The Energy ข่าวเข้ม เต็มพลัง

Energy News: กกพ. ชี้แจงเหตุโรงไฟฟ้าไซยะบุรีหลุดออกจากระบบชั่วคราว ​สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.)...
30/10/2025

Energy News: กกพ. ชี้แจงเหตุโรงไฟฟ้าไซยะบุรีหลุดออกจากระบบชั่วคราว

​สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) โดย ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. ในฐานะโฆษก กกพ. เผยว่า เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 เกิดเหตุการณ์โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี สปป.ลาว ขนาดกว่า 1,200 เมกะวัตต์ หลุดออกจากระบบกะทันหัน ส่งผลให้ความถี่ไฟฟ้าในระบบลดลงอย่างรวดเร็ว และทำให้โรงไฟฟ้าหลายแห่งในไทยและ สปป.ลาว ต้องหยุดทำงานชั่วคราว เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดไฟฟ้าดับในบางพื้นที่รวมกว่า 240 เมกะวัตต์

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานการไฟฟ้าของไทย ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์อย่างทันท่วงที โดยเพียงไม่กี่นาทีหลังเกิดเหตุ กฟผ. ได้สั่งการให้เขื่อนหลักทั่วประเทศ เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนรัชชประภา และโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง พร้อมประสาน กฟน. และ กฟภ. นำโหลดกลับเข้าระบบอย่างเป็นขั้นตอน ภายในเวลา 6-35 นาที นับตั้งแต่ไฟฟ้าดับ จนระบบไฟฟ้ากลับมามีเสถียรภาพและสามารถจ่ายไฟได้ตามปกติทุกพื้นที่

​จากการตรวจสอบภายหลังพบว่า
🔵 สาเหตุสำคัญมาจากการทำงานผิดพลาดของอุปกรณ์ป้องกันของโรงไฟฟ้าไซยะบุรีที่ต้นทาง และการตั้งค่าอุปกรณ์ป้องกันของโรงไฟฟ้าบางแห่งที่อยู่ในระบบไม่สอดคล้องกับข้อกำหนด Grid Code ของการไฟฟ้า ทำให้โรงไฟฟ้าบางแห่งมีกลไกตอบสนองเร็วจนเกินไปและหลุดออกจากระบบก่อนเวลาที่ควรจะเป็น

​เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ย้ำให้เห็นถึงความพร้อมของระบบไฟฟ้าไทยในการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการตอบสนอง การประสานงาน และการฟื้นฟูระบบอย่างรวดเร็ว โดยหน่วยงานกำกับกิจการพลังงานและหน่วยงานการไฟฟ้า ทั้ง กฟผ. กฟน. และ กฟภ. จะเดินหน้าปรับปรุงมาตรการป้องกันอย่างต่อเนื่อง เร่งดำเนินมาตรการแก้ไข

โดยให้โรงไฟฟ้าทุกแห่งปรับปรุงการตั้งค่าให้ถูกต้องตามมาตรฐาน Grid Code ที่กำหนดไว้เพื่อเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบป้องกันและเข้มงวดการปฏิบัติตามมาตรฐานความมั่นคงของระบบไฟฟ้าอย่างเคร่งครัด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าประเทศไทยมีพลังงานที่มั่นคง ปลอดภัย และพร้อมรองรับทุกเหตุการณ์ในอนาคต

​“ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า สำนักงาน กกพ. ได้สั่งการให้หน่วยงานในกำกับดำเนินการร่วมกันดูแลเสถียรภาพระบบไฟฟ้าอย่างเต็มกำลัง เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ” ดร.พูลพัฒน์ กล่าวตอนท้าย

#โรงไฟฟ้าไซยะบุรี
#ข่าววันนี้
#ล่าสุด
#กกพ
#ข่าวTheEnergy

Energy News: ปตท.สผ. รายงานผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือน ปี 2568กรุงเทพฯ, 30 ตุลาคม 2568 – ปตท.สผ. รายงานความคืบหน้าการดำเนิ...
30/10/2025

Energy News: ปตท.สผ. รายงานผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือน ปี 2568

กรุงเทพฯ, 30 ตุลาคม 2568 – ปตท.สผ. รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานรอบ 9 เดือน ปี 2568 ขยายการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างการเติบโตของบริษัทและความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ พร้อมกับเดินหน้าโครงการ CCS แห่งแรกในประเทศไทยที่แหล่งอาทิตย์ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ รวมทั้งได้นำส่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจให้กับรัฐ 43,700 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาประเทศและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3 นี้ บริษัทได้ขยายการลงทุนเพิ่มเติม โดยได้เข้าถือสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 50 ในโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โดยเป็นแหล่งพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าในบริเวณภาคใต้ของไทย ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งเข้าประเทศไทยในอัตรา 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือประมาณร้อยละ 6 ของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย การลงทุนครั้งนี้ สามารถสร้างรายได้ ปริมาณการขาย และปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันที

ในทวีปแอฟริกา ปตท.สผ. ได้เสร็จสิ้นการซื้อสัดส่วนการลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ทูอัท แล้ว ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีสัดส่วนการลงทุนทางอ้อมในโครงการดังกล่าวร้อยละ 22.1 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 435 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคตได้ การเข้าร่วมทุนครั้งนี้ สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติและปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันทีเช่นกัน

สำหรับในประเทศไทย ปตท.สผ. ได้ประกาศตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย เดินหน้าโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยโครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ จะสามารถดักจับและอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุด 1 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มการอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปี 2571 โดยการดำเนินงานดังกล่าว จะไม่กระทบต่อการผลิตก๊าซธรรมชาติของแหล่งอาทิตย์ โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ ยังเป็นการนำร่องและเป็นต้นแบบที่สำคัญในการพัฒนาโครงการ CCS ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทยในอนาคต รวมถึงธุรกิจ CCS ในบริเวณอ่าวไทยตอนบน (Eastern Thailand CCS Hub) อีกด้วย

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสร้างองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการศึกษาวิจัย พัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCS ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย ปตท.สผ. ได้ร่วมมือกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ มอบทุนสนับสนุนโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้าน CCS ในประเทศไทย ให้กับ 9 โครงการ จากสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาชั้นนำ 7 แห่ง ครอบคลุมด้านต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) ของกิจกรรม CCS อย่างครบวงจร นับได้ว่าเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ในการพัฒนาองค์ความรู้ด้าน CCS ให้กับประเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ

“แผนการดำเนินงานต่อจากนี้ ปตท.สผ. จะเร่งการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายหลายโครงการในต่างประเทศ เช่น โครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ระยะที่สอง โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 ในแหล่ง Waset รวมถึงโครงการสำรวจที่มีการค้นพบปิโตรเลียมแล้วในประเทศมาเลเซีย ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตให้กับบริษัทในระยะยาว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป” นายมนตรี กล่าว

สำหรับผลประกอบการในรอบระยะเวลา 9 เดือนของปี 2568 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 220,503 ล้านบาท (เทียบเท่า 6,659 ล้านดอลลาร์ สรอ.) มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 499,925 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการในประเทศไทย เช่น โครงการ G1/61 ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติในเดือนมีนาคม 2567 และโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ที่บริษัทเข้าร่วมลงทุนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มาอยู่ที่ 44.27 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 42,761 ล้านบาท (เทียบเท่า 1,288 ล้านดอลลาร์ สรอ.) ในรอบระยะเวลา 9 เดือน ปี 2568

นำส่งรายได้ให้กับรัฐ กว่า 43,700 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาประเทศในรอบ 9 เดือนของปี 2568 ปตท.สผ. ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ จำนวนกว่า 43,700 ล้านบาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐยังได้รับส่วนแบ่งของผลผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 และ G2/61 ซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) เป็นรายได้ทางตรงจากการผลิตปิโตรเลียมที่รัฐนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอีกส่วนหนึ่งด้วย


#ข่าววันนี้
#ข่าวTheEnergy
#ล่าสุด
#ปตทสผ

Energy News: เชฟรอนและบริษัทผู้ร่วมทุน มอบปั้นจั่นของแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมแก่ TPTI สำหรับใช้ในการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาบ...
30/10/2025

Energy News: เชฟรอนและบริษัทผู้ร่วมทุน มอบปั้นจั่นของแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมแก่ TPTI สำหรับใช้ในการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านปิโตรเลียม

เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และบริษัท มิตซุย เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ คัมปะนี ลิมิเต็ด นำโดย นายปัณวรรธน์ นิลกิจศรานนท์ (ขวา) รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายวิศวกรรมโครงสร้าง บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เป็นตัวแทน ส่งมอบปั้นจั่น (เครน) ของแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมที่ผ่านการใช้งานแล้วแต่ยังมีสภาพดี มูลค่า 368,500 บาท

ให้แก่ สถาบันฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรด้านปิโตรเลียม (TPTI) โดยมี นางพวงทิพย์ ศิลปศาสตร์ (ซ้าย) ผู้อำนวยการบริหารสถาบันฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรด้านปิโตรเลียม เป็นตัวแทนรับมอบ เพื่อนำไปใช้สนับสนุนการฝึกอบรมบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจและเตรียมความพร้อมในการทำงานด้านปิโตรเลียมด้วยความปลอดภัย

กิจกรรมในครั้งนี้ ยังได้รับความอนุเคราะห์จาก บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) ในการถอดประกอบชิ้นส่วน และการเตรียมเพื่อดำเนินการขนย้ายอุปกรณ์ การส่งมอบครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือของบริษัทในอุตสาหกรรมพลังงานในการสนับสนุนการสร้างและพัฒนาบุคลากรให้แก่อุตสาหกรรมนี้อย่างยั่งยืน

#เชฟรอน
#ปิโตรเลียม
#ล่าสุด
#ข่าวTheEnergy
#สถาบันฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรด้านปิโตรเลียม

The Energy Keyword : Rare Earth Elements ⛏️“แร่แรร์เอิร์ธ”คือ แร่หายากกลุ่มธาตุโลหะพิเศษ 17 ชนิด ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ...
29/10/2025

The Energy Keyword
: Rare Earth Elements ⛏️

“แร่แรร์เอิร์ธ”คือ แร่หายากกลุ่มธาตุโลหะพิเศษ 17 ชนิด ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเทคโนโลยี เช่น สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางการแพทย์ พบได้ในหลายจังหวัดของไทย แต่สาเหตุที่เรียกว่าเป็นธาตุหายาก เพราะแร่แรร์เอิร์ธในรูปแบบบริสุทธิ์หาได้ยาก และหากต้องนำเข้ากระบวนการสกัดก็มีขั้นตอนซับซ้อนและมีต้นทุนสูง

#แร่แรร์เอิร์ธ
#เทคโนโลยี
#รถไฟฟ้า
#ล่าสุด
#สิ่งแวดล้อม

จีนเปิดตัว Greenwater 01 เรือคอนเทนเนอร์ไฟฟ้าไร้มลพิษใหญ่ที่สุดในโลก 🌏💚เรือคอนเทนเนอร์ไฟฟ้ารุ่น Green Water 01 จากบริษัท...
28/10/2025

จีนเปิดตัว Greenwater 01
เรือคอนเทนเนอร์ไฟฟ้าไร้มลพิษใหญ่ที่สุดในโลก 🌏💚

เรือคอนเทนเนอร์ไฟฟ้ารุ่น Green Water 01 จากบริษัท COSCO Shipping มีความยาว 119.8 เมตร กว้าง 23.6 เมตร และลึก 9 เมตร โดยแล่นด้วยความเร็วสูงสุดที่ 19.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ราวๆ 12 ไมล์ต่อชั่วโมง) เรือลำนี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่หลายด้านในอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นความยาว ความกว้าง ความจุในการบรรทุกคอนเทนเนอร์ น้ำหนักที่รับได้ มากกว่า 10,000 ตัน และความจุของแบตเตอรี่ มากกว่า 50,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง🔋

• ขนาดมหึมา: ยาว 119.8 ม. กว้าง 23.6 ม. ลึก 9 ม.
น้ำหนักกว่า 10,000 ตัน
• ความจุ: บรรทุกสินค้าได้มากกว่าเรือทั่วไป
• ความเร็ว: แล่นได้สูงสุด 19.4 กม./ชม. (12 ไมล์/ชม.)
• ระบบพลังงาน: ใช้แบตเตอรี่ยักษ์กว่า 50,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ประหยัดน้ำมันได้ถึง 3,900 กก. (8,600 ปอนด์) ต่อ 100 ไมล์ทะเล
• เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ลดการปล่อย CO₂ ได้ถึง 12.4 ตันต่อ 100 ไมล์ทะเล

COSCO Shipping Green Water 01 เรือคอนเทนเนอร์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ได้นำเสนอนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ไม่เพียงแต่ด้านเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แต่ยังรวมถึงมิติความยั่งยืนที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ COSCO Shipping บริษัทเรือชั้นนำของจีน ในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเล 🇨🇳🌊

#ข่าวTheEnergy
#เรือคอนเทนเนอร์
#จีน
#สิ่งแวดล้อม
#เทคโนโลยี

Energy News : GULF ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ กับ Microsoft เพื่อพัฒนาธุรกิจ Cloud และ AI ในประเทศไทย มุ่งสู่การเป็นศู...
28/10/2025

Energy News : GULF ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ กับ Microsoft เพื่อพัฒนาธุรกิจ Cloud และ AI ในประเทศไทย มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค โดย GULF มีสัญญาการให้บริการศูนย์ข้อมูลกับ Microsoft

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) นายปรัธนา ลีลพนัง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญกับ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) นำโดย นายมายังก์ วาดห์วา ประธานภูมิภาคอาเซียนพร้อมด้วย นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย)

ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการผนึกความแข็งแกร่งของ GULF ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจผลิตไฟฟ้าและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน สามารถตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาดในธุรกิจศูนย์ข้อมูลได้อย่างครบวงจร อีกทั้งยังมีธุรกิจในเครืออย่าง AIS ที่เป็นผู้นำในการให้บริการด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม ในขณะที่ ไมโครซอฟท์ เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแพลตฟอร์มและเครื่องมือ AI

ความร่วมมือนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจดิจิทัลและศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นการวางรากฐานสำหรับความร่วมมือทางด้านเทคนิคและทางธุรกิจระหว่างทั้งสององค์กรในระยะยาว เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาคอย่างยั่งยืน

โดยบริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด (GSA02) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือ GULF ได้ลงนามสัญญาให้บริการศูนย์ข้อมูลคลาวด์แก่ไมโครซอฟท์เพื่อใช้ในการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศไทย โดยศูนย์ข้อมูลนี้ถูกออกแบบตามมาตรฐานระดับโลกของไมโครซอฟท์ รองรับการให้บริการคลาวด์ที่มีความหน่วงต่ำ (Low-latency) และเสถียรภาพสูง (High-resilience) พร้อมทั้งตอบสนองข้อกำหนดด้านถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (data residency)

นอกจากนี้ บริษัท จี-เอไอเอส จำกัด (G-AIS) บริษัทที่ GULF ถือหุ้นทางอ้อมผ่าน Gulf Edge และ AIS ถือหุ้นร่วมกันในสัดส่วนร้อยละ 50 ได้ขยายความร่วมมือกับไมโครซอฟท์ในการพัฒนานวัตกรรมคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ร่วมกัน เช่น ระบบศูนย์บริการลูกค้าที่ขับเคลื่อนด้วย AI และโซลูชั่นป้องกันภัยไซเบอร์ พร้อมทั้งวางแผนที่จะพัฒนาตลาดร่วมกัน (Joint Go-to-Market Strategy) เพื่อขยายการให้บริการโซลูชั่นดิจิทัลแก่ลูกค้าองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน

#นวัตกรรมคลาวด์
#ปัญญาประดิษฐ์


Energy News : กพช. เคาะวงเงินกองทุนอนุรักษ์ 1.5 หมื่นล้าน ปีงบ 2569–2571 เผยโครงการเร่งด่วนปี 69 ช่วยเหลือภาคประชาชน 7,5...
28/10/2025

Energy News : กพช. เคาะวงเงินกองทุนอนุรักษ์ 1.5 หมื่นล้าน ปีงบ 2569–2571 เผยโครงการเร่งด่วนปี 69 ช่วยเหลือภาคประชาชน 7,500 ล้านบาท

ที่ประชุม กพช. เห็นชอบกรอบวงเงิน 15,000 ล้านบาท เพื่อใช้เงินกองทุนอนุรักษ์ใน 3 ปี งบประมาณ พ.ศ. 2569-2571 โดยปีงบ 2569 จัดสรร 9,000 ล้านบาท เร่งผลักดันนโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงาน โดยกันงบ 7,500 ล้านบาท เพื่อเร่งจัดสรรเงินช่วยเหลือประชาชน เกษตรกร โรงพยาบาลชุมชน หวังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ด้านสาธารณูปโภค

นายรัฐฉัตร ศิริพานิช ผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน เห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569–2571 และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจปรับปรุงแนวทางหลักเกณฑ์ เงื่อนไขฯ และการจัดสรรเงินตามแผนและกลุ่มงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินรวม 15,000 ล้านบาท

สำหรับในปีงบประมาณ 2569 กพช. เห็นชอบกรอบวงเงิน 9,000 ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงพลังงานดำเนินการตามนโยบาย Quick Big Win เพื่อจัดสรรเงินช่วยเหลือประชาชน เกษตรกร และโรงพยาบาลรัฐ ลดค่าสาธารณูปโภค โดยจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือภาคประชาชนไว้ 7,500 ล้านบาท ประกอบด้วย

🔵 ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้หน่วยงานรัฐ และประชาชนในพื้นที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ จำนวน 300 แห่ง ทั่วประเทศ

🔵 โซลาร์เซลล์ในโรงพยาบาลชุมชน (ระดับทุติยภูมิ) จำนวน 500 แห่ง ทั่วประเทศ

🔵 โซลาร์สูบน้ำขนาดใหญ่ ขนาด 50-80 กิโลวัตต์ ในพื้นที่ประสบภัยแล้ง 450 แห่ง ทั่วประเทศ

🔵 สนับสนุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ขนาด 3-5 กิโลวัตต์ สำหรับระบบน้ำประปาหมู่บ้าน จำนวนกว่า 2,000 แห่ง เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าสาธารณูปโภค

🔵 สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการ และประชาชนผ่านธนาคารต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหรือลดการใช้พลังงาน รวมถึงการติดตั้งโซลาร์เซลล์

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะดำเนินการร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่มีภารกิจหน้าที่ในการร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการด้านพลังงานต่อไป อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น

สำหรับหลักเกณฑ์ฯ การใช้จ่ายเงินกองทุน แบ่งเป็น 6 กลุ่มงาน ประกอบด้วย

🔹 กลุ่มงานกฎหมาย นโยบาย หรืองานส่งเสริมเพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงพลังงาน
🔹 กลุ่มงานศึกษา ค้นคว้าวิจัย และนวัตกรรม
🔹 กลุ่มงานสาธิต ริเริ่ม และนำร่อง
🔹 กลุ่มงานสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ และข้อมูลข่าวสาร
🔹 กลุ่มงานพัฒนาบุคลากร
🔹กลุ่มงานส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และพัฒนาพลังงานทดแทน-พลังงานทางเลือก

#ข่าววันนี้
#ล่าสุด
#กพช
#กองทุนอนุรักษ์
#ข่าวTheEnergy

Energy News : กพช. เดินหน้า Quick Big Win ชูโซลาร์ฟาร์มชุมชน หนุนเศรษฐกิจดิจิทัล ขยายระบบส่งรองรับ Data Center วันนี้ (2...
27/10/2025

Energy News : กพช. เดินหน้า Quick Big Win ชูโซลาร์ฟาร์มชุมชน หนุนเศรษฐกิจดิจิทัล ขยายระบบส่งรองรับ Data Center

วันนี้ (27 ต.ค. 68) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานแทนนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมได้มีการพิจารณาวาระสำคัญด้านพลังงาน 7 เรื่องและมีมติเห็นชอบ ดังต่อไปนี้

🔵 เห็นชอบ กรอบหลักการเบื้องต้นของการดำเนิน “โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน” (Community-based Solar Power Generation Project) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน โดยมีเป้าหมายในการผลักดันและขับเคลื่อนโครงการไฟฟ้าชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานในระดับท้องถิ่น และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของประชาชนทั่วประเทศ

โดยรูปแบบโครงการจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อแห่ง รวมกำลังการผลิตไม่เกิน 1,500 เมกะวัตต์ โดยการกำหนดขนาดและพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการจะพิจารณาจากศักยภาพระบบไฟฟ้า ความต้องการใช้ไฟของชุมชน และความพร้อมของที่ดินในพื้นที่

ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) อัตราไม่เกิน 2.25 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี สัญญาแบบ Non-Firm และเป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้ ให้แก่ผู้ใช้ไฟในชุมชนเป้าหมาย

การคัดเลือกเอกชนร่วมดำเนินโครงการจะพิจารณาจากความพร้อมทั้งด้านคุณสมบัติและเทคนิค เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถพัฒนาและดำเนินการได้ตามแผนจนตลอดอายุสัญญา

ทั้งนี้ สิทธิในหน่วย Renewable Energy Certificate (REC) หรือ Carbon Credit ที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าภายใต้โครงการนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของภาครัฐ และจะระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ประชุมได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย. กฟภ. ร่วมกันกำหนดพื้นที่ชุมชนเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับดำเนินโครงการ ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

🔵 เห็นชอบ หลักการร่างสัญญา Energy Wheeling Agreement (EWA) สำหรับ โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ระยะที่ 2 (LTMS-PIP Phase 2) โดยเห็นชอบ อัตราค่า Wheeling Charge ของไทย เท่ากับ 3.5879 US Cent /หน่วย ทั้งนี้ สามารถปรับเพิ่มอัตรา Wheeling Charge ได้ แต่ต้องไม่ก่อนวันที่ 22 มิถุนายน 2569 โดยไม่ต้องนำมาเสนอ กพช. อีกครั้ง เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และรักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก

โดยที่ประชุมมอบหมายให้ กฟผ. นำเสนอสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) ตรวจพิจารณาร่าง EWA โครงการ LTMS-PIP ระยะที่ 2 และ มอบหมายให้ กฟผ. ลงนามในร่างสัญญา EWA โครงการ LTMS-PIP ระยะที่ 2 ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจาก อส. แล้ว

นายอรรถพลฯ ได้เปิดเผยว่า โครงการ LTMS ถือเป็นหนึ่งในโครงการนำร่องที่สำคัญภายใต้ ASEAN Power Grid (APG) ซึ่งมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายและส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าข้ามประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานในภูมิภาค และรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในอนาคต

โดย LTMS-PIP ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการเชิงธุรกิจในการซื้อขายและส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาดจาก สปป.ลาว ไปยังสิงคโปร์ ที่ปริมาณไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 100 เมกะวัตต์ จากการดำเนินโครงการที่ผ่านมามีการส่งผ่านไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ไปยังสิงคโปร์แล้วทั้งสิ้นจำนวน 266.33 ล้านหน่วย โดยสิ้นสุดโครงการ LTMS-PIP ระยะที่ 1 แล้วเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567

🔵 เห็นชอบให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้ประกอบการ Data Center ตามนโยบายรัฐบาล โดยให้ใช้งบประมาณภายใต้โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (Transmission System Improvement Project in Eastern Region to Enhance System Security: TIPE) ประมาณ 3,000 ล้านบาท

#ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว เพื่อดำเนินการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมประมาณ 1,750 เมกะวัตต์ ครอบคลุมการพัฒนาและก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้ กฟผ. จัดทำรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมใน ระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นแผนการดำเนินการที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติใหม่ วงเงินลงทุนรวมประมาณ 30,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในพื้นที่ภาคตะวันออกให้เพียงพอต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่ EEC และความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อเสนอขออนุมัติจาก ครม. ตามขั้นตอนต่อไป

🔵 ที่ประชุมยังได้ เห็นชอบแนวทางดำเนินการสำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โดยเห็นชอบให้ดำเนินการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในอัตรารับซื้อ 2.1679 บาทต่อหน่วย เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับใช้เจรจาของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินที่ กฟผ. ได้ดำเนินการจัดทำโดยปรับให้สอดคล้องกับลักษณะโครงการและต้นทุนการดำเนินการของภาคเอกชน ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 มีอัตรา 2.1941 บาทต่อหน่วย สูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินที่มีอัตรา 2.1679 บาทต่อหน่วย

ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินการเช่นเดียวกับ กรณีโครงการพลังงานลมที่อัตราค่าไฟฟ้าโครงการพลังงานลมที่ กฟผ. ดำเนินการสูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้า FiT โครงการพลังงานลมเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติให้ภาคเอกชนพิจารณาปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในภาพรวม และมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาปรับปรุงกรอบระยะเวลาการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และขยายกำหนดวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละโครงการ โดยการขยาย SCOD ต้องไม่เกินปี 2573

🔵 นายอรรถพลฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุม เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงกำหนดวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) และแผนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561–2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานและความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศในปัจจุบัน โดยนายอรรถพลฯ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เนื่องจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (ร่างแผน PDP2024) อยู่ระหว่างการจัดทำและยังไม่แล้วเสร็จ ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ใช้แผน PDP2018 Rev.1 เป็นกรอบดำเนินงาน พร้อมปรับปรุงกำหนด SCOD และแผนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าในช่วงปี 2568–2573

การปรับปรุงดังกล่าวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเน้นรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ป้องกันกำลังผลิตเกินจำเป็น และลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในระยะยาว โดยครอบคลุมโรงไฟฟ้า ดังต่อไปนี้
(1) โรงไฟฟ้า กฟผ. ที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก ครม.
(2) โรงไฟฟ้า กฟผ. ที่ได้รับอนุมัติจาก ครม. แล้วแต่ยังไม่ COD
(3) โรงไฟฟ้าที่ยังไม่ระบุผู้พัฒนา
(4) โรงไฟฟ้า IPP ที่มีสัญญาแล้วแต่ยังไม่ COD
(5) การรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ และใช้ข้อมูลประกอบการจัดทำร่างแผน PDP ฉบับใหม่ต่อไป

🔵 ที่ประชุม ยังได้เห็นชอบ แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2569–2571 เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงานของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในทุกภาคส่วน ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้กำหนดกรอบการใช้จ่ายรวม 15,000 ล้านบาท

โดยเน้นสนับสนุนโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน การพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก การวิจัยนวัตกรรม การสาธิตนำร่องการพัฒนาบุคลากร และการสื่อสารประชาสัมพันธ์ แบ่งเป็น ปีงบประมาณ 2569 จำนวน 9,000 ล้านบาท และปี 2570–2571 ปีละ 3,000 ล้านบาท ซึ่งในวงเงิน 9,000 ล้านบาทของปี 2569 นั้น ส่วนหนึ่งเป็นโครงการโซลาร์สูบน้ำ มีเป้าหมายในการกระจายระบบพลังงานแสงอาทิตย์ไปใช้ในระบบชลประทานและประปาหมู่บ้านทั่วประเทศ

นอกจากนี้ กพช. ยังให้อำนาจคณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการปรับปรุงรายละเอียดแนวทางและการจัดสรรงบประมาณได้ตามความจำเป็นและสถานการณ์ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกองทุนมีความยืดหยุ่น โปร่งใส และเกิดประสิทธิผลสูงสุดในการสนับสนุนการพัฒนาพลังงานของประเทศในระยะต่อไป

🔵 นายอรรถพลฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ การทบทวนและปรับปรุงคณะกรรมการภายใต้ กพช. เพื่อให้การบริหารจัดการด้านพลังงานของประเทศมีความคล่องตัว บูรณาการ และสอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานในปัจจุบัน

โดยเห็นชอบให้ ยกเลิกคณะกรรมการภายใต้ กพช. รวม 3 คณะ ได้แก่
- คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม (คำสั่ง กพช. ที่ 1/2568)
- คณะกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (คำสั่ง กพช. ที่ 2/2568)
- คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (คำสั่ง กพช. ที่ 3/2568)

🔵 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ จัดตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ชุดใหม่ และเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศขึ้นใหม่ โดยให้แต่งตั้งเป็นคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. และมอบหมายให้ กบง. พิจารณาองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ เพื่อดำเนินการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศให้มีความเหมาะสมต่อไป

#ข่าวTheEnergy
#ล่าสุด
#กระทรวงพลังงาน
#กพช
#โซลาร์ฟาร์มชุมชน

☀️ Solar Everywhere ... จากหลังคาโรงงานถึงบ้านประชาชน สู่ “สังคมผลิตไฟฟ้าเอง”พลังงานแสงอาทิตย์กำลังกลายเป็น “ทางเลือกใหม...
27/10/2025

☀️ Solar Everywhere ...
จากหลังคาโรงงานถึงบ้านประชาชน สู่ “สังคมผลิตไฟฟ้าเอง”

พลังงานแสงอาทิตย์กำลังกลายเป็น “ทางเลือกใหม่” ของคนไทยในยุคที่ทุกคนสามารถเป็น “ผู้ผลิตไฟฟ้า” ได้เอง จากหลังคาโรงงานจนถึงหลังคาบ้าน แนวคิด “Solar Everywhere” กำลังขยายตัวทั่วประเทศ
รายงาน Krungsri Research (2568) ระบุว่า กำลังผลิตไฟจากแสงอาทิตย์ในไทยเติบโตต่อเนื่อง แต่สัดส่วน “หลังคาที่ติดตั้งจริง” ยังต่ำมากเมื่อเทียบกับศักยภาพกว่า 100,000 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ออกมาตรการลดหย่อนภาษีสูงสุด 200,000 บาท สำหรับผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือน เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนลงทุนในพลังงานสะอาด
แนวโน้มนี้ยังขยายสู่ภาคอุตสาหกรรม โรงงานจำนวนมากเริ่มติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อลดต้นทุนพลังงานและปล่อยคาร์บอน สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero 2050 ของประเทศ ซึ่งมุ่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้าไทย
อย่างไรก็ตาม การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปยังมีอุปสรรค เช่น ต้นทุนเริ่มต้นสูง และขั้นตอนขออนุญาตที่ซับซ้อน แต่ด้วยนโยบายสนับสนุนใหม่ เทคโนโลยีที่ถูกลง และความตื่นตัวของประชาชน “ทุกหลังคา” ในไทยมีโอกาสกลายเป็น “โรงไฟฟ้าขนาดย่อม” ที่ช่วยลดค่าไฟ ลดคาร์บอน และสร้างพลังงานเพื่ออนาคตได้จริง

#พลังงานสะอาด #ผลิตไฟเอง ?

ที่มาอ้างอิง:
• Krungsri Research. “Solar Rooftop 2025 เทรนด์พลังงานสะอาดของไทย” (ม.ค. 2568) krungsri.com
• สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์. “มาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์รูฟสูงสุด 200,000 บาท” (พ.ค. 2568) prd.go.th

27/10/2025

Energy News: เสริมแกร่ง CCS 🌱⚙️
กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ร่วมกับ บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด มอบทุนศึกษาวิจัย CCS ให้แก่สถาบัน 7 แห่ง 🎓 หนุนความยั่งยืนของไทย 🇹🇭

#ข่าวTheEnergy
#กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ

#เทคโนโลยี
#ความยั่งยืน

Energy News: กระทรวงพลังงาน เร่งเดินหน้าโครงการ Floating Solar ของ กฟผ. รมว.พลังงาน ลงตรวจเยี่ยมเขื่อนศรีนครินทร์ ดูพื้น...
27/10/2025

Energy News: กระทรวงพลังงาน เร่งเดินหน้าโครงการ Floating Solar ของ กฟผ. รมว.พลังงาน ลงตรวจเยี่ยมเขื่อนศรีนครินทร์ ดูพื้นที่ติดตั้งโครงการ Floating Solar 1 ใน 3 เขื่อนหลักของ กฟผ. เร่งรัดให้เดินหน้าตามแผน

(25 ต.ค. 68) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ลงพื้นที่เยี่ยมชมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar) เขื่อนและโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ณ เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี โดยมี ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน นางพรรณวิภา ปิยัมปุตระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายนรินทร์ เผ่าวณิช รองผู้ว่าการประจำสำนักผู้ว่าการ รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ. และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ

โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar) ทั้ง 3 เขื่อนของ กฟผ. ได้แก่ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี กำลังผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ หรือ Net Zero ในปี 2050 ของประเทศไทย โดยจะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์รวม 20.56 ล้านตัน ตลอดระยะเวลา 25 ปี ซึ่งขณะนี้ระยะที่ 1 ทั้ง 3 โครงการอยู่ระหว่างนำเสนอ ครม. อนุมัติโครงการ

สำหรับเขื่อนศรีนครินทร์ มีแผนดำเนินโครงการ 4 ระยะ กำลังผลิตรวม 770 เมกะวัตต์ โดยระยะที่ 1 มีกำลังผลิต 140 เมกะวัตต์ ครอบคลุมพื้นที่ผิวน้ำประมาณ 1,020 ไร่ ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ชนิด Double Glass Monocrystalline Silicon PV กำลังผลิตไม่น้อยกว่า 650 วัตต์/แผง กำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในปี 2570 ระยะที่ 2 กำลังผลิต 50 เมกะวัตต์ ระยะที่ 3 กำลังผลิต 280 เมกะวัตต์ และระยะที่ 4 กำลังผลิต 300 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar) ในอีก 2 เขื่อนหลักของ กฟผ. ประกอบด้วย เขื่อนภูมิพล กำลังผลิต 778 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น ระยะที่ 1 กำลังผลิต 158 เมกะวัตต์ ระยะที่ 2 300 เมกะวัตต์ และระยะที่ 3 320 เมกะวัตต์ และเขื่อนวชิราลงกรณ กำลังผลิต 90 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นระยะที่ 1 กำลังผลิต 50 เมกะวัตต์ และระยะที่ 2 กำลังผลิต 40 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ แผน PDP2018 rev. 1 กำหนดให้ กฟผ. เป็นผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar) กำลังผลิตรวม 2,725 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 ถือเป็นส่วนสำคัญในการเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero เป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการวางแผงโซลาร์เซลล์บนพื้นที่ผิวน้ำในเขื่อนของ กฟผ. และใช้อุปกรณ์หลักร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่มีอยู่เดิม ช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้ค่าไฟฟ้ามีราคาต้นทุนที่เหมาะสม เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศซึ่งมีราคาสูงและผันผวน ช่วยสร้างความมั่นคงให้ระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศ โดยมีผลสำเร็จของโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำเขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี และเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ที่ดำเนินการไปแล้วและเห็นผลสำเร็จตามเป้าหมาย จึงมีการขยายผลไปยังเขื่อนต่างๆ ของ กฟผ. ที่มีศักยภาพ

#ข่าวTheEnergy
#ล่าสุด
#พลังงานสะอาด
#อรรถพลฤกษ์พิบูลย์
#กระทรวงพลังงาน

26/10/2025

ขณะที่เพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ทุ่ม 1.5 พันล้านดอลลาร์สร้าง Data Center ดึงบิ๊กเทคเข้าประเทศ 🇻🇳 มาเลเซียก็ผงาด! ขึ้นแท่นศูนย์กลาง Data Center ที่โตเร็วสุดในอาเซียน 🇲🇾 แล้วไทยล่ะ... พร้อมแค่ไหนกับโอกาสทองนี้? 🇹🇭✨

#ล่าสุด
#ข่าวTheEnergy
#พลังงานสะอาด

#ข่าววันนี้

ที่อยู่

Bangkok

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Energyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์