Sales100Million - กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้าน

Sales100Million - กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้าน Sales Trainer และ Blogger การขายแบบ B2B Enterprise ระดับประเทศ อันดับหนึ่งด้านบทความการขาย ฟรี

เพจนี้จัดทำขึ้นมาเพื่อแชร์ความรู้และประสบการณ์ทางการขายแบบ B2B (Business-to-Business)

มอบให้เพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์กับผู้ที่ประกอบอาชีพที่เกี่ยวกับการขาย นักธุรกิจ เจ้าของกิจการและผู้สนใจทุกท่าน

เพื่อสร้างแหล่งข้อมูลความรู้เชิง How-to ที่จับต้องได้ ใช้ได้จริง สร้างธุรกิจและอนาคตทางการงานได้อย่างยั่งยื่น

สูตรกำหนด​ KPI โคตรสำคัญ ของพนักงานขายระดับ Account Manager ขึ้นไปทีมขายเป็นไม่กี่แผนกที่ดัชนีชี้วัดผลการทำงานสำคัญก็คือ...
08/08/2025

สูตรกำหนด​ KPI โคตรสำคัญ ของพนักงานขายระดับ Account Manager ขึ้นไป

ทีมขายเป็นไม่กี่แผนกที่ดัชนีชี้วัดผลการทำงานสำคัญก็คือ "KPI" (Key Performance Index) ซึ่งหลายๆ องค์กรอาจจะมองว่ามันเอาท์ไปแล้วเมื่อเทียบกับ OKR แต่ยังไงทีมขายก็ต้องวัดผลการทำงานเป็นตัวเลขอยู่วันยังค่ำครับ การกำหนด KPI ที่ดีย่อมทำให้นักขายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเมินผลได้อย่างยุติธรรม และทำภารกิจตามยุทธศาสตร์ที่เราได้วางแผนเอาไว้ ตำแหน่งสำคัญที่จะพูดถึงในวันนี้คือระดับ Account Manager (Farmer) ขึ้นไป เพราะค่อนข้างมีเอกลักษณ์เรื่อง KPI นอกจากยอดขาย สูตรสำคัญที่คุณต้องกำหนดได้ มีดังนี้

1. KPI ด้านยอดขายเชิงกลยุทธสำหรับ Account Manager (Strategic Revenue)

- Key Account Revenue: ยอดขายรวมจากลูกค้ารายสำคัญในช่วงเวลาที่กำหนด

ตัวอย่างเช่น สร้างยอดขาย 100 ล้านบาท จาก Key Account A และ 80 ล้านบาท สำหรับ Key Account B

- Year on Year Revenue Growth from Key Account: ยอดขายที่เติบโตขึ้นจากลูกค้ารายสำคัญปีต่อปี

ตัวอย่างเช่น ปีหน้าตั้งเป้ายอดขายรวมจาก Key Account ที่ต้องเพิ่มขึ้น 15-20% เช่น ลูกค้า SCG ปี 2025 ทำเงินให้เราได้ 100 ล้าน ปีหน้าตั้งเป้า 120 ล้าน หรือเพิ่มขึ้น 20% เป็นราย Account เป็นต้น

- Share of Wallet: ส่วนแบ่งของสินค้าเราเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากสัดส่วนค่าใช้จ่ายของลูกค้า

ตัวอย่างเช่น สูตร (ยอดขายจากเรา / ยอดใช้จ่ายรวมของลูกค้าในหมวดนั้นๆ) x 100 เช่น ลูกค้าซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คของเรา 3,000,000 บาท / 10,000,000 ล้าน (ยอดซื้อคอมทั้งเราและคู่แข่งทั้งหมด) x 100 ดังนั้นเราได้ Share of Wallet 30% วิธีคือกำหนด KPI ให้เราได้ Share of Wallet เพิ่มขึ้นในปีหน้า

2. KPI ด้านความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Relationship)

- การขยายระดับความสัมพันธ์ (Relationship Depth)

สูตรคือการสร้าง Organization Chart ใน Key Account ที่เราดูแล เน้นไปที่ผู้เกี่ยวข้องกับเราทุกระดับ ทุกแผนก โดยเฉพาะบุคคลสำคัญระดับ C-Level ข้อมูลต้องมีทั้งชื่อ เบอร์ อีเมล (ได้นามบัตร) และเพิ่ม KPI สำคัญเช่น กิจกรรมเข้าพบ กิจกรรมเอนเตอร์เทน กิจกรรมการทดสอบสิค้า ฯลฯ ทำให้สามารถวาง KPI ว่าแต่ละ Account ควรมีข้อมูลและกิจกรรมสำคัญกับใครบ้าง พร้อมรายงาน

- จำนวนโครงการเชิงกลยุทธ์ร่วม (Joint Initiatives)

ถ้าคุณเน้นขายงาน B2B โครงการขนาดใหญ่ การวัดผลว่ามีโครงการต่อเนื่องหรือโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นดัชนีชี้วัดว่าเราเป็นคู่ค้ารายสำคัญกับลูกค้า ตัวอย่างเช่น เริ่มโครงการหรือปั้นโปรเจคใหม่นำร่องร่วมกับ Key Account อย่างน้อย 1 โครงการต่อปี

- ความสม่ำเสมอของการประชุมเชิงกลยุทธ์ (Strategic Business Review Cadence)

เน้นไปที่กิจกรรมการประชุมอย่างเป็นทางการกับลูกค้า C-Level สำหรับการทบทวนแผนงานและวางแผนธุรกิจร่วมกัน ตัวอย่างเช่น จัดประชุม Business Review กับ Key Account ทุกๆ ไตรมาส เป็นต้น

3. KPI ด้านความพึงพอใจและการรักษาลูกค้า (Satisfaction & Retention)

- อัตราการรักษาลูกค้า (Customer Retention Rate)

เป็น KPI ที่โคตรสำคัญ นักขายบางบริษัทต้องมีตัวเลขนี้ไม่ต่ำกว่า 100% เลยด้วยซ้ำ

- สูตร: (จำนวนลูกค้าที่รักษาได้ / จำนวนลูกค้าทั้งหมดในช่วงต้นปี) x 100

ตัวอย่างเช่น รักษาลูกค้า Key Account ให้ซื้อต่อได้ 10 ราย / ถือ Key Account 10 ราย x 100 แสดงว่าอัตราการรักษาลูกค้าประจำคือ 100%

- คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (Net Promoter Score - NPS)

สูตร: % ผู้แนะนำ (Promoters) - % ผู้ไม่แนะนำ (Detractors)

วิธีการใช้คือลองทำแบบสอบถามให้ลูกค้า Key Account เป็นแบบฟอร์มประเมินความพึงพอใจ ง่ายๆ ก็คือจะแนะนำหรือไม่แนะนำ พอใจหรือไม่พอใจ ตัวอย่างเช่น มีคะแนน NPS เฉลี่ยจาก Key Account ไม่ต่ำกว่า 80 คะแนน เป็นต้น

การกำหนด KPI เหล่านี้จะช่วยให้ Account Manager มีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่การขาย แต่เป็นการสร้างคุณค่าและรักษาความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้ารายสำคัญขององค์กรครับ

07/08/2025

สร้างบารมีในใจลูกน้อง กุญแจสู่ความเป็นผู้นำ
ที่ลูกน้องทั้งรัก เคารพ
และยอมรับ
(ทำงานตามคำสั่ง 100%)

ติดต่อเราผ่าน LINE >> [] หรือสนใจถามคำถาม คอร์การขายคลิก >> [https://m.me/sales100million]

ทำไมผมถึงบอกว่าช่วงเศรษฐกิจไม่ดีถึงควรไปเป็นนักขายในสายงานราชการยุคนี้เป็นยุค "เผาจริง" ซึ่งก็เผาจริงๆ นั่นแหละครับ ภาคเ...
07/08/2025

ทำไมผมถึงบอกว่าช่วงเศรษฐกิจไม่ดีถึงควรไปเป็นนักขายในสายงานราชการ

ยุคนี้เป็นยุค "เผาจริง" ซึ่งก็เผาจริงๆ นั่นแหละครับ ภาคเอกชนไล่ตั้งแต่ SME จนถึงมหาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ซึ่งก็จริงอยู่ที่มีบางธุรกิจกลับ "โตสวนกระแส" แต่ก็ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับกระแสหลักอย่างนักขาย B2B สายโรงงานหรือสายเอกชนบริษัทยักษ์ใหญ่ก็ขายยากขึ้นมาก หลายๆ แห่งต้องลดต้นทุน แต่กลับกันที่นักขายสายงานราชการกลับ "ไม่ค่อยได้รับผลกระทบ" เผลอๆ อาจจะมั่นคงกว่าการขายงานเอกชนทั่วๆ ไป ถ้าใครกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้อยู่ สายงานราชการเป็นอีกหนึ่งสายที่ผมอยากจะแนะนำในชั่วโมงนี้ ดังนี้ครับ

1. งบประมาณภาครัฐมีความชัวร์และแน่นอนกว่ามากๆ

พูดง่ายๆ ก็คือไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือจะแย่ รัฐบาลบ้านเราย่อมมีงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่างๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน งานซ่อมบำรุง โครงการพัฒนาหน่วยงาน ฯลฯ แบบคงที่ (เผลอๆ เพิ่มขึ้น) ตรงๆ เลยก็คือกว่างบฯ จะผ่านและอนุมัติโดยบรรดาผู้ใหญ่บ้านเรามันไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่องบฯ ผ่านแล้วจึงเป็นอะไรที่รัฐ "ได้ใช้เงินแน่ๆ" ในส่วนนี้ ที่สำคัญคือโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มักเป็นโครงการแบบต่อเนื่อง จัดซื้อจัดจ้างเรื่อยๆ ซึ่งจะไม่หยุดชะงักตามสภาพเศรษฐกิจซักเท่าไหร่นัก ทำให้ถ้าได้งาน 1 งาน มักได้ไปต่อกับรัฐแบบยาวๆ ยั่งยืนกว่าเอกชนเยอะมาก

2. ลูกค้าภาครัฐมีความต้องการที่ไม่ผันผวนเร็วตามสภาพเศรษฐกิจ

เพราะภาครัฐยังคงต้องให้บริการประชาชนด้วยโครงสร้างพื้นฐานสำหรับคุณภาพชีวิตคนไทย เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย หน่วยงานราชการ ถนนหนทาง รถไฟฟ้า ตึก อาคาร ฯลฯ ทำให้ต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุสิ้นเปลือง เทคโนโลยีใหม่ๆ อุปกรณ์ที่จำเป็น หรืองานบริการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการพื้นฐานไม่มีทางลดลงเมื่อเทียบกับภาคเอกชนที่แนวทางการบริหารอาจเปลี่ยนได้ตามคำสั่งของ CEO หรือบอร์ดบริหาร และสถานการณ์ธุรกิจ ซึ่งมีความผันผวนสูง ที่สำคัญคือตลาดภาครัฐ "ไร้คู่แข่ง" ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนกลยุทธอะไรมากเมื่อเทียบกับภาคเอกชนซึ่งมีความดุเดือดมากกว่า

3. คู่แข่งไม่ได้เยอะมากอย่างที่คิดเมื่อเทียบกับภาคเอกชน

เชื่อหรือไม่ว่าองค์กรเอกชนที่มีทีมงานเก่งๆ ผู้บริหารไฟแรงมากฝีมือ มีเทคโนโลยีหรือไอเดียที่ล้ำสมัยมักไม่เข้าสู่ตลาดราชการเท่าไหร่เพราะคิดไปเองว่า "เชื่องช้าและล้าหลัง" และคิดว่าเข้าองค์กรเอกชนใหญ่ๆ น่าจะคุยง่ายกว่า เหตุผลที่แท้จริงคือองค์กรเอกชนส่วนใหญ่ "ไม่รู้เรื่อง" โดยเฉพาะกฎระเบียบภาครัฐที่ซับซ้อนมากกว่า ผลก็คือไม่ค่อยมีคู่แข่งมากอย่างที่คิด ส่วนใหญ่ก็พวก "หน้าเดิมๆ" (ฮา) เรียกได้ว่าถ้าขายได้ซักหน่วยงานนึงก็แทบจะ "นอนมา" ซึ่งถ้าคุณเป็นนักขายสไตล์ Hunter หรือ Farmer ก็จะรู้ได้เลยว่าลูกค้าไม่ค่อยพูดถึงคู่แข่งและลูกค้ามักว่างในการเจอเราเป็นประจำเพราะคู่แข่งไม่ค่อยเข้ามานี่แหละครับ

4. เศรษฐกิจจะดีจะร้ายยังไงก็มีโครงการจัดซื้อจัดจ้างอยู่ดี

เพราะนักขายส่วนใหญ่ไม่ว่าจะ B2B หรือ B2C ได้รับผลกระทบเต็มๆ จากกำลังซื้อที่หดตัวในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ แต่กับภาครัฐก็มีงบฯ จากภาษีของเรากับแหล่งรายได้อื่นๆ อ่ะครับ ทำให้ไม่ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าชาวบ้าน หรือต่อให้จะปฎิวัติ รัฐประหารกันกี่รอบ โครงการจัดซื้อจัดจ้างก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป เพราะหลายๆ โครงการ "เป็นหน้าเป็นตา" ให้กับคณะรัฐบาลปีนั้นๆ อีกด้วย ดังนั้นถ้าประเทศนี้ไม่ Fail State ยังไงคุณก็มีโปรเจคกับภาครัฐได้เรื่อยๆ ครับ

5. ใช้ความได้เปรียบด้าน Connection ได้อย่างแข็งแกร่ง

การขายงานราชการเป็นตลาดเฉพาะทางที่ต้องอาศัยความรู้เรื่องกฎระเบียบ การจัดซื้อจัดจ้าง และความสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงาน เจ้าหน้าที่รัฐนั้นๆ การที่คุณอยู่ในสายงานนี้ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี จะเป็นการสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่ไม่เหมือนใคร ที่สำคัญคือลูกค้า "อยู่ยันเกษียณ" ทำให้ถ้าคุณมัดใจลูกค้าได้อย่างอยู่หมัด โอกาสที่พวกเขาจะเปลี่ยนไปซื้อเจ้าอื่นหรือถูกโยกย้ายตำแหน่ง เปลี่ยนงาน จนทำให้เกมเปลี่ยนย่อมยากมากๆ คอนเนคชั่นกับเจ้าหน้าที่รัฐ ทุกระดับ จะเป็นแต้มบุญให้คุณมีความยั่งยืนได้อย่างมหาศาลครับ

ซึ่งก็แน่นอนว่าการเป็นนักขายสายงานราชการก็มียากในแบบของตัวเอง เช่น ขั้นตอนที่ซับซ้อน การแข่งขันที่สูงในบางงาน หรือการต้องทำความเข้าใจกฎระเบียบจำนวนมาก แต่หากมองในมุมของความมั่นคงและโอกาสในระยะยาวแล้ว ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน อาชีพนี้จึงเป็นทางเลือกที่น่าจับตามองและคุ้มค่าที่จะพิจารณาครับ

06/08/2025

เทคนิคการโน้มน้าวใจ
การใช้หลักการ
ทางจิตวิทยา
ในการปิดการขาย
หรือทำให้คนอื่น
เห็นด้วยกับเรา

ติดต่อเราผ่าน LINE >> [] หรือสนใจถามคำถาม คอร์การขายคลิก >> [https://m.me/sales100million]

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการโทรทำนัดลูกค้า (Cold-Calling)นักขายมือเก่าและมือใหม่แทบทุกคนย่อมรู้ดีว่า "การโทรทำนัด" (Cold-Cal...
06/08/2025

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการโทรทำนัดลูกค้า (Cold-Calling)

นักขายมือเก่าและมือใหม่แทบทุกคนย่อมรู้ดีว่า "การโทรทำนัด" (Cold-Calling) โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนย่อมเป็นอะไรที่ทำให้คุณ "คางเหลือง" ถือว่าเป็นอะไรที่ท้าทายแบบสุดๆ ความสำเร็จในการโทรทำนัดก็คือลูกค้ายินดีให้คุณมาพบหลังจากที่ได้คอนเฟิร์มเรียบร้อยแล้ว นี่คือประตูบานแรกของการขายเลยก็ว่าได้

เนื่องจากการโทรทำนัดเป็นอะไรที่ต้อง "วัดดวง" อยู่บ้าง โดยเฉพาะปัจจัยที่คุณควบคุมไม่ได้ เช่น ลูกค้าไม่ว่าง ลูกค้าไม่อยู่ ลูกค้าไม่สนใจ ลูกค้ากลัวเพราะไม่รู้จักคุณมาก่อน ลูกค้าใช้เจ้าอื่นอยู่แล้ว ฯลฯ ซึ่งปัจจัยพวกนี้คุณจะไม่มีทางรู้เลยตราบใดที่ยังไม่กดปุ่มโทร ปัจจัยพวกนี้จึงเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้คุณต้องโดนปฎิเสธอยู่บ่อยๆ

การโทรทำนัดให้ได้ผล นอกจากสคริปต์ที่ต้องฟังแล้วน่าสนใจ น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความมั่นใจ ยังจะต้องมีปัจจัยเรื่อง "เวลา" ที่คุณต้องรู้ว่าโทรตอนไหนถึงจะได้ผลสูงสุดในการตอบรับนัด ผมจึงมีงานวิจัยดีๆ จาก Keller Research Center at Baylor University ซึ่งทางสถาบันนี้ได้บอกว่าการโทรทำนัดจะประสบความสำเร็จแค่ 1%

หมายความว่าโทร 100 สาย คุณจะได้รับนัดเพียง 1 นัด แต่ถ้าคุณทำการบ้านมาก่อนว่าคุณจะต้องโทรหาใคร ตำแหน่งอะไร ซึ่งเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการขอทำนัดโดยตรง โอกาสที่จะทำนัดสำเร็จจะมีสูงเกินกว่า 20% ซึ่งจะดีกว่านั้นถ้าคุณโทรในเวลาที่ถูกต้อง

บทความในวันนี้จึงมีผลงานวิจัยจากการศึกษานักขายขั้นเทพว่าช่วงเวลาไหนถึงจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการโทรทำนัดลูกค้าใหม่จากผมกันเลยครับ

1. วันที่ดีที่สุดในการโทรทำนัด

งานวิจัยจาก CallHippo ค้นพบว่าวันที่ดีที่สุดที่ลูกค้าจะตอบรับนัดคือ "วันพุธและวันพฤหัสบดี" ซึ่งก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะว่าวันศุกร์มักเป็นวันที่ลูกค้าเริ่มใส่เกียร์ว่าง (ฮา) และบางทีก็ไม่อยากทำงานกับนักขายซักเท่าไหร่ อีกทั้งยังปฎิเสธได้ง่ายๆ ว่า "อาทิตย์หน้าค่อยโทรมาใหม่ละกัน" อะไรทำนองนี้ ส่วนวันจันทร์ก็เป็นวันที่ไม่ค่อยเวิร์คสำหรับการโทรทำนัด โดยเฉพาะช่วงเช้า เพราะลูกค้ากำลังยุ่งกับการประชุมภายในของพวกเขา ส่วนทีมงานของคุณเองก็เช่นเดียวกัน วันอังคารก็เป็นอีกหนึ่งวันที่โทรทำนัดได้ดีแต่ไม่เทียบเท่าวันพุธและวันพฤหัสบดีครับ

2. ช่วงเวลาที่ควรโทรมากที่สุดคือ "ช่วงเช้า"

การโทรไปหาลูกค้าช่วงเช้าๆ หรือช่วงสายๆ หลังจากที่พวกเขาเริ่มเข้างานแล้ว เช่น เวลา 9.30-10.00 หรือ 11.00 เป็นเวลาที่ดีเพราะช่วง 9.00-9.30 เป็นช่วงที่พวกเขากำลังง่วนกับการจัดตารางงาน บางคนมาถึงหน้าคอมและกำลังเปิดเช็คอีเมล์อยู่เลย มันจึงเป็นช่วงที่ถ้าคุณโทรมาได้ถูกจังหวะ พวกเขาจะมีแนวโน้มนั่งเช็คตารางเวลาให้คุณและรอรับอีเมล์จากคุณเพื่อคอนเฟิร์มนัด เวลาอีกช่วงที่ดีคือ 11.00-12.00 เพราะลูกค้าเริ่มชิลกับเตรียมไปกินข้าวกลางวัน ส่วนช่วงบ่ายจะเป็นเวลาตั้งแต่ 16.00-18.00 เพราะเป็นช่วงที่ลูกค้าเริ่มสรุปงานและเตรียมตัวกลับบ้าน

3. ช่วงเวลาที่แย่ที่สุดที่คุณไม่ควรโทร

เวลาที่ไม่ควรโทรก็คือช่วงที่ลูกค้ากำลังเข้างานหรือมีการประชุมภายใน โดยเฉพาะลูกค้าที่มีอำนาจตัดสินใจตั้งแต่ผู้จัดการ ผู้บริหาร เจ้าของกิจการ พวกเขามักมีมีตติ้งในช่วง 10.00-11.00 หรือ 14.00-15.00 และเวลาที่ไม่สมควรโทรอย่างยิ่งคือตอนที่พวกเขากำลังเดินทางมาทำงาน เช่น 7.00-9.00 กับช่วงเย็นหลังเลิกงาน ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพและไม่รู้จักกาละเทศะ

4. ช่วงเวลาที่ควรโทรติดตามการทำนัด

การโทรครั้งแรกมีแนวโน้มสูงว่าจะโดนปฎิเสธอยู่แล้ว การโทรกลับมาใหม่เพื่อขอทำนัดอีกครั้งจึงเป็นเรื่องที่ควรทำ เพียงแต่คุณต้องรู้ว่าการโทรติดตาม (หรือตื๊อ) ไม่เวิร์คเสมอไปถ้าคุณขาดการวางแผนที่ดี การโทรติดตามไม่ควรโทรหาแบบถี่ๆ เช่น วันนี้ไม่ยอมรับนัดจึงโทรวันพรุ่งนี้ทันที เป็นต้น คุณควรทิ้งระยะเวลาออกไปประมาณ 3-5 วัน หรือสัปดาห์ละครั้งเพื่อขอทำนัดใหม่กับลูกค้า ยิ่งลูกค้ายังไม่ยอมก็ยิ่งต้องขยายระยะเวลาออกไปให้มากขึ้น เช่น จาก 3 วันก็กลายเป็น 1 สัปดาห์ จาก 1 สัปดาห์ก็กลายเป็น 2 อาทิตย์ เป็นต้น ความพยายามของคุณย่อมสัมฤทธิ์ผลให้ลูกค้ายอมรับนัดและไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกรำคาญหรือกดดันอย่างแน่นอนครับ

5. ลูกค้าที่รับโทรศัพท์เร็วมีแนวโน้มว่าจะตอบรับนัดง่ายกว่า

มีงานวิจัยเพิ่มเติมว่าถ้าคุณโทรและรอสายไม่เกิน 5 ตรู๊ด (เสียงรอสาย) และลูกค้ารับสาย มีตัวเลขสูงถึง 391% ที่พวกเขาจะยอมรับนัดจากคุณ ซึ่งมันสอดคล้องกับงานวิจัยเรื่องช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการโทรหาลูกค้าโดยตรง เพราะลูกค้าหรือแม้แต่ตัวคุณเองที่รับโทรศัพท์ใครก็ตามทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกเข้า แสดงว่าคุณมีเวลามากพอและไม่ได้ติดภารกิจอะไร หรือไม่ได้โทรเข้ามาเป็นสายเรียกซ้อน ผลลัพธ์จากงานวิจัยทำให้สะท้อนออกมาว่าคุณจะมีโอกาสได้นัดกับลูกค้าสูงขึ้นนั่นเองครับ

นี่คือช่วงเวลาที่ควรโทรหาลูกค้าใหม่ที่สุดซึ่งผมอ่านมาจากงานวิจัยของฝรั่งที่น่าเชื่อถือครับ

05/08/2025

เปิดโลก "ล็อบบี้ยิสต์"
อาชีพทรงอิทธิพล
ที่คุณอาจไม่เคยรู้!
(พร้อมเส้นทางสู่
ล็อบบี้ยิสต์ขั้นเทพ)

ติดต่อเราผ่าน LINE >> [] หรือสนใจถามคำถาม คอร์การขายคลิก >> [https://m.me/sales100million]

19 คำคมด้านการขายจากสุดยอดกูรูนักขายของโลกคำคม คือคำที่ฟังแล้วบาดหูจนขาด (ฮา) ผมพูดเล่นครับ คำคมจริงๆ แล้วก็คือคำที่ฟังแ...
05/08/2025

19 คำคมด้านการขายจากสุดยอดกูรูนักขายของโลก

คำคม คือคำที่ฟังแล้วบาดหูจนขาด (ฮา) ผมพูดเล่นครับ คำคมจริงๆ แล้วก็คือคำที่ฟังแล้วมัน "โดนใจ" เป็นถ้อยคำหรือประโยคที่หลักแหลมชวนให้คิด คำคมที่ดีต้องแสดงถึงการใช้ความคิด หรือแสดงให้เกิดความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านเกิด ความลึกซึ้งเมื่อได้อ่าน

การขายเองก็มีคำคมดีๆ อยู่เช่นกันครับ เป็นคำที่ฟังแล้วคุณจะมีแรงบันดาลใจได้อย่างประหลาดเลยล่ะ ไม่น่าเชื่อว่าคำคมสั้นๆ จากบุคคลระดับโลกนั้นทำให้คุณเกิดความคิดที่ยอดเยี่ยมได้แบบที่ไม่เคยคิดมาก่อน มาดูกันว่าคำคมที่ผมอ่านเจอและคัดเลือกมาเสริฟให้คุณถึงที่นั้นมีอะไรกันบ้าง

1. "คุณสามารถมีทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ เพียงแค่คุณช่วยเหลือให้คนอื่นให้พอได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ" -- Zig Ziglar

2. "คุณควรจะลดการจ้องจะเอาแต่ขายลงมา และเริ่มทำงานกับลูกค้าราวกับว่าพวกเขาซื้อคุณไปเรียบร้อยแล้ว" -- Jill Konrath

3. "จงทำให้ดีที่สุดเสมอ อะไรที่คุณหว่านเมล็ดเอาไว้ในตอนนี้ คุณจะได้เก็บเกี่ยวในภายหลังแน่นอน" -- Og Mandino

4. "ปลุกเร้าความต้องการของอีกฝ่าย ผู้ที่สามารถทำสิ่งนี้ได้จะมีทั้งโลกอยู่กับเขา เขาผู้นั้นจะต้องไม่เดินเดียวดาย" -- Dale Carnegie

5. "การตั้งเป้าหมายคือขั้นตอนแรกของการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้" -- Tony Robbins

6. "ลูกค้าไม่ได้สนว่าคุณจะปิดดีลหรือไม่ แต่พวกเขาสนแต่สิ่งที่ทำให้ธุรกิจของพวกเขาดีขึ้น" -- Aaron Ross

7. "คุณไม่สามารถสร้างชื่อเสียงในสิ่งที่คุณกำลังจะทำ (ทำเสร็จแล้วต่างหากคุณถึงจะมีชื่อเสียง)" -- Henry Ford

8. "ความขัดแย้งที่ยากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับความสง่างามเมื่อได้รับชัยชนะมากขึ้นเท่านั้น" -- Thomas Paine

9. "การกระทำ เสียงดังกว่าคำพูด" -- Dale Carnegie

10. "พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เราต้องการไปทำไม มันช่างหน่อมแน้ม บ้าบอคอแตก แน่นอนคุณสนใจในสิ่งที่คุณต้องการ คุณสนใจมันตลอดไป แต่ไม่มีใครอื่น พวกเราที่เหลือเป็นเหมือนคุณ: พวกเราสนใจในสิ่งที่เราต้องการ" -- Dale Carnegie

11. "ความสำเร็จด้านการขายมาจากการที่คุณทำงานเกินขีดจำกัดในแต่ละวัน" -- Omar Periu

12. "การถูกทำให้สนใจคือการทำตัวให้น่าสนใจ" -- Dale Carnegie

13. "นักขายผู้ยิ่งใหญ่คือนักสร้างความสัมพันธ์ซึ่งต้องเป็นคนที่มอบคุณค่าและช่วยให้ลูกค้าได้ประโยชน์" -- Jeffrey Gitomer

14. "ผมโชคดีเพราะว่าผมไม่เคยหยุดค้นหา คุณเลิกทำเร็วไปรึเปล่า หรือว่าคุณจะไล่ล่าโชคชะตาด้วยการล้างแค้น" -- Jill Konrath

15. "ล้มเจ็ดครั้งแล้วลุกขึ้นแปดครั้ง" -- Proverb

16. "โอกาสมักจะถูกเผยว่ามาจากการทำงานหนัก ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่รู้จักโอกาส" -- Ann Landers

17. "ความสำเร็จ คือการก้าวจากความล้มเหลวหนึ่งไปสู่อีกความล้มเหลวหนึ่งโดยที่ไม่สูญสิ้นศรัทธา" -- Winston Churchill

18. "ทุกสิ่งที่คุณต้องการอยู่อีกด้านหนึ่งของความกลัว" -- George Addair

19. "คนส่วนใหญ่คิดว่า 'ขาย' เป็นเช่นเดียวกับ 'พูดคุย' แต่พนักงานขายที่มีประสิทธิภาพสูงสุดจะรู้ว่าการฟังเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการขาย" -- Roy Bartell

นี่คือคำคมของชีวิตนักขายที่ผมชื่นชอบมากๆ ครับ อาจจะแปลได้ไม่ลึกซึ้งเท่าภาษาอังกฤษ ยังไงผมก็ขออภัยล่วงหน้าด้วยนะครับ

04/08/2025

เด็กเรียนเก่ง "โคตรฉลาด" ทำไมถึง "สอบตก" ในสนามธุรกิจจริง? นี่คือเหตุผลที่คุณอาจไม่เคยรู้!

ติดต่อเราผ่าน LINE >> [] หรือสนใจถามคำถาม คอร์การขายคลิก >> [https://m.me/sales100million]

เด็กเรียนเก่ง "โคตรฉลาด" ทำไมถึง "สอบตก" ในสนามธุรกิจจริง? นี่คือเหตุผลที่คุณอาจไม่เคยรู้!เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าทำไม...
04/08/2025

เด็กเรียนเก่ง "โคตรฉลาด" ทำไมถึง "สอบตก" ในสนามธุรกิจจริง? นี่คือเหตุผลที่คุณอาจไม่เคยรู้!

เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าทำไมบรรดาเซลล์ตัวท็อป หรือนักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรงหลายๆ คน มัก "ไม่ใช่เด็ก 4.00" หรือเรียนเก่งขั้นเทพกันซักเท่าไรนัก ต่อให้มีก็มีอยู่น้อยมาก ไม่เชื่อไปถามบรรดาลูกพี่ในบริษัทดูก็ได้ครับ หรือไม่ก็ไปถามเจ้าของเลยว่าจบมาเกรดเท่าไหร่ ผมบอกว่าเลยว่าส่วนใหญ่แล้วจบมาก็ "2 กว่าๆ" กันทั้งนั้นครับ (ฮา) บางคนติดเอฟ เปอร์ หรือเกือบไทร์ด้วยซ้ำ (เช่นผม) ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นไม่ได้เกี่ยวกับ "ความฉลาด" แต่อย่างใด แต่เกี่ยวกับสิ่งที่ผมกำลังจะพูดตามนี้เลย ซึ่งถ้าเด็กเรียนคนไหนรู้สึกว่ากำลังมีอุปสรรคอยู่ ถ้าคุณอ่านบทความนี้จนจบแล้วกล้าก้าวผ่านกำแพงนี้ไปได้ คุณจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน

1. ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบจนทำให้ "ไม่กล้า" ลงมือทำ

ในรั้วโรงเรียน มหาลัย ส่วนใหญ่พวกเขายึดติดกับคำว่า "มือหนึ่ง" จากผลคะแนนสอบระดับหัวแถว ความสมบูรณ์แบบและคำชมจากทางบ้านหรือครูบาอาจารย์ ทำให้พวกเขา "แพ้ไม่ได้" จน "กลัวความผิดพลาด" แต่ในโลกของการขายและการทำธุรกิจ ทุกการกระทำคือความเสี่ยง ล้มแล้วต้องลุกให้ไว แต่เรื่องนี้คนที่ยึดติดความสมบูรณ์แบบก็จะเกิดอาการกลัวจนไม่กล้าลงมือทำอะไร ทำให้พวกเขาไม่สามารถเป็นนักขายหรือนักธุรกิจระดับท็อปได้ เพราะการจะเป็นสองสิ่งนี้ต้องผ่านการโดนปฎิเสธไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครังครับ

2. ขาดทักษะ Soft Skill สำหรับการสื่อสารกับคนซึ่งโคตรสำคัญ

ถ้าเป็นแก๊งเด็กเรียนแบบเพียวๆ เด็กเนิร์ด ส่วนใหญ่พวกเขาจะมีวัฒนธรรมกลุ่มด้วยการคบแต่เด็กเรียนกันเอง ไม่ค่อยทำกิจกรรมสันทนาการที่ไม่ทำให้เรียนเก่งขึ้น เช่น กีฬา นารี เกมส์ ฯลฯ ยิ่งตอนเข้ามหาลัยก็ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ที่เลือกเพื่อนได้มากขึ้น พอเข้ามาสู่โลกแห่งการทำงานจริงก็มักจะเลือกสายงานตามวิชาชีพขั้นสูงที่เด็กๆ หัวกะทิเท่านั้นถึงจะเรียนได้ เช่น แพทย์ วิศวะฯ นักวิทยาศาสตร์ ผู้พิพากษา บัญชี การเงิน ฯลฯ ผลก็คือขาดประสบการณ์ทำงานที่ต้องเน้นการสื่อสารเพราะยังไงพวกเขาก็ไม่เลือกทำอยู่แล้ว เช่น งานขาย งานการตลาด งานด้านนิเทศน์ เป็นต้น ทำให้การพัฒนาทักษะทางอารมณ์ (EQ) ยิ่งช้ากว่าคนอื่นไปอีก

3. การตีกรอบความสำเร็จด้านการเรียนกับวิชาชีพตั้งแต่เด็ก

กรอบที่ว่านั้นก็คือ "จุดสูงสุด" ด้านการศึกษา เช่น เป็นหมอได้ เป็นวิศวะจุฬา เป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับนักเรียนทุน ฯลฯ พวกเขาจึงยึดติดว่าความสำเร็จคือการได้ทำงานตามวิชาชีพ องค์กรใหญ่ๆ ตำแหน่งดีๆ เงินเดือนมั่นคง ซึ่งมันก็มั่นคงในระดับนึงแต่ไม่สามารถตอบโจทย์ด้าน "ความมั่งคั่ง" หรือความสำเร็จทางการเงินถ้าเทียบกับผู้ประกอบการหรือนักขายที่มองว่าความสำเร็จคือการแก้ปัญหาและตอบโจทย์ให้กับลูกค้า การสร้างเงินด้วยตนเอง และการเผชิญหน้าความเสี่ยงกับความไม่แน่นอน ผลก็คือเมื่อเวลาผ่านไปจนอายุ 40 เด็กเรียน ณ วันนั้นการงานดีจริงแต่ไม่รวยเมื่อเทียบกับเด็กที่กล้าได้กล้าเสียเรื่องงานมาตั้งแต่จบใหม่

4. ไม่กล้าออกจาก Comfort Zone

ส่วนใหญ่เด็กเกเร เด็กเหี้ย (ฮา) หรือเด็กที่ผลการเรียนงั้นๆ เวลาทำงานจริงหลายๆ คนรู้ดีว่าไม่มีอะไรจะเสีย (เพราะล้มเหลวมาเยอะแล้ว) จึงกล้าออกจาก Comfort Zone ไปเสี่ยงกับเรื่องที่ได้เงิน เพราะตำแหน่งงานดีๆ บริษัทชั้นนำนั้นถูกจับจองโดยเด็กระดับหัวกะทิหมดแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ที่เก่งและอยู่ในองค์กรที่มั่นคงมักจะมีความกล้วลึกๆ ถ้าเกิดออกมาลงมือทำเองเพราะมันเสี่ยงและชีวิตส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่กล้าเสี่ยง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ สำหรับคนที่อยู่ในกฎระเบียบ ทำอะไรอยู่ในกรอบของสังคมและครอบครัวมาโดยตลอด

5. แต่ก็ไม่ใช่ว่าเด็กเรียนจะล้มเหลวด้านการทำธุรกิจเสมอไป

เพราะยังมีเด็กเรียนอีกมากที่เปิดความคิดและทัศนคติ ไม่ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ เรียนรู้ทักษะการสื่อสารกับคน กล้าออกจากคอมฟอร์ทโซนและไปสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่สำคัญคือเปิดรับทัศนคติเรื่องการแสวงหาความมั่งคั่ง ผลก็คือออกจากระบบและใช้ความเก่งของตัวเองอยู่แล้วมาสร้างธุรกิจได้เป็นอย่างดีครับ

คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ? มาแชร์ความคิดเห็นกันครับ!

03/08/2025

พูดจาดูดี
นำเสนอขั้นเทพ
พรีเซนต์สุดยอด
แต่ ‘ไม่กล้า’ คุยราคา
การขายก็จบเห่อยู่ดี

ติดต่อเราผ่าน LINE >> [] หรือสนใจถามคำถาม คอร์การขายคลิก >> [https://m.me/sales100million]

เก่งเรื่องนำเสนอ แต่กลัวการคุยเรื่องราคากับลูกค้า ควรทำอย่างไรดีบทความนี้มีน้องๆ นักขายมือใหม่ฝากถามมาครับ ส่วนตัวผมว่าน...
03/08/2025

เก่งเรื่องนำเสนอ แต่กลัวการคุยเรื่องราคากับลูกค้า ควรทำอย่างไรดี

บทความนี้มีน้องๆ นักขายมือใหม่ฝากถามมาครับ ส่วนตัวผมว่าน่าสนใจดีเพราะว่าคนที่ไม่เคยขายมาก่อนย่อมไม่เข้าใจทฤษฎีผลประโยชน์ หลายๆ คนกลัวการขายก็เพราะว่าเหตุผลที่แท้จริงนั้นคือ "ไม่กล้าคุยเรื่องราคา" กับลูกค้า สาเหตุก็คงมาจากการกลัวว่าคุยไปแล้วจะทำให้ตัวเองดูเป็นพวก "มุ่งแต่ผลประโยชน์" ผลก็คือนักขายมือใหม่หลายๆ คนจึงมุ่งไปที่การนำเสนอให้มันดูเทพมากกว่า ซึ่งหารู้ไม่ว่าการไม่เอ่ยปากคุยเรื่องราคาหรือตั้งงบประมาณของลูกค้า หรือไม่สามารถออกใบเสนอราคาได้ ต่อให้นำเสนอขั้นเทพได้มากแค่ไหนก็เท่านั้นครับ ไร้ประโยชน์ เสียเวลา เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็มาดูวิธีก้าวผ่านความกล้วนี้กันดีกว่าครับ

1. จำไว้เสมอว่าทุกการขายไม่สามารถปิดการขายถ้าไม่มีการคุยเรื่องราคา

นักขายหน้าใหม่ทุกคนจงจำใส่สมองเอาไว้นะครับว่าการวัดผลลูกค้าที่อยากซื้อสินค้าเรามากที่สุดแล้ววัดออกมาเป็นตัวเลข ไม่ใช่ความรู้สึก สิ่งนั้นก็คือการพูดคุย นำเสนอ หรือหารือเรื่องราคาของลูกค้า โดยที่พวกเขาจะบอกว่าแพงไปหรืออะไรก็ช่างครับ เพราะการบอกราคาจะได้ "Feedback" ทันทีว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร ต่อให้บอกว่าแพงแต่ก็ฟันธงได้เลยว่าพวกเขาอยากได้ ส่วนเรื่องผลประโยชน์ค่อยว่ากันทีหลัง ดังนั้นคุณต้องคิดเสมอว่านำเสนอ ทดสอบ สาธิตได้เป็นอย่างดีแล้วต้องเป็นฝ่ายคุยหรือเสนอเรื่องราคาทุกครั้งนะครับ

2. ถ้าตอนนำเสนอหรือสาธิตแล้วลูกค้ามีความรู้สึกที่ดี จงเปิดเกมคุยเรื่องราคาได้เลย

สัญญาณซื้อที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือตอนนำเสนอแล้วทดสอบหรือให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการสาธิตไปด้วย ถ้าพวกเขาไม่พูดอะไรก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามพวกเขาได้เกี่ยวกับความรู้สึกในการใช้งาน สำหรับความคิดเห็นที่เป็นบวกจะบ่งบอกถึงสัญญาณซื้อที่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจังหวะนี้คุณควรนำเสนอหรือพูดคุยเรื่องราคากับลูกค้าได้เลย สำหรับงานงบโครงการขนาดใหญ่ ไม่ผิดที่จะบอกว่าขอคำนวณราคาให้เรียบร้อยและเหมาะสมกับโจทย์ของลูกค้าก่อน แล้วรีบออกใบเสนอราคาที่มีรายละเอียดงานอย่างละเอียดทีหลังก็ได้ครับ

3. เทคนิคเพิ่มเติมสำหรับการนำเสนอราคาให้เป็นมืออาชีพ

- อย่าลังเล: เวลาคุยเรื่องนี้จงมั่นใจและยึดมั่นในปรัชญาว่า "ลูกค้าสนใจสินค้าเราอยู่แล้ว" ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัวเลย โอกาสได้เงินอยู่ตรงหน้าแล้ว ลูกค้าเอาเงินมาให้แล้วจะกลัวทำไมครับ?

- เน้นออปชั่นที่เหมาะสม: โดยดูจากโจทย์หรือความท้าทายของลูกค้าเป็นหลัก มีเคล็ดลับคือคุณควรเสนอออปชั่น "เต็มๆ" เอาไว้ก่อน แต่ก็ผสานด้วยคุณค่าที่ลูกค้าจะได้เต็มๆ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องเสนอราคาถูกสุด

- ให้เวลาหรือสอบถามลูกค้าสำหรับการพิจารณา: คุณสามารถถามต่อหน้าได้ว่าลูกค้ารู้สึกอย่างไรกับข้อเสนอ เพราะเป็นไปได้ว่าข้อโต้แย้งหรือความต้องการที่เพิ่มขึ้น ถ้าคุณแก้ตรงหน้าแล้วอาจจะสามารถปิดการขายต่อหน้าได้ทันทีเลยก็ได้ครับ

การคุยเรื่องราคาเป็นทักษะที่ต้องใช้การฝึกฝนครับ ยิ่งคุณได้ลองทำบ่อยๆ คุณก็จะยิ่งมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ขอให้โชคดีกับการเจรจานะครับ

02/08/2025

เป็นแค่คู่เทียบ
มาทีหลัง
จะพลิกเกม
อย่างไรให้ชนะ
(ทั้งๆ ที่ลูกค้า
เลือกเจ้าแรก)

ติดต่อเราผ่าน LINE >> [] หรือสนใจถามคำถาม คอร์การขายคลิก >> [https://m.me/sales100million]

ที่อยู่

เลขที่ 7 ซอยนักกีฬาแหลมทอง 5 แยก 4-5 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง
Bangkok
10240

เบอร์โทรศัพท์

+66633987999

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Sales100Million - กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้านผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Sales100Million - กูนี่แหละเซลล์ร้อยล้าน:

แชร์