สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน

  • Home
  • สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน

สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน หนังสือสุขภาพ สำหรับทุกครอบครัว

ยกระดับการฝึกผ่าตัดและเสริมสร้างมาตรฐานการรักษาพยาบาลในระดับเอเชียแปซิฟิกสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพย...
14/07/2025

ยกระดับการฝึกผ่าตัดและเสริมสร้างมาตรฐาน
การรักษาพยาบาลในระดับเอเชียแปซิฟิก

สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เมดเทค ประเทศไทย เปิดศูนย์ฝึกอบรมทักษะการผ่าตัดขั้นสูง ซึ่งนับเป็นศูนย์ฝึกอบรมแห่งใหม่ล่าสุด ตั้งอยู่ที่ชั้น ๕ อาคารกายวิภาคทางคลินิก ของสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ศูนย์ฝึกอบรมนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญในการยกระดับความเป็นเลิศทางคลินิกและการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ทั้งในประเทศไทยและทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ศ.นพ.อาทิตย์ อังกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “การร่วมมือกับ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เมดเทค ประเทศไทย ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่เรามีร่วมกันในการเสริมสร้างมาตรฐานด้านการผ่าตัดผ่านการศึกษาและนวัตกรรม และด้วยอุปกรณ์ที่ก้าวหน้าล้ำสมัยสูงของศูนย์ฝึกอบรมนี้ ประกอบกับความเชี่ยวชาญระดับนานาชาติของ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เมดเทค ประเทศไทย ทำให้เราสามารถรังสรรค์การเรียนรู้อันทรงประสิทธิภาพ ซึ่งจะยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”
ศูนย์ฝึกอบรมแห่งนี้กินพื้นที่ ๔๐๐ ตารางเมตร ก่อตั้งขึ้นภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระยะ ๓ ปี ระหว่างสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) โดยจะตั้งอยู่บนชั้น ๕ ของอาคารกายวิภาคทางคลินิก สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล บุคลากรทางการแพทย์จะได้ฝึกฝนและเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง โดยอาศัยนวัตกรรมและการผสมผสานระหว่างการปฏิบัติจริงและการบรรยายโดยผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ออกแบบขึ้นเพื่อรองรับความต้องการทางคลินิกซึ่งเปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน โดยผู้เรียนจะได้เรียนรู้ผ่านสถานการณ์เสมือนจริงต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย อาทิ ห้องผ่าตัดจำลองซึ่งติดตั้งอุปกรณ์ครบครันพร้อมโคมไฟฝ่าตัด และพื้นที่สำหรับเรียนรู้การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด VELYS™ โดยเฉพาะ
นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่สำหรับใช้งานได้หลากหลาย ทั้งห้องบรรยาย และห้องปฏิบัติการซึ่งรองรับได้ ๕๐ คน ตลอดจนห้องขนาดกลางและขนาดเล็กสำหรับเรียนรู้แบบกลุ่มย่อย ซึ่งห้องเหล่านี้อาจใช้สำหรับฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการและการอภิปรายแบบกลุ่มเล็กได้อีกด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดนี้ล้วนมอบบรรยากาศการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น เหมาะสำหรับการฝึกผ่าตัดทั้งในระดับพื้นฐานและระดับสูง
พิธีเปิดศูนย์การเรียนรู้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC Learning Center) อย่างเป็นทางการ จัดขึ้นในงานประชุม Johnson & Johnson MedTech ACE Solutions in Motion Summit ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ Rama Lab โดยนับเป็นครั้งแรกของกิจกรรมด้านการฝึกอบรมเฉพาะทางที่มุ่งยกระดับทักษะและความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในเอเชียแปซิฟิก

ข้อมูลเพิ่มเติม : https://jnjinstitute.com/en-us/location/bangkok

IMCAS Asia 2025 เปิดฉากยิ่งใหญ่ในไทยIMCAS Asia 2025 เปิดงานด้วยพลังแห่งนวัตกรรมความงาม จุดพลุ Medical Tourism ไทย รวมพล ...
09/07/2025

IMCAS Asia 2025 เปิดฉากยิ่งใหญ่ในไทย

IMCAS Asia 2025 เปิดงานด้วยพลังแห่งนวัตกรรมความงาม จุดพลุ Medical Tourism ไทย รวมพล ๓,๐๐๐ แพทย์จาก ๔๐ ประเทศทั่วโลก ร่วมประชุม “Soft Power ไทย” ร่วมปักหมุดไทยเป็น Medical Hub แห่งเอเชีย พร้อมผนึกกำลังพลังความร่วมมือรัฐมนตรี-ผู้ว่า ททท.-คณะกรรมการ Soft Power และสมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ ร่วมกันเปิดเวที “IMCAS Asia 2025” เมื่อศาสตร์ความงามกลายเป็น Soft Power ตัวใหม่ของไทย งานนี้ไม่ใช่แค่เรื่องความงาม แต่คือกลไกเศรษฐกิจระดับชาติที่ทั่วโลกจับตามอง
เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา ประเทศไทยตอกย้ำสถานะ “Medical Hub of Asia” ด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ IMCAS Asia 2025 ณ โรงแรมดิ แอทธินี กรุงเทพฯ ซึ่งปีนี้ได้รับเกียรติจาก นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานคณะกรรมการพัฒนา Soft Power แห่งชาติ และรองประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี และนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยสมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ (THAICOSDERM) ในฐานะเจ้าภาพร่วมทางวิชาการ นำโดย ผศ.พญ.สุวิรากร ธรรมศักดิ์ นายกสมาคมฯ, นพ.ไพศาล รัมณีย์ธร ประธานการจัดงานกรรมการฝ่ายวิชาการ IMCAS และกรรมการบริหาร สมาคมฯ และ ดร.พญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา ประธานการจัดงาน กรรมการฝ่ายวิชาการ IMCAS และเลขาธิการสมาคมฯ ร่วมผลักดันให้แพทย์ไทยและนวัตกรรมด้านความงามของไทยก้าวสู่เวทีโลกด้วยผู้เข้าร่วมกว่า ๓,๐๐๐ คนจาก ๔๐ กว่าประเทศ ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของนานาชาติและบทบาทของประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านเวชศาสตร์ความงามของเอเชีย ภายใต้แนวคิด “Together, We Rise: Shaping the Future of Global Aesthetics from Asia.”
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติ IMCAS Asia 2025 อย่างเป็นทางการ เปิดเผยว่า การเปิดงานในครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญของเวทีระดับโลก และเป็นเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทย ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์และความงามให้เป็น Soft Power ด้านสุขภาพของประเทศไทย ให้พร้อมผลักดันสู่การเป็นศูนย์กลาง Medical Tourism แห่งเอเชีย และนับเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ศัลยกรรมตกแต่งและเวชศาสตร์ความงามจากทั่วโลกกว่า ๓,๐๐๐ คน จากทั้งระบบ Onsite และ Online (Hybrid Conference) พร้อมการจัดแสดงเครื่องมือแพทย์กว่า ๑๑๙ บูธ และมีวิทยากรจากนานาประเทศกว่า ๒๔๙ คน ร่วมอัพเดทองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมล่าสุดในสาขาที่เกี่ยวข้อง
ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานคณะกรรมการพัฒนา Soft Power แห่งชาติ กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นเวทีระดับโลก ที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ศัลยกรรมตกแต่ง และเวชศาสตร์ความงามจากทั่วโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมล้ำสมัยในด้านความงามและสุขภาพ การมีส่วนร่วมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สะท้อนถึงนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) ของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลางด้านสุขภาพและความงามในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ด้าน ผศ.พญ.สุวิรากร ธรรมศักดิ์ นายกสมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ ร่วมด้วย นพ.ไพศาล รัมณีย์ธร ประธานการจัดงานกรรมการฝ่ายวิชาการ IMCAS และกรรมการบริหาร สมาคมฯ และ ดร.พญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา ประธานการจัดงาน กรรมการฝ่ายวิชาการ IMCAS และเลขาธิการ สมาคมฯ กล่าวว่า สมาคมฯ ได้ร่วมกับ อิมคาส IMCAS (International Master Course on Aging Science) ร่วมกันจัดงานประชุมระดับโลกด้านการแพทย์ผิวหนัง ศัลยแพทย์พลาสติก เวชศาสตร์ความงามและฟื้นฟูความเสื่อมจากประเทศฝรั่งเศส โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับเลือกให้เป็นศูนย์กลางการจัดงานในประเทศแถบเอเชีย โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากที่ต่างๆ ทั่วโลกแบบไฮบริด hybrid (แบบ onsite และ online) กว่า ๓,๐๐๐ คน การจัดแสดงเครื่องมือทางการแพทย์ที่มาจากทั่วโลก ๑๑๙ บูธ และมีจำนวนผู้บรรยายที่มาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกถึง ๒๔๙ คน โดยไฮไลต์ของงาน มีดังนี้
๑. การจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปแสดงสดการฉีดฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ โดยเชื่อมโยงกับการสอนด้านกายวิภาคผ่านการถ่ายทอดสดจากโรงเรียนแพทย์ประเทศฝรั่งเศส
๒. การอัพเดทการรักษาทั้งแบบผ่าตัด (ศัลยกรรมจมูก, เสริมหน้าอก, ดูดไขมัน ฯลฯ) และแบบไม่ผ่าตัด (เลเซอร์, ร้อยไหม) เป็นต้น
๓. เทคโนโลยีอัลตราซาวด์มุมมองใหม่ เพื่อความแม่นยำ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ในการรักษา การศัลยกรรมไปจนถึงการวินิจฉัยผิวอย่างชาญฉลาด เซ็กชั่นเหล่านี้ครอบคลุมทุกแง่มุม โดยอัลตราซาวด์กำลังมีบทบาทอย่างมากในวงการผิวหนังและการศัลยกรรม
๔. การอัพเดทอนาคตของเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Regenerative Medicine) เช่น การรักษาด้วยเซลล์, ยีน และเอ็กโซโซม
๕. การส่งเสริมมาตรฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ตามแนวทาง GMP PIC/S เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดต่อผู้รับบริการ

ข้อมูลเพิ่มเติม : https://itcam.org/Home, ITCAM-Thaicosderm

เปิดแคมเปญ “พี่ไปรฯ ส่งยา สัตวแพทย์จุฬาฯ ส่งรัก”เพิ่มความสะดวกให้คนรักสัตว์ทั่วประเทศบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมกับ จุ...
02/07/2025

เปิดแคมเปญ “พี่ไปรฯ ส่งยา สัตวแพทย์จุฬาฯ ส่งรัก”
เพิ่มความสะดวกให้คนรักสัตว์ทั่วประเทศ

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยคณะสัตวแพทยศาสตร์ และโรงพยาบาลสัตว์ กรุงเทพฯ เปิดแคมเปญ “พี่ไปรฯ ส่งยา สัตวแพทย์ จุฬาฯ ส่งรัก” ชูระบบส่งด่วน EMS ส่งต่อยาและเวชภัณฑ์ของสัตว์ให้กลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงผ่านโซลูชันให้บริการ ๒ ช่องทาง คือ บริการส่งยาถึงบ้านสำหรับผู้มาใช้บริการที่โรงพยาบาลสัตว์ กรุงเทพฯ และบริการส่งยาถึงบ้านสำหรับผู้ใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ (Televet) เพื่อลดระยะเวลารอคอยในการรอรับยา และลดความแออัดในโรงพยาบาลที่มีผู้เข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวนสัตว์เลี้ยงของไทยมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาราว ๖% สะท้อนถึงโอกาสเติบโตในเรื่องของการขนส่ง ระบบการรักษา และโลจิสติกส์กลุ่มดังกล่าว
ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ความร่วมมือโครงการ “พี่ไปรฯ ส่งยา สัตวแพทย์ จุฬาฯ ส่งรัก” ครั้งนี้ เกิดจากพลังของ ๒ องค์กรที่เห็นความสำคัญของการใช้ทรัพยากร ความเชี่ยวชาญ และเครือข่ายที่มีอยู่มาผสานกันเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้เลี้ยงสัตว์ที่จะต้องนำสัตว์เลี้ยงไปรับการรักษาและรับยาที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นการลดภาระการเดินทาง ลดค่าใช้จ่ายของเจ้าของสัตว์ หรือการบรรเทาความแออัดของโรงพยาบาลสัตว์
“ในมุมของจุฬา เล็งเห็นว่ามหาวิทยาลัยไม่ควรจำกัดบทบาทเพียงการสอนหรือวิจัย แต่ต้องเป็นแรงผลักดันที่สามารถสร้างระบบนิเวศใหม่ให้กับสังคม ขณะที่ไปรษณีย์ไทยก็แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในการเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่แท้จริง ที่ไม่เพียงรับส่งพัสดุ แต่สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริการสุขภาพที่เท่าเทียม ทำให้สุขภาพชีวิตดีขึ้นสำหรับประชาชนทุกภูมิภาค และขยายผลไปถึงสัตว์เลี้ยง ความร่วมมือนี้ไม่ใช่แค่การอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการและสัตว์เลี้ยง แต่ยังช่วยเปิดประตูให้กับแนวคิดใหม่ๆ ในการบูรณาการบริการภาครัฐและวิชาการอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการวางรากฐานให้ระบบสุขภาพสัตว์เลี้ยงไทยมีความแข็งแรง คล่องตัว และพร้อมต่อยอดสู่การเป็นโครงสร้างถาวรในระบบสุขภาพสัตว์เลี้ยงของประเทศต่อไป”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล กรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ “พี่ไปรฯ ส่งยา สัตวแพทย์ จุฬาฯ ส่งรัก” ถือเป็นการจับมือครั้งสำคัญระหว่างแบรนด์ระดับประเทศอย่าง “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” และ “ไปรษณีย์ไทย” โดยเป็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่มีพลังขับเคลื่อนทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว รวมทั้งมิติสุขภาพสัตว์ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การบูรณาการจุดแข็งของ ๒ องค์กร ทั้งในด้านเครือข่ายการขนส่งระดับประเทศของไปรษณีย์ไทย และความเชี่ยวชาญด้านสัตวแพทย์ของจุฬาฯ สร้างห่วงโซ่คุณค่าต่อวงการสุขภาพสัตว์ในประเทศ ซึ่งจะไม่เพียงยกระดับคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยง แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่อาศัยอยู่นอกเขตเมืองที่ยังอาจเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพสัตว์ในรูปแบบดั้งเดิม
“โครงการนี้ยังช่วยตอกย้ำให้ไปรษณีย์ไทย ก้าวสู่บทบาทโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพของประเทศ ทั้งจากการเป็นผู้นำการขนส่งพัสดุ การเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพที่เชื่อมโยงการรักษา-บริการและเวชภัณฑ์ได้ถึงหน้าบ้าน รวมถึงมาตรฐานการขนส่งที่ไว้วางใจได้ ทั้งยังสะท้อนหน่วยงานสื่อสารและขนส่งของชาติที่ยืนอยู่เคียงข้างคนไทยในทุกมิติ นอกจากนี้ เมื่อโครงการนี้สามารถขยายผลไปยังภูมิภาคอื่นๆ หรือกลุ่มโรงพยาบาลสัตว์ในเครือข่ายเพิ่มเติม ก็จะยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของไปรษณีย์ไทยในฐานะแบรนด์ที่ขับเคลื่อน Well-being ของสังคมไทยอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน ยังสะท้อนบทบาทของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะผู้สร้างระบบสุขภาพสัตว์ที่มีมาตรฐาน เข้าถึงได้ และโอกาสต่อยอดไปสู่ระดับนโยบายประเทศต่อไปในอนาคต”
ศาสตราจารย์ สพ.ญ.ดร.สันนิภา สุรทัตต์ คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ความต้องการและพฤติกรรมการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงในไทยและในภูมิภาคกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะความผูกพันที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยง และการเปลี่ยนแปลงนี้กำลังผลักดันให้เกิดความต้องการผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม บริการที่เน้นสุขภาพ และโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ทั้งนี้ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จึงไม่ได้มองเพียงการเป็น “ผู้รักษา” แต่พร้อมเดินหน้าสู่การเป็น “ผู้สร้างระบบสุขภาพสัตว์เลี้ยงที่ดีแห่งอนาคต” ที่มีองค์ประกอบครบทั้งการวิจัย บริการ และการเข้าถึง ความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยครั้งนี้ ถือเป็นโมเดลต้นแบบที่สามารถต่อยอดไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ ได้ในอนาคต ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนสุขภาพสัตว์เลี้ยงไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และตอบสนองความคาดหวังของเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ที่มองว่าสัตว์เลี้ยงคือสมาชิกในครอบครัวอย่างแท้จริง
“ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว คณะฯ เห็นโอกาสที่สำคัญในการใช้ระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ และความเชี่ยวชาญของคณะฯ มาเสริมความเชื่อมั่นกับเจ้าของและตลาดสัตว์เลี้ยง โดยปัจจุบันมีทรัพยากรที่เพียบพร้อมทั้งโรงพยาบาลสัตว์ กรุงเทพฯ ที่ให้บริการทางคลินิกที่ครอบคลุมและเฉพาะทางสำหรับสัตว์เลี้ยงหลากหลายชนิด การดูแลฉุกเฉิน การวินิจฉัยขั้นสูง (CT Scan, MRI) และคลินิกเฉพาะทาง โดยยังได้รับการยอมรับในฐานะโรงเรียนสัตวแพทย์แห่งแรกและเป็นผู้นำในประเทศไทย และได้รับการยกย่องในระดับโลก ซึ่งสิ่งนี้ตอกย้ำความน่าเชื่อถือทางระบบการรักษาให้กับผู้ใช้บริการทั่วประเทศ”
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น โดยประชาชนส่วนใหญ่นิยมการดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว ซึ่งจากปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา ตลาดสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะในกลุ่มบริการรักษาสัตว์มีมูลค่าตลาดสูงถึง ๖.๖๔ แสนล้านบาท สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๘ นี้ คาดการณ์ว่าจำนวนสัตว์เลี้ยงของไทยมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาราว ๖% โดยคิดเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของประมาณ ๕.๓๘ ล้านตัว ซึ่งสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ สุนัขและแมว
ความร่วมมือกับคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดความเชี่ยวชาญของไปรษณีย์ไทยในด้านการขนส่งด้วยแนวคิด “Parcel Defined Logistics” ที่ออกแบบระบบขนส่งให้เหมาะสมกับสิ่งของทุกประเภท รวมทั้งการขนส่งยาและเวชภัณฑ์ที่ไปรษณีย์ไทยได้เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วย และโรงพยาบาล ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่ใช้บริการส่งยาและเวชภัณฑ์ผ่านไปรษณีย์ไทยกว่า ๔๐๐ แห่งทั่วประเทศ อาทิ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดยมีการขนส่งไปแล้วกว่า ๒.๓๒ ล้านชิ้น
“บริการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงครั้งนี้เป็นการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้บริการที่เป็นคนรักสัตว์ที่มีแนวโน้มจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย โดยจะให้บริการผ่าน ๒ ช่องทาง คือ บริการส่งยาถึงบ้านสำหรับผู้มาใช้บริการที่โรงพยาบาลสัตว์ กรุงเทพฯ และบริการส่งยาถึงบ้านสำหรับผู้ใช้บริการผ่านทางออนไลน์ (Televet) เพื่อลดระยะเวลารอคอยในการรอรับยา และลดความแออัดในโรงพยาบาลที่มีผู้เข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางสำหรับผู้ใช้บริการที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล โดยผสานจุดแข็งของไปรษณีย์ไทยที่มีการส่งด่วน EMS การันตีมาตรฐานการจัดส่งภายใน ๑-๒ วันทำการ ส่งตรงถึงบ้านด้วยบรรจุภัณฑ์ และวิธีการขนส่งที่เหมาะสมในการช่วยรักษาประสิทธิภาพของยาและเวชภัณฑ์ นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้แบบเรียลไทม์ตลอด ๒๔ ชั่วโมง พร้อมกันนี้ ยังมีเครือข่ายกว่า ๕๐,๐๐๐ จุด ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และบุรุษไปรษณีย์กว่า ๒๕,๐๐๐ คน ที่มีความชำนาญทุกเส้นทาง บริการจัดส่งในอัตราค่าบริการเริ่มต้นเพียง ๑๒๐ บาทต่อครั้ง”
ด้านอาจารย์ น.สพ.ชัยยศ ธารรัตนะ ผู้ช่วยคณบดี และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์ กรุงเทพฯ กล่าวว่า ในมุมของโรงพยาบาลสัตว์ มองว่า การดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ต้องออกแบบให้ครบวงจรตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ทั้งการเข้ารับคำปรึกษาผ่านระบบ Televet การวางแผนการรักษา ติดตามอาการ การสื่อสารกับสัตวแพทย์ ไปจนถึงระบบการส่งยาถึงบ้านที่ปลอดภัยและมีมาตรฐาน ซึ่งโครงการ “พี่ไปรฯ ส่งยา สัตวแพทย์ จุฬาฯ ส่งรัก” ถือเป็นหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่เข้ามาเติมเต็มระบบนี้ให้สมบูรณ์ และทำให้การรักษา-ดูแลสัตว์ มีความเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น
“แคมเปญนี้กำลังนำไปสู่โครงสร้างพื้นฐานของ Pet Health Infranstructure ที่เชื่อมต่อบริการสุขภาพสัตว์เลี้ยงทุกขั้นตอนเข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ และถือเป็นทิศทางใหม่ของการดูแลสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย ตอบโจทย์กลุ่มคนรักสัตว์ในยุคดิจิทัลที่ครอบคลุมทั้งกลุ่มครอบครัวเมือง พื้นที่ห่างไกล ที่ต้องการบริการสุขภาพที่เชื่อถือได้ แต่ไม่จำเป็นต้องพาสัตว์เลี้ยงเดินทางไปยังโรงพยาบาลสัตว์ อีกทั้งยังช่วยเปลี่ยนไลฟ์สไตล์คนไทยต่อการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงที่สามารถดำเนินการได้ทุกที่อีกด้วย”

ข้อมูลเพิ่มเติม : www.thailandpost.co.th, FB : บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, X :
Line Official : Post, Tik Tok :

ผนึกกำลังต้าน “บุหรี่ไฟฟ้า”“หมอ-นักวิชาการ” ผนึกกำลังต้าน “บุหรี่ไฟฟ้า” เร่งให้ความรู้พ่อแม่-ผู้ปกครอง-ครู ตระหนักถึงพิษ...
30/06/2025

ผนึกกำลังต้าน “บุหรี่ไฟฟ้า”

“หมอ-นักวิชาการ” ผนึกกำลังต้าน “บุหรี่ไฟฟ้า” เร่งให้ความรู้พ่อแม่-ผู้ปกครอง-ครู ตระหนักถึงพิษภัยร้ายแรง และรู้เท่าทันกลยุทธ์การตลาด หลังบริษัทผู้ผลิตพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ มุ่งเจาะกลุ่มเด็ก-เยาวชนโดยเฉพาะ
โครงการ “การสื่อสารเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงประเด็น” สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก ๑ ได้จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “รู้ทันบุหรี่ไฟฟ้า ภัยร้ายใกล้ตัวเด็กและเยาวชน” เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา เวลา ๑๐.๐๐-๑๒.๐๐ น. ที่โรงแรม Courtyard by Marriott Bangkok โดยการจัดเสวนาดังกล่าว มีจุดประสงค์เพื่อให้พ่อแม่-ผู้ปกครอง รับทราบสถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้ากับเยาวชนในปัจจุบัน รวมทั้งรู้ทันกลยุทธ์การตลาดที่บริษัทผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้านำมาใช้ในการชักจูงเด็กและเยาวชน
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ระบุว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งประเทศไทยห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ในขณะนั้นมี ๑๓ ประเทศทั่วโลกประกาศห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ปัจจุบัน นานาประเทศ ได้ทยอยห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ พบว่า มี ๔๖ ประเทศ ประกาศห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า เหตุผลหลักเป็นเพราะเกิดการระบาดในเด็กและเยาวชน จากการออกแบบอุปกรณ์สูบ การเติมรสชาตินับพันรส และการตลาดที่พุ่งเป้าเด็กเยาวชน เกินความสามารถในการควบคุม
ส่วนในประเทศไทย พบว่า อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของประชากรไทยที่มีอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ มีจำนวน ๙๐๐,๔๕๙ คน คิดเป็น ๑.๕๒% จากจำนวนผู้สูบบุหรี่ทั้งหมดที่มีจำนวน ๙.๗ ล้านคน ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างมากจากปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่มีจำนวนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า ๔๘,๓๓๖ คน หรือ ๐.๑๐%
การสูบบุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นวิธีการใหม่ในการนำสารเสพติดนิโคตินเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายอย่างมากต่อสมองของเด็กวัยรุ่นในส่วนที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ การควบคุมอารมณ์ โดยวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงที่จะสูบบุหรี่มวนและใช้ยาเสพติดชนิดอื่นๆ ตามมา
“วัยรุ่นไทย ๗ ใน ๑๐ คนที่ติดบุหรี่มวนไม่สามารถเลิกสูบไปตลอดชีวิต เพราะเสพติดนิโคติน ขณะที่บุหรี่ไฟฟ้าส่อว่าจะเสพติดหนักหน่วง และเลิกยากยิ่งกว่าบุหรี่มวน”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรีรัช ลาภใหญ่ อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า สถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนไทยยังคงน่าเป็นห่วง โดยกลุ่มเยาวชนถือเป็นเป้าหมายหลักของบริษัทผู้ผลิต เห็นได้จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบ “ทอยพอด” ที่มีความหลากหลาย มีสีสันสวยงาม ใช้งานง่าย เช่น รูปตุ๊กตา ซึ่งเป็นที่นิยมของกลุ่มเด็กและเยาวชน
ล่าสุด บริษัทผู้ผลิตได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในชื่อ “พอดจมูก” หรือ Nose pod ซึ่งมีลักษณะคล้ายยาดม โดยทอยพอดและพอดจมูก จะมีขนาดเล็ก สีสันสวยงาม ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับนักสูบมือใหม่ แยกไม่ออกว่าเป็นของเล่นจริง หรือบุหรี่ไฟฟ้า และยังมีกลิ่นหอมหลากหลายชนิด เยาวชนจำนวนมากจึงเข้าใจผิดว่าไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ทอยพอด ถูกออกแบบมาให้สูบทางจมูกแทนการสูบทางปาก แม้ควันจะเบาบางไม่เหมือนบุหรี่ไฟฟ้าทั่วไป แต่ยังคงมีสารนิโคตินและสารเคมีอื่นที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบสมอง และมีผลต่อพัฒนาการของเยาวชน
ผู้ปกครอง ครู และสื่อมวลชน ควรร่วมกันเฝ้าระวังและให้ความรู้แก่เยาวชนถึงอันตรายที่แท้จริงของบุหรี่ไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งทอยพอดและพอดจมูก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบในคราบของเล่นที่ดึงดูดกลุ่มเยาวชนโดยเฉพาะ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ กุมารแพทย์ (หมอวิน เพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ) ระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายไม่ต่างจากบุหรี่มวน โดยมีนิโคตินสูงมาก ก่อให้เกิดอันตรายต่อสมอง โดยเฉพาะสมองของเด็กที่ยังเจริญไม่เต็มที่ ส่งผลต่อการพัฒนาของสมองและการเรียนรู้อย่างมาก
นอกจากนี้ บุหรี่ไฟฟ้า ยังมีความสะดวกในการใช้งาน เพราะไม่ต้องใช้ไฟ พกพาได้ง่าย และรูปแบบของบุหรี่ไฟฟ้ายังถูกออกแบบให้มีความน่ารักสวยงาม มีรสชาติหอมหวาน ดูไม่เป็นพิษภัย แต่การสูบแต่ละครั้งอาจได้ปริมาณนิโคตินมากกว่าการสูบบุหรี่ปกติ
พ่อแม่ ผู้ปกครอง รวมถึงครูและผู้ใหญ่ในสังคมต้องสอดส่องดูแลเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าให้มาก โดยให้ความรู้ถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ต้องทำให้เด็กและเยาวชนเข้าใจถึงการตลาดของบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าเหล่านี้
คุณยศวดี ดิสสระ ผู้แทนเยาวชนในนามเครือข่ายนักสื่อสารรุ่นใหม่ ระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาใหญ่เรื่อง การขาดความรู้เท่าทันบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงตัวเยาวชน แต่ยังรวมถึงครอบครัว โรงเรียน และผู้ใหญ่รอบตัว โดยยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องว่าบุหรี่ไฟฟ้าคือผลิตภัณฑ์อันตราย ไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่แฟชั่น และไม่ใช่สิ่งที่ไม่เป็นไรตามที่ใครหลายคนเข้าใจ
“ทุกท่านทราบไหมว่า เด็กประถมรู้จักบุหรี่ไฟฟ้ากันหมดแล้ว?” คำถามนี้อาจฟังดูเกินจริง แต่ในฐานะคนทำงานด้านการพัฒนาเยาวชนและสื่อสารสุขภาวะ คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นน่าตกใจยิ่งกว่า ซึ่งจากการไปทำกิจกรรมในโรงเรียนแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร เมื่อถามนักเรียนชั้นประถม พบว่า ทุกคนเคยได้ยินคำว่า “บุหรี่ไฟฟ้า” และเด็กมากกว่า ๗๐% บอกว่า เคยลองบุหรี่ไฟฟ้า และมีเด็กบางคนบอกชัดเจนโดยไม่มีความลังเลว่า “ที่บ้านก็ใช้และขายด้วย”
ส่วนการลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ พบกรณีครูยึดบุหรี่ไฟฟ้าจากนักเรียน แต่กลับถูกผู้ปกครองมาพบที่โรงเรียน เพราะเห็นว่า เป็นของที่ซื้อให้ลูกเองในราคาสูง โดยเชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่เป็นอันตราย ไม่เสพติด และเป็นเพียงสินค้าแฟชั่นอย่างหนึ่งเท่านั้น
“จากการลงพื้นที่เพื่อทำกิจกรรมในจังหวัดต่างๆ เราเห็นภาพร่วมกันชัดเจนว่าบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ทุกที่ในสังคม แต่การรู้เท่าทันนั้นยังมีอยู่เฉพาะบางที่และบางคน”

ข้อมูลเพิ่มเติม : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) https://www.thaihealth.or.th/
มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ https://www.facebook.com/ashthailand
เครือข่ายนักสื่อสารรุ่นใหม่ https://www.facebook.com/NGCForChange

ออกกำลังกายเวลาไหนดีตอนเช้า หรือ ตอนเย็น"หากโพสต์นี้มีประโยชน์ แชร์ให้คนที่คุณห่วงใย หมอชาวบ้านแชร์ความรู้ฟรีๆ ทุกวัน กด...
26/06/2025

ออกกำลังกายเวลาไหนดี
ตอนเช้า หรือ ตอนเย็น
"หากโพสต์นี้มีประโยชน์ แชร์ให้คนที่คุณห่วงใย หมอชาวบ้านแชร์ความรู้ฟรีๆ ทุกวัน กดติดตามเพจไว้นะครับ"

#หมอชาวบ้าน

"Stop Drugs, Start Power สร้างพลังไทย หยุดภัยยาเสพติด"วันต่อต้านยาเสพติดโลก 2568
26/06/2025

"Stop Drugs, Start Power สร้างพลังไทย หยุดภัยยาเสพติด"
วันต่อต้านยาเสพติดโลก 2568

นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับ 555 เดือนกรกฎาคม 2568. ช้อปเลยที่​นี่ https://s.lazada.co.th/s.Cuzne #หมอชาวบ้าน #หนังสือ​สุขภาพ
26/06/2025

นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับ 555 เดือนกรกฎาคม 2568.
ช้อปเลยที่​นี่ https://s.lazada.co.th/s.Cuzne
#หมอชาวบ้าน
#หนังสือ​สุขภาพ

ลด ละ เลิก บุหรี่ เพื่อตัวเอง และคนที่คุณรัก
25/06/2025

ลด ละ เลิก บุหรี่ เพื่อตัวเอง และคนที่คุณรัก

Address


Telephone

+66869920875

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Business

Send a message to สำนักพิมพ์ หมอชาวบ้าน:

Shortcuts

  • Address
  • Telephone
  • Alerts
  • Contact The Business
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share