DNA Agency ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก DNA Agency, บริษัทด้านสื่อ/ข่าวสาร, Digital New Age Agency Co. , Ltd. (Head Office), Bangkok.

🎬 ชาว TikTok ว่าไง... อยากดันยอดวิวให้ปังใช่มั้ย?โพสต์คอนเทนต์ยังไงให้โดนใจอัลกอริทึม เพิ่มการมองเห็นได้จริง 👀ครีเอเตอร์...
04/11/2025

🎬 ชาว TikTok ว่าไง... อยากดันยอดวิวให้ปังใช่มั้ย?
โพสต์คอนเทนต์ยังไงให้โดนใจอัลกอริทึม เพิ่มการมองเห็นได้จริง 👀

ครีเอเตอร์และแบรนด์ต้องรู้! เคล็ดลับโพสต์ให้ช่อง TikTok เติบโต 📈
.

สรุปอินไซต์ TikTok ยิ่งโพสต์ถี่ ยิ่งดันยอดวิว ให้ช่องเราโต จริงไหม ? อัปเดตล่าสุดปี 2025 - MarketThink
- ล่าสุด Buffer แพลตฟอร์ม Social Media Management เปิดอินไซต์น่าสนใจ เกี่ยวกับความถี่ในการโพสต์คอนเทนต์ที่เหมาะสมบน TikTok เพื่อให้ยอดการมองเห็นและยอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้น

โดยข้อมูลนี้มาจากการศึกษาและสำรวจโพสต์บน TikTok กว่า 11.4 ล้านโพสต์ จากทั้งหมด 150,000 บัญชี

แล้วถ้าอยากให้ TikTok มีผู้ติดตามเพิ่ม ยอดการเข้าถึงโต ต้องทำอย่างไร ?
MarketThink สรุปอินไซต์ที่น่าสนใจมาให้ในบทความนี้

ในบทความนี้ จะพูดถึงคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดบน TikTok หลัก ๆ คือ “ยอดวิว (View)”

ซึ่งยอดวิวในทีนี้ หมายถึง ยอดการรับชมวิดีโอและการเลื่อนดูวิดีโอบนหน้าฟีด
โดย 1 View หมายถึง การรับชมวิดีโอ 1 ครั้ง แบบไม่นับยอดวิวเพิ่มในกรณีที่มีการปล่อยให้เล่นซ้ำวนไปเรื่อย ๆ

แต่ถ้าเราดู จนจบหรือไม่จบก็ตาม แล้วมีการปัดทิ้งหรือออกไป จากนั้นเมื่อกลับเข้ามาดูใหม่ แบบนี้จะมีการนับยอดวิวซ้ำเกิดขึ้น

เมื่อรู้จักตัวชี้วัดที่สำคัญกันแล้ว มาดูอินไซต์ที่น่าสนใจกัน

1. การโพสต์ 2-5 ครั้ง/สัปดาห์ ช่วยเพิ่มยอดวิวได้อย่างมีนัยสำคัญ

ถ้าใครโพสต์คอนเทนต์ลง TikTok เฉลี่ย 1 ครั้ง/สัปดาห์ แล้วปรับการโพสต์เพิ่มขึ้นเป็น 2-5 ครั้ง/สัปดาห์ จะช่วยเพิ่มยอดวิวได้มากที่สุด

โดยครีเอเตอร์หรือแบรนด์ที่โพสต์บ่อยขึ้น จะได้ยอดการมองเห็นเพิ่มขึ้น ได้แก่

- โพสต์ 2-5 ครั้ง/สัปดาห์ ยอดวิวต่อโพสต์เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับการโพสต์แค่ 1 ครั้ง/สัปดาห์

- โพสต์ 6-10 ครั้ง/สัปดาห์ ยอดวิวต่อโพสต์เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับการโพสต์แค่ 1 ครั้ง/สัปดาห์

- โพสต์ 11 ครั้ง/สัปดาห์ขึ้นไป ยอดวิวต่อโพสต์เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับการโพสต์แค่ 1 ครั้ง/สัปดาห์

จากข้อมูลนี้ จะเห็นได้ว่า การโพสต์ 11 ครั้ง/สัปดาห์ขึ้นไป ทำให้ยอดวิวต่อโพสต์เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 34%

ซึ่งต้องหมายเหตุว่า ยอดวิวที่เพิ่มขึ้นนี้ ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของคอนเทนต์ด้วย ที่คุณภาพต้องดี ทำให้คนหยุดดู ดูนาน ดูจนจบ และดูวนซ้ำได้

อย่างไรก็ตาม การโพสต์คอนเทนต์มากกว่า 11 ครั้ง/สัปดาห์ อาจเป็นภาระที่หนักเกินไป ถ้าเรายังทำงานประจำและไม่มีทีมงานคอยช่วยเหลือ

ดังนั้น ถ้าเราไม่ได้เป็นครีเอเตอร์แบบ Full-Time การทำคอนเทนต์คุณภาพดี ๆ จำนวน 2-5 ครั้ง/สัปดาห์ ก็เพียงพอแล้ว สำหรับการทำช่อง TikTok ให้เติบโตแบบยั่งยืน

2. การโพสต์คอนเทนต์จำนวนมาก ไม่ได้ช่วยเพิ่ม “ยอดวิวขั้นต่ำ” อย่างมีนัยสำคัญ

ข้อสรุปอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การโพสต์คอนเทนต์เยอะ ๆ ถี่ ๆ บน TikTok ถึงแม้จะช่วยเพิ่มยอดวิวขั้นต่ำต่อโพสต์ได้ แต่ก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเท่าไรนัก ถ้าครีเอเตอร์ไม่ได้เป็นบุคคลที่สังคมรู้จักในวงกว้าง และมีคนพร้อมจะสนับสนุน

เพราะจำนวนผู้ติดตามบน TikTok ไม่ได้สำคัญเหมือนบน Facebook และ Instagram ที่เมื่อมีผู้ติดตามเยอะขึ้น คอนเทนต์ก็จะได้รับการมองเห็นมากขึ้นตามจำนวนผู้ติดตามไปด้วย

กลับกัน ถึงแม้เราจะมีผู้ติดตามเยอะ บน TikTok ก็ไม่ได้การันตีว่า ทุกโพสต์จะได้รับยอดวิวเยอะ

เพราะระบบของ TikTok จะให้ความสำคัญกับ “คุณภาพของคอนเทนต์” มากกว่า “จำนวนผู้ติดตาม”

หมายความว่า ต่อให้เราเป็นครีเอเตอร์ TikTok ที่มีผู้ติดตามน้อย ก็มีโอกาสสร้างคอนเทนต์ไวรัล ที่มียอดวิวเยอะ ๆ ได้เช่นกัน

3. การโพสต์ถี่ ไม่ได้ช่วยให้ยอดวิวขั้นต่ำของทุกคลิปสูงขึ้น แต่ช่วยดันให้คลิปที่มียอดวิวเยอะอยู่แล้ว เยอะขึ้นอีก

สมมติว่า เราโพสต์คอนเทนต์บน TikTok สัก 10 คลิป แล้วมี 1 คลิปเป็นไวรัล ที่มียอดวิวหลักแสนไปจนถึงหลักล้าน ส่วนอีก 9 คลิปที่เหลือจะมียอดวิวหลักร้อยถึงหลักพันเฉลี่ย ๆ กันไป

และอย่างที่บอกว่า การโพสต์คอนเทนต์จำนวนมาก ไม่ได้ช่วยให้ทุกคลิปในช่อง มียอดวิวขั้นต่ำมากขึ้นเท่าไร

แต่การโพสต์คอนเทนต์จำนวนมาก จะช่วยให้โพสต์ที่มียอดวิวสูงสุด 10% แรก ได้รับการมองเห็นเพิ่มมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

โดยข้อมูลจากการสำรวจพบว่า

- โพสต์ 1 ครั้ง/สัปดาห์ มียอดวิวเฉลี่ยทั้งช่อง 489 ครั้ง
ส่วนโพสต์ที่มียอดวิวสูงสุด 10% แรก มียอดวิวเฉลี่ย 3,722 ครั้ง หรือมากกว่ายอดวิวเฉลี่ยของช่อง 7.6 เท่า

- โพสต์ 2-5 ครั้ง/สัปดาห์ มียอดวิวเฉลี่ยทั้งช่อง 506 ครั้ง
ส่วนโพสต์ที่มียอดวิวสูงสุด 10% แรก มียอดวิวเฉลี่ย 6,983 ครั้ง หรือมากกว่ายอดวิวเฉลี่ยของช่อง 13.8 เท่า

- โพสต์ 6-10 ครั้ง/สัปดาห์ มียอดวิวเฉลี่ยทั้งช่อง 487 ครั้ง
ส่วนโพสต์ที่มียอดวิวสูงสุด 10% แรก มียอดวิวเฉลี่ย 10,092 ครั้ง หรือมากกว่ายอดวิวเฉลี่ยของช่อง 20.7 เท่า

- โพสต์ 11 ครั้ง/สัปดาห์ขึ้นไป มียอดวิวเฉลี่ยทั้งช่อง 459 ครั้ง
ส่วนโพสต์ที่มียอดวิวสูงสุด 10% แรก มียอดวิวเฉลี่ย 14,401 ครั้ง หรือมากกว่ายอดวิวเฉลี่ยของช่อง 31.4 เท่า

จากข้อมูลทั้งหมด สรุปง่าย ๆ ได้ว่า

- การโพสต์คอนเทนต์มากกว่า 11 ครั้ง/สัปดาห์ขึ้นไป ช่วยเพิ่มยอดวิวต่อโพสต์ได้ดีที่สุด คือ 34%

- การโพสต์คอนเทนต์ 2-5 ครั้ง/สัปดาห์ ช่วยเพิ่มยอดวิวต่อโพสต์ถึง 17% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่โพสต์เพียงครั้งเดียว

- การโพสต์คอนเทนต์ 2-5 ครั้ง/สัปดาห์ คือจำนวนที่เหมาะสมที่สุด สำหรับคนที่เป็นครีเอเตอร์และทำงานประจำไปด้วย และช่องยังเติบโตไปได้

- การโพสต์คอนเทนต์เยอะ ๆ ไม่ได้ช่วยให้ทุกคลิปในช่อง ได้รับการมองเห็นเพิ่มแต่อย่างใด เพราะ TikTok ไม่ได้ให้ความสำคัญกับจำนวนผู้ติดตามมากเท่ากับคุณภาพของคอนเทนต์

- แต่การโพสต์คอนเทนต์เยอะ จะทำให้คลิปที่มียอดวิวสูงสุด 10% แรก (คลิปไวรัลในช่อง) ได้รับการมองเห็นเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า


#กลยุทธ์ทำคอนเทนต์

เรียนรู้การตลาด Ansoff Matrix ฉบับ After You 🐐ขยายพอร์ตสินค้า ลุยขาย “ชาดำพร้อมดื่ม” ใน 7-Eleven 🍵👇🏻 อ่านบทความเต็มของ A...
03/11/2025

เรียนรู้การตลาด Ansoff Matrix ฉบับ After You 🐐
ขยายพอร์ตสินค้า ลุยขาย “ชาดำพร้อมดื่ม” ใน 7-Eleven 🍵

👇🏻 อ่านบทความเต็มของ Ansoff Matrix
https://shorturl.at/wCseJ

👇🏻 พร้อมอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์ได้ที่นี่
https://shorturl.at/DC2CG

เรียนการตลาด Ansoff Matrix จากเคส After You ทำชาขาย ในเซเว่น | BrandCase
-After You เพิ่งเปิดตัวเมนูใหม่ “ชาดำพร้อมดื่ม” วางขายใน 7-Eleven มี 2 สูตร คือ สูตรไม่มีน้ำตาล กับสูตรหวานน้อย ขายขวดละ 37 บาท

ในมุมการตลาด เราสามารถอธิบายกลยุทธ์เคสนี้ของ After You แบบเนิร์ด ๆ ได้ ผ่านเฟรมเวิร์กชื่อว่า “The Ansoff Matrix”

The Ansoff Matrix คืออะไร อธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ

- สินค้า : เก่า หรือ ใหม่
- ตลาด : เก่า หรือ ใหม่
นี่คือ 2 ตัวแปรสำคัญ ที่เป็นพระเอกของเครื่องมือทางธุรกิจและการตลาด ที่ชื่อว่า “The Ansoff Matrix”

เมื่อนำตัวแปรทั้ง “สินค้า” และ “ตลาด” ไปตีเป็นตาราง เราก็จะได้เป็นกลยุทธ์การตีตลาดทั้งหมด 4 ช่อง ได้แก่

- สินค้าเดิม - ตลาดเดิม หรือ Market Pe*******on
- สินค้าเดิม - ตลาดใหม่ หรือ Market Development
- สินค้าใหม่ - ตลาดเดิม หรือ Product Development
- สินค้าใหม่ - ตลาดใหม่ หรือ Diversification

ในกรณีของ After You นั้น จะตรงกับกลยุทธ์ที่เรียกว่า Market Development หรือ สินค้าเดิม - ตลาดใหม่

การทำ Market Development เป็นกลยุทธ์ที่เน้นขยายตลาดเชิงรุก

คือเน้นมองหาโอกาสหรือตลาดใหม่ ๆ แล้วนำสินค้าเดิมที่ทำได้ดีอยู่แล้ว เข้าไปเจาะตลาดนั้น

อย่างเคส After You ก็จะเน้นสร้างการเติบโต โดยการขยายไลน์สินค้าที่มีอยู่เดิม ไปยังกลุ่มลูกค้า หรือช่องทางการจำหน่ายใหม่ ๆ

โดยการออกผลิตภัณฑ์อย่าง ชาดำพร้อมดื่ม ซึ่งปกติจะเป็นเครื่องดื่มที่ให้บริการฟรีสำหรับลูกค้าที่นั่งทานในร้าน

มาทำเป็นผลิตภัณฑ์ชาดำพร้อมดื่ม ส่งขายใน 7-Eleven เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ตลาดใหม่ ๆ จากเดิมที่ร้าน After You อาจจะเจาะลูกค้า กลุ่มครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อน

แต่ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ จะเข้ามาเจาะกลุ่มลูกค้า เช่น กลุ่มคนทำงาน หรือคนที่ใช้ชีวิตเร่งรีบมากขึ้น

หรือถ้าเป็นเคสของแบรนด์อื่น ๆ ในการทำ Market Development ก็อย่างเช่น

- ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ของเครือ CPALL ที่ขยายตลาดออกไปในต่างประเทศ อย่าง ลาว และกัมพูชา

- แบรนด์ เถ้าแก่น้อย ที่เอาสาหร่ายไปเจาะตลาดประเทศจีน

ซึ่งกลยุทธ์ Market Development ธุรกิจมักจะใช้เพื่อเจาะตลาดใหม่ ๆ เมื่อตลาดเดิม หรือกลุ่มลูกค้าเดิม เริ่มอิ่มตัว

โดยความยากของกลยุทธ์นี้ คือเจ้าของธุรกิจ ต้องเรียนรู้ตลาดใหม่ ทำการ Research หรือศึกษาภาพรวมของตลาดและพฤติกรรมของลูกค้าใหม่ ๆ ที่ธุรกิจต้องการเข้าไปเจาะอีกด้วย

นี่ก็คือการทำ Market Development จากเฟรมเวิร์ก The Ansoff Matrix ซึ่งเป็นเครื่องมือไว้สำหรับขยายตลาด และมองหาการเติบโตใหม่ ๆ

สรุปอีกที ให้สามารถจำได้ง่าย ๆ พร้อมกับนำไปปรับใช้

- ใช้สินค้าเดิม เจาะตลาดเดิม หรือ Market Pe*******on
- ใช้สินค้าเดิม เจาะตลาดใหม่ หรือ Market Development
- ใช้สินค้าใหม่ เจาะตลาดเดิม หรือ Product Development
- ใช้สินค้าใหม่ เจาะตลาดใหม่ หรือ Diversification

“Sora 2” เปิดให้ใช้แล้วในไทย 🇹🇭✨AI สร้างวิดีโอตัวโหด ของ OpenAI ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเนียนขั้นสุด 🎬อยากรู้ว่าโหดแค่ไหน.....
31/10/2025

“Sora 2” เปิดให้ใช้แล้วในไทย 🇹🇭✨

AI สร้างวิดีโอตัวโหด ของ OpenAI ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเนียนขั้นสุด 🎬
อยากรู้ว่าโหดแค่ไหน... ต้องลองไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง!

📲 แอป Sora by OpenAI (iOS):
https://apps.apple.com/us/app/sora-by-openai/id6744034028
(ส่วน Android ยังอยู่ช่วง Pre-register รอติดตามอัปเดตกันต่อได้เลย)

▶️ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม: https://openai.com/index/sora-2/

สรุปวิธีใช้ “Sora 2” AI สร้างวิดีโอตัวโหด ของ OpenAI ที่เพิ่งเปิดให้ใช้ในไทย แบบฟรี ๆ - MarketThink
- เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา OpenAI เพิ่งประกาศขยายประเทศที่รองรับการใช้งานแอปพลิเคชัน Sora ให้สามารถใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น ได้แก่ เวียดนาม, ไต้หวัน และไทย

ที่น่าสนใจคือ ในแอปพลิเคชัน Sora มี “Sora 2” เป็น AI สร้างวิดีโอตัวโหดอยู่ด้วย

พอเป็นแบบนี้ จึงทำให้หลังจากแอปพลิเคชัน Sora เปิดตัวในช่วงเดือนกันยายน ก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี จนมียอดดาวน์โหลดทะลุ 1,000,000 ครั้ง ภายในเวลาไม่ถึง 5 วัน

แล้วแอปพลิเคชัน Sora ที่เพิ่งเปิดให้ดาวน์โหลดวันนี้ ทำอะไรได้บ้าง ? และใช้งานอย่างไร ?

1. ความโหดของ Sora 2

เชื่อว่าใครหลายคนที่ใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram ไปจนถึง YouTube ก็คงเคยเห็นคลิปวิดีโอแปลก ๆ ที่มีลายน้ำเขียนว่า Sora บริเวณมุมต่าง ๆ

ซึ่งคลิปเหล่านี้ก็เคยเป็นไวรัลอยู่หลายคลิป เพราะโทนภาพ และสไตล์ที่มีความสมจริงมาก ๆ จนทำให้ใครหลายคนที่พบเห็น ถกเถียงกันอย่างมากว่า เป็นเรื่องจริงหรือไม่

พูดง่าย ๆ ก็คือ คลิปที่ถูกสร้างด้วยโมเดลสร้างวิดีโอ Sora 2 มีความใกล้เคียงความเป็นจริงสุด ๆ ซึ่งถ้าเราไม่แยกให้ดี ก็แทบจะแยกไม่ออกเลยทีเดียว

โดยวิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าวิดีโอนี้สร้างด้วย Sora ก็คือ จะมีลายน้ำเด้งขึ้นมาว่าเป็นวิดีโอที่สร้างด้วย AI

2. วิธีใช้งาน Sora 2 สร้างวิดีโอ บนแอปพลิเคชัน Sora

ตอนนี้แอปพลิเคชัน Sora พร้อมให้ดาวน์โหลดบน App Store สำหรับระบบ iOS เรียบร้อยแล้ว

โดยวิธีใช้งานก็ง่าย ๆ เพียงแค่เข้าแอปพลิเคชัน Sora และสร้างบัญชีเพื่อ Login เข้าใช้งาน หลังจากนั้นก็เลือกรูปภาพที่ต้องการสร้างเป็นวิดีโอ และพิมพ์คำสั่งที่ต้องการได้เลย

ที่น่าสนใจคือ ตอนนี้ Sora มีมาตรการที่รัดกุมเรื่องการใช้ใบหน้าของผู้อื่นมาก เพราะฉะนั้นรูปภาพที่มีใบหน้าคนติดจะไม่สามารถนำมาสร้างวิดีโอด้วย AI ได้

ซึ่งการที่จะสร้างวิดีโอที่มีใบหน้านั้น ผู้ใช้งานสามารถสร้างวิดีโอด้วย AI ที่ใช้งานแค่ใบหน้าของตนเองเท่านั้น

โดยขั้นตอนก็คือ
- เลือกที่ “Edit Cameo” และเข้าไปกดสร้างได้เลย
- ทำตามขั้นตอนที่ประกอบไปด้วย พูดตัวเลขที่กำหนด หันหน้าตามที่กำหนด

โดยวิธีการสร้างวิดีโอก็เพียงแค่กดสัญลักษณ์ + ที่ตรงกลางด้านล่างของหน้าจอ จากนั้นให้เลือก @ ที่เป็น Username บัญชีของเรา และพิมพ์คำสั่ง
เพียงเท่านี้ เราก็จะได้วิดีโอที่เป็นใบหน้าของเรา ทำตามคำสั่งที่เราพิมพ์ลงไป

นอกจากใช้ใบหน้าของเราแล้ว เรายังสามารถอัปโหลดวิดีโอสัตว์ หรือวัตถุ เครื่องใช้ต่าง ๆ เก็บไว้ใน “Characters” เพื่อนำมาสร้างวิดีโอร่วมกันได้อีกด้วย

3. ประเภทคลิปวิดีโอ ที่สามารถสร้างได้บน Sora

ผู้ใช้งานสามารถสร้างวิดีโอได้ทั้ง แนวตั้งและแนวนอน
และสามารถสร้างวิดีโอที่มีความยาวสูงสุด 15 วินาที


เข้าใจ... เข้าใจ... และเข้าใจให้ลึกกว่าเดิม 👀เพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนไวเท่าพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้อีกแล้ว ⚡แบรนด์ที่อยากอยู...
31/10/2025

เข้าใจ... เข้าใจ... และเข้าใจให้ลึกกว่าเดิม 👀
เพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนไวเท่าพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้อีกแล้ว ⚡
แบรนด์ที่อยากอยู่รอด ต้องปรับตัวให้เร็วกว่าใคร

ชวนถอดรหัสผู้บริโภคไทยผ่านเทรนด์สำคัญที่ห้ามพลาด!
👉🏻 อ่านบทความเพิ่มเติม: https://shorturl.at/Thki2

❤️ รักแรกพบ… เป็นเรื่องของความรู้สึก🎨 “สีแรกพบ” เองก็เล่นกับใจคนเช่นเดียวกันเพราะสีคือสิ่งแรกที่ผู้บริโภคมองเห็น และยังส...
30/10/2025

❤️ รักแรกพบ… เป็นเรื่องของความรู้สึก
🎨 “สีแรกพบ” เองก็เล่นกับใจคนเช่นเดียวกัน

เพราะสีคือสิ่งแรกที่ผู้บริโภคมองเห็น และยังส่งผลด้านอารมณ์ ความรู้สึก หรือการตัดสินใจ ต่อความชอบแบรนด์อีกด้วย

โทนสีที่แบรนด์เลือกใช้ จึงอาจเปลี่ยนใจคนได้มากกว่าที่คิด ✨
.

🎨 จิตวิทยาสีแรกพบ ทำไมโทนสีเปลี่ยนใจผู้บริโภค?
‘สี’ คือองค์ประกอบแรก ๆ ที่ผู้คนสังเกตเห็นเมื่อมองไปที่แบรนด์ และมักส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์, ความคิด รวมถึงความประทับใจแรกที่เกิดขึ้นทันทีสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ โทนสีจึงกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเลือกซื้อสินค้าของแบรนด์ จากการสำรวจของ Adobe ได้มีการสอบถามผู้บริโภคชาวอเมริกันจำนวน 1,000 คน พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า
🔘 1 ใน 3 ของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะภักดีต่อแบรนด์ที่ใช้โทนสีเฉพาะตัว
🔘 18% รู้สึกไม่คุ้นเคยกับแบรนด์ทันทีหากมีการเปลี่ยนโทนสี
🔘 มากกว่า 12% ถึงขั้นหยุดซื้อสินค้ากับแบรนด์ที่เปลี่ยนสีอย่างสิ้นเชิง
โดยผลวิจัยนี้สะท้อนให้เห็นว่า สีไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการออกแบบ แต่มีอิทธิพลต่อการรับรู้แบรนด์ พฤติกรรมการซื้อ และความภักดีต่อแบรนด์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่นักการตลาดและนักสร้างแบรนด์ต้องให้ความสำคัญในยุคปัจจุบัน วันนี้ RAiNMaker จึงจะพาทุกคนไปเรียนรู้จิตวิทยา ‘ทำไมโทนสีเปลี่ยนใจผู้บริโภค’ ไปดูกันเลย!
🔎 สิ่งแรกที่ผู้บริโภคสังเกตเห็นแบรนด์
- 34% โลโก้ (Logo)
- 28% ชื่อแบรนด์ (Brand Name)
- 20% ดีไซน์ (Product Design)
- 16% โทนสี (Color Scheme)
- 2% การจัดวางร้าน และเว็บไซต์ (Layout)
แม้ว่าโลโก้จะเป็นองค์ประกอบที่ดึงดูดความสนใจของแบรนด์มากที่สุด แต่สีก็ยังส่งผลต่อการรับรู้แบรนด์โดย 16% กล่าวว่าสิ่งแรกที่เห็นจากการสังเกตคือ สี และ 1 ใน 2 ของผู้บริโภคเปลี่ยนความชอบแบรนด์เพียงเพราะโทนสี โดยเฉพาะ Gen Y และ Gen Z ที่มีจำนวนกว่า 51% นอกจากนี้ทุกคนยังได้ให้ความเห็นถึงความรู้สึกเมื่อเห็นสี ดังนี้
🤝🏻 การเข้าถึงทุกอารมณ์ความรู้สึก
- Authentic: สีดำ
- Calming: สีฟ้า
- Confidence: สีทอง
- Energized: สีส้ม
- Exciting: สีแดง
- Happiness: สีเหลือง
- Love: สีชมพู
- Sad: สีเทา
- Stressed: สีแดง
🌟 การสร้างคุณค่า
- Cheap: สีเหลือง
- Eco-Friendly: สีเขียว
- Exclusive: สีทอง
- Trendy / Modern / Innovative: สีเทอร์คอยซ์
- Luxury: สีทอง
- Overused / Outdated: สีน้ำตาล
- Professional: สีดำ
- Sophisticated / Elegant: สีทอง
💡 การสร้างความน่าเชื่อถือ
🔘 54% สีฟ้า
🔘 44% สีดำ
🔘 37% สีเขียว
🔘 37% สีขาว
🔘 30% สีทอง
🔘 27% สีเงิน
🔘 20% สีเทอร์คอยซ์
🔘 20% สีม่วง
🔘 19% สีแดง
🔘 16% สีชมพู
นอกจากการใช้สีอย่างสม่ำเสมอสามารถสร้างความน่าเชื่อถือแล้ว ยังสามารถสร้างความภักดีได้อีกด้วย จากสถิติพบว่า 47% ของผู้บริโภครับรู้ได้ถึงวิธีการที่แบรนด์เลือกใช้สี และอีก 33% ตอบว่าไม่รู้ตัวว่าสีได้มีอิทธิพลกับตัวเองแล้ว โดย 46% กล่าวว่าโทนสีของแบรนด์มีความสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อ
🔗 จับคู่โทนสีมาแรง! จากความเห็นของผู้บริโภค
- Earthy & Organic Tones (36%): สีน้ำตาลหม่น, เขียวเสจ, ส้มอิฐอบอุ่น
- AI-generated Futuristic Colors (36%): สีเมทัลลิก, เหลือบแสง, เฉดสีแบบ Sci-fi
- Digital Pastels (30%): สีนุ่มนวลแบบเทคโนโลยี
- Nostalgic 90s/2000s Colors (29%): สีลดจัดจ้าน, ชมพูบับเบิลกัม, น้ำเงินโลกไซเบอร์
- Monochrome Minimalism (26%): สีขาว, ดำ, เฉดเทา
- Color Gradients & Duotones (19%): การไล่เฉดแทนการใช้สีทึบ
- Muted Luxury Tones (18%): สีเทาอ่อน, เบอร์กันดี, เขียวมรกต
- Hyper-Bright Neons (18%): สีเขียวนีออน, ชมพู, น้ำเงิน
- Corporate Blues & Neutrals (16%): สีแบบดั้งเดิมที่เป็น Safe Zone ของแบรนด์
- Unlock, New Beginning, Reflect (100%): สี iCreator Conference 2025 Presented by sony ที่มาในธีม Awaken The Future เตรียมปลดล็อคสกิลไปกับ Speakers ที่จะมาตามหาเส้นทางครีเอเตอร์ไปพร้อม ๆ กับการย้อนค้นหาตัวตนที่นำไปสู่การยืนระยะในวงการต่อไป
เพราะการเลือกใช้สีไม่เพียงช่วยให้แบรนด์โดดเด่น และน่าจดจำ แต่ยังสร้างความรู้สึกร่วมที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลงตัว มาร่วมเรียนรู้เคล็ดลับการสื่อสารจาก Speakers มากประสบการณ์ไปจนถึงวิธีเข้าถึงใจผู้บริโภคพร้อมกันบนเวที iCreator Conference 2025 Presented by Sony เลย!
ที่มา: https://www.adobe.com/express/learn/blog/color-psychology-of-branding
อ่านบนเว็บไซต์ https://www.rainmaker.in.th/adobe-color-psychology/
-----
💙 ช่องทางการติดตาม RAiNMaker 💙
→ Facebook: ⁦https://www.facebook.com/rainmakerth⁩
→ X: ⁦www.twitter.com/rainmakerth⁩
→ YouTube: ⁦https://bit.ly/2XHVlbJ⁩
→ TikTok: ⁦https://www.tiktok.com/⁩
→ Instagram: ⁦https://www.instagram.com/rainmakerth⁩
→ Website: ⁦www.rainmaker.in.th⁩
-----
💫 “iCreator Conference 2025” งานรวมครีเอเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในไทยที่อยากพาทุกคนไปปลดล็อกตัวตนรับมือเทรนด์ 2026 ด้วยกัน
🗓️ 26 พ.ย. 68 | 📍BITEC
🌟 พิเศษ! โปร EARLY BIRD x CANVA PRO ทดลองใช้ฟรี 90 วัน
🎟️ บัตรราคา 1,490.- (จาก 2,500.-)
https://www.eventpop.me/e/103906/⁩

🤔 อนาคตครีเอเตอร์ไทยจะไปทางไหน?AI อาจมาเปลี่ยนเกม จนเกิดอวสาน Influencer หรือไม่... ใครจะรู้แต่สิ่งหนึ่งที่ AI ยังทำไม่ไ...
29/10/2025

🤔 อนาคตครีเอเตอร์ไทยจะไปทางไหน?
AI อาจมาเปลี่ยนเกม จนเกิดอวสาน Influencer หรือไม่... ใครจะรู้
แต่สิ่งหนึ่งที่ AI ยังทำไม่ได้คือ ความรู้สึกและความเข้าใจของคนจริง ๆ ❤️

เตรียมตัวรับมือยุคที่คนโหยหา Human Touch ไปกับ 9 Influencer Marketing Trends 2025 ✨
.

“ChatGPT Atlas” เบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ท้าชน Google! 🔥เบราว์เซอร์อัจฉริยะผสานพลัง AI 🔎 ค้นหาข้อมูลด้วย ChatGPT พร้อมช...
28/10/2025

“ChatGPT Atlas” เบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ท้าชน Google! 🔥

เบราว์เซอร์อัจฉริยะผสานพลัง AI 🔎 ค้นหาข้อมูลด้วย ChatGPT พร้อมช่วยทำงานได้หลากหลาย

ตอนนี้เปิดให้ใช้งานฟรีในช่วงแรกบน macOS
ลองไปรู้จัก ChatGPT Atlas กันได้ที่นี่ 🌐 https://chatgpt.com/atlas/

และอ่านเพิ่มเติม ➡️ https://shorturl.at/fphGv

นับเป็นอีกก้าวสู่ Super Assistant ของ OpenAI เพราะ ChatGPT Atlas คือเบราว์เซอร์ที่มี ChatGPT ฝังอยู่ในตัว ทำให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารกับ AI ได้แบบเรียลไทม์ระหว่างท่องเว็บ ไม่ต้องสลับหน้าต่างหรือคัดลอกข้อความไปมา
ทีม OpenAI กล่าวในบล็อกโพสต์ว่า “ด้วย Atlas, ChatGPT จะอยู่กับคุณทุกที่บนเว็บ เข้าใจสิ่งที่คุณกำลังทำ และช่วยทำงานให้เสร็จในหน้าที่คุณอยู่ โดยไม่ต้องเปลี่ยนหน้า”
ฟีเจอร์หลักของ ChatGPT Atlas
Smart Search & Chat Sidebar > เริ่มต้นด้วยช่องค้นหาที่ผู้ใช้สามารถพิมพ์คำถามหรือ URL ได้ พร้อมปุ่ม Ask ChatGPT ที่เปิด sidebar เพื่อสนทนาและให้ AI ช่วยค้นข้อมูลในหน้าเว็บนั้นทันที

AI-assisted Writing > เมื่อผู้ใช้ไฮไลต์ข้อความ เช่น ในอีเมลหรือเอกสาร Atlas จะเสนอคำแนะนำในการแก้ไขหรือช่วยเขียนต่อให้

Memory Integration > ChatGPT ใน Atlas มีระบบหน่วยความจำในตัว ช่วยจำสิ่งที่ผู้ใช้เคยค้นหาและทำงานไว้ก่อนหน้า โดยข้อมูลทั้งหมดจะเป็นส่วนตัว สามารถล้างประวัติหรือจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงเว็บไซต์ได้

Incognito Mode > สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถใช้ Atlas โดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบ ChatGPT ได้

Parental Controls > รองรับระบบควบคุมโดยผู้ปกครอง สามารถปิดการทำงานของ memory หรือ agent mode ได้
อ่าต่อได้ที่ลิงก์ใต้คอมเมนต์👇

คนไทยชอบคอนเทนต์แบบไหนกันแน่?ไม่ใช่แค่ “ดูสนุก” แต่ต้อง “รู้สึกด้วย” ❤️หัวใจของวิดีโอที่ดีคือความ “เข้าถึง เข้าใจ และจริ...
27/10/2025

คนไทยชอบคอนเทนต์แบบไหนกันแน่?
ไม่ใช่แค่ “ดูสนุก” แต่ต้อง “รู้สึกด้วย” ❤️
หัวใจของวิดีโอที่ดีคือความ “เข้าถึง เข้าใจ และจริงใจ” นั่นแหละ... ถึงจะคว้าใจคนดูได้ 🎬

อยากทำคอนเทนต์ให้ปัง? อัปเดต 7 รูปแบบ Video Content 2025 ที่คนไทยดูมากที่สุด พร้อมกลยุทธ์การตลาดที่ทุกแบรนด์ต้องรู้

น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
25/10/2025

น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

🎥 ฐานครีเอเตอร์ไทยโตทะลุ 9 ล้านคน!แล้วอนาคตตลาดครีเอเตอร์ จะรอดหรือร่วง?อะไรที่แบรนด์ต้องจับตามอง ปรับให้ไวก่อนจะช้าเกิน...
24/10/2025

🎥 ฐานครีเอเตอร์ไทยโตทะลุ 9 ล้านคน!
แล้วอนาคตตลาดครีเอเตอร์ จะรอดหรือร่วง?
อะไรที่แบรนด์ต้องจับตามอง ปรับให้ไวก่อนจะช้าเกินไป ⚡️

📖 อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเหมือนและความแตกต่างของ 3 กลุ่มคอนเทนต์ครีเอเตอร์ 👉🏻 https://shorturl.at/pq2ys

#สรุปประเด็น 🔴ตลาดครีเอเตอร์ไทย 4.5 หมื่นล้าน วัย 40-50 ปี มาแรง เพราะคอนเทนท์คุณภาพ ชี้ไลฟ์ขายของต้องจับมือ AI
“ตลาดครีเอเตอร์ไทย” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจกว่า 45,000 ล้านบาท จากฐานครีเอเตอร์ราว 9 ล้านคน ทั้งสายอาชีพหลักและอาชีพเสริม งาน “Thailand Influencer Awards 2025 by Tellscore” ยังสะท้อนทิศทางชัดเจนว่า ครีเอเตอร์ยังเติบโตต่อไป แม้เศรษฐกิจชะลอ แต่กลับทำให้เกิด “คลื่นลูกใหม่” ที่น่าจับตา
🟥วัย 40–50 ปี กลายเป็นดาวเด่น
เศรษฐกิจไม่เอื้อ คนเกษียณและตกงานหันมาเป็นครีเอเตอร์เต็มตัว คอนเทนต์ที่ผลิตออกมาจากประสบการณ์ชีวิตและการทำงานจริง กลายเป็น เนื้อหาคุณภาพสูง ที่ดึงดูดผู้ติดตามได้มาก
🟥ตลาดยังโต แต่โตช้าลง
ปี 2025 คาดการณ์การเติบโตที่ 15% ลดลงจากค่าเฉลี่ย 20% ต่อปี แต่ยังไปต่อได้ หากครีเอเตอร์และแบรนด์ ปรับตัวสู่ภูมิภาคอาเซียน และเริ่มสร้างคอนเทนต์ ภาษาอังกฤษหรือจีน เพื่อขยายตลาดต่างประเทศ
🟥รายได้ใหม่ ห้ามพึ่งสปอนเซอร์อย่างเดียว
ระบบสมาชิก / สินค้าที่ระลึก / แฟนมีต นี่คือ “New Revenue Stream” ที่จะทำให้ครีเอเตอร์อยู่รอดยั่งยืนกว่าการพึ่งพิงสปอนเซอร์เพียงทางเดียว
🟥คอนเทนต์สายเฉพาะทางรุ่ง
อาหาร ท่องเที่ยว สุขภาพ บิวตี้ เทคโนโลยี เกม สัตว์เลี้ยง การเงิน และคอนเทนต์วิเคราะห์ข่าว คือหมวดที่กำลังมาแรง
แบรนด์เริ่มมองหาครีเอเตอร์ที่มี “ความชำนาญจริง” มากกว่าคนที่ทำคอนเทนต์กว้าง ๆ
🟥LGBTQ+ & Rainbow Economy
ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านความหลากหลาย ครีเอเตอร์ LGBTQ+ กำลังเป็นที่สนใจ แบรนด์ที่ร่วมงานไม่เพียงสร้างผลเชิงธุรกิจ แต่ยังสร้าง Emotional Bonding กับผู้บริโภค Gen Z และ Millennials ที่ให้คุณค่ากับ Trust, Authenticity และ Inclusion
🟥AI คือคู่หู ไม่ใช่คู่แข่ง
AI เด่นเรื่องประสิทธิภาพและความเร็ว ผู้ติดตามกลับยิ่งโหยหา “Human Connection” ทำให้ครีเอเตอร์สายรีวิวยิ่งมีโอกาส
การไลฟ์ขายของจะถูก AI เข้ามาแทน ต้องสร้าง AI Avatar หรือใช้ AI ทำคอนเทนต์เสริม แต่ต้องโปร่งใสชัดเจนว่าเป็นงานจาก AI
🟥แพลตฟอร์มไหนน่าจับตา?
-TikTok: ยังแรงต่อเนื่อง
-YouTube: พลิกเกม Long-form Content + จับมืออีคอมเมิร์ซ
-Instagram: เหมาะกับ Trend Setter และ Story Format
-Lemon8: ถูกใจ Gen Z
-XiaoHongShu: กำลังโตในไทยและอาเซียน เหมาะกับครีเอเตอร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษ/จีนได้
🟥แบรนด์ปรับเกมการลงทุน
-หันมาใช้ Micro / Nano Influencers มากขึ้น
-เลือกซื้อคอนเทนต์จากครีเอเตอร์แบบ “ซื้อขาด” เพื่อนำไปยิงแอดหรือรีโพสต์หลายช่องทาง
-บางบริษัทถึงขั้นสร้าง พนักงานให้เป็นครีเอเตอร์เอง เพื่อลดต้นทุน
สรุป: ตลาดครีเอเตอร์ไทยยังโต แม้จะชะลอ แต่โอกาสยังมีมหาศาล โดยเฉพาะคนวัย 40–50 ปีที่เข้ามาเติมเต็มคุณภาพคอนเทนต์ และการทำงานร่วมกับ AI อย่างสร้างสรรค์
อ่านฉบับเต็ม : https://marketeeronline.co/archives/438420
#ครีเอเตอร์

📣 จะครีเอเตอร์หรือแบรนด์ก็ save เก็บไว้เลย!เทคนิคปัง ดันคลิป Instagram โดน ๆ ❤️โดนใจคนดู แถมโดนอัลกอริทึมด้วย 🔥
22/10/2025

📣 จะครีเอเตอร์หรือแบรนด์ก็ save เก็บไว้เลย!
เทคนิคปัง ดันคลิป Instagram โดน ๆ ❤️
โดนใจคนดู แถมโดนอัลกอริทึมด้วย 🔥

🩷 แจก 10 เคล็ดลับปรับคอนเทนต์ Instagram ถูกใจอัลกอริทึมแน่นอน!
สำหรับครีเอเตอร์หลายคนที่กำลังสงสัยว่า “ทำไมอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มถึงไม่ดันคอนเทนต์ของเรา” คำตอบอาจไม่ใช่เพราะคอนเทนต์ที่เราตั้งใจทำไม่ถูกใจผู้ชม แต่เป็นที่อัลกอริทึมไม่ตรวจจับโพสต์ให้ขึ้นฟีด นั่นจึงทำให้ช่องมียอด Engagement ไม่เยอะเท่าที่ควร ทำให้ครีเอเตอร์หันมาสนใจการทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์อัลกอริทึมบนแพลตฟอร์มมากยิ่งขึ้น
ซึ่งหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยม และโดดเด่นในการสร้างตัวตนมากที่สุด คือ Instagram เพราะสามารถนำเสนอภาพลักษณ์ให้ผู้ติดตามเห็นได้ง่าย รวมถึงเป็นแพลตฟอร์มที่คนรุ่นใหม่ และแบรนด์ใช้เป็นจำนวนมาก จึงมีครีเอเตอร์หลายคนให้ความสำคัญกับการลงคอนเทนต์มากขึ้น วันนี้ RAiNMaker จะมาแจกเคล็ดลับในการปรับคอนเทนต์อย่างไรให้ Instagram ถูกใจ และทำให้ผลงานของทุกคนขึ้นฟีดอย่างแน่นอน!
🔘 มี Interact กับผู้ติดตามบ่อยที่สุด: การทำ Poll, Q&A, Quiz หรือมีปฎิสัมพันธ์กับผู้ชมอาจเป็นเรื่องที่ดูทั่วไป แต่ไม่ใช่กับอัลกอริทึม Instagram เพราะยิ่งมีการโต้ตอบระหว่างครีเอเตอร์กับผู้ติดตามมากเท่าไหร่ ก็จะมียอด Engagement เพิ่มหลังคอนเทนต์ถูกปล่อยมากเท่านั้น นอกจากนี้ระบบจะช่วยดันฟีดคอนเทนต์นั้นให้ผู้ชมคนอื่น ๆ เข้ามาดูโพสต์ของเราเพิ่มด้วย
🔘 จังหวะ Hook ใน 3 วิแรกสำคัญ:ในยุคที่ผู้ชมโฟกัสกับคอนเทนต์น้อยลง ทำให้โพสต์รูปแบบวิดีโอจะต้องมีหน้าปก และการเปิดที่น่าสนใจ เพื่อให้ผู้ชมติดตามคอนเทนต์ของเราต่อไปเรื่อย ๆ เท่านั้นยังไม่พอ 3 วินาทีแรกยังสำคัญกับอัลกอริทึม เพราะระบบสามารถตรวจจับคอนเทนต์นี้มีคุณภาพ และจะเป็นการเพิ่มทั้งยอด Engagement, Reach รวมถึงมีโอกาสขึ้นฟีดมากขึ้น
🔘 Reels กระชับวนดูได้ไม่มีเบื่อ: Reels ส่วนมากจะมีความยาวอยู่ที่ 90 วินาที เพราะฉะนั้นครีเอเตอร์ควรจะเล่าเนื้อหาให้กระชับ และเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ชมไม่กดข้าม Reels ของเรา นอกจากนี้การทำวิดีโอแบบ Loop เพื่อให้ตอนจบไปเชื่อมกับช่วงเปิดคลิป จะทำให้เกิดยอดวนดูซ้ำหรือได้ Watch Time อย่างไม่รู้ตัว
🔘 คอนเทนต์เห็นแล้วน่า Save หรือ Share: คอนเทนต์ที่มียอดแชร์ หรือ บันทึกสูง จะทำให้อัลกอริทึมมองว่าคอนเทนต์นี้มีคุณภาพ ส่งผลให้คอนเทนต์ของเรามีโอกาสในการขึ้นฟีดมากขึ้น ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้ควรจะเป็นคอนเทนต์ที่ผู้ชมอยากกลับมาดูต่อได้เรื่อย ๆ เช่น วิธีการแต่งตัว, แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงการนำเสนอแนวคิดต่าง ๆ จะทำให้เกิดการวนดูซ้ำบ่อยขึ้น
🔘 เลื่อนสนุกด้วย Carousel Post: Carousel Post หรือคอนเทนต์แบบอัลบั้มรูปภาพจะช่วยให้ผู้ชมใช้เวลาอยู่กับโพสต์นานขึ้น และสร้างโอกาสในการเพิ่มยอด Engagement ในแต่ละโพสต์อีกด้วย ซึ่งส่วนมากคอนเทนต์รูปแบบนี้ จะเป็นการเขียน Blog, รีวิวร้านอาหาร หรือแชร์ไอเดียต่าง ๆ แต่ก็อยู่ที่ว่าครีเอเตอร์จะใช้เทคนิคต่อยอดคอนเทนต์ในรูปแบบไหน
🔘 อย่าลืมใส่ Hashtag ปัง ๆ: การใส่ Hashtag ที่กำลังเป็นที่นิยมจะทำให้คอนเทนต์ถูกมองเห็นมากขึ้น และเป็นการบ่งบอกตัวตนของครีเอเตอร์ว่าอยู่ในหมวดหมู่ไหน เช่น Food, Lifestyle, Game และอื่น ๆ ซึ่งผู้ที่มีความสนใจในคอนเทนต์เหล่านี้จะมองเห็นโพสต์ของเราตามแท็กที่สนใจ
🔘 ทำต่อไปอย่าหยุดยั้ง!: ความสม่ำเสมอในการลงคอนเทนต์คือสิ่งที่ Instagram ให้ความสำคัญอย่างมาก สำหรับใครที่กำลังเริ่มเป็นครีเอเตอร์ในแพลตฟอร์มนี้ควรลงคอนเทนต์อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มการมองเห็น และเมื่อมีผู้ติดตามมากขึ้น ก็อย่าปล่อยให้กระแสหายไป รวมถึงติดตามเทรนด์อยู่เสมอ
🔘 คอลแลบกันเพื่อเพิ่มยอด: การคอลแลบกับครีเอเตอร์คนอื่นเป็นวิธีที่ง่ายแต่ได้ผลที่สูงอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะจะทำให้โพสต์ของเราถูกกระจายไปเป็น 2 บัญชี ซึ่งจะเพิ่มยอด Reach และ Engagement มากขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย รวมถึงสร้างโอกาสได้ผู้ติดตตามใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นจากครีเอเตอร์ที่ไปคอลแลบด้วย
🔘 สวดมนต์กับสิ่งศักด์สิทธิ์ที่นับถือ: แต่ถ้าวิธีทั้งหมดที่กล่าวมายังไม่ได้ผล เราขอแนะนำให้ทุกคนสงบจิตสงบใจ และไปทำบุญ หรือไปสักการะสิ่งศักด์สิทธ์ที่นับถือ โดยการทำแบบนี้อาจไม่ได้เพิ่มยอด Engagement แต่จะได้ยอดบุญมาแทน ซึ่งไม่แน่ว่าคอนเทนต์ที่เคยลงไปจะได้รับการดันฟีดจากอัลกอริทึมอีกครั้งจากยอดบุญที่ทำ และเป็นการฮีลใจเพื่อให้เรากลับไปสร้างสรรค์คอนเทนต์ต่อได้
🔘 อัปสกิลกันในงาน iCreator Conference 2025: และสุดท้ายถ้าทุกคนอยากได้เคล็ดลับในการทำคอนเทนต์อย่างไรให้มีผู้ติดตาม พร้อมข้อมูลอินไซต์จากแพลตฟอร์มระดับโลก ก็สามารถมาอัปสกิลได้ที่งาน iCreator Conference 2025 Presented by Sony และเจอกับ Speaker ระดับท็อปของวงการ รวมถึง Workshop ที่จัดเต็มทั้งความรู้ ไปจนถึงแรงบันดาลใจเพื่อนำไปปรับใช้ได้ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของตัวเอง
ทั้งนี้การเป็นครีเอเตอร์นอกจากความรู้ด้านการสร้างสรรค์คอนเทนต์แล้ว การเข้าใจอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของโพสต์ที่เราสร้าง, วิธีการนำเสนอ ไปจนถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์ในช่องของตัวเอง ทั้งหมดนี้จะทำให้อัลกอริทึมช่วยดันคอนเทนต์ของเราออกสู่สายตาผู้ชม สำหรับใครที่อยากสร้างตัวตนให้เป็นที่รู้จักใน Instagram ก็สามารถนำบทความนี้ไปปรับใช้ในแบบฉบับของตัวเองได้เลย
อ่านบนเว็บไซต์ https://www.rainmaker.in.th/instagram-tips-algorithm/
-----
💙 ช่องทางการติดตาม RAiNMaker 💙
→ Facebook: https://www.facebook.com/rainmakerth
→ X: www.twitter.com/rainmakerth
→ YouTube: https://bit.ly/2XHVlbJ
→ TikTok: https://www.tiktok.com/
→ Instagram: https://www.instagram.com/rainmakerth
→ Website: www.rainmaker.in.th
-----
💫 “iCreator Conference 2025” งานรวมครีเอเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในไทยที่อยากพาทุกคนไปปลดล็อกตัวตนรับมือเทรนด์ 2026 ด้วยกัน
🗓️ 26 พ.ย. 68 | 📍BITEC
🌟 โปรโมชัน 10.10 SALE ราคาพิเศษ 1,290.- (จาก 2,500.-)
https://www.eventpop.me/e/103906/

เธอทุบ! ฉันทุบ! ไม่ทุบเดี๋ยวตกเทรนด์ 💥ดูไลฟ์สด เห็นคน F ของกันสนั่นทั้งบ้านทั้งเมือง จนมือมันสั่นอยากกดตาม 😳💸นี่ไม่ใช่แค...
21/10/2025

เธอทุบ! ฉันทุบ! ไม่ทุบเดี๋ยวตกเทรนด์ 💥
ดูไลฟ์สด เห็นคน F ของกันสนั่นทั้งบ้านทั้งเมือง จนมือมันสั่นอยากกดตาม 😳💸

นี่ไม่ใช่แค่อุปทานหมู่... แต่คือกลยุทธ์จิตวิทยาการตลาดที่นักไลฟ์สดใช้กัน 🎯

[Business] นอนดูไลฟ์อยู่ดีๆ รู้ตัวอีกทีมีของมาส่งหน้าบ้าน?! ถอด 4 จิตวิทยาการไลฟ์สด ที่ทำให้คนดูเสียเงินได้แบบไม่รู้ตัว
ปัจจุบัน ไม่ว่าจะหันไปทางไหน เราก็มักจะเจอการขายของในรูปแบบ ‘ไลฟ์สด’ อยู่เสมอ ยิ่งสำหรับช่วงเวลานี้แล้วด้วยนั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ไลฟ์สด’ ของคุณเจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น กำลังเป็นกระแสบนโลกโซเชียลมีเดียอย่างมาก
ทั้งยอดขาย ยอดออเดอร์สินค้า รวมไปถึงดารา อินฟลูเอนเซอร์มากหน้าหลายตาที่วนเวียนเข้ามาเสนอขายสินค้า ก็ยิ่งทำให้ไลฟ์สดนี้ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าการขายของแบบไลฟ์สดคงไม่ได้รับความนิยมขนาดนี้ ถ้าปราศจาก ‘คนดู หรือ ผู้ซื้อ’ ที่หลงใหลในการขาย และการนำเสนอสินค้าในแบบที่เราเห็นกันอยู่
แต่เคยเป็นไหม บางทีที่เราแค่อยากกดเข้าไปดูไลฟ์เพราะชอบรูปแบบการขาย แต่กลับได้สินค้าติดไม้ติดมือมาซะงั้น?! เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ เพราะทุกการขายล้วนมี ‘จิตวิทยาการตลาด’ ซ่อนอยู่
วันนี้ Future Trends ขอยกตัวอย่าง 4 รูปแบบของจิตวิทยาการตลาดที่นักไลฟ์สดเลือกใช้ เพื่อให้เรารู้สึกอยากได้ อยากมีสินค้านั้น โดยไม่ต้องใช้เหตุผลอื่นๆ มาประกอบเลยสักนิด
📌 1. Impulse Buying — ซื้อเพราะอารมณ์มากกว่าเหตุผล
การซื้อแบบหุนหันพลันแล่นนี้ เกิดขึ้นเมื่อสมองส่วนอารมณ์ทำงานเร็วกว่าสมองส่วนเหตุผล
เวลาที่เราเห็นสินค้าสวยๆ เสียงพูดชวนเชื่อ หรือบรรยากาศที่เร้าใจ
สมองส่วน Limbic System จะกระตุ้นให้หลั่งโดพามีน (dopamine) สารแห่งความสุขที่ทำให้รู้สึก ‘อยากได้ตอนนี้’ โดยที่สมองเหตุผลหรือ Prefrontal Cortex ยังไม่ทันวิเคราะห์หรือยับยั้ง
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมในไลฟ์ของเจนนี่ จังหวะการพูด การยิ้ม และน้ำเสียงเร่งเร้า
ถึงสามารถดึงดูดให้คนซื้อได้ทันที เพราะสมองของคนดูถูกรบเร้าให้ตัดสินใจด้วย ‘อารมณ์นำเหตุผล’
📌 2. FOMO Effect — กลัวพลาดจึงต้องรีบ
“เหลืออีกแค่สิบชุดสุดท้าย!” คือประโยคที่ทรงพลังมากกว่าการลดราคา
เพราะช่วยกระตุ้นสมองส่วน Amygdala ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความกลัว และความตื่นเต้น
ในขณะเดียวกัน สมองก็จะหลั่งสารโดพามีน (dopamine) และคอร์ติซอล (cortisol)
ทำให้รู้สึกทั้งอยากได้และกังวลว่าถ้าไม่รีบ จะพลาดของดีไป
นี่คือกลไกของ FOMO หรือ Fear of Missing Out — ความกลัวที่จะพลาดสิ่งสำคัญ
มนุษย์มีแนวโน้มจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นคนอื่น ‘ได้ในสิ่งที่เรายังไม่มี’
และเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกนั้น สมองจึงเร่งให้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
แบรนด์ใหญ่ๆ เองก็ใช้กลไกนี้ ไม่ว่าจะเป็น Apple ที่เปิดขาย iPhone จำนวนจำกัด
หรือ Zara ที่เปลี่ยนคอลเล็กชันใหม่ทุกสัปดาห์ เพื่อให้คนรู้สึกว่า ‘ถ้าไม่ซื้อวันนี้ พรุ่งนี้อาจไม่มีแล้ว’
📌 3. Social Proof — เมื่อคนอื่นซื้อ เราก็รู้สึกว่าควรซื้อเหมือนกัน
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ และสมองของเรามี Mirror Neurons หรือ
กระจกสะท้อนทางพฤติกรรม ซึ่งทำให้เราเกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งที่คนอื่นทำ
เมื่อเห็นคอมเมนต์ ‘CF CF CF’ ในไลฟ์ สมองจะสั่งให้เราคิดว่า ‘สินค้านี้น่าซื้อแน่ๆ’
เพราะมีคนอื่นจำนวนมากที่กำลังตัดสินใจเหมือนกัน
และนี่คือสิ่งที่เรียกว่า Social Proof ที่ทำให้เรามักเชื่อว่าสิ่งที่คนหมู่มากเลือกคือสิ่งที่ถูก
ในทางจิตวิทยา นี่คือวิธีที่สมองลดความไม่แน่ใจ (Uncertainty reduction) กล่าวคือ
เมื่อไม่แน่ใจว่าอะไรดี สมองจะมองหาคำตอบจากคนรอบตัวแทน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่การโชว์ยอดขาย รีวิวจริง หรือยอดคนดูในไลฟ์ สามารถทำให้สินค้าดูน่าเชื่อถือขึ้นในพริบตาเดียว
📌 4. Mere Exposure Effect — เห็นบ่อย ๆ แล้วใจเริ่มชอบ
แค่เราเห็นสิ่งเดิมซ้ำๆ โดยไม่ต้องมีเหตุผลเชิงตรรกะ
สมองจะค่อยๆ เชื่อมโยงสิ่งนั้นกับความรู้สึกคุ้นเคยและปลอดภัย
นี่คือกลไกเดียวกับ Familiarity Bias หรือการที่สมองตีความว่า สิ่งที่คุ้นเคยคือสิ่งที่ดีและไว้ใจได้
ดังนั้นเมื่อเจนนี่ใส่ชุดแนวเดิม ไลฟ์เวลาเดิมทุกวัน หรือใช้โทนเสียง หรือคำเดิมๆ ที่จำได้
เราจะรู้สึกผูกพันโดยไม่รู้ตัว เหมือนกำลังดูเพื่อนสนิทขายของ
และเมื่อความรู้สึก ‘ชอบ’ ค่อย ๆ ก่อตัว สมองก็พร้อมเปิดใจต่อสิ่งที่ขาย
ทั้งหมดนี้คือกลไกที่เกิดขึ้นในในสมอง รวมถึงขับเคลื่อนการตัดสินใจของเราทุกวัน
ไม่ว่าจะเป็นการกด CF สินค้าต่างๆ ในไลฟ์ หรือการซื้อของที่เห็นในฟีดโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
ในมุมของคนขาย และนักการตลาด สิ่งนี้คือพลังที่ช่วยให้เข้าใจอารมณ์ของผู้บริโภค
และสามารถออกแบบประสบการณ์ที่ เชื่อมโยงกับใจคน ได้ลึกกว่าเดิม
ในส่วนของคนซื้อ นี่คือโอกาสที่จะรู้เท่าทันสมองของตัวเอง
ว่าความอยากที่เกิดขึ้นนั้น มาจากความต้องการ หรือจากแรงกระตุ้นที่ถูกออกแบบมา
เขียนโดย ชนัญชิดา พลอยพลาย

ที่อยู่

Digital New Age Agency Co. , Ltd. (Head Office)
Bangkok
10230

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ DNA Agencyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์