สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน

สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน หนังสือสุขภาพ สำหรับทุกครอบครัว

เปิดตัวโครงการความร่วมมือสู่เครือข่ายความเป็นเลิศด้าน “การคัดกรองโรคไต” ระดับประเทศครั้งแรกตั้งเป้าสร้างความตระหนักรู้แล...
03/09/2025

เปิดตัวโครงการความร่วมมือสู่เครือข่ายความเป็นเลิศ
ด้าน “การคัดกรองโรคไต” ระดับประเทศครั้งแรก
ตั้งเป้าสร้างความตระหนักรู้และตรวจคัดกรองสุขภาพไตคนไทย ๗.๒ ล้านคน ภายใน ปี พ.ศ. ๒๕๗๐

เครือข่ายพันธมิตรระดับประเทศ นำโดยกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย เปิดตัว “โครงการความร่วมมือสู่เครือข่ายความเป็นเลิศด้านการคัดกรองโรคไต” เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้โครงการ ‘คนไทย ๗.๒ ล้านคนรู้ค่าความเสี่ยงโรคไต’ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มุ่งยกระดับการตรวจคัดกรองและการดูแลโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) ระยะเริ่มต้นอย่างเป็นระบบ ตั้งเป้าคัดกรองกลุ่มเสี่ยงทั่วประเทศกว่า ๗.๒ ล้านคน ภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๐ โดยความร่วมมือครั้งนี้มุ่งขับเคลื่อนผ่าน ๓ แนวทางสำคัญ ได้แก่
๑. การพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ป่วย (CKD registry) และโปรแกรมแผนผังแสดงค่าความเสี่ยงโรคไตในประเทศไทย (CKD Dashboard) เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดูแลรักษาและสนับสนุนงานวิจัยในอนาคต
๒. การตรวจคัดกรองด้วยแผ่นทดสอบปัสสาวะ (Urine Dipsticks) สำหรับตรวจโปรตีนในปัสสาวะ ซึ่งเป็นแนวทางมาตรฐานสากลที่สะดวก รวดเร็ว และคุ้มค่า
๓. เสริมสร้างองค์ความรู้แก่ อสม. เพื่อเชื่อมโยงการเข้าถึงการตรวจคัดกรองสู่ระดับชุมชน และสร้างความตระหนักรู้เชิงรุกในวงกว้าง
ทั้งหมดนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของประเทศไทยในการพัฒนาระบบคัดกรองโรคไตเชิงรุกที่ครอบคลุมและยั่งยืน พร้อมทั้งเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสเจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา
นายแพทย์กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคไตเรื้อรัง นับเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ โดยประเทศไทยติดอันดับ ๑ ใน ๕ ของประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคไตเรื้อรังสูงที่สุด ในปัจจุบัน มีผู้ป่วยประมาณ ๙.๗ ล้านคน และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ มีผู้เข้าสู่ระบบรักษามากถึง ๑.๑๒ ล้านคน ซึ่งแนวโน้มยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจรวมกว่า ๑.๖ ล้านล้านบาทต่อปี กระทรวงสาธารณสุข จึงได้เร่งวางแนวทางจัดการโรคไตเรื้อรัง ผ่านโครงการต่างๆ โดยหนึ่งในโครงการสำคัญคือ ‘โครงการคนไทย ๗.๒ ล้านคน รู้ค่าความเสี่ยงโรคไต’ ภายใต้โครงการป้องกันโรคไตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ตั้งเป้าคัดกรองกลุ่มเสี่ยงทั่วประเทศกว่า ๗.๒ ล้านคน ภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๐ เพื่อให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะเริ่มต้นได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที”
“ปัญหาดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการผสานกำลังทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการร่วมมือแก้ไขปัญหาโรคไตอย่างเป็นระบบ และก่อให้เกิดการป้องกันในระยะยาว การเปิดตัว “โครงการความร่วมมือสู่เครือข่ายความเป็นเลิศด้านการคัดกรองโรคไต” ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมี แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย ในฐานะพันธมิตรภาคเอกชนชั้นนำ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะต่อยอดภารกิจดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยได้ดำเนินการผ่าน ๓ แนวทางหลัก ได้แก่ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ป่วย (CKD registry) และแดชบอร์ดสำหรับติดตาม ประเมิน และบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการรักษาและงานวิจัยในอนาคต การสนับสนุนชุดทดสอบปัสสาวะเพื่อขยายการตรวจคัดกรองครอบคลุมทั้ง ๑๓ เขตสุขภาพทั่วประเทศ และการเสริมสร้างองค์ความรู้แก่ อสม. เพื่อเพิ่มการเข้าถึง สร้างความตระหนักถึงความเสี่ยงของโรคไต และส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในระดับชุมชน อันจะนำไปสู่ระบบสาธารณสุขไทยที่แข็งแกร่ง ครอบคลุม และยั่งยืน”
นายแพทย์วุฒิเดช โอภาศเจริญสุข นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า “โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาสุขภาพระดับโลก โดยทั่วโลกพบผู้ป่วยกว่า ๘๕๐ ล้านคน และหลายล้านคนอยู่ในระยะสุดท้ายที่ต้องบำบัดทดแทนไต สำหรับประเทศไทยก็มีผู้ป่วยจำนวนมากในภาวะน่าเป็นห่วง ส่งผลให้ต้องใช้งบประมาณสูงในการฟอกไต ล้างไต หรือปลูกถ่ายไต รัฐต้องใช้งบกว่า ๒๖,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี หรือราว ๙–๑๐% ของงบสาธารณสุขทั้งหมด โดยปัญหาหลักคือการขาดความตระหนักถึงความจำเป็นในการตรวจคัดกรองโรคไตในระยะต้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะพบโรคเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายและเมื่อมีอาการ อาทิ อ่อนเพลีย บวม หรือของเสียคั่ง กลุ่มเสี่ยงสำคัญคือผู้ป่วยเบาหวาน โดย ๔ ใน ๑๐ มีโอกาสเป็นโรคไต รองลงมาคือผู้ป่วยความดันเลือดสูงและโรคทางเดินปัสสาวะตามลำดับ”
“สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยได้ตระหนักถึงภัยเงียบนี้มาโดยตลอด และดำเนินโครงการให้ความรู้ต่อเนื่อง เช่น ‘ลดเค็ม ลดความดัน ลดโรคไต’ และสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่จะตอบโจทย์ปัญหาคือการตรวจคัดกรองเชิงรุก เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรองตั้งแต่ระยะแรก ความร่วมมือระดับชาติครั้งนี้จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะช่วยชะลอและกำจัดโรคไตได้อย่างเป็นระบบ ผ่านการช่วยเสริมสร้างความตระหนักรู้ต่อการดูแลไตให้แก่คนไทยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ครอบครัว บุคลากรทางแพทย์ และสังคม เพื่อหยุดยั้งโรคไตเรื้อรังและยกระดับสุขภาพคนไทยให้ก้าวไปข้างหน้า” นายแพทย์วุฒิเดช กล่าวเสริม
ปัจจุบัน การตรวจคัดกรองโรคไตสามารถทำได้หลายวิธี โดยหนึ่งในนั้นคือ การตรวจปัสสาวะด้วยแผ่นทดสอบปัสสาวะ (Urine Dipsticks) ที่ตรวจหาค่าโปรตีนชนิดอัลบูมินที่ไหลรั่วมาในปัสสาวะ เป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติของการทำงานไต ซึ่งเป็นแนวทางเวชปฏิบัติมาตรฐานทั่วโลกที่ช่วยประเมินสุขภาพไตเบื้องต้นได้สะดวก รวดเร็ว และคุ้มค่า
นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets กล่าวว่า “การรับมือกับโรคไตเรื้อรัง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการคัดกรองตั้งแต่ระยะแรกซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการลดภาระโรค และยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วย แอสตร้าเซนเนก้ารู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐให้เข้ามาเป็นพันธมิตรในโครงการความร่วมมือครั้งนี้ โดยพร้อมสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเสริมศักยภาพการคัดกรองและการดูแลรักษา ทั้งการพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ป่วยและแดชบอร์ดติดตาม การสนับสนุนเครื่องมือคัดกรองเบื้องต้น รวมถึงการส่งเสริมองค์ความรู้ผ่านเครือข่าย อสม. ซึ่งความร่วมมือเหล่านี้สะท้อนพันธกิจ ACT on CKD ของแอสตร้าเซนเนก้าทั่วโลก ที่มุ่งเปลี่ยนผ่านระบบการดูแลสุขภาพไตจากการรักษามุ่งสู่การป้องกัน เพื่อสร้างระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และมอบโอกาสการดูแลที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้ป่วย”
นายธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “แม้ปัจจุบัน การรักษาโรคไตจะบรรจุอยู่ในสิทธิการรักษาภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ผู้ป่วยโรคไตยังคงต้องเผชิญความท้าทายในชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านการเข้าถึงบริการรักษาและค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับ ความร่วมมือระดับชาติระหว่างภาครัฐและเอกชนในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ประชาชนได้รับการตรวจคัดกรองตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ทำให้สามารถพบโรคได้ไว และรักษาได้ทันท่วงที ก่อนที่โรคจะลุกลามไปสู่ระยะอันตราย ซึ่งช่วยลดภาระของผู้ป่วยและครอบครัว พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพโดยรวมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”
ภายในงานเปิดตัวความร่วมมือในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร อาทิ พญ. สุขฤทัย เลขยานนท์ อายุรแพทย์โรคไต ผู้แทนจากมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย, นพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, นพ.วุฒิเดช โอภาศเจริญสุข นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย, รศ.พญ.วรางคณา พิชัยวงศ์ เลขาธิการคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาโรคไต กระทรวงสาธารณสุข และนายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets

ข้อมูลเพิ่มเติม : astrazeneca.com, facebook.com/AstraZeneca.TH
เฟลชแมน ฮิลลาร์ด ประเทศไทย https://fleishmanhillard.co.th
โทร. ๐๖๓-๙๑๔-๑๙๙๙

ข่าวประชาส​ัมพันธ์​ องค์การเภสัชกรรม (GPO) พัฒนายาต้านไวรัสเอชไอวีช่วยผู้ป่วยเอดส์เข้าถึงการรักษาฟรีทุกคน ครอบคลุมทุกสิท...
02/09/2025

ข่าวประชาส​ัมพันธ์​ องค์การเภสัชกรรม (GPO) พัฒนายาต้านไวรัสเอชไอวี
ช่วยผู้ป่วยเอดส์เข้าถึงการรักษาฟรีทุกคน ครอบคลุมทุกสิทธิการรักษา

องค์การเภสัชกรรม (GPO) พัฒนายาต้านไวรัสเอชไอวี (HIV) ช่วยผู้ป่วยเอดส์เข้าถึงการรักษาฟรีทุกคน ครอบคลุมทุกสิทธิการรักษา เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและการเข้าถึงยาของผู้ป่วย ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีชีวิตที่ยืนยาว ดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ของวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี รวมถึงมีการสอบถามมายังองค์การเภสัชกรรม ประเด็นการผลิตยาให้กับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ว่า ปัจจุบัน จากการรายงานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ มีผู้ป่วยเอดส์ จำนวน ๕๕๑,๒๙๓ ราย โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๑๖,๙๒๓ ราย ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีที่องค์การฯ เริ่มผลิตตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ และองค์การฯ มีการวิจัยและพัฒนายาสูตรตำรับใหม่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวนกว่า ๔๐ ตำรับ ทั้งสูตรยาเดี่ยวและสูตรยาผสม ทั้งในรูปแบบยาเม็ด ยาแคปซูล และยาน้ำสำหรับรับประทาน เพื่อให้ครอบคลุมผู้ป่วยทั้งผู้ใหญ่และเด็ก โดยตระหนักถึงประสิทธิภาพในการรักษา การลดอาการไม่พึงประสงค์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาของผู้ป่วย
ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ องค์การฯ ประสบความสำเร็จในการคิดค้นยาสูตรผสม (cocktail) ซึ่งถือเป็นยาใหม่ของประเทศไทย โดยรวมยา ๓ ชนิดไว้ในเม็ดเดียวกัน เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกินยาได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการได้รับยาไม่ครบ ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการดื้อยาได้ องค์การฯ ไม่ได้ผลิตเพียงแค่ยาที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสเอชไอวี/เอดส์เท่านั้น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ยังเริ่มการวิจัยและพัฒนายาที่ใช้ในการป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ (Pre-Exposure Prophylaxis, PrEP) อีกด้วย การพัฒนาและผลิตยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างต่อเนื่องขององค์การฯ จึงเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันทำให้เกิดความสำเร็จในการยุติการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก ซึ่งเป็นประเทศแรกในเอเชียแปซิฟิก และประเทศที่ ๒ ของโลก ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙
ปัจจุบัน มียาต้านไวรัสเอชไอวีที่ผลิตอยู่ ๒๓ รายการ โดยยาหลักที่ใช้ในการรักษา และยาหลักที่ใช้ในการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ (PrEP) เป็นยาเม็ดสูตรผสม ตามแนวทางการตรวจวินิจฉัย รักษา และป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๔/๒๕๖๕ ของกรมควบคุมโรค รวมถึงองค์การฯ ได้มีการประสานเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในส่วนของยาฉีดออกฤทธิ์นาน เพื่อใช้ในการป้องกันการติดเชื้อ โดยฉีดเพียงปีละ ๒ ครั้ง และคาดว่าองค์การเภสัชกรรมจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวในอนาคตอันใกล้นี้
ผู้อำนวยการฯ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของกำลังการผลิตยาต้านไวรัสเอชไอวีขององค์การฯ ทั้งยาเม็ด และยาน้ำนั้น มีกำลังการผลิตที่เพียงพอ ครอบคลุมรองรับผู้ป่วยได้ทั่วประเทศ ปัจจุบัน ยาต้านไวรัสเอชไอวีมีประสิทธิภาพที่ดี ถ้าผู้ป่วยเริ่มยาต้านไวรัสเอดส์เร็ว และได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอายุคาดเฉลี่ยใกล้เคียงกับคนปกติ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข นอกจากนี้ องค์การฯ ยังได้ร่วมผลักดันยารักษาโรคติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ให้ได้รับการบรรจุเข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติและบัญชีนวัตกรรมไทย เพื่อให้ครอบคลุมสิทธิการเบิกจ่ายทั้ง ๓ สิทธิการรักษา ได้แก่ สิทธิบัตรทองตั้งแต่เมษายน ๒๕๕๐ จำนวน ๓๒๒,๓๓๕ ราย สิทธิประกันสังคมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ จำนวน ๑๗๑,๗๙๓ ราย และสิทธิข้าราชการ จำนวน ๒๕,๐๕๔ ราย ซึ่งผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาฟรีทุกราย
องค์การเภสัชกรรมมีความมุ่งมั่น คิดค้น วิจัย และพัฒนายากลุ่มใหม่ และยาสูตรใหม่ ที่ใช้ในการรักษาและการป้องกันอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต ทำให้ต้นทุนยาลดลง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น มีชีวิตที่ยืนยาว ดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า “องค์กรหลักเพื่อความมั่นคงทางยาและเวชภัณฑ์ของประเทศ ที่ชาวไทยไว้วางใจและภาคภูมิใจ” ผู้อำนวยการกล่าวฯ
ข้อมูลและภาพ : องค์การเภสัชกรรม https://www.gpo.or.th/

การกินอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ ต้องกินเกลือเสริมหรือไม่?“คาร์โบไฮเดรต” เป็นสารอาหารหลักที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย จึงเป็นสิ่งที...
01/09/2025

การกินอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ ต้องกินเกลือเสริมหรือไม่?

“คาร์โบไฮเดรต” เป็นสารอาหารหลักที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย จึงเป็นสิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้และต้องได้รับอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายจะย่อยคาร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาลกลูโคสดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และนำไปใช้เป็นพลังงานแก่อวัยวะต่างๆ ส่วนน้ำตาลที่ร่างกายใช้ไม่หมดจะสะสมที่ตับและกล้ามเนื้อ นำออกมาใช้ยามจำเป็น แต่ถ้ากินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปก็จะไปสะสมเป็นไขมัน จึงควรควบคุมปริมาณและเลือกชนิดของคาร์โบไฮเดรตที่จะกินแทน
อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ (Low carbohydrate diet) คือการจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารที่กิน โดยเน้นการบริโภคโปรตีนมากขึ้น ซึ่งอาจมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดการเกิดเบาหวาน และลดการเกิดโรคหัวใจ คาร์โบไฮเดรตมี ๓ แบบ ได้แก่ น้ำตาล แป้ง และใยอาหาร ดังนั้น การกินอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ จึงไม่ใช่แค่ลดแป้ง แต่ต้องลดการกินน้ำตาลด้วย
รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า หลายๆ คน มีข้อสงสัยว่า เมื่อเรากินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ จำเป็นจะต้องกินเกลือเสริมหรือไม่? ซึ่งในด้านอาหารสำหรับการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคอ้วนนั้น นอกจากต้องคำนึงถึงปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำแล้ว ควรให้ลำดับความสำคัญของอาหารที่มีข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ ได้แก่
ควรกินเพิ่มผลไม้และผักที่ไม่มีแป้ง ประเภทถั่วและพืชตระกูลถั่ว ปลา น้ำมันพืช โยเกิร์ต และธัญพืชที่ไม่ขัดสี ซึ่งผ่านการแปรรูปน้อยที่สุด
ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูป (เช่น เก็บรักษาด้วยเกลือโซเดียม) และอาหารที่อุดมไปด้วย แป้ง น้ำตาล เกลือ และไขมันทรานส์ (กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหนึ่งที่พบได้ทั้งในธรรมชาติและจากการแปรรูปในอุตสาหกรรมอาหาร) นอกจากนี้ มีการศึกษาพบว่า การกินอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ที่เน้นอาหารที่ประกอบไปด้วย ผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช ข้าวกล้อง น้ำมันมะกอก และปลา ในปริมาณที่สูงกว่าอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม โดยมีคาร์โบไฮเดรต โซเดียม และไขมันในระดับต่ำนั้น มีประโยชน์ในการลดการเกิดโรคความดันเลือด โรคอ้วน และป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
การจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารให้ลดลง โดยทั่วๆ ไปจะหมายถึง การบริโภคปริมาณคาร์โบไฮเดรตเพียง ๑๐๐ กรัม/วัน หรือข้าวมื้อละ ๘ คำ เป็นการลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต (เช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล) และควรเพิ่มปริมาณไขมันดีในอาหาร และโดยทั่วไป จะเน้นโปรตีนในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงการเผาผลาญและควบคุมในระยะสั้น แสดงให้เห็นทั้งผลที่ดีต่อสุขภาพ โดยไม่พบผลข้างเคียงที่สำคัญ อย่างไรก็ดี ในระยะต่อมา เริ่มมีการส่งเสริมการกินอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก (น้อยกว่า ๒๐ หรือ ๕๐ กรัม/วัน) หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า อาหารคีโต (Very low carbohydrate ketogenic diet, VLCKD) เพื่อลดน้ำหนักในคนอ้วน ซึ่งอาจได้ผลในระยะแรก แต่ก็พบว่า ความยั่งยืนและผลของอาหารคีโตเจนิค ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากในทางแนวทางปฏิบัติ รวมทั้งผลดีต่อสุขภาพที่ได้ในระยะยาวยังไม่ชัดเจน
นอกจากนี้ จากการสรุปผลงานวิจัยจากสมาคมเกาหลีเพื่อการศึกษาโรคอ้วน สมาคมเบาหวานเกาหลี และสมาคมความดันโลหิตสูงเกาหลี สรุปได้ว่า อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ สามารถใช้เพื่อลดน้ำหนักในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน และสามารถใช้เพื่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท ๒ แต่ไม่แนะนำอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก และการอดอาหารเป็นระยะของวัยผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน หรือมีสภาวะโรคอ้วน และเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท ๒
ซึ่งผลข้างเคียงระยะสั้นของอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก (< ๕๐-< ๒๐ กรัม/วัน) หรืออาหารคีโต (VLCKD) ก็คือการเกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดของ VLCKD โดยสัญญาณและอาการของการขาดน้ำส่วนใหญ่จะมีอาการปากแห้ง ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ความดันเลือดต่ำ และสายตาผิดปกติ และอาจมีความผิดปกติของอิเล็กโทรไลด์ (Electrolytes) คือกลุ่มของแร่ธาตุที่มีประจุไฟฟ้าบวกและลบ ซึ่งมีความสำคัญเป็นส่วนประกอบที่พบในเลือด เหงื่อ ปัสสาวะ ทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกาย ช่วยในการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด ซึ่งจากการที่ปัสสาวะบ่อยและสูญเสียเกลือโซเดียมทางปัสสาวะ (natriuresis) ซึ่งอาจเกิดจากการขับถ่ายคีโตในปัสสาวะและการขาดน้ำ ทำให้เกิดภาวะโซเดียมต่ำและแมกนีเซียมในเลือดต่ำ การสูญเสียเกลือโซเดียมทางปัสสาวะโดยการอดอาหารเพื่อต้องการลดน้ำหนักในช่วงต้นนั้น โดยส่วนมากจะเกิดมากที่สุดในวันที่ ๔ ของการอดอาหาร หลังจากนั้น การสูญเสียเกลือโซเดียมทางปัสสาวะจะกลับสู่ความสมดุลและดีขึ้นเอง การเกิดโซเดียมในเชิงบวกในตลอดระยะเวลาของการอดอาหาร ในระยะแรกของการอดอาหาร หากผู้ป่วยบ่นว่ามีอาการเกี่ยวกับความดันเลือดต่ำ เช่น เวียนศีรษะ หิวน้ำ ขอแนะนำให้เพิ่มปริมาณเกลือและน้ำดื่มเป็นการชั่วคราวถ้าไม่มีข้อห้าม ส่วนการกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยทั่วไปจะไม่พบผลข้างเคียงของการขาดน้ำและเกลือแร่เหมือนกับการกินอาหารคีโต จึงไม่จำเป็นต้องกินเกลือหรือน้ำในปริมาณที่เพิ่มขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.lowsaltthai.com/

คอนแทคเลนส์👁️ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย🩺ปัจจุบัน “คอนแทคเลนส์” ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์เพื่อการแก้ไขสายตาเท่านั้น แต่ยังกลายเป็...
31/08/2025

คอนแทคเลนส์👁️
ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย🩺

ปัจจุบัน “คอนแทคเลนส์” ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์เพื่อการแก้ไขสายตาเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นแฟชั่นยอดฮิต โดยเฉพาะเลนส์สีหรือที่หลายคนเรียกว่า Big Eye อย่างไรก็ตาม ดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางมาก การเลือกและการใช้คอนแทคเลนส์อย่างถูกวิธีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

▪️จุดเริ่มต้นของคอนแทคเลนส์

ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 500 ปีก่อน Leonardo da Vinci ศิลปินและนักประดิษฐ์ชาวอิตาเลียน เป็นคนแรกที่ค้นพบว่าการหักเหของแสงสามารถเปลี่ยนภาพที่เห็นได้จากการจุ่มหน้าในภาชนะใส่น้ำ การทดลองของเขากลายเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดคอนแทคเลนส์

ต่อมา นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส René Descartes ได้ทดลองใช้แท่งแก้ววางบนดวงตาเพื่อเปลี่ยนภาพที่เห็น และในเวลาต่อมา F.A. Müller ก็ได้พัฒนาเลนส์แก้วที่สามารถสวมใส่ในตาได้จริง ถือเป็นก้าวแรกของการใช้คอนแทคเลนส์ในเชิงการแพทย์

เลนส์ยุคแรกทำจากแก้ว แข็ง หนัก และระคายเคืองตา แต่ต่อมามีการพัฒนาเป็นพลาสติก PMMA และต่อยอดเป็นเลนส์ชนิดแข็งแบบ RGP (Rigid Gas Permeable Lens) ก่อนจะพัฒนาเป็น Soft Lens หรือเลนส์นิ่มที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

❓คอนแทคเลนส์มีกี่ประเภท

ปัจจุบันคอนแทคเลนส์สามารถแบ่งออกได้หลัก ๆ 3 ประเภท
1. Soft Lens (เลนส์นิ่ม) – พบมากที่สุด ใช้เพื่อแก้สายตาหรือเพื่อความสวยงาม
2. RGP Lens (เลนส์แข็งชนิดก๊าซซึมผ่านได้) – ใช้ในผู้ที่มีปัญหากระจกตาผิดปกติหรือสายตาเอียงมาก
3. Scleral Lens – เลนส์ขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมเกือบทั้งตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะตาแห้งรุนแรงหรือโรคตาเฉพาะทาง

❓ก่อนใส่คอนแทคเลนส์ ควรทำอะไร

หลายคนมักซื้อคอนแทคเลนส์เองตามร้านค้าหรือทางออนไลน์ แต่ความจริงแล้ว ควรตรวจโดยจักษุแพทย์ก่อน เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะกับการใส่คอนแทคเลนส์ โดยเฉพาะผู้ที่มี
• โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือภูมิคุ้มกันต่ำ
• ภาวะตาแห้ง
• ความโค้งกระจกตาผิดปกติ

จักษุแพทย์จะตรวจสายตาอย่างละเอียด วัดความโค้งของกระจกตา และเลือกเลนส์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

❇️วิธีใส่และถอดคอนแทคเลนส์อย่างถูกต้อง
1. ล้างมือด้วยสบู่และเช็ดให้แห้ง ก่อนสัมผัสเลนส์
2. ตรวจสอบว่าเลนส์อยู่ในด้านที่ถูกต้อง (ลักษณะโค้งเหมือนถ้วย)
3. ใช้นิ้วมือกดเปลือกตาและค่อย ๆ วางเลนส์ลงบนกระจกตา
4. เวลาถอด ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งบีบเลนส์ออกเบา ๆ แล้วล้างด้วยน้ำยาล้างเลนส์ก่อนเก็บในตลับ

⚠️6 พฤติกรรมเสี่ยงที่ควรเลี่ยงเด็ดขาด
1. ใช้คอนแทคเลนส์ที่ ไม่มี อย. หรือสั่งซื้อจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
2. ใส่คอนแทคเลนส์แล้วนอนหลับ เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อถึง 50%
3. ใส่คอนแทคเลนส์ว่ายน้ำหรือดำน้ำ เสี่ยงติดเชื้อประมาณ 25%
4. ใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับผู้อื่น เสี่ยงติดเชื้อรุนแรง
5. ใช้น้ำประปาหรือน้ำดื่มล้างคอนแทคเลนส์แทนน้ำยาฆ่าเชื้อ
6. ใส่คอนแทคเลนส์นานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน

❓น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ เลือกอย่างไร
• ต้องมี การรับรองจาก อย.
• ตรวจสอบวันหมดอายุ
• ใช้แล้วต้อง เททิ้งทุกครั้ง ห้ามนำกลับมาใช้ซ้ำ
• ไม่ควรใช้น้ำเกลือหรือน้ำเปล่าแช่คอนแทคเลนส์ เพราะไม่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อ

คอนแทคเลนส์เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้มีปัญหาสายตามองเห็นชัดขึ้น และยังช่วยเพิ่มความมั่นใจด้านความงาม แต่การใช้ที่ผิดวิธีอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ร้ายแรงจนถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้ ดังนั้นทุกครั้งก่อนใส่ควรได้รับคำแนะนำจากจักษุแพทย์ รักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อให้ดวงตาของคุณปลอดภัยและสดใสอยู่เสมอ

ขอบคุณข้อมูลจาก : รศ.พญ.จุฬาลักษณ์ ตั้งมั่นคงวรกูล
อาจารย์ประจำภาควิชาจักษุวิทยา
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เรียบเรียง : นางสาวนันทพร ระบิน
ภาพ / ข่าว : งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ติดตามผ่านทาง Facebook : https://cmu.to/kzsMH

#คอนแทคเลนส์
#ใช้อย่างไร #ปลอดภัย
#สุขภาพดีกับหมอสวนดอก
#คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
#แพทย์เชียงใหม่ #แพทย์มช #หมอสวนดอก #โรงพยาบาลสวนดอก ือคุณ #สื่อสารองค์กรMedcmu

โรคตายอดฮิตในผู้สูงวัย รู้ทัน ป้องกันได้กรมการแพทย์ โรงพยาบาลเมตตาฯ (วัดไร่ขิง) แนะ! เมื่ออายุมากขึ้นอวัยวะต่าง ๆ ในร่าง...
29/08/2025

โรคตายอดฮิตในผู้สูงวัย รู้ทัน ป้องกันได้

กรมการแพทย์ โรงพยาบาลเมตตาฯ (วัดไร่ขิง) แนะ! เมื่ออายุมากขึ้นอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจะเกิดการเสื่อมไม่เว้นแม้แต่ดวงตา โรคตาบางโรคจะพบมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้นควรตรวจตาสม่ำเสมออย่างน้อยปีละครั้งเพื่อหาความผิดปกติ เนื่องจากถ้าตรวจวินิจฉัยได้รวดเร็ว ผลการรักษามักได้ผลดี สิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพตาในผู้สูงอายุดวงตาคือหน้าต่างของชีวิต

นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีการดำเนินงานตลอดจนแผนงาน โครงการที่สำคัญที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถดำรงชีวิตในสังคมอย่างมีความสุขและมีคุณค่าโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระกับครอบครัว ทั้งนี้ผู้สูงอายุกว่าร้อยละ 70 มีสายตาไม่ดี การมองเห็นไม่ชัดเจน เกิดภาวะสายตาเลือนรางหรืออาจตาบอดถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก ซึ่งควรมาตรวจกับจักษุแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติของโรคตาอื่นๆร่วมด้วย เมื่ออายุมากขึ้น ระบบต่าง ๆ ในร่างกายย่อมเสื่อมถอยลงตามวัย “ดวงตา” ก็เช่นเดียวกัน ผู้สูงอายุหลายคนมักประสบปัญหาทางสายตา เช่น มองไม่ชัด แสบตา ตาพร่ามัว หรือแม้กระทั่งโรคตาเรื้อรังที่กระทบต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้น การดูแลสุขภาพตาอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม

นายแพทย์กิตติวัฒน์ มะโนจันทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวว่า โรคตาที่พบมากในผู้สูงอายุ คือ โรคต้อกระจก โรคต้อหิน จุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา และภาวะสายตายาวสูงอายุ นอกจากนี้ยังมีโรคตาอีกหลายโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่ระวัง ดังนั้นผู้สูงอายุควรได้รับการตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากพบความผิดปกติในระยะแรกจะสามารถรักษาและป้องกันหรือชะลอความเสื่อมได้ นอกจากนี้ควรดูแลสุขภาพของตนเอง สวมแว่นกันแดดเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสายตา เช่น ผัก ผลไม้ สีเขียว สีเหลือง และไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะสามารถป้องกันหรือชะลอความเสื่อมได้

นายแพทย์ปิติพงศ์ สุรเมธากุล นายแพทย์ชำนาญการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้สูงอายุที่มารับการรักษาโรคตาที่โรงพยาบาลเมตตาฯ มากเป็นอันดับต้นๆ คือ 1.โรคต้อกระจก 2.ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา 3.โรคต้อหิน ซึ่งโรคตาที่พบมากในผู้สูงอายุที่พบบ่อยที่สุดและเป็นเมื่ออายุมากขึ้น คือ 1.ต้อกระจก เกิดจากความขุ่นมัวของเลนส์แก้วตาธรรมชาติ จากสาเหตุส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนแปลงตามอายุที่มากขึ้น ทำให้แสงผ่านเข้าไปที่จอตาประสาทตาด้านในลูกตาได้น้อยลง ผู้ป่วยจะมีอาการตามัวและเป็นมากขึ้นเรื่อยๆถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาอาจตาบอดได้ วิธีการรักษาคือการผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียมแทนที่ 2. ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา สาเหตุจากโรคเบาหวานทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดฝอยส่งผลให้ขาดเลือดและออกซิเจนที่ไปเลี้ยงจอตา และกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่อย่างผิดปกติที่จอประสาทตา ซึ่งความผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเป็นสภาพปกติได้ การรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบันมุ่งหวังให้โรคไม่ลุกลามไปจากระยะที่เป็นอยู่ ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติรวมทั้งดูแลโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไต ไขมันในเลือดสูงอย่างเหมาะสม และผู้ป่วยเบาหวานทุกคนต้องตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง 3. ต้อหิน เป็นภัยเงียบที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรโดยที่ผู้ป่วยไม่ทันรู้ตัว เกิดจากความดันในลูกตาที่สูงขึ้นจนมีการทำลายประสาทตา ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวที่เป็นต้อหิน อายุที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิดที่มีการใช้ยาสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องเป็นต้น โรคนี้ในระยะแรกมักไม่มีอาการ จากนั้นจะเริ่มสูญเสียลานสายตา คือการมองเห็นจำกัดวงแคบลงเรื่อยๆและถ้าไม่ได้รับการรักษา จะสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร อาจมีต้อหินบางประเภท เช่น ต้อหินมุมปิดเฉียบพลันที่มีอาการปวดมาก ตามัวลงและตาแดง ซึ่งถือเป็นภาวะเร่งด่วนมากต้องมาพบจักษุแพทย์ทันที สำคัญที่สุดคือผู้ป่วยต้องมาตรวจติดตามอาการและปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัด 4. จุดภาพชัดจอตาเสื่อม เกิดจากภาวะเสื่อมของจุดภาพชัดที่อยู่ส่วนกลางของจอตา ทำให้การมองเห็นส่วนกลางของภาพมัวลง โดยที่บริเวณรอบข้างยังเห็นได้ปกติ ปัจจัยเสี่ยง คือ ภาวะสูงวัย แสงรังสี UV สูบบุหรี่ และความดันโลหิตสูง ในระยะเริ่มต้นอาจไม่มีอาการ เมื่อจอตาเสื่อมมากขึ้นจะมีอาการตามัว เห็นภาพบิดเบี้ยว เห็นจุดดำตรงกลางภาพ และสูญเสียการมองเห็นตรงกลางภาพโดยไม่มีอาการปวด 5. ภาวะสายตายาวในผู้สูงอายุ ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ผู้ป่วยจะอ่าน หรือเขียนหนังสือ ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในระยะใกล้ไม่ชัดเจน แต่มองไกลได้ปกติ บางคนมีอาการตาพร่า หรือปวดตา มักเริ่มมีอาการเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากความสามารถและระยะในการเพ่งปรับสายตาลดลงเลนส์แก้วตาแข็งตัวขึ้นและการทำงานของกล้ามเนื้อตาลดลง สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้แว่นสายตา แต่ควรมาตรวจกับจักษุแพทย์ให้แน่ใจว่า ไม่มีความผิดปกติของโรคตาอื่นๆร่วมด้วย
-ขอขอบคุณ-
28 สิงหาคม 2568
นายแพทย์ปิติพงศ์ สุรเมธากุล
นายแพทย์ชำนาญการ

“เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟฯ” พร้อมปักหมุด “MEDICAL FAIR THAILAND 2025”ดันไทยประตูการแพทย์ของภูมิภาคกระทรวงสาธารณสุข สภาอุตสาหกร...
29/08/2025

“เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟฯ” พร้อมปักหมุด “MEDICAL FAIR THAILAND 2025”
ดันไทยประตูการแพทย์ของภูมิภาค

กระทรวงสาธารณสุข สภาอุตสาหกรรมฯ สมาคมโรงพยาบาลเอกชน เผยความพร้อม - ความแข็งแกร่งระบบการแพทย์ไทย พร้อมร่วมเป้าหมายรัฐ ผลักดันไทยสู่ฮับสุขภาพนานาชาติ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจสุขภาพ ๖.๙ แสนล้านบาท ดันจีดีพีโต ๓.๓๙%
บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จับมือพันธมิตรภาครัฐและเอกชนไทย เตรียมพร้อมมหกรรมเทคโนโลยีแพทย์นานาชาติ จัดงาน “MEDICAL FAIR THAILAND 2025” งานแสดงสินค้านวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และบริการสุขภาพระดับนานาชาติ ที่รวมผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมการแพทย์เข้าด้วยกัน ซึ่งจะมีผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพมากกว่า ๑,๐๐๐ ราย จากกว่า ๔๐ ประเทศทั่วโลก รวมทั้ง ๒๐ พาวิลเลียนไทยและนานาชาติ มาจัดแสดงอุปกรณ์และเวชภัณฑ์อย่างครบวงจร บนพื้นที่ ๒๐,๐๐๐ ตารางเมตร งานแสดงสินค้าครั้งนี้จะนำเสนออย่างครบวงจร ทั้งห่วงโซ่มูลค่าในภาคการดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์สำหรับโรงพยาบาล การวินิจฉัย เครื่องมือแพทย์ โซลูชันฟื้นฟูสุขภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลด้านสุขภาพ ไปจนถึงการผลิตขั้นสูง พร้อมการประชุมสัมมนาที่นำเสนอหัวข้อบรรยายเชิงลึก อัพเดตเทรนด์เมดิคัลเทค-เฮลธ์เทค-เอไอ เสริมแกร่งระบบสาธารณสุขไทย เชื่อมโอกาสอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และบริการสุขภาพแบรนด์ไทย ก้าวสู่ตลาดอาเซียนอย่างยั่งยืน โดยงาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025 จัดขึ้นในวันที่ ๑๐-๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๘ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
มร.เกอร์นอท ริงลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย เปิดเผยว่า ความต้องการด้านการดูแลสุขภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในภาวะการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยคาดว่าประชากรในภูมิภาคนี้จะมีจำนวนเกิน ๗๒๒ ล้านคนภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ด้วยปัจจัยจากการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุควบคู่กับการขยายตัวของชนชั้นกลาง กำลังผลักดันความต้องการบริการสุขภาพที่มีคุณภาพสูง เข้าถึงได้ และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จากรายงานของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UN ESCAP) สัดส่วนประชากรอายุ ๖๐ ปีขึ้นไปในกลุ่มประเทศอาเซียน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น ๒๒.๒% ภายในปี พ.ศ. ๒๕๙๓ ซึ่งเป็นสัญญาณและแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุข และมีความจำเป็นเร่งด่วนในการขยายโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาบริการดูแลผู้สูงอายุ และโซลูชันใหม่ๆ เพื่อการดูแลเชิงป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง
ความต้องการด้านการดูแลสุขภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยคาดว่าประชากรในภูมิภาคจะมีจำนวนเกิน ๗๒๒ ล้านคนภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ปัจจัยร่วมจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วและการขยายตัวของชนชั้นกลาง กำลังผลักดันให้เกิดความต้องการบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพสูง เข้าถึงได้ และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
“เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ยังคงตระหนักถึงบทบาทที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางชั้นนำด้านนวัตกรรมการแพทย์ของอาเซียน งาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025 จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการลงทุนในอุตสาหกรรม MedTech และ HealthTech ของประเทศ ซึ่งมีศักยภาพในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนอย่างต่อเนื่องนับพันล้านบาทในอนาคต ภายใต้วิสัยทัศน์ระยะยาวเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฮับการแพทย์ระดับภูมิภาค งานนี้จะเป็นเวทีสำคัญเชื่อมโยงนวัตกรรมไทยกับพันธมิตรทั่วภูมิภาค สร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาระบบนิเวศด้านการดูแลสุขภาพของอาเซียน การจัดงานครั้งนี้นับเป็นปีที่ ๑๑ แล้ว โดยมุ่งมั่นที่จะขยายแพลตฟอร์มของงานให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการอุตสาหกรรมการแพทย์ของภูมิภาค”

ไฮไลท์ในงาน MEDICAL FAIR THIALAND 2025 ประกอบด้วย
๑. LaunchPad Zone - พื้นที่สำหรับผู้ร่วมแสดงสินค้าที่จะมาเปิดตัวผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีล่าสุด โดยแพลตฟอร์มนี้เปิดโอกาสให้บริษัทต่างๆ ได้นำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันล้ำสมัยโดยตรงแก่กลุ่มเป้าหมายซึ่งประกอบด้วย ผู้จัดจำหน่าย ผู้ซื้อ และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือ จุดประกายโอกาสทางธุรกิจ และเร่งเข้าสู่ตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ
๒. Community Care Zone - พื้นที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ โซลูชัน และเทคโนโลยีด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพ การดูแลผู้สูงอายุ และสุขภาพชุมชน กว่า ๑๐๐ รายการ มุ่งเน้นการแสดงนวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต สนับสนุนการใช้ชีวิตอย่างอิสระ และเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูสุขภาพ ตั้งแต่อุปกรณ์ช่วยการเคลื่อนไหวขั้นสูงและอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการ ไปจนถึงโซลูชันการดูแลแบบบูรณาการสำหรับสังคมผู้สูงอายุ
๓. Medical Manufacturing Zone - พื้นที่จัดแสดงโซลูชันการผลิตและการสร้างเครื่องมือแพทย์ นำเสนอโอกาสสำคัญสำหรับผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ในการแสดงศักยภาพด้านวิศวกรรมแม่นยำ ผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง และเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ
๔. WT | Wearable Technologies Conference - การประชุมว่าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่และการประยุกต์ใช้ในด้านสุขภาพ กีฬา และอุตสาหกรรมอื่นๆ ตั้งแต่การจัดการโรคเรื้อรังและการตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น ไปจนถึงการแพทย์ทางไกลและการติดตามอาการผู้ป่วยจากระยะไกล โดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลกจะมาแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและความก้าวหน้าในการดูแลผู้ป่วย การติดตามสมรรถภาพ และโซลูชันสุขภาพผ่านอุปกรณ์สวมใส่
“เมสเซ่ ดุสเซดอร์ฟ เอเชีย ยังคงติดตามความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรม MedTech ในเอเชียที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากการสำรวจล่าสุดพบว่า ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APAC) มีสัดส่วนการใช้จ่ายด้าน MedTech คิดเป็นราว ๓๐% ของตลาดโลก โดยคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะอยู่ที่ ๑๒๑-๑๔๐ พันล้านดอลล่าร์สหรัฐภายในปี ๒๕๖๘ ทางด้านอาเซียน มีประชากรกว่า ๖๗๘ ล้านคน และมี GDP รวม ๓.๙ ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ๒๕๖๗ (เพิ่มขึ้นจาก ๓.๘ ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี ๒๕๖๖) ซึ่งสะท้อนถึงน้ำหนักทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยจากความต้องการด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งถูกขับเคลื่อนโดยการขยายตัวของชนชั้นกลาง การเข้าถึงระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมมากขึ้น ตลอดจนการนำโมเดลการดูแลสุขภาพดิจิทัลและการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมาใช้อย่างรวดเร็วทั่วภูมิภาค”
ทั้งนี้ Medical Fair Thailand 2025 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐-๑๒ กันยายน ๒๕๖๘ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมชมงานล่วงหน้าได้ที่ www.medicalfair-thailand.com” มร. เกอร์นอท กล่าวเพิ่มเติม
นายอดุลย์ ขมิ้นเขียว ผู้อำนวยการกองวิศวกรรมการแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้โลกของเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ โดยเฉพาะในแวดวงสุขภาพ ประเทศไทยของเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของโลก (Medical Hub) ซึ่งขับเคลื่อนด้วยสองพลังที่สำคัญยิ่ง พลังแรกคือ “นวัตกรรม” ที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งเทคโนโลยีการแพทย์ (MedTech), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), และการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าการดูแลสุขภาพไปอย่างสิ้นเชิง และพลังที่สอง ซึ่งเป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้ คือ “ความปลอดภัยและมาตรฐาน” เพราะนวัตกรรมที่ล้ำสมัยที่สุดจะไร้ความหมาย หากปราศจากความไว้วางใจจากประชาชน
มาตรฐาน HS4 ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้ระบบสาธารณสุขไทยมีศักยภาพแข่งขันในระดับสากล โดยมุ่งเป้ายกระดับขีดความสามารถของสถานพยาบาลภาครัฐทั่วประเทศให้ได้มาตรฐานระบบบริการสุขภาพ HS4 (Health Standard Service Support System) ภายใต้ พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑ และ ๒๕๕๙ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้บริการทั้งชาวไทยและต่างชาติ ส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพโลก โดยที่มาตรฐาน HS4 จะครอบคลุมด้านสำคัญต่างๆ อาทิ การบริหารจัดการ การบริการสุขภาพ มาตรฐานอาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งรวมถึงด้านความปลอดภัยและคุณภาพของเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วย
“การพัฒนาระบบบริการสุขภาพในยุคปัจจุบันต้องอาศัยนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีทั้งคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยอยู่ในระดับสูงสุดต่อผู้ป่วย การบูรณาการเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าสู่ระบบบริการสุขภาพ จึงต้องควบคู่ไปกับการออกแบบการดูแลที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางแบบองค์รวม (Patient-Centered Care) ครอบคลุมทั้งการป้องกันโรค การวินิจฉัย การรักษา และการฟื้นฟูสมรรถภาพ สำหรับนวัตกรรม MedTech ภายใต้แนวทางมาตรฐาน HS4 นี้ ไม่เพียงช่วยเพิ่มความแม่นยำในการรักษา ลดความเสี่ยงจากการใช้เครื่องมือ แต่ยังช่วยยกระดับประสบการณ์การรักษาให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวกสบาย ปลอดภัย และมีส่วนร่วมในกระบวนการดูแลรักษามากขึ้น อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่ายิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและความยั่งยืนของระบบสาธารณสุขไทย ทั้งนี้ งาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025 จะเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมนวัตกรรมการแพทย์ MedTech HealthTech และ AI เพื่อต่อยอดการใช้งานจริงในโรงพยาบาล นำไปสู่การตอบโจทย์ของการบริการสุขภาพที่มีความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างยั่งยืน”
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดยกองวิศวกรรมการแพทย์ ยังได้ร่วมจัดสัมมนาภายใต้หัวข้อ “ผนวกนวัตกรรมและความปลอดภัย: ทิศทางเทคโนโลยีการแพทย์ภายใต้มาตรฐาน HS4 และการดูแลที่ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง” โดยเป็นส่วนหนึ่งของงานแสดงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค MEDICAL FAIR THAILAND 2025 ณ ไบเทค บางนา เพื่อมอบแผนที่นำทางเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้บริหารสถานพยาบาลไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการนำนวัตกรรมมาใช้และการรักษามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมสุขภาพ ทั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงงานสัมมนา แต่ยังเป็นการสร้างชุมชนของผู้นำที่จะขับเคลื่อนระบบสุขภาพของไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งผู้เข้าร่วมงานจะได้รับประโยชน์สูงสุด ได้รับแรงบันดาลใจ และกลยุทธ์ที่นำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อสร้างโรงพยาบาลที่ไม่เพียงแต่ล้ำสมัยด้วยนวัตกรรม แต่ยังเป็นที่ไว้วางใจสูงสุดในด้านความปลอดภัย นายอดุลย์ ให้ความเห็นเพิ่มเติม
ด้าน นายจารุเดช คุณะดิลก ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ (MeDIC) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ นี้ แนวโน้มกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเข้ามารักษาในสถานพยาบาลของไทยเพิ่มขึ้น การสร้างโรงพยาบาลใหม่และการขยายพื้นที่เพื่อรองรับผู้ป่วยต่างชาติ ตลอดจนตลาดส่งออกเครื่องมือแพทย์กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองเติบโตมากขึ้น ซึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา ประเทศไทยส่งออกเครื่องมือแพทย์ ๑๓๓,๓๙๓ ล้านบาท และนำเข้าที่ ๙๖,๙๓๗ ล้านบาท สำหรับรายงานล่าสุดในปีนี้ พบว่าในเดือน ม.ค.-เม.ย. ๒๕๖๘ ส่งออกเครื่องมือแพทย์ ๔๒,๖๙๕ ล้านบาท และนำเข้าที่ ๓๑,๔๗๗ ล้านบาท ดังนั้น ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงตระหนักถึงความสำคัญของการอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่หรือ New S-Curve เร่งพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่ม GDP จากการผลิต การจ้างงาน การลงทุน และทดแทนการนำเข้าประเภทเครื่องมือแพทย์
“กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ (MeDIC) เดินหน้าในการสร้างพันธมิตรข้ามอุตสาหกรรม เชื่อมโยงผู้ผลิตด้านดิจิทัลเฮลท์ สถาบันวิจัย ผู้ให้บริการทางการแพทย์ ผู้ประกอบการ นักลงทุน เพื่อเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และนวัตกรรมสุขภาพไทย ซึ่งตอบรับยุทธศาสตร์ของรัฐในการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ปี ๒๕๖๘-๒๕๗๗ ทั้งนี้ ภาครัฐจะต้องมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในทุกมิติ ทั้งด้านการผลิต การพัฒนามาตรฐาน การวิจัยและนวัตกรรม การส่งเสริมการใช้สินค้าเครื่องมือแพทย์ในประเทศ และการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยผลักดันอีโคซิสเต็มสุขภาพของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปีนี้ MEDICAL FAIR THAILAND 2025 จะเป็นเวทีสำคัญที่สนับสนุนผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ไทยให้ได้แสดงศักยภาพ เชื่อมต่อกับพันธมิตรระดับโลก และสร้างความร่วมมือใหม่ๆ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องมือและนวัตกรรมแพทย์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในนานาชาติ” นายจารุเดช กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า ในปีนี้คาดการณ์ว่า ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไทยจะมีกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น ๗.๖% โดยประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Tourism) แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ การทรานส์ฟอร์มนวัตกรรมการแพทย์ที่มาอย่างรวดเร็ว การขยายตัวของประชากรสูงวัย รวมถึงโรคอุบัติใหม่ ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันให้โรงพยาบาลเอกชนต้องปรับกลยุทธ์และยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยให้ครอบคลุมทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย ประสบการณ์บริการให้ได้มาตรฐานสากล สอดรับกับนโยบายของรัฐ ที่ได้มีการกำหนดเป้าหมายในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากเศรษฐกิจสุขภาพ (Health Economy) จำนวน ๖๙๐,๐๐๐ ล้านบาทในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ซึ่งคิดเป็น ๓.๓๙% ของ GDP ประเทศไทย
“โรงพยาบาลเอกชนไทยเป็นอีกกลไกทางสุขภาพที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้ประเทศไทยอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบตามภาวะเศรษฐกิจโลก ได้ส่งผลต่อเนื่องมายังกำลังซื้อและการใช้จ่ายด้านสุขภาพของชาวไทย ประกอบกับประชาชนให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้นเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา อีกทั้งพฤติกรรมของผู้มาใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนที่คาดหวังในคุณภาพการรักษาและบริการที่คุ้มค่ามากขึ้น ดังนั้น การส่งเสริมการลงทุนและการนำนวัตกรรมการแพทย์แบรนด์ไทยมาใช้ในโรงพยาบาลทั่วประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญและควรเร่งผลักดัน เพื่อยกระดับคุณภาพการรักษา และขยายโอกาสให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ตลอดจนลดการพึ่งพานำเข้าของนวัตกรรม อุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับระบบสาธารณสุขไทย”
ขณะที่ มร. คริส แมคควิน กรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ KAOUN International ผู้จัดงาน GITEX Digi-Health & Biotech Thailand กล่าวถึง การผนึกกำลังร่วมกับ MEDICAL FAIR THAILAND ในครั้งนี้ว่า งาน GITEX DIGI HEALTH & BIOTECH Thailand 2025 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แรงบันดาลใจและการสนับสนุนจาก GITEX GLOBAL งานด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐–๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๘ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา พร้อมจัดควบคู่กับงาน MEDICAL FAIR THAILAND
“งานนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากกระทรวงสาธารณสุข โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าด้านดิจิทัลเฮลท์ (Digital Health), เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), เทเลเมดิซีน (Telemedicine) และโครงสร้างพื้นฐานโรงพยาบาล ตลอดระยะเวลา ๓ วันของการจัดงาน ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสนวัตกรรมล้ำสมัย ร่วมรับฟังการประชุมเชิงวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิ และเข้าร่วมโปรแกรมจับคู่ธุรกิจที่คัดสรรขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อเชื่อมโยงสตาร์ทอัพ นักลงทุน ผู้นำด้านสาธารณสุข และผู้กำหนดนโยบายจากทั่วภูมิภาคอาเซียน หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของงาน คือ การแข่งขัน Supernova Pitch Competition ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากงาน Expand North Star ในดูไบ ซึ่งเป็นงานสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสุขภาพนำเสนอผลงานนวัตกรรมต่อหน้านักลงทุนชั้นนำ เพื่อชิงเงินรางวัลมูลค่า ๑๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมโอกาสต่อยอดธุรกิจสู่การเติบโตในระดับนานาชาติ” มร.คริส กล่าวเพิ่มเติม

ข้อมูลเพิ่มเติม : www.medicalfair-thailand.com และ www.gitexdigihealth.com
เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์–JC&CO COMMUNICATIONS–
โทร. ๐๘๕-๐๙๘-๖๕๖๐, ๐๙๙-๗๑๙-๙๒๔๗

ที่อยู่

36/6 ซอยประดิพัทธ์ 10 ถนนประดิพัทธ์ แขวงพญาไท เขตพญาไท
Bangkok
10400

เบอร์โทรศัพท์

+66869920875

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้านผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน:

แชร์