พีทคนเลือดบวก - Pete Thitiwatt A Person Living With HIV

พีทคนเลือดบวก - Pete Thitiwatt A Person Living With HIV A Person living with HIV since 2016 disclosed to public since 2018. I'm an Factivist

“คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะแสดงการตีตราผม ที่แสดงออกมาทั้งทางการแสดงทางกาย คำพูด จนนำไปสู่การปฏิบัติต่อผมที่ไม่ให้เกียรติ ไม่ให...
11/03/2025

“คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะแสดงการตีตราผม ที่แสดงออกมาทั้งทางการแสดงทางกาย คำพูด จนนำไปสู่การปฏิบัติต่อผมที่ไม่ให้เกียรติ ไม่ให้ความเคารพกัน จนมีการวิถีปฏิบัติที่ต่างไปจากคนอื่นๆ ไม่ว่า ปฏิบัติในแบบที่แย่กว่าคนอื่นๆทั่วไป หรือ ได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าคนอื่นๆทั่วไป(อภิสิทธิ์)

แต่ก่อนฉันอาจจะเมินเฉย ทำเป็นไม่สนใจคุณ แต่ถ้าคุณทำแบบนั้นกับผม ผมจะตะโกน และพูดมันออกมาด้วยเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะมีคนได้ยินเพียงเสียงกระซิบเราก็จะถามหา สิ่งที่คนอื่นๆ ได้รับการปฏิบัติ เช่นไร เราก็พึงถูกปฏิบัติ เช่นนั้น ไม่ด้อยกว่า หรือดีกว่าคนอื่นๆ ทั่วไป! ”

The 🇹🇭 2.0 report recommends a focus on to address self-stigma and social stigma

Thitiwatt Sirasejtakorn says U=U transformed the way he sees himself and interacts with the world.

Learn more about the report and Pete's story here➡️ https://bit.ly/41ReQ1S

10/03/2025

จากยาขยันสู่ยาบ้า ยาเสพติดเป็นปัญหา หรือแค่แพะรับบาป จากความล้มเหลวของรัฐ?
โดย : Peace Srl

ยาเสพติดถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามของสังคมมาโดยตลอด แต่แท้จริงแล้ว ปัญหายาเสพติดเกิดจากตัวสารเสพติดเอง หรือเป็นเพียงเครื่องมือที่รัฐและสื่อใช้สร้างความหวาดกลัวเพื่อปกปิดความล้มเหลวของนโยบาย?

"ยาขยัน หรือยาม้า" ที่เคยได้รับการยอมรับในหมู่แรงงาน ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ยาบ้า" เพื่อสร้างภาพลักษณ์เชิงลบอย่างรุนแรง เป็นตัวอย่างสำคัญของการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของสังคมต่อสารเสพติด บทความนี้จะสำรวจว่า การประกาศสงครามปราบปรามยาเสพติดนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริง หรือเป็นเพียงนโยบายที่ผิดพลาดและทำให้ปัญหายิ่งเลวร้ายขึ้น

- เมื่อการเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนความเข้าใจของสังคม -

ก่อนปี 2539 "ยาบ้า" (Methamphetamine) เคยถูกเรียกว่า "ยาม้า" หรือ "ยาขยัน" เป็นยาที่ใช้ในหมู่แรงงานเพื่อเพิ่มพลังงานและความทนทานในการทำงาน รัฐเคยสนับสนุนให้ใช้ในหมู่คนขับรถบรรทุก ทหาร และแรงงานหนัก แต่เมื่อผลกระทบด้านลบเริ่มปรากฏขึ้น ในปี พ.ศ. 2539 นายเสนาะ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น จึงได้เปลี่ยนชื่อเรียกจาก "ยาม้า" เป็น "ยาบ้า" เพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายและเปลี่ยนภาพลักษณ์ เปลี่ยนแปลงมุมมองของสังคมต่อสารชนิดเดียวกันนี้ ให้เป็นไปในทางลบมากขึ้น

เมื่อการเมืองและสื่อมวลชนได้ร่วมกันเปลี่ยนชื่อจาก "ยาขยัน หรือยาม้า" เป็น "ยาบ้า" เพื่อสร้างความหวาดกลัว ผลที่ตามมาคือ การออกกฎหมายที่เข้มงวดขึ้น การใช้ยาเสพติดถูกมองว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรง และประชาชนเชื่อว่ายาเสพติดเป็นสิ่งที่ต้องถูกกำจัดแทนที่จะถูกมองว่าเป็นปัญหาสุขภาพหรือปัญหาสังคมที่ต้องได้รับการแก้ไขเชิงโครงสร้าง

คำถามที่น่าสนใจคือ ยาเสพติดเองเป็นผู้ร้ายที่แท้จริงหรือไม่? หรือว่าการจัดการและนโยบายที่ล้มเหลวเป็นสาเหตุหลักของปัญหา? บทความนี้จะสำรวจประเด็นดังกล่าว โดยพิจารณาตัวอย่างของสารเสพติดที่เคยผิดกฎหมายแต่ปัจจุบันถูกกฎหมาย สารเสพติดที่ใช้ในทางการแพทย์ และแนวทางการจัดการปัญหายาเสพติดในประเทศที่ประสบความสำเร็จ

- สารเสพติด จากผิดกฎหมายสู่การยอมรับ -

หลายประเทศได้ปรับเปลี่ยนทัศนคติและนโยบายต่อสารเสพติดบางประเภท จากที่เคยถือว่าผิดกฎหมาย กลายเป็นยอมรับและควบคุมการใช้ในบางบริบท

กัญชา :
ในอดีต กัญชาถูกจัดเป็นสารเสพติดที่ผิดกฎหมายในหลายประเทศ แต่ปัจจุบัน หลายประเทศได้ปรับเปลี่ยนกฎหมายเพื่ออนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์และบางครั้งในเชิงสันทนาการ เช่น แคนาดาและบางรัฐในสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ทางการแพทย์ของกัญชา เช่น การบรรเทาอาการปวดและการรักษาโรคบางชนิด

ฝิ่น :
ในศตวรรษที่ 19 ฝิ่นถูกใช้เป็นยารักษาอาการปวดและโรคต่าง ๆ แต่เมื่อพบว่ามีความเสี่ยงต่อการเสพติด การใช้ฝิ่นในรูปแบบธรรมชาติถูกจำกัด อย่างไรก็ตาม สารอนุพันธ์ของฝิ่น เช่น มอร์ฟีน และโคเดอีน ยังคงถูกใช้ในทางการแพทย์ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด

สารเสพติดในทางการแพทย์ ประโยชน์และความเสี่ยงที่ควบคุมได้
สารเสพติดหลายชนิดมีประโยชน์ทางการแพทย์เมื่อใช้ในปริมาณและวิธีการที่เหมาะสม

มอร์ฟีน :
เป็นยาที่สกัดจากฝิ่น ใช้ในการบรรเทาอาการปวดรุนแรง แม้ว่าจะมีความเสี่ยงต่อการเสพติด แต่เมื่อใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ มอร์ฟีนเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการจัดการความปวด

แอมเฟตามีน: แม้ว่าแอมเฟตามีนจะถูกใช้เป็นสารเสพติดในบางกรณี แต่ในทางการแพทย์ สารนี้ถูกใช้ในการรักษาโรคสมาธิสั้น (ADHD) และโรคลมหลับ (narcolepsy) โดยมีการควบคุมปริมาณและการใช้เพื่อป้องกันการเสพติด

- ยาเสพติดเป็นปัญหาจริง หรือแค่แพะรับบาป? -

การบังคับใช้กฎหมายที่เน้นการลงโทษมากกว่าการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ทำให้ประเทศไทยมีอัตราผู้ต้องขังคดียาเสพติดสูงที่สุดประเทศหนึ่งของโลก การจับกุมเน้นไปที่ผู้เสพและผู้ค้ารายย่อยมากกว่าการจัดการเครือข่ายค้ายาขนาดใหญ่ ทำให้ปัญหายังคงอยู่

การควบคุมที่ย้อนแย้ง หลายประเทศเริ่มหันมาปรับเปลี่ยนนโยบาย เช่น การอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ หรือการแจกจ่ายเฮโรอีนภายใต้การควบคุมของรัฐ (เช่น สวิตเซอร์แลนด์) แต่ประเทศไทยยังคงใช้แนวทางเดิมที่เน้นการปราบปราม ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล

การตีตราผู้ใช้ยาเสพติดแทนการฟื้นฟู เมื่อผู้ใช้ยาเสพติดถูกมองว่าเป็นอาชญากรแทนที่จะเป็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ทำให้พวกเขาถูกผลักไสออกจากระบบสาธารณสุขและเข้าสู่กระบวนการอาชญากรรมอย่างเต็มตัว
การเสพยาโดยขาดการควบคุม ให้ความรู้และคำแนะนำต่างหาก คือปัญหาที่แท้จริง

ปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดไม่ใช่ตัวสารเอง แต่เป็นการใช้ยาเกินขนาด ไร้การควบคุม หรือการใช้ยาอย่างไม่ปลอดภัย ขาดความรู้ ความเข้าใจ และขาดการเข้าถึงบริการสุขภาพที่เหมาะสม ส่งผลให้ผู้เสพยาสร้างปัญหาในสังคม และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจนนำไปสู่การเสียชีวิต

ข้อมูลจากมูลนิธิรักษ์ไทยพบว่ามีผู้เสพยาไม่ถึง 10% เท่านั้นที่สร้างปัญหาให้กับสังคม ไม่ต่างจากสื่อเองที่แสวงหาผลประโยชน์จากการตีตราพาดข่าวเรียกยอด พร้อมยกกรณีตัวอย่างเหตุการกราดยิงที่หนองบัวลำภู สื่อต่าง ๆ ได้ผันตัวเป็นผู้พิพากษา ตีตราไปแล้วว่าผู้ก่อเหตุมีอาการคลั่งจากการเสพยา ซึ่งสุดท้ายผลการชันสูตรศพนั้นไม่พบสารเสพติดในร่างกายผู้ก่อเหตุแต่อย่างใด

หากเปิดตาศึกษาแนวทางที่ประสบความสำเร็จกับการแก้ปัญหายาเสพติดในต่างประเทศ จะเห็นว่าหลายประเทศได้ปรับเปลี่ยนนโยบายและแนวทางการจัดการปัญหายาเสพติด เพื่อมุ่งเน้นการลดอันตรายและการฟื้นฟูผู้เสพ มากกว่าการลงโทษ

โปรตุเกส ในปี 2001 โปรตุเกสได้ดำเนินนโยบายลดทอนความเป็นอาชญากรรมของการครอบครองยาเสพติดในปริมาณที่ใช้ส่วนบุคคล โดยผู้ที่ถูกจับจะถูกส่งไปยังคณะกรรมการเพื่อพิจารณาการบำบัดหรือการให้คำปรึกษา ผลลัพธ์ที่ได้คือ อัตราการเสพยาเกินขนาดและการติดเชื้อ HIV จากการใช้เข็มร่วมกันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศนี้ได้ดำเนินโครงการแจกจ่ายเฮโรอีนภายใต้การควบคุมสำหรับผู้ติดยาเสพติดที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีอื่น ผู้เสพจะได้รับยาในปริมาณที่ควบคุมภายใต้การดูแลของแพทย์ ส่งผลให้อัตราการเกิดอาชญากรรมและการเสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาดลดลง

เนเธอร์แลนด์ แม้ว่ากัญชายังคงผิดกฎหมายในเนเธอร์แลนด์ แต่การครอบครองและการขายในปริมาณน้อยได้รับการยอมรับในทางปฏิบัติ โดยมีการควบคุมผ่านร้านค้าที่ได้รับอนุญาต นโยบายนี้ช่วยลดการติดต่อระหว่างผู้เสพกัญชากับผู้ค้ายาเสพติดที่ผิดกฎหมาย

ต่อไปนี้คือ 3 แนวทางใหม่ ที่ควรนำมาพิจารณาในการจัดการปัญหายาเสพติดที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

1. แนวทางการลดอันตราย (Harm Reduction)
แนวทางการลดอันตรายมุ่งเน้นการลดผลกระทบด้านลบจากการใช้ยาเสพติด แทนลงโทษผู้เสพ หรือมุ่งเน้นการกำจัดยาเสพติดทั้งหมด โดยมีแนวทางหลัก 3 ประการ ได้แก่

(1.1) การให้บริการฉีดยาที่ปลอดภัย ในบางประเทศ เช่น แคนาดาและออสเตรเลีย มีการจัดตั้งศูนย์ฉีดยาสะอาดเพื่อให้ผู้เสพสามารถใช้ยาได้ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ ลดความเสี่ยงของการใช้เข็มร่วมกันและการติดเชื้อ HIV

(1.2) การแจกจ่ายยาทดแทน – บางประเทศมีโครงการแจกจ่ายเมทาโดน (Methadone) และบูพรีนอร์ฟีน (Buprenorphine) ให้กับผู้ติดเฮโรอีนและฝิ่นเพื่อลดอาการถอนยา และช่วยให้ผู้เสพสามารถควบคุมการใช้ยาได้ดีขึ้น
กรณีนี้ได้ประสบผลสำเร็จแล้วในพื้นที่อำเภอไชยปราการ จ.เชียงใหม่ โดยการนำของ ภานุ ใจกุล เภสัชกรชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มงาน

เภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค โรงพยาบาลไชยปราการ ผลที่ออกมาคือหลังจากเปลี่ยนมาใช้เมทาโดนเป็นสารทดแทนแล้ว ผู้ใช้สารเสพติดไม่ได้มีสุขภาพทรุดโทรมเหมือนอย่างเคย สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ และอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปลอดภัย ซึ่งในทุกปีมีหลายรายที่สามารถลดขนาดยาจนเลิกเสพได้ในที่สุด

(1.3) การให้ความรู้และบริการช่วยเหลือ – การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างปลอดภัย และการให้บริการช่วยเหลือด้านสุขภาพจิต เป็นวิธีที่ช่วยลดอัตราการเสพยาเกินขนาดและการเสียชีวิต

โมเดลนี้มีให้เห็นแล้วในพื้นที่ดอยแม่สลอง จ.เชียงราย จากการมีส่วนร่วมของชุมชน ภาคประชาสังคม กลุ่ม ฅ ฅน เพื่อการเปลี่ยนแปลง อดีตผู้ใช้ฝิ่นหลายราย ได้ผันตัวมาเป็นอาสาสมัคร ให้ข้อมูลความรู้ ความเข้าใจ ในการใช้เมทาโดนเป็นสารทดแทนอย่างปลอดภัยแก่เพื่อนผู้ใช้สารเสพติดในชุมชน รวมถึงให้คำแนะนำด้านสุขภาพ อาชีพ และความเป็นอยู่ เพื่อสร้างโอกาส และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ผ่านหน่วยบริการสุขภาพในชุมชน หรือ Drop in Center

จากประสบการณ์ตรงของอาสาสมัคร ที่มีความรู้ความเข้าใจ ทำให้แก้ปัญหายาเสพติดได้ตรงจุด จนสามารถช่วยเหลือผู้ใช้สารเสพติดที่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ได้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หลังจากพามาเข้ารับบริการ บำบัดด้วยเมทาโดน จนในท้ายที่สุด ไม่มีคนไหนกลับไปใช้สารเสพติดแบบเดิมอีกเลย

2. การลดทอนความเป็นอาชญากรรมของการครอบครองยาเสพติดเพื่อใช้ส่วนตัว (Decriminalization)

แนวทางนี้มุ่งเน้นให้การครอบครองยาเสพติดในปริมาณเล็กน้อยเพื่อใช้ส่วนตัว ไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา แต่จะถูกจัดการในเชิงสุขภาพและสังคมแทน เช่น การส่งเสริมให้เข้ารับการบำบัดหรือให้คำปรึกษาแทนการลงโทษด้วยการจำคุก เพื่อให้ผู้เสพสามารถเข้าถึงการรักษาได้โดยไม่ต้องกลัวถูกจับกุม

ตัวอย่าง โปรตุเกส – ในปี 2001 โปรตุเกสได้ลดทอนความเป็นอาชญากรรมของการครอบครองยาเสพติดสำหรับการใช้ส่วนตัว ทำให้อัตราการเสพยาเกินขนาดและการติดเชื้อ HIV ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ผลคือ ลดภาระของระบบยุติธรรม ลดจำนวนผู้ต้องขัง และช่วยให้ผู้เสพเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น

3. การควบคุมและกำกับดูแลตลาดยาเสพติด (Regulated Drug Market)
แนวทางนี้หมายถึงการทำให้ยาเสพติดบางประเภทถูกกฎหมายภายใต้ระบบควบคุมที่เข้มงวด เพื่อให้รัฐบาลสามารถกำกับดูแลการผลิต การจำหน่าย และการใช้ยาเสพติดได้อย่างปลอดภัย

ตัวอย่าง แคนาดาและบางรัฐในสหรัฐอเมริกา – ได้ออกกฎหมายให้กัญชาเพื่อการสันทนาการถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีการควบคุมการผลิตและจำหน่ายอย่างเข้มงวด

ผลคือ ลดอำนาจของตลาดมืด ลดอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และสร้างรายได้ให้ภาครัฐผ่านภาษี

หากรัฐมีความจริงจังในการแก้ปัญหายาเสพติดจริง ควรเริ่มจากการยอมรับว่าแพ้ราบคาบในการประกาศสงครามกับยาเสพติด

ปัจจุบันเห็นได้ชัดว่าหลังจากประกาศสงครามปราบปรามยาเสพติดนั้น ปัญหายาเสพติดในประเทศไม่ได้ดีขึ้นเลย ซ้ำยังบีบให้สถานการณ์แย่ลงเรื่อย ๆ ต่างจากแนวทางที่เน้นไปที่การจัดการปัญหายาเสพติด ในเชิงสุขภาพและสังคม มากกว่าการลงโทษทางอาญาเพียงอย่างเดียว ซึ่งช่วยลดอันตรายที่เกิดจากการใช้ยา และส่งเสริมให้ผู้เสพสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้โดยไม่ต้องกลัวถูกดำเนินคดี

จะดีกว่าไหม ถ้าหากรัฐเปลี่ยนมุมมอง ว่ายาเสพติดไม่ได้เป็นผู้ร้ายที่แท้จริงเสมอไป และเข้าใจว่าการใช้ยาอย่างไม่ปลอดภัย ขาดการควบคุมที่เหมาะสมนั้นต่างหาก ที่เป็นปัจจัยหลักทำให้เกิดปัญหาในสังคม หลายประเทศที่พัฒนาแล้วได้ใช้แนวทางที่เน้นการลดอันตรายและการฟื้นฟูมากกว่าการลงโทษทางอาญา ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการลดอัตราการเสพยาเกินขนาดและผลกระทบด้านลบจากยาเสพติด หากประเทศไทยต้องการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างมีประสิทธิภาพ ควรพิจารณานโยบายที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูและการลดอันตราย มากกว่าการลงโทษทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว

“You have No Rights to stigmatize me. “ ❤️👀 พีทคนเลือดบวก - Pete Thitiwatt A Person Living With HIV X UNAIDS Asia Pacifi...
10/03/2025

“You have No Rights to stigmatize me. “ ❤️👀
พีทคนเลือดบวก - Pete Thitiwatt A Person Living With HIV X UNAIDS Asia Pacific Blued

The 🇹🇭 2.0 report recommends a focus on to address self-stigma and social stigma

Thitiwatt Sirasejtakorn says U=U transformed the way he sees himself and interacts with the world.

Learn more about the report and Pete's story here➡️ https://bit.ly/41ReQ1S

10/03/2025
08/03/2025
08/03/2025
08/03/2025

รู้หรือไม่ว่าการแก้ไขกฎหมายทำแท้งเมื่อปี 2564 เป็นเพียงการขยายเงื่อนไขรับบริการ แต่สุดท้ายแล้วกฎหมายเกี่ยวกับ "การ #ทำแท้ง" ก็ยังอยู่ในหมวดความผิดทางอาญา หรือก็คือหากใครที่ไม่ได้รับบริการกับแพทย์ (เช่น ไม่ทราบว่าจะไปรับบริการแบบถูกกฎหมายได้ที่ไหน เพราะรัฐบาลก็ปฏิเสธที่จะประชาสัมพันธ์สถานพยาบาล) ก็อาจมีสถานะเป็น "อาชญากร" อย่างไม่รู้ตัว
เนื่องในวันสตรีสากล 2568 และในโอกาสครบรอบ 4 ปีหลังแก้ไขกฎหมายทำแท้ง มูลนิธิทำทางยังคงตั้งเป้าผลักดันให้การยุติการตั้งครรภ์มีสถานะทางกฎหมายอย่างที่ควรจะเป็น นั่นคือได้รับการยอมรับในฐานะ #สิทธิสุขภาพ และทางเลือก ไม่ใช่ในฐานะอาชญากรรม
ชวนมาพบกันในงาน "ยุติการตั้งครรภ์เป็นสิทธิ ไม่ควรผิดกฎหมาย" โดยมูลนิธิทำทาง × กมธ.กฎหมาย รัฐสภา × MovED - เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ
• วันที่ 10 มีนาคม 2568 เวลา 13:00-16:30 น.
• ณ ห้องประชุมสัมมนา B1-5 (ชั้น B1) อาคารรัฐสภา
• หรือติเตามไลฟ์ได้ทางเพจ ประชาไท Prachatai.com

27/02/2025
27/02/2025

Public Forum : เปลี่ยนระบบสุขภาพไทย ให้ไร้การเลือกปฏิบัติ
📢 ใกล้เข้ามาแล้วกับ "วันยุติการเลือกปฏิบัติสากล" (1 มีนาคม) ปีนี้ โลกต้องเผชิญกับอีกปรากฏการณ์สำคัญ ภายใต้จุดยืน "อเมริกาเฟิร์ส" ของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ที่สั่งระงับโครงการ USAID นาน 90 วัน ส่งผลกระทบต่อโครงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั่วโลก รวมถึงไทย หลายองค์กรด้านบริการสาธารณสุขต้องหยุดชะงัก และต้องเร่งหาทางรับมือ!
💡 ปัญหาการเลือกปฏิบัติในระบบสุขภาพไทยยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ The Active และ เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) เปิดเวที รวบรวมข้อมูล และข้อเสนอ เพื่อผลักดัน 5 นโยบายหลัก ในการ "จัดบริการสุขภาพที่ไม่เลือกปฏิบัติ" โดยเฉพาะ "การสร้างกลไกให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการออกแบบ ติดตาม และพัฒนาบริการสุขภาพ"
📌 ฟังเรื่องจริงจากผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายที่ต้องเปลี่ยน!

ร่วมพูดคุยโดย

• รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข : รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
• คุณสุภัทรา นาคะผิว : กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
• คุณสุรางค์ จันทร์แย้ม : ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING)
• คุณจารุณี ศิริพันธุ์ : เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED : มูฟดิ)
• พญ.นิตยา ภานุภาค : มูลนิธิสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI)

ร่วมกับผู้แทนผู้รับบริการ และผู้แทนจากชุมชนผู้ให้บริการ พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายร่วมขจัดการเลือกปฏิบัติ

ดำเนินรายการ โดย รุ่งโรจน์ สมบุญเก่า The Active Thai PBS

🗓 วันพฤหัสบดี ที่ 27 ก.พ. 2568 | เวลา 13.30 – 15.30 น. ณ ล้านไม้ Thai PBS
📺 รับชมสดที่เพจ The Active & MovED – เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ

📌ติดตามคอนเทนต์ย้อนหลังได้ที่ I ทุกช่องทางของ The Active

#เปลี่ยนระบบสุขภาพ #ไม่เลือกปฏิบัติ #หยุดเลือกปฏิบัติ

25/02/2025

มอง Chemsex ผ่าน Clymax : เสรีภาพ สุขภาพ บนความท้าทาย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Chemsex หรือการใช้สารเสพติดเพื่อกระตุ้นและเพิ่มประสบการณ์ทางเพศ ได้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มชายรักชาย (MSM) และคนข้ามเพศ แม้ว่าการใช้สารเหล่านี้จะให้ผลในแง่ของความสุขทางเพศและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน แต่ก็แฝงไปด้วยความเสี่ยงต่อสุขภาพและผลกระทบทางสังคมที่สำคัญ คำถามที่เกิดขึ้นคือ เราจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลและการลดอันตรายจาก Chemsex ได้อย่างไร?

Chemsex และผลกระทบที่มากกว่าที่คิด

สารเสพติดที่ใช้ใน Chemsex ได้แก่ Methamphetamine (ยาไอซ์), GHB/GBL และ Ketamine ที่ถูกใช้เพื่อเพิ่มความสุขในกิจกรรมทางเพศ แต่อาจส่งผลกระทบด้านลบที่น่ากังวลในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) และ HIV ผลกระทบต่อสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า หรือแม้กระทั่งการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาด นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการสูญเสียงานหรือถูกตีตราในที่ทำงาน

ดร.แพทย์หญิง นิตยา ภานุภาค ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI) กล่าวว่า “จากการทำงานกับผู้ที่มีพฤติกรรมที่เพิ่มโอกาสในการรับเชื้อ HIV มากว่า 20 ปี เรื่องเพศสัมพันธ์ไม่ได้เป็นพฤติกรรมเสี่ยงเดียวของการรับเชื้อ HIV แต่ยังมีเรื่องการใช้สารเสพติดในบริบทของการมีเพศสัมพันธ์ หรือ Chemsex มาเพิ่มความเสี่ยงในการสัมผัสกับเชื้อ HIV ไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ เราจึงมีการจัดการให้รอบด้าน โดยจัดโครงการ CLYMAX เพื่อเข้าไปทำความเข้าใจและลดอันตรายด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในผู้ที่ใช้ Chemsex”
สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI) ได้พัฒนาโครงการ CLYMAX ซึ่งเป็นโครงการเชิงรุกที่เน้นการดูแลคนแบบองค์รวม เพื่อลดอันตราย 4 ด้านที่อาจเกิดขึ้นในผู้ที่ใช้ Chemsex ทั้งด้านที่เกี่ยวกับการใช้สารเอง ด้านสุขภาพทางเพศ ด้านสุขภาพจิต การถูกละเมิดสิทธิ
โครงการ CLYMAX มีการสำรวจเชิงลึก ทั้งด้านความสุขและด้านอันตรายจากสารใช้สารเสพติดเพื่อการมีเพศสัมพันธ์ ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) ในประเทศไทย โดยการสัมภาษณ์ MSM จำนวน 40 ราย อายุระหว่าง 16-35 ปี พบว่า การใช้สารเพื่อเพิ่มความสุขในกิจกรรมทางเพศ ทำให้พวกเขารู้สึกมีส่วนร่วมทางสังคมที่เพิ่มขึ้นและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนของพวกเขาเพิ่มขึ้น เนื่องจากการใช้สารเพิ่มความรู้สึกใกล้ชิดอย่างรวดเร็วกับคนแปลกหน้า ทำให้เขาสามารถก้าวข้ามความรู้สึกที่เขาด้อยค่าตัวเองหรือถูกด้อยค่าจากการไม่ถูกยอมรับในสังคมที่อยู่ แต่ในขณะเดียวกัน เนื่องจากไม่มีความรู้และทักษะที่เพียงพอ ก็อาจต้องประสบกับอันตรายที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เช่น การถูกล่วงละเมิดหรือกระทำความรุนแรงทางเพศ การใช้สารเกินขนาด การเกิดภาวะซึมเศร้ารุนแรงหลังการใช้สาร การถูกละเมิดสิทธิโดยผู้บังคับใช้กฎหมาย เป็นต้น

ที่ผ่านมา IHRI มีบริการแบบบูรณาการ 3 ช่องทาง ได้แก่:

1. บริการสุขภาพทางเพศ โดยคลินิกหลักที่นำโดยชุมชน MSM และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางเพศ ที่เสริมการให้บริการลดอันตรายจากการใช้สาร การดูแลด้านสุขภาพจิต และบริการด้านสิทธิและกฎหมายเบื้องต้นเข้าไปด้วย
2. บริการในสถานที่พบปะสังสรรค์ โดยทำงานร่วมกับผู้จัดงาน เช่น ห้องซาวน่า โดยนอกจากบริการลดอันตรายจากการใช้สารแล้ว ยังเสนอการคัดกรองและการจัดบริการเบื้องต้นสำหรับสุขภาพทางเพศ สุขภาพจิต และบริการด้านสิทธิด้วย
3. บริการด้านกฎหมายและสิทธิ มีคลินิกกฎหมายและองค์กรเครือข่ายโครงการบ้านเสมอ ของมูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย ที่ให้ความช่วยเหลือ เมื่อถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมกับเสนอบริการเบื้องต้นสำหรับสุขภาพทางเพศ สุขภาพจิต และการลดอันตรายจากการใช้สารไปด้วย

โดย ดร.แพทย์หญิง นิตยา ภานุภาค มีข้อเสนอถึงภาครัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใน 3 ประเด็น คือ
1. นโยบายสุขภาพ โดยการจัดระบบบริการที่เข้าถึงได้และรอบด้าน
ปัจจุบัน บริการด้านสุขภาพสำหรับกลุ่มที่ใช้ Chemsex ยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะด้านการเข้าถึงและความครอบคลุมของการดูแล ทั้งในแง่ของสุขภาพทางเพศ สุขภาพจิต และการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด ภาครัฐควรพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่สามารถรองรับกลุ่มนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดตั้งศูนย์สุขภาพที่เป็นมิตรต่อกลุ่มเปราะบาง เพิ่มการอบรมบุคลากรทางการแพทย์ให้เข้าใจบริบทของ Chemsex และพัฒนากลไกการช่วยเหลือที่ไม่มุ่งเน้นการลงโทษ แต่เน้นการดูแลเชิงป้องกัน
2. กฎหมายยาเสพติด จาก "ผู้เสพเป็นผู้ป่วย" สู่ "ผู้เสพก็คือคน"
แนวคิดที่มองว่าผู้ใช้สารเสพติดเป็น "ผู้ป่วย" ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดการตีตราทางสังคม แต่ยังคงมีข้อจำกัด เพราะยังคงวางกรอบว่าผู้ใช้สารต้องได้รับการบำบัด ทั้งที่ผู้ใช้ Chemsex หลายคนอาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา หากภาครัฐเปลี่ยนมุมมองเป็น "ผู้ใช้สารก็คือคน" หมายถึง การยอมรับว่าคนมีสิทธิในร่างกายของตนเอง และควรได้รับบริการทางสุขภาพที่ปลอดภัยมากกว่าการถูกบังคับบำบัดหรือถูกดำเนินคดี การปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการลดอันตราย (Harm Reduction) จะช่วยให้กลุ่มนี้เข้าถึงบริการสุขภาพได้โดยไม่ต้องกลัวผลกระทบทางกฎหมาย
3. การให้ข้อมูลความรู้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดอันตราย
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของ Chemsex คือการขาดแคลนข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสารที่ใช้ วิธีการใช้ที่ปลอดภัย และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องควรจัดทำสื่อให้ความรู้ที่เข้าถึงได้ง่ายและเชื่อถือได้ โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ แอปพลิเคชัน หรือคลินิกเฉพาะทางในการเผยแพร่ข้อมูล เช่น วิธีลดความเสี่ยงของการใช้สาร การป้องกันการใช้ยาเกินขนาด หรือแนวทางการดูแลสุขภาพจิตหลังการใช้สาร การให้ความรู้ไม่ควรมุ่งเน้นการห้ามปราม แต่ควรเป็นการให้ข้อมูลเพื่อให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้อย่างปลอดภัยที่สุด

นอกจาก CLYMAX เป็นโครงการตั้งต้นแล้ว IHRI กำลังขยายแนวทางสู่โครงการ CHEERS ซึ่งมุ่งเน้นการดูแลคนทุกเพศที่มีพฤติกรรม Sexualized Substance Use หรือใช้สารในบริบทของการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อขยายภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมที่จะมีศักยภาพในการจัดบริการลดอันตรายจากการใช้สาร บริการสุขภาพทางเพศ การดูแลสุขภาพจิตแบบรอบด้าน พร้อมบริการด้านสิทธิและกฎหมายอย่างบูรณาการ
ถึงแม้ว่า Chemsex เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเสรีภาพส่วนบุคคล สุขภาพ และกฎหมาย การรับมือกับปัญหานี้จึงต้องใช้แนวทางการไม่ตีตราผู้ใช้สาร แต่เน้นไปที่การลดอันตรายและให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเข้าใจความหลากหลายของพฤติกรรมมนุษย์มากขึ้น

รายงานนี้อยู่ภายใต้ โครงการ Criminal justice reform through drug policy reform: REFORM THAILAND
รายงาน : อาทิตยา เพิ่มผล
ข้อมูลอ้างอิง : โครงการ CLYMAX

#เพราะเสียงของพวกเราเท่ากัน #แค่พูดมันออกมาjustsayit

25/02/2025

เปลี่ยนระบบสุขภาพไทย ไร้การเลือกปฏิบัติ

วันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ ตั้งแต่เวลา 13.30 น. เป็นต้นไป มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย ในฐานะหน่วยงานเลขา ของเครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ ร่วมกับศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส จัดกิจกรรม 𝐏𝐮𝐛𝐥𝐢𝐜 𝐅𝐨𝐫𝐮𝐦 "เปลี่ยนระบบสุขภาพไทย ไร้การเลือกปฏิบัติ"

เพื่อนำเสนอปัญหาการเลือกปฏิบัติในหน่วยบริการสุขภาพ จากการรวบรวมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของเครือข่ายฯ และเพื่อแถลงถึงข้อเสนอเชิงนโยบายจากการจัดกิจกรรม สมัชชาเครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติปี พ.ศ. 2567 ที่จัดขึ้นให้แก่หน่วยงาน และผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้อง

กิจกรรมจัดขึ้นที่ อาคารเอ ไทยพีบีเอส ถนนวิภาวดีรังสิต และจะถ่ายทอดสดผ่านแฟนเพจ The Active รวมทั้งMovED - เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ โดยท่านจะได้รับฟังเสียงอย่างรอบด้านจาก

• รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข
: รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

• คุณสุภัทรา นาคะผิว
: กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

• คุณสุรางค์ จันทร์แย้ม
: ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING)

• คุณจารุณี ศิริพันธุ์
: เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED : มูฟดิ)

• พญ.นิตยา ภานุภาค
มูลนิธิสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI)

ร่วมกับผู้แทนผู้รับบริการ และผู้แทนจากชุมชนผู้ให้บริการ พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายร่วมขจัดการเลือกปฏิบัติ โดยมีผู้ดำเนินรายการได้แก่ คุณรุ่งโรจน์ สมบุญเก่า ผู้สื่อข่าว TPBS

ใครไม่สะดวกไป อย่าลืมติดตามเพจเราไว้เพื่อไม่พลาดไลฟ์ในทุกสถานการณ์ ... แล้วพบกัน พฤหัสที่ 27 กุมภาพันธ์นี้

#ไม่เลือกปฏิบัติ #ใครเลือกปฏิบัติต้องรับผิดชอบ #เวทีสาธารณะ #ทรัมป์ #ชุมชน #บริการสาธารณะ #ระบบสุขภาพ #เปลี่ยนนโยบาย

18/02/2025

“สาวประเภทสอง”

แล้วใครประเภทหนึ่ง? แล้วใครสถาปนา ไหนหนึ่ง ไหนสอง?
-เมื่อไหร่เราจะตระหนักความเท่าเทียมกันตั้งแต่คำที่ใช้ไปถึงความเป็นมนุษย์-

ที่อยู่

Bangkok

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ พีทคนเลือดบวก - Pete Thitiwatt A Person Living With HIVผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์