเป็นรูปธรรมใน 3 ด้าน (1) มีพื้นที่นำเสนอศิลปวัฒนธรรมเสมือนจริงทำให้ประเทศไทยถูกพูดถึงบนโลกออนไลน์นำไปสู่การเดินทางจริง ทั้งยังเป็นการรองรับโลกแห่งอนาคตเป็นกุญแจนำไปสู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมใหม่ Unseen Thai Thai (2) มีมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการชาวไทยที่ผลิตภาพยนตร์ แอนิเมชั่นและมิวสิกวีดิโออย่างเป็นรูปธรรม (Cash Rebate) เกิดการแข่งขัน สร้างงาน สร้างรายได้ (3) เพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทยหรือ CPOT ทำรายได้ของชุมชนเพิ่มขึ้น

#กระทรวงวัฒนธรรม
#ข่าวจริงประเทศไทย

ตรีนุช มอบนโยบายแรงงาน ย้ำโปร่งใส เน้นแก้แรงงานขาดแคลน-ยกระดับสิทธิแรงงาน-พัฒนาทักษะดิจิทัลนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตร...
03/10/2025

ตรีนุช มอบนโยบายแรงงาน ย้ำโปร่งใส เน้นแก้แรงงานขาดแคลน-ยกระดับสิทธิแรงงาน-พัฒนาทักษะดิจิทัล
นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบนโยบายขับเคลื่อนภารกิจงานกระทรวงแรงงานให้แก่คณะผู้บริหารและบุคลากรกระทรวงแรงงาน เพื่อกำหนดเป้าหมายในการเร่งแก้ไขปัญหาแรงงานที่เร่งด่วนและสำคัญ เช่น ปัญหาขาดแคลนแรงงาน, การเร่งพัฒนาทักษะ Upskill และ Reskill ให้แรงงานไทย และการส่งเสริมสวัสดิการแรงงาน โดยมุ่งเป้าเดินหน้านโยบายแรงงานให้สอดรับกับความท้าทายทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมย้ำหลักการทำงานโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานทุกกลุ่ม โดยมี นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายสันติ นันตสุวรรณ รองปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมด้วย ณ อาคารกระทรวงแรงงาน กรุงเทพฯ
นางสาวตรีนุช เทียนทอง กล่าวว่า ปัญหาสำคัญที่กระทรวงแรงงานต้องเร่งแก้ไขคือ การขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจที่เป็นผลกระทบมาจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยจะเร่งดำเนินการทำบันทึกความเข้าใจ (MoU) ในการจ้างแรงงานสัญชาติอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ศรีลังกา รวมถึงการเปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมาสามารถเข้ามาเป็นแรงงานทดแทนที่ทำงานได้ชั่วคราว ซึ่งได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ตลอดจนการเร่งรัดการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อป้องกันปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย
อีกหนึ่งนโยบายสำคัญคือ การพัฒนาทักษะ Upskill และ Reskill ให้แรงงานไทยก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะบูรณาการร่วมกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างทักษะใหม่ เช่น ภาษาและปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมเดินหน้าโครงการ “1 ตำบล 1 ช่างอเนกประสงค์” ที่มุ่งสร้างแรงงานแบบ Multi Skills และสนับสนุนเครื่องมือทำกินหลังการฝึกอบรม รวมถึงการจัดอบรมอาชีพให้นักศึกษาช่วงปิดภาคเรียนเพื่อรองรับนโยบายส่งเสริมการจ้างงาน
ในส่วนของสวัสดิการแรงงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วน โดยจะปรับแก้กฎกระทรวงเพื่อให้แรงงานได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย เช่น การสู้รบบริเวณชายแดน และยกระดับสิทธิประโยชน์ประกันสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบตามมาตรา 40 เช่น เพิ่มเงินทดแทนกรณีทุพพลภาพจาก 1,000 บาทเป็น 3,000 บาทต่อเดือน, เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจาก 200 บาทเป็น 300 บาทต่อคน และปรับค่าทดแทนการขาดรายได้รักษาพยาบาลจาก 50 บาทเป็น 200 บาทต่อครั้ง ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นการยกระดับความมั่นคงและคุณภาพชีวิตให้แก่แรงงานนอกระบบเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมุ่งขยายโอกาสให้แรงงานไทยมีงานทำในต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องขับเคลื่อนนโยบายขยายตลาดแรงงานเชิงรุก โดยใช้กลไกทูตแรงงานใน 12 ประเทศที่มีศักยภาพในการจ้างงาน เพื่อเพิ่มการจ้างงานและดูแลสิทธิประโยชน์แรงงานไทยในต่างแดน รวมทั้งการเดินหน้าพัฒนาระบบบริหารจัดการแรงงานด้วยเทคโนโลยี ผ่านการจัดทำฐานข้อมูลแรงงานแห่งชาติและ Thai National Resume เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลแรงงานทั้งระบบให้อยู่ในการดูแลของกระทรวงแรงงาน ตลอดจนการนำร่อง Sandbox One Stop Service ในพื้นที่ศักยภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่แรงงานและผู้ประกอบการให้ได้รับบริการแบบครบวงจรในที่เดียว
นางสาวตรีนุช กล่าวทิ้งท้ายว่า “นโยบายเหล่านี้มีเป้าหมาย เพื่อแก้ไขจัดการปัญหาเร่งด่วนที่กำลังเกิดขึ้นและการวางรากฐานในระยะยาว ทั้งด้านการจัดการแรงงานต่างด้าว การพัฒนาทักษะ การเสริมสวัสดิการ การเปิดตลาดแรงงานต่างประเทศ และการใช้เทคโนโลยีมาขับเคลื่อนระบบแรงงานไทยให้มีความมั่นคง แข่งขันได้ และสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต โดยภายใต้การขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงแรงงานนี้จะเป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายหลักคือการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงาน
#ข่าวจริงประเทศไทย #กระทรวงแรงงาน

“อนุทิน” เผย สมช. อนุมัติสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา มอบกองทัพกำหนดพิกัด เร่งจ่ายเงินเยียวยา 6-7 ต.ค. นี้▶️ อ่านข้อมูลเพิ...
03/10/2025

“อนุทิน” เผย สมช. อนุมัติสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา มอบกองทัพกำหนดพิกัด เร่งจ่ายเงินเยียวยา 6-7 ต.ค. นี้

▶️ อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.realnewsthailand.net/article/44120/

#อนุทินเผยสมชอนุมัติสร้างรั้วชายแดนไทยกัมพูชา #เร่งจ่ายเงินเยียวยา6ถึง7ตุลาคมนี้ #กระทรวงกลาโหม #กระทรวงมหาดไทย #กระทรวงการต่างประเทศ #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง #ข่าวจริงประเทศไทย

ปภ. เริ่มโอนเงินเยียวยาผู้ประสบภัยชายแดน ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 68 - อพยพ 8 วันขึ้นไปช่วยเหลือครัวเรือนละ 5,000...
03/10/2025

ปภ. เริ่มโอนเงินเยียวยาผู้ประสบภัยชายแดน ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 68 - อพยพ 8 วันขึ้นไปช่วยเหลือครัวเรือนละ 5,000 บาท อพยพไม่เกิน 7 วัน ช่วยเหลือครัวเรือนละ 2,000 บาท
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เดินหน้าเยียวยาผู้ประสบภัย กรณีภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 ตามมติคณะรัฐมนนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 จ่ายเงินช่วยเหลือสูงสุด ครัวเรือนละ 5,000 บาท เบื้องต้นลงทะเบียนแล้ว 2.9 แสน ครัวเรือน เริ่มจ่ายรอบแรก 6 ต.ค. 68
.
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ปี 2568 โดยให้มีการเยียวยาความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้ประสบภัยที่มีการอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราว/พื้นที่ปลอดภัย ในช่วงที่มีสถานการณ์ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1) กรณีอพยพตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละ 5,000 บาท และ 2) กรณีอพยพไม่เกิน 7 วัน ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละ 2,000 บาท และได้อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ จำนวน 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และจังหวัดตราด รวมจำนวน 315,476 ครัวเรือน เป็นเงินทั้งสิ้น 1,515,967,000 บาท โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย ผ่านธนาคารออมสิน
ปัจจุบันมีจำนวนผู้ยื่นคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือฯ จำนวน 292,237 ครัวเรือน (ข้อมูล 2 ต.ค. 68) ซึ่งเมื่อวานนี้ (1 ต.ค. 68) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินเพื่อโอนเงินให้ผู้ประสบภัยที่ได้รับการตรวจสอบข้อมูลสมบูรณ์แล้ว โดยจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และสุรินทร์ มีจำนวน 147,370 ครัวเรือน เงินช่วยเหลือรวม 736,850,000 บาท ผู้ประสบภัยจะได้รับเงินช่วยเหลือในวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ส่วนจังหวัดศรีสะเกษ อุบลราชธานี สระแก้ว และจังหวัดตราด มีจำนวน 90,683 ครัวเรือน เงินช่วยเหลือรวม 364,417,000 บาท ผู้ประสบจะได้รับเงินช่วยเหลือในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 โดยธนาคารธนาคารออมสินจะทำการโอนเงินให้ผู้ประสบภัยผ่านระบบ Promptpay ที่ได้ผูกไว้กับหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ส่วนผู้ประสบภัยที่เหลือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะทยอยนำส่งรายชื่อให้ธนาคารออมสินและโอนเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2568 ทั้งนี้ เมื่อกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินแล้ว ประชาชนจะได้รับเงินช่วยเหลือภายใน 3 วันทำการ
ในส่วนของจังหวัดที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประสานการดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อเร่งส่งให้ธนาคารออมสินโอนเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และได้แจ้งให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศฯ ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ ให้ลงทะเบียนภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2568 พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบรับรองข้อมูลตามแนวทางปฏิบัติ เพื่อเร่งรัดการจ่ายเงินให้รวดเร็วเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัยได้อย่างเหมาะสมต่อสถานการณ์
ทั้งนี้ ผู้ประสบภัยสามารถตรวจสอบสถานะรับเงินช่วยเหลือผ่านช่องทาง http://relief68.disaster.go.th/Dashboard/BoardHelpRegister โดยระบุหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนในการตรวจสอบ เพื่อให้สามารถติดตามการช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

#ปภ #เงินเยียวยาชายแดน #เงินเยียวยาอพยพ
#ชายแดนไทยกัมพูชา #ช่วยเหลืออพยพ #ข่าวจริงประเทศไทย

📈Quick Big Win🪙แนวคิดฟื้นเศรษฐกิจแบบด่วนใน 4 เดือน✨Quick คือ ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและเห็นผลทันทีภายใน 4 เดือน ✨Big ค...
03/10/2025

📈Quick Big Win🪙
แนวคิดฟื้นเศรษฐกิจแบบด่วนใน 4 เดือน

✨Quick คือ ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและเห็นผลทันทีภายใน 4 เดือน
✨Big คือ ต้องมีขนาดใหญ่ สามารถดันเศรษฐกิจให้พ้นจากภาวะติดหล่มได้
✨Win คือ ต้องกระจายตัว ให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยอย่างทั่วถึง
โดยการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจแบ่งเป็น 5 เสาหลัก 1 ฐานราก ได้แก่

🔹เสาหลักที่ 1🔹 การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

- ส่วนที่เป็น “Plus” คือ การจูงใจเข้าระบบภาษี โดยผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะได้รับวงเงินมากกว่าคนนอกระบบ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น
- เพิ่มทักษะดิจิทัล โดยเฉพาะการจัดอบรมทักษะการขายของออนไลน์ (E-commerce) และการทำบัญชีดิจิทัลให้กับผู้ค้าออนไลน์ที่เข้าร่วมโครงการ และการต่อยอดสู่สินเชื่อ
- การกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง จะมีมาตรการลดหย่อนภาษี 2 เท่า สำหรับโรงแรมในเมืองรองที่ปรับปรุงและพัฒนาสถานประกอบการ ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้และใช้เม็ดเงินภาษีไม่มาก
🔹เสาหลักที่ 2🔹 การแก้ไขหนี้ภาคประชาชน

- รัฐบาลจะนำเงินคงเหลือจากกองทุนฟื้นฟูและสถาบันการเงิน ประมาณ 26,000 ล้านบาท มาจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมกับธนาคาร เพื่อซื้อหนี้เสียของประชาชนออกมาบริหาร จากนั้นจะทำการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ยืดระยะเวลาผ่อน ลดดอกเบี้ย เพื่อให้ลูกหนี้สามารถกลับมาหายใจได้อีกครั้ง
🔹เสาหลักที่ 3🔹 การดูแลผู้ประกอบการ SME และสภาพคล่อง

- ส่วนมาตรการช่วยเหลือธุรกิจ SME นั้นประกอบด้วย การค้ำประกันสินเชื่อ โดยใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อในวงเงินขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท
- การคืนภาษีเร่งด่วน โดยให้กรมสรรพากรเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งมีเงินที่สามารถคืนได้ทันทีกว่า 160,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ
- โครงการพี่ช่วยน้อง ที่เป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทขนาดใหญ่ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน
🔹เสาหลักที่ 4🔹 การเพิ่มการออมภาคประชาชน

- ผ่านสลากออมทรัพย์ออนไลน์ โดยจะปรับปรุงระบบการซื้อสลากออนไลน์ และจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากการซื้อทุกครั้งเข้าบัญชีเงินออมโดยอัตโนมัติ
- ผู้ซื้อจะสามารถนำเงินออกมาใช้ได้เมื่อมีอายุครบ 55 ปี หรือถือครองครบ 5 ปี เพื่อเป็นหลักประกันในยามเกษียณ โดยจะใช้เงินจากงบการตลาดของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เช่นเดียวกับพันธบัตรออมทรัพย์รายย่อย
- จะเปิดให้ประชาชนรายย่อยสามารถเข้าถึงการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาลได้ทุกเดือน เพื่อเป็นทางเลือกในการออมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก
🔹เสาหลักที่ 5🔹 การเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

- ปัจจุบันมีโครงการที่ได้รับการอนุมัติจาก BOI แล้วแต่ยังไม่เริ่มลงทุนสูงถึง 470,000 ล้านบาท เนื่องจากติดปัญหาด้านการขออนุญาตต่าง ๆ
- รัฐบาลจะจัดทำ “Fast Plus Pass” เป็นช่องทางด่วนเพื่อเร่งรัดการอนุมัติทั้งหมดให้เกิดขึ้นภายใน 4 เดือน
- การ Reskill แรงงาน โดยจะนำเงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถของ BOI จำนวน 10,000 ล้านบาท มาจับมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เกษตรชีวภาพ และดิจิทัล
5 เสาหลักนี้จะอยู่ไม่ได้หากไม่มี 1 ฐานรากที่เข้มแข็ง ของกรอบวินัยทางการคลังคือ "ต้องไม่กู้เพิ่ม"

#ข่าวจริงประเทศไทย #นโยบายรัฐ #เศรษฐกิจไทย #ฟื้นฟูเศรษฐกิจ #กระทรวงการคลัง

“คนละครึ่งพลัส” เพิ่มวงเงินสนับสนุนเป็น 200 บาทต่อวัน ลดภาระค่าครองชีพประชาชนนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีแ...
02/10/2025

“คนละครึ่งพลัส” เพิ่มวงเงินสนับสนุนเป็น 200 บาทต่อวัน ลดภาระค่าครองชีพประชาชน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตอบกระทู้ถามสดด้วยวาจาของนายสังคม แดงโชติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พรรคภูมิใจไทย เกี่ยวกับโครงการ “คนละครึ่งพลัส” โดยระบุว่า โครงการดังกล่าวมีหลักการสอดคล้องกับโครงการคนละครึ่งในอดีต แต่ได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่กำลังซบเซาและมีเป้าหมายเพื่อเป็นมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ การเพิ่มวงเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเดิมที่ให้ 150 บาทต่อวัน เป็น 200 บาทต่อวัน โดยประชาชนร่วมจ่ายอีก 200 บาท ครอบคลุมประชาชนกว่า 20 ล้านสิทธิ์ และจำกัดการใช้จ่ายเฉพาะร้านค้ารายย่อยเพื่อให้เงินหมุนเวียนสู่ชุมชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ มีการขยายสิทธิ์ให้แก่ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป จากเดิมที่กำหนดไว้ 18 ปี
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการที่แตกต่างจากเดิม เช่น การเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้เสียภาษี โดยได้รับสิทธิ์รัฐบาลสมทบเพิ่มร้อยละ 60 หรือ 2,400 บาท จากเดิมที่ร้อยละ 50 หรือ 2,000 บาท, การพัฒนาทักษะและสนับสนุนผู้ค้ารายย่อย เช่น การสอนทักษะการขายออนไลน์ การทำบัญชีครัวเรือนที่ง่ายและเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน อันจะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนในระยะยาว อีกทั้งโครงการยังรองรับผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ด้วยการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 2,000 บาท เพื่อให้ได้รับสิทธิ์เทียบเท่ากับผู้ใช้สิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน
สำหรับกำหนดการลงทะเบียน ร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมเป็นต้นไป ส่วนประชาชน 20 ล้านสิทธิ์สามารถลงทะเบียนหรือยืนยันสิทธิ์ผ่านระบบ “เป๋าตัง” ระหว่างวันที่ 20–26 ตุลาคม และสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 โดยวงเงินที่เหลือจากแต่ละวันสามารถสะสมใช้ได้จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ ทั้งนี้ยืนยันว่า โครงการดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการจัดเก็บภาษีย้อนหลัง แต่จะเป็นการสร้างความเข้าใจและปรับเข้าสู่ระบบภาษีอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต
#ข่าวจริงประเทศไทย #คนละครึ่งพลัส #ลดภาระค่าใช้จ่าย #กระทรวงการคลัง

นายกรัฐมนตรี สนับสนุนกองทัพเต็มที่ ย้ำจุดยืนรักษาผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก▶️ อ่านข้อมูลเพิ่มเติม :    https://www.realnew...
02/10/2025

นายกรัฐมนตรี สนับสนุนกองทัพเต็มที่ ย้ำจุดยืนรักษาผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก

▶️ อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.realnewsthailand.net/article/44095/

#นายกรัฐมนตรีสนับสนุนกองทัพเต็มที่ #ย้ำจุดยืนรักษาผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก #ชายแดนไทยกัมพูชา #กระทรวงกลาโหม #กระทรวงการต่างประเทศ #กระทรวงมหาดไทย #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง #ข่าวจริงประเทศไทย

📢ลงทะเบียนก่อน มีสิทธิ์ก่อนเช็กเงื่อนไข ใครได้รับสิทธิ์ “คนละครึ่ง" บ้างสำหรับเฟสแรกนี้ สามารถใช้จ่ายได้ ตั้งแต่เดือนพฤศ...
02/10/2025

📢ลงทะเบียนก่อน มีสิทธิ์ก่อน
เช็กเงื่อนไข ใครได้รับสิทธิ์ “คนละครึ่ง" บ้าง

สำหรับเฟสแรกนี้ สามารถใช้จ่ายได้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2568
ผู้มีสิทธิ์ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
🔹เดิมได้ 300 บาท/เดือน
รัฐเติมให้อีก 1,700 บาท เป็น 2,000 บาท
แบ่งยอดเติมให้ 2 ครั้ง (พ.ย. 850 บาท และ ธ.ค. 850 บาท)
🔹ใช้จ่ายตามวงเงินที่ซื้อจริง ไม่ได้สิทธิ 50 : 50
🔹จะโอนเข้ากองทุนสวัสดิการแห่งรัฐและโอนตรงให้ผู้มีรายได้น้อย

ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี
🔹ให้คนละ 2,000 บาท
🔹ใช้จ่ายสูงสุดไม่เกิน 200 บาทต่อวัน

ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี
🔹เพราะเป็นผู้เสียภาษี รัฐจึงท็อปอัพเป็น 2,400 บาท
🔹ใช้จ่ายสูงสุดไม่เกิน 200 บาทต่อวัน
🔹ใช้จ่าย 50 : 50 เหมือนกลุ่มประชาชนทั่วไป แต่เวลาลงทะเบียนต้องระบุว่าเป็นผู้เสียภาษี
⏳เปิดลงทะเบียน 20 – 26 ต.ค. 68
เริ่มใช้ได้ตั้งแต่ 29 ต.ค. – 31 ธ.ค. 68
⚠️ประเภทสินค้าที่ไม่สามารถใช้จ่ายผ่านคนละครึ่ง⚠️
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ / บุหรี่ / หนังสือ

ใครรู้ตัวว่ามีสิทธ์ เตรียมตัวให้พร้อม !

#ข่าวจริงประเทศไทย #คนละครึ่ง #สวัสดิการ #นโยบายรัฐ

รมว.กห.ชื่นชมกำลังพลทุกระดับ ย้ำรัฐบาลและกองทัพทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน มุ่งประโยชน์สูงสุดของประเทศพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ ...
02/10/2025

รมว.กห.ชื่นชมกำลังพลทุกระดับ ย้ำรัฐบาลและกองทัพทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน มุ่งประโยชน์สูงสุดของประเทศ
พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม/ประธาน สภากลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 9/2568 ณ ห้องภาณุรังสี ศาลาว่าการกลาโหม โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการและผู้แทนหน่วยจากกองบัญชาการกองทัพไทยและเหล่าทัพเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
ในการนี้ พลเอก ณัฐพลฯ ได้กล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยแสดงความพร้อมในการทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อนำพาและพัฒนากองทัพให้มีความพร้อม ทันสมัย เข้มแข็ง สง่างาม เป็นมืออาชีพ และเป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนได้ในทุกโอกาส รวมถึงได้รับความเชื่อมั่นและเชื่อถือจากสังคม และเป็นที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศด้วย
พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น พลเอก ณัฐพลฯ จึงได้มอบนโยบายการปฏิบัติงานสำคัญ-เร่งด่วน และพร้อมผลักดัน ขับเคลื่อน และอำนวยความสะดวก ในระดับนโยบาย กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้.-
1. แก้ปัญหาความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา โดยให้ความสำคัญกับการรักษาอธิปไตย ผลประโยชน์ของชาติ และความปลอดภัยของประชาชนเป็นลำดับแรก
2. พัฒนาพื้นที่ชายแดนให้เกื้อกูลต่อการเคลื่อนย้ายกำลัง การป้องกันชายแดน การป้องกันประเทศ และการปฏิบัติการทางทหารอื่นๆ
3. เสริมสร้างกองทัพให้มีศักยภาพและความพร้อม รองรับกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไป โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่
4. พัฒนากองทัพให้มีใครงสร้างที่เหมาะสม พร้อมรบ และทันสมัย รวมทั้งกำหนดสัดส่วนงบประมาณที่เหมาะสม ระหว่างงบประจำพื้นฐานและงบพัฒนากองทัพ
5. พัฒนาขีดความสามารถกำลังพลของกองทัพในการใช้เครื่องมือบรรเทาสาธารณภัยหน่วยงานพลเรือน และทำบันทึกความเข้าใจในการใช้งานร่วมกับส่วนราชการต่างๆ ให้สามารถเข้าช่วยเหลือประชาชนร่วมกันได้ทันที
6. พัฒนาระบบงานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศมุ่งสู่เชิงพาณิชย์ โดยร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ให้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ และลดการพึ่งพาการนำเข้า
7. พัฒนาศักยภาพและดูแลสิทธิสวัสดิการของกำลังพลชั้นผู้น้อย ทหารกองประจำการ ตลอดจนครอบครัว เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีคุณภาพ และมั่นคง
8. ยกระดับระบบการสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เพื่อดูแลทหารผ่านศึกและครอบครัว อย่างทั่วถึง รวดเร็ว มีคุณภาพ และยั่งยืน
พลเรือตรี สุรสันต์ฯ กล่าวเสริมว่า พลเอก ณัฐพลฯ ได้ชื่นชมกำลังพลทุกระดับที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ-อดทน เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ จากสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา จนเป็นที่ไว้วางใจ เชื่อมั่น และศรัทธาจากพี่น้องประชาชนชาวไทย สมศักดิ์ศรี “กองทัพของประชาชน”
โดยพลเอก ณัฐพลฯ ได้สั่งการเพิ่มเติมให้เร่งรัดการดูแลสิทธิและการบำรุงขวัญกำลังพลอย่างครบถ้วน พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือญาติและครอบครัวอย่างเต็มที่และเน้นย้ำการดำรงรักษาไว้ซึ่งภาพลักษณ์ที่ดีของทหารและกองทัพในสายตาประชาชน ทั้งในและนอกเวลาราชการ ตลอดจนการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีความรับผิดชอบ
#ข่าวจริงประเทศไทย #ชื่นชมกำลังพล #กองทัพ

“ศุภจี” มอบ 7 นโยบายเร่งด่วน “Quick Big Win” แก้ปัญหาเศรษฐกิจนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธ...
02/10/2025

“ศุภจี” มอบ 7 นโยบายเร่งด่วน “Quick Big Win” แก้ปัญหาเศรษฐกิจ
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และทูตพาณิชย์ประจำสถานทูตไทยในต่างประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ในระยะสั้นและระยะยาว โดยได้มอบ 7 นโยบายสำคัญ ภายใต้แนวทาง “Quick Big Win” ที่มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจโดยเร็ว พร้อมสร้างรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืน โดยย้ำว่า “การทำงานของกระทรวงต้องยึดหลัก ร่วมมือ–โปร่งใส–ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด”
หลังจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29–30 กันยายน2568 กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางการทำงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมี 7 เรื่องหลักที่จะเร่งดำเนินการ และการร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายในวันนี้ ไม่ใช่เพียง Quick Win แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและพี่น้องประชาชน ดังนี้
1. ภาษีสหรัฐฯ และการเจรจาการค้า
เร่งสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐอเมริกา
2. การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ
3. FTA และบุกตลาดใหม่ ไทยมี FTA (Free Trade Agreement) 14ฉบับกับ 18 ประเทศ ได้แก่ FTA ไทย–เอฟตา ให้มีผลบังคับใช้ภายในครึ่งแรกปี 2569 FTA ไทย–อียู
4. ดูแลค่าครองชีพประชาชน เดินหน้าจัดมหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้งต่อปี ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี
5. รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีผลผลิตกว่า 21.8 ล้านตัน
6. เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย สนับสนุนการเข้าถึงตลาดใหม่ (เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา) พัฒนาศักยภาพด้วยเทคโนโลยี สนับสนุนสินเชื่อ การใช้เครื่องหมายรับรองคุณภาพ
7. ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี เร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ รวมถึงการนำ AI มาช่วยวิเคราะห์อุปสงค์–อุปทานของสินค้า เพื่อให้มาตรการทางการค้าทันต่อสถานการณ์
ผลักดันให้นำสินค้าผลิตภัณฑ์เกษตรหรือสินค้าทั่วไป ขึ้นมาอยู่บนแพลตฟอร์มทั้งในและนอกประเทศ ให้องค์กรภาครัฐและเอกชน ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของแพลตฟอร์มร้องเรียน MOC Fondue ของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และดำเนินการอย่างครบวงจรแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว
#ศุภจีมอบ7นโยบายเร่งด่วน #แก้ปัญหาเศรษฐกิจ #กระทรวงพาณิชย์ #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง #ข่าวจริงประเทศไทย

ครม.ขยายเวลาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดงและม่วง 20 บาท ตลอดสาย ชี้ “รัฐบาลอนุทิน” ไม่เอาประชาชน มาเป็นตัวประกัน ย้ำประโยชน์ข...
01/10/2025

ครม.ขยายเวลาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดงและม่วง 20 บาท ตลอดสาย ชี้ “รัฐบาลอนุทิน” ไม่เอาประชาชน มาเป็นตัวประกัน ย้ำประโยชน์ของประชาชนต้องมาก่อน
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรี มีมติต่ออายุลดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดง และสายสีม่วง เนื่องจากเดิมทีรถไฟฟ้า 2 สายนี้ จะเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ไปจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 แต่ได้ปรับเวลาลดลงมาเป็น 30 กันยายน 2568 จึงเป็นสาเหตุให้ ครม. ต้องออกมติขยายเวลา เนื่องจากเป็นความไม่เรียบร้อยของการทำงานในรัฐบาลที่แล้ว
ทั้งนี้ รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เห็นว่าหากรัฐบาลเพิกเฉย คนที่เสียประโยชน์ก็คือประชาชน จึงขยายระยะเวลาไปอีก 2 เดือน อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรี ยังมีความกังวลว่าการเก็บจะสะท้อนค่าใช้จ่ายที่แท้จริงหรือไม่ เพราะสิ่งที่รัฐบาลอยากจะทำให้เกิดขึ้น คือ
1. ประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริง
2. ค่าตั๋วโดยสารมีเสถียรภาพ คือต้องไม่เป็นภาระมากเกินไป
ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงได้ให้แนวทางกับกระทรวงคมนาคม ไปศึกษาการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ไม่ใช้การตัดสินใจ เพราะใคร หรือ พรรคการเมือง หรือรัฐบาลใด แต่ตัดสินใจบนพื้นฐานของประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ดังนั้นรัฐบาลต่างหากที่เข้ามาแก้ปัญหา มาเก็บกวาดความไม่เรียบร้อยของรัฐบาลที่แล้ว
ส่วนกรณีที่พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเดิม ออกมาเคลมว่าเป็นผลงาน นายสิริพงศ์ ระบุว่า เข้าใจได้ เพราะเราทำ เขาก็เคลม เราไม่ทำเขาก็ตำหนิ แต่เราไม่สามารถเอาประชาชน มาเป็นตัวประกัน จะเคลมก็เคลมไป แต่ที่ท่านนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจทำ เพราะเป็นห่วงประชาชน ประโยชน์ของประชาชนมาก่อนประโยชน์พรรคการเมือง ส่วนใครจะมีความสุขกับการเคลม ก็แล้วแต่

#ข่าวจริงประเทศไทย #รถไฟฟ้า20บาท #สายสีแดง #สายสีม่วง #รัฐบาลอนุทิน #ลดภาระค่าครองชีพ #คมนาคม

ที่อยู่

90-91 ถ. เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง
Bangkok
10310

เบอร์โทรศัพท์

+6622488622

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ข่าวจริงประเทศไทยผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ข่าวจริงประเทศไทย:

แชร์

ข่าวจริงประเทศไทย

Official page ของ ข่าวจริงประเทศไทย จากช่องทาง Line@ ที่นำเสนอข่าวจริง ตีแผ่ข่าวลวง อย่างกระชับ กลมกล่อม และเชื่อถือได้ ติดตามช่องทางหลักอย่าง Line@: @realnewsthailand หรือเฟสบุ๊ค Official ในเพจข่าวจริงประเทศไทย ที่นี่เท่านั้น! https://www.facebook.com/realnewsthailand