สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน

สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน หนังสือสุขภาพ สำหรับทุกครอบครัว

องค์การเภสัชกรรมสาขาภาคใต้และสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือคว้าเหรียญเงินจากการรับรองสำนักงานสีเขียว (Green Office) ปี ๒๕๖๘  ...
28/10/2025

องค์การเภสัชกรรมสาขาภาคใต้และสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คว้าเหรียญเงินจากการรับรองสำนักงานสีเขียว (Green Office) ปี ๒๕๖๘

องค์การเภสัชกรรมสาขาภาคใต้ และสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านเกณฑ์การประเมินสำนักงานสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Office) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ระดับดีมาก (เหรียญเงิน) จากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมรับสิทธิในการใช้เครื่องหมายรับรอง ๓ ปี
องค์การเภสัชกรรม ได้ตระหนักถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการกำหนดนโยบายสำนักงานสีเขียว เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นสำนักงานต้นแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระดับสากล โดยมุ่งเน้นการจัดการเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการเกิดของเสียจากการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และดำเนินกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงเข้าร่วมรับการประเมินการตรวจประเมินสำนักงานสีเขียว Green Office จากคณะกรรมการของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การรับรองมาตรฐานสำนักงานสีเขียว ปรากฎว่า องค์การเภสัชกรรม สาขาภาคใต้ และสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านเกณฑ์การประเมินสำนักงานสีเขียว ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Office) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ในระดับดีมาก (เหรียญเงิน) จากหน่วยงานที่เข้าร่วมรับการประเมินทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน มากกว่า ๕๙ หน่วยงาน ซึ่งการได้รับการรับรองในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการจัดการพลังงานและทรัพยากร ลดขยะและของเสีย พร้อมสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีต่อสุขภาพของพนักงาน
โครงการสำนักงานสีเขียว Green Office เป็นโครงการที่ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการมีส่วนร่วมของบุคลากรในหน่วยงาน เพื่อลดการใช้พลังงานและทรัพยากร ลดการเกิดของเสียและน้ำเสีย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศ รวมถึงมีการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่จะนำไปสู่การผลิตและบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การได้รับการรับรองสำนักงานสีเขียวระดับเหรียญเงินถือเป็นก้าวแรกในการพัฒนาองค์กรสู่การได้รับการรับรองสำนักงานสีเขียวระดับเหรียญทองต่อไป องค์การเภสัชกรรมจะยังคงมุ่งมั่นในการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การทำงานของทุกคนสอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

ข้อมูลและภาพ : องค์การเภสัชกรรม https://www.gpo.or.th/
โทร. ๐๒-๒๐๓-๘๒๓๕-๖

25/10/2025

ดูโพสต์ของ นักสู้ชุดขาว 🧑🏻‍🏭

สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหารและพนักงานบริษั...
25/10/2025

สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
อันหาที่สุดมิได้

ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหารและพนักงาน
บริษัท สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน จำกัด

องค์การเภสัชกรรมเปิดร้านขายยาบนรถไฟฟ้า ๑๔ สถานีตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองให้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพอย่างครบวงจรพญ.มิ่งขวัญ...
25/10/2025

องค์การเภสัชกรรมเปิดร้านขายยาบนรถไฟฟ้า ๑๔ สถานี
ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองให้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพอย่างครบวงจร

พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า องค์การเภสัชกรรม ได้เปิดร้านขายยาบนสถานีรถไฟฟ้า BTS ภายใต้โครงการจัดตั้งร้านขายยาองค์การเภสัชกรรม “GPO METRO SKY” ขึ้น เพื่อป้องกันและลดอาการเจ็บป่วย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองให้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพอย่างครบวงจร จำนวน ๑๔ สถานี ได้แก่ สถานีชิดลม สถานีอโศก สถานีพร้อมพงษ์ สถานีศาลาแดง สถานีช่องนนทรี สถานีอ่อนนุช สถานีเอกมัย สถานีพระโขนง สถานีสุรศักดิ์ สถานีเซนต์หลุยส์ สถานีเพลินจิต สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ สถานีหมอชิต และสถานีอารีย์ โดยเริ่มทยอยเปิดให้บริการ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๘ และจะเปิดให้บริการครบทั้ง ๑๔ สถานี ภายในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘
ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวต่อไปว่า ร้านยาดังกล่าว เป็นร้านยาคุณภาพตามมาตรฐานสภาเภสัชกรรม จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่หลากหลายครบครัน มีการบริหารและให้บริการด้วยระบบเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อมุ่งดูแล ห่วงใย ใส่ใจประชาชน มีเภสัชกรให้บริการ และให้คำปรึกษาเรื่องการใช้ยาอย่างถูกต้อง ดูแลการจัดยาให้เหมาะสม รวมถึงให้คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพ ตอบสนองนโยบายการส่งเสริมสุขภาพ รองรับนโยบายสาธารณสุขด้านการแพทย์ปฐมภูมิ ร่วมเป็นหน่วยบริการรองรับโครงการภายใต้หลักประกันสุขภาพ สิทธิบัตรทอง อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ๓๒ กลุ่มอาการ ที่สามารถใช้สิทธิบัตรทอง เพื่อรับยาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ มีการจัดทำระบบสมาชิกเพื่อสร้างความสัมพันธ์และตอบสนองความต้องการของลูกค้า มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ในด้านการให้บริการ ได้แก่ Line OA, Tele pharmacy และมีมุมสำหรับบริการให้คำปรึกษาด้านยาและสุขภาพแก่ลูกค้าที่เป็นสัดส่วน ลูกค้าสามารถสอบถามเกี่ยวกับยาที่ต้องการหรือขอคำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพได้ ส่งผลให้ร้านขายยาขยายการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น
“นับเป็นทางเลือกใหม่ที่ประชาชนสามารถเข้าไปเลือกใช้บริการได้ตามสถานีต่างๆ ซึ่งทุกคนจะได้รับการดูแลด้านสุขภาพอย่างครบวงจร ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่สมเหตุผล มีความปลอดภัยจากการใช้ยา ประหยัดเวลาในการเดินทางไปโรงพยาบาล ส่งผลให้เข้าถึงยาได้มากขึ้น” ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมกล่าว

ข้อมูลและภาพ : องค์การเภสัชกรรม https://www.gpo.or.th/
โทร. ๐๒-๖๔๔-๘๘๕๖

“Life Fest 40+ รู้ก่อน ดีกว่า” เผย ๕ สัญญาณเสี่ยงเตือนคนไทย “ไร้อิสระ”พร้อมเปิดเทศกาลรวม  “How to” เตรียมความพร้อมสู่ชีว...
21/10/2025

“Life Fest 40+ รู้ก่อน ดีกว่า” เผย ๕ สัญญาณเสี่ยงเตือนคนไทย “ไร้อิสระ”
พร้อมเปิดเทศกาลรวม “How to” เตรียมความพร้อมสู่ชีวิตที่เป็นอิสระ

ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) เต็มรูปแบบในไม่กี่ปีข้างหน้า โดยปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้สูงวัย หรือคนอายุมากกว่า ๖๐ ปี เกิน ๒๐% ขณะเดียวกัน ครัวเรือนไทยมีภาวะหนี้สินสูงที่สุดในรอบ ๔ ปี แบกหนี้เฉลี่ยครอบครัวละ ๗๔๐,๕๙๖ บาท อีกทั้งปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกิดกับวัย ๔๐+ ไปจนถึงคนสูงอายุ และปัญหาล้มที่บ้านของคนสูงอายุ ที่สูงถึง ๘๒.๙% รวมทั้งสัดส่วนผู้สูงวัย ที่ตกเป็นเหยื่อออนไลน์ก็พุ่งขึ้นถึง ๒๓.๑๒% ทั้งหมดนี้คือแรงกดดันที่ทำให้ “อิสระ” ของคนทุกวัยถูกบีบไปพร้อมกัน
ด้วยเหตุนี้ The Cloud, Superjeew Event, AIS Academy, centralwOrld และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ด้วยการชวนคนไทยทุกวัย ทั้งวัย ๔๐+ และยังไม่ ๔๐ มาเตรียมความพร้อมสู่ชีวิตที่มีอิสระ ผ่านงาน “Life Fest 40+ รู้ก่อนดีกว่า” เทศกาลรวม How to เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการวางแผนเพื่อชีวิตที่เป็นอิสระสำหรับคนทุกวัย ด้วยความรู้ทั้ง ๕ ด้าน ผ่านเวทีเสวนา เวิร์กช็อป และโซนกิจกรรมลงมือทำจริง
คุณวิวัฒน์ วงศ์ภัทรฐิติ กรรมการบริหาร บริษัท ซูเปอร์จิ๋ว อีเวนต์ จำกัด กล่าวว่า
“สิ่งที่น่ากลัวของสังคมสูงวัย ไม่ใช่จำนวนของคนสูงอายุ แต่คือการที่ชีวิตของคนในครอบครัว
กำลังจะไร้อิสระไปพร้อมกัน โดยไทยกำลังเข้าสู่ Super Aged Society ในอีกไม่เกิน ๑๐ ปี ข้อมูล สสช. ปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ชี้ว่า ตอนนี้ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ ๖๐ ขึ้นไป เพิ่มขึ้นคิดเป็น ๒๐% ของประชากร หรือสูงถึง ๑ ใน ๕ ของประเทศ และอัตราส่วนเกื้อหนุนลดเหลือราว ๓.๒ คนทำงานต่อผู้สูงวัย ๑ คน หมายถึง รายได้ เวลา และพลังของครอบครัวคนไทย ต้องถูกเฉลี่ยไปกับภาระดูแลมากขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสุขภาพขยายตัว ผลลัพธ์คือ “อิสระ” ของคนทุกวัยถูกบีบไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาด้านอื่นๆ ในสังคมที่รุนแรงและพร้อมจะพรากอิสระไปจากคนไทยได้อย่างง่ายดาย”

ปัญหา ๕ ข้อ ที่ทำให้ชีวิตของคนไทยไร้อิสระ
๑. ปัญหาหนี้สิน
ข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๘ พบว่า กว่า ๙๕% ของครัวเรือนยังมีหนี้ และหนี้เฉลี่ย ๗๔๐,๕๙๖ บาท/ครัวเรือน สูงสุดรอบ ๔ ปี ขณะเดียวกัน ข้อมูลจาก สสช. ชี้ ส่วนใหญ่คนสูงอายุมีรายได้หลักจากลูกหลาน ๓๕.๗% รองลงมาคือ มาจากการทำงาน ๓๓.๙% โดยคนสูงอายุที่ยังต้องทำงานมีถึง ๕.๒๖ ล้านคน หรือ ๓๗.๒% แสดงให้เห็นถึงเหตุจำเป็นที่อาจทำให้คนสูงอายุหยุดทำงานไม่ได้ รวมถึงในวันที่ทำงานไม่ไหว หรือไม่มีตลาดแรงงานรองรับ หนี้สินทั้งหมด รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูก็จะตกมาถึงลูกหลานวัยทำงาน


๒. ปัญหาสุขภาพ
ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค เผย ไทยมี “ผู้ป่วยความดัน” ราว ๑๔ ล้านคน แต่ขึ้นทะเบียนรักษาเพียง ๗ ล้านคน อีกทั้งคนไทยป่วยเบาหวานราว ๖.๕ ล้านคน*** หรือประมาณ ๑ ใน ๑๐ และจำนวนผู้ไม่รู้สถานะอีกจำนวนมาก ซึ่งโรคในหมวด NCDs เหล่านี้ เป็นฐานความเสี่ยงใหญ่ของวัย ๔๐+ ที่จะลากยาวถึงวัยสูงอายุ ทั้งต้นทุนรักษาค่อนข้างสูง และทอนคุณภาพชีวิตครัวเรือน

๓. ปัญหาด้านจิตใจ
ข้อมูลจาก WHO ระบุว่า อย่างน้อย ๑ ใน ๔ ของคนสูงอายุเผชิญภาวะ “social isolation” ในขณะที่ข้อมูลจาก สสช. ชี้ว่า คนสูงอายุไทยอาศัยอยู่เพียงลำพังสูงถึง ๑๒.๙% หรือคนสูงอายุกว่า ๑.๗ ล้านคน* จากคนสูงอายุทั้งหมด ๑๔ ล้านคน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ อาจกัดกินใจผู้สูงวัย จนพัฒนาไปสู่ภาวะซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการหกล้มในบ้านโดยไม่มีใครช่วยเหลือ และการเจ็บป่วยโดยไม่มีผู้ดูแล ทำให้โอกาสในการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น

๔. ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
สถิติจาก สสช. มีคนสูงอายุหกล้มที่บ้านสูงถึง ๘๒.๙% แบ่งเป็นบริเวณบ้าน ๕๐.๕% และ ภายในบ้าน ๓๒.๔% สอดคล้องข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ชี้ ๑ ใน ๓ ของคนสูงอายุหกล้มทุกปี และต้องเข้าพักรับการรักษาในโรงพยาบาลกว่า ๑๖๕,๐๐๐ คน บาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นกระดูกสะโพกหักกว่า ๔๐,๐๐๐ รายต่อปี โดย ๑๗% ของผู้ที่กระดูกสะโพกหัก จะเสียชีวิตภายใน ๑ ปี นี่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ไม่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย

๕. ปัญหามิจฉาชีพออนไลน์
ผู้สูงวัยตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์ เพิ่มขึ้นจาก ๑๖% ในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็น ๒๓.๑๒% ในปี พ.ศ. ๒๕๖๗** โดยแบ่งเป็น หลอกให้ซื้อสินค้าคุณภาพไม่สมราคา ๗๓% หลอกให้ทำบุญ ๓๙% หลอกลวงให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ๑๘% สาเหตุเกิดจากการขาดทักษะตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจ และขาดการไตร่ตรองก่อนเชื่อหรือแชร์ ส่งผลให้ต้องสูญเสียทรัพย์สิน กระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความมั่นคงในการใช้ชีวิต โดยคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ โดยสถิติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ - ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ มีคดีออนไลน์ ๗๗๓,๑๑๘ คดี รวมมูลค่าความเสียหาย ๗๙,๕๖๙,๔๑๒,๖๐๘ บาท ดังนั้น ถึงเวลาที่ต้องอัพเกรดผู้สูงวัยให้รู้เท่าทันมิจฉาชีพ
เพราะชีวิตที่มีอิสระ คือเป้าหมายของทุกคน ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาของสังคมสูงวัย และทำให้คนในครอบครัว ทุกเพศ ทุกวัย มีชีวิตที่เป็นอิสระไปพร้อมกัน

คุณสุพัฒนุช สอนดำริห์ ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า
“เราให้ความสำคัญกับประเด็น Ageing Society โดยในปีนี้ได้เปิดตัวโปรเจกต์ ‘สูงวัยให้พร้อม ต้องเตรียมตัวก่อน ๔๐’ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักที่เราต้องการสื่อสารคือวัย ๔๐+ งานนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมของเรา ผ่านองค์ความรู้ด้านสุขภาพ เพื่อหวังให้คนวัย ๔๐+ เตรียมตัว และหันมาดูแลตัวเองเพื่อรับมือได้ทัน ทั้งเรื่องระบบเผาผลาญ มวลกล้ามเนื้อ มวลกระดูก จะเริ่มทำงานลดลง หรือเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว หากไม่รีบดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย และกินอาหารที่มีประโยชน์แต่เนิ่นๆ”
คุณกานติมา เลอเลิศยุติธรรม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“ในวันที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ Super Aged Society ความรู้และทักษะดิจิทัลคือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้คนรุ่น ๔๐+ มีอิสระในการใช้ชีวิตอย่างมั่นใจ AIS เดินหน้าขยายโครงการ AIS Academy for Thais เพื่อพัฒนาทักษะดิจิทัลให้คนไทยทุกวัย พร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนไป
ได้อย่างปลอดภัย”

คุณสุนีย์ ศรีสง่าตระกูลเลิศ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า
“เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญสถานการณ์มีเด็กเกิดใหม่น้อยที่สุดในรอบ ๗๐ ปี หรือมีการตายมากกว่าเกิด ซึ่งเป็นการเร่งให้สังคมเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดไวมากขึ้น สถานการณ์นี้นำไปสู่ความท้าทาย ทั้งด้านรายได้และรายจ่าย ซึ่งส่งผลกับคุณภาพชีวิตของคนในครอบครัว เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังพึ่งพารายได้จากผู้อื่นเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือภาครัฐ ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ จึงควรมีมาตรการกระตุ้นหรือสนับสนุนให้ผู้สูงวัยมีรายได้จากการทำงานหรือเงินออมเพิ่มขึ้น ซึ่งความท้าทายนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชน และทุกภาคส่วนมาช่วย ดังนั้น งาน Life Fest 40+ รู้ก่อนดีกว่า จึงเป็นเวทีต้นแบบ ที่ช่วยเชื่อมโยงความรู้ ทั้ง ๕ มิติ และเชื่อมโยงความร่วมมือของทุกภาคส่วน ร่วมถึงประชาชน ให้เข้าใจ มีความรู้ และตระหนักรู้ถึงปัญหานี้”

คุณช้างน้อย กุญชร ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท คลาวด์แอนด์กราวนด์ จำกัด กล่าวว่า
“ชีวิตที่เป็นอิสระคือเป้าหมายของทุกคน แต่หลายคนยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หรือคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวจนไม่ทันได้เตรียมตัว ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อชีวิตตัวเอง แต่ยังกระทบต่อสังคม อีกทั้งเราเชื่อว่าความเป็นอิสระไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่ต้องมี “ความรู้” ที่ถูกต้องและเริ่มตั้งแต่วันนี้ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไร พวกเราจึงร่วมมือกันเพื่อสร้างชีวิตที่เป็นอิสระให้คนในสังคมผ่านงานLife Fest 40+ รู้ก่อน ดีกว่า ตลอด ๓ วัน พร้อมกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย”

Life Fest 40+ รู้ก่อน ดีกว่า เทศกาลรวม How to สำหรับการเตรียมความพร้อม เพื่อวางแผนชีวิตอิสระกับคนทุกวัยทั้ง ๕ ด้าน
ด้านการเงิน (Wealth+) วางแผนการเงินอย่างชาญฉลาด ปลดภาระหนี้สิน สร้างความมั่นคงระยะยาว
ด้านสุขภาพ (Health+) บาลานซ์สุขภาพแบบองค์รวม ทั้งการกิน การออกกำลังกาย พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในทุกช่วงวัย
ด้านจิตใจ (Mind+) ยกระดับสุขภาพจิตใจ สร้างสมดุลชีวิต ดูแลความสัมพันธ์ และความสุขที่ยั่งยืน
ด้านไลฟ์สไตล์ (Living+) ปรับไลฟ์สไตล์และที่อยู่อาศัย เปิดมุมมองชีวิตใหม่ เพิ่มคุณภาพชีวิตในทุกมิติ และการเป็น Active citizen
ด้านเทคโนโลยี (Digital+) ก้าวทันเทคโนโลยี พัฒนาตนเองสู่การเป็นพลเมืองยุคดิจิทัล ใช้นวัตกรรมอย่างชาญฉลาดและปลอดภัย

ข้อมูลเพิ่มเติม : เฟซบุ๊กแฟนเพจ Life Fest
บริษัท ปีติ พีอาร์ จำกัด (ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์)
โทร. ๐๘๙-๘๒๔-๔๘๔๙

ดานอน ประเทศไทย สนับสนุนการดูแลแม่ตั้งครรภ์เพื่อการเริ่มต้นอย่างแข็งแกร่งในช่วง 1,000 วันแรกของชีวิตลูกน้อยด้วยการส่งมอบ...
21/10/2025

ดานอน ประเทศไทย สนับสนุนการดูแลแม่ตั้งครรภ์
เพื่อการเริ่มต้นอย่างแข็งแกร่งในช่วง 1,000 วันแรกของชีวิตลูกน้อย

ด้วยการส่งมอบเครื่องอัลตราซาวด์แก่ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น

เภสัชกรหญิง วิรัชดา สุทธยาคม ผู้อำนวยการฝ่ายโภชนาการเพื่อสุขภาพ ดานอน ประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ลำดับที่ 4 จากซ้าย); นางนงค์สุดา มงคลสมัย ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแล ดานอน ประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ลำดับที่ 3 จากซ้าย)

และตัวแทนจากดานอนประเทศไทย เข้าพบ นายแพทย์ชาตรี เมธาธราธิป. ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น (ลำดับที่7 จากขวา)
และตัวแทนจากศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น เพื่อมอบเครื่องอัลตราซาวด์ให้แก่ทางศูนย์อนามัยฯ



20 ตุลาคม 2568 – บริษัท ดานอน สเปเชียลไลซ์ นิวทริชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ดานอน ประเทศไทย เดินหน้าสานต่อภารกิจส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็กอย่างยั่งยืนด้วยการสนับสนุนเครื่องอัลตราซาวด์ให้แก่ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น เพื่อร่วมยกระดับการให้บริการดูแลหญิงตั้งครรภ์ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้สามารถเข้าถึงการตรวจติดตามพัฒนาการทารกในครรภ์ และประเมินภาวะแทรกซ้อนได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว



การสนับสนุนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างดานอน ประเทศไทย และศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ซึ่งก่อนหน้านี้ ดานอนได้สนับสนุนเครื่องตรวจภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก (IDA) แบบไม่ต้องเจาะเลือด สำหรับใช้ในโครงการคัดกรองเด็กปฐมวัยใน 4 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ โดยมีเด็กเข้ารับการตรวจรวม 1,375 คน และพบเด็กที่มีความเสี่ยงภาวะ IDA จำนวนมาก

“ช่วง 1,000 วันแรกของชีวิต ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนถึงอายุ 2 ขวบ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่คุณแม่สามารถวางรากฐานของสุขภาพที่ดีของลูกในระยะยาว” เภสัชกรหญิง วิรัชดา สุทธยาคม ผู้อำนวยการฝ่ายโภชนาการเพื่อสุขภาพ ดานอน ประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กล่าว “ดานอนจึงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนช่วงเวลาสำคัญนี้ และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้ร่วมมือกับศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น เพื่อให้แม่และเด็กเข้าถึงความปลอดภัยของการตั้งครรภ์และพัฒนาการเด็กในช่วงเวลาสำคัญนี้”

ด้านนพ. ชาตรี เมธาธราธิป ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น กล่าวว่า “ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ขอขอบคุณดานอน ประเทศไทย ที่ให้การสนับสนุนในการด้านสุขภาพแม่และเด็กมาอย่างต่อเนื่อง เครื่องอัลตราซาวด์นี้จะช่วยให้ทางศูนย์ฯ สามารถให้บริการดูแลหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ได้อย่างแม่นยำ ครอบคลุม และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น”



การมีส่วนร่วมของดานอน ประเทศไทยในครั้งนี้ ตอกย้ำความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับบุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคเอกชนเพื่ออนาคตที่ดีขึ้นของเด็กไทย โดยเฉพาะในช่วง 1,000 วันแรกของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การดูแลอย่างเหมาะสมสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนไปตลอดชีวิต

21/10/2025
มูลนิธิโรนัลด์ แมคโดนัลด์ เฮาส์ ประเทศไทย สร้างพลังแห่งการแบ่งปันมอบมุมเด็กเล่นเพื่อผู้ป่วยเด็กและครอบครัว โรงพยาบาลมหาว...
21/10/2025

มูลนิธิโรนัลด์ แมคโดนัลด์ เฮาส์ ประเทศไทย สร้างพลังแห่งการแบ่งปัน

มอบมุมเด็กเล่นเพื่อผู้ป่วยเด็กและครอบครัว โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา

กรุงเทพฯ (21 ตุลาคม 2568) – เมื่อเร็วๆ นี้ นางสาวกิตติวรรณ อนุเวชสกุล (ที่ 4 จากขวา) รองประธานกรรมการ มูลนิธิโรนัลด์ แมคโดนัลด์ เฮาส์ ประเทศไทย ร่วมส่งมอบมุมเด็กเล่นเพื่อผู้ป่วยเด็กและครอบครัวให้แก่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งได้มีการปรับปรุงพื้นที่ใหม่เพื่อให้เด็กป่วยผ่อนคลายความกังวล และใช้เวลาร่วมทำกิจกรรมกับครอบครัวในระหว่างรอเข้าพบแพทย์ โดยได้รับเกียรติจาก พญ.ผกาพรรณ ดินชูไท (ที่ 4 จากซ้าย) รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลฝ่ายวิชาการ และพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล รักษาการแทนผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา ร่วมพิธีส่งมอบในครั้งนี้ ซึ่งภายในงานยังมีชุดอาหาร ‘แฮปปี้มีล’ จากแมคโดนัลด์ และเหล่าจิตอาสาจากบริษัท แมคไทย จำกัด ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรอยยิ้ม และมอบกำลังใจให้ผู้ป่วยเด็ก ณ อาคารวิจัยทางการแพทย์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี



ปัจจุบันมูลนิธิโรนัลด์ แมคโดนัลด์ เฮาส์ ประเทศไทย ได้ดำเนินการสร้างห้องสันทนาการภายในโรงพยาบาลของรัฐแล้วกว่า 40 แห่งทั่วประเทศ โดยมีผู้ป่วยเด็กใช้บริการเฉลี่ยกว่า 360,000 คนต่อปี ตอกย้ำพันธกิจในการส่งเสริมการรักษาแบบมีครอบครัวเป็นศูนย์กลางให้เป็นมาตรฐานใหม่ในการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กในประเทศไทย



ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนภารกิจของมูลนิธิโรนัลด์ แมคโดนัลด์ เฮาส์ ประเทศไทย ได้ง่ายๆ ที่ร้านแมคโดนัลด์ทุกสาขาทั่วประเทศผ่านโปรแกรม Round-Up หรือสแกน QR Code ที่กล่องรับบริจาคของมูลนิธิและเครื่องสั่งอาหารอัตโนมัติ หรือบริจาคผ่านเว็บไซต์เทใจ https://taejai.com/th/d/freedentaltreatment_ch/ (ลดหย่อนภาษีได้) สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ มูลนิธิโรนัลด์ แมคโดนัลด์ เฮาส์ ประเทศไทย ได้ที่ FB • IG • TikTok • LINE หรือ www.rmhc.or.th



ฟิลิปส์ ร่วมรณรงค์วันหัวใจโลก จัดงาน “Primer in 3D Echo” เป็นปีที่ ๓ข้อมูลจากสมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation, W...
17/10/2025

ฟิลิปส์ ร่วมรณรงค์วันหัวใจโลก
จัดงาน “Primer in 3D Echo” เป็นปีที่ ๓

ข้อมูลจากสมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation, WHF) ระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ ๑ ของโลก โดยพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดทั่วโลกมากกว่า ๒๐ ล้านคนต่อปี ฟิลิปส์ ผู้นำด้านเทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพระดับโลก ร่วมรณรงค์เนื่องในวันหัวใจโลก (World Heart Day) ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๙ กันยายนของทุกปี โดยมุ่งเน้นการเผยแพร่ความรู้ให้กับคนไทยและการยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ โดยในปีนี้ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจจากโรงเรียนแพทย์ชั้นนำของประเทศไทย จัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “Primer in 3D Echo” เพื่อขยายความรู้ และเพิ่มทักษะให้กับบุคลากรทางการแพทย์อย่างทั่วถึง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาผู้ป่วย โดยการฝึกอบรมในครั้งนี้ ได้มุ่งเน้นเกี่ยวกับฝึกฝนการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์หัวใจแบบ ๓ มิติ และการนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์เฉพาะทางมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะความชำนาญของแพทย์ในการตรวจ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและการรักษาตัวในโรงพยาบาลของผู้ป่วยโรคหัวใจได้
นายวิโรจน์ วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
“ฟิลิปส์ดำเนินธุรกิจด้านสุขภาพด้วยวิสัยทัศน์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและการเพิ่มการเข้าถึงระบบสาธารณสุขให้มากขึ้น การรณรงค์วันหัวใจโลกจึงสะท้อนถึงพันธกิจสำคัญที่เรามุ่งมั่นมีส่วนร่วม เพื่อผลักดันการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนและสร้างคุณค่าให้กับสังคมในระยะยาว นอกจากฟิลิปส์จะนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์อันล้ำสมัยแล้ว เรายังให้ความสำคัญในการเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชนชาวไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคหัวใจ รู้แนวทางในการรักษาและป้องกันโรค รวมถึงเรายังสนับสนุนองค์ความรู้และการเพิ่มทักษะให้กับบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย เนื่องจากปัจจุบัน นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความก้าวหน้าอยู่ตลอด ดังนั้น การจัดงานฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการจะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ความรู้ทั้งด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การฝึกอบรมทักษะในการใช้เครื่องมือ และช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ในการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วย ในปีนี้เราได้รับเกียรติจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมจัดหลักสูตรฝึกอบรมในงาน “Primer in 3D Echo” ซึ่งจะเน้นในเรื่องการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์หัวใจแบบ ๓ มิติ หรือที่เรียกว่า Three-Dimensional Echocardiography และการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เฉพาะทางในการจัดเก็บข้อมูล พร้อมโปรแกรมวิเคราะห์ภาพ และรายงานผลการตรวจของผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือที่เรียกว่า IntelliSpace Cardiovascular (ISCV) พร้อมกับร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหัวใจด้วย”
ศาสตราธิคุณ แพทย์หญิงสมนพร บุณยะรัตเวช สองเมือง อุปนายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานชมรมคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจแห่งประเทศไทย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ หนึ่งในทีมผู้จัดอบรมหลักสูตร Primer 3D Echo กล่าวว่า
“ปัจจุบัน โรคหัวใจยังถือว่าพบมากในประเทศไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขในปี พ.ศ. ๒๕๖๖ พบว่า จำนวนผู้ป่วยสะสมด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า ๒.๕ แสนราย และมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง ๔ หมื่นรายต่อปี หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ ๕ คน ซึ่งการตรวจพบโรคหัวใจได้เร็วและวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องจะเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ลดอัตราการเสียชีวิต และการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลซ้ำอย่างมีนัยสำคัญ โดยหนึ่งในการตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจที่มีประสิทธิภาพ คือการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์หัวใจ หรือ Echocardiography หรือเรียกสั้นๆ ว่า Echo โดยเฉพาะปัจจุบัน เราสามารถใช้เทคโนโลยี 3D Echo หรือการอัลตราซาวด์หัวใจแบบ ๓ มิติ ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นภาพหัวใจในมิติที่สมจริงและละเอียดมากขึ้น และนอกจากนี้ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เฉพาะทางเข้ามาช่วยในการประมวลผลตรวจโรคหัวใจ ทั้งจากเครื่องอัลตราซาวนด์ และเครื่องตรวจอื่นๆ อาทิ เครื่อง MRI, เครื่อง CT Scan ยังช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและสรุปผลได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
ศาสตราธิคุณ แพทย์หญิงสมนพร อธิบายเพิ่มเติม “สำหรับการฝึกอบรม Primer 3D Echo สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในปีนี้ เราเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘Basic to Intermediate and Using 3D Echo in Daily Practice’ ซึ่งเน้นการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์หัวใจแบบ ๓ มิติ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน และการฝึกปฏิบัติจริงในการสแกนหัวใจผู้ป่วย รวมถึงเรียนรู้เทคนิคการเก็บภาพและวิเคราะห์ภาพ 3D Echo จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง พร้อมทั้งการฝึกตั้งค่าเครื่องตรวจและการปรับแต่งภาพ รวมถึงการฝึกใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์เฉพาะทางในการเรียกดูผลตรวจ รายงาน และการตั้งค่าต่างๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยเสริมทักษะเชิงปฏิบัติแล้ว ยังช่วยเสริมการตัดสินใจทางคลินิกให้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทางผู้จัดงานคาดหวังว่าผู้เข้าอบรมจะได้ความรู้กลับไปใช้งานได้จริง ซึ่งหากการตรวจวินิจฉัยมีความแม่นยำ ย่อมเป็นประโยชน์ในการหาแนวทางในการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อผู้ป่วยได้มากที่สุด”
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ ส่วนมากเกิดจากภาวะของโรคเบาหวาน, ความดันเลือดสูง, ไขมันในเลือดสูง, ภาวะอ้วนลงพุง, กินอาหารไขมันสูง, ขาดการออกกำลังกาย ความเครียดหรือการสูบบุหรี่ แต่ในผู้ป่วยบางราย อาจมีสาเหตุมาจากโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด “อาการเตือนของโรคหัวใจ ได้แก่ เหนื่อยง่าย เจ็บแน่นหน้าอกซีกซ้าย ปวดจุกลิ้นปี่ ใจสั่น หน้ามืด หมดสติ หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ขณะเดียวกัน การตรวจสุขภาพประจำปี ก็สามารถช่วยในการพบโรคและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้เร็ว ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจได้ อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรคหัวใจ เพราะการป้องกันยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับโรคหัวใจ” ศาสตราธิคุณ แพทย์หญิงสมนพร กล่าวปิดท้าย

ข้อมูลเพิ่มเติม : www.philips.com/newscenter
เฟลชแมน ฮิลลาร์ด ประเทศไทย https://fleishmanhillard.co.th
โทร. ๐๖๓-๙๑๔-๑๙๙๙

ถอดรหัส ๔ อุปสรรควิกฤติสังคมสูงวัย สู่ “Life fest 40+” มหกรรม How to เพื่อชีวิตอิสระที่รู้ก่อนดีกว่า“ชีวิตที่ดี” ไม่ได้ห...
16/10/2025

ถอดรหัส ๔ อุปสรรควิกฤติสังคมสูงวัย
สู่ “Life fest 40+”
มหกรรม How to เพื่อชีวิตอิสระที่รู้ก่อนดีกว่า

“ชีวิตที่ดี” ไม่ได้หมายถึงเพียงการมีอายุยืนหรือความมั่งคั่ง แต่คือชีวิตที่มีอิสระในการเลือกเส้นทาง อิสระในการทำสิ่งที่รัก รวมถึงอิสระทางเวลา การเงิน สุขภาพ และจิตใจ แต่ “ชีวิตที่ดี” ของสังคมไทยวันนี้ กำลังถูกฉุดรั้งด้วยข้อจำกัดรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพที่เปราะบาง การเงินที่ไม่มั่นคง ภาระครอบครัวที่กดทับกันหลายชั้น ความโดดเดี่ยวทางสังคม ไปจนถึงความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่ตัดผู้สูงอายุออกจากโอกาสใหม่ๆ ในขณะที่สังคมสูงวัยกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้ทำให้คำว่า “เกษียณ” ที่ควรเป็นช่วงเวลาของชีวิตที่มีอิสระและการเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ได้ดั่งใจ กลับกลายเป็นเพียงภาพฝันที่ไม่เกิดขึ้นจริงสำหรับคนส่วนใหญ่ ปัญหานี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของผู้สูงอายุ แต่คือโจทย์ที่คนทุกวัยต้องร่วมเผชิญและหาทางออกไปด้วยกัน และนี่คือเหตุผลที่สังคมไทยต้องการ “เครื่องมือ” เพื่อปลดล็อกสู่ชีวิตที่เป็นอิสระได้จริง โดยไม่ต้องรอแก่ก็สามารถเริ่มต้นได้

เมื่อคนไทยตายมากกว่าเกิด
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๖–๒๕๒๖ ประเทศไทยเคยมีเด็กเกิดใหม่เกิน ๑ ล้านคนต่อปี แต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดลดลงต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ตัวเลขเด็กเกิดใหม่เหลือเพียง ๔๖๒,๒๔๐ คน ต่ำที่สุดในรอบ ๗๐ ปี ขณะที่ผู้เสียชีวิตมีมากถึง ๕๗๑,๖๔๖ คน หรือ “ตายมากกว่าเกิด” ต่อเนื่องเป็นปีที่สี่ ข้อมูลนี้สอดคล้องกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ว่า ปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ประเทศไทยมีประชากรรวมราว ๖๖ ล้านคน แต่แนวโน้มในอนาคตอาจลดลงถึงครึ่งหนึ่งเหลือเพียง ๓๓ ล้านคนในอีก ๖๐ ปี ขณะที่สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล คาดว่าในปี พ.ศ. ๒๖๔๓ ไทยอาจเหลือประชากรเพียง ราว ๒๙ ล้านคน เท่านั้น
ดังนั้นการ “ตายมากกว่าเกิด” ไม่ได้เป็นเพียงสัญญาณทางประชากร แต่กำลังเร่งให้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยปัจจุบัน ผู้สูงอายุมีสัดส่วนเกิน ๒๐% ของประชากรแล้ว และอีกไม่ถึง ๑๐ ปี สัดส่วนนี้จะทะลุ ๒๘% จนกลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) อย่างเต็มรูปแบบ ผลลัพธ์คือ ภาระการพึ่งพิงที่กดทับทุกครอบครัว แรงงาน และรัฐ ทำให้โจทย์เรื่องคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ กลายเป็นวาระเร่งด่วนของสังคมไทย

“เกษียณ” ในวันที่คนไทยมีอายุยืนยาว
คำว่า “เกษียณ” ถูกผูกติดกับวัย ๖๐ มานาน แต่ในความเป็นจริงวันนี้ ภาพของการเกษียณที่ควรจะเป็น “รางวัลชีวิต” กลับห่างไกลจากความจริงมากขึ้นทุกที จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ กว่า ๑๔.๐๓ ล้านคน หรือคิดเป็น ๒๐% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งสะท้อนความสำเร็จด้านสาธารณสุขและการแพทย์ที่ทำให้คนไทยมีอายุยืนยาวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม คุณภาพชีวิตหลังวัย ๖๐ กลับเต็มไปด้วยข้อจำกัดสำคัญ โดยเฉพาะในเรื่อง “แหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุ” ที่การสำรวจพบว่า ๓๕.๗% ต้องพึ่งพิงบุตร และเพียง ๑๓.๓% เท่านั้น ที่มีรายได้จากเบี้ยยังชีพหรือบำนาญภาครัฐ ขณะที่สัดส่วนจากการทำงานเองแม้จะยังสูง ๓๓.๙% แต่ก็สะท้อนว่า “การเกษียณ” ในความหมายของการหยุดทำงานจริงๆ อาจจะยังไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้สูงวัยส่วนใหญ่
ทั้งหมดนี้ ทำให้คำว่า “เกษียณ” ไม่ได้เป็นรางวัลชีวิต หรือการมีชีวิตที่เป็นอิสระในแบบที่ฝันไว้ แต่กลับกลายเป็นภาวะที่ผู้สูงอายุจำนวนมากยังต้องพึ่งพิงลูกหลาน หรือฝืนทำงานต่อเพื่อความอยู่รอด ดังนั้น “อายุยืน” จึงไม่อาจตีความได้ตรงไปตรงมาว่าเป็น “ชีวิตที่ดี” หากยังขาดอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง

๔ อินไซต์ที่ฉุดรั้งความเป็นอิสระของสังคม (สูงวัย) ไทย

๑. สุขภาพที่เปราะบาง
กว่า ๑ ใน ๓ ของผู้สูงอายุไทยหกล้มทุกปี และเฉพาะในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ มีผู้สูงอายุ กว่า ๑๖๕,๐๐๐ คน ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากการพลัดตกหกล้ม โดยมากกว่า ๔๐,๐๐๐ ราย บาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นกระดูกสะโพกหัก และกว่า ๑๗% ของผู้ที่สะโพกหักเสียชีวิตภายในหนึ่งปี
ข้อมูลในปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ยังพบว่า ผู้สูงอายุเสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้ม ๑๑.๔๘ รายต่อประชากรแสนคน ทำให้ “การหกล้ม” กลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสองของผู้สูงอายุในกลุ่มการบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ รองจากอุบัติเหตุทางถนน
ปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงวัยหกล้มง่ายขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากโรคประจำตัว ซึ่งกรมควบคุมโรคระบุว่า เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้ยาหลายชนิด ทั้งผลข้างเคียงจากตัวยา และการใช้ยาร่วมกัน ยังเพิ่มโอกาสการเสียสมดุลการทรงตัว นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านร่างกายอื่นๆ เช่น การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อและระบบการเคลื่อนไหวไม่แข็งแรง ภาวะขาดสารอาหาร การรับรู้ประสาทสัมผัสที่บกพร่อง รวมถึงการบาดเจ็บของเท้า
ด้านสภาพแวดล้อมก็เป็นอีกตัวแปรสำคัญ กรมควบคุมโรค พบว่า ผู้สูงอายุไทยกว่า ๘๐% อาศัยอยู่ในบ้านที่ไม่ปลอดภัย และมากถึง ๓๐% ของการหกล้มเกิดขึ้นในห้องน้ำ จากพื้นลื่น ไม่มีราวจับ หรือแสงสว่างไม่เพียงพอ รวมถึงการสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสม ล้วนทำให้ความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น

๒. การเงินที่ไม่มั่นคง
แม้อายุงานโดยปกติจะสิ้นสุดที่ ๖๐ ปี แต่จากการสำรวจปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ผู้สูงอายุไทยกว่า ๕.๒๖ ล้านคน หรือ ๓๗.๒% ยังคงต้องทำงานต่อไป โดยมากกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ ๕๕.๔% ทำงานในภาคเกษตรและประมง รองลงมาคือการค้าขายและบริการรายย่อย ๒๐.๔% ซึ่งสะท้อนชัดว่าผู้สูงอายุจำนวนมากยังคงเป็นแรงงานหลักในครัวเรือน
สำหรับผู้สูงอายุที่เป็นลูกจ้าง ค่าจ้างเฉลี่ยอยู่ที่ ๑๓,๓๓๙ บาทต่อเดือน และหากเป็นแรงงานในภาคเกษตร รายได้เฉลี่ยจะต่ำลงเพียง ๖,๘๒๖ บาทต่อเดือน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้สูงอายุที่ยังทำงานกว่า ๘๖.๙% อยู่ในแรงงานนอกระบบ ซึ่งหมายความว่าไร้สวัสดิการประกันสังคมหรือบำนาญรองรับอย่างเป็นระบบ
เมื่อมองที่แหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุ พบว่า ๓๕.๗% ต้องพึ่งพิงบุตร ขณะที่ ๓๓.๙% ต้องพึ่งการทำงานของตนเอง ส่วนเบี้ยยังชีพและบำนาญรวมกันมีไม่ถึง ๒๐% ของรายได้ทั้งหมด ตัวเลขนี้สะท้อนว่า “ความมั่นคงทางการเงินในวัยเกษียณ” ยังเป็นเพียงภาพฝันสำหรับผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในสังคมไทย และการทำงานหลังวัยเกษียณไม่ใช่ทางเลือกเพื่อเติมเต็มชีวิต แต่คือภาระที่ผู้สูงวัยต้องแบกรับเพื่อความอยู่รอด

๓. ความโดดเดี่ยวและจิตใจ
๑๒.๙% ของผู้สูงอายุไทยอาศัยอยู่เพียงลำพัง เพิ่มขึ้นจาก ๗.๘% ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ตัวเลขนี้ดูเหมือนเล็ก แต่เมื่อเทียบกับประชากรสูงวัยทั้งประเทศกว่า ๑๔ ล้านคน หมายถึง ผู้สูงอายุกว่า ๑.๗ ล้านคน* ต้องอยู่ตามลำพังในทุกๆ วัน
การอยู่คนเดียวในวัยสูงอายุไม่ได้หมายถึงอิสระเสมอไป หากแต่คือความเปราะบางเงียบๆ ที่ทำให้ผู้สูงวัยเสี่ยงต่อการหกล้มในบ้านโดยไม่มีใครช่วยเหลือทันที เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยโดยไม่มีผู้ดูแล และเผชิญความเหงาที่ค่อยๆ กัดกินใจจนพัฒนาไปสู่ภาวะซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว
นี่คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่จะเพิ่มต้นทุนการดูแลสุขภาพและภาระให้กับสังคมไทยในระยะยาว เพราะ “บ้าน” ที่ควรเป็นที่พึ่ง กลับกลายเป็นที่ที่ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากถูกผลักเข้าสู่กลุ่มเปราะบางโดยไม่ทันตั้งตัว

๔. ดิจิทัลที่ไม่เท่ากัน
จากรายงาน* พบว่า ๕๙.๙% ของผู้สูงอายุไทยใช้อินเทอร์เน็ต โดยสมาร์ทโฟนคืออุปกรณ์หลัก แต่ “ช่องว่างทางดิจิทัล” ยังคงปรากฏชัด โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ ๗๐ ปีขึ้นไปที่การเข้าถึงลดลงอย่างมาก จาก ๘๑% ในกลุ่มวัย ๖๐-๖๔ ปี เหลือเพียง ๒๑% ในกลุ่มอายุ ๘๐ ปีขึ้นไป
แม้จะมีผู้สูงอายุราว ๒.๔ ล้านคนที่ทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ แต่รูปแบบการใช้งานกลับกระจุกอยู่กับกิจกรรมพื้นฐาน เช่น โอนเงิน ๙๒.๒%, สแกน QR จ่ายค่าสินค้า ๙๑.๓%, หรือชำระบิลออนไลน์ ๖๘.๖% ขณะที่กิจกรรมที่สะท้อน “ความมั่นคงในอนาคต” กลับมีจำนวนน้อย หรือเพียง ๔.๑% ที่ลงทุนออนไลน์ และ ๒.๑% ที่ทำประกันออนไลน์ ตัวเลขนี้สะท้อนว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังถูกจำกัดให้ใช้เทคโนโลยีเพียงเพื่อความสะดวกในชีวิตประจำวัน มากกว่าการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในเศรษฐกิจดิจิทัล
สอดคล้องกับข้อมูลการใช้งานโซเชียลมีเดียที่ยังจำกัดอยู่ในไม่กี่มิติ โดย ๙๗.๔% ใช้เพื่อติดต่อสื่อสาร, ๖๔.๓% รับข่าวสาร, ๓๒.๗% ซื้อของออนไลน์ แต่มีเพียง ๒.๔% เท่านั้นที่ใช้เพื่อสร้างอาชีพ ขณะที่ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยยังต้องพึ่งพิงรายได้จากบุตรหลานหรือการทำงานต่อหลังวัยเกษียณ สุดท้าย “ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล” จึงไม่ใช่แค่ปัญหาการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แต่คือการถูกกีดกันออกจากโอกาสทางดิจิทัลใหม่ๆ ที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และทำให้ “ชีวิตที่เป็นอิสระ” กลายเป็นสิทธิของคนบางกลุ่ม ไม่ใช่ของผู้สูงอายุทุกคน
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า สังคมสูงวัยไทยยังถูกฉุดรั้งไม่ให้ก้าวไปสู่การมีชีวิตที่เป็นอิสระได้จริง อีกทั้งปัญหาของผู้สูงวัยไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของผู้สูงวัยเท่านั้น แต่กำลังกลายเป็นแรงกดทับที่ซ้อนทับกันเป็นลูกโซ่ ทั้งระดับครอบครัว ระดับแรงงาน และระดับประเทศ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่จะช่วยปลดล็อกชีวิตจากพันธนาการเหล่านี้ ไม่ใช่เฉพาะเพื่อผู้สูงวัย แต่เพื่อทุกเจนเนอเรชันที่อยากเลือกเส้นทางชีวิตของตนเองได้อย่างอิสระ
ดังนั้น เราจึงต้องการเครื่องมือที่จะช่วยปลดล็อกชีวิตไปสู่ความเป็นอิสระจริงๆ เครื่องมือเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือความรู้และทักษะที่ทุกคน ทุกวัย ต้องมี เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ Next Chapter ของชีวิตได้ทุกเมื่อ

๕ มิติสำคัญในการปลดล็อกชีวิตที่เป็นอิสระ
ด้านการเงิน (Wealth+) วางแผนการเงินอย่างชาญฉลาด ปลดภาระหนี้สิน สร้างความมั่นคงระยะยาว
ด้านสุขภาพ (Health+) บาลานซ์สุขภาพแบบองค์รวม ทั้งการกิน การออกกำลังกาย พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในทุกช่วงวัย
ด้านจิตใจ (Mind+) ยกระดับสุขภาพจิตใจ สร้างสมดุลชีวิต ดูแลความสัมพันธ์ และความสุขที่ยั่งยืน
ด้านไลฟ์สไตล์ (Living+) ปรับไลฟ์สไตล์และที่อยู่อาศัย เปิดมุมมองชีวิตใหม่ เพิ่มคุณภาพชีวิตในทุกมิติ และการเป็น Active citizen
ด้านเทคโนโลยี (Digital+) ก้าวทันเทคโนโลยี พัฒนาตนเองสู่การเป็นพลเมืองยุคดิจิทัล ใช้นวัตกรรมอย่างชาญฉลาดและปลอดภัย

ข้อมูลเพิ่มเติม : เฟซบุ๊กแฟนเพจ Life Fest
บริษัท ปีติ พีอาร์ จำกัด (ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์)
โทร. ๐๘๙-๘๒๔-๔๘๔๙

ที่อยู่

36/6 ซอยประดิพัทธ์ 10 ถนนประดิพัทธ์ แขวงพญาไท เขตพญาไท
Bangkok
10400

เบอร์โทรศัพท์

+66869920875

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้านผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน:

แชร์