Mini Me Studio Mini Me Studio บริษัทรับผลิตสื่อทุกรูปแบบด้?

ภาพเคลื่อนไหว

- Video Presentation
- รายการและสารคดี
- ประชาสัมพันธ์กิจการเพื่อสังคม
- รับตัดต่อ และทำดนตรีประกอบ

เวิร์กช้อป

- ลงพื้นที่ให้ความรู้และวิธีการทำสื่ออย่างสร้างสรรค์ให้กับ ชุมชน ชาวบ้าน เด็กและเยาวชน

งานเขียน

- เขียนบท ภาพยนตร์ รายการ และแอนิเมชั่น
- บทความ จากการลงพื้นที่สังเกตการณ์ บทสัมภาษณ์และบทความทั่วไป
- วาดภาพประกอบ
- หนังสือ (บรรณาธิการ, นักเขียน)

27/09/2025

ซูฉี คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม จาก Girl หนังเรื่องแรกที่เทศกาลปูซาน
หนึ่งในนักแสดงสาวขวัญใจชาวไทยในยุค 90s อย่าง ซูฉี ที่มีผลงานอย่าง Viva Erotica, City of Glass และ The Transporter ปัจจุบันเธอก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เต็มตัวแล้วกับผลงานเรื่องแรก ‘Girl’ ที่เข้าร่วมประกวดในภาพยนตร์นานาชาติปูซาน ปี 2025 และคว้ารางวัลใหญ่อย่าง ผู้กำกับยอดเยี่ยมมาครอบครอง
ซูฉี ได้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีมอบรางวัลเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาว่า “ขอบคุณนักแสดงและทีมงานของภาพยนตร์เรื่อง Girl และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โฮ่วเซียวเซียน หากไม่มีเขา ก็คงไม่มีภาพยนตร์เรื่องนี้หรือรางวัลนี้"
โฮ่วเซียวเซียน (Hou Hsiao-hsien) คือผู้กำกับบรมครูชาวไต้หวัน ผู้กำกับคู่บุญของ ซูฉี ที่พาเธอไปไล่ล่าความสำเร็จในเทศกาลภาพยนตร์มาแล้วทั่วโลก จาก Millennium Mambo, Three Times และ The Assassin
Girl เป็นภาพยนตร์ดราม่า Coming-of-Age ที่เล่าเรื่องราวของเด็กสาวผู้เก็บตัวที่พยายามจะเอาชนะความเจ็บปวดที่มีมาในอดีต เพราะเธอและแม่ต่างตกเป็นเหยื่อความรุนแรงที่กระทำโดยพ่อตนเอง จนเธอได้มาพบกับเด็กสาวอีกคนที่เหมือนขั้วตรงข้ามของชีวิต เป็นโลกอันสว่างสดใส และมีอิสระเสรี ทั้งคู่จึงพากันข้ามผ่านและเป็นแรงบันดาลใจให้แก่กัน
ก่อนลงจากเวที ซูฉีได้กล่าวแสดงความหวังต่อเหล่าเด็กสาวว่า "ขอให้เด็กผู้หญิงทุกคนที่เคยได้รับบาดเจ็บสามารถก้าวไปสู่อนาคตที่สดใสของตนเองได้”
Girl มีกำหนดเข้าฉายที่ไต้หวันในวันที่ 31 ตุลาคมนี้
#ซูฉี

26/09/2025

คนมันปวดหัวจะให้ทำไง? ไวรัลหญิงท้องกิน Tylenol ประชดทรัมป์
ช่วงนี้ที่สหรัฐอเมริกามีไวรัลใน TikTok ที่มีชื่อว่า ‘Chugging Tylenol’ เกี่ยวกับยา Tylenol (ไทลินอล) ยาแก้ปวดสามัญธรรมดาที่หาซื้อได้ทั่วไป โดยกระแสนี้เกิดขึ้นเมื่อเหล่าคุณแม่อุ้มท้องต่างพากันกรอกยาแก้ปวดเพื่ออวดให้โลกรู้ว่า “ฉันไม่เชื่อขี้ปากคนอย่างทรัมป์หรอกนะ”
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้แถลงผ่านทำเนียบขาวว่า “การกินยาแก้ปวดลดไข้ Tylenol ระหว่างการตั้งครรภ์ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะออทิซึม(ความผิดปกติทางพัฒนาการในเด็ก)” โดยขยายความว่ายา ‘อะเซตามิโนเฟน’ (Acetaminophen) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘พาราเซตามอน’ มีความเชื่อมโยงกับอัตราการเกิดออทิซึมที่สูงขึ้นในสหรัฐอเมริกา
หลังจากนั้นมีผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ก็ออกมาวิจารณ์ว่า ความเชื่อมโยงดังกล่าวยังไม่ได้รับการพิสูจน์ และไร้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ดร. ลูซี่ แมคไบรด์ (Dr. Lucy McBride) กล่าวในรายการ The Daily Mic Drop ว่า "โดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นคนสุดท้ายที่ฉันจะเชื่อเรื่องคำแนะนำทางการแพทย์" พร้อมเสริมว่า Tylenol คือหนึ่งในยาเพียงไม่กี่ตัวที่หญิงตั้งครรภ์สามารถใช้เพื่อลดไข้สูงได้ ซึ่งการปล่อยให้คุณแม่มีไข้สูงในระหว่างตั้งครรภ์เป็นอันตรายต่อทั้งแม่และเด็ก แถมยังเสี่ยงต่อความพิการแต่กำเนิดอีกด้วย
ฝั่งผู้ใช้ TikTok หนึ่งในคุณแม่ผู้ที่ทำคลิปกลืนยา Tylenol ชื่อ .kehl ได้กล่าวถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ (Robert F. Kennedy Jr.) ว่า “ฉันไม่รับคำแนะนำจากผู้ชายที่เคยมีภาวะติดเชื้อในสมองและติดเฮโรอีนมามากว่า 14 ปี หรอกนะ ฉันจะเชื่อถือแแต่แพทย์ของฉันที่มีใบปริญญา"
แม้จุดเริ่มต้นของกระแสนี้จะเป็นเพียงการจิกกัดคำพูดเลื่อนลอยไร้หลักฐานของทรัมป์ แต่การต่อต้านอย่างรุนแรงก็อาจส่งผลเสียเช่นกัน แอชิช จาห์ (Ashish Jha) ผู้ประสานงานการรับมือ โควิด-19 ในรัฐบาลของ โจ ไบเดน (Joe Biden) ได้ออกโรงเตือนในรายการ News Nation ว่า "ไม่ใช่ความคิดที่ดี ที่ผู้หญิงตั้งครรภ์จะกินยาแก้ปวดและลดไข้อย่างไม่มีเหตุผล เว้นเสียแต่จะมีความจำเป็น”
ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์ก็เชื่อว่า การประกาศนี้เป็นเพียงแค่ความห่วงใย มากกว่าความตั้งใจจะพรากสิทธิ์ เจฟฟรีย์ มีด (Jeffery Mead) ผู้ใช้ X ที่มีผู้ติดตามกว่า 4 แสนคน กล่าวว่า "ทรัมป์บอกให้ผู้คนระวังการกิน Tylenol เพื่อสุขภาพของพวกเขาและลูก แล้วผู้หญิงพวกนี้ทำอย่างไร? พวกเขากินมันเพื่อต่อต้านทรัมป์"
เรื่องนี้เป็นประเด็นเล็ก ๆ จากยาพาราเพียงเม็ดเดียว ที่กระทบความรู้สึกของผู้คนในวงกว้าง จากความเห็นต่างทางการเมือง สู่เรื่องสิทธิ์ และความอ่อนไหวของหญิงตั้งครรภ์
#ยาพารา #ไวรัล #คนท้อง

22/09/2025
18/09/2025

โค้ชหญิงผู้คุมทีมชายคนแรกในประวัติศาสตร์ NBA
เมื่อพูดถึงโค้ชกีฬา ภาพที่เราเห็นกันคุ้นตามักจะเป็นโค้ชชายที่ฝึกนักกีฬาทั้งทีมชายและหญิง แต่ในทางกลับกัน ภาพของโค้ชหญิงที่ฝึกสอนเหล่านักกีฬาเป็นสิ่งที่เราแทบไม่ได้เห็นเลย โดยเฉพาะกับทีมผู้ชาย สาเหตุก็อาจมาจากการที่ผู้หญิงถูกมองว่า มีความแตกต่างกับผู้ชายในทางกายภาพ จึงอาจทำให้ไม่สามารถฝึกนักกีฬาชายได้ ซึ่งเป็นมุมมองที่ค่อนข้างตื้น และเป็นการตัดโอกาสผู้หญิงที่อยากเป็นโค้ช ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว การฝึกกีฬาไม่ได้อาศัยแค่ในเรื่องกายภาพของโค้ชเท่านั้น แต่ความสามารถในการวิเคราะห์ การวางแผน และการสอนก็เป็นคุณสมบัติที่สำคัญเช่นกัน ซึ่งทักษะเหล่านี้ผู้หญิงสามารถทำได้ดี เพราะมีโค้ชหญิงคนหนึ่งได้พิสูจน์มาแล้ว
เบ็คกี้ แฮมมอน (Becky Hammon) อดีตนักบาสเกตบอลหญิงชาวอเมริกัน-รัสเซีย หนึ่งในตัวเต็งของ WNBA ผู้ที่ปัจจุบันเป็นที่รู้จักในฐานะหัวหน้าโค้ช Las Vegas Aces และที่สำคัญ เธอยังถูกจดจำในฐานะผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ NBA ที่ได้เป็นผู้ช่วยโค้ชเต็มเวลา รวมถึงการที่เธอได้ทำหน้าที่หัวหน้าโค้ชทีม San Antonio Spurs แม้เป็นเพียงระยะสั้น ๆ แต่ผลงานของแฮมมอนก็ยังถูกพูดถึงจนเท่าทุกวันนี้
แฮมมอนมีประสบการณ์ในวงการบาสเกตบอลมาเป็นเวลาหลายสิบปี และสร้างผลงานไว้มากมายในฐานะนักบาสเกตบอลหญิง WNBA ทั้งการได้ร่วมทีม New York Liberty และเป็นผู้ที่ทำแต้มสูงสุดใน WNBA ปี 2003, ได้รับเลือกให้เป็น All-Star ถึง 6 สมัย, เป็นผู้เล่นคนที่ 7 ในประวัติศาสตร์ที่ทำแต้มได้ถึง 5,000 คะแนน จนไปถึงในตอนที่เธอเล่นให้กับทีม San Antonio Silver Stars และพาทีมไปสู่รอบชิงชนะเลิศ WNBA เพราะเธอทำคะแนนได้สูง นอกจากนี้ แฮมมอนยังได้เข้าร่วมทีมชาติรัสเซียในการแข่งขันโอลิมปิกปี 2008 และคว้าเหรียญทองแดงมาได้
ในปี 2014 แฮมมอนประกาศวางมือในการเล่นบาสเกตบอล และในปีเดียวกัน โค้ชระดับตำนานอย่าง เกร็ก โปโปวิช (Gregg Popovich) จ้างให้เธอไปเป็นผู้ช่วยโค้ชคุมทีม San Antonio Spurs ซึ่งเป็นการเปลี่ยนบทบาทใหม่ไปอย่างสิ้นเชิง จนในปี 2015 เธอได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นโค้ชดูแลทีมในการแข่งซัมเมอร์ลีก โดยแฮมมอนก็ทำสำเร็จ พาทีมชิงแชมป์ซัมเมอร์ลีกมาได้ และในปี 2020 ขณะที่ Spurs กำลังดวลกับทีมแชมป์เก่า Los Angeles Laker แฮมมอนได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าโค้ชอย่างกะทันหัน เพราะโปโปวิชถูกไล่ออกระหว่างเกม เธอจึงต้องพยายามควบคุมทีมอยู่ข้างสนามอย่างเต็มเหนี่ยว ถึงสุดท้ายแล้วไม่ได้รับชัยชนะ แต่เหตุการณ์นี้ทำให้แฮมมอนถูกจดจำในฐานะโค้ชหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ลีก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเธอมีประสบการณ์มายาวนาน และมีผลงานมากมาย แต่ไม่วายถูกคนบางกลุ่มวิจารณ์ว่า เธอยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเป็นโค้ช NBA ได้ ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งก็ไม่พ้นเรื่องเพศสภาพของเธอ เป็นที่รู้กันดีว่าผู้หญิงมักจะถูกอคติหรือด้อยค่าในวงการกีฬา ทำให้การมีโค้ชหญิงดูแลทีมกีฬาเป็นภาพที่เห็นได้ค่อนข้างยาก โดยแฮมมอนเคยเล่าว่า เธอได้เข้าร่วมการสัมภาษณ์สำหรับตำแหน่งโค้ชหลายคร้้งจนนับไม่ถ้วน ในขณะที่ผู้ช่วยคนอื่น ๆ ของโปโปวิชได้ตำแหน่งโค้ชทีมอื่นไปแล้ว แต่เธอก็ยังถูกมองข้ามในศักยภาพเรื่อย ๆ แม้ว่าเธอมีประสบการณ์การเล่นบาสเกตบอลมาเป็นเวลา 16 ปีก็ตาม นั่นก็เพราะมันเป็นปีการเล่นในบาสเกตบอลหญิง ผลงานของเธอจึงถูกปัดตก แฮมมอนถึงกับออกปากเลยว่า “ถ้าฉันมีประสบการณ์การเล่น NBA มา 16 ปี และชื่อว่าไบรอัน ป่านนี้คงโดนจ้างและถูกไล่ออกไป 2-3 รอบแล้ว” ที่น่าน้อยใจยิ่งกว่านั้น โค้ชผู้ชายบางคนมีประวัติการเล่นปีน้อยกว่าเธอ แถมไม่เคยมีประสบการณ์การเป็นผู้ช่วยโค้ชมาก่อนด้วยซ้ำ แต่พวกเขายังได้รับโอกาสในการทำหน้าที่นี้
แฮมมอนยังเคยโดนผู้บริหารบางคนถามตรง ๆ ว่า ‘ทำไมถึงคิดว่าผู้ชายถึงจะยอมทำตามคำสั่งของเธอล่ะ’ ซึ่งเธอคิดว่ามันเป็นคำถามที่ประหลาด เหตุการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำถึงการที่ผู้หญิงมักจะโดนดูถูกในศักยภาพการทำงาน หรือการไม่ถูกยอมรับให้ทำงานในตำแหน่งผู้นำ ซึ่งก็ชวนมาตั้งคำถามอีกว่า เพศสภาพนั้นมีผลต่อการเป็นผู้นำด้วยหรอ?
แม้ต้องพบกับความผิดหวัง แฮมมอนยังคงเลือกเดินหน้าต่อ จนในปี 2021 เธอได้มาเป็นโค้ชฝั่ง WNBA และคุมทีมที่เธอเคยเล่นมาก่อนอย่าง Las Vegas Aces (ชื่อเดิม San Antonio Silver Stars) ซึ่งการกลับมารอบนี้ของเธอก็ยังสร้างความประทับใจให้กับผู้คน เพราะความเชี่ยวชาญของเธอพาทีม Aces คว้าแชมป์ WNBA มาได้ 2 ปีซ้อนในปี 2022 และ 2023 ทำให้เธอเป็นโค้ชหน้าใหม่คนแรกที่พาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ และเป็นโค้ชคนแรกในรอบ 20 ปีที่คว้าแชมป์ได้ 2 ปีติดกัน นอกจากนี้ แฮมมอนยังได้รับรางวัลโค้ชยอดเยี่ยมแห่งปี 2022 ของ WNBA อีกด้วย
ถึงตอนนี้แฮมมอนมีความสุขกับการได้เป็นโค้ช WNBA แต่สุดท้ายแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าวันนั้นมีผู้บริหารของทีมใดทีมหนึ่งเปิดใจและให้โอกาสเธอทำหน้าที่โค้ช NBA บางทีเธออาจพาทีมนั้นไปได้ไกลกว่าที่เขาสบประมาทเธอไว้ก็ได้

17/09/2025
16/09/2025

จ้อจี้รึเปล่า คนขาวทาตัวดำ เรื่องขำสุดขมปมการเหยียดผิว
มีภาพไวรัลงานแต่งงานของหนุ่มชาวจีน กับเจ้าสาวผิวสี โดยเจ้าบ่าวลงทุนทาตัวเป็นสีดำในวันวิวาห์ ข่าวนี้ถูกโพสต์ลงบนโลกโซเชียลโดยไม่มีที่มา หาเจอใน X ที่เป็นภาษาจีนเพียงไม่กี่แห่ง แต่คอมเมนต์ของชาวไทยกลับแห่สรรเสริญหนุ่มจีนผิวขาว และอวยยศเจ้าสาวว่าหน้าตาสะสวยแม้จะมีผิวดำ
เรื่องนี้ถูกดัดแปลงให้เป็นเรื่องเล่าสุดโรแมนติก เพื่อปกปิดประวัติศาสตร์อันดำมืดเอาไว้
ในประเทศสหรัฐอเมริกาช่วงศตวรรษที่ 19 มีการแสดงที่ได้รับความนิยมอย่างมากชื่อว่า Minstrel Show ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะคือ ใช้นักแสดงผิวขาวแต่งหน้าทาตัวเป็นคนดำ (blackface) เพื่อสร้างความบันเทิง ทั้งร้องรำทำเพลง แสดงละคร ที่นำเสนอมุมมองแบบเหมารวม (stereotypes) ของคนผิวดำที่คนขาวมองว่าพวกเขาเป็นคนโง่ ล้าหลัง ไร้อารยธรรม ขี้เกียจ งมงาย และร่าเริงจนน่ารำคาญ
ตัวละครที่ปรากฏใน Minstrel Show อยู่บ่อย ๆ คือ Jim Crow ชายผิวดำที่ร้องเล่นเต้นรำ ในชุดสูทมอซอ มีต้นกำเนิดมาจากการแสดงเพลง Jump Jim Crow ของ โทมัส ดี. ไรซ์ (Thomas D. Rice) นักแสดงทาหน้าดำ (blackface) ผู้เลื่องชื่อ จนทำให้ ‘จิม โครว์’ กลายเป็นตัวละครหลักที่ถูกใช้ตลอดการแสดง Minstrel Show ทั่วสหรัฐอเมริกา
ความฮิตติดลมบนของ ‘จิม โครว์’ ทำให้คำนี้ถูกนำมาใช้เป็นคำดูถูก เหยียดหยาม และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้มีเชื้อสายแอฟริกันอเมริกัน ไม่ต่างกับคำว่า ลาว เจ๊ก ยุ่น ที่คนไทยนิยมใช้กัน แต่ในเวลาต่อมา Jim Crow ได้กลายเป็นคำพ้องความหมายกับ กฎหมายการแบ่งแยกและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือ Jim Crow Laws
จากความขบขันสู่ความขมขื่น เมื่อกฎหมาย Jim Crow Laws ถูกบังคับใช้จริง
คำจำกัดความง่าย ๆ ของ Jim Crow Laws คือ “การเหยียดผิวอย่างถูกกฎหมาย” ผลักดันให้คนผิวสีกลายเป็นพลเมืองชั้นสองโดยสมบูรณ์ ด้วยการบังคับแบ่งแยกเชื้อชาติอย่างเข้มงวด คนดำไม่สามารถเรียนหนังสือ ใช้โรงพยาบาล นั่งรถเมล์ ดูหนัง หรือเข้าห้องน้ำร่วมกับคนขาวได้ และที่เลวร้ายที่สุดคือ การจำกัดสิทธิ์เลือกตั้ง เพราะคนขาวเชื่อว่าคนดำโง่เขลาและมีเสียงที่ด้อยคุณภาพ หากอยากมีสิทธิ์เลือกตั้ง คนดำต้องเข้าห้องสอบเพื่อผ่านเกณฑ์ความรู้พื้นฐานและด้านภาษี
ส่วนการแสดง Minstrel Show จากที่เคยเป็นความบันเทิงระดับชาติ ก็ค่อย ๆ เสื่อมความนิยมไปเพราะความเบื่อหน่ายจากเนื้อหาที่ผลิตซ้ำซาก มิใช่การตระหนักรู้ถึงความเท่าเทียมแต่อย่างใด การเหยียดผิวยังคงฝังรากลึกลงไปจนถอนตัวไม่ขึ้นไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
ในปี 2000 ผู้กำกับผิวสีจอมดีเดือดอย่าง สไปค์ ลี (Spike Lee) ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Bamboozled เกี่ยวกับผู้ผลิตรายการทีวีที่เบื่อหน่ายการเหยียดผิวในสถานีโทรทัศน์ CNS เขาจึงสร้าง ‘รายการที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก’ อย่าง Mantan: The New Millennium Minstrel Show ขึ้นมา โดยมีต้นแบบมาจาก Minstrel Show การแสดงสุดอัปยศจากศตวรรษที่ 19 เพื่อให้ตัวเองถูกไล่ออก และช่อง CNS จะได้ถูกกระชากหน้ากากเสียที
แต่ผลลัพธ์คือ รายการ Mantan: The New Millennium Minstrel Show เป็นที่นิยมอย่างล้มหลาม ไม่ใช่แค่จากฝั่งคนขาว แต่คนดำด้วยกันเองก็เฮฮาไปกับมุขตลกเหยียดคนดำที่ทำการแสดงโดยคนขาวทาตัวดำ แถมยังผลักดันให้นักแสดงข้างถนน กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ชั่วข้ามคืน
เรื่องเสียดสีซ้อนเหยียดสีนี้ สะท้อนความเป็นจริงที่ว่า ลึก ๆ แล้วผู้คนยังคงเหยียดและเกลียดชังผู้ที่มีความต่าง ทั้งเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา หรือความเห็นต่างด้านการเมือง โดยมองว่าพวกเขาต้อยต่ำ ไร้ปัญญา และน่ารังเกียจ แต่พยายามกลบฝังมันผ่านของความตลก หรือสร้างเรื่องราวโรแมนติกเพื่อบดบังการด้อยค่า แต่เมื่อลบสีดำสุดอัปลักษณ์ที่ทาตัวออกไป พวกเขาก็จะกลับมาสูงส่งเหมือนเดิม
#คนดำ #ไวรัล

15/09/2025

ปราบผีได้เงินไหม? คู่รัก Warrens หาเงินกันยังไง? [Move มันส์ 🍿]

The Conjuring: Last Rites หนังภาคสุดท้ายของคู่รักนักปราบผีอย่าง Ed และ Lorraine Warren แต่ไม่ว่าจะดูมากี่ภาค แก้มากี่คดี ก็ไม่เห็นจะมีใครจ่ายตังค์ แล้วพวกเขาเอาเงินมาจากไหน ติดตามได้ใน Move มันส์ มูฟให้มันส์เรื่องการเงินและบันเทิง กับ ทักษ์ ทัพสุริย์

🔗 https://youtu.be/YpPFQIe8JJg

ันส์

15/09/2025
15/09/2025

รู้จักเด็ก Gen Alpha เมื่อเขาลงมือฆ่าใครสักคน
Adolescence เป็นมินิซีรีส์ที่สร้างปรากฏการณ์ “รายการจากสหราชอาณาจักรที่มีผู้ชมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ด้วยยอดผู้ชมสูงถึง 66.3 ล้าน ในไม่ถึง 2 สัปดาห์แรก (จากจำนวนทั้งหมด 4 ตอน) และขึ้นอันดับหนึ่งถึง 70 ประเทศทั่วโลก รวมถึงกระแสจากฟากฝั่งนักวิจารณ์ที่ดีเยี่ยม กลายเป็น Talk of the town อย่างกว้างขวาง รวมถึงการที่ อีลอน มักส์ ได้ออกมาต่อต้านเรื่อง race-swapping หรือ การสลับเชื้อชาติ ให้ผู้ก่อเหตุที่ต้นทางเป็นวัยรุ่นผิวสี กลายเป็นเด็กชายผิวขาว ก็ยิ่งหล่อเลี้ยงกระแสให้ซีรีส์เรื่องนี้ร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง
“พศวีร์ - มาร์คคริส - ขุนพล - ชุติวัฒน์ - คิมจินวุค - ชญานนท์ - ณัฐกิตติ์ - ภูธัชชัย - เดชาวัต - อชิรกรณ์ - จั๋งธีร์ - ภีมวสุ B-U-S BUS is twelve B-U-S BUS is twelve” นี่คือแฟนชานท์ หรือการส่งเสียงตามจังหวะเพลงเพื่อเป็นการเชียร์และให้กำลังใจศิลปินที่ชื่นชอบ ของ วง Bus บอยแบนด์ชื่อดัง ที่กลายเป็นเหมือนสิ่งที่เด็ก Gen Alpha ทุกคนต้องท่องได้
วรรคก่อนหน้านี้กลายเป็นมีม (MEME) หรือเรื่องตลกที่ฉายภาพ ‘ระยะห่าง’ ระหว่างเด็ก กับผู้ใหญ่สมัยนี้ แม้ความจริงแล้ว แฟนชานท์ และการยิงมิกซ์ จะเป็นวัฒนธรรมย่อย (Subculture) ที่อยู่มานาน ร่วมสมัยในหมู่ผู้นิยม K-pop, J-pop หรือ Idol ในประเทศไทยมาตลอด แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ ‘การถูกรับรู้’ มันสร้างความเข้าใจ หรือยิ่งสร้างความห่างเหินให้มากขึ้นกันแน่
คำว่า Adolescence เป็นคำศัพท์ที่แปลว่า วัยรุ่น หรือ ช่วงวัยรุ่น เฉพาะเจาะจงไปที่การเจริญเติบโตทางร่างกายและจิตใจ ความคิด อารมณ์ สังคม ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น ซีรีส์เรื่องนี้จึงเปิดเรื่องด้วยการจับกุมตัว เจมี มิลเลอร์ (แสดงโดย Owen Cooper) เด็กชายผิวขาววัย 13 ปี ที่บ้านของเขา ต่อหน้าต่อตาพ่อแม่ และพี่สาวของตัวเอง เนื่องจากเขาเป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมเด็กสาวในโรงเรียนเดียวกัน โดยใช้มีดจ้วงแทงเธอ 7 แผลจนถึงแก่ความตาย
เขาก่อเหตุจริงไหม? เป็นคำถามที่อยู่ในใจครอบครัวและผู้ชมในช่วงแรก แต่ความจริงจังที่เกิดขึ้นทั้งการบุกจับ รวมทั้งกักขังเยาวชนไว้ในสถานีตำรวจ ก็ทำให้เราเผื่อใจเอาไว้ลึกๆ ว่า “เขาน่าจะเป็นผู้ก่อเหตุตัวจริง” แล้วแบบนี้เรื่องก็จบตั้งแต่เริ่มงั้นหรือ
สิ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่อง Adolescence แตกต่างและทรงคุณค่าคือ ความสมจริง ด้วยการถ่ายทำแบบ Long Take ใช้กล้องเพียงตัวเดียวถ่ายต่อเนื่องโดยไม่อาศัยการตัดต่อ และรายละเอียดที่ทำให้เราล่วงรู้ ‘วิธีจัดการกับคดีเยาวชน’ ในประเทศอังกฤษอย่างชัดเจนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มตั้งแต่การแจ้งสิทธิ์ให้ผู้ต้องหาที่เป็นเยาวชนอย่างเคร่งครัด, นำตัวไปแยกกักขังเดี่ยว, ให้ผู้ต้องหาแต่งตั้งผู้ปกครอง 1 คน (พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่ง) เพื่อนั่งฟังระหว่างสอบปากคำ, หาทนายที่หน่วยงานจัดหามาเพื่อดูแลผู้ต้องหาคดีเยาวชนโดยเฉพาะ, นำผู้ต้องหาไปตรวจเลือดและหาหลักฐานบนร่างกายโดยต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองและทนาย ก่อนจะนำตัวไปสอบปากคำ
สิ่งนี้แสดงให้เห็นความละเอียดอ่อนและใส่ใจในความถูกต้องเมื่อต้องรับมือกับคดีเยาวชน แถมยังเป็นคดีใหญ่ที่สะเทือนขวัญคนทั้งประเทศ Adolescence แบ่งการเล่าเรื่องเป็น 4 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 วันจับกุมตัว ตอนที่ 2 การสอบสวนที่โรงเรียนในสามวันถัดมา ตอนที่ 3 คือการเข้าพบ เจมี มิลเลอร์ ที่อยู่ในศูนย์ฝึกหัดเยาวชนได้ 7 เดือน ของนักจิตวิทยาเด็ก และตอนสุดท้าย คือเหตุการณ์ในครอบครัว มิลเลอร์ เมื่อเรื่องราวผ่านไป 13 เดือน
อย่างที่กล่าวมาข้างต้น หลายคน (โดยเฉพาะ อีลอน มักส์) ต่างเชื่อว่า ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคดีฆาตกรรม Elianne Andam โดยมีผู้ก่อเหตุคือ Hassan Sentamu หนุ่มผิวดำวัย 17 ปี ซึ่งเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตไป และต่อให้เป็นคดีที่คล้ายคลึงกัน ผู้สร้างก็ได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่า Adolescence ไม่ได้สร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากอาชญากรรมจริงใดๆ และไม่ใช่การปลุกระดมต่อต้านคนผิวขาวอย่างที่ถูกกล่าวหา
ซึ่งผู้เขียนเองก็เห็นด้วยตามนั้น เพราะเจตนาของซีรีส์ที่เลือกเจาะลึกคดีที่ก่อเหตุโดยเยาวชนอายุ 13 ปี ก็เพื่อสำรวจแรงจูงใจ (Motivation) ของเด็ก Gen Alpha ซึ่งเกิดในปี 2010-2024 โดยประมาณ มากกว่าจะมุ่งเน้นไปที่วัยรุ่น Gen Z โดยเฉพาะตอนที่ 3 ซึ่งเป็นการตั้งคำถาม ที่บานปลายจนกลายเป็นการโต้เถียง ระหว่าง เจมี กับ ดร.เฮเลน นักจิตวิทยาเด็กที่เข้ามาตรวจสอบสภาพจิตใจ เพื่อค้นหาเหตุผลและแรงจูงใจในการก่อเหตุ
ตอนนี้นอกจากการแสดงสุดเข้มข้นแล้ว เรายังได้เห็นการตอบคำถามที่กระเทาะเปลืองของตัวละคร ความหวาดกลัวของผู้ใหญ่ที่มีต่อการ ‘ไม่รู้จัก’ เด็กรุ่นใหม่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพฤติกรรมที่คาดไม่ถึง ความก้าวร้าวรุนแรง และความรู้สึกนึกคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
Adolescence ใช้เงื่อนไขของความเป็นซีรีส์อาชญากรรมสืบสวนสอบสวน เพื่อสะท้อนความเหนื่อยล้าของผู้ใหญ่ที่พยายามจะทำความเข้าใจ Gen Alpha อย่างถึงที่สุด แต่เหมือนยิ่งวิ่งตามเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งไกลห่างออกไปทุกที เด็ก ๆ มักจะมีเรื่องราวใหม่ ๆ คำศัพท์ใหม่ ๆ การรับรู้ใหม่ ๆ พฤติกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยมิติทางสังคม ทางเศรษฐกิจ หรือต้องการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ยังคงต้องวิ่งตามเด็ก Gen นี้ต่อไป เพราะยังไงวันหนึ่งเขาก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ขับเคลื่อนโลกใบนี้

#ซีรี่ย์ #วัยรุ่น

14/09/2025
12/09/2025

ทีมกู้ภัยทำสิ่งนี้ให้น้องหมา เมื่อหยุดหาผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์ 9/11
11 กันยายน 2025 เป็นวันครบรอบ 24 ปี โศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญที่สุดในโลกยุคใหม่อย่าง 9/11 หรือเหตุก่อการร้ายที่จับตัวประกันบนเครื่องบินพาณิชย์ ไปพุ่งชนอาคารคู่แฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในปี 2001
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ความช่วยเหลือจากทุกสารทิศทั่วสหรัฐอเมริกาก็มุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่ใจกลางความเสียหาย และหนึ่งในนั้นคือ ‘ทีมสุนัขกู้ภัย’ ฮีโร่สี่ขากว่า 300 ชีวิต ที่ถูกฝึกฝนด้านการค้นหาและกู้ภัยมาอย่างชำนาญ
โดยสุนัขเหล่านี้ผ่านการรับรองจาก FEMA (Federal Emergency Management Agency) ว่ามีความเชี่ยวชาญด้านการตอบสนองต่อภัยพิบัติเป็นพิเศษ และถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อตามหากลิ่นมนุษย์ที่ยังมีชีวิต โดยภารกิจกู้ร่างใต้ซากปรักหักพังนี้ ผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย ถูกช่วยเหลือหลังอาคารถล่มมาแล้วถึง 27 ชั่วโมง และผู้ที่ค้นพบก็คือสุนัขกู้ภัยเหล่านี้
แม้เวลาจะผ่านไปหลายวัน หน่วยงานกับอาสาสมัครทุกคนโรยแรงและสิ้นหวัง แต่ยังมีเจ้าตูบที่คอยปฏิบัติหน้าที่เคียงข้างอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ปีนป่ายซากตึกขนาดมหึมาท่ามกลางความร้อนจากเปลวเพลิงที่ยังคงครุกรุ่น ทีมกู้ภัยเริ่มรับรู้ชะตากรรมว่าคงไม่มีใครเหลือรอดจากเหตุการณ์นี้ แต่ติดปัญหาที่น้องหมาทั้ง 300 ชีวิตไม่สามารถรับรู้เรื่องนี้ไปกับพวกเขาได้ แล้วมนุษย์จะทำอย่างไรเพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่าภารกิจสิ้นสุดลงแล้ว
ในความคิดของสุนัขเหล่านี้ ผู้รอดชีวิตยังคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพื่อเป็นการตอบแทนความพยายาม เจ้าหน้าที่จึง “จัดการค้นหาหลอก ๆ” ขึ้นมา เพื่อให้น้องหมารู้สึกประสบความสำเร็จที่ได้พบผู้รอดชีวิตเพิ่มเติม และภารกิจของพวกเขาได้ลุล่วงเรียบร้อยแล้ว
นี่คือแสงสว่างเล็ก ๆ ภายใต้ความมืดหม่นของเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เรื่องราวความอบอุ่นระหว่างมนุษย์และสัตว์ที่ทำให้เห็นแก่นแท้ในจิตใจ โดยไม่มีเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา หรือผลประโยชน์อันใดมาขวางกั้น
#สุนัขกู้ภัย

10/09/2025

ที่อยู่

175/6 ถนนพระปิ่นเกล้า บางกอกน้อย
Bangkok
10700

เบอร์โทรศัพท์

+66816599120

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Mini Me Studioผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Mini Me Studio:

แชร์