Bangkok Big Boy Toys

Bangkok Big Boy Toys ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Bangkok Big Boy Toys, บริษัทด้านสื่อ/ข่าวสาร, 24 ถนน ศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ, Bangkok.

เพจรวมของสะสม ทอยส์ ฟิกเกอร์ นาฬิกา จักรยาน จักรยานยนต์ รถยนต์ แก็ดเจ็ท เกมส์ กีฬา ดนตรี หนัง เพลง ถ่ายภาพ งานศิลป์ ทริปท่องเที่ยว เครื่องมือช่าง สาระถึงเรื่องเบาสมอง ความสนุกกับงานอดิเรกของผู้ชายทุกวัย ศิลปะการใช้ชีวิตแบบ “Work Hard, Play Harder”

วันนี้ผมอยากชวนคุยถึงคนคนหนึ่งที่หลายๆคน โดยเฉพาะคนในวงการบันเทิงยอมรับว่าเจ๋งในทุกมิติ นั่นคือ Pharrell Williams หนุ่มใ...
08/07/2025

วันนี้ผมอยากชวนคุยถึงคนคนหนึ่งที่หลายๆคน โดยเฉพาะคนในวงการบันเทิงยอมรับว่าเจ๋งในทุกมิติ นั่นคือ Pharrell Williams หนุ่มใหญ่อายุ 52 ปี (แต่ผมว่าหน้าเขาเด็กกว่าอายุมาก)
หลายคนน่าจะรู้จักเพลง "Happy" หรือเพลงฮิตที่เขาโปรดิวซ์อย่าง "Get Lucky" หรือ "Hot in Here" แต่บอกเลยว่านั่นเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของผู้ชายคนนี้ครับ เพราะเขาคือคนที่มีบทบาทและทรงอิทธิพลมากๆ ในวงการ Pop Culture เขามีเครดิตอยู่ในวงการภาพยนตร์มากมายอยู่แล้ว แต่เมื่อเขาเลือกที่จะบอกเล่าชีวิตของตัวเอง เขากลับเลือกเล่าผ่านหนังอนิเมชั่น LEGO แถมยังมีส่วนในทุกกระบวนการผลิตด้วย ฟังดูอาจจะแปลกๆแต่ Pharrell บอกว่าตอนเด็กๆ พ่อกับแม่ให้เขาเล่นตัวต่อ Lego และเขามีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับมันมากมาย
สำหรับผมนะ Pharrell ไม่ใช่แค่ศิลปิน แต่เขาคือ "นักสร้างสรรค์" ตัวจริงเสียงจริงครับ เส้นทางจากห้องอัดสู่รันเวย์ระดับโลกนี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาและไม่ใช่ความ “ฟลุ้ค” อย่างแน่นอน ชีวิตของเขาเหมือนกับการต่อตัวต่อ LEGO ที่มีชิ้นส่วนเล็กๆ มากมาย แต่เขาสามารถนำมาประกอบกันเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่และไร้ขีดจำกัดได้ ลองนึกภาพดูสิครับว่าผู้ชายคนนี้ทำอะไรมาแล้วบ้าง
ในวงการเพลง หลายคนอาจจะรู้จักหรือไม่รู้จัก วง The Neptunes วงโปรดิวเซอร์ที่เขาก่อตั้งกับ Chad Hugo บอกเลยว่ามันคือการ "เปลี่ยนเสียง" ของวงการเพลงฮิปฮอป R&B และป๊อปไปเลย ลองไปหาฟังเพลงที่พวกเขาโปรดิวซ์ดูสิครับ แล้วคุณจะรู้ว่าซาวด์ของยุค 2000s มันมาจากไหน นอกจากนี้เขายังมีวงอย่าง N.E.R.D. ที่ล้ำหน้าไปไกล และแน่นอนครับ เพลงเดี่ยวอย่าง "Happy" นี่คือปรากฏการณ์ระดับโลกจริงๆ มันไม่ได้เป็นแค่เพลง แต่มันสร้างความสุขและพลังงานดีๆ ให้กับคนทั้งโลก
ในวงการแฟชั่น อันนี้พีคเลยครับ! Pharrell ไม่ได้แค่แต่งตัวดี แต่เขาคือ "ผู้นำเทรนด์" ตัวจริง เขาเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่ทำให้เสื้อผ้าสตรีทแวร์ดูมีราคา ดูหรูหราได้ ลองดูแบรนด์ที่เขาก่อตั้งอย่าง Billionaire Boys Club (BBC) กับ Ice Cream สิครับ นี่คือตำนานของวงการสตรีทแฟชั่นเลยนะ แล้วตอนนี้ เขาก็คือ Creative Director ฝ่ายเสื้อผ้าผู้ชายของ Louis Vuitton แบรนด์หรูระดับโลก! ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน สไตล์ที่ชัดเจนของเขาอย่างการใส่หมวกใบยักษ์ของ Vivienne Westwood หรือใส่สูทขาสั้นไปงานสำคัญๆ มันคือการฉีกกฎ และวงการแฟชั่นหรูอยากได้คนแบบนี้
ด้าน ธุรกิจและสังคม เขายังเป็นนักธุรกิจที่มองการณ์ไกล มีแบรนด์สกินแคร์อย่าง Humanrace และยังใช้ชื่อเสียงของตัวเองในการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยนะ คือเป็นคนที่ใช้ชีวิตคุ้มค่าและสร้างประโยชน์ให้คนอื่นจริงๆ ไม่รู้เอาเวลามาจากไหน
สำหรับผู้ชายอย่างเราๆ ที่อาจจะมีช่วงชีวิตที่ไม่ได้หวือหวา หรือมีช่วงที่ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ Pharrell คือตัวอย่างที่ดีมากๆ ครับ เขาอาจจะไม่ได้มีช่วงที่ "ตก" แบบน่าใจหาย แต่เขามีช่วงที่ต้องปรับตัว พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนมาถึงจุดที่เรียกว่า "กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม" ด้วยเพลงฮิต "Happy" และการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญใน Louis Vuitton
ล่าสุดในงาน Met Gala 2025 ซึ่งเป็นงานแฟชั่นและศิลปะที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี และเป็นเหมือนงานออสการ์ของวงการแฟชั่น (จัดโดย Anna Wintour บอสใหญ่แห่ง Vogue) Pharrell Williams ได้รับเกียรติให้เป็น หนึ่งในประธานร่วม (Co-Chair) ของงาน ร่วมกับบิ๊กเนมทั้งนั้น เช่น Colman Domingo, Lewis Hamilton, A$AP Rocky และ LeBron James (ในฐานะประธานกิตติมศักดิ์)
การที่ Anna Wintour เลือก Pharrell มานั่งแท่นประธานร่วมในงานที่ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งปี 2025 มาในธีม "Superfine: Tailoring Black Style" ที่จะเน้นเรื่องอิทธิพลของสไตล์คนผิวสีในแฟชั่น มันสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับในตัว Pharrell อย่างมากเลยครับว่าเขาคือผู้สร้างสรรค์ที่เข้าใจทั้งดนตรี แฟชั่น และวัฒนธรรม ซึ่งเข้ากับธีมงานมากๆการเลือกเขามาเป็น Co-Chair คือการยอมรับในอิทธิพลที่ Pharrell มีต่อวงการแฟชั่นและวัฒนธรรมอย่างแท้จริงความร่วมมือที่ลงตัว มีเคมีที่เข้ากัน ทั้งสองคนคือผู้มีวิสัยทัศน์ที่ต้องการผลักดันวงการให้ก้าวไปข้างหน้า ต้องการนำเสนอสิ่งที่แตกต่างและมีความหมาย ผมว่ามันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างประสบการณ์อันยาวนานของ Anna กับความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัดของ Pharrell
ดูจากเส้นทางชีวิตของ Pharrell ผมว่าผู้ชายอย่างเราเรียนรู้จากเขาได้หลายอย่างเลยนะ ความกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องตามใคร ไม่ต้องแคร์สายตาใคร ถ้าเราเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราทำ สุดท้ายมันจะนำเราไปสู่ความสำเร็จเอง อย่าหยุดสร้างสรรค์ ชีวิตไม่ได้มีแค่กรอบเดียว ถ้าเรามีความหลงใหลในอะไร จงลงมือทำ ไม่ต้องกลัวที่จะออกนอกกรอบ แล้วเราจะเห็นโอกาสใหม่ๆ เสมอ วิธีการทำงานร่วมกับคนอื่น ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว Pharrell เองก็มีทีม มีเพื่อนร่วมงานที่เก่งๆ การเปิดใจรับฟังและร่วมมือกับคนอื่นคือกุญแจสำคัญ และเขาปรับตัวอยู่เสมอ โลกเปลี่ยนไปทุกวัน เราเองก็ต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่งั้นก็เตรียมโบกมือลาความสำเร็จได้เลย
"Piece by Piece" คือชื่อของหนังชีวประวัติของเขาในสไตล์ตัวต่อ LEGO เพราะชีวิตของเขาคือตัวอย่างของการ "สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ จากชิ้นส่วนที่มีอยู่" ที่สามารถประกอบร่างเป็นอะไรก็ได้ตามจินตนาการ ไม่ว่าจะเป็นเพลงฮิต เสื้อผ้าสุดล้ำ หรือแม้กระทั่งการเป็นผู้นำในวงการแฟชั่นระดับโลก คือสัญลักษณ์ของความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด และนั่นแหละครับ คือเหตุผลที่ LEGO เห็นว่าชีวิตของเขาคือแรงบันดาลใจที่สมบูรณ์แบบในการนำมาเล่าเรื่องผ่านตัวต่อสีสันสดใสเหล่านี้!
วิม โมราห์วง

ลงแข่งมาถึง 239 เรซ กว่าจะขึ้นยืนบนโพเดียมในสนามที่ 12 ซิลเวอร์ สโตน ของการแข่ง F1 ประจำปี 2025นิโค ฮัลเคนเบิร์ก จากทีมค...
07/07/2025

ลงแข่งมาถึง 239 เรซ กว่าจะขึ้นยืนบนโพเดียมในสนามที่ 12 ซิลเวอร์ สโตน ของการแข่ง F1 ประจำปี 2025

นิโค ฮัลเคนเบิร์ก จากทีมคิก ซาวเบอร์ ออกสตาร์ทจากกริดอันดับ 19 เข้าเส้นชัยอันดับ 3 ผลจากการวางแผนของทีม การเปลี่ยนยางที่ถูกเวลาที่สุด และฝีมือของนิโคเอง!

สนุกแน่! เรามาจับตามองการขับของนิโคกันในสนามต่อๆ ไปกันครับ

#รถสูตร1
#นิโคฮัลเคนเบิร์ก

สนามที่ 12 ซิลเวอร์ สโตน, อังกฤษ1st แลนโด นอริส แม็คลาเรน2nd ออสก้า พิแอสทรี แม็คลาเรน3rd นิโค ฮัลเคนเบิร์ก คิก ซาวเบอร์...
06/07/2025

สนามที่ 12 ซิลเวอร์ สโตน, อังกฤษ
1st แลนโด นอริส แม็คลาเรน
2nd ออสก้า พิแอสทรี แม็คลาเรน
3rd นิโค ฮัลเคนเบิร์ก คิก ซาวเบอร์ (ออกสตาร์ทจากกริดอันดับ 19 เข้าเส้นชัยอันดับ 3!)
4th เลวิส แฮมิลตัน เฟอร์รารี่
5th แม็กซ์ เวอร์สแตปเพน เรดบูล เรซซิ่ง
8th อเล็กซ์ อัลบอน อังศุสิงห์ วิลเลียมส์ เรซซิ่ง

#รถสูตร1
#อเล็กซ์อัลบอนอังศุสิงห์

แม็กซ์มาแล้ว ได้ตำแหน่งออกตัวอันดับ 1 บนกริดสนามซิลเวอร์สโตน, อังกฤษ คืนนี้ตามเวลาไทย 21.00 น.ภาพ: ESPN F1
06/07/2025

แม็กซ์มาแล้ว ได้ตำแหน่งออกตัวอันดับ 1 บนกริดสนามซิลเวอร์สโตน, อังกฤษ คืนนี้ตามเวลาไทย 21.00 น.

ภาพ: ESPN F1

“Antonio's Song” เพลงที่ไมเคิล แฟรงค์ส (Michael Franks) แต่งขึ้นเพื่อคาราวะ อันโตนิโอ คาร์ลอส โจบิม ซึ่งในเพลงนี้ กล่าวถ...
03/07/2025

“Antonio's Song” เพลงที่ไมเคิล แฟรงค์ส (Michael Franks) แต่งขึ้นเพื่อคาราวะ อันโตนิโอ คาร์ลอส โจบิม ซึ่งในเพลงนี้ กล่าวถึงว่าเป็นคนที่มีไลฟ์สไตล์สดใสร่าเริง (“lives life’s frevo” – frevo คือจังหวะเต้นรำงานคาร์นิวัล) เป็นคนจริงใจในคุณค่าของมิตรภาพ (“friendship is a hundred-proof”)

เนื้อเพลงท่อนแรกถ่ายทอดภาพชีวิตของอันโตนิโอ คู่ไปกับการชี้ให้เห็นปัญหาในสังคม เช่น ท่อนที่กล่าวถึง “นกแร้งที่บินวนเหนือเมืองริโอ” สื่อถึงปัญหาในเมืองริโอ เดอ จาเนโร “ผ้าห่มที่คนอเมริกันอินเดียนได้รับ มันทำให้พวกเขาสูญเสียอิสรภาพ” สื่อถึงการเอาเปรียบชนพื้นเมือง สะท้อนด้านมืด ความทุกข์ยากที่แฝงอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของเมืองเขตร้อนที่ภายนอกดูสวยงาม

Antonio's Song ถ่ายทอดความหม่นเศร้า ความรู้สึก ความหวัง แต่ก็รับรู้ถึงความทุกข์ภายใน ถือเป็นลักษณะเด่นในงานเพลงของไมเคิล แฟรงค์ส แม้โทนเพลงจะนุ่มนวลชวนฝัน แบบทรอปิคัลแจ๊ซ แต่ก็แฝงความทุกข์ อย่างที่นักวิเคราะห์เพลงสัมผัสได้ในท่อนคอรัส “เราขับขานบทเพลงที่ถูกหลงลืม ให้เสียงดนตรีหลั่งไหลเข้าไปดุจแสงสู่สายรุ้ง’” สื่อถึงการให้เสียงดนตรีเป็นแสงแห่งความหวังที่ปลอบประโลมโลกที่หม่นหมอง

Antonio's Song โดดเด่นด้วยการผสมผสานระหว่างดนตรีแจ๊สกับสำเนียงบราซิเลียนบอสซาโนว่าที่ละเมียดละไม องค์ประกอบทางดนตรี ถูกเรียบเรียงเพื่อสะท้อนบรรยากาศแบบงานเพลงของโจบิม จังหวะที่พลิ้วไหว ผ่อนคลาย ไมเคิลเลือกที่จะเปิดเพลงด้วยความรู้สึกและจังหวะที่ใกล้เคียงกับเพลง “The Lady Wants to Know” ที่ถูกมองว่าเป็นความจงใจของไมเคิล ที่ต้องการคงอารมณ์ละมุนแบบเดียวกัน ในงานดนตรีมีเคล้าส์ ออเกอร์แมน (Claus Ogerman) นักดนตรีชั้นครูที่เคยร่วมงานกับโจบิม มาช่วยเรียบเรียงดนตรี รวมถึงเสียงเครื่องสายที่นุ่มนวลประกอบจังหวะละตินในบทเพลง ทำให้ Antonio's Song มีบรรยากาศหรูหรา อ่อนหวานตามแบบจังหวะนิยมของบอสซาโนว่า

เครื่องดนตรีในเพลงนี้ มีนักดนตรีชั้นนำมาร่วมงานหลายคน เช่น โจ แซมเพิล (Joe Sample) มือเปียโน/คีย์บอร์ด แห่งวง The Crusaders มาเล่นอะคูสติกเปียโนให้ไหลลื่น แลร์รี คาร์ลตัน (Larry Carlton) มือกีต้าร์ฟิวชั่นแจ๊ส โซโลแซกโซโฟนอัลโต้ โดย เดวิด แซนบอร์น (David Sanborn) เพิ่มสีสันความละมุนให้กับเสียงร้องของไมเคิล กับฝีมือโปรดิวเซอร์อย่าง Tommy LiPuma ทำให้องค์ประกอบของเพลงฟังได้เนียนตลอดทั้งเพลง มีกลิ่นอายละตินด้วยเครื่องเพอร์คัสชั่น ส่งให้เพลงมีความพริ้วไหว

เสียงร้องที่โดดเด่น นุ่มนวลเรียบลื่น ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่มีการใส่ลูกคอ (vibrato) ส่งให้ตัวเพลงมีความสุขุมนุ่มนวล เหมือนการเล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา เสียงร้องที่เข้ากันได้ดีกับดนตรีที่ประณีตละเอียดอ่อน ช่วยขับเน้นให้ผู้ฟังโฟกัสกับท่วงทำนองและเนื้อเพลงได้เต็มที่

ผลงานเพลงชิ้นนี้ของไมเคิล แฟรงค์ส ถูกยกย่องให้เป็นบทเพลงที่มีกลิ่นอายบอสซาโนวาชั้นเยี่ยม ด้วยเสียงร้อง ดนตรี และทุกอย่างที่ผสมกลมกลืนกลั่นออกมาอย่างสุดไพเราะ...

“Art Toy เชิงวัฒนธรรมตัวแทน Thailand Soft Power”ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนึ่งในกระแสสังคมในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมานี้คือ ความพยาย...
03/07/2025

“Art Toy เชิงวัฒนธรรมตัวแทน Thailand Soft Power”

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนึ่งในกระแสสังคมในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมานี้คือ ความพยายามที่จะเปลี่ยนภูมิปัญญาและทรัพย์สินทางวัฒนธรรมให้กลายมาเป็น แรงขับเคลื่อนของอุตสาหกรรม ซึ่งกลุ่มศิลปินไทยก็ได้ทำการจับกระแสวัฒนธรรม ของเล่นสไตล์ “กล่องสุ่ม” ที่เกิดขึ้นจากญี่ปุ่นในชื่อของ “กาชาปอง” (Gashapon) วัฒนธรรมที่ได้ไปเติบโตถึงขีดสุดในด้านการยกระดับคุณภาพของเนื้องาน ให้มีความวิจิตร ในยุคของ “Art Toy” ศิลปะที่มวลชนสามารถครอบครองได้ ที่นำโดย ป็อบมาร์ท (Popmart) จากประเทศจีน โดยหนึ่งในศิลปินไทยที่ได้จับคุณค่าเชิงวัฒนธรรมมาเข้ากับกระแสกล่องสุ่ม ก็คือ สตูดิโอ “หมดโม่” (Motmo) นั่นเอง

“โม่” หรือ คมกฤษ เทพเทียน คือ อาจารย์ประจำสาขาวิชาประติมากรรม แห่งสถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง ผู้เป็นศิลปิน และเจ้าของสตูดิโอหมดโม่ และเป็นผู้ริเริ่มนำเอาวัฒนธรรมไทยมาตีความให้เข้าถึงมวลชน ด้วยการแปรเปลี่ยนให้มันกลายเป็น ของสะสม หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า “Art Toy” โดยเริ่มขึ้นจาก กาชาปองคอคเล็กชัน “อับเฉา ไม่อับเฉา” ซีรีย์ของสะสมที่หยิบเอาตุ๊กตาหินจีน “อับเฉา” จากเมือง หนิงปัว มณฑลเจ้อเจียง (บางส่วนก็มาจาก มณฑลฮกเกี้ยน) มาเป็นต้นแบบ การเดินมาสู่ประเทศไทยของเหล่าตุ๊กตาจีน ที่มีทั้งรูปแบบของตุ๊กตาหินที่แต่งกายตามสไตล์วรรณคดีจีน และเลียนแบบบุคคลสำคัญต่างๆในยุครัชกาลที่ 3

ในสมัยก่อนเราเชื่อกันว่า ตุ๊กตาหินตัวโตเหล่านี้เป็นของถ่วงเรือ แต่ภายหลังเริ่มที่จะมีความคิดว่า มันคือ สินค้าตกแต่งสวน ที่ได้รับการนำเข้ามาเพื่อมาเป็นตุ๊กตาประดับวัดพระแก้ว และพระบรมมหาราชวัง ก่อนที่จะย้ายออกไปตั้งที่อื่น ซึ่งบางส่วนยังเห็นได้ที่วัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) บางส่วนก็สามารถขุดเจอใต้ดินเมื่อครั้งมีการขุดพื้นถนนหน้าวัดพระแก้วเพื่อทำเป็นชั้นใต้ดินเพื่อรองรับนักท่องเที่ยง โดยการที่เรียกกันว่า “ตุ๊กตาอับเฉา” ว่ากันว่า คำว่าอับเฉา อาจจะมาจากคำว่า เอี่ยบฉึ่ง ในภาษาจีนแต้จิ๋ว ที่แปลว่า สินค้าถ่วงเรือ และคอลเล็กชัน “อับเฉา ไม่อับเฉา” นี้เปิดให้สะสมกันในช่วงงาน Bangkok Art Biennale ในปี 2018

ส่วนคอลเล็กชันที่สอง จากปลายปี 2020 ของสตูดิโอ หมดโม่ นั้นเกิดขึ้นมาจาก การที่มีเผยแพร่ภาพถ่ายของ รูปปั้นสไตล์ Folk Art ของเหล่าสัตว์หิมพานต์ ที่เป็น “ทวารบาล” เฝ้าประตูอุโบสถจากวัดท้องถิ่นต่างๆในชนบทของประเทศไทย อันเกิดจากฝีมือและความจริงใจของช่างท้องถิ่นจากภาคอีสาน และภาคเหนือ ที่ทำออกมาได้หน้าตาบ้องแบ้ว ผิดจากขนบของรสนิยมช่างหลวงที่วิจิตร ตระการตา จากจุดเริ่มต้นนั้นโดยคุณโม่ ในฐานะศิลปินก็ได้นำมาตีความใหม่ในสไตล์ศิลปะแบบ Pop Art ในชื่อของ “หิมพานต์ มาร์ชเมลโล่” (Himmapan Marshmallow) โดยในคอลเล็กชันนี้มีทั้งหมดรวม 5 ตัว ที่ได้มาจากสถานที่แตกต่างกัน คือ
1. “เหรา” (เห-รา) จากวัดชัยภูมิการาม อ.เขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
2. “มอม” จากวัดพระธาตุขามแก่น จังหวัดขอนแก่น
3. “สิงห์” จากวัดเกาะวาลุการาม จังหวัดลำปาง
4. “พญานาคสีฟ้า” จากวัดนรวราราม จังหวัดมุกดาหาร
5. “พญานาคสีเขียว” จากวัดโพธิ์ศรีทุ่ง จังหวัดอุดรธานี

ที่มาของชื่อว่า “หิมพานต์ มาร์ชเมลโล่” (Himmapan Marshmallow) มาจากการที่เหล่าสัตว์หิมพานต์ที่เลือกมานั้นได้รับการปรับให้มีความน่ารัก ตะมุตะมิ มีความนุ่มนวลน่ารักน่าเอ็นดู เรียกว่า ปรับสัดส่วนจากออริจินัลเพียงนิดเดียวก็เป๊ะทันที และจากในครั้งนั้นก็ได้เกิดเป็นกระแสไวรัลในโลกโซเซียล ทั้งในทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ก พร้อมกับการสร้างความตระหนักให้กับชุมชนให้เห็นถึง การต่อยอดคุณค่าของภูมิปัญญาพื้นบ้านของตนอย่างสร้างสรรค์อีกด้วย

ส่วนที่มาของการมี 5 ตัวในครั้งแรก ก็เพราะคุณโม่ เป็นแฟนขบวนการ 5 สี “ซุปเปอร์เซนไต” มันเลยถือกำเนิดออกมา เป็น 5 ตัว 5 บุคลิก แต่เพราะคอลเล็กชันแรกนั้น เป็นงานเรซิ่นแข็ง ทำสีอย่างปราณีต และมีขนาดใหญ่พอสมควร แม้จะไม่ได้มีราคาสูงมาก เพราะในตอนนั้น 5 ตัวยกชุดเพียง 1,450 บาท แต่เพราะเป็นแบบ ลิมิเต็ด เอดิชั่น มีจำนวนจำกัดจึงอาจจะทำให้หามาครอบครองได้ยากเสียหน่อย และที่สำคัญคือ ทางสตูดิโอ หมดโม่ ได้มอบค่าลิขสิทธิ์กลับไปบำรุงวัด ที่เป็นเจ้าของผลงานออริจินัลอีกด้วย

หลังจากจบ ตำนานของ “หิมพานต์ มาร์ชเมลโล่” ไป ทางสตูดิโอก็ได้ไปค้นหาแนวทางใหม่ๆมาเป็นงาน อาร์ตทอย ชุดต่อไป แต่สังคมก็ยังคงรอคอยเวอร์ชั่นต่อไปของ “หิมพานต์ มาร์ชเมลโล่” อยู่

ผ่านมาถึงปี 2025 ทางสตูดิโอก็ได้ออกเวอร์ชั่น “กาชาปอง” ของ หิมพานต์ มาร์ชเมลโล่ ออกมาให้เราได้สะสมกัน โดยคราวนี้มีมาถึง 12+1 ตัวซีเคร็ท รวม 13 แบบ โดย 13 ตัวในคอลเล็กชันนี้ประกอบไปด้วย 4 ตัวจากชุดออริจินัลเมื่อปี 2020 โดย พญานาคสีฟ้า ติดภารกิจไม่ได้กลับมาในครั้งนี้ และสมาชิกของคอลเล็กชันใหม่นี้ประกอบไปด้วย
- มอม - วัดเจติยภูมิ (วัดพระธาตุขามแก่น) จ.ขอนแก่น
- เหรา - วัดชัยภูมิการาม จ.อุบลราชธานี
- นาคโพด (พญานาคเขียว) - วัดโพธิ์ศรีทุ่ง จ.อุดรธานี
- ตาสิงห์ - วัดเกาะวาลุการาม จ.ลำปาง
และขอแนะนำเหล่าสมาชิกใหม่ คือ
- สิงห์ไททัน - วัดโพธิ์กลาง (นางั่ว) จ.เพชรบูรณ์
- สิงห์ตะวัน - โรงเรียนวัดบ้านทราย “ทองดำผดุงราษฎร์” จ.ลพบุรี
- สิงห์ไก่ขัน - วัดเหมืองค่า จ.แพร่
- นาคอินคา - วัดสนวนวารีพัฒนาราม จ.ขอนแก่น
- แจกยิ้ม - หอแจก วัดโพธาราม จ.มหาสารคาม
- เสือคุ้ม - วัดคุ้มวนาราม จ.ร้อยเอ็ด
- สิงห์ถ้ำตลอด - พุทธสถานถ้ำตลอด จ.นครศรีธรรมราช
- นาคม่อน - วัดเขาพระ จ.พิจิตร

และตัวซีเคร็ท ที่ทำออกมาน้อยเป็นพิเศษ คือมีเพียง 1 ใน 100 ตัวเท่านั้น ก็คือ น้องสาวของนาคม่อน ชื่อว่า “นาคมี่” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก “โดราเอมี่” น้องสาวของโดราเอม่อน ที่โดดเด่นด้วยตัวสีเหลืองนั่นเอง
ราคาของ หิมพานต์ มาร์ชเมลโล่ กาชาปอง นับว่าย่อมเยาคือ 200 บาท/ สุ่ม โดยสามารถไปลุ้นกันได้ที่
- Bacc หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ชั้น 5
- มิวเซียมสยาม Museum Siam ชั้น 1
- นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ชั้น 1

เรียกได้ว่า น่ารัก น่าสะสม แต่ถ้าใครอยากจะ “ทีเดียวจบ” ก็สามารถสั่งแบบครบๆ 13 ตัว (พร้อมตัวซีเคร็ท) ก็เพียง 3,490 บาท ติดต่อได้ที่เพจของ Motmo Studio ได้เลย ได้ทั้งความน่ารัก และยังได้บุญจากการสนับสนุนทำนุบำรุงวัดท้องถิ่นกันนะครับ และเพื่อเพิ่มเติมความสนุกให้กับการสะสม ก็น่าจะพาน้อง หิมพานต์ มาร์ชเมลโล่ เดินทางไปเยี่ยม และถ่ายรูปคู่กับ สัตว์หิมพานต์ออริจินัล ตามวัดต่างๆที่เราได้ลงชื่อไว้ จะสนุกยิ่งขึ้นด้วยนะครับ

เรื่อง: ป๋าป้อง ประชายนตร์

#นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ #คุณค่าแห่งยุคสมัยสัมผัสได้ในหนึ่งวัน #หิมพานต์มาร์ชเมลโล่ #กาชาปองไทย

ล้างหน้ากับ UNO Whip Wash Moist!สัมผัสแรกกับเนื้อวิปละเอียดดีมาก กลิ่นหอมอ่อน ไม่มีฟอง ใช้แล้วหน้าไม่แห้งตึง คุมความมันบ...
03/07/2025

ล้างหน้ากับ UNO Whip Wash Moist!

สัมผัสแรกกับเนื้อวิปละเอียดดีมาก กลิ่นหอมอ่อน ไม่มีฟอง ใช้แล้วหน้าไม่แห้งตึง คุมความมันบนผิวหน้าได้ดี เรียกได้ว่าเป็นวิปครีมเกรดพรีเมี่ยมสำหรับผู้ชาย

มีส่วนผสมของ Natural Clay ดูดซับสิ่งสกปรกและความมัน โดยไม่ทำลายสมดุลน้ำหล่อเลี้ยงผิว มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ระดับลึก ช่วยให้ผิวไม่แห้งหลังล้างหน้า ปราศจากสีสังเคราะห์ และน้ำมันแร่ อ่อนโยนกับทุกสภาพผิว

ปล. โปรดักท์เกี่ยวกับเส้นผมของ UNO ก็ดีมากจากที่เคยใช้มา

#อูโน่

เมื่อวิลเลียมส์เรซซิ่ง X Undone ค่ายนาฬิกาไมโครแบรนด์อิสระ เปิดตัวนาฬิกาโครโนกราฟจับเวลาสุดเท่ ออกมาให้แฟนานุแฟนทีมวิลเล...
01/07/2025

เมื่อวิลเลียมส์เรซซิ่ง X Undone ค่ายนาฬิกาไมโครแบรนด์อิสระ เปิดตัวนาฬิกาโครโนกราฟจับเวลาสุดเท่ ออกมาให้แฟนานุแฟนทีมวิลเลียมส์ได้สวมใส่กันแบบสบายกระเป๋า!

สนใจเข้าดูที่: https://www.facebook.com/share/p/15yJ1aLzAL/

Williams Racing

#นาฬิกาโครโนกราฟ #คนรักนาฬิกา

Green Hornet: ย้อนรอยตำนานหน้ากากแตนและ Black Beauty คู่ใจถ้าใครโตมากับยุคฮีโร่ข้ามสื่อแบบวิทยุ-ทีวี-หนัง ผมว่า “Green H...
01/07/2025

Green Hornet: ย้อนรอยตำนานหน้ากากแตนและ Black Beauty คู่ใจ
ถ้าใครโตมากับยุคฮีโร่ข้ามสื่อแบบวิทยุ-ทีวี-หนัง ผมว่า “Green Hornet” หรือที่บ้านเราเรียกว่า “หน้ากากแตน” ก็น่าจะเป็นหนึ่งในชื่อที่เคยผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง แม้เขาอาจไม่ดังระเบิดเท่าแบทแมนหรือซูเปอร์แมน แต่เสน่ห์ของฮีโร่คนนี้คือความลึกลับและการทำงานใต้เงาแบบไม่ต้องมีแสงสปอร์ตไลต์ส่อง
Green Hornet ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 1936 จากปลายปากกาของ George W. Trendle และ Fran Striker โดยเปิดตัวในรูปแบบวิทยุซีรีส์ ซึ่งยุคนั้นถือว่าเป็นสื่อหลักของความบันเทิง เรื่องราวเล่าถึง Brit Reid หนุ่มหล่อทายาทเจ้าของหนังสือพิมพ์ Daily Sentinel ที่เลือกใช้หน้ากากและรถคู่ใจเป็นเครื่องมือปราบอาชญากรรมในคราบ “ผู้ร้ายปลอมตัว” เพื่อแฝงตัวเข้าไปจัดการกับตัวจริงในโลกใต้ดิน
เขาไม่ได้เดินเดี่ยว เพราะมี Kato คู่หูชาวเอเชียสุดเท่ที่รับบทโดย Bruce Lee (ใช่ครับ... Bruce Lee คนนั้นแหละ!) ซึ่งทั้งขับรถ ทั้งเตะต่อย ทั้งพุ่งตัวลงจากรถได้เนียนกว่าฮีโร่หลายคนในยุคนั้น นี่คือบทบาทที่ทำให้ Bruce Lee กลายเป็นดาวเด่นแห่งฮอลลีวูดในเวลาต่อมา
Green Hornet โลดแล่นมาเรื่อยๆ ทั้งในคอมิกส์ แอนิเมชัน และในที่สุดก็กลับมาอีกครั้งบนจอใหญ่ในปี 2011 โดยมี Seth Rogen รับบท Brit Reid และ Jay Chou เป็น Kato หนังเวอร์ชันนี้พยายามยกเครื่องใหม่ให้ทันสมัย มีอารมณ์ขันมากขึ้น ซึ่ง... ถ้าพูดตรงๆ ในฐานะคนดูรุ่นเก่าอย่างผม ก็แอบขัดใจอยู่ไม่น้อย เพราะผมยังรักความคลาสสิกแบบเดิมๆ มากกว่า
แต่สิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงมากกว่าคือรถคู่ใจสุดเท่อย่าง Black Beauty ครับ เพราะคันนี้ไม่ได้แค่ “ประกอบฉาก” แต่เป็นเหมือนมือขวาของทีมเลยก็ว่าได้
รถคันนี้ถูกออกแบบโดย Dean Jeffries เจ้าพ่อแห่งวงการคัสตอมคาร์ยุค 60s โดยเอา Chrysler Imperial Crown Sedan ปี 1966 มาแปลงโฉมให้กลายเป็นรถสีดำสนิท ลึกลับ เท่ มีอาวุธซ่อนอยู่ทุกมุม ไล่ตั้งแต่ปืนกลหน้ารถ, จรวดซ่อนในฝากระโปรง, ระบบปล่อยควัน (Smoke Screen), น้ำมันลื่น (Oil Slick), ถังแก๊สน็อค, เรดาร์, TV monitor ยันเกราะหนาหนักระดับกันระเบิด เรียกว่าถ้าจะขับออกศึกจริงก็พร้อมอยู่แล้ว
ความเท่ของ Black Beauty คือหน้าตาเหมือนรถธรรมดา แต่ซ่อนฟังก์ชันแบบสายลับยุคสงครามเย็นไว้เพียบ และมันก็กลายเป็นขวัญใจของแฟนๆ จนมีการนำรถโปรโมทจากหนังปี 2011 ออกประมูลในปี 2018 ด้วยราคาสูงถึง $187,000 หรือราว 6.8 ล้านบาทเลยทีเดียว ตัวนั้นเป็น prop car ที่ใส่ปืนกลและจรวดของจริง (แน่นอนว่าใช้ไม่ได้จริงนะครับ ฮา)
สำหรับสายสะสมอย่างผมแล้ว โมเดลของ Black Beauty นี่แหละของจริง! มีหลายค่ายที่ผลิตออกมาน่าสนใจมาก เช่น
Hot Wheels เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ผลิต Black Beauty ออกมาหลายเวอร์ชั่น ด้วยราคาที่ไม่แพงมาก ทำให้เข้าถึงได้ง่ายสำหรับนักสะสมทั่วไป จุดเด่นคือความหลากหลายของสีและรายละเอียดที่น่าสนใจ
Johnny Lightning สัญชาติอเมริกันที่ทำโมเดลรถคลาสสิกและรถจากภาพยนตร์/ซีรีส์ชื่อดัง ก็ได้ผลิต Black Beauty ในปี 2011 ช่วงหนังรีบูต Seth Rogen ออกฉาย ขนาด 1:64 รายละเอียดสูง มีทั้งเวอชั่นปกติตัวรถสีดำ และเวอชั่นพิเศษ limited edition ตัวรถและยางสีเขียว มาพร้อมฟิกเกอร์ สวยงามน่าสะสม
ถ้าเป็นประเภทโมเดล plastic kit ที่ต้องมาประกอบ ทำสีเอง ต้อง AMT เจ้าเก่าแก่ของอเมริกาที่ผลิตรถสเกล 1:25 ออกมาหลายแบบ ในชุดปัจจุบันที่ AMT ได้ผลิตออกมาใหม่ ใส่รายละเอียดมาให้อย่างครบ ไม่ว่าจะเป็น อาวุธทั้ง ปืนกลหน้า และ ขีปนาวุธหลังคา รายละเอียดในห้องโดยสาร ใส่มาให้อย่างครบครัน พร้อมฟิเกอร์ ตัวหน้ากากแตน และเคโต มาพร้อมกล่องดีไซน์สีสรรสวยงาม
มาถึงตัวที่นักสะสมแฟน Black Beauty ตามหาเรียกว่ายังงัยก็ขาดไม่ได้คือ ที่ผลิตจาก Corgi เจ้าดังจากฝั่งอังกฤษผู้คร่ำหวอดในวงการรถโมเดล die-cast ตั้งแต่ยุค 60’s ผลิต Black Beauty ขนาด 1:43 และ 1:64 ออกมาช่วงปี 1960s ตอนซีรีส์ Green Hornet ออกฉาย ตัวนี้เป็น ของสะสมหายาก เพราะมีรายละเอียดทั้งปืนกลหน้ารถ ฝาเปิดได้ และดีไซน์ตามซีรีส์ต้นฉบับ ล้อเป็นยางจริง มีฟิกเกอร์เคโตนั่งขับรถ และตัวหน้ากากแตนเปิดกระจกหลังยื่นมือออกมาและสามารถขยับหมุนได้จากใต้ท้องรถ นับได้ว่าเล่นสนุกมากในสมัยนั้น กล่องแพ็กเกจสไตล์ retro มูลค่าปัจจุบันในตลาดเล่นกันหลักหมื่นบาท (ถ้ายังอยู่ในกล่องเดิม) ตัวผมเองยังอยากจะได้กลับมาเก็บเข้าตู้โชว์สักคัน
พูดง่ายๆ คือ Black Beauty ไม่ใช่แค่รถของฮีโร่ แต่มันเป็น “ฮีโร่” อีกคนหนึ่งในเรื่องเลยก็ว่าได้ ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรูแต่ล้ำยุค เต็มไปด้วยฟังก์ชันเจ๋งๆ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับรถของฮีโร่รุ่นหลังอีกมากมาย โดยเฉพาะใครที่ชอบอารมณ์ไล่ล่ากลางเมืองยามค่ำคืน พร้อมแสงนีออนสีเขียว-ดำบาดตา... นี่แหละครับ “รถคู่ใจสายฮาร์ดบอยตัวจริง”
วิมโมราห์วง

ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้ที่ห้องสมุด Neilson Hays จะมีคอนเสิร์ต String Quartet มาแสดงเพราะลูกสาวของเพื่อนผมเธอเป็นน...
30/06/2025

ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้ที่ห้องสมุด Neilson Hays จะมีคอนเสิร์ต String Quartet มาแสดงเพราะลูกสาวของเพื่อนผมเธอเป็นนักไวโอลินระดับประเทศและได้ร่วมแสดงในครั้งนี้ด้วย ผมคงไม่ได้ไปดู จะชวนท่านผู้อ่านไปดูก็คงไม่ทัน (กว่าเรื่องนี้จะลงโพสต์ งานก็คงผ่านไปหลายวันแล้ว) แต่ที่พูดถึงคอนเสิร์ตนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า เพื่อนผมกระซิบมาว่างานนี้คุณ Andrej Power (Concertmaster of the London Symphony Orchestra) จะเล่นไวโอลินตัวที่ชื่อว่า “The Regent” ด้วยนะ
แล้ว The Regent มันเจ๋งหรือพิเศษยังไงเหรอ ผมกำลังจะเล่าให้ฟังครับ สั้นๆคือ The Regent เป็นไวโอลินที่มีชื่อเสียงซึ่งสร้างสรรค์โดย Antonio Stradivari ในปี ค.ศ.1708 ก็ 317 ปีที่แล้วครับ ช่วงนั้นเป็นช่วง “ยุคทอง” นักสร้างไวโอลินท่านนี้ (ค.ศ.1700-1720) ถือเป็นจุดสูงสุดของงานศิลปะของเขา เครื่องดนตรีจากยุคนี้มีคุณค่าอย่างสูงในด้านคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม งานฝีมือที่ประณีตและเคลือบเงาสีแดงที่เปล่งประกาย มูลค่าของ The Regent ไม่เคยเป็นที่เปิดเผย แต่ไวโอลินในยุคเดียวกันเคยขายได้ราคาถึง 15.9 ล้านดอลลาร์มาแล้ว ปัจจุบันนี้อาจอยู่ในคอลเลกชั่นส่วนตัวและอยู่ในระหว่างการให้ยืมเฉพาะนักดนตรีบางคนเท่านั้นหรืออาจถูกเก็บรักษาไว้โดยสถาบันและให้ยืมแค่นักดนตรีของสถาบันนั้นๆ เท่านั้น
พอผมได้ยินว่าจะมีการนำ The Regent ของ Stradivarius มาเล่นโชว์ ผมนี่หูผึ่งและสะกิดให้ผมนึกถึงหนังเรื่อง “The Red Violin” ภาพยนตร์ระดับรางวัลของผู้กำกับ François Girard ผมดูหลายรอบมาก เป็นหนังในดวงใจอันดับท้อปของผมตั้งแต่ครั้งแรกที่ดูเลยครับ หลังจากนั้นผมก็ไปขุดข้อมูลความเป็นมาของหนังเรื่องนี้แต่ไม่เคยได้แชร์หรือได้คุยกับใคร วันนี้ผมเลยตั้งใจว่าจะมาเล่าถึง“ไวโอลินสีแดง” ทั้งตัวที่อยู่ในหนังและตัวที่มีอยู่จริงครับ
The Red Violin ซึ่งเป็นหนังที่ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของ “Red Mendelssohn” ซึ่งเป็นไวโอลิน Stradivarius (1720) ที่หายไปจากวงการกว่า 200 ปี จนเมื่อช่วงยุคต้นๆศตวรรษที่ 20 ก็ไปโผล่อยู่ที่งานประมูลที่กรุงเบอร์ลิน ผู้กำกับได้ใส่จินตนาการเรื่องราวการเดินทางเพื่อเติมเต็มเรื่องราวที่ขาดหายไปและกลายเป็นบทภาพยนตร์ The Red Violin ออกฉายในปี 1998 เป็นเรื่องของช่างทำไวโอลินผู้ยิ่งใหญ่ชื่อ นิโคโล บุสซอตติ (ได้รับแรงบันดาลใจจากช่างไวโอลินในชีวิตจริงของ Antonio Stradivari) ได้ผสมเลือดของภรรยาผู้ล่วงลับลงในน้ำมันเคลือบของไวโอลินที่เขาตั้งใจจะสร้างให้เป็นผลงานชิ้นเอกที่สุด การเดินทางของไวโอลินตัวนี้ ตั้งแต่การสร้างในเมืองเครโมนาในปี 1681 จนถึงการประมูลในปี 1997 พร้อมด้วยสถานที่และบุคคลที่ครอบครองมันในช่วงเวลานั้น คือเรื่องราวหลักของภาพยนตร์ มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับดนตรี ความทรงจำ และเงินตรา
ไวโอลินตัวนี้มีประวัติความเป็นเจ้าของที่ยาวนานและเดินทางผ่านมือของบุคคลต่างๆมากมาย ถูกถ่ายทอดผ่านหลายยุคสมัย หลายประเทศ รอดพ้นจากอุปสรรคนานัปการ ไม่ว่าจะถูกลักลอบนำเข้า ถูกพายุพัด โดนขโมย ขนส่งทางเรือ หรือแม้กระทั่งถูกเหงื่อของนักเดี่ยวไวโอลินระดับปาการีนี (ตัวละครที่มาจากนักไวโอลินที่ชื่อ Paganini ในยุคศตวรรษที่ 18) จนชุ่มโชก เกิดเรื่องราวโรแมนติก การผจญภัยและความลึกลับ แต่น้ำมันเคลือบสีแดงยังคงบริสุทธิ์ ทรงพลังและดึงดูดใจมากเสียจนผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินราคาเอง (แสดงโดย Samuel L. Jackson) ก็ยังจดจำแหล่งที่มาและศักยภาพของมันได้ เขาใช้สิทธิพิเศษในการเข้าถึงไวโอลินตัวนี้บวกกับเล่นตุกติกนิดหน่อยจนสามารถสลับเอาไวโอลินปลอมที่สมบูรณ์แบบไปแทนในขณะประมูลก่อนที่จะหายตัวไป
The Red Violin กวาดรางวัลจากหลายสถาบันชนิดที่ผมต้องรบกวนท่านผู้อ่านลองไปกูเกิ้ลดูเพราะมันจะยาวเกินโควต้าหน้าคอลัมน์ (ผมเกริ่นยาวจนเกือบหมดที่) แต่ผมอยากจะเน้นถึงอุปสรรคที่ทีมงานเบื้องหลังต้องเจอระหว่างการถ่ายทำภารกิจสุดหินที่ถ้าไม่มุ่งมั่นชนิดบ้าเลือดอาจทำให้โครงการต้องล้มเลิกไปได้ง่ายๆเลยครับ อย่างแรกเลยคือ การระดมทุน สตูดิโอในอเมริกาซึ่งคุ้นเคยกับโครงการที่ปลอดภัยในเชิงพาณิชย์ ต่างลังเลที่จะให้การสนับสนุนภาพยนตร์ที่มีบทภาพยนตร์เขียนขึ้นถึงห้าภาษา (อิตาลี, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, แมนดาริน และอังกฤษ) การใช้หลายภาษาเป็นสิ่งจำเป็นต่อวิสัยทัศน์ด้านความสมจริงของจิราร์ด แต่สำหรับผู้อำนวยการสร้างที่ต้องนึกถึงการทำการตลาดและการเข้าถึงผู้ชม มันคือเม็ดเงินมหาศาลที่อาจไม่ได้คืน ในท้ายที่สุด จิราร์ดและทีมงานของเขาต้องหาเงินทุนจากกลุ่มพันธมิตรระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมักจะไม่แน่นอน
ความซับซ้อนด้านการดำเนินงาน การถ่ายทำเกิดขึ้นในสถานที่จริงในห้าประเทศที่แตกต่างกัน ได้แก่ อิตาลี, ออสเตรีย, อังกฤษ, จีน และแคนาดา ซึ่งแต่ละแห่งก็มีความท้าทายเฉพาะตัว ทีมงานผลิตต้องรับมือกับภาษา, วัฒนธรรม และแนวปฏิบัติในการสร้างภาพยนตร์ที่แตกต่างกัน มันเหมือนกับการสร้างภาพยนตร์ย้อนยุคห้าเรื่องภายในโปรดักชั่นเดียว การวางแผนและการประสานงานต้องมืออาชีพและพิถีพิถันที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าภาพและการเล่าเรื่องสอดคล้องกันตลอดทุกส่วน
ส่วนที่ถ่ายทำในช่วง การปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน อันนี้โหดหินมากครับ การขออนุญาตถ่ายทำเรื่องราวที่กล่าวถึงช่วงเวลานั้นในประวัติศาสตร์จีนเป็นการเจรจาทางการทูตที่ละเอียดอ่อน บทภาพยนตร์ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากทางการจีน และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เกือบจะไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำในประเทศ แม้หลังจากได้รับอนุญาตแล้ว ทีมผู้สร้างก็ยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดและความรู้สึกตึงเครียด ซึ่งเน้นให้เห็นถึงความอ่อนไหวทางการเมืองที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับความพยายามทางศิลปะ
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยลักษณะของเรื่องราวที่เน้นไปที่โบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่า จึงต้องการความถูกต้องและความใส่ใจในรายละเอียดของยุคสมัยในระดับสูง ตั้งแต่กระบวนการทำไวโอลินที่ซับซ้อนในเครโมนาศตวรรษที่ 17 ไปจนถึงความหรูหราของชนชั้นสูงชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 19 แต่ละยุคสมัยต้องถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างพิถีพิถันเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ ความมุ่งมั่นในความสมจริงนี้ได้เพิ่มความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายให้กับโครงการขึ้นไปอีก
ในปี 1990 Red Mendelssohn ถูกขายไปในราคา 1.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจุบันเป็นของนักไวโอลินชื่อ เอลิซาเบธ พิตแคร์น ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา มูลค่าของไวโอลิน Stradivarius ตัวนี้ รวมถึงไวโอลิน วิโอลา และเชลโลหายากอื่นๆได้เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ปัจจุบันมันอาจมีมูลค่ามากกว่า 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์ The Red Violin ถูกประมูลไปในราคา 2.4 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ถ้าลองจินตนาการว่าคุณจะซื้อ "ไวโอลินแดง" ในตำนานตัวนี้ ณ ราคาปัจจุบัน คงจะต้องมีเงินราว 15-17 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ผมคงขอผ่านครับ ดูแต่หนังเอาละกัน ยังไงๆผมก็เล่นไวโอลินไม่เป็นอยู่แล้ว
วิม โมราห์วง
#ไวโอลินระดับตำนาน #ดนตรีคลาสสิก

แลนโด้ และ ออสการ์บุตรแห่งแมคลาเรน แรงทั้งรถทั้งคน ขับเคี่ยวกันตั้งแต่ออกสตาร์ทจนเข้าเส้นชัยอันดับที่ 1, 2 ชาร์ลส์พาเฟอร...
29/06/2025

แลนโด้ และ ออสการ์บุตรแห่งแมคลาเรน แรงทั้งรถทั้งคน ขับเคี่ยวกันตั้งแต่ออกสตาร์ทจนเข้าเส้นชัยอันดับที่ 1, 2 ชาร์ลส์พาเฟอร์รารี่ขึ้นโพเดียมในอันดับ 3

แม็กซ์กระทิงเปลี่ยวถูกน้องคิมี่ชนทื่อๆ จนทั้งคู่ DNF

#รถสูตร1 #ฟอร์มูล่าวัน

ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ แล้วเจอกันในออสเตรียน กรังด์ปรีซ์     #รถสูตร1  #เอฟ1
27/06/2025

ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ แล้วเจอกันในออสเตรียน กรังด์ปรีซ์

#รถสูตร1 #เอฟ1

ที่อยู่

24 ถนน ศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ
Bangkok
10250

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Bangkok Big Boy Toysผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์