
12/07/2024
“หมอปิง” ที่ปรึกษาปัญหาพฤติกรรมสัตว์
…ชวนทุกคนมาเข้า(ถึง)ใจสัตว์เลี้ยง
เพื่อสร้าง “สมดุลชีวิตของกันและกัน”
ในปัจจุบัน สถานะของสัตว์เลี้ยงได้แปรเปลี่ยน กลายเป็นดั่งสมาชิกคนนึงของครอบครัว เรามักเห็นหมา หรือแมวอยู่ข้างกายเจ้าของท่ามกลางผู้คนมากมายในร้านอาหาร สวนสาธารณะ หรือตามห้างสรรพสินค้า ภาพคุ้นตาเหล่านี้พาเราชื่นใจเมื่อแรกเห็น บ้างก็ว่าสัตว์เลี้ยงนั้นเป็นตัวแทนของ “ความรักที่แสนจะบริสุทธิ์ และซื่อสัตย์” ราวกับว่าเขาและเรา สามารถสร้าง “สมดุลชีวิตของกันและกัน” ได้อย่างพอดิบพอดี
หากแต่ว่าในความเป็นจริง เมื่อเราพูดถึงความรัก ก็มักจะต้องมีเรื่องของความรู้ หลอมรวมควบคู่กันเป็น “ความสมดุล”
แต่ในเมื่อเราไม่สามารถสื่อสารกับสัตว์เลี้ยงได้อย่างเข้าใจ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสัตว์เลี้ยงของเรานั้นมีความสุข และรู้สึกอย่างที่เราคิดจริงๆ
เขาชอบเราจริงๆ ใช่ไหม? เขามีความสุขหรือไม่กับการใช้ชีวิตอยู่กับเรา?
เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ เรามีนัดกับเพื่อนบ้านของเรา “หมอปิง” สัตวแพทย์จากโรงพยาบาลสัตว์ศิริเวช คุณหมอเกริ่นนำกับเรา ว่าการที่จะอธิบายคำถามได้ ต้องอาศัยความเข้าใจใน “พฤติกรรมของสัตว์”
“คือมุมมองของผมในตอนนี้เห็นว่าคนเลี้ยงสัตว์เขามีความคิด ความรัก และความเอาใจใส่กับสัตว์เยอะมากขึ้นนะ และเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย ตามเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ แต่ความรักความเอาใส่ใจเหล่านั้นของเจ้าของ มักจะผสมกับความ “คิดไปเอง” ของเจ้าของสัตว์ด้วย
“Anthropomorphism” คุณหมออธิบายเราด้วยศัพท์ทางวิชาการ
“ความหมายของมัน คือ การที่คนเอาความคิดของตนเองไปใส่ในอะไรสักอย่างนึงไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม แน่นอนว่าในที่นี้ ความคิดของเราถูกนำไปใส่ในตัวสัตว์เลี้ยง เมื่อเขาทำอะไรก็ตาม เรามักจะอธิบายการกระทำของเขาโดยเอาความคิดของเราไปครอบการกระทำเหล่านั้น ซึ่งมันจะกระทบต่อสวัสดิภาพของสัตว์โดยตรง”
หมอปิงลองยกตัวอย่างเคสที่พบบ่อย ๆ ให้เราฟัง
“สมมุติเรามีหมา เราก็มักจะพาลูกของเรา(หมา) ให้ไปเจอกับเพื่อนของเรา และเราจะปักธงในใจ เอาความคิดของตัวเราเองไปใส่ให้สัตว์เลี้ยงว่า “มันจะต้องชอบเพื่อนเราแน่ๆ” แต่แทนที่จะเป็นแบบนั้น ลูกของเราดันขู่ เห่า หรือถึงขั้นกัดเพื่อนของเรา ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย เขาอาจจะแค่ไม่พร้อม แค่ต้องการเวลาในการทำความคุ้นเคย ก็เท่านั้น”
“ก็ลองคิดดูว่าขนาดคนเรายังไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า แล้วหมามันจะชอบได้ยังไง?”
คุณหมอบอกว่า มันจะนำไปสู่การที่สัตว์เลี้ยงเหล่านี้โดนดุ โดนด่า จากเจ้าของ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของสัตว์ และความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของในอนาคตด้วย
“เพราะเราสื่อสารกับเขาไม่ได้ และเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายของคำสั่งที่เราพูดออกไป ดังนั้นเจ้าของเองก็ต้องหัดสังเกตภาษากายของเขา ลดความคิดไปเอง เพิ่มความเข้าใจในการแสดงออกของเขาให้มากขึ้น”
กว่าครึ่งชั่วโมงที่เราคุยกับเพื่อนบ้านของเรา
ตอนนี้เราเริ่มเข้าใจได้แล้วว่าการจะเข้าใจสัตว์ได้อย่างแท้จริงนั้น คงต้องถอยกลับไปดูเบื้องลึก เบื้องหลังพฤติกรรมการใช้ชีวิตของสัตว์จริงๆ ________________________________________
แต่ก่อนอื่น..เราขอ “แนะนำเพื่อนบ้านคนนี้ของเรา”
ถึงที่มาและเรื่องราว ที่นำพาเขาเข้าสู่บทบาทของการเป็น “นักพฤติกรรมสัตว์” อย่างเป็นทางการ
“หมอปิง” น.สพ.ภคพล ฟู่เจริญ เจ้าของเพจ “Behavpet - พฤติกรรมสัตว์เลี้ยง” สัตวแพทย์จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ออกเดินทางไกลไปยังประเทศอังกฤษ เพื่อหาคำตอบให้กับชีวิต ในเรื่อง “ความสมดุลระหว่างคนและสัตว์”
หมอปิงพาเราย้อนเวลากลับไปยังช่วงชีวิตนิสิตสัตวแพทยศาสตร์ในรั้วมหาวิทยาลัย
แม้จะเป็นเส้นทางที่คุณหมอตัดสินใจแล้วว่า “ใช่” แต่ถึงอย่างไร ก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ค้างคาใจ ให้คุณหมอเริ่มตั้งคำถาม และเกิดข้อสงสัยในเส้นทางที่ตัวเองเดิน
“เพราะหลักสูตรเน้นไปที่การรักษาสัตว์ “ทางกาย” มากกว่า “ทางใจ” หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ “ชีวิตต้องมาก่อน” ซึ่งเราก็เข้าใจ เพราะปัญหาด้านจิตใจไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตสัตว์โดยตรง”
“จนเรามีโอกาสได้ไปฝึกงานแล้วพบว่าเจ้าของที่พาสัตว์เลี้ยงมารักษา “ทางกาย” มักจะมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงที่บ้านอยู่เสมอ”
คำถามที่ได้รับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้หมอปิงได้ขบคิดปัญหาพฤติกรรม “ทางจิตใจ” ของสัตว์ ว่าแท้จริงแล้ว นี่อาจจะเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบกับเรื่อง “ทางกาย” ก็เป็นได้
ความคิดเหล่านี้ทำให้เพื่อนบ้านของเรา ออกเดินทางไกลไปศึกษาเรื่องพฤติกรรมสัตว์ถึง University of Lincoln ที่ประเทศอังกฤษ ในด้าน Clinical Animal Behavior และได้พบกับคำตอบที่ตัวเองตามหา และพบว่าเรื่อง “พฤติกรรมสัตว์” นั้นยังถือเป็นเรื่องใหม่ ไม่ใช่เฉพาะที่ไทย แต่ยังเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับคนทั้งโลกด้วย
“ผมมองว่าในยุคนั้น ช่วงปี 2019 ผู้คนเพิ่งจะตื่นตัวให้ความสำคัญกับเรื่อง Mental Health ของมนุษย์ ซึ่งผมเองคิดว่าอะไรที่เกิดขึ้นในมนุษย์แล้ว เดี๋ยวของสัตว์ก็จะตามมา”
นั่นเป็นที่มาให้เพื่อนบ้านของเราเริ่มเปิดเพจ “Behavpet - พฤติกรรมสัตว์เลี้ยง” ในปลายปี 2019 เพื่อเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงที่ให้ความรู้เรื่อง “Mental Health” ของสัตว์แก่ผู้คนที่สนใจ
“ช่วงที่คิดจะเปิดเพจก็กังวลพอสมควร ทั้งตัวเราเองที่เป็นคนค่อนข้างหวงพื้นที่ส่วนตัว ไม่ชอบการออกสื่อ รวมถึงในเรื่องของการสื่อสาร ด้วยความที่ “พฤติกรรมสัตว์” มันเป็นเรื่องนามธรรมมาก ข้อมูลที่สื่อสารออกไปก็รับรู้ก็ยาก และค่อนข้างเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และในกระบวนการทำคอนเทนต์เองเราก็ไม่เชี่ยวชาญ เรื่องภาพ หรือการดีไซน์ตัวคอนเทนต์ก็ค่อนข้างเป็นอุปสรรคในช่วงแรกๆ อยู่เหมือนกัน”
แม้จะมีอุปสรรคแต่เพจนี้ก็ยังถูกสร้างขึ้น เราถามคุณหมอว่าผ่านสิ่งเหล่านั้นมาได้อย่างไร?
“ก็อย่างที่บอกครับ เรามีปัญหาเรื่องการสื่อสารในช่วงแรก ๆ และยุคนั้นจะมีคำพูดที่ว่า คอนเทนต์ที่ดีต้องเห็นแล้วปังทันทีใน 3 วินาที แรก”
ถึงจุดนี้คุณหมอหัวเราะกับเราแล้วบอกว่า 3 วินาที มันจะไปพออะไร ในเมื่อเรื่องที่เราจะสื่อสารมันซับซ้อนมากขนาดนี้
“แต่เราเริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากทำเพจได้สักพักว่าการสื่อสารที่สำคัญจริง ๆ นั่นคือ “เนื้อหา” ด้วยความที่เนื้อหามันค่อนข้างเฉพาะกลุ่มมาก เราจึงมองย้อนกลับไปยังเป้าหมายแรกเริ่ม คือเราอยากเปิดเพจเพื่อสร้างรากฐานให้คนเข้าใจเรื่อง Mental Health ในสัตว์มากขึ้น ดังนั้นการสื่อสารคอนเทนต์ของเรา แค่มีหัวข้อ และเนื้อหาที่น่าสนใจ กลุ่มเป้าหมายก็อ่านแล้ว แต่ถ้าคนทั่วไปหากเขาไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ หรือไม่ได้มีสัตว์เลี้ยง ต่อให้ทำภาพสวยยังไงเขาก็จะไม่อ่าน”
เราสังเกตว่าสีหน้า และแววตาของคุณหมอดูภาคภูมิใจ กับการบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางในฐานะเจ้าของเพจ “Behavpet - พฤติกรรมสัตว์เลี้ยง” ที่นับจวบจนเวลานี้ก็เดินทางเข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว
________________________________________
เมื่อพูดคุยมาถึงส่วนนี้เราเริ่มเกิดความสงสัย
แล้วถ้าในฐานะของอาชีพสัตวแพทย์ล่ะ มีปัญหา หรือความท้าทายอะไรบ้างไหมที่เกิดขึ้น ?
“ในฐานะสัตวแพทย์เมื่อเจ้าของสัตว์พาคนไข้ (สัตว์เลี้ยง) มาหา ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหา การเจ็บป่วย “ทางกาย” ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือไม่ก็ในเชิงการป้องกันสุขภาพกาย เช่น ป้องกันเห็บ หมัด
มักจะไม่ค่อยมีการนำสัตว์มาหาในแง่พฤติกรรมสัตว์โดยตรงสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นการถามคำถามพ่วงหลังจาก พามารักษาทางกายมากกว่า”
“ส่วนในแง่การป้องกัน “พฤติกรรมของสัตว์” คนไม่ได้ใส่ใจเท่าไร จริงๆ แค่พาสัตว์เลี้ยงไปเข้า Puppy class เพื่อให้เขาเจอสิ่งกระตุ้นต่างๆ ที่หลากหลายตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อให้เกิดการเรียนพฤติกรรมการเรียนรู้ แค่นี้ก็เรียกว่าแทบจะเป็นการป้องกันได้แล้วครับ”
เราฟังดูแล้วก็เป็นการแก้ปัญหาที่ง่าย ไม่ซับซ้อนดี
หากแต่คุณหมอบอกเราว่า “ที่บ้านเรามันไม่ได้เป็นแบบนั้นน่ะสิครับ”
“ที่บ้านเราเนี่ย ก็จะซื้อสัตว์เลี้ยงมาตัวนึง แล้วก็จะคิดแทนมัน เป็นห่วงว่ากลัวมันติดโรค ก็เลยเลี้ยงมันไว้ในบ้าน ขังมันไว้ ไม่ให้มันเจออะไรเลย จนมันเริ่มโตอายุสัก 1 ปี แล้วค่อยปล่อยมันออกมา”
“ผมยกตัวอย่าง มีเด็ก 2 คน คนนึงได้ใช้ภาษาอังกฤษตลอดตั้งแต่เด็ก กับอีกคนไม่เคยใช้เลย จนกระตั้งทั้งคู่อายุ 25 ปี ต้องคุยกับฝรั่ง แน่นอนว่าทั้ง 2 คนนี้จะแตกต่างกันอย่างแน่นอน ซึ่งย้อนกลับไปที่การไม่ให้สัตว์ไปเจอโลกอะไรเลย มันจะส่งผลต่อพฤติกรรมของเขาที่ไม่เกิดการเรียนรู้ และเมื่อเจอสถานการณ์ตรงหน้า เขาจะแสดงออกไม่ถูก เขาอาจจะกัดหรือวิ่งหนีไปเลยก็ได้”
แบบนี้แสดงว่าการเรียนรู้สัตว์ ก็คงเหมือนเด็กทารก ที่ต้องค่อย ๆ ให้เขาเรียนรู้ควบคู่กับเติบโต?
“ถ้าถามว่าลูกสัตว์เหมือนเด็กทารกไหม? ผมตอบว่าใช่ ในแง่ของการเรียนรู้ เขาทำอะไร แล้วได้ผลลัพธ์หรือไม่ได้ผลลัพธ์อย่างไร? โดยหลักการเรียนรู้ของสัตว์ในระดับ Global ในปัจจุบันก็แนะนำเหมือนการฝึกเด็กทารกเลยครับ คือใช้ Positive Reinforcement ส่งเสริมพฤติกรรมที่ดี มากกว่าการ Punishment ตบตี กด หยิก เตะ กระตุกสายจูง”
“และผมไม่เห็นด้วยเลยกับคำว่า หมาแมวพวกนี้ถ้ามันโตแล้วฝึกไม่ได้หรอก คือมันแค่ฝึก “ยาก” กว่าตอนเด็ก แต่ไม่ใช่ว่าจะ “ฝึกไม่ได้” ”
คุณหมอเล่าให้เราฟังว่าอีกหนึ่งความท้าทายในวิชาชีพนี้คือ “การต่อสู้กับความเชื่อ”
“ต้องบอกว่าผมทำงานสัปดาห์ละ 6-7 วัน ต้องบอกว่าไม่เหนื่อยกาย แต่จะเหนื่อยใจมากกว่า เพราะส่วนที่ยากที่สุดในการรักษาคือ “การต่อสู้กับความเชื่อ” ของเจ้าของสัตว์เลี้ยง”
“เพราะเจ้าของมักปักธงเชื่อไปเองว่า ถ้าพามาหาแล้วจะต้องหายในทันทีหลังออกจากห้อง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเจ้าของไม่ยอมทำอะไร ไม่ยอมเปลี่ยนทัศนคติ จะช่วยแค่ไหน ผลลัพธ์ก็คงไม่เกิดขึ้น”
คุณหมอเล่าติดตลกถึงเคสหนึ่งที่คุณหมอเคยพบ
“มีหมาพันธุ์ไทยหวงชามข้าว ทุกครั้งที่กินข้าวเจ้าของก็หวังดีกลัวหมาจะกินไม่สะดวก จึงชอบไปขยับชามข้าว แต่กลับถูกขู่ใส่ เจ้าของเลยมาปรึกษาปัญหานี้กับผม ผมก็ถามเจ้าของกลับว่าแล้วไปยุ่งอะไรกับมัน? ผมลองสมมุติเหตุการณ์ ถ้ามีคนมาขยับชามข้าวตอนที่เรากำลังกิน เราก็คงหงุดหงิดเหมือนกัน”
“เหตุการณ์นี้ก็ย้อนกลับไปยังนิยามของคำว่า “Anthropomorphism” ได้ว่า ก็เพราะตัวเจ้าของเองเอาความคิดตัวเองไปใส่ในตัวสัตว์ ว่าสิ่งที่ฉันทำให้มันต้องดีสิ มันต้องเป็นแบบที่ฉันคิดสิ เหตุการณ์ถึงได้กลายเป็นแบบนี้”
หลังจากฟังคุณหมอมาได้สักพัก เรานึกสงสัย และถามคุณหมออย่างติดตลกไปว่า
สรุปแล้วปัญหานี้ต้องแก้ที่เจ้าของสัตว์ หรือตัวสัตว์เลี้ยงกันแน่?
“ต้องเดินหน้าแก้ปัญหาทั้งคู่ บางเคสเจ้าของก็เพิ่งเข้าใจว่าฉันก็มีส่วนต้องปรับปรุงตัวเหมือนกัน ผมคิดว่าไม่แปลกถ้าคุณไม่รู้ แต่ถ้าคุณรู้แล้วมองข้ามสิ่งนั้นไปผมก็จะเคารพคุณนะ แต่ผมก็ได้แนะนำและช่วยเหลือคุณอย่างเต็มที่แล้ว”
สรุปคือต้องเข้าใจกันและกัน?
“ใช่ครับ ซึ่งควรต้องเข้าใจกันและก้นตั้งแต่ก่อนเริ่มเลี้ยงแล้ว ว่าทำไมอยากเลี้ยง? ธรรมชาติของสัตว์ตัวนั้นคืออะไร เช่น อยากเลี้ยงแต่ไม่ชอบให้หมาดม หรือไม่ชอบให้ตะกุยซึ่งนั่นเป็นไปไม่ได้เพราะนั่นคือธรรมชาติของเขา”
มีอะไรที่คุณหมออยากฝากถึงคนเลี้ยงสัตว์
“ก่อนจะเลี้ยงควรเช็กว่าเราไหวมั้ย ทั้งค่าใช้จ่าย เรื่องการดูแล สมาชิกในบ้านโอเคหรือไม่
การเลือกชนิดของสัตว์ก็ต้องรู้ความต้องการพื้นฐานเขา เป็นยังไง? กินอะไร? อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน? โรคประจำตัวที่อาจจะไม่เจอในตอนเด็ก แต่เจอในตอนโตมีอะไรบ้าง? รวมถึงโรงพยาบาลใกล้เคียง เข้าถึงได้ไหม หากมีเหตุฉุกเฉิน”
นับตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจเปิดเพจมาตอนนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 5 ผลลัพธ์หรือเป้าหมาย เป็นไปอย่างที่คิดไว้ไหม?
“ผมเองไม่ได้มีเป้าหมายอะไรที่ชัดเจน ถ้าตอบในตอนนี้ก็โอเคที่เรายัง On track อยู่เรื่อยๆ อย่างน้อยเมื่อพูดถึงหมอพฤติกรรมสัตว์ ก็อยากให้ตัวเองอยู่ในตัวเลือกที่ผู้คนจะนึกถึงอันดับแรกๆ ซึ่งก็มีคนสนใจและเข้ามาปรึกษาเรื่อง Mental health ในสัตว์กับผมมากขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ แต่ก็ยังติดในเรื่องของความคิดแทน แต่ก็ดีขึ้นครับ คือเปิดใจฟังมากขึ้น หลัก ๆ ก็คือเจ้าของคิดแทนและซับซ้อนมากเกินไปน่ะครับ นั่นล่ะครับ”
“รวมถึงการสื่อสารที่ออกไป ก็มีคนที่เห็นความสำคัญของพฤติกรรมสัตว์มากขึ้น หรือบางคอนเทนต์เขาได้รับรู้ในสิ่งที่เขากังวลหรือคาใจ ซึ่งก็เป็นประโยชน์กับตัวเขาเองและสัตว์เลี้ยงของเขาด้วย”
แล้วตัวคุณหมอเองได้อะไรบ้าง ?
“เมื่อเห็นเคสที่รักษาได้ ช่วยเหลือได้ ทำให้ปัญหามันดีขึ้นได้หรือไม่แย่ไปกว่าเดิม ก็เป็นกำลังใจให้นะครับอย่างที่บอกเรายังรู้สึกว่า On track อยู่เรื่อยๆ รวมถึงการขอบคุณจากคนเจ้าของก็เป็นพลังงานที่เติมเชื้อพลังใจให้คุณผมรู้สึก Fullfill เหมือนกันนะ”
เหมือนที่เราคิดไว้ตอนตัดสินใจว่าจะเดินเส้นทางนี้ไหม?
“เอาจริงๆ แรกๆ คิดว่าจะเราจะปังกว่านี้ครับ คือ Fast forward ได้เร็วกว่านี้แต่ความเป็นจริงคือ คนยังไม่เห็นความสำคัญว่า Mental health ในสัตว์มันคืออะไร ดีอย่างไร และมันมีแนวทางช่วยยังไงบ้าง แต่ก็ดีนะครับตอนนี้ก็มีบางคนเอาคลิปผมไปลงให้ความรู้ในกลุ่มแมว ซึ่งผมก็คิดว่าดีเหมือนกัน เหมือนเรายัง On track อยู่ แม้ว่าในตอนนี้ไม่มีเป้าหมายว่าจะไปจบที่ไหนก็ตาม”
“อีกเรื่องคือการที่ได้มาทำ Mental health ในสัตว์เลยรู้ว่าจริงๆ แล้วคนสนใจเรื่องนี้เยอะ เหมือนเป็นคนจุดไฟแล้ว คนอื่นก็ช่วยกันเติมเชื้อเพลิง”
งานที่ทำตอนนี้เรียกว่ามีความสุขได้ไหม? แม้จะเป็นงานที่ต้องรับฟังปัญหาในทุกๆ วันก็ตาม
“จะว่างั้นก็ได้ครับ เพราะสิ่งที่เราทำมันช่วยคนอื่นได้ หรือช่วยสัตว์ได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมก็ไม่ใช่คนแรกในไทยนะที่เคยเรียนด้านนี้ ก็เคยมีคนอื่นที่ศึกษาด้านนี้มาก่อนผมเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ในสมัยนั้นยังไม่มีช่องทางการสื่อสารได้มากเท่าวันนี้”
________________________________________
จากการได้พูดคุยกับเพื่อนบ้านอย่าง คุณหมอปิง เขามุ่งมั่น และพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะเป็นกระบอกเสียงให้แก่สัตว์ทั้งหลายที่เขาพูดกับเราไม่ได้ เป็นการสร้างความสมดุลของมนุษย์และสัตว์ ให้เติมเต็มกันอย่างพอดี และส่งต่อแนวคิดให้ถึงเจ้าของสัตว์เลี้ยงได้รับรู้ และฉุกคิด และหันมามองสัตว์เลี้ยงในภาพมุมมองแบบใหม่ มุมมองที่เราเข้าใจ และคิดว่าเขาก็เป็นชีวิตหนึ่งเหมือนๆ กันกับเรา ที่ต้องให้เกียรติเขา และเคารพการแสดงออกเสมือนเขาเป็นเพื่อนร่วมทางของเราในโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน
หลังจากแยกย้ายกับคุณหมอ
เราคิดว่าจริงๆ แล้วเรื่อง “พฤติกรรมสัตว์” นั้นอาจจะเหมือนไม้ขีดไฟ มันเคยถูกจุดมาแล้วหลายต่อหลายครั้งแต่ไฟก็ไม่เคยติดเสียที จนกระทั่งการมาของหมอปิง เพื่อนบ้านของเราคนนี้ ที่เข้ามาช่วยเติมเชื้อไฟจุดประกายให้ไม้ขีดนี้ลุกโชนขึ้นมา โดยเราหวังว่าประกายไฟในความตั้งใจจริงที่จะช่วยเหลือสัตว์ในครั้งนี้ จะไม่มอดไหม้ และส่งต่อไปได้อีกนานเท่านาน