Sales100Million - กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้าน

Sales100Million - กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้าน Sales Trainer และ Blogger การขายแบบ B2B Enterprise ระดับประเทศ อันดับหนึ่งด้านบทความการขาย ฟรี

เพจนี้จัดทำขึ้นมาเพื่อแชร์ความรู้และประสบการณ์ทางการขายแบบ B2B (Business-to-Business)

มอบให้เพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์กับผู้ที่ประกอบอาชีพที่เกี่ยวกับการขาย นักธุรกิจ เจ้าของกิจการและผู้สนใจทุกท่าน

เพื่อสร้างแหล่งข้อมูลความรู้เชิง How-to ที่จับต้องได้ ใช้ได้จริง สร้างธุรกิจและอนาคตทางการงานได้อย่างยั่งยื่น

เทคนิคขั้นสูง สำหรับการสัมภาษณ์งานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย (มีโอกาสได้งานเพิ่มขึ้น 80%)ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายคือ "ก้าวสำ...
28/10/2025

เทคนิคขั้นสูง สำหรับการสัมภาษณ์งานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย (มีโอกาสได้งานเพิ่มขึ้น 80%)

ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายคือ "ก้าวสำคัญ" สำหรับการหลุดพ้นความเป็นนักขายแบบ "หมาป่าเดียวดาย" มาเป็นฝ่ายบริหารระดับเริ่มต้น ความยอดเยี่ยมของตำแหน่งนี้คือ "อำนาจ" ที่เหนือกว่าการเป็นนักขายธรรมดาๆ และการพัฒนาตัวเองไปเป็นผู้บริหารระดับสูง ซึ่งข่าวดีก็คือนักขายระดับท็อปหลายๆ คน "หวาดกลัว" ตำแหน่งนี้กันมากๆ สาเหตุก็คงหนีไม่พ้นความไร้ประสบการณ์และบริหารคนอื่นไม่เป็น ดังนั้นถ้าคุณกำลังได้รับโอกาสนี้หรืออยากเปลี่ยนสายงานและต้องสัมภาษณ์งานกับฝ่ายบริหาร นี่คือเทคนิคชั้นสูงที่คุณควรรู้ก่อนไปเจอของจริง ดังนี้ครับ

1. เข้าใจให้ลึกซึ้งถึงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายเพื่อการตอบคำถามที่ถูกต้อง

จำไว้เสมอว่าตำแหน่งนี้เป็นงานบริหารอย่างแท้จริง ผู้สัมภาษณ์จะไม่ได้สนใจมากนักว่าคุณไปปิดดีลเทพที่ไหนมาบ้าง เพราะทุกอย่างมักเป็น "การทำงานคนเดียว" คุณต้องเข้าใจเสมอว่าผู้สัมภาษณ์อยากให้คุณเป็นทั้งโค้ช นักวางแผนการขาย ไปจนถึง "คุณครู" จอมโหดที่คอยเคี่ยวเข็ญพนักงานขายด้วยระเบียบวินัย จงแสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็นถึงไมนด์เซ็ตและความกระตือรือร้นว่าคุณสามารถทำงานเหล่านี้ได้ (ซึ่งต้องรับปากและทำได้จริง) ถ้าคุณมีประสบการณ์ในการคุมทีม เป็นพี่เลี้ยง หรือเป็นหัวหน้าทีมมาก่อนจะได้เปรียบมากๆ ครับ

2. มุ่งเน้นการสัมภาษณ์ที่แสดงออกถึง "ความเข้มงวด"

ทุกคำตอบจะต้องเน้นไปที่ "การเขี่ยวเข็ญ" เรื่องวินัยหรือ KPI ของทีมขาย บอกเลยนะครับว่าชั่วโมงนี้องค์กรไม่ต้องการ "ผู้จัดการฝ่ายขายผู้ใจดี" อีกต่อไปแล้ว ตำแหน่งนี้คุณต้องเข้าใจว่านักขายส่วนใหญ่ทำงานแบบ "บินเดี่ยว" ดูแลลูกค้าของใครของมันกันอยู่แล้ว ไม่ได้มีความสามัคคีหรือมิตรภาพอะไรขนาดนั้น พวกเขาจะต้องถูกคุณควบคุมกิจกรรมด้านการขาย เข้าพบลูกค้า และทุกอย่างจะต้องอยู่ในวินัย สปีด เฉียบขาด เมื่อถูกถามถึงสไตล์การบริหารคน คุณจะต้องโชว์กึ๋นและคำตอบที่เน้นเรื่องความเข้มงวดออกมาครับ

3. มีคำตอบเกี่ยวกับกลยุทธการบริหารทีมให้ประสบความสำเร็จอยู่ในหัว

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คุณต้องเข้าใจและตอบให้ชัดเจนว่าทำไมคุณถึงเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ เหตุผลเต็มๆ ก็คือคุณจะเข้ามาวางกลยุทธการขาย ซึ่งต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ดังนี้ครับ

- การสร้างระบบทีมขายที่วัดผลได้ ทุกคนทำงานได้เหมือนๆ กัน ซึ่งก็คือ Sales Process ไล่ตั้งแต่การหาลีด กระจายลีด ไปจนถึงการเข้าพบลูกค้า นำเสนอขาย ติดตามงาน สาธิต ต่อรองเจรจาและปิดการขายกับดูแลหลังการขาย ซึ่งนักขายจะต้องดูแล Account และ Key Account ของตัวเองเป็นสำคัญครับ

- การสร้างระบบโค้ชชิ่งพนักงานขาย เช่น การจัดทำโปรแกรมอบรมพนักงานขาย ทักษะการขาย Product Training และการสร้าง Sales Playbook ที่ทำให้นักขายทำงานอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน เป็นต้น

- การนำเข้าระบบหรือ Platform Sales Tools ช่วยขาย เช่น การติดตั้งหรือเป็นเจ้าของโปรเจค CRM ช่วยขาย การใช้ AI เข้ามาเป็นผู้ช่วยให้กับพนักงานขาย เป็นต้น

- การคิดกลยุทธในการเพิ่มรายได้ให้กับทีมและองค์กร เช่น การทำ Account Planning + Action Plan ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงกิจกรรมในการขายเพิ่ม หาลูกค้าใหม่เพิ่ม หรือหา Business Partner ช่วยขายเพิ่ม เป็นต้น

4. มีแผนงานระยะสั้นและระยะยาวในการเข้ามาพัฒนาทีมขาย

ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายคือตำแหน่งที่จะกำหนดทิศทางของทีม การแสดงให้เห็นว่าคุณได้ศึกษาบริษัทที่สัมภาษณ์มาเป็นอย่างดี และมีแผนงานที่ชัดเจนจะสร้างความประทับใจอย่างมาก เช่น การรับฟังและวิเคราะห์ (ช่วง 30 วันแรก) เน้นการสัมภาษณ์ ผู้ขายทุกคน เพื่อเข้าใจ Pain Points, ตรวจสอบ Sales Pipeline และ CRM Data ต่อมาคือการวางกลยุทธ์ (30 วันถัดไป) เช่น นำข้อมูลมาสร้าง Sales Playbook (คู่มือการขาย) ฉบับใหม่ และกำหนด KPIs ที่เน้น กิจกรรม ที่ส่งผลต่อยอดขายจริง (Leading Indicators) และการนำไปใช้กับการโค้ชชิ่ง (30 วันสุดท้าย) เช่น การจัด Role-Playing Workshop และเริ่ม One-on-One Coaching ที่เน้นการปิดจุดอ่อนที่พบสำหรับนักขายแต่ละคน

นี่คือหัวใจสำคัญในการสัมภาษณ์งานระดับผู้บริหารฝ่ายขายจากผมครับ

=====================
ติดต่อเราสำหรับบริการเหล่านี้
Global Sales System Consulting Services - บริการให้คำปรึกษาการวางแผนทีมขายครบวงจร
𝗖𝗹𝗶𝗰𝗸 𝗟𝗶𝗻𝗸 : https://www.sales100million.com/in-house-corporate-training/
𝗧𝗲𝗹. : 063-398-7999
𝗟𝗶𝗻𝗲@ :
Facebook 𝗜𝗻𝗯𝗼𝘅 : https://m.me/sales100million
สามารถติดตามอ่านบทความมากกว่า 3,000 บทความ ของ Sales100Million ได้ที่ https://www.sales100million.com/
อีกหนึ่งช่องทางสำหรับติดตามฟัง Podcast Sales100Million ได้ที่
𝗬𝗼𝘂𝗧𝘂𝗯𝗲 : https://www.youtube.com/
𝗧𝗶𝗸𝗧𝗼𝗸 : https://www.tiktok.com/

27/10/2025

วิธีการเลือกบริษัทฯ
ที่ทำให้นักขาย
ได้ผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยม
ค่าตัวหลักแสน
(โดยคนที่เคยได้สามแสน)

=====================
ติดต่อเราสำหรับบริการเหล่านี้
Global Sales System Consulting Services - บริการให้คำปรึกษาการวางแผนทีมขายครบวงจร
𝗖𝗹𝗶𝗰𝗸 𝗟𝗶𝗻𝗸 : https://www.sales100million.com/in-house-corporate-training/
𝗧𝗲𝗹. : 063-398-7999
𝗟𝗶𝗻𝗲@ :
Facebook 𝗜𝗻𝗯𝗼𝘅 : https://m.me/sales100million
สามารถติดตามอ่านบทความมากกว่า 3,000 บทความ ของ Sales100Million ได้ที่ https://www.sales100million.com/
อีกหนึ่งช่องทางสำหรับติดตามฟัง Podcast Sales100Million ได้ที่
𝗬𝗼𝘂𝗧𝘂𝗯𝗲 : https://www.youtube.com/
𝗧𝗶𝗸𝗧𝗼𝗸 : https://www.tiktok.com/

ทำไมอาชีพนักขายหรือเซลล์แมน ถึงเป็นอาชีพที่ยอดเยี่ยมที่สุด (ถ้าไม่นับอาชีพเทพ)จากหัวข้อบทความในวันนี้ ผมขอถามนะครับว่าท่...
27/10/2025

ทำไมอาชีพนักขายหรือเซลล์แมน ถึงเป็นอาชีพที่ยอดเยี่ยมที่สุด (ถ้าไม่นับอาชีพเทพ)

จากหัวข้อบทความในวันนี้ ผมขอถามนะครับว่าท่านผู้อ่าน "เห็นด้วย" กับผมมั้ย ว่าอาชีพนักขายนั้นยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าไม่นับอาชีพเทพหรืออาชีพที่เข้ายากมากๆ เช่น หมอ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ วิศวกรตัวท็อป โปรแกรมเมอร์เอไอ ผู้พิพากษา​ ฯลฯ ซึ่งถึงตรงนี้ผมก็ยังเชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่าอาชีพเซลล์แมนนั้นมันยอดเยี่ยมที่สุดยังไงกัน (วะ) ดูเหมือนเป็นงานตื๊อคน แรงกดดันสูง ทำไม่ได้ก็โดนไล่ออก ซึ่งบทความนี้นี่แหละครับที่จะทำลายความเชื่อทุกอย่างและผมก็ยังยืนยันว่าอาชีพนี้ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ดี ดังนี้ครับ

1. AI แทนนักขายระดับสูง (โดยเฉพาะ B2B) ไม่ได้ชัวร์ๆ

อาชีพอื่นโดน AI "ฆ่า" ไปสารพัด แต่อาชีพเซลล์แมน โดยเฉพาะเหล่าเซลล์แมนในวงการระดับสูง เช่น วิศวกรรม ก่อสร้าง ไอที ราชการ การแพทย์ ฯลฯ ก็ยังเป็นการขายแบบ "คนกับคน" และสร้างความสัมพันธ์กันอยู่ "วันยังค่ำ" ชาตินี้ AI ไม่สามารถแทนคนเรื่องความรู้สึก ความชอบ ความลำเอียง หรือแม้กระทั่งอคติได้อย่างแน่นอน หรือเอาง่ายๆ อย่างงานขายประกันที่คุณก็ยังไว้ว่างใจในการซื้อกับ "คนรู้จัก" อยู่ดี คนที่ทำสายงานขายจึงสบายใจ ทุกอย่างผ่านฉลุย ขอให้อยู่ในวงการที่โตเรื่องๆ ยังไงก็รอดครับ

2. โอกาสในการสร้างรายได้เกินขีดจำกัด

เกินขีดจำกัดในฐานะ "ลูกจ้าง" เลเวลเหมือนๆ กัน แน่นอน ไม่มีแผนกไหนที่ "ทำมากได้มาก" ผลงานตามฝีมือ เท่ากับอาชีพเซลล์แมนอีกแล้วครับ รายได้พร้อมค่าคอมมิชชั่นสูงกว่าอาชีพอื่นๆ ในบริษัทคุณอย่างแน่นอน แถมยังวัดผลง่ายตามยอดขาย ตามปรัชญา "ทำมากได้มาก" ยิ่งการขายที่ไม่มีเพดานรายได้ เช่น ขายประกัน ขายตรง ฯลฯ คุณสามารถสร้างรายได้ตามฝีมือแบบไร้ขีดจำกัดตามความขยันครับ ตรงกันข้ามกับอาชีพอื่นๆ ที่ขยันแทบตายแต่โดนประเมินออกมาก็ไม่ได้เงินเพิ่มแต่อย่างใด ลุ้นแต่โบนัสแต่ละปีไปวันๆ ถ้ารักความก้าวหน้าและวัดผลตามฝีมือจริง อาชีพนี้ยังไงก็ตอบโจทย์ครับ

3. สร้างคอนเนคชั่นดีๆ ได้ทุกวันแบบไม่ต้องเกิดมามีบุญมาก่อน

ใครจะบอกว่าคอนเนคชั่นต้องลงทุนเสมอ ผมไม่เถียงครับ หลายๆ คนส่งลูกไปเรียนนานาชาติ ลงทุนเรียนเมืองนอก ซื้อหลักสูตรคอนเนคชั่นราคาแพง ผมนี่โคตรตลกเลยว่าต้องใช้เงินขนาดนั้น แถมถ้าทำงานไม่ตรงหรือให้ผลประโยชน์กับคนอื่นไม่ได้ คุณรู้จักคอนเนคชั่นไปก็เท่านั้น แต่อาชีพเซลล์แมนนี่โคตรดีคือวันๆ คุณจะได้เจอลูกค้าหน้าใหม่ทุกวัน (แถมเอาเงินมาให้คุณ) แถมยังรู้จักมากมายหลายระดับตั้งแต่จัดซื้อยัน CEO เลยด้วยซ้ำ คอนเนคชั่นพวกนี้ดันเป็น "แต้มบุญ" เวลาคุณย้ายบริษัทก็ได้เงินเดือนเพิ่มหรือออกไปทำธุรกิจส่วนตัวก็ทำได้ง่ายเพราะรู้จักลูกค้า ที่สำคัญคือบริษัทเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้เราอีกต่างหาก

4. เส้นทางสู่การเป็นเจ้าของกิจการจากตำราชีวิต

สังเกตไหมว่าทำไมคนทั่วไปถ้าอยากทำธุรกิจก็หนีไม่พ้นธุรกิจพื้นฐาน เช่น เปิดร้านกาแฟ ร้านอาหาร ซื้อแฟรนไชส์ ฯลฯ แล้วสุดท้ายก็เจ๊ง หลักๆ เลยคือพวกเขาไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจระดับสูงกว่าที่คู่แข่งน้อยนั้นทำอย่างไร ขายอะไร ลูกค้าคือใคร แต่อาชีพนักขายนั้นเห็นทั้งหมดครับ รู้ว่ากลุ่มลูกค้าเฉพาะคือใคร แถมยังรู้ว่าต้องไปขายใคร มีคอนเนคชั่น รู้ว่าใครเป็นพาร์ทเนอร์ ซัพพลายเออร์ จัดซื้อ ฯลฯ ทำให้นักขายขั้นเทพหลายๆ คนออกไปตั้งบริษัทตัวเองก็สามารถทำได้ดี คู่แข่งเทียบชั้นน้อย ขนาดพวกลูกทายาทเวลาจบเมืองนอกมายังถูกส่งไปอยู่ฝ่ายขายเลยครับ เพราะได้เรียนรู้ลูกค้าและได้ผลงานเร็วที่สุด

5. ได้พัฒนาทักษะ Soft Skills ที่ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข

คุณสามารถเอาสกิลนักขายไปใช้กับชีวิตส่วนตัวได้เลย โดยเฉพาะทักษะการสื่อสารที่นุ่มนวล เห็นอกเห็นใจ เข้าใจผู้อื่น เวลาคุณทำอะไรกับลูกค้าได้ดีก็สามารถเอาไปทำกับคนใกล้ตัวได้เลย อย่างเช่นทักษะการเจรจาต่อรองและโน้มน้าวใจที่ทำให้แก้ปัญหาชีวิตได้ง่ายกว่าคนอื่น เข้ากับใครก็ง่าย ไปสังคมไหนๆ ใครก็ชอบเพราะวางตัวเป็น (เรียนรู้จากชีวิตจริงมาเยอะ) แถมยังแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เก่งเพราะโลกแห่งการขายมักมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ต้องใช้ไหวพริบสูงอยู่เสมอ แถมยังเข้าใจหลักการของการทำธุรกิจได้ดีอีกด้วยครับ

สรุปคือ อาชีพนักขายมอบ "อิสรภาพ" ในการกำหนดรายได้และ "โอกาส" ในการพัฒนาตัวเองในทุกด้าน ซึ่งน้อยอาชีพนักจะให้สิ่งเหล่านี้ได้พร้อมๆ กันในระดับที่ไม่ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษาหรือตำแหน่งงานเริ่มต้นมากเท่าอาชีพอื่นๆ ครับ

=====================
ติดต่อเราสำหรับบริการเหล่านี้
Global Sales System Consulting Services - บริการให้คำปรึกษาการวางแผนทีมขายครบวงจร
𝗖𝗹𝗶𝗰𝗸 𝗟𝗶𝗻𝗸 : https://www.sales100million.com/in-house-corporate-training/
𝗧𝗲𝗹. : 063-398-7999
𝗟𝗶𝗻𝗲@ :
Facebook 𝗜𝗻𝗯𝗼𝘅 : https://m.me/sales100million
สามารถติดตามอ่านบทความมากกว่า 3,000 บทความ ของ Sales100Million ได้ที่ https://www.sales100million.com/
อีกหนึ่งช่องทางสำหรับติดตามฟัง Podcast Sales100Million ได้ที่
𝗬𝗼𝘂𝗧𝘂𝗯𝗲 : https://www.youtube.com/
𝗧𝗶𝗸𝗧𝗼𝗸 : https://www.tiktok.com/

26/10/2025

ทำไมอาชีพนักขาย
ถึงเป็นไม่กี่งาน
ที่ต้องบอกเลยว่ายุคนี้
ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
(AI ฆ่าไม่ได้)=====================
ติดต่อเราสำหรับบริการเหล่านี้
Global Sales System Consulting Services - บริการให้คำปรึกษาการวางแผนทีมขายครบวงจร
𝗖𝗹𝗶𝗰𝗸 𝗟𝗶𝗻𝗸 : https://www.sales100million.com/in-house-corporate-training/
𝗧𝗲𝗹. : 063-398-7999
𝗟𝗶𝗻𝗲@ :
Facebook 𝗜𝗻𝗯𝗼𝘅 : https://m.me/sales100million
สามารถติดตามอ่านบทความมากกว่า 3,000 บทความ ของ Sales100Million ได้ที่ https://www.sales100million.com/
อีกหนึ่งช่องทางสำหรับติดตามฟัง Podcast Sales100Million ได้ที่
𝗬𝗼𝘂𝗧𝘂𝗯𝗲 : https://www.youtube.com/
𝗧𝗶𝗸𝗧𝗼𝗸 : https://www.tiktok.com/

26/10/2025

สิ่งที่หลายๆ คนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการต่อราคา ถึงได้เสียเหลี่ยม เสียกำไร (ฟังแล้วต่อเก่งขึ้น 85%)

=====================
ติดต่อเราสำหรับบริการเหล่านี้
Global Sales System Consulting Services - บริการให้คำปรึกษาการวางแผนทีมขายครบวงจร
𝗖𝗹𝗶𝗰𝗸 𝗟𝗶𝗻𝗸 : https://www.sales100million.com/in-house-corporate-training/
𝗧𝗲𝗹. : 063-398-7999
𝗟𝗶𝗻𝗲@ :
Facebook 𝗜𝗻𝗯𝗼𝘅 : https://m.me/sales100million
สามารถติดตามอ่านบทความมากกว่า 3,000 บทความ ของ Sales100Million ได้ที่ https://www.sales100million.com/
อีกหนึ่งช่องทางสำหรับติดตามฟัง Podcast Sales100Million ได้ที่
𝗬𝗼𝘂𝗧𝘂𝗯𝗲 : https://www.youtube.com/
𝗧𝗶𝗸𝗧𝗼𝗸 : https://www.tiktok.com/

เหตุผลที่การทำ 'Cold-Calling' สามารถสร้างยอดขายให้คุณได้มหาศาลผมมีโอกาสได้เทรนพนักงานขายในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งนักขายส่วนใ...
26/10/2025

เหตุผลที่การทำ 'Cold-Calling' สามารถสร้างยอดขายให้คุณได้มหาศาล

ผมมีโอกาสได้เทรนพนักงานขายในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งนักขายส่วนใหญ่มีความกระหาย อยากรวย และอยากประสบความสำเร็จ

แต่เป็นเรื่องน่าแปลก เพราะเมื่อถึงประตูบานแรกของการขายและเริ่มติดต่อลูกค้า พวกเขากลับกลัว 'การโทรศัพท์' หาลูกค้าใหม่ รู้สึกไม่ถนัด อาย สาเหตุง่ายๆ ก็มาจาก 'การถูกปฎิเสธ' นั่นเองครับ

บางคนเคยพบกับความทรงจำอันเลวร้ายเวลาลูกค้าปฎิเสธแบบไม่แยแส กลายเป็นคนไร้ค่า ซึ่งจริงๆ แล้วพวกคุณคิดไปเองทั้งนั้น แล้วทำไมธุรกิจขายประกัน ขายสินเชื่อ ขายบัตรเครดิตผ่านทางโทรศัพท์ถึงอยู่ได้อย่างทุกวันนี้ล่ะครับ? แสดงว่าวิธีการทำ Cold-Calling ก็ยังคงเป็นวิธีการขายที่มีความขลังและคลาสสิกอยู่ดี

ลองเปิดใจให้กว้างๆ กับเรื่องการทำ Cold-Calling นะครับ สิ่งนี้แหละที่จะเป็นบันไดพาคุณไปเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการขายและทำธุรกิจแบบ B2B เลยทีเดียว ดังนี้

1. ประหยัดเวลา เมื่อเทียบกับเข้าพบลูกค้าแบบไปตายเอาดาบหน้า

ยังมีนักขายหลายๆ ท่าน โดยเฉพาะนักขายรุ่นใหม่ที่มองว่าการโทรหาลูกค้า มีคุณค่าเทียบเท่ากับอาชีพ 'เทเลเซลล์' หรือพนักงานขายทางโทรศัพท์ ซึ่งคุณเองอาจจะมีความเชื่อแบบผิดๆ เนื่องจากคุณอาจจะเคยมีประสบการณ์ 'โดนขาย' ผ่านโทรศัพท์ที่ไม่ดี เช่น บัตรเครดิต ประกันชีวิต ฯลฯ แล้วคุณโดนล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทำให้คุณรู้สึกรำคาญและมีมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับการที่คุณต้องโทรหาลูกค้าเพื่อขายสินค้าของคุณ

เมื่อมีความคิดแบบผิดๆ เช่นนั้น ทำให้คุณเริ่มใช้วิธีการอีกแบบ นั่นคือการเดินทางเข้าไปหาลูกค้าแบบ 'ไปตายเอาดาบหน้า' เผื่อฟลุ้กได้เจอหน้าตัวเป็นๆ เพราะลูกค้าน่าจะปฎิเสธยากและได้เข้าพบชัวร์ๆ (ต่อให้ไม่รู้จักมาก่อนก็เถอะ ฮา) ซึ่งผมไม่เถียงว่าวิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้ผล แต่ข่าวร้ายก็คือ บางทีคุณอาจจะไม่ได้เข้าพบผู้มีอำนาจตัดสินใจหรือป๋าดัน เผลอๆ โดน 'ปิดประตูใส่หน้า' ข้อหาไม่ได้นัดลูกค้าล่วงหน้าอีกต่างหาก

การโทรศัพท์เพื่อขอทำนัดลูกค้า จะทำให้คุณประหยัดเวลาลงไปได้มาก เพราะอย่างน้อยก็ยังได้คุยกับลูกค้า ซึ่งการโทรในแต่ละครั้ง ผมขอย้ำให้คุณโทรเพื่อ 'ทำนัด' ไปเจอหน้าและอย่าพูดเรื่องขายของเป็นอันขาด สิ่งที่เป็นผลดีคือคุณจะใช้เวลาในแต่ละสายน้อยมาก ทำให้มีเวลาโทรหาลูกค้าใหม่ได้อีกเป็น 20 สาย ภายใน 1 ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือเมื่อโดนปฎิเสธ คุณก็ยังสามารถแก้ตัวด้วยการโทรไปหาลูกค้าใหม่หรือจดบันทึกเพื่อวางแผนการโทรซ้ำอีกครั้ง ง่ายๆ แค่นี้เอง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปตายเอาดาบหน้าแต่อย่างใด

2. เป็นการสร้างความต้องการให้กับลูกค้าได้ง่ายที่สุด ทั้งๆ ที่ไม่มีความต้องการ

ลูกค้าที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่เคยค้าขายกับคุณมาก่อน ผมถือว่าเป็นลูกค้าที่ 'ไม่มีความต้องการ' ใดๆ ทั้งสิ้นนะครับ ข่าวดีก็คือถ้าลูกค้าไม่มีความต้องการ แล้วตัวคุณเข้าพบและนำเสนอจนลูกค้าเกิดความต้องการ คุณจะเป็นคนแรกที่ลูกค้าพิจารณาและแทบจะไร้คู่แข่ง เจ้าอื่นอาจจะมีสิทธิ์แค่เป็นคู่เทียบเท่านั้น ถ้าคุณคุมเกมได้ดี

ดังนั้น การสร้างความต้องการง่ายๆ ขั้นพื้นฐานก็คือการโทรศัพท์เพื่อทำนัดลูกค้าด้วยสคริปที่มุ่งเน้นถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้ โดยเฉพาะกับธุรกิจของลูกค้า ถ้าลูกค้าตอบตกลงรับนัด นั่นหมายถึง 'ข่าวดี' ของคุณแล้วล่ะครับ เพราะสิ่งนี้หมายความว่าลูกค้ามีความต้องการเกิดขึ้นแล้ว (ถึงแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม) เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ยอมเสียเวลามานั่งฟังคุณตามที่นัดหมายยังไงล่ะครับ

3. สามารถโทรตั้งแต่กี่โมงก็ได้ตามที่คุณสะดวก

การที่มีโทรศัพท์มือถือจะช่วยทำให้คุณใช้เวลาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หมายความว่าในยามที่คุณเคลียร์งานเรียบร้อยแล้ว และยังอยู่ในช่วงเวลางาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดก็ตาม คุณสามารถยกหูโทรหาลูกค้าได้เลย ที่สำคัญคือไม่จำเป็นต้องคิดมากว่าลูกค้าจะยุ่งอยู่รึปล่าว ติดประชุมหรือไม่ เพราะถ้าลูกค้าไม่สะดวกจริงๆ พวกเขาจะบอกกับคุณเอง คุณก็เพียงแค่จดบันทึกและเตรียมโทรหาใหม่ในโอกาสหน้า

ไม่จำเป็นต้องยึดติดว่าคุณจะต้องโทรหาลูกค้าโดย 'คิดไปเอง' ว่าลูกค้าน่าจะว่างช่วง 9 โมงเช้า (คิดไปเองว่าลูกค้าน่าจะว่างๆ อยู่) หรือช่วงบ่าย แม้แต่การไม่กล้าโทรช่วงเย็น (เพราะคิดไปเองว่าลูกค้าน่าจะใกล้เลิกงานแล้ว คงไม่มีเวลารับโทรศัพท์คุณหรอก) จงอย่าคิดไปเองและลองโทรก่อนครับ เผลอๆ คุณอาจจะพบข่าวดีจนลูกค้าตกลงให้คุณเข้าพบก็เป็นได้

4. เป็นอาวุธที่เอาไว้ใช้หาลูกค้าใหม่แบบไร้ขีดจำกัด

ใช่ครับ คุณฟังไม่ผิดหรอก เพราะขีดจำกัดของการหาลูกค้าก็คือจำนวนลีดรายชื่อที่คุณไม่สามารถหาเพิ่มได้อีกแล้วนั่นเอง เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่ในแต่ละอุตสาหกรรมด้วย เพราะสินค้าบางอย่างสามารถขายได้เพียงอุตสาหกรรมเฉพาะกลุ่มเท่านั้น

ถ้าคุณสามารถหาลีดใหม่ๆ มาเติมเพื่อนั่งโทรได้เรื่อยๆ และมีกำลังวังชา ความอดทนเพียงพอ ไม่กลัวการถูกปฎิเสธ คุณก็สามารถนั่งโทรหาลูกค้าใหม่เพื่อทำนัดไปเจอหน้าหรือแม้แต่ปิดการขายภายในโทรศัพท์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด น่าสนุกมั้ยล่ะครับว่าเงินจะไหลเข้าสู่กระเป๋าคุณมากแค่ไหน

5. เป็นการสร้าง Connection กับคนใหญ่คนโตได้ง่ายที่สุด

ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ว่าลูกค้าจะมียศใหญ่ขนาดไหน คุณสามารถยกหูโทรหาพวกเขาได้ทุกเวลา ทำไมคุณจะทำไม่ได้ล่ะครับ? ขนาดอดีตประธานาธิบดีอย่างบารัค โอบาม่า ยังมี 'สายตรง' โทรเข้าทำเนียบขาวเพื่อร้องทุกข์ได้เลย

วิธีการทำ Cold-Calling อย่างมีประสิทธิภาพ

ก่อนอื่นขอให้ทุกท่านดูคลิปในยูทูปจากหนังเรื่อง 'The Wolf of Wall Street' ผมหยิบฉากที่จอร์แดน เบลฟอร์ด (ลีโอนาโด ดิคาปริโอ) เป็นผู้เทรนพนักงานขายของพวกเขาด้วยสคริปที่ดี น้ำเสียงที่มีความมั่นใจ และได้ลงมือทำให้ลูกน้องดูเป็นตัวอย่าง ทำให้ลูกน้องสามารถขายหุ้นได้อย่างกับมือโปร ซึ่งคลิปนี้ผมเป็นผู้แปลเองครับ คุณจะได้ข้อคิดดีๆ เยอะเลย

youtube.com/watch?v=eTva4y-Unx0&pp=ygUdd29sZiBvZiB3YWxsIHN0cmVldCDguYLguJfguKM%3D

1. จงอย่ากลัวการถูกปฎิเสธ

ขอพูดแรงๆ ซักครั้งเถอะครับกับเรื่องนี้ ถามจริงเหอะว่าคุณแคร์เงินในกระเป๋าตัวเอง หรือว่าแคร์ 'คำปฎิเสธ' ของลูกค้าและผู้อื่นมากกว่ากันครับ? เป็นผม ผมคงห่วงเงินในกระเป๋าตัวเองมากกว่า ดังนั้นขอให้คุณมองเรื่องนี้เป็นหลัก ในฐานะที่คุณเป็นนักขายนะครับ คำปฎิเสธไม่ได้ช่วยให้คุณรวยขึ้นแต่อย่างใด หดหู่ไปก็เท่านั้น จงปรับสภาพจิตใจให้ชาชินและนำสิ่งที่ลูกค้าปฎิเสธมาปรับปรุงตัวอยู่เสมอ

จงโทรให้มากขึ้น โดนปฎิเสธเยอะๆ เจ็บเยอะๆ จนหัวใจของคุณนั้นแข็งแกร่ง เมื่อคุณผ่านจุดนี้มาได้ คุณก็ไม่มีวันแพ้ใครหน้าไหนอีกต่อไปแล้วครับ แถมคุณยังเหนือกว่านักขายคนอื่นๆ ด้วย เพราะนักขายส่วนใหญ่นั้นไม่ชอบการถูกปฎิเสธผ่านโทรศัพท์ โดนบ่อยๆ ก็ท้อ ไม่สู้ ถ้าคุณแตกต่าง คุณจะมีเงินเข้ากระเป๋าไม่หยุด

2. สคริปที่ดี ช่วยคุณได้

ทักษะการพูดของแต่ละคนนั้นมีไม่เหมือนกัน มีพื้นฐานที่ต่างกัน ดังนั้นคงเป็นเรื่องยากที่แต่ละคนจะเป็นนักขายที่มี 'สาลิกาลิ้นทอง' ทำให้พูดได้อย่างไหลลื่นและมีความน่าเชื่อถือจนลูกค้ารับนัด

สิ่งที่ช่วยให้คุณสามารถฝึกฝนการทำ Cold-Calling ได้ดี นั่นก็คือ 'การเขียนสคริป' ซึ่งคุณสามารถหยิบขึ้นมาพูดในรูปแบบเดิมๆ ที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เรื่อยๆ จงหยิบมันมาใช้บ่อยๆ และโทรหาลูกค้าให้มากเพื่อเป็นการซ้อมสคริปให้เนียนขึ้นด้วย สคริปการโทรควรมุ่งเน้นถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ แนะนำตัวให้สั้น กระชับ พร้อมทั้งเสนอช่วงเวลานัดหมายที่ไม่กระชั้นชิดเกินไป

ตัวอย่างสคริปที่ดี: สินค้า = อาหารเสริมส่วนบุคคลแบบ B2B

แนะนำตัว: "สวัสดีครับ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ผมชื่อแพน เป็นที่ปรึกษาด้านการขายของบริษัท Vitaboost ครับ" จากนั้นรอลูกค้าตอบ
ลูกค้า: "ครับ..ว่าไงครับ"
ผม: "บริษัทผมทำอาหารเสริมส่วนบุคคลที่ดูจากผลเลือดของแต่ละคน มุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้บริหารของลูกค้า ซึ่งอาจจะไม่มีเวลาในการดูแลตัวเองและทำงานหนัก อีกทั้งยังช่วยให้ KPI การลาป่วยของผู้บริหารระดับสูงนั้นดีขึ้นครับ"
ลูกค้า: "ครับผม"
ผม: "จึงคิดว่าสิ่งที่ผมทำนั้นช่วยให้ผู้บริหารมีสุขภาพที่ดีและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และฝ่ายบุคคลก็ได้ตัวเลข KPI ที่ดีขึ้น อัตราการลาป่วยน้อยลง ทำให้เซฟค่าใช้จ่ายเรื่องของการลางานของพนักงานได้ดีขึ้นมาก"
ลูกค้า: "อืมม..ฟังดูน่าสนใจดี"
ผม: "ถ้าอย่างนั้นผมขอนัดลูกค้าช่วงสัปดาห์หน้า วันพุธ ประมาณบ่ายโมงครึ่งได้มั้ยครับ ใช้เวลาไม่นานในการแชร์ข้อมูลที่มีประโยชน์ครับ"
ลูกค้า: "อืมม..เดี๋ยวผมเช็คตารางก่อนนะว่าติดอะไรรึปล่าว" -- จังหวะนี้แหละที่คุณต้องชกหมัดฮุก ลูกค้าจะมีแนวโน้มปฎิเสธคุณในขั้นตอนนี้มากที่สุดเพราะพวกเขากลัวจะเสียเวลา ดังนั้นต้องยัดหมัดใส่เลย

ผม: "ถ้างั้นผมขอ Tentative ทำตารางนัดให้ลูกค้าก่อนได้มั้ยครับ เผื่อลูกค้าเลื่อนหรือติด ผมจะได้เลื่อนนัดให้ลูกค้าได้เลย ผมขออีเมลล์เพื่อทำนัดด้วยครับ" -- การขออีเมลล์เพื่อส่งตารางนัดจะเป็นวิธีล็อกคอลูกค้าให้เข้าพบคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

ลูกค้า: "ได้ครับ ถ้างั้นจดเมลล์ผมนะ ###@###.com"
ผม: "ขอบคุณครับ แล้วพบกันนะครับ"

สรุปคือจากสคริป คุณพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยค เน้นประโยชน์ในภาพรวมธุรกิจของลูกค้า เสนอวันนัดหมายไม่กระชั้นชิด แถมยังล็อคลูกค้าด้วยอีเมลล์ได้อีกด้วย ลองเอาไปประยุกต์ใช้ดูนะครับ แล้วคุณจะขายอะไรก็ได้บนโลกนี้

3. ปริมาณการโทรนั้นสำคัญที่สุด

ลองใช้หลักคณิตศาสตร์ในการคิดค่าเฉลี่ยต่อครั้งว่าสามารถนัดหมายได้กี่นัด ต่อจำนวนการโทร เช่น ถ้าโทรทำนัดแบบหยาบๆ คนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 10% หมายความว่า โทร 10 ครั้ง จะได้นัด 1 นัด ดังนั้นถ้าคุณอยากได้วันละ 3 นัด คุณก็จะต้องโทรหาลูกค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง ถึงจะได้ 3 นัด

ปริมาณการโทรจะสอดคล้องต่อกิจกรรมทางการขายของคุณโดยตรง เพราะสามารถวัดผลได้ ผู้บริหารฝ่ายขายก็สามารถกำหนดกิจกรรมตัวเลขพวกนี้ได้ง่าย ถ้าคุณอยากเหนื่อยให้น้อยลง จงหาลีดที่มีคุณภาพและฝึกฝนการใช้สคริปให้เนียนรูปาก ดังนั้น ยิ่งคุณโทรเยอะ คุณก็มีโอกาสได้นัดเยอะ ทำให้ขายสินค้าได้มากขึ้นไปในตัว

4. วางแผนโทรนัดใหม่ ถ้าโดนปฎิเสธ

ข้อนี้สั้นๆ นะครับ ก็เหมือนจีบสาวใหม่ๆ นั่นแหละ แรกๆ เธออาจจะไม่ค่อยรับโทรศัพท์ โทรไปก็ไม่ค่อยว่าง หรือยังไม่ยอมรับนัดไปเดทกับคุณ ดังนั้นคุณก็เพียงแค่ลองโทรใหม่ โดนทิ้งระยะเวลาให้ห่างซักนิดนึง ไม่งั้นเธอรำคาญแน่นอน ลูกค้าก็เช่นกัน (ถ้าลูกค้ารู้สึกอึดอัดหรือรำคาญที่คุณโทรตื๊อมากเกินไปก็เตรียมไปขายที่อื่นได้เลย)

เรื่องนี้สำคัญมากเพราะการโดนปฎิเสธ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่โทรหาลูกค้าเจ้านี้อีกแล้ว บางทีลูกค้าอาจจะยุ่งอยู่หรือยังไม่ไว้ใจคุณก็ได้ การโทรใหม่จะทำให้แรงกดดันตรงนี้ลดลง เพราะอย่างน้อยลูกค้าก็มีโอกาสที่จะจำคุณได้แล้ว บางที่อาจจะได้รับข่าวดีด้วยกันตอบรับนัดก็เป็นได้

5. น้ำเสียงมีความมั่นใจ พูดไปยิ้มไป เปรียบเสมือนลูกค้าอยู่ตรงหน้าเรา

เทคนิคนี้ ให้เลียนแบบจาก Call Center ของ DTAC, AIS หรือ TRUE ดูนะครับ น้ำเสียงของพนักงานและการบริการดีมาก เป็นตัวอย่างที่คุณควรทำตาม

เนื่องจากการโทรศัพท์นั้น ไม่ได้เห็นหน้ากัน ดังนั้นแอคติ้งของคุณระหว่างโทรศัพท์ เช่น แฝงรอยยิ้ม น้ำเสียงมั่นใจ จะเป็นสิ่งที่สื่อสารลูกค้าได้ดีที่สุดจนเกิดความน่าเชื่อถือ เรื่องนี้ผมขอให้คุณฝึกซ้อมทุกวันจากลูกค้าที่สนิทกันอยู่แล้วนะครับ จะได้ง่ายต่อการปรับตัว

Cold-Calling นี่แหละครับ สุดยอดทักษะนักขายเลย ถ้าคุณทำได้ดีและเป็นคนทำนัดได้เก่ง ค่าตัวคุณจะสูงขึ้นมาก ขายอะไรก็ได้บนโลกนี้ ขอเพียงแค่ทำให้ลูกค้ารับนัดให้ได้ หมายความว่าลูกค้าเปิดใจให้คุณแล้วล่ะครับ ที่เหลือก็อยู่ที่หน้าที่ในการถามคำถามและนำเสนอของคุณแล้วล่ะ

=====================
ติดต่อเราสำหรับบริการเหล่านี้
Global Sales System Consulting Services - บริการให้คำปรึกษาการวางแผนทีมขายครบวงจร
𝗖𝗹𝗶𝗰𝗸 𝗟𝗶𝗻𝗸 : https://www.sales100million.com/in-house-corporate-training/
𝗧𝗲𝗹. : 063-398-7999
𝗟𝗶𝗻𝗲@ :
Facebook 𝗜𝗻𝗯𝗼𝘅 : https://m.me/sales100million
สามารถติดตามอ่านบทความมากกว่า 3,000 บทความ ของ Sales100Million ได้ที่ https://www.sales100million.com/
อีกหนึ่งช่องทางสำหรับติดตามฟัง Podcast Sales100Million ได้ที่
𝗬𝗼𝘂𝗧𝘂𝗯𝗲 : https://www.youtube.com/
𝗧𝗶𝗸𝗧𝗼𝗸 : https://www.tiktok.com/

5 สัญญาณอันตรายที่ลูกค้าบอกคุณว่าไม่ซื้อแน่ๆ (โอกาสขายได้ 0%)"การนำเสนอสินค้า" เป็นกระบวนการทางการขายที่สำคัญเพราะมีผลต่...
25/10/2025

5 สัญญาณอันตรายที่ลูกค้าบอกคุณว่าไม่ซื้อแน่ๆ (โอกาสขายได้ 0%)

"การนำเสนอสินค้า" เป็นกระบวนการทางการขายที่สำคัญเพราะมีผลต่อดีลระหว่างคุณกับลูกค้าจะเกิดไม่ต่ำกว่า 50% และทำให้ลูกค้าเกิดความต้องการ (Demand) เพราะถ้าคุณนำเสนอได้ดี คุณมีโอกาสได้ไปต่อเพื่อทำราคาและเข้าสู่กระบวนการต่อรองราคาไปจนจบ แต่ถ้าคุณนำเสนอได้แย่ ผมบอกเลยว่าโอกาสที่คุณจะขายได้นั้นแทบเป็น 0% ครับ

"ทักษะการอ่านใจ" นับว่าเป็นหนึ่งในทักษะที่นักขายควรมีเพื่อใช้ในการประเมินสถานการณ์ในระหว่างกระบวนการขายของคุณกับลูกค้า และใช้เพื่อวิเคราะห์ลูกค้า คุณควรอ่านใจลูกค้าให้ออกจาก "ภาษากาย" "วาจา" และ "การกระทำ" ที่ลูกค้าแสดงออกมา ซึ่งจะได้ผลดีมากถ้าคุณอยู่ต่อหน้าลูกค้าโดยเฉพาะในช่วงนำเสนอสินค้าครั้งแรก

จงมาดูสัญญาณอันตรายที่ลูกค้ากำลังบอกคุณเป็นนัยว่าเค้าจะไม่ซื้อคุณกันครับ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงที่คุณเริ่มนำเสนอสินค้าไปจนถึงช่วงการตามงาน (Follow-up) คุณจำเป็นต้องรู้สัญญาณเหล่านี้ให้ดีเพื่อประเมินลูกค้าให้แม่นยำและประเมินโอกาสในการปิดการขายได้ดีขึ้น พร้อมกับปรับหมากแก้เกมให้โอกาสในการปิดดีลไม่ให้หมดลงไปครับ

1) ในช่วงของการนำเสนอสินค้า ลูกค้ามีความเงียบเกินไป

ในช่วงของการนำเสนอ (Present) สินค้า ถ้าลูกค้าฟังคุณและค่อนข้างเงียบ ไม่มีคำถามหรือสงสัยสิ่งที่เรานำเสนอ ปล่อยให้คุณพูดอย่างเต็มที่จนจบ บางทีครบหนึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีคำถามอะไรออกมา คุณพูดจบและกล่าวคำอำลากลับบ้านสบายใจ

ฟังดูเหมือนจะดีใช่ไหมครับ แต่จริงๆ แล้วนี่แหละครับที่เป็นสัญญาณอันตรายที่ลูกค้าบอกคุณว่าสิ่งที่คุณนำเสนอมัน "ไม่น่าสนใจ" เลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อลูกค้าไม่มีความรู้สึกอยากได้ ไม่มีความต้องการ ไม่ตอบโจทย์ ที่สำคัญคือคุณมัวแต่หลับหูหลับตานำเสนอ ไม่ถามลูกค้าเพื่อหาความต้องการ คุณกำลังขุดหลุมฝังตัวเองและทำให้คุณคิดไปเองว่าลูกค้าน่าจะชอบสิ่งที่คุณนำเสนอแน่ๆ ทุกอย่างจึงราบรื่นดี

เมื่อลูกค้าเงียบเกินไปและไม่มีคำถาม คุณจงเชื่อไว้ก่อนว่าลูกค้ากำลังคิดว่าสิ่งที่คุณนำเสนอไม่น่าสนใจ จึงขี้เกียจถามคำถามเพราะไม่มีอะไรที่ตรงกับธุรกิจของเค้าฯ หรือตอบโจทย์ชีวิตเค้าได้ คุณควรปรับเกมโดยเน้นถามคำถามเกี่ยวกับลูกค้าที่สินค้าเราตอบโจทย์สลับกับการนำเสนอ และควรตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปทั้งหมด

2) ลูกค้าเล่นมือถือหรือรับโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาตลอดช่วงการนำเสนอ

ข้อนี้ชัดเจนอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้วครับ ยิ่งในยุคนี้ผู้คนติดมือถือมากกว่าติดแฟนตัวเองซะอีก ถ้าในช่วงที่คุณกำลังยืนพรีเซนต์อยู่นั้นคุณเห็นลูกค้าหรือทีมงานเค้ากำลังนั่งสไลด์มือถือมากกว่า 30 วินาที เมื่อนั้นให้คุณฟันธงได้เลยว่าเป็นเพราะเค้า "เบื่อ" สิ่งที่คุณนำเสนอ จึงหาอย่างอื่นทำเช่นการเช็คเฟสบุ้คตัวเองเพื่อให้เวลาผ่านไป หรือถ้ามีโทรศัพท์เข้ามาและลูกค้ารับทุกสายโดยไม่รีบวางแถมยังคุยต่อ เผลอๆ เดินออกไปคุยข้างนอกจนหายไปไม่กลับมาเลยก็มี ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้เมื่อไหร่ คุณเตรียมพบกับข่าวร้ายได้เลย มีโอกาสที่ลูกค้าจะไม่ซื้อสูงมาก

สาเหตุที่ลูกค้าเบื่อเป็นเพราะสิ่งที่คุณนำเสนอมันไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเค้า (บอกรอบที่ล้าน..) คุณต้องมีไหวพริบและเอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้นด้วยการตั้งคำถามกับลูกค้าเพื่อดึงเค้ากลับมาสนใจสิ่งที่คุณพูด เมื่อคำตอบนั้นตรงกับจุดเด่นของสินค้าคุณเมื่อไหร่ คุณต้องรีบข้ามเรื่องที่ไม่เกี่ยวและนำเสนอแต่เรื่องนั้นโดยทันที คุณจะกลับมาพลิกเกมและดึงความสนใจของลูกค้าให้กลับมาได้ครับ

3) ลูกค้าพูดตรงๆ ว่าไม่ตรงกับสิ่งที่เค้าต้องการ

ส่วนใหญ่จะเกิดกับบทสรุปในช่วงที่คุณนำเสนอเสร็จ บางทีคุณพรีเซนต์ได้ดี กระชับ ทำเวลาดี มีการถามคำถามและพยายามโชว์จุดเด่นที่ใกล้เคียงกับโจทย์ของลูกค้าที่สุดแล้ว แต่ลูกค้าได้บอกกับคุณว่าสิ่งที่คุณนำเสนออาจจะยังไม่ตรงใจเค้าซะทีเดียว ตรงนี้แสดงว่าลูกค้าเห็นประโยชน์ของสินค้าคุณ เพียงแต่ยังมีบางสิ่งที่ยังไม่ตรงใจ หรือยังไม่กล้าเสี่ยงซื้อคุณ

สัญญาณในเรื่องนี้ยังพอมีข่าวดีอยู่บ้างคือคุณยังมีโอกาสถามลูกค้ากลับว่ามีส่วนไหนของสินค้าหรือบริการจากคุณที่ยังต้องปรับเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุดถ้ายังพอทำได้ ถ้าทำไม่ได้จริงๆ ควรมอบตัวกับลูกค้าไปเลยว่าส่วนไหนทำได้ ส่วนไหนทำไม่ได้ อาจจะยังมีโอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้าจากคุณอยู่นะครับ

4) ไม่ยอมรับโทรศัพท์ เวลารับก็มักจะบอกว่าไม่ว่าง รีบวางสาย

ถามผู้ชายในเพจนิดนึงครับว่าการกระทำแบบนี้คุ้นๆ ไหมครับว่าคล้ายๆ กับเวลาที่คุณจีบสาวและผู้หญิงเริ่มไม่รับสายคุณ พอรับก็มักจะบอกว่าไม่ว่าง คุยกับคุณแป๊ปเดียว คุณรู้ใช่ไหมว่าท่าทรงเป็นแบบนี้ก็คือคุณกำลังจะได้กินแห้วไงล่ะครับ (ฮา..)

ลูกค้าเองก็เช่นกัน หลังจากที่คุณนำเสนอเสร็จแล้ว ส่งใบเสนอราคาแล้ว และคุณต้องการจะโทรทำนัดหรือถามเรื่องความคืบหน้า ถ้าลูกค้าเริ่มไม่รับสายหรือมีอาการข้างต้น นั่นแหละครับคือสัญญาณอันตรายเพราะเค้ากำลังปฎิเสธคุณทางอ้อม หรือจริงๆ ก็คือไม่อยากซื้อคุณนั่นแหละครับ ถ้าคุณตื้อหนักๆ ก็จะเริ่มกลายเป็นความอึดอัด รำคาญ และไม่มีทางซื้อคุณ 100%

คุณควรทิ้งช่วงการโทรหาออกไปซักพัก อาจจะประมาณ 1-2 อาทิตย์เพื่อให้ฟีลลิ่งของลูกค้าดีขึ้น อาจจะยังพอมีโอกาสรับนัดคุณหรือเล่าเกี่ยวกับความคืบหน้าของโครงการให้คุณฟัง แต่ถ้าลูกค้าบอกว่าไม่ซื้อแน่ๆ แล้วก็ไม่ต้องผิดหวังนะครับ เก็บข้อมูลนี้ไว้ในรีพอร์ทและวางแผนตามใหม่ดูครับ

5) ลูกค้าบอกว่าจะซื้อเรา แต่ก็เงียบ ไม่มีความคืบหน้า

สัญญาณอันตรายข้อนี้ถือว่าอันตรายและทำให้คุณเสียเวลามากที่สุด ทำให้คุณผิดหวังเยอะที่สุด เพราะสัญญาณนี้มักจะเกิดหลังจากที่ทุกอย่างดูเหมือนราบรื่นดี ตั้งแต่การนำเสนอซึ่งทำได้ดี สินค้ามีประโยชน์ ตอบโจทย์ คุณทำงานได้ไว มีวินัย ได้เข้าพบลูกค้าสม่ำเสมอเพื่อตามงาน ไปจนถึงขั้นเสนอราคาและผ่านไปได้ด้วยดีจนลูกค้าบอกว่าซื้อคุณแน่นอน แถมยังบอกช่วงเวลาที่จะซื้อให้คุณเรียบร้อยด้วย ระหว่างนั้นคุณก็นั่งกระดิกเท้ารอจนเลยกำหนดการซื้อไปแล้ว ลูกค้าก็ยังเงียบ...

ถึงตรงนี้ให้คุณระวังให้ดี เพราะถึงแม้ว่าลูกค้าจะสร้างความมั่นใจให้คุณมากแค่ไหน แต่คุณก็ไม่ควรประมาท สาเหตุหลักที่ทำให้การซื้อชะลอตัวออกไปเป็นไปได้ว่าเค้ากำลังเทียบราคาหรือหาคู่เทียบจากที่อื่นมาเทียบกับคุณ ซึ่งถ้าคู่แข่งของคุณทำออกมาได้ดีไม่แพ้กับคุณ เผลอๆ เล่นไม้ตายเอาราคาไล่บี้กับคุณ ถ้าคุณไม่รู้ข้อมูลช่วงนี้ คุณมีโอกาสแพ้งาน พลิกโผ เตรียมตัวเงิบกันได้เลย

เรื่องนี้ทำให้นักขายตกม้าตายมานักต่อนักแล้ว ทำให้รีพอร์ทของคุณเสียความแม่นยำในการบอกยอดขายของเดือนนี้ให้กับเจ้านาย โดนบ่นอีกต่างหาก คุณควรติดตามงานช่วงระหว่างรอการซื้อจากลูกค้าให้ดี ถ้าเลยเวลา (Timeline) แล้วยังเงียบ คุณควรรีบเข้าประกบลูกค้าและติดตามผล อย่าพลาดที่จะถามและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น สังเกตการมาของคู่แข่งให้ดีหรือนัดพบกับผู้มีอำนาจตัวจริงให้ได้ (ในกรณีที่ลูกค้าคุณยังไม่ใช่ผู้ตัดสินใจตัวจริง) เพื่อเพิ่มโอกาสการปิดงานให้ชัวร์ที่สุด

ส่วนใหญ่สัญญาณทางด้านลบมักมาจากผลของการนำเสนอตั้งแต่ตอนแรกที่คุณเจอลูกค้า คุณจึงควรฝึกการนำเสนอให้มีประสิทธิภาพ (ผมเคยเขียนบทความนี้ไว้) เอาไว้ให้ดี เตรียมตัวให้พร้อมก็จะลดความล้มเหลวลงไปได้มากครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาพบกับสัญญาณดีๆ ที่ลูกค้ากำลังบอกคุณว่าสนใจและมีโอกาสซื้อสินค้าของคุณกันครับ

=====================
ติดต่อเราสำหรับบริการเหล่านี้
Global Sales System Consulting Services - บริการให้คำปรึกษาการวางแผนทีมขายครบวงจร
𝗖𝗹𝗶𝗰𝗸 𝗟𝗶𝗻𝗸 : https://www.sales100million.com/in-house-corporate-training/
𝗧𝗲𝗹. : 063-398-7999
𝗟𝗶𝗻𝗲@ :
Facebook 𝗜𝗻𝗯𝗼𝘅 : https://m.me/sales100million
สามารถติดตามอ่านบทความมากกว่า 3,000 บทความ ของ Sales100Million ได้ที่ https://www.sales100million.com/
อีกหนึ่งช่องทางสำหรับติดตามฟัง Podcast Sales100Million ได้ที่
𝗬𝗼𝘂𝗧𝘂𝗯𝗲 : https://www.youtube.com/
𝗧𝗶𝗸𝗧𝗼𝗸 : https://www.tiktok.com/

24/10/2025

ทำไมถึงแพ้คู่แข่ง
ทั้งๆ ที่คุณมีสินค้า
ที่มีคุณสมบัติ
"เหนือกว่าทุกอย่าง"

=====================
ติดต่อเราสำหรับบริการเหล่านี้
Global Sales System Consulting Services - บริการให้คำปรึกษาการวางแผนทีมขายครบวงจร
𝗖𝗹𝗶𝗰𝗸 𝗟𝗶𝗻𝗸 : https://www.sales100million.com/in-house-corporate-training/
𝗧𝗲𝗹. : 063-398-7999
𝗟𝗶𝗻𝗲@ :
Facebook 𝗜𝗻𝗯𝗼𝘅 : https://m.me/sales100million
สามารถติดตามอ่านบทความมากกว่า 3,000 บทความ ของ Sales100Million ได้ที่ https://www.sales100million.com/
อีกหนึ่งช่องทางสำหรับติดตามฟัง Podcast Sales100Million ได้ที่
𝗬𝗼𝘂𝗧𝘂𝗯𝗲 : https://www.youtube.com/
𝗧𝗶𝗸𝗧𝗼𝗸 : https://www.tiktok.com/

ทำไมถึงแพ้คู่แข่ง ทั้งๆ ที่คุณมีสินค้าที่มีคุณสมบัติ "เหนือกว่าทุกอย่าง" ความพ่ายแพ้ถือว่าเป็นสิ่งที่ธรรมดามากๆ ในสงคราม...
24/10/2025

ทำไมถึงแพ้คู่แข่ง ทั้งๆ ที่คุณมีสินค้าที่มีคุณสมบัติ "เหนือกว่าทุกอย่าง"

ความพ่ายแพ้ถือว่าเป็นสิ่งที่ธรรมดามากๆ ในสงครามการขาย แต่บางคนก็เกิดอาการ "รับไม่ได้" เพราะไม่เข้าใจว่าทั้งๆ ที่สินค้ามีคุณภาพ มีบริการ และคุณสมบัติโดยรวมที่ถือว่า "เหนือกว่าคู่แข่งทุกอย่าง" จริงอยู่ที่สิ่งที่ดีกว่าย่อมมีราคาที่แพงกว่า แต่ยังไงถ้าสินค้าเจ๋งกว่าก็ควรมีมุมชนะมากกว่ามุมแพ้ ดังนั้นถ้าคุณยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงแพ้ ผมจะอธิบายให้คุณฟังทีละข้อเพื่อเอาไปปรับใช้ ดังนี้ครับ

1. ติดแอ๊คเกินไป การขายไม่เป็นมิตร

ภาษานักขายเขาเรียกว่า "ขี้แอ๊ค" เพราะการที่คุณขายสินค้าคุณภาพสูง ถ้าไม่นำเข้ามาเองคุณก็คงเป็นนักขายของบริษัทยักษ์ใหญ่ บริษัทข้ามชาติ ซึ่งบางทีสินค้ามีชื่อเสียงระดับโลก เป็นหัวแถว อาจทำให้ตัวคุณเอง "ไม่เป็นกันเอง" กับลูกค้า มาเยี่ยมก็ไม่สม่ำเสมอ การใช้ภาษาหรือการนำเสนอก็ติดศัพท์ฝรั่งจนลูกค้ารู้สึกว่าไม่กันเองและเข้าไม่ถึง ผลก็คือแพ้คู่แข่งที่ด้อยกว่าแต่มีความกันเอง สร้างความสัมพันธ์และเข้าถึงได้ง่ายกว่า เรื่องนี้เป็นไม่กี่เรื่องที่นักขายสินค้าคุณภาพสูงไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าทำไมถึงแพ้

2. ลูกค้าไม่เข้าใจคุณสมบัติที่มีความซับซ้อนสูงจนคิดไปเองว่ามันเกินจำเป็น

สินค้าคุณภาพสูงมักมีคุณสมบัติหรือออปชั่นล้นๆ ถ้าคุณไม่อธิบายหรือสาธิตให้เห็นผลทุกแง่มุมจนลูกค้าเข้าใจ ผลก็คือลูกค้ารู้สึกว่ามันใช้งานยาก เข้าใจยาก เลยเถิดไปถึงเรื่องคุณสมบัติ "เกินความจำเป็น" แถมราคายังแพงอีกต่างหาก (เพราะขายถูกก็คงไม่ได้) ลูกค้าเลยเลือกใช้สินค้าที่คุณสมบัติด้อยกว่าและราคาถูกกว่า เรื่องนี้ต้องโทษตัวนักขายที่ด้อยความสามารถในการถามคำถามและอธิบายคุณสมบัติที่ตอบโจทย์หรือทำให้ลูกค้าได้คุณค่าจริงๆ จากสิ่งที่คุณเสนอครับ

3. ราคาสูงเกินไป (ในความคิดของลูกค้า)

เรื่องนี้สัมพันธ์กับเรื่องคุณสมบัติล้นๆ ตามที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ ราคาในความคิดของลูกค้าที่มันสูงเกินไป ต่อให้ลูกค้าเข้าใจคุณสมบัติอย่างครบถ้วนแต่ราคาดันโดดกว่าคู่เทียบที่คุณภาพด้อยกว่าแต่ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรขนาดนั้น ผลก็คือลูกค้าจะเริ่มใช้เหตุผลในการตัดสินใจในการเลือกสิ่งที่ถูกกว่านั่นเองครับ

4. ไม่กล้าเปลี่ยนจากสิ่งที่ใช้อยู่แล้ว

อารมณ์เหมือนแฟ้บ สบู่ ยาสีฟัน ที่เราใช้ของไม่ได้แพงมากซึ่งก็ดีอยู่แล้ว แต่ดันมีของพรีเมี่ยมกว่าที่รวมๆ กลับทำให้เราไม่กล้าเปลี่ยนเพราะมันจะมีเรื่อง "ต้นทุนของการเปลี่ยนแปลง" (Switching Cost) ไม่ว่าจะเป็นการใช้สินค้าใหม่ที่ไม่คุ้นเคย หรือฟีเจอร์เยอะๆ อาจทำให้รู้สึกว่าใช้งานยาก ต้องเสียเวลาอบรมพนักงานใหม่ หรือต้องขนย้ายสิ่งเดิมๆ เข้ามาในระบบใหม่ทั้งหมด ของเหล่านี้ทำให้เสียทั้งเวลาหรือเสียเงินนั่นเองครับ

5. คู่แข่งวางงานกับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว

เรื่องนี้มักพบเจอในงานภาครัฐหรือภาคเอกชนที่เป็นเรื่องการประมูลงาน บางทีคุณอาจจะแพ้เพราะสายสัมพันธ์ที่ไปไม่ถึงระดับวางงาน หรือไม่มีล็อบบี้ยิสต์คอยวิ่งงานให้ ผลก็คือโอกาสชนะแทบเป็น 0 นั่นเองครับ

6. คุยผิดคน

เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องในการขายแบบ B2B ที่คุณดันไปคุยกับคนที่ไม่ตรงสเปค หรือเอาแต่เรื่องราคานำ เช่น ฝ่ายจัดซื้อ หรือระดับผู้จัดการที่ดันเป็นผู้คัดค้าน บางทีคุณไปไม่ถึงระดับฝ่ายบริหารหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและกล้าเปลี่ยนแปลงมากกว่า ผลก็คือโอกาสขายได้จะน้อยมากๆ ครับ

คุณสมบัติที่เหนือกว่าคือจุดเริ่มต้น แต่การชนะคู่แข่งต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมในทุกมิติของธุรกิจครับ

=====================
ติดต่อเราสำหรับบริการเหล่านี้
Global Sales System Consulting Services - บริการให้คำปรึกษาการวางแผนทีมขายครบวงจร
𝗖𝗹𝗶𝗰𝗸 𝗟𝗶𝗻𝗸 : https://www.sales100million.com/in-house-corporate-training/
𝗧𝗲𝗹. : 063-398-7999
𝗟𝗶𝗻𝗲@ :
Facebook 𝗜𝗻𝗯𝗼𝘅 : https://m.me/sales100million
สามารถติดตามอ่านบทความมากกว่า 3,000 บทความ ของ Sales100Million ได้ที่ https://www.sales100million.com/
อีกหนึ่งช่องทางสำหรับติดตามฟัง Podcast Sales100Million ได้ที่
𝗬𝗼𝘂𝗧𝘂𝗯𝗲 : https://www.youtube.com/
𝗧𝗶𝗸𝗧𝗼𝗸 : https://www.tiktok.com/

ที่อยู่

เลขที่ 7 ซอยนักกีฬาแหลมทอง 5 แยก 4-5 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง
Bangkok
10240

เบอร์โทรศัพท์

+66633987999

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Sales100Million - กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้านผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Sales100Million - กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้าน:

แชร์