Sales100Million - กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้าน

Sales100Million - กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้าน Sales Trainer และ Blogger การขายแบบ B2B Enterprise ระดับประเทศ อันดับหนึ่งด้านบทความการขาย ฟรี

เพจนี้จัดทำขึ้นมาเพื่อแชร์ความรู้และประสบการณ์ทางการขายแบบ B2B (Business-to-Business)

มอบให้เพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์กับผู้ที่ประกอบอาชีพที่เกี่ยวกับการขาย นักธุรกิจ เจ้าของกิจการและผู้สนใจทุกท่าน

เพื่อสร้างแหล่งข้อมูลความรู้เชิง How-to ที่จับต้องได้ ใช้ได้จริง สร้างธุรกิจและอนาคตทางการงานได้อย่างยั่งยื่น

5 ธงแดง (Red Flag) ที่บ่งบอกให้คุณรีบถอยห่างจากการดีลกับลูกค้าเดี๋ยวนี้!Red Flag หรือธงแดง เป็นคำที่ถูกหยิบมาใช้บ่อยๆ โด...
14/07/2025

5 ธงแดง (Red Flag) ที่บ่งบอกให้คุณรีบถอยห่างจากการดีลกับลูกค้าเดี๋ยวนี้!

Red Flag หรือธงแดง เป็นคำที่ถูกหยิบมาใช้บ่อยๆ โดยเฉพาะเรื่อง "ความสัมพันธ์" แบบ Toxic ธงแดงก็หมายถึง "สัญญานเตือน" ที่เวลาคุณรู้สักได้เมื่อไหร่ก็ควรถอยเมื่อนั้น การค้าขายเองก็เช่นกัน ลูกค้า "ไม่ได้น่ารัก" สำหรับพวกเราทุกคนเสมอไป (ฮา) ยิ่งถ้าคุณเป็นนักขายไก่อ่อนก็มีโอกาสมหาศาลที่จะ "เสียเปรียบ" การขายกับลูกค้าธงแดงที่ผมกำลังจะบอกเป็นอย่างมาก มาดูกันว่า 5 ธงแดงที่ผมเจออยู่บ้างและจำเป็นต้องถอยห่างนั้น มีอะไรบ้าง

1. ดีลอะไรก็ตามที่ผลประโยชน์เรื่องตัวเลขไม่ลงตัว

การเงินคือสิ่งที่สำคัญและก่อให้เกิด "ความเชื่อมั่น" ใครๆ ก็อยากขายแบบเงินถึงและ "วิน-วิน" ทุกฝ่าย แต่เหตุการณ์เหล่านี้หมายถึงธงแดงที่เจอเมื่อไหร่ควรถอยไปห่างๆ เลยนะครับ ดังนี้

- เงื่อนไขการชำระเงินที่ช้า แปลกประหลาด: ปกติทั่วๆ ไปมูลค่าไม่สูงมาก "ต้องจ่ายเงินเดี๋ยวนี้" ไม่มีการขอลงบัญชีไว้เด็ดขาด แต่การขายกับระดับ Enterprise มาตรฐานจะอยู่ที่ 30 วัน บางแห่งสูงสุด 90 วัน (เช่น CP, Central) และกลุ่มราชการก็ประมาณ 90 วัน แต่ถ้าช้ากว่านั้นหรือการชำระเงินไม่มีลายลักษณ์อักษร เป็นสัญญาปากเปล่า อย่างนี้ต้องถอยให้ห่างครับ

- กำไรบางเฉียบ: ถ้าคุณโดนบี้ราคาจนไม่เหลือเนื้อหนังให้จับ ผมแนะนำว่าควรรักษาจุดยืนและเป็นฝ่ายถอยจะดีกว่าครับ ขายไปก็ไม่คุ้ม

- ค่าใช้จ่ายแฝงจากการดำเนินงาน: ต้องระวังการให้บริการหรือเสนออะไรพิเศษๆ ให้กับลูกค้าตามที่ลูกค้าเรียกร้อง บางทีมันอาจจะเข้าเนื้อคุณจนกำไรหดโดยที่ไม่รู้ตัว ที่สำคัญคือต้องคำนวณให้ถี่ถ้วนเกี่ยวกับความผิดพลาดหรือความเสียหายที่ทำให้กำไรเราลดลง เรื่องค่าใช้จ่ายส่วนนี้ที่เพิ่มขึ้นถ้าลูกค้ารับไม่ได้จะเป็นผลเสียกับธุรกิจของเราอย่างมหาศาล

2. ลูกค้าเปลี่ยนจุดยืนหรือสับขาหลอกบ่อยครั้ง (ปรับโน่น นี่ นั่น มากเกินไป)

จะเรียกว่า "ลูกค้าเรื่องมาก" ก็ไม่แปลก ตอนทำดีลก็สับขาหลอก เปลี่ยนโน่น นั่น นี่ หรือปรับสัญญาบางอย่างมากเกินไป ไม่รักษาคำพูด หรือจู่ๆ ก็ชะลอการตัดสินใจแบบแปลกประหลาด ทั้งๆ ที่เข้าสู่ปลายทางแล้ว นี่คือสัญญานธงแดงที่กำลังบอกว่าพวกเขาลังเลหรือ "มีเหลี่ยม" บางอย่างกับคุณแล้วล่ะครับ ดังนี้

- แก้ไขข้อเสนอหรือสัญญาไม่หยุดหย่อน: ถ้าเป็นดีลราชการยังพอเข้าใจ แต่ถ้าเป็นดีลเอกชนนั้นผมขอบอกเลยว่ากลิ่นไม่ดีแล้วครับ

- การตัดสินใจไม่ชัดเจน: เลื่อนหรือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อยๆ ชะลอการตัดสินใจแบบไม่มีเหตุผล (อันนี้เจอมาเยอะ) ส่วนใหญ่มักทำให้เราเสียเวลามากครับ

- ขอเซอร์ไพรซ์ในวินาทีสุดท้าย: จู่ๆ ขอใส่เงื่อนไขบางอย่างก่อนที่จะปิดการขาย แถมยังขอฟรีๆ ซะด้วย อย่างนี้เรียกเอาเปรียบแบบเต็มตัวครับ

3. ดีลสร้างความเสี่ยงทางธุรกิจมากกว่าโอกาส

จริงๆ แล้วนักขายส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจในเรื่องนี้ มัวแต่เอายอดกับค่าคอมฯ จำไว้นะครับว่าทุกการขายมี "ความเสี่ยง" อยู่เสมอ ไล่ตั้งแต่การขายง่ายๆ ที่อาจทำให้ลูกค้าผิดหวัง เอาไปด่าลงเฟซ เสียชื่อเสียง ยันโครงการขนาดใหญ่ที่ "ทำคนตาย" เช่นตึกถล่ม บอกเลยว่าดีลบางอย่างเอาตัวคุณไปแขวนอยู่บนเขียงถึงขั้นโดนไล่ออกได้ด้วยซ้ำ มาดูว่าความเสี่ยงมากกว่าโอกาส มีอะไรบ้าง

- ต้องง้อลูกค้าไม่กี่เจ้ามากเกินไป: เรื่องนี้เสี่ยงมากๆ สำหรับธุรกิจที่มีความเฉพาะทาง (Niche Market) ซึ่งมีลูกค้า Key Account ไม่กี่ราย ผลก็คือโคตรเสี่ยงเวลาที่พวกเขาเลิกหรือหันไปซื้อเจ้าอื่น ซึ่งเราถึงขั้นเจ๊งได้เลย

- ธงแดงเกี่ยวกับกฎหมายและข้อกำหนด: ส่วนใหญ่จะเป็นการทำดีล "สีเทา" หรือต้องมีการจ่ายผู้เกี่ยวข้อง เช่น ขอใบอนุญาต ทำดีลกับภาครัฐ ฯลฯ ความเสี่ยงระยะยาวถึงขั้นติดคุกซึ่งก็ไม่คุ้มเลย

- ลูกค้าที่มีชื่อเสียงในด้านลบ: เรื่องนี้ขนาดบริษัทมหาชนก็เป็นครับ การเข้าไปพัวพันกับลูกค้าแย่ๆ อาจทำให้คุณแปดเปื้อนและมีความเสี่ยงโดนโกงเลยด้วยซ้ำไป คุณควรหูไว ตาไว สำหรับเรื่องนี้

4. นิสัยหรือทรงไม่เข้ากัน ไม่ถูกชะตา (โว้ย)

อาจเป็นเรื่องอคติบางอย่างเลยด้วยซ้ำ ภาษาชาวบ้านคือ "ไม่ชอบขี้หน้า" หรือเข้ากันไม่ได้ ไม่ถูกชะตา ลูกค้าบางคนนิสัยไม่ดีหรือแม้แต่ตัวเราเองอาจทำอะไรไม่เข้าท่า (ในสายตาเขา) หรือเจอลูกค้าเหลี่ยมจัด ขี้โกง อามิจสินจ้าง คนเหล่านี้ก็อาจทำให้คุณลงเหวได้เช่นกัน ดังนี้

- พฤติกรรมที่ไม่ให้เกียรติคุณ: เอาแค่มาสายเป็นนิจ ผมก็กาหัวแล้วล่ะครับ หรือรับปากแล้วไม่ทำ พูดจาไม่ดี ไม่ให้ความเคารพ ระยะยาวต่อให้ขายได้ก็คบกันไม่ค่อยได้ครับ

- การทำธุรกิจที่น่าสงสัย: เช่น ขอให้โอนเข้าบัญชีส่วนตัว ขอถือเงินสด หรือเบี้ยวจ่ายเงินบ่อยๆ เครดิตไม่ดีแบบนี้ก็ไม่น่าคบครับ

- ทัศนคติที่มุ่งแต่จะเอาชนะเราไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร:ก็ตาม หากพวกเขายึดติดกับผลกำไรหรือส่วนลดเหนือการซื้อขายที่ยุติธรรม ไม่ช้าก็เร็วคุณอาจเป็นฝ่ายที่ต้องเสียเปรียบอยู่วันยังค่ำ

5. สัญชาติญานมันบอกตัวเราว่าให้ถอย

บางครั้งทุกอย่างดูดีบนกระดาษ แต่คุณกลับรู้สึกว่า มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล นั่นคือสัญชาตญาณของคุณกำลังพยายามเตือนคุณอยู่ ไม่ผิดที่จะเชื่อในสัญชาติญานของตัวเอง ดังนี้

- ความรู้สึกสงสัยที่ค้างคา: ถ้าคุณยังคงลังเลว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ มักจะมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังเสมอ เช่น ดูทรงลูกค้าไม่มีตัง โซลูชั่นขาดความเหมาะสม เงียบหายนานเกินไปเพราะกำลังเอาราคาเราไปเสียบคู่แข่ง เป็นต้น

- ขาดความโปร่งใส: ถ้าพวกเขาหลีกเลี่ยงการตอบคำถามโดยตรงหรือให้คำมั่นสัญญาที่คลุมเครือ อาจมีบางสิ่งที่พวกเขากำลังปิดบังอยู่ เอาแรงๆ กว่านั้นก็คือขอให้คุณจ่ายเงินใต้โต้ะหรือเรียกร้องผลประโยชน์ ระยะยาวชักคบไม่ได้แล้วครับ

- ลูกค้ามีประวัติ: ประวัติไม่ดี ข่าวเทาๆ เยอะแยะ ลงสื่ออยู่บ่อยๆ อย่างนี้ต้องถอยให้ห่างครับ

การปฏิเสธข้อตกลงที่ไม่ดีไม่ใช่ความล้มเหลว แต่มันคือ การแสดงพลังอย่างหนึ่งครับ

13/07/2025

เจาะลึกนิสัย CEO ระดับท็อปส่วนใหญ่: เมื่อคุณต้องปิด "ดีลเทพ" กับพวกเขาจงอ่านสิ่งนี้!

อย่าพลาดโอกาสในการ TRANSFORM การขาย B2B Enterprise ของคุณ!

ติดต่อเราผ่าน LINE >> [] หรือสนใจถามคำถาม คอร์การขายคลิก >> [https://m.me/sales100million]

เจาะลึกนิสัย CEO ระดับท็อปส่วนใหญ่: เมื่อคุณต้องปิด "ดีลเทพ" กับพวกเขาจงอ่านสิ่งนี้! หนึ่งใน "ประสบการณ์ชีวิต" ของการเป็...
13/07/2025

เจาะลึกนิสัย CEO ระดับท็อปส่วนใหญ่: เมื่อคุณต้องปิด "ดีลเทพ" กับพวกเขาจงอ่านสิ่งนี้!

หนึ่งใน "ประสบการณ์ชีวิต" ของการเป็นนักขายที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ "การเข้าพบ CEO" นายใหญ่ เพื่อเข้าไปปิดดีล เรียกได้ว่าคุณจะได้ทั้ง "แต้มบุญ" คอนเนคชั่นระดับเทพ (แถมได้เงิน) ผลงานที่จับต้องได้ แถมยังมีโอกาสสานสัมพันธ์ระยะยาวและสามารถต่อยอดหางานใหม่หรือไปทำธุรกิจด้วยตัวเองเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าลูกค้าระดับนี้ย่อมมีนิสัยหรือเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้พวกเขาเป็นผู้นำสูงสุดขององค์กร ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับบุคลิก อุปนิสัยในภาพรวมจากประสบการณ์ของผมในการผ่าน CEO มาเป็นร้อยๆ คนย่อมมีประโยชน์กับพวกคุณที่กำลังอ่านอยู่แน่นอนครับ

1. CEO เวลาจะซื้ออะไรมักมองภาพรวมระยะยาวเสมอ

พูดเป็นภาษาชาวบ้านคือการซื้อขายแบบมองระยะสั้นมักจะเน้นไปที่ราคา โปรโมชั่น แต่ระยะยาวคือความทนทานด้านการใช้งาน บริการหลังการขาย และผลกระทบต่อองค์กรกับธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่นการลงทุนซื้อระบบแผงโซลาร์เซลล์ที่ลงทุนสูงในช่วงแรก แต่ระยะยาวสามารถลดค่าใช้จ่ายและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้พวกเขากล้าตัดสินใจลงทุนกับดีลมูลค่าสูง จึงเป็นข่าวดีสำหรับนักขายสไตล์ที่ปรึกษาและขายของแบบเน้นคุณค่า (VS) เน้นไปที่คุณภาพ ความทนทาน พรีเมี่ยม ถ้าโซลูชั่นคุณสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของพวกเขาและองค์กรล่ะก็ การปิดการขายด้วยภาพใหญ่กับตัวเลขที่น่าเชื่อถือจะหวานเจี้ยบมากครับ

2. CEO ส่วนใหญ่ มักมีความนิ่ง สุขุม แถมมีออร่าบางอย่างที่น่าดึงดูด (Charisma)

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า CEO ส่วนใหญ่มักเป็นแบบนั้นจริงๆ ยิ่งอยู่ในองค์กรใหญ่ หรือเป็นคนที่มีชื่อเสียง พวกเขามาพร้อมวัยวุฒิและคุณวุฒิที่หล่อหล่อมให้พวกเขาเป็นผู้นำสูงสุดขององค์กร ดังนั้นการอ่านอารมณ์พวกเขาจะเป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ คือ "ความสุขุมและการคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ" และเรื่องนี้จะลามไปถึงการต่อรองเจรจาด้วย ดังนั้นนักขายที่กำลังอยู่ในสถานการณ์นี้จะต้องมีความนิ่ง เก็บทรง อย่าประหม่า อย่าโต้ตอบด้วยอารมณ์เด็ดขาด และต้องให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความไว้วางใจและสามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจพวกเขาได้ครับ

3. CEO ส่วนใหญ่โฟกัสที่คุณค่า ราคาเป็นเรื่องรอง

ผมขอย้ำในเรื่องของคุณค่าอีกครั้งนะครับ โดยเฉพาะคุณค่าที่เกิดจาก "ผลตอบแทนของการลงทุน" (Return of Investment) ซึ่งพวกเขาจะเชื่อมั่นในข้อมูลตัวเลขอย่างเดียว เรื่องนี้ต่อให้โม้หรือพูดเก่งก็ไม่สามารถเอาชนะใจพวกเขาได้ถ้าขาดข้อมูลที่พิสูจน์ได้ เรื่องนี้ต่อให้คุณขายของราคาถูกแต่ไม่สามารถแปลข้อมูลให้เกิดผลตอบแทนในระยะยาวที่เกิดคุณค่าระยะยาวได้ ซึ่งจะเป็นข่าวดีมากๆ คือถ้าคุณขายของแพงแล้วมอบคุณค่าได้สูงกว่าของถูกจริงๆ เช่น เพิ่มรายได้ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ฯลฯ คุณจะอยู่ในขอบข่ายของการพิจารณาได้อย่างแน่นอน

4. CEO ส่วนใหญ่มักมีความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ กล้าได้กล้าเสีย

ถ้าคุณได้เข้าพบระดับ CEO และพวกเขามีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาด คุณจะสัมผัสได้เลยว่าถ้าการนำเสนอเข้าทาง คุณค่ามาเต็ม พวกเขาเมื่อชั่งน้ำหนักเป็นอย่างดีแล้วก็จะตัดสินใจได้ทันที (ด้วยอำนาจสูงสุดที่มี) ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงแต่ส่วนใหญ่มักจะใส่เกียร์เดินหน้าเสมอ ซึ่งถ้าสัญญานการขายเป็นบวก CEO เห็นด้วยในหลายๆ อย่าง คุณมีโอกาสสูงสุดที่จะปิดการขายแบบต่อหน้าได้เลยครับ ขออย่างเดียวคือ "ทำให้ดีเหมือนปาก" เพราะถ้า CEO เลือกคุณแต่ดันทำเละก็เตรียมตัวเละเป็นโจ้กได้เลย

5. CEO ส่วนใหญ่ไม่ชอบอะไรที่เสียเวลา การนำเสนอที่เยิ่นเย้อ ไม่กระชับ

เนื่องจากเวลาของพวกเขาเป็นเงินเป็นทองครับ พวกเขาจึงทนฟังอะไรนานๆ ไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะโครงการที่มีภาษายากๆ หรือเทคนิคอลเยอะๆ อาจทำให้พวกเขาเบือนหน้าหนี เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ คุณจึงควรเลือกนำเสนออะไรที่ "เนื้อๆ" ตรงประเด็น กระชับ มีข้อมูลตัวเลขจริง หรือมีตัวอย่างการทดสอบ สาธิต เคสที่จับต้องได้ เห็นภาพจริง มีประโยชน์กว่าการนั่งพรีเซนต์สไลด์ตั้งแต่หน้าแรกอย่างแน่นอนครับ

6. CEO มักสแกนคุณตั้งแต่หัวถึงตีน

พวกเขาเองก็ผ่านร้อนผ่านหนาว เจอผู้คนมามากมาย พวกเขาจึงมีทักษะการอ่านคนขั้นเทพ ดังนั้นการเข้าพบจะต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษทั้งแบบทางการและกึ่งทางการ การแต่งกาย การเตรียมข้อมูลนำเสนอ หรือการเลือกใช้คำพูดและภาษากายจะต้องแสดงความเป็นมืออาชีพอย่างเต็มเปี่ยม การนำเสนอจะต้องมีความมั่นใจ ซื่อสัตย์ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เรื่องนี้ถ้าใครพลาดตั้งแต่แรกก็มักจะจบเห่โดยที่ CEO อาจเป็นฝ่ายออกจากห้องไปก่อน เอาแค่คุณมาไม่ตรงเวลาก็เกมแล้วครับ

7. CEO อาจใช้เครือข่ายตรวจสอบว่าคุณไปขายที่ไหนมาแล้วบ้าง

ถ้าคุณมีแต้มบุญสูงกับการปิดดีลระดับ CEO และมีการอ้างอิงโปรเจคที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะเป็นคู่แข่งโดยตรงหรือเป็นธุรกิจที่ใกล้เคียงกับ CEO ที่คุณกำลังขายอยู่ ขอบอกเลยว่าจะมีข้อดีมหาศาลเพราะระดับ CEO ด้วยกันเขายกหูโทรสอบถามแปปเดียวก็รู้เรื่องแล้วครับ ในทางกลับกันคือถ้าคุณดันไปทำเละเอาไป บาปกรรมที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็จะย้อนเข้าตัวคุณแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ (แถมไม่ได้งาน) แน่นอนครับ

8. CEO มักมีกิจกรรมหรือรสนิยมพิเศษเหนือธรรมดา

กิจกรรมที่เห็นกันแบบจะๆ ซึ่งนักขายหรือมนุษย์ออฟฟิศธรรมดาอาจไม่มีเวลาลงทุนไปทำก็คือ "การตีกอล์ฟ" นั่นเองครับ หรือบางท่านก็มีรสนิยมการกินอาหารที่หรูหรา จิบไวน์ ท่องเที่ยวแบบ Exclusive เรียนหลักสูตรระดับผู้นำต่างๆ ใช้ข้าวของแบรนด์เนมหายาก เป็นต้น ดังนั้นการพาตัวเองให้เข้าใกล้สังคมของพวกเขาจำเป็นต้องใช้เวลา ประสบการณ์ และการลงทุนทรัพยากรเป็นอย่างมาก แต่ก็คุ้มค่าที่จะลงทุนเพราะเรื่องนี้จะทำให้คุณ "มีจุดร่วม" กับพวกเขาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ดีๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เอาเป็นว่านักขายระดับท็อปควรไปเรียนกอล์ฟเพื่อทำกิจกรรมกับระดับ CEO กันนะครับ

การทำความเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับนิสัยเหล่านี้ จะช่วยให้คุณนำเสนอได้อย่างตรงจุด สร้างความประทับใจ และเพิ่มโอกาสในการปิด "ดีลเทพ" ได้อย่างเฉียบขาดครับ

12/07/2025

ทำไมงานขาย B2B ภาครัฐ ถึงเป็น "สมรภูมิเดือด" ที่นักขายทั่วไประดับเทพยังเหงื่อตก

อย่าพลาดโอกาสในการ TRANSFORM การขาย B2B Enterprise ของคุณ!

ติดต่อเราผ่าน LINE >> [] หรือสนใจถามคำถาม คอร์การขายคลิก >> [https://m.me/sales100million]

ทำไมงานขาย B2B ภาครัฐ ถึงเป็น "สมรภูมิเดือด" ที่นักขายทั่วไประดับเทพยังเหงื่อตกเนื่องจากเซลล์ร้อยล้านได้เข้าไปคลุกคลีกับ...
12/07/2025

ทำไมงานขาย B2B ภาครัฐ ถึงเป็น "สมรภูมิเดือด" ที่นักขายทั่วไประดับเทพยังเหงื่อตก

เนื่องจากเซลล์ร้อยล้านได้เข้าไปคลุกคลีกับงานขายภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีดีลระดับ "8 หลัก 9 หลัก" และปิดดีลได้จริง แถมยังมีอีกหลายๆ ไปป์ไลน์ที่กำลัง On-Going กับลูกค้ารัฐรายใหญ่ กระทรวงเทพแห่งหนึ่งอยู่ เรียกได้ว่าบทบาทเป็นไปได้ตั้งแต่ล็อบบี้ยิสต์ คู่ค้า ยันตัวชงกันเลยทีเดียว ถ้าจะให้พูดคืองานภาครัฐก็เปรียบเสมือนกับ "อาณาเขต" ที่ย่างกรายเข้าไปได้ยากพอสมควร ต่อให้เป็นนักขายองค์กรระดับโลก หรือเป็นนักธุรกิจขั้นเทพก็มีน้อยรายมากๆ ที่เข้างานรัฐได้ขนาดนั้น มาดูสาเหตุกันว่าทำไมงานรัฐถึงเป็นสมรภูมิเดือดสำหรับนักขายทุกระดับกันครับ

1. กฎระเบียบที่ซับซ้อนและเข้มงวด พลาดทีเดียวชีวิตเปลี่ยน

กฎที่ว่าในภาษาเซลล์วงการนี้ก็คือ การทำข้อกำหนดหรือ "การทำ TOR" ซึ่งขั้นตอนทุกอย่างจะต้องปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตรวจเอกสารผิดหรือตกตัวเลขบางอย่างไป แม้กระทั่งลืมเซ็นลายเซ็นลงเอกสารทุกหน้า ดีลหรือโครงการที่ว่ากันว่า "นอนมา" ก็มีโอกาสแพ้ยับด้วยเหตุผลแค่นี้เองครับ ความยากแบบมีนัยสำคัญคือการเป็นผู้กำหนดทิศทางกับ TOR ร่วมกับลูกค้าภาครัฐตั้งแต่แรก ถ้าไม่สามารถทำได้ตั้งแต่ขั้นตอนนี้ก็จบเห่ครับ โอกาสชนะมีประมาณ 0.1% แสดงว่าคอนเนคชั่นก็ต้องถึงด้วย นักขายจึงต้องปวดหัวอย่างมากกับขั้นตอนการทำ TOR นี้อย่างเข้มงวด

2. Sales Process ที่ยาวนานตามมูลค่าโครงการมากๆ

ผมขอให้คุณคิดแบบนี้ครับว่ายิ่งดีลใหญ่ก็ยิ่งนาน ถ้าดีลหลักล้านส่วนใหญ่ประมาณ​ 1-3 เดือน หลักสิบล้านมี 6 เดือน หลักร้อยล้านมี 1-3 ปี ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับลูกค้าภาครัฐหลายหน่วยงาน หลายลำดับขั้น หลายคณะกรรมการ ไม่สามารถทำดีลเทพแบบเอกชนด้วยการไปปิดดีลไวๆ กับ CEO หรือท่านประธานฯ ได้เลย ความแตกต่างตรงนี้ทำให้นักขายต้องใช้ความอดทนสูงมาก ความท้าทายอีกอย่างคือต้องเข้าพบกับทุกแผนก ทุกฝ่าย ทุกลำดับชั้น และทำให้คนกลุ่มใหญ่ที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจพอใจ นักขายที่ต้องการอะไรเร็วๆ ปิดดีลกับ C-Level เทพๆ จะอยู่ในการขายแบบนี้ไม่ค่อยได้ครับ

3. ขีดจำกัดของการเข้าถึงผู้หลักผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจตัวจริง

นักขายวงการนี้ ถ้าเป็นลูกจ้างก็ต้องสั่งสมบารมีมากพอสมควร ไม่มีทางเลยที่คุณจะปีนกำแพงเรื่องอายุ คุณวุฒิ แล้วไปตีสนิทกับลูกค้าระหับผู้อำนวยการ ผู้ว่าฯ อธิบดี รัฐมนตรี ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นแค่เซลล์แมนซึ่งกระดูกมันคนละเบอร์เกินไป ที่สำคัญคือการเข้าถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจตัวจริงก็ยากมากๆ เพราะบางทีคนเซ็นงานอาจไม่ใช่ผู้มีอำนาจตัวจริง หรือเป็นผู้ปั้นโครงการตั้งแต่ต้น นักขายที่บารมีไม่ถึงทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิจะต้องพัฒนาตัวเองอย่างมากเพื่อให้เข้าถึง Inner Circle เช่น การเรียนหลักสูตรปริญญาโท สัมมนางานภาครัฐ สร้างเครือข่ายด้วย LinkedIn เข้าชมรมกอล์ฟ เป็นต้น

4. งานภาครัฐเน้นเรื่องราคาถูก (และคุณภาพต้องถึง) เป็นที่สุด

เนื่องจากคุณกำลังทำธุรกิจเพื่อ "ผลประโยชน์ของประเทศชาติ" การคิดราคาแพงหรือขายแบบเน้นความหรูหรา มั่นหน้ามั่นโหนก จะเป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด เอาเป็นว่าความยากก็คือคุณต้องทำยังไงก็ได้ให้โซลูชั่นมีคุณภาพดี หลังขายดี คุณสมบัติผ่านเงื่อนไข แต่ราคา "ต้องถูก" (ฮา) ทำให้บริษัทที่เน้นขายแบบกำไรสูงจะไม่ถูกจริตกับงานรัฐอย่างแรง เอาเป็นว่าต่อให้ลูกค้าตั้งงบฯ มาสูงแล้วคุณเสนอราคาไปสูงๆ สเปคเต็ม แต่มีคู่เทียบเสนอราคาถูกกว่า ราคาทุน สเปคจัดเต็มเท่ากัน คุณมีโอกาสแพ้สูงมากๆ ครับ

5. ความผันผวนทางการเมืองที่ควบคุมไม่ได้

เรื่องนี้มีผลค่อนข้างมากสำหรับช่วงเริ่มต้นโครงการ พรรคไหน สีไหน รัฐบาลขั้วไหน ถือว่ามีผลกระทบทั้งบวกและลบกับดีลที่เราทำเป็นอย่างมากครับ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ อาจทำให้ธุรกิจของเราไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดหรือถึงขั้น "แจ้งเกิด" ได้เลยถ้าอยู่ถูกขั้ว (ทางทีดีคือเป็นคนเทาๆ อยู่ให้ได้ทุกขั้วจะดีกว่าครับ)

6. การบริหารและรักษาความสัมพันธ์เชิงลึก

ภาครัฐไม่ใช่แค่ขายเสร็จแล้วหายหัวแน่นอน เอาเป็นว่าต้องเลี้ยงดูกันยาวๆ ดูแลดุจญาติมิตร มีกิจกรรมวิชาการหรือสันทนาการให้ทำตลอด ทำให้ต้องอุทิศเวลาและอุทิศตนกับ "งานนอกสนาม" เป็นอย่างมาก และไม่ใช่แค่ระดับคนใหญ่คนโตแต่ต้องดูแลทีมงานฝั่งลูกค้าทั้งทีม ตอนมีปัญหาไม่ต้องพูดถึง ถ้าทำให้มีผลกระทบต่อลูกค้าภาครัฐจนโดนประเมิน คุณมีสิทธิ์ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกเช่นเคย ต้องแก้ปัญหาได้ไว คิดไวทำไว ตอบสนองเร็วอยู่ตลอดเวลา การไปมาหาสู่บ่อยๆ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ทำให้นักขายวงการนี้ต้องใช้เวลากับลูกค้าแต่ละรายอย่างมาก

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทำให้งานขาย B2B ภาครัฐเป็นสนามที่ต้องใช้ความอดทน ความเชี่ยวชาญ ความละเอียดรอบคอบ และทักษะการสร้างความสัมพันธ์ที่แตกต่างไปจากงานขายในตลาดทั่วไปอย่างมากครับ

11/07/2025

5 คำสอน
ที่ลูกน้องนักขายมือใหม่
จะจำคุณไปชั่วชีวิต
(และขายเก่งขึ้นด้วย)

อย่าพลาดโอกาสในการ TRANSFORM การขาย B2B Enterprise ของคุณ!

ติดต่อเราผ่าน LINE >> [] หรือสนใจถามคำถาม คอร์การขายคลิก >> [https://m.me/sales100million]

5 คำสอนที่ลูกน้องนักขายมือใหม่จะจำคุณไปชั่วชีวิต (และขายเก่งขึ้นด้วย)ว่ากันว่าคำพูดที่บ้วนออกมาจากปากคน โดยเฉพาะถ้าคุณเป...
11/07/2025

5 คำสอนที่ลูกน้องนักขายมือใหม่จะจำคุณไปชั่วชีวิต (และขายเก่งขึ้นด้วย)

ว่ากันว่าคำพูดที่บ้วนออกมาจากปากคน โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นหัวหน้าคนอื่น คำพูดคำจาทั้งดีและไม่ดีจะทำให้ลูกน้องซึมซับและจดจำคุณไปตลอดทั้งชีวิต ดังนั้นคำพูดคมๆ บางอย่างในเชิงบวกอาจสามารถเปลี่ยนความคิด ทัศนคติ หรือเปลี่ยนมุมมองด้านการขายให้กับลูกน้องได้เลย มาดูกันว่าคำพูดอะไรที่คุณสามารถใช้เป็นคำสอนที่จะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปได้ตลอดกาล ดังนี้

1. ลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้าและบริการ แต่ซื้อ "คุณค่า" ที่พวกคุณมอบให้

เป็นสิ่งแรกๆ ที่คุณควรสอนลูกน้องนักขายเพื่อไม่ให้พวกเขา "ยึดติด" กับคุณสมบัติหรือสรรพคุณของสินค้าจนเกินไป อารมณ์ประมาณคุณเป็นนักขายไอโฟนซึ่งไม่ได้ขายเทคโนโลยี แต่ขายความง่ายในการใช้งานและภาพลักษณ์ หรือคุณขายเบนซ์ที่ไม่ได้ขายนวัตกรรมหรือสมรรถนะที่ฟังยาก แต่ขายความหรูหราหรือความสำเร็จ เป็นต้น คำว่าเราขายคุณค่าจะทำให้นักขายเข้าใจและหยุดพูดถึง "สิ่งที่เรามี" แต่เป็น "สิ่งที่ลูกค้าจะได้" ทั้งเรื่องรูปธรรมและนามธรรม

คำสอนที่นักขายได้รับ: นักขายจะเลิกโฟกัสเรื่องฟีเจอร์หรือเทคนิคของสินค้า แล้วก็หลับหูหลับตานำเสนอ แต่จะสามารถแปลงคำพูดยากๆ ให้กลายเป็นภาษาที่ลูกค้าเข้าใจง่ายและเป็นการเลือกคุณสมบัติให้ตอบโจทย์ เช่น ได้คุณค่าเรื่องความสะดวกสบาย ประหยัดงบประมาณ เพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย เป็นต้น

2. คำพูดปฎิเสธของลูกค้าไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะ "ไม่ซื้อ" เสมอไป (แต่สามารถพลิกเกมได้)

นักขายมือใหม่หรือมีประสบการณ์ไม่มากมักไม่เข้าใจว่าการโดนปฎิเสธไม่ได้หมายถึงโอกาสปิดการขายที่ "ปิดตาย" เสมอไป นักขายส่วนใหญ่จึงท้อแท้และถึงขั้นเลิกเป็นนักขายเลยด้วยซ้ำ แต่หมายถึงโอกาสในการรับมือการโดนปฎิเสธอย่างสร้างสรรค์เพื่อพลิกเกมให้กลับมาปิดการขายได้ สิ่งที่ควรสอนนักขายคือการค้นหาเหตุผลที่ลูกค้าปฎิเสธ เช่น ลูกค้าอาจมีข้อโต้แย้ง ความกังวลใจ ความไม่แน่ใจ หรือแม้กระทั่งผลประโยชน์ที่ดีกว่าของคู่แข่ง เป็นต้น นักขายจะสามารถแก้เกมจากเหตุผลที่ลูกค้าให้มาได้ ผลก็คือสามารถพลิกเกมกลับมานำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมได้

คำสอนที่นักขายได้รับ: ทุกๆ การปฎิเสธของลูกค้ามักมีเหตุผลที่ซ่อนอยู่เสมอ นักขายควรพยายามตามหาเหตุผลที่แท้จริงเหล่านั้นให้ได้ เมื่อทราบถึงสาเหตุและสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด โอกาสปิดการขายก็จะกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน

3. การขายที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือการรับฟังแบบที่ปรึกษาไม่ใช่การ "ดีแต่พูดเก่ง"

เพราะนักขายมือใหม่หลายๆ คน (ผมก็เคยเป็น) มักคิดไปเองว่านักขายขั้นเทพจะต้องเป็นคนพูดเก่ง พรีเซนต์เก่ง กลายเป็นว่าการขายของคนส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่การนำเสนอที่คิดไปเองว่ายิ่งพูดมากเท่าไหร่ มีคำพูดที่เฉียบคมมากเพียงใด ลูกค้าก็มีโอกาสซื้อมากเท่านั้น แต่เปล่าเลยครับ นักขายที่ยอดเยี่ยมจะรู้ว่าการขายที่ดีคือการฟังและถามคำถามลูกค้าอย่างชาญฉลาดเพื่อเก็บข้อมูล เข้าใจความต้องการ และนำเสนอได้อย่างตอบโจทย์ด้วยความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อใจได้มากกว่า

คำสอนที่นักขายได้รับ: นักขายจะรู้ดีว่าการขายขั้นสูงควรถามคำถามลูกค้าให้ครอบคลุม ตรงประเด็น และตั้งใจฟังลูกค้าเกี่ยวกับความต้องการ ความท้าทาย ปัญหาที่ลูกค้าเผชิญหน้าอยู่ จากนั้นก็เลือกนำเสนอคุณสมบัติที่ตอบโจทย์มากที่สุดเพื่อประหยัดเวลาและน่าเชื่อถือ

4. ความสัมพันธ์ระยะยาว สำคัญกว่า เทคนิคปิดการขายระยะสั้น

เหล่านักขายและนักธุรกิจย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดคือ "การซื้อซ้ำ" ของลูกค้า ซึ่งต้องตอกย้ำด้วยความสัมพันธ์ในระยะยาว เพื่อไม่ให้นักขายเอาแต่โฟกัสคำพูดเด็ดๆ เทคนิคโดนๆ หรือวิธีบงการลูกค้าเพื่อเร่งรัดยอดขายระยะสั้น เช่น โปรโมชั่น การหลอกล่อ ฯลฯ โดยไม่สนใจเรื่องระยะยาวอย่างบริการหลังการขาย จะทำให้ได้ยอดขายเพียงไม่กี่ครั้งหรือแค่ครั้งเดียวแต่ขาดความยั่งยืน เสียโอกาสในการซื้อซ้ำ บอกต่อ ดังนั้นการขายในยุคนี้ควรเน้นการดูแลหลังการขายเพื่อโอกาสที่ยั่งยืนกว่า

คำสอนที่นักขายได้รับ: อย่ามัวแต่จ้องปิดการขายเพียงแค่ดีลที่อยู่ตรงหน้าแล้วตั้งหน้าตั้งตาปิดการขายกับลูกค้าใหม่ไปเรื่อยๆ แต่จงโฟกัสลูกค้าปัจจุบันที่ซื้อเราแล้วและทรงคุณค่าในการสร้างโอกาสซื้อซ้ำจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

5. คุณคือที่ปรึกษา ไม่ใช่แค่ "คนขายของ"

คำสอนนี้สามารถยกระดับนักขายที่ไม่เป็นต้องไปทำงานองค์กรระดับโลก ต่อให้เป็นแค่ระดับ อบต. นักขายก็จะกลายเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง คำว่าที่ปรึกษาฯ มีแก่นแท้ที่สำคัญคือความเป็นผู้เชี่ยวชาญจริง สามารถแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าและให้คำแนะนำที่ถูกต้อง ซื่อสัตย์ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องข้อด้อยก็สามารถบอกลูกค้าได้แบบตรงไปตรงมา เมื่อลูกค้ามองนักขายแบบที่ปรึกษา พวกเขาจะให้เกียรตินักขายและไม่กาหัวว่าเป็นพวก "เซลล์แมน" จอมตื๊อ พูดมาก กะล่อน ซึ่งแคแรคเตอร์ของที่ปรึกษาทุกอาชีพนั้นมันคนละเรื่องกับบรรดาเซลล์ขายของดาดๆ เลยทีเดียว

คำสอนที่นักขายได้รับ: นักขายที่แท้จริงจะสามารถให้ความรู้ ให้คำแนะนำ และช่วยลูกค้าแก้ปัญหา ราวกับว่าคุณคือผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ปรึกษาให้ลูกค้าได้จริงๆฃ

คำสอนเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดสวยหรู แต่คือหลักคิดที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของนักขายผู้ประสบความสำเร็จ และเป็นเข็มทิศนำทางให้พวกเขาเติบโตในสายอาชีพนี้อย่างมั่นคงครับ

10/07/2025

5 วลีเด็ดๆ ที่เปลี่ยนการถูกลูกค้าปฎิเสธให้เป็น "ปิดการขาย"

อย่าพลาดโอกาสในการ TRANSFORM การขาย B2B Enterprise ของคุณ!

ติดต่อเราผ่าน LINE >> [] หรือสนใจถามคำถาม คอร์การขายคลิก >> [https://m.me/sales100million]

5 วลีเด็ดๆ ที่เปลี่ยนการถูกลูกค้าปฎิเสธให้เป็น "ปิดการขาย"วลีหรือคำพูดโดนๆ ส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยเขียนเป็นเทคนิคอะไรมากนะคร...
10/07/2025

5 วลีเด็ดๆ ที่เปลี่ยนการถูกลูกค้าปฎิเสธให้เป็น "ปิดการขาย"

วลีหรือคำพูดโดนๆ ส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยเขียนเป็นเทคนิคอะไรมากนะครับ เพราะส่วนใหญ่กว่าจะปิดดีลได้มันต้องมีอะไรมากกว่าคำพูดคมๆ หล่อๆ หรือการนำเสนอขั้นเทพอย่างแน่นอน และทุกอย่างต้องเริ่มจากกระบวนการขายที่ถูกต้องและเนี้ยบมาตั้งแต่แรกด้วย แต่ก็มีบางสถานการณ์โดยเฉพาะช่วงใกล้ปิดการขายที่ผมโอเคสำหรับการเลือกใช้วลี คำพูด ซึ่งบางครั้งสามารถเปลี่ยนโอกาสที่กำลังโดนปฎิเสธให้เป็นการปิดการขายได้เลย มาดูกันว่ามีคำพูดหรือวลีอะไรดีๆ พร้อมตัวอย่างกันบ้าง ดังนี้ครับ

1. วลีที่เกี่ยวกับการเห็นอกเห็นใจลูกค้าแล้วสร้างฟีลลิ่งคล้อยตาม จากนั้นให้อ้างลูกค้าหรือผลงานที่ผ่านมา

ตัวอย่างเช่น: "ผมเข้าใจครับ ลูกค้าหลายคนก็รู้สึกแบบนั้น...(เช่น ราคาแพง) แต่สิ่งที่ลูกค้าส่วนใหญ่ได้รับก็คือ... (ประโยชน์เจ๋งๆ พร้อมอ้างผลงาน)"

คำพูดนี้ทรงพลังเพราะทำให้เรา "อยู่ฝ่ายเดียวกับลูกค้า" ลองคิดดูสิครับว่าถ้าคุณพูดสั่วๆ ไป เช่น "ราคานี้ไม่แพงนะครับ" "ราคานี้ปกติครับ" "คนอื่นเขาก็ซื้อกันราคานี้แหละครับ" ฯลฯ มันเหมือนกับการ "ถีบลูกค้า" ไปอยู่ฝั่งตรงข้ามและเอาความรู้สึกของคนอื่นมาอ้างแทนความรู้สึกของลูกค้า แค่นี้ก็โดนปฎิเสธแบบเห็นๆ แล้ว

สถานการณ์ที่ควรใช้: ลูกค้าบอกว่า "ราคาแพงกว่าที่คิด...ผมว่าผมเอาตัวถูกดีกว่า"

คุณ: "ผมเข้าใจครับ ลูกค้าหลายคนก็รู้สึกแบบนั้นตอนแรก แต่สิ่งที่ลูกค้าส่วนใหญ่ได้หลังจากตัดสินใจซื้อก็คือความคุ้มค่าและผลลัพธ์ระยะยาวที่ได้รับ สินค้าตัวนี้ช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพได้มากกว่าที่คิดครับ"

2. วลีที่ช่วยลูกค้า "แยกแยะ" ถึงความกังวลหรือความต้องการที่ซ่อนอยู่ (ขั้นสูง)

ตัวอย่างเช่น: "ถ้าสมมติว่า (ข้อกังวลของลูกค้า เช่น ราคา การติดตั้ง การชำระเงิน ฯลฯ) ไม่ใช่ปัญหา ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อเลยไหมครับ"

คำพูดนี้มีพลังในการแยกแยะความกังวลหรือความต้องการที่ซ่อนอยู่ (หรือแท้จริง) เพราะบางครั้งลูกค้ามักมีความกังวลหลายๆ อย่างร่วมกัน เช่น ไม่เคยซื้อมาก่อน ความเสี่ยง ฯลฯ การถามแบบนี้จะทำให้คุณรู้ความกังวล (หรือความต้องการ) ที่แท้จริงของลูกค้า เพื่อสร้างโอกาสให้คุณเสนอหนทางแก้ไขปัญหาหรือทำให้พวกเขาสบายใจมากขึ้น กระตุ้นการตัดสินใจได้ดีขึ้น

สถานการณ์ที่ควรใช้: ลูกค้าบอกว่า "ผมยังไม่แน่ใจเรื่องฟังก์ชันการทำงานของโซลูชั่นนี้เพราะไม่เคยใช้มาก่อน มันจะซับซ้อนเกินเบอร์ไปไหม"

คุณ: "ถ้าสมมติว่าเรื่องความซับซ้อนในการใช้งานไม่ใช่ปัญหา และมีทีมงานของเราคอยสอนและสนับสนุนคุณลูกค้าอย่างเต็มที่ ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อเลยไหมครับ"

3. วลีคำถามที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าเป็นฝ่ายพูดช่วงตัดสินใจซื้อหรือเวลาบอกว่าขอคิดดูก่อน

ตัวอย่างเช่น: "มีอะไรที่ผมสามารถชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจซื้อได้บ้างไหมครับ เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น"

ความยอดเยี่ยมของวลีนี้คือเป็นการกระตุ้นด้วยคำถามปลายเปิด ทำให้ลูกค้าได้คิดหรือพูดสิ่งที่กังวลใจ ความต้องการ โดยเฉพาะเรื่องข้อโต้แย้งบางอย่างเพื่อให้เราได้เคลียร์ในขั้นตอนสุดท้ายหรือให้ความช่วยเหลือก่อนตัดสินใจซื้อ ดีกว่าการยัดเยียดหรือรีบปิดการขายด้วยโปรโมชั่นเป็นอย่างมาก

สถานการณ์ที่ควรใช้: จู่ๆ ลูกค้าบอกในช่วงท้ายๆ ว่า "ยังไงผมขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน"

คุณ: "มีอะไรที่ผมสามารถชี้แจงหรือช่วยเหลือเพิ่มเติมได้บ้างไหมครับ เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น หรือมีข้อสงสัย กังวลใจตรงไหนที่ผมยังไม่ได้อธิบายให้เข้าใจครับ" --- รับรองว่าลูกค้าจะเป็นฝ่ายพูดความในใจนั้นออกมาเพื่อให้คุณเคลียร์แล้วปิดการขายได้แน่นอน

4. วลีหรือคำพูดที่ตอกย้ำว่าลูกค้าจะได้คุณค่าและประโยชน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการ

ตัวอย่างเช่น: "ลูกค้าต้องการที่จะได้รับ (ประโยชน์หลักหรือผลลัพธ์ที่ลูกค้าต้องได้) ใช่ไหมครับ"

หลายครั้งที่ลูกค้าปฎิเสธเพียงเพราะพวกเขาลืมไปว่าทำไมถึงสนใจสินค้าและบริการของคุณตั้งแต่แรก การย้ำถึงประโยชน์หลักที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า จะช่วยให้พวกเขากลับมาโฟกัสที่ "สิ่งที่พวกเขาจะได้" แทนที่จะเป็น "ปัญหาที่พวกเขาเจอ"

สถานการณ์ที่ควรใช้: ลูกค้ารับฟังการนำเสนอและรับชมการสาธิตสินค้าแล้วจู่ๆ ดันพูดว่า "ราคาสูงเกินงบฯ ที่ผมตั้งไว้"

คุณ: "ลูกค้าต้องการที่จะได้รับโซลูชั่นที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง 30% ในปีหน้าใช่ไหมครับ โซลูชั่นของเราถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เหล่านั้นที่ลูกค้าต้องการโดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยให้คืนทุนเร็วกว่าที่ลูกค้าคิดครับ" --- วลีนี้เป็นการเน้นว่าของของเราอาจจะแพงจริง แต่ตอบโจทย์เรื่องการลดค่าใช้จ่ายที่ลูกค้าต้องการอย่างแน่นอน

5. วลีที่ช่วยรักษาโอกาสในการขายและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวตอนที่กำลังโดนปฎิเสธ

ตัวอย่างเช่น: "ผมเข้าใจลูกค้าดีครับว่าอาจจะยังไม่พร้อมในตอนนี้ แต่ถ้ามองในระยะยาวและถ้าผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับลูกค้าในอนาคต การลงทุนในสินค้าและบริการของผม จะช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างแน่นอน"

วลีนี้ควรใช้เมื่อลูกค้า "ยืนกราน" ว่ายังไม่ซื้อ ซึ่งคุณจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปแบบไม่ทำอะไร การใช้คำพูดดีๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์และความทรงจำดีๆ ในระยะยาวจะเป็นการปลูกเมล็ดพันธุ์เพื่อรอจนกว่าโอกาสนั้นจะมาถึง คุณก็จะสามารถกลับมาปิดการขายลูกค้าได้ในที่สุด

สถานการณ์ที่ควรใช้: ลูกค้าบอกว่า "ตอนนี้เราต้องขอเลื่อนโปรเจ็คออกไปก่อน มีโครงการอื่นๆ ที่สำคัญกว่าครับ"

คุณ: "ผมเข้าใจดีว่าช่วงนี้ลูกค้าอาจจะยังไม่พร้อม แต่ถ้ามองในระยะยาว การลงทุนในระบบ CRM ของเราจะช่วยให้ลูกค้าบริหารจัดการลูกค้ากับทีมขายได้เป็นระบบมากขึ้น ช่วยเพิ่มยอดขายได้ในอนาคต และไม่พลาดโอกาสทางธุรกิจสำคัญเลยนะครับ เมื่อลูกค้าพร้อมเมื่อไหร่ ผมยินดีที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมและร่วมงานกันอีกครั้งครับ"

การใช้ 5 วลีเหล่านี้ต้องอาศัยการฟังอย่างตั้งใจ การจับประเด็น ฝึกฝนจากประสบการณ์จริง และการสื่อสารอย่างจริงใจ ฝึกฝนบ่อยๆ แล้วคุณจะพบว่าคำปฏิเสธไม่ใช่จุดจบเสมอไป แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสนทนาเพื่อปิดการขายเลยก็ว่าได้ครับ

09/07/2025

ทำไมไวน์แดง ถึงเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้คุณปิดดีลเทพได้

อย่าพลาดโอกาสในการ TRANSFORM การขาย B2B Enterprise ของคุณ!

ติดต่อเราผ่าน LINE >> [] หรือสนใจถามคำถาม คอร์การขายคลิก >> [https://m.me/sales100million]

ทำไมไวน์แดง ถึงเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้คุณปิดดีลเทพได้จริงอยู่ที่การพาลูกค้าไปกินเหล้า ย่อมเปิดโอกาสให้คุณ "ปิดการขาย" แล...
09/07/2025

ทำไมไวน์แดง ถึงเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้คุณปิดดีลเทพได้

จริงอยู่ที่การพาลูกค้าไปกินเหล้า ย่อมเปิดโอกาสให้คุณ "ปิดการขาย" และสร้างความสำคัญได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะถ้าคุณพาไปที่ดีๆ ฟีลดี แดกเสร็จถึงขั้น "กอดคอกับลูกค้า" ออกมาจากผับได้เลย (ฮา) ซึ่งเอาแค่เหล้าหรือเบียร์มันยังน้อยเกินไปครับ เพราะถ้าคุณทำดีลระดับสูง เจอผู้หลักผู้ใหญ่ การดื่ม "ไวน์แดง" ต่างหากที่เป็นสุดยอดเครื่องดื่มเอาไว้ทำมาหากินเพื่อปิดดีลเลยก็ว่าได้ มาดูเหตุผลดีๆ จากผมว่าทำไมไวน์แดงถึงสุดยอดปานนั้นกันครับ

1. ไวน์แดงเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและความสำเร็จ

ไวน์แดงไม่ว่าจะประเทศไหน เอาแค่กาแปะขวดก็ดูหรูแล้วครับ เพราะมันบ่งบอกถึงที่มาที่ไปว่ามาจากประเทศไหนบ้าง แค่เป็นภาษาฝรั่งเศส อิตาลี ก็ดูหรูหราขึ้นมาทันที ที่สำคัญคือถ้าคุณดื่มเป็น เลือกเป็น หรือรู้จักความเป็นมาของไวน์ก็ย่อมทำให้คุณ "ดูฉลาดขึ้น" เล่าเรื่องได้แบบเป็นตุเป็นตะเพราะมีเรื่องราวดีๆ เสมอ มันจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จที่บ่งบอกว่าคุณกับลูกค้ากำลังเชื่อมโยงต่อกันและคุณเองก็จะทำให้ลูกค้าประสบความสำเร็จไปพร้อมๆ กันครับ

2. บรรยากาศของการดื่มไวน์มักผ่อนคลายและพิเศษกว่าเหล้าหรือเบียร์

เพราะร้านไวน์ดีๆ หรือห้องอาหารอิตาลีหรูๆ ย่อมมีบรรยากาศที่ "เหนือระดับ" บรรยากาศเงียบสงบ ผู้คนดูดีไม่พลุกพล่าน ต่างกับผับ บาร์ ร้านลาบ หมูกะทะ ที่เสียงดังอึกทึก ขี้เมาพูดมาก มันจึงทำให้ฟีลลิ่งการเจรจาธุรกิจราบรื่นขึ้นอย่างมาก ลดความตึงเครียดจากงานด้วยแอลกอฮอล์ที่ดื่มได้เรื่อยๆ ไม่อืดเหมือนเบียร์ ไม่เมาหัวทิ่มเหมือนเหล้า ผลก็คือลูกค้าเปิดใจคุยและมีความสัมพันธ์กับเราได้ดีขึ้น

3. ทำให้คุณดูเป็นคนที่ใส่ใจและพิถีพิถัน

การเลือกไวน์ที่เหมาะสมกับโอกาสและเหมาะสมกับคู่ค้าแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและความพิถีพิถัน สิ่งนี้สามารถสร้างความประทับใจที่ดีและสื่อให้เห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ที่สำคัญคือการเลือกอาหารที่ต้องแมทช์กับไวน์แดง เช่น สเต๊กเนื้อชั้นเลิศ ปลาแซลม่อน หรือบูรัตต้าสลัดและซีฟู๊ดแบบจัดเต็ม

4. สร้างความทรงจำที่ดี (พร้อมเทคนิคปิดดีล)

การปิดดีลด้วยการดื่มไวน์เป็นการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองความสำเร็จร่วมกัน สิ่งนี้สามารถช่วยเสริมสร้างความผูกพันในระยะยาวได้เป็นอย่างดี เทคนิคปิดดีลนั้นก็โคตรง่ายคือตอนเรากับลูกค้าดื่มกันแบบกึ่มๆ ก็ขอชนแก้วแล้วบอกลูกค้าไปตรงๆ ว่าเราอยากเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จจึงขอชนแก้วและฉลองจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการค้า เพียงแค่นี้ก็ได้งานแล้วครับ (แต่บรรยากาศ อาหาร และไวน์ต้องเตรียมมาดีตั้งแต่ต้น)

5. วิธีการเลือกไวน์

ถ้าเป็นดีลสำคัญมากก็สามารถเลือกไวน์ชั้นเลิศโดยให้ร้านแนะนำให้ ราคามักเป็นตัวบอกความเทพของไวน์ ควรเลือกราคา 3-5 พัน โดยประมาณ ไม่จำเป็นต้องเลือกไวน์เป็นหมื่น แต่ถ้าเป็นดีลทั่วๆ ไป เลือกไวน์ขวดละพันก็พอแล้วครับ ประเทศอะไรก็ได้ ยอดนิยมก็คงหนีไม่พ้น ฝรั่งเศส อิตาลี ชิลี อเมริกา อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย ครับ

การเลือกไวน์ที่เหมาะสมไม่ใช่แค่การเลือกเครื่องดื่ม แต่เป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจ รสนิยม และความเคารพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างและปิดดีลทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จครับ

08/07/2025

ทำอย่างไรให้ลูกน้อง
"อิน"
กับแพชชั่น
และวิสัยทัศน์
ในการทำธุรกิจ
เหมือนกับเรา

ติดต่อเราผ่าน LINE >> [] หรือสนใจถามคำถาม คอร์การขายคลิก >> [https://m.me/sales100million]

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66633987999

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Sales100Million - กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้านผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Sales100Million - กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้าน:

แชร์