Bangkok Big Boy Toys

Bangkok Big Boy Toys ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Bangkok Big Boy Toys, บริษัทด้านสื่อ/ข่าวสาร, 24 ถนน ศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ, Bangkok.

เพจรวมของสะสม ทอยส์ ฟิกเกอร์ นาฬิกา จักรยาน จักรยานยนต์ รถยนต์ แก็ดเจ็ท เกมส์ กีฬา ดนตรี หนัง เพลง ถ่ายภาพ งานศิลป์ ทริปท่องเที่ยว เครื่องมือช่าง สาระถึงเรื่องเบาสมอง ความสนุกกับงานอดิเรกของผู้ชายทุกวัย ศิลปะการใช้ชีวิตแบบ “Work Hard, Play Harder”

Perfect Days: ความงามของวันที่ (เหมือนจะ) น่าเบื่อเรื่องโดย วิม โมราห์วงผมกำลังพูดถึงหนังเรื่อง Perfect Day ที่ออกฉายปี ...
17/10/2025

Perfect Days: ความงามของวันที่ (เหมือนจะ) น่าเบื่อ

เรื่องโดย วิม โมราห์วง

ผมกำลังพูดถึงหนังเรื่อง Perfect Day ที่ออกฉายปี 2023 ที่หลายๆคนคงได้ดูบน Netflix กันไปบ้างแล้ว
หลายๆสื่อพูดถึงหนังเรื่องนี้ หลายๆคนก็คงได้อ่านได้ดูรีวิวกันไปพอสมควร ผมเองก็ได้ดูแล้วครับแล้วก็รู้สึกเลยว่า บางครั้งหนังดี ๆ ไม่ได้พาเราไปผจญภัยในอวกาศหรือหักมุมอลังการ แต่กลับพาเราไปนั่งนิ่ง ๆ ดูใครสักคนทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ ทุกวัน ไม่ทะเยอทะยาน ไม่ต้องตามหาความฝัน แล้วผมก็พบว่า…ผมไม่เบื่อ ไม่เหนื่อย ไม่มีการตัดภาพฉึบฉับ เร็วจนดูไม่ทัน ทุกซีนทุกเฟรมดูอ้อยอิ่ง สโลว์ไลฟ์ ชิลล์มากและผมก็นั่งดูต่อไปเรื่อยๆ…จนจบ

เรื่องนี้ได้สุดยอดผู้กำกับชาวเยอรมัน Wim Wenders (ชื่อเดียวกับผมเลยครับ!) มาเล่าเรื่องราวชีวิตของฮิรายามะ คนทำความสะอาดห้องน้ำสาธารณะในโตเกียว ช่างซ้ำซากและธรรมดาสุดๆ เขามีตารางชีวิตที่แทบไม่เปลี่ยน ตื่นเช้า รดน้ำต้นไม้ ฟังเพลงจากเทปคาสเซ็ทเก่า ๆ ตอนขับรถไปทำงาน ก้มลงเช็ดโถสุขภัณฑ์ให้สะอาดที่สุด กลับบ้าน อ่านหนังสือ นอน แล้วก็เริ่มใหม่ในวันรุ่งขึ้น ทำแบบนี้เป็นกิจวัตรวนไปทุกๆวัน ถึงแม้ในแต่ละวันจะมีเรื่องเล็กๆน้อยๆ มาเสริมมาเติมมาเซอร์ไพร้ส์บ้าง แต่ก็ดูเล็กน้อยและไม่กระทบกับระเบียบชีวิตของเขาสักเท่าไหร่ หรืออย่างน้อย เขาก็พยายามไม่ให้อะไรก็ตามมาป่วนระบบชีวิตของเขา ฮิรายามาะมีความสุขกับสิ่งธรรมดาๆนี้มาก น่าอิจฉานะครับ

Wim Wenders ชี้ให้เราเห็นว่า ความซ้ำซากนี่แหละคือความหมาย—ความสุขอยู่ตรงวิธีที่เรามอง ไม่ใช่ว่าเราทำอะไรพิเศษแค่ไหน เป็นแนวคิดที่สวนกระแสคลั่ง productivity ของชาติตะวันตกอย่างสุดโต่ง
(จนรู้สึกผิดเมื่อเราอยากจะอยู่เฉยๆบ้าง) หนังทั้งเรื่องคือการชวนให้เราลดสปีดลง ไม่ต้องเล่นใหญ่ ไม่ต้องตะโกน ถึงจะมีตัวตน เหมือนจงใจให้เรารู้สึกถึง “ลมหายใจ” ของวันปกติ ผ่านภาพต้นไม้ยามเช้า หนังสือที่อ่าน ความเงียบเวลานั่งกินข้าวคนเดียว ถ่ายรูปแสงเงาใต้ต้นไม้ไปพลางๆ เพลงที่ฟังตอนเช้าในแต่ละวัน ทั้งหมดคือการเฉลิมฉลองสิ่งเล็ก ๆ ที่เรามักมองข้าม แล้วก็เข้ามาสะกิดคนดูให้ถามตัวเองว่า Perfect Day ของเราล่ะคืออะไร

Perfect Days ไม่ใช่หนังที่เล่าแบบ “plot-driven” แต่เป็นหนังที่ใช้ ภาพ + เพลง + จังหวะการเล่าเรื่อง เป็นตัวแทนชีวิตแทบทั้งหมด ทางด้านภาพ Wim Wenders ใช้ภาพนิ่ง ๆ ยาว ๆ (long takes) มุมกล้องเรียบง่าย เน้นความงามของสิ่งธรรมดา เช่น แสงแดดยามเช้าส่องผ่านต้นไม้ เงาสะท้อนบนผิวน้ำ เส้นทางถนนที่ซ้ำทุกวัน เหมือนอยากให้คนดูได้มอง มองให้เห็นสิ่งเล็ก ๆ รอบตัวเรา มันคือ visual poetry ในสไตล์ Wenders เลยครับ จับความเงียบ ความว่าง ความฝัน ที่อยู่ในชีวิต

เพลงใน mixtape ของฮิรายามะที่เขาฟังในรถระหว่างไปทำงานทุกๆเช้าครับที่ผมถูกใจเป็นพิเศษ เป็นเพลงในช่วงยุค 60s–80s ที่ตัว Wim Wenders เองเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ที่ตัวละครเอกฮิรายามะเลือกฟังเพลงเหล่านี้คงเป็นเพราะยังติดอยู่กับอดีต ยังนึกถึงชีวิตช่วงวัยรุ่นและความรักในเสียงดนตรี เพลงที่เขาเลือกในแต่ละเช้าคงมีเหตุผลซ่อนอยู่ลึกๆ ทีนี้เรามาดูกันครับว่า playlist ของฮิรายามะ มีอะไรบ้าง

The Animal - ‘The House of the Rising Sun’
The Velvet Underground - ‘Pale Blue Eyes’
Otis Redding - ‘(Sittin’ On) The Dock of the Bay’
Patti Smith - ‘Redondo Beach’
The Rolling Stones - ‘(Walkin’ Thru The) Sleepy City’
Lou Reed - ‘Pefect Day’
Sanchiko Kanenobu - ‘Aoi Sakana’
The Kinks - ‘Sunny Afternoon’
Maki Asakawa -‘The House of the Rising Sun’
Van Morrison - ‘Brown Eyed Girl’
Nina Simone - ‘Feeling Good’
Patrick Watson - ‘Perfect Day’ (Piano komorebi version)

ผมรู้สึกว่าเพลงในเรื่องนี้เหมือนเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่เล่นคู่กันไปกับตัวเอก เพลงที่เขานั่งฟังทุกๆเช้าเป็นเหมือนเสียงในหัวที่จะบอกคนดูว่าวันนี้เขาตื่นมาด้วยความรู้สึกแบบไหน เพลงเหล่านี้มี sound ที่ให้ความรู้สึก nostalgia หรือ”การหวนนึกถึง” เสียงร้องที่เป็นธรรมชาติ ฟังสบายๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบแต่เป็นมนุษย์ เหล่านี้ผู้กำกับตั้งใจใส่ลงไปแบบไม่มั่วนะครับ

ในความเป็นจริง ชีวิตเราไม่ได้เป็นหนังอินดี้ที่สวยงาม ส่วนใหญ่เรามักอยากไล่ตามสิ่งใหญ่โตมากเกินไปอยากได้วันหยุดหรู ๆ ริมทะเล อยากให้ทุกวันตื่นเต้นใหม่ตลอดเวลา ทั้งที่จริง ๆ แล้วความสุขอาจจะซ่อนอยู่ใน routine ที่เรามีทุกวัน เช่น กาแฟตอนเช้าที่ทำเอง เพลงโปรดที่เปิดวนจนจำได้ทุกโน้ต เดินเล่นใต้เงาต้นไม้แถวบ้าน หรือแม้แต่การได้กลับมานั่งเงียบ ๆ กับตัวเอง มีความสุขกับสิ่งที่เราเลือกเอง เราจะเห็นได้ว่าฮิรายามะเป็นตัวละครที่มีภูมิหลังเป็นคนมีความรู้ มีการศึกษา และมีรสนิยมทางศิลปะ ดูจากชื่อหนังสือที่เขาอ่าน ดนตรีที่เขาฟัง บุคลิกภาพที่ถูกบ่มเพาะมาอย่างดี และด้วยอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวต เขาเลือกท่ีจะใช้ชีวิตในแบบนี้ ด้วยอาชีพนี้ เลือกจะทำทุกอย่างด้วยความใส่ใจ แม้จะเป็นการเช็ดโถส้วมก็ตาม

สุดท้ายแล้ว “perfect day” อาจไม่ใช่วันที่มีเหตุการณ์วิเศษ แต่คือวันที่เราสามารถอยู่กับมันได้อย่างเต็มใจ แล้วตอนนี้ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าพรุ่งนี้ผมจะเลือกฟังเพลงอะไรเป็นเพลงเริ่มต้นวันอันแสนธรรมดาๆ เอาเป็นว่า พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันครับ

#ความสุขในความธรรมดา #หยุดโลกเหงาไว้ตรงนี้

“เมื่อดีไซเนอร์ขอเล่นนอกกรอบ”หากจะเอ่ยถึงหนึ่งใน “บุคลิก” ที่สำคัญของ วัตถุ หรือสิ่งของ ที่ทำให้มันควรค่าแก่การสะสม ก็คง...
16/10/2025

“เมื่อดีไซเนอร์ขอเล่นนอกกรอบ”

หากจะเอ่ยถึงหนึ่งใน “บุคลิก” ที่สำคัญของ วัตถุ หรือสิ่งของ ที่ทำให้มันควรค่าแก่การสะสม ก็คงจะไม่พ้น “เรื่องราวของมัน” อาทิ ประวัติที่โดดเด่น ,แนวคิดที่สะเทือนวงการ หรือ มันเป็นของที่ออกแบบโดยนักออกแบบที่ยิ่งใหญ่ ฯลฯ นั่นเอง และสำหรับเรื่องราว “ของสะสม” ของหนุ่มใหญ่ในวันนี้เป็นเรื่องของ “กล้องถ่ายรูป” แบบฟิล์ม สไตล์ Point & Shoot จากแบรนด์โอลิมปัส (Olympus) ที่มีดีไซน์ที่โดดเด่นจากยุคทศวรรษที่ 90 ที่มีชื่อว่า O-Product และ Ecru เรามาดูกันว่ากล้องทั้งสองตัว มีความโดดเด่นอะไร ทำไมผมถึงหลงรัก และอยากจะหามาครอบครองขนาดนี้

แน่นอนว่า หากจะพูดถึงผลิตภัณฑ์กล้องถ่ายรูปแล้ว สิ่งที่เป็นของที่เชิดหน้าชูตาก็คือ เลนส์ กล้องหลายๆรุ่นจะชูจุดขายเรื่องเลนส์ เป็นหลัก อาทิ กล้องของ Rollei หรือ Leica แต่สำหรับกล้องที่ตั้งใจจะผลิตเพื่อคนทั่วไปล่ะ จะชูเรื่องอะไรดี?

โอลิมปัส ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 ประสบปัญหานี้ พวกเขาผลิตสินค้าคุณภาพเยี่ยมในราคาจับต้องได้ แต่ก็ตกอยู่ภายใต้เงาของแบรนด์ใหญ่อย่าง แคนอน (Canon) และ นิคอน (Nikon) และเมื่อถึงวาระครบรอบ 70 ปีบริษัทพวกเขาตระหนักดีว่า ต้องสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น และเส้นทางที่เขาเลือกก็คือ สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีภาพลักษณ์ที่ดึงดูดให้คนพูดถึงแบรนด์ของพวกเขา

พวกเขาตัดสินใจขอคำปรึกษาจากดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่นที่กำลังร้อนแรงในเวลานั้นก็คือ นาโอกิ ซาไก (Naoki Sakai) แห่งวอเตอร์ สตูดิโอ (Water studio) ผู้ที่สร้างชื่อเสียงจากคำปรึกษาให้กับ บริษัทรถยนต์ชั้นนำอย่าง นิสสัน และได้ให้กำเนิดซีรีส์ของรถยนต์สไตล์โมเดิร์นย้อนยุค (Nostalgic Modern) ที่ได้ชื่อว่า “ไพค์คาร์” (Pike Car) หรือ “รถหัวหอก” ที่จะบุกเบิกแนวคิดใหม่ด้านไลฟ์สไตล์ให้กับนิสสัน โดยรถคันแรกในซีรีส์นี้ก็คือ นิสสัน บี-1 (Nissan Be-1) รถที่เป็นส่วนผสมของแรงบันดาลใจจาก รถออสติน มินิ (Austin Mini) และผสมกับรถขนาดเล็กของยุโรปอีกหลายคัน มันเปิดตัวใน โตเกียว มอเตอร์โชว์ ปี 1985 ก่อนที่จะขายจริงในปี 1987 เพื่อตอบรับกับความคลั่งไคล้ของมหาชนที่ต้องการรถคันนี้ แต่นิสสันก็แสนจะใจแข็ง ผลิตมันออกมาเพียง 10,000 คันเท่านั้น

จากความสำเร็จของแนวคิดนี้ นาโอกิ ซาไก ก็ได้ออกแบบรถที่ใช้แนวคิดย้อนยุคอีกสามคัน คือ นิสสัน เปา (PAO) นิสสัน เอส-คาโก้ ( S-Cargo) และท้ายสุดก็คือ รถยนต์ในตำนานอย่าง นิสสัน ฟิกาโร (Figaro) รถที่คนแย่งกันเป็นเจ้าของ ถึงขนาดที่นิสสันต้องออกโปรแกรม ออกล็อตเตอรี่เพื่อให้สิทธิ์ซื้อรถกันเลยทีเดียว

แต่ทั้งนี้ต้องบอกว่า “นาโอกิ ซาไก” ถูกเชิญมาร่วมงานในลักษณะฟรีแลนซ์ ไม่ได้มีพื้นเพเป็นนักออกแบบรถยนต์ ไม่ได้สนใจเรื่องรถยนต์ ไม่มีใบขับขี่เสียด้วยซ้ำ แต่เขาเป็นครีเอทีฟ เป็นคนรักแฟชั่น และเป็นคนมีรสนิยมยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เรียกง่ายๆเขาคือคนนอกในวงการรถยนต์ ในช่วงพัฒนารถต้นแบบเราจะเห็นได้ชัดเจนว่า ผลงานจากแนวคิดของเขาเมื่อเทียบกับของนักออกแบบรถยนต์ที่จบจากสถาบันออกแบบที่มีชื่อเสียง แม้งานออกแบบจะสวยแต่ผลงานกลับจำเจ ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้ ในขณะที่ผลงานของ นาโอกิ ซาไก ที่เป็นที่ปรึกษาที่ถูกว่าจ้างมา มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โชคดีเหลือเกินที่ผู้บริหารของนิสสันในเวลานั้นกล้าพอที่จะเลือกงานของเขา เราจึงได้เห็นดีไซน์อมตะเกิดขึ้นมาบนโลกนี้

กลับมาที่ผลงานของ “นาโอกิ ซาไก” ที่ให้คำปรึกษากับ โอลิมปัส แน่นอนว่าเขามีมุมมองแตกต่างไปจากนักออกแบบ และผู้บริหารของโอลิมปัส เขากล่าวว่า “บริษัทมักพร่ำพูดว่า พวกเขาใส่ใจผู้บริโภค พวกเขาโกหกนะ สิ่งเดียวที่พวกเขาคิดคือ คู่แข่งกำลังทำอะไร แล้วเราจะตอบโต้อย่างไร…. แต่ผมน่ะ คิดถึงผู้คนนะ”

ผลงานแรกที่เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของเขาก็คือ Olympus O-Product รุ่นปี 1988 กล้องถ่ายรูปแบบฟิล์มที่ ดูย้อนยุคด้วยรูปทรงเรขาคณิตเรียบง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็ดูหรูหราด้วยวัสดุอลูมิเนียมขัดลายเสี้ยน และแปลกประหลาดผสมกันไป เป็นกล้องที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เรียกว่าไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าคู่แข่งเขามีอะไรกัน เป็นดีไซน์ในสไตล์โมเดิร์นย้อนยุค (Nostalgic Modern) ที่เขากำลังมือขึ้นอยู่ในเวลานั้นและ สไตล์ที่เขาบุกเบิกนี้ ดูจะเข้ากันดีกับรถยนต์ มินิ คูเปอร์ อีกกว่าสิบปีให้หลังอย่าน่าประหลาด

รายละเอียดที่เขาเลือกใช้นั้นแตกต่างไปจากกล้องอื่นๆในท้องตลาดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการโชว์หัวน็อตให้เห็นอย่างไม่เคอะเขิน ไปจนถึงการใช้คันโยกสไตล์อนาล็อค สำหรับเปิดเลนส์ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนคันโยกเปิดประตูตู้เซฟ และเปิดการทำงานของกล้องในยุคที่ใครๆก็ใช้ระบบกดปุ่ม ด้านฝาหลังนั้นก็สุดจะเท่ ด้วยการปั้มอักษรนูนเป็นคำว่า “Aluminum Body A.D, 1988 Tokyo Japan” ส่วนถ้าเปิดฝาเพื่อใส่ฟิล์ม ก็จะเจอกับประโยคที่เขียนว่า “A new concept in product design. Olympus O-Product. Functional imperatives molded to artistic form. A camera shaped with simple lines, elegant contours.” แปลได้ว่า “แนวคิดใหม่ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ Olympus O-Product การใช้งานที่หล่อหลอมเป็นรูปทรงศิลปะ กล้องถ่ายรูปที่สร้างจากเส้นสายที่เรียบง่าย แต่มีรูปทรงโค้งสง่างาม” เรียกได้ว่า “โรแมนติก” เว่อร์ และโดดเด่นแตกต่างจากกล้องที่เป็นพลาสติกทั้งหมดในท้องตลาด

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีตัวถังภายนอกที่สวยงามจับใจแต่ไส้ในของมันนั้นก็เรียบง่าย เพราะมันคือกล้องรุ่นประหยัด Olympus AF-10 แบบออโตโฟกัสง่ายๆ ตัวหนึ่ง ที่มาพร้อมระบบวัดแสงอัตโนมัติ และแฟลชเล็กๆติดตัวมาเท่านั้น(สมัยก่อนคนเรียกกล้องแบบนี้ว่า กล้องปัญญาอ่อน เพราะไม่ต้องคิดอะไรเองเลย ยกขึ้นมาถ่ายก็ได้ภาพสวยงามเสมอ)

ดูเหมือนว่า นาโอกิ ซาไก จะอ่านเกมส์ขาด ถ้ากล้อง O-Product มันทำอะไรได้เหมือนกล้องปัญญาอ่อน มันก็จะไม่เท่ และนี่คืออีกจุดที่สร้างความโดดเด่นให้มันเป็นอย่างมากก็คือ “แฟลช” (Flash) ที่ออกแบบมาเข้าชุดกันนั่นเอง เมื่อใช้งานร่วมกันแล้ว จะให้ความรู้สึก ย้อนยุคไปเหมือนยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ในสไตล์ Good Old Day ได้ทันที

Olympus O-Product ผลิตออกมาเพียง 20,000 ตัวเท่านั้น ขายในญี่ปุ่นไป 16,000 ตัว เหลือออกมานอกประเทศเพียง 4,000 ตัวเท่านั้น จำได้ว่าสมัยตอนมันออกใหม่ๆผมยังเป็นนักเรียนมัธยม มันสวยบาดใจมาก ถ้าตอนนี้ใครเจอวางขายอยู่ และถ้าเงินไม่ใช่ปัญหาก็คว้าไว้นะครับ!

ในตอนต่อไป จะขอนำเรื่องกล้องอีกตัวของ Olympus ที่เป็นผลงานของ นาโอกิ ซาไก มาคุยกันต่อนะครับ

เรื่อง: ป๋าป้อง ประชายนตร์

#กล้องฟิล์ม #กล้องฟิล์มวินเทจ #กล้องฟิล์มโอลิมปัส

“กาลเวลา ของจักรกลแห่งความเร็ว”คงจะไม่ผิดเกินไปนักที่จะบอกว่า ของเล่นยอดนิยมที่เหล่าสุภาพบุรุษหนุ่มใหญ่ทั่วโลกล้วนหลงไหล...
15/10/2025

“กาลเวลา ของจักรกลแห่งความเร็ว”

คงจะไม่ผิดเกินไปนักที่จะบอกว่า ของเล่นยอดนิยมที่เหล่าสุภาพบุรุษหนุ่มใหญ่ทั่วโลกล้วนหลงไหลนั้น ชื่อของ รถยนต์ และนาฬิกา จะต้องติดโผทุกครั้งไป และเราได้เห็นการ “คอลแล็ป” (Collaboration) หรือการการเป็นแรงบันดาลใจให้กันและกัน ของรถยนต์และนาฬิกามาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเหล่านาฬิกาข้อมือสไตล์สปอร์ตที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการแข่งรถ อาทิ แท็ค ฮอยเออร์ โมนาโก (Tag Heuer Monaco) แท็ค ฮอยเออร์ คาร์เรร่า (Tag Heuer Carrera) และ แท็ค ฮอยเออร์ เอฟวัน (Tag Heuer F1) หรือตัวเด็ดจากค่าย โรเล็กซ์ อย่าง เดย์โทน่า (Rolex Daytona) ไปจนถึง นาฬิกาสปอร์ตสไตล์คลาสสิกอย่าง โชพาร์ มิลลิ มิเลีย (Chopard MIlle Miglia) และอื่นๆอีกมาก

แต่การบอกเวลานั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบนข้อมือ (Wristwatch) เท่านั้น เพราะยังมีโลกของนาฬิกาที่ตั้งอยู่กับที่ หรือ Clock อยู่ด้วยเช่นกัน และนี่เองที่เป็นเรื่องราวของการบรรจบกันของโลกแห่งยนตรกรรมกับโลกแห่งกาลเวลา กับผลงานที่พัฒนาขึ้นโดยผู้ผลิตนาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ แบรนด์ “เลห์เป่ 1839” (L’Epée 1839) เจ้าของตรากระบี่ไขว้อันเก่าแก่ ที่มีอายุเกือบ 190 ปี

ซึ่งสำหรับแบรนด์ “เลห์เป่ 1839” นี้อาจจะไม่เป็นที่คุ้นหูคุ้นตาคนทั่วไปนัก เพราะผลงานของพวกเขาเน้นไปที่การผลิตนาฬิกาตั้งโต๊ะทำงานด้วยระบบกลไก โดยสำนักงานใหญ่ของเขานั้นตั้งอยู่ที่เมือง จูร่า (Jura) ที่เป็นศูนย์กลางแห่งอุตสาหกรรมนาฬิกาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และปัจจุบัน เลห์เป่ 1839 ก็เป็นหนึ่งในเครือของ LVMH ผู้นำแห่งอุตสาหกรรมความหรูหราของโลกไปเรียบร้อยแล้ว

ในปัจจุบันผลงานของค่าย เลห์เป่ 1839 นั้นมีทั้งแบบคลาสสิกสไตล์ดั้งเดิม ไปจนถึงแบบที่เปี่ยมด้วยจินตนาการ ซึ่งหากท่านสนใจก็สามารถไปชมคอลเล็กชันของพวกเขาได้ที่ https://www.lepee1839.ch/ แต่สำหรับเราในตอนนี้จะขอพาไปชม โลกที่มาบรรจบกันของยนตรกรรมความเร็วกับจักรกลแห่งเวลาของเลห์เป่ 1839 กันนะครับ

รุ่นแรกที่ขอนำเสนอก็คือ ซีรีส์ที่มีชื่อว่า Time Fast II นาฬิกาตั้งโต๊ะทำงานด้วยระบบกลไก ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปร่างของรถสปอร์ตในยุคทศวรรษที่ 60 ที่ดูคล้ายกับ “จากัวร์ อีไทพ์” (Jaguar E-Type) รุ่นโรดสเตอร์ที่มีรูปทรงเย้ายวนใจ

การบอกเวลานั้นแสดงผ่านตำแหน่งของห้องเครื่อง ที่มีหน้าปัดสองชุด ที่ดูวางอยู่ในตำแหน่งของหม้อกรองอากาศ (Dual Air Filters) ของรถในอดีต ซึ่งกลไกบอกเวลานี้จะทำงานด้วยการไขลาน ซึ่งกลไกไขลานของมันนั้นทำโดยการไถรถถอยไปด้านหลัง เหมือนการไถรถของเล่นเพื่อขึ้นลานสปริงเป๊ะ! ซึ่งก่อนจะถอยหลังเพื่อไขลาน เจ้าของรถ เอ้ย! เจ้าของนาฬิกาต้องเข้าเกียร์เพื่อให้อยู่ตำแหน่งไขลานเสียก่อน และถ้าอยากจะจับรถมาไถเล่นเฉยๆ ก็ขยับคันเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง (Neutral) ก็สามารถไถมันเดินหน้า ถอยหลังได้ตามสะดวก กลไกนาฬิกานั้นสามารถสำรองพลังงานใช้ได้นานถึง 8 วัน (ไขลานสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง) โดยจะเต้นที่ความถี่ 18,000 ครั้งต่อชั่วโมง และควบคุมความเที่ยงตรงด้วยกลไกความถี่ 2.5 Hz ที่สามารถมองเห็นได้จากตำแหน่งหมวกกันน็อคใสของผู้ขับ ส่วนการปรับตั้งความเที่ยงตรงของนาฬิกานั้นเราจะทำผ่านวงพวงมาลัยด้วยการหมุนพวงมาลัยทวนเข็มนาฬิกา เรียกว่าเล่นได้ทุกจุด

นอกเหนือไปจาก การไขลานเพื่อนำพลังงานมาใช้สำหรับกลไกบอกเวลา มันยังมีลูกเล่นสุดเก๋ไก๋ซ่อนอยู่ เพียงคุณเอามือไปบิดสวิตซ์กุญแจ มันก็จะทำให้กลไกลูกสูบของเครื่องยนต์ V8 ของรถขยับขึ้นลงเหมือนรถยนต์จริงได้อีกด้วย

ผลงานประติมากรรมแห่งกาลเวลา Time Fast II นี้สร้างขึ้นจากโลหะทองเหลืองชุบพาลาเดียม สเตนเลสสตีล และอลูมิเนียม มีความยาวราว 450 มิลลิเมตร หนักราว 4.7 กิโลกรัม ผลิตขึ้นเป็นจำนวน เพียงสีละ 99 คัน คือสีแดงเฟอร์รารี (Ferrari Red), สีเขียวรถแข่งอังกฤษ (British Racing Green), สีเงินเมอร์ซีดีส (Mercedes Silver), สีน้ำเงินแถบขาว “เอซี คอบร้า” (AC Cobra) และสีขาวแถบน้ำเงิน และนอกจากนั้นยังมีสีพิเศษอย่างสีโครเมียมให้เลือก ส่วนราคานั้นราว 5 หมื่นยูเอสดอลล่าร์ เรียกว่า ราคาเท่าซื้อรถซีดานดีๆสักคันได้จริงๆนั่นแหละ

อีกหนึ่งผลงานสร้างสรรค์ของ “เลห์เป่ 1839” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งขันรถยนต์ แต่นำเสนอด้วยกลไกที่แตกต่างออกไป เป็นผลงานสร้างสรรค์ของ George Foster นักศึกษาระดับปริญญาโทของสถาบันศิลปะและการออกแบบแห่งเมืองโลซานน์ (ECAL) มีชื่อว่า Time Fast D8

Time Fast D8 นั้นได้รับแรงบันดาลใจด้านรูปทรงมาจากรถแข่งทรงซิการ์แห่งทศวรรษที่ 50 โดยแนวคิดด้านการไขลานด้วยการไถรถถอยหลัง ซึ่งสามารถสำรองพลังงานได้ 8 วัน และ สามารถตั้งเวลาด้วยการหมุนวงพวงมาลัยนั้นไม่แตกต่างจาก Time Fast II แต่สิ่งที่แตกต่าง และเป็นสิ่งที่โดดเด่นของรถคันนี้คือ รูปแบบของการนำเสนอเวลา ผ่านทางวงแหวนทรงกระบอกที่มองเห็นได้ชัดจากทางด้านข้างของรถโดยวงแหวนวงแรกจะบอกเวลาเป็นชั่วโมง และวงที่สองจะบอกเวลาเป็นนาที ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า ด้วยขนาดของกลไกการบอกเวลาที่เป็นวงแหวนทรงกระบอก ทำให้มันลงตัวกับรูปทรงของรถแข่งทรงซิการ์ได้เหมาะเจาะนั่นเอง

ผลงานประติมากรรมแห่งกาลเวลา Time Fast D8 นี้สร้างขึ้นจากโลหะทองเหลืองชุบพาลาเดียม และนิเกิล สเตนเลสสตีล ส่วนโครงสร้าง รวมถึงตัวถังด้านหน้าและท้าย ทำจากอลูมิเนียม ล้อทำจากสเตนเลส สตีล ตัวรถมีความยาวราว 385 มิลลิเมตร หนักราว 4.7 กิโลกรัม ผลิตขึ้นเป็นจำนวน เพียงสีละ 99-100 คัน คือสีแดงเฟอร์รารี (Ferrari Red), สีเขียวรถแข่งอังกฤษ (British Racing Green), สีเงินเมอร์ซีดีส (Mercedes Silver), สีเหลือง, สีน้ำเงินแถบขาว และสีขาวแถบน้ำเงิน และนอกจากนั้นยังมีคอเล็กชันที่ทำให้กับแบรนด์จิวเววรีหรูจากกรุงนิวยอร์ค คือ “ทิฟฟานี่ & โค” (Tiffany & Co.) ที่ใช้ชื่อว่า Time for Speed ที่ตัวรถจะเป็นสีฟ้าอมเขียว เอกลักษณ์ของ ทิฟฟานี่ (Tiffany Blue) ซึ่งจะไม่อยู่ในแคตตาล้อคของ “เลห์เป่ 1839” แต่จะไปอยู่ในแคตตาล้อคของทิฟฟานี่ ซึ่งนอกจากสีจะแตกต่างไปแล้ว โลโก้ของบนกระจังหน้าก็จะเปลี่ยนจากกระบี่ไขว้ ไปเป็นโลโก้ TCO ของทิฟฟานี่ & โค ส่วนราคานั้น ราว 3.7 หมื่นยูเอสดอลล่าร์ ส่วนเวอร์ชัน ทิฟฟานี่ จะราคาราว 4.5 หมื่นยูเอสดอลล่าร์

และรุ่นสุดท้ายที่อยากจะขอนำเสนอก็คือ รุ่น TF35 หรือ Time Fast 35 นาฬิกาตั้งโต๊ะที่เปิดตัวในปี 2024 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 185 ปีของแบรนด์ “เลห์เป่ 1839” โดย TF35 จะสร้างขึ้นโดยใช้รูปลักษณ์ของรถแข่งที่ยิ่งใหญ่จากยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง นั่นก็คือ Bugatti Type 35 ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นรถที่งดงามที่สุดตลอดกาลคันหนึ่ง

แม้ว่าใช้กลไกคล้ายคลึงกับของ D8 นั่นก็คือ การใช้วงแหวนทรงกระบอกที่เปิดให้เห็นการบอกเวลาทางด้านข้างของตัวรถ และใช้การไถรถไปด้านหลังเพื่อไขลาน ฯลฯ ซึ่งนอกจากฟังก์ชันด้านการบอกเวลาแล้ว TF35 มันยังผสมกลไกสุดเท่ห์เข้าไปอีกอย่างก็คือ ตัวเครื่องยนต์ที่เป็นแบบ 8 สูบเรียง ของมันนั้นถ้าผู้ใช้ดึงเบรกมือขึ้น มันจะปลดเครื่องยนต์ออกมา และมันจะมีฟังก์ชันเป็นไฟแช็ก สำหรับใช้จุดซิการ์ หรือบุหรี่ได้ทันที นับว่าเป็นไอเดียสุดบรรเจิดจริงๆ

หากถามว่าส่วนตัวแล้ว ชอบรุ่น Time Fast II หรือ D8 หรือ TF35 มากกว่ากันก็ต้องบอกว่า แม้ว่า Time Fast II นั้นจะมีรูปลักษณ์ที่งดงาม และมีกลไกที่สลับซับซ้อน แต่หากมองในแง่ความความลงตัวของการใช้งาน ในฟังก์ชันของการเป็น “เครื่องบอกเวลา” ก็ต้องยอมรับว่า D8 ที่มีการบอกเวลาทางด้านข้างของตัวรถนั้นลงตัวกว่ามาก แต่ที่สุดของงานออกแบบที่ลงตัวที่สุดก็คงจะเป็นรุ่น TF35 ที่นำเอาสัดส่วนของรถ Bugatti Type 35 มาใช้ได้ลงตัวงดงามที่สุดนั่นเอง

ผลงานประติมากรรมแห่งกาลเวลา TF35 นี้สร้างขึ้นด้วยวัสดุคล้ายคลึงกับรุ่นก่อนหน้านี้ ตัวรถมีความยาวราว 440 มิลลิเมตร หนักราว 4.52 กิโลกรัม ผลิตขึ้นเป็นจำนวน เพียงสีละ 100 คัน คือ สีฟ้าฝรั่งเศส (French Blue) สีแดง รอสโซ่ คอร์ซ่า (Rosso Corsa Red), สีเขียวรถแข่งอังกฤษ (British Racing Green), สีดำ ออปซิเดียน (Obsisian Blacj), สีดำด้าน (Matt Black) ส่วนราคานั้น ราว 4.4 หมื่นยูเอสดอลล่าร์

ส่วนท่านที่คิดว่า นาฬิกาที่ผลิตเป็นจำนวนจำกัดเพียงสีละ 99-100 เรือน ยังไม่พิเศษพอ ทาง “เลห์เป่ 1839” ก็ยังมีรุ่นพิเศษที่ทำการเพ้นท์ด้วยมือโดยศิลปินที่ไม่มีจำหน่ายทั่วไป เรียกว่าทำเมื่อมีคนสั่งเท่านั้นให้ท่านเลือกหาอีกด้วยในซีรีส์ที่เรียกว่า Creative Art Residency ที่ทำร่วมกับกลุ่มศิลปิน The Dial Artist ผู้ชำนาญการด้านการทำลวดลายบนหน้าปัดนาฬิกา

ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านลองแวะเข้าไปชื่นชม ความวิจิตรบรรจง ที่ประสานเข้ากับจินตนาการสุดบรรเจิดของนาฬิกาแบรนด์นี้ได้ที่ https://www.lepee1839.ch/ รับรองว่า อยากรวยขึ้นมาทันทีเลยครับ

เรื่อง: ป๋าป้อง ประชายนตร์

#นาฬิกาหรู #ศิลปะแห่งเวลา #กลไกเวลา #จักรแห่งความเร็ว

๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๘วันนวมินทรมหาราช วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร #13ตุล...
13/10/2025

๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๘

วันนวมินทรมหาราช วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

#13ตุลาคม
#วันนวมินทรมหาราช

“สะสมกะโหลกในสไตล์ Pop Art”สำหรับคนไทยทั่วๆไป การมีรูปกะโหลกมนุษย์ไว้ในบ้านมันอาจจะดูประหลาดๆ เพราะหลายๆคนอาจจะมองว่ามัน...
10/10/2025

“สะสมกะโหลกในสไตล์ Pop Art”

สำหรับคนไทยทั่วๆไป การมีรูปกะโหลกมนุษย์ไว้ในบ้านมันอาจจะดูประหลาดๆ เพราะหลายๆคนอาจจะมองว่ามันเป็นของที่น่าจะอยู่ตามสำนักหมอผีเสียมากกว่า แต่เชื่อหรือไม่ว่าในบางวัฒนธรรม พวกเขาไม่ได้มองกะโหลกเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองขนาดนั้น แถมยังมีสินค้า ของสะสม ที่เป็นรูปกะโหลกที่สวยงามให้เราได้ครอบครองกันอีกด้วย จะมีของประเทศใด วัฒนธรรมไหนบ้าง เราไปดูกัน

เริ่มต้นกันที่แบบน่ารักๆก่อน นั่นก็คือ อมยิ้มกะโหลก จากแบรนด์ “Chupa Chups” (ชูปปา จุปส์) ทุกๆปี ช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคมตามร้านสะดวกซื้อ เราจะเริ่มเห็นชูปปา จุปส์ นำเอา “อมยิ้ม” เวอร์ชันหัวกะโหลก ซึ่งเป็นสินค้าแนว Limited Production ที่จะสอดคล้องกับเทศกาลฮัลโลวีน (Halloween) ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีมาจำหน่าย โดยนอกจากพวกเขาจะจำหน่ายปลีก อมยิ้ม ที่เป็นรูปกะโหลกแล้ว ตัวบรรจุภัณฑ์เองก็ยังทำเป็นรูปกะโหลกด้วยเช่นกัน โดยแต่ละปีก็จะมีสกีมสีแตกต่างกันไป อาทิ กะโหลกแดงสมองสีเขียว จากปี 2021 กะโหลกสีดำ สมองสีเขียวนีออน จากปี 2022 กะโหลกชมพู สมองเขียวมะนาว จากปี 2023 และ กะโหลกเหลือง สมองดำ จากปี 2024 ส่วนในปี 2025 นี้จะเป็นเวอร์ชัน กะโหลกฟ้า สมองดำ ที่จะมาคู่กับ อมยิ้มกะโหลกีรสส้ม สมองรสองุ่น บอกเลยว่า ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ห้ามพลาด

แต่ถ้าถามว่าในบรรดากะโหลกของ อมยิ้ม ชูปปา จุปส์ นี้รุ่นไหนมีความสวยงามน่าสะสมที่สุด ก็เห็นจะต้องเป็นสินค้ารุ่นปีลึกของพวกเขา ที่เป็นบรรจุภัณฑ์รูปกะโหลกเพ้นต์ลายสวยงาม ซึ่งแสดงออกถึงประเพณีของชาวเม็กซิกัน ที่เรียกว่า เทศกาล “วันระลึกถึงผู้ตาย” หรือ Day of the Dead หรือในภาษาสเปนก็คือ Dia De Los Mu***os (เดีย เดอลอสมูเอโทส)

“วันระลึกถึงผู้ตาย” ของชาวเม็กซิกัน นี้มักถูกเรียกแบบคาดเคลื่อนว่า “ฮัลโลวีนของชาวเม็กซิกัน” เนื่องจากว่าจัดขึ้นในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับเทศกาลฮัลโลวีน ของชาวคริสต์ คือปลายเดือนตุลาคม ไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายนโดยงาน “วันระลึกถึงผู้ตาย” นี้หากจะว่าไป ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็น “เช็งเม้ง” ของชาวเม็กซิกันก็คงไม่ผิดนัก พวกเขาจัดให้ “วันระลึกถึงผู้ตาย” เป็นวันที่ครอบครัวชาวเม็กซิกันจะมารวมตัวกัน เพื่อรำลึกถึงญาติผู้จากไปของพวกเขา และจะทำการตกแต่งหลุมศพของพวกเขาอย่างสวยงามด้วยดอกดาวเรือง (Marigold) พร้อมกับนำอาหารที่ญาติๆที่จากไปของพวกเขาชอบนำมาไหว้

เชื่อว่าพอเอ่ยมาถึงตรงนี้ หลายๆคนอาจจะนึกภาพของ “วันระลึกถึงผู้ตาย” ได้ เพราะน่าจะเคยเห็นจากในภาพยนตร์ หรืออนิเมชั่น อาทิ ฉากเปิดของภาพยนตร์ พยัคฆ์ร้าย 007 (James Bond 007) ในภาพ สเป็คเตอร์ (Spectre) จากปี 2015 ที่เป็นฉากลอบสังหารในงานแห่ในเทศกาล “วันระลึกถึงผู้ตาย” ที่ผู้คนในงานต่างใส่หน้ากากกะโหลก หรือเพนต์หน้าตาให้ขาวโพลน และวาดขอบตาให้ดำเป็นผีตาโบ๋ ที่เรียกกันว่า Calavera (Skeletons) painted faces ส่วนอีกเรื่องก็คือ การ์ตูนเรื่อง Coco จากปี 2017 ที่ว่าด้วยการเดินทางของเด็กชายไปยังโลกของผู้ตาย ในช่วงเทศกาลนี้ เพื่อไปตามหาดวงวิญญาณของปู่ทวดของเขา เป็นหนังที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัวและได้รับคำชมเชยมากมาย ซึ่งในการ์ตูนเรื่องนี้เราจะได้เห็นถึงภาพของวัฒนธรรมเม็กซิกันได้อย่างเด่นชัด

เทศกาลนี้ปกติแล้วจะแบ่งออกเป็น 3 วันด้วยกันคือ วันแรก 1 พฤศจิกายน เป็นวันระลึกถึงเหล่าเทวดาน้อย หรือเด็กๆผู้จากไป หรือ Dia de los Angelitos ที่พวกเขาเชื่อว่า ดวงวิญญาณของเหล่าเด็กๆที่จากไปจะกลับมาอยู่กับครอบครัวเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ในคืนแรกนี้พวกเขาจะมอบลูกกวาด ของเล่นให้ดวงวิญญาณของเด็กๆ วันที่สองคือ 2 พฤศจิกายน คือวันระลึกผู้ล่วงลับที่เป็นผู้ใหญ่ หรือ Dia de los Difuntos ที่ในยามค่ำคืนก็จะมีการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับด้วยอาหารและเหล้ายาปลาปิ้งต่างๆ พร้อมกับมีงานเต้นรำกันอย่างครื้นเครง และวันที่สามก็คือ วันรำลึกถึงผู้ตาย (รวม) หรือ Dia De Los Mu***os ที่จะมีการเดินพาเหรดกันในเมือง และจะมีการไปเยี่ยมหลุมศพ โดยสุสานต่างๆจะได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามในวันนั้น โดยหินประดับหลุมศพจะได้รับการขัดสีฉวีวรรณ รวมถึงอาจจะทาสีใหม่ให้สวยงาม

แน่นอนว่า หนึ่งในสัญลักษณ์ของเทศกาลนี้ก็คือ “Calavera” หรือ กะโหลก ซึ่งจะมีทั้งการเพนต์หน้า แต่เป็นการเพนต์ให้เป็นกะโหลกที่มีรอยยิ้ม มีความสุข นอกจากนั้นก็จะทำเป็นลูกกวาด เป็นของตกแต่งนานาชนิด เรียกได้ว่า งานนี้ไม่มีคำว่าเศร้า มีแต่รอยยิ้ม เพราะคนเม็กซิกันเชื่อว่า “ผู้ที่จากไป ไม่ได้สูญหายไปไหน ตราบใดที่เราไม่ลืมพวกเขา”

จบเรื่องประเพณี กลับมาเรื่องของ “ของสะสม” กันบ้าง แน่นอนว่าถ้าคุณสนใจที่จะสะสม “กะโหลก” แล้วล่ะก็ถ้าเริ่มกับเหล่า Calavera ของเม็กซิกันก็จะไปได้เรื่อยๆ และนอกจากนั้นยังมีอีกเยอะให้สามารถเล่นได้ อาทิ แก้วเหล้า ขวดเหล้า ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบขวดแก้ว ก็จะมีแบรนด์เหล้าแอ็บซินธ์ ยี่ห้อแฮมเล็ต (Hamlet Absinthe) ผลิตขายอยู่ หรือจะเป็นว็อดก้าเองก็มีให้เลือกหาด้วยเช่นกัน หรือประเภทผลิตภัณฑ์ “เตกิล่า” (Tequila) จากเม็กซิโก ก็จะมีบางยี่ห้อมีการเพนต์ลายด้วยมือตามแบบฉบับศิลปะ Calavera ให้ได้สะสมกันอีกด้วย

เรียกว่าถ้าชอบสายนี้ และเทศกาลฮัลโลวีนก็ใกล้เข้ามาแล้ว ใครอยากจะแต่งบ้านให้ได้บรรยากาศ หรืออยากจะเริ่มคอลเล็กชันกะโหลกเป็นของตัวเอง บอกเลยว่ามีของให้สะสมเพียบครับ!

เรื่อง: ป๋าป้อง ประชายนตร์

#สะสมกะโหลก #กะโหลกศิลปะ #ศิลปะกะโหลก

“Atmos” นาฬิกาตั้งโต๊ะกลไกอัศจรรย์”เราได้เห็นเรื่องราวของนาฬิกาข้อมือสารพัดรูปแบบที่เขียนโดย MP 4/4 มาแล้วในเพจ Bangkok ...
09/10/2025

“Atmos” นาฬิกาตั้งโต๊ะกลไกอัศจรรย์”

เราได้เห็นเรื่องราวของนาฬิกาข้อมือสารพัดรูปแบบที่เขียนโดย MP 4/4 มาแล้วในเพจ Bangkok Big Boy Toys แต่ในวันนี้ “ป๋าป้อง ประชายนตร์” ขอนำเสนออีกรูปแบบของกลไกแห่งกาลเวลาที่ สามารถเรียกได้ว่าอัศจรรย์ เพราะมันคือ นาฬิกาที่เดินได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องอาศัยการไขลาน ไม่ต้องอาศัยไฟฟ้า ไม่ต้องอาศัยแสงแดด ขอเพียงมันตั้งอยู่ “บนโลก” นี้ ก็จบแล้ว ชื่อของมันคือ Jaeger-LeCoultre Atmos

สำหรับชื่อแบรนด์ นาฬิกา นี้คนไทยส่วนใหญ่มักจะเรียกมันว่า “เจเกอร์ เลอคูทร์” นี้แต่ถ้าจะออกเสียงแบบถูกต้องก็ต้องเป็น เฌแชร์-เลอคูลทร์ (เช-แช-เลอ-คู) ผู้ผลิตนาฬิกาเก่าแก่อายุเกือบ 200 ปีจากสวิตเซอร์แลนด์ นาฬิกาแบรนด์นี้ มีนาฬิกาข้อมือรุ่นที่โด่งดังระดับไอคอนิค ที่คนเล่นนาฬิการู้จักกันดีก็คือ นาฬิกาข้อมือที่ พลิกซ่อน /เปลี่ยนโฉม หน้าปัดได้ ในรุ่นที่มีชื่อว่า “รีเวิร์สโซ” (Reverso) นาฬิกาที่ออกแบบขึ้นด้วยความต้องการที่จะใช้สวมใส่เวลาเล่นกีฬาขี่ม้าโปโล ซึ่งหากใครต้องการที่จะทำความรู้จักกับนาฬิกานี้ก็สามารถย้อนกลับไปอ่านบทความที่เขียนโดย MP 4/4 ได้ที่ https://www.facebook.com/profile/100035028408613/search/?q=reverso

แต่สำหรับนาฬิกาอัศจรรย์ที่ ป๋าป้อง อยากจะนำเสนอในวันนี้ก็คือ “นาฬิกาตั้งโต๊ะ” หรือ Table Clock รุ่น “แอทมอส” นาฬิกาที่อาศัยเพียงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในบรรยากาศรอบตัว เพื่อขึ้นลานนาฬิกา สมกับชื่อ “แอทมอส” (Atmos) ที่แปลว่า “บรรยากาศ” ความชาญฉลาดของกลไกที่อาศัยพลังจากธรรมชาตินี้ก็คือ ผู้ใช้งานหลังจากปรับตั้งมันเสร็จก็ ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันอีกเลยนานนับปี ไม่ต้องไขลาน ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใดๆ

หัวใจหลักของมันนั้นเกิดจากลานสปริง ที่ต่อเข้ากับกระบอกแคปซูลที่บรรจุของเหลว และก๊าซ เอทิล คลอไรด์ (ethyl chloride, สารเคมีที่เรามักใช้เป็นสารทำความเย็น อาจจะใช้ฉีดลงบนผิวหนังเพื่อให้รู้สึกชา บรรเทาอาการเจ็บปวดจากการบาดเจ็บขณะเล่นกีฬา) ซึ่งสารเอทิล คลอไรด์ นี้จะขยายตัวเมื่ออุณหภูมิในห้องสูงขึ้น และไปดันสปริงลาน ในทางกลับกัน เมื่ออุณหภูมิลดลง ก๊าซก็จะหดตัว มันก็จะไปดึงให้สปริงลานยืดออก ดังนั้นในแต่ละวันมันก็จะยืดเข้า และออกของมันไปตามอุณหภูมิห้องที่เปลี่ยนไปนั่นเอง โดยมันจะงานได้แม้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปแม้เพียง 1 องศา ว่ากันว่า การเปลี่ยนแปลงแค่ 1 องศา สามารถขึ้นลานให้มันใช้งานได้นานถึง 4 วัน

ดังนั้นเพื่อให้บรรลุถึงประสิทธิภาพที่ว่านี้ การออกแบบของมันจึงต้องการความประณีต และลดการเสียดทานของกลไกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การออกแบบของมันจึงแตกต่างจากนาฬิกา (Clock) ทั่วไปที่ใช้ลูกตุ้มแกว่ง (Pendulum, เพนดูลัม) ในการรักษา “คาบเวลา” นักออกแบบนาฬิกาเลือกใช้กลไกแบบ Torsion Pendulum ที่ทำงานด้วยการบิดหมุนซ้าย-ขวา ด้วยสาเหตุที่ว่ามันสูญเสียพลังงานต่ำกว่า โดยเพนดูลัมแบบบิดนี้ จะสามารถพบเห็นได้ในนาฬิกาแอทมอส ทุกรุ่น การหมุนของมันแต่ละรอบจะรักษาคาบเวลา 1 นาทีพอดีเป๊ะ โดยหมุนไปด้านหนึ่งใช้เวลา 30 วินาที และหมุนกลับมาอีกข้างจะเป็นอีก 30 วินาที ซึ่งกลไกของมันนี้ทำงานช้ากว่าตุ้มแบบแกว่ง ของนาฬิกาลูกตุ้มทั่วไปถึง 30 เท่า

ความอัศจรรย์ของกลไกนาฬิกาที่ทำงานด้วยการเปลี่ยนแปลงแรงดัน (Atmospheric Pressure) และอุณหภูมิ (Temperature) นี้ สามารถย้อนกลับไปได้ไกลถึงยุคบุกเบิกการบอกเวลาด้วยกลไก คือ ยุคศตวรรษที่ 17 โดยเป็นนาฬิกาที่นักประดิษฐ์สร้างขึ้น โดยมีแต่เพียงคนระดับกษัตริย์ และขุนนางชั้นสูงเท่านั้น ที่สามารถจ่ายเพื่อครอบครองได้

ส่วนสำหรับนาฬิกา “แอทมอส” ที่ขับเคลื่อนด้วย การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิล้วนๆอย่างที่เรารู้จักนั้นถูกสร้างต้นแบบขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 1928 โดยวิศวกรนักประดิษฐ์ ฌอง-ลียอง รอยเตอร์ (Jean-Léon Reutter) มันได้รับชื่อเล่นว่า “แอทมอส 0” (Atmos 0) ขับเคลื่อนด้วยการหดและขยายตัวของ “ปรอท” (Mercury) เหมือนกับที่เราคุ้นตาในปรอทวัดไข้ (เด็กสมัยนี้อาจจะไม่เคยเห็น) ซึ่งในเวลาต่อมา นาฬิการุ่นที่ 2 ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อขายเชิงพาณิชย์ โดย บริษัท CGR ในฝรั่งเศส ชื่อว่า Atmos 1 ก็ได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยยังคงใช้ปรอท แต่ทำงานร่วมกับกระบอกแอมโมเนีย

ต่อมาในปี 1935 เฌแชร์-เลอคูลทร์ ได้รับเอาสายพานการผลิตของ Atmos 1 มาจาก CGR ในฝรั่งเศส และได้เปลี่ยนจาก ปรอท มาเป็น “เอทิล คลอไรด์” ถือกำเนิดเป็น Atmos 2 และเปิดตัวในปี 1936 โดยแม้จะมีเทคโนโลยีสุดล้ำ แต่ Atmos 2 นั้นมาพร้อมตัวเรือนที่ดูคลาสสิค มีสี่ขารูปร่างเหมือขาสัตว์ มีเอวคอด ตัวเรือนทำจากไม้ ในสไตล์ที่เรียกว่า “Neuchateloise” (นูชาเตลโลอิส) ที่หลายๆเรือนมีการเพนต์สีตกแต่งลวดลายเป็นลายดอกไม้เสียด้วยซ้ำไป แต่กว่าจะได้ขายจริงก็เป็นปี 1939 ซึ่งก็เข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าจนถึงปัจจุบัน เวอร์ชั่นต่างๆของ “แอทมอส” ที่ผลิตโดย เฌแชร์-เลอคูลทร์ นั้นได้ถูกผลิตออกมากว่า 5 แสนเรือนไปเรียบร้อย ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยสำหรับนาฬิการาคาสูงเช่นนี้ และเป็นซีรีส์นาฬิกาที่ไม่เคยหายไปจากแคตตาล็อคของ เฌแชร์-เลอคูลทร์ มาเกือบร้อยปีแล้ว และมันถูกใช้เป็นของขวัญที่รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ มอบให้กับแขกคนพิเศษของพวกเขามาจนถึงทุกวันนี้

แน่นอนว่าการที่มัน อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงเพียงน้อยนิดของธรรมชาติ ทางผู้ผลิตจึงให้คำแนะนำว่า การเลือกสถานที่วางนาฬิกา “แอทมอส” นั้นสำคัญมากเนื่องจากจะส่งผลโดยตรงต่อการทำงานที่แม่นยำ และไร้กาลเวลาของมัน
อันดับแรกเลยก็คือ มันต้องถูกวางบนแท่นวางที่ได้ระนาบระดับน้ำเป๊ะ ไม่มีความเอียง และไม่อ่อนไหวต่อแรงสั่นสะเทือนใดๆ
อันดับสอง ก็คือหลังจากติดตั้งแล้ว ห้ามขยับ การเช็ดทำความสะอาดใดๆ ห้ามยกนาฬิกาขึ้นเด็ดขาด
อันดับสาม การปรับเวลา อนุญาตให้ใช้เพียงนิ้วมือ ดันเข็มยาวไปในทิศทางตามเข็มนาฬิกาเท่านั้น ห้ามดันทวนเข็มนาฬิกาเด็ดขาด
อันดับสี่ นาฬิกาแอทมอส หากมีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้าย แม้ในระยะทางสั้นๆ จะต้องใช้อุปกรณ์ที่ออกแบบมาสำหรับมันโดยเฉพาะเท่านั้นเนื่องจากลูกตุ้มของมันนั้น ถูกแขวนลอยด้วยลวดเส้นบางๆเท่านั้น ดังนั้นต้องอ่านคู่มืออย่างละเอียดทุกครั้งเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหาย

ในปัจจุบันเราสามารถเลือกหา นาฬิกาตั้งโต๊ะ “แอทมอส” ทั้งรุ่นใหม่ และรุ่นวินเทจ ซึ่งมีทั้งแบบเรียบง่าย ไปจนถึงรุ่นที่สลับซับซ้อนทางการออกแบบ สำหรับนาฬิกาใหม่นั้นจะราคาเริ่มต้นราว สองแสนกลางๆ โดยราคาจะแปรผันไปตามรุ่นและดีไซน์ โดยในปัจจุบันในแคตตาล็อคของ เฌแชร์-เลอคูลทร์ นั้นมีด้วยกันดังนี้

Atmos Collection: Classic เป็นรุ่นมาตรฐานที่ดูอนุรักษ์นิยม หนักแน่น ด้วยกรอบครอบแก้วทรงลูกบาศก์สี่เหลี่ยม ที่ล้อมเสาโลหะ ให้ความรู้สึกแข็งแรงหนักแน่น โดยตัวเครื่องและตุ้มหมุนนั้นวางอยู่บนขา ดูหนักแน่น ส่วนหน้าปัดเลือกใช้ตัวเลขโรมันเพื่อความคลาสสิก

Atmos Collection: Transparente เป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะที่มาพร้อมครอบทรงลูกบาศก์สี่เหลี่ยมที่ทำจากกระจกไม่มีกรอบ โดยตัวเรือนนาฬิกาจะยึดกับแผ่นกระจกด้านหลัง ทำให้ดูราวกับมันลอยอยู่ในอากาศ หน้าปัดนาฬิกานั้นเป็นกระจกโปร่งใส แสดงเวลาด้วย มาร์เกอร์ชั่วโมงแบบขีด ที่เรียบง่ายสะอาดตา

Atmos Collection: Infinite นาฬิกาแอทมอส ที่บรรจุอยู่ในครอบแก้ว (Glass box) ทรงกระบอก ที่โปร่งใส และเรียบง่าย การใช้ครอบแก้วทรงกระบอกนี้เป็นการแสดงความเคารพ (Tribute) ให้กับนาฬิการุ่นต้นแบบ Atmos O จากปี 1928 และรุ่น Atmos 1 ปี 1930 นั่นเอง ดีไซน์ของ Infinite นั้นสะอาดเรียบง่ายหน้าปัดเป็นแล็คเกอร์ดำ พร้อมมาร์เกอร์ชั่วโมงแบบขีด ส่วนหน่วยนาทีนั้นเป็นหลุมเล็กๆบริเวณขอบนอกของวงแหวนหน้าปัด

และ Collection สุดพิเศษ คือ Atmos Designer ซึ่งเป็นนาฬิกากลุ่มที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ดัง ซึ่งในรุ่นปัจจุบันคือ รุ่น 568 by Marc Newson (มาร์ค นิวสัน) นักออกแบบอุตสาหกรรมชาวออสเตรเลีย ที่มีผลงานโดดเด่นมากมาย ผลงานออกแบบของ มาร์ค นิวสัน ได้ร่วมงานกับ เฌแชร์-เลอคูลทร์ มาตั้งแต่ปี 2008 กับผลงาน Atmos 561 ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ฉลองครบรอบ 80 ปีนาฬิกา Atmos

Atmos 561 นั้นตัวเรือนทำขึ้นจากแก้วคริสตัลเป่าที่ทำด้วยมือ (Hang-blown Crystal) โดยฝีมือของช่างจากโรงงานแก้ว บัคคาร์ท (Baccarat) อันโด่งดัง โดยตัวเครื่องกลนาฬิกานั้นจะเกาะเข้ากับผนังด้านหลังของตัวเรือน ทำให้ดูราวกับนาฬิกานั้นลอยได้ด้วยเวทมนต์ ส่วนตัวลูกตุ้มเพนดูลัมแบบหมุน เอกสิทธิ์ของ แอทมอส นั้นวางทิ้งตัวอยู่ในแนวเดียวกับฐาน ความน่าอัศจรรย์ของมันก็คือ มันดูแล้วน่าฉงนว่า นาฬิกานี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไร เพราะตัวเรือนดูแล้วไม่มีรอยต่อ (จริงๆคือ ประกอบเข้าจากหน้าปัด) ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็น งานฝีมืออย่างการประกอบเรือในขวดเลยก็ว่าได้ มีผลิตออกมา 888 เรือน

Atmos 566 นาฬิกาแอทมอส เรือนต่อไปที่มาร์ค ทำให้กับ เฌแชร์-เลอคูลทร์ ในปี 2010 มาพร้อมกลไกใหม่ คาลิเบอร์ 566 ที่มีฟังค์ชั่นทางดาราศาสตร์ ตัวเรือนยังคงทำขึ้นจากคริสตัลจากบัคคารัท หน้าปัดดาราศาสตร์เป็นดาราจักรบนท้องฟ้าของซีกโลกเหนือ ทำจากวัสดุลงยาสวยงาม มีด้วยกัน 2 สีคือ สีคริสตัลใส 28 เรือน สีน้ำเงินอีก 28 เรือน

คอลเล็กชันล่าสุด คือ Atmos 568 เป็นผลงานชิ้นที่สามของ มาร์ค นิวสัน กับ เฌแชร์-เลอคูลทร์ เปิดตัวในปี 2016 สำหรับ 568 นี้จะเน้นความเบา ความเรียบง่าย ตัวเรือนยังคงเป็นคริสตัลเช่นเดิม แต่การออกแบบใหม่ ทำให้ตัวนาฬิกานั้นดูราวกับแขวนลอยอยู่กลางอากาศ

สำหรับในบ้านเรานั้น หนึ่งในนาฬิกา แอทมอส ที่น่าสนใจที่สุดเรือนหนึ่ง เห็นจะเป็นนาฬิกาแอทมอสรุ่นเก่าแก่ที่อยู่คู่กับ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นนาฬิกาทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูง 23 เซนติเมตร กว้าง 16 เซนติเมตร ลึก 10 เซนติเมตร หุ้มด้วยกระจกใสทั้ง 4 ด้าน หน้าปัดกลม พื้นสีดำ สันนิษฐานว่า นาฬิกาเรือนนี้ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ โปรดให้ใช้เป็นนาฬิกาประจำตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ซึ่งบริเวณฐานจะเห็นรอยจารเป็นคำว่า “บวรนิเวศวิหาร” ชัดเจน

ส่วนใครที่เริ่มสนใจจะหานาฬิกาแอทมอส แบบวินเทจ มาสะสมก็ต้องบอกเลยว่า มีด้วยกันสารพัดรูปทรง โดยสไตล์ที่เห็นได้บ่อยครั้ง ก็คือจะเป็นทรงครอบแก้ว สีเหลี่ยม อันเป็นทรงยอดนิยม โดยจะเปิดให้เห็นกลไกสวยงามภายในนั่นเอง ไปจนถึงแบบที่เรียบง่ายไม่สะดุดตา อาทิ รุ่น Atmos VII ref. 5900 จากปลายทศวรรษที่ 60 ถึงปี 1970 ที่เป็นทรงเหลี่ยม ให้อารมณ์อาร์ตเดโค (Art Deco) แม้จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักในยุคของมัน แต่กลับกลายเป็นของหายากที่นักสะสมนิยมกันในวันนี้

แต่ถ้าชอบของดีไซน์แปลก ก็ยังมีรุ่นที่ทำร่วมกับแบรนด์ดังอย่าง แอร์เมส (Hermes) ที่รูปทรงคล้ายลูกกอล์ฟ จากปี 2014 หรือรุ่นแอทแลนติส (Atlantis) ที่โดดเด่นด้วยขาตั้งทรงกรวยแหลมชี้ขึ้นด้านบน ที่เป็นรุ่นฉลอง 60 ปีของแอทมอส จากปี 1995 ซึ่งมีน้อยกว่า 50 เรือนทั่วโลก

เรียกว่านี่คือ ของสะสมชั้นเลิศที่สามารถเล่าเรื่องราวการทำงานของมันให้แขกที่แวะเวียนมาเยี่ยมบ้านให้ได้ว้าวกันได้ทุกครั้ง แม้จะราคาแพงก็มันก็อยู่กับเราไปได้ตลอดชีวิตเช่นกันนะครับ

เรื่อง: ป๋าป้อง ประชายนตร์

ที่อยู่

24 ถนน ศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ
Bangkok
10250

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Bangkok Big Boy Toysผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์