Pete Thitiwatt A Person Living with HIV

Pete Thitiwatt A Person Living with HIV Pete Thitiwatt Sirasejtakorn is independently advocating as a person living with HIV. He disclosed his personal story about Life with HIV since 2018.

He has been interviewed on TV programmes, News, Documentary for more 20+ interviews.

31/10/2025

เชิญสื่อมวลชนร่วมทำข่าวและสังเกตการณ์การประชุมเชิงปฏิบัติการ “บทบาทของผู้บังคับใช้กฎหมายกับการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด : Bridging Justice & Health” วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ตั้งแต่เวลา 08.30 – 15.30 น. ณ ห้องประชุมสุวิทย์ศักดานนท์ โรงแรมทีเค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ถนนแจ้งวัฒนะ หลักสี่ กรุงเทพฯ

__________________

กลุ่มเป้าหมายร่วมกิจกรรม
__________________

- เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการศึกษา บช.น. และสถานีตำรวจนครบาลทั้ง 88 แห่ง
- ตัวแทนผู้ใช้สารเสพติด
- หน่วยงานด้านสาธารณสุข สปสช.
- ผู้แทนภาคประชาสังคม และองค์กรระหว่างประเทศ
- ผู้แทนคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ

__________________

ที่มาของกิจกรรม
__________________

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหายาเสพติดทั่วโลกได้เปลี่ยนจากการมุ่ง “ลงโทษ” มาเน้น “การลดอันตราย” (Harm Reduction) เพื่อคุ้มครองสุขภาพและสิทธิมนุษยชนของผู้ใช้สาร ตามแนวทางที่ได้รับการยอมรับจาก UN, WHO และ UNAIDS สำหรับประเทศไทย แม้มีความพยายามออกนโยบาย แต่การสร้างความเข้าใจระหว่างผู้บังคับใช้กฎหมาย และผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายมุ่งปราบปราบเอาผิด บังคับบำบัด จับขัง ยังเป็นแนวปฏิบัติหลัก จึงจำเป็นต้องมีพื้นที่ในการเรียนรู้ พูดคุย เพื่อส่งเสริมบทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะ “ผู้ดูแลความปลอดภัยของชุมชน” ได้เห็นทางเลือกของการจัดการด้านยาเสพติดที่เหมาะสม เท่าทัน และเป็นไปตามแนวทางของประเทศและในระดับสากล

__________________

กิจกรรมในงาน
__________________

- การบรรยายและเสวนาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย สาธารณสุข และสิทธิมนุษยชน
- การนำเสนอโมเดลการให้บริการ Harm Reduction โดยชุมชน
- การพูดคุยกับผู้ใช้สารเสพติด เพื่อเข้าใจประสบการณ์ชีวิตและอุปสรรคภายใต้กฎหมาย
- การระดมความคิดเห็นเพื่อสร้างข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางความร่วมมือในพื้นที่

__________________

วิทยากรและผู้ร่วมเสวนา
__________________

คุณชาญเชาว์ ไชยานุกิจ
: อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
(อยู่ระหว่างประสานงาน)

แพทย์หญิงนิตยา ภานุภาค
:ผู้อำนวยการบริหารสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI)

คุณจารุณี ศิริพันธุ์
:ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR)

ผู้แทนจาก UNODC, สปสช. และภาคประชาสังคม

__________________

ติดต่อประสานงานสำหรับสื่อมวลชน
__________________

คุณไพลิน ดวงมาลา (เฟื่อง) โทร. 089-511-3805
อีเมล: [email protected] | Line ID: satifueang

คุณณินจ์ญาดา โลศิริ (ณินจ์) โทร. 080-819-5308
อีเมล: [email protected]


จัดโดย
มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR)
ร่วมกับ UNODC ประจำประเทศไทย | สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย (RSAT) | สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI)

#ผู้สื่อข่าว #นักข่าว #กิจกรรม #ชวนทำข่าว #กิจกรรม #เสวนา #พูดคุย #ลดอันตราย #ยาเสพติด #นโยบายยาเสพติด #กมธ #ตำรวจ #บังคับบำบัด

31/10/2025

ขอเชิญร่วมทำแบบสอบถามเพื่อขับเคลื่อนกฎหมายที่เป็นธรรมสำหรับผู้ใช้สารเสพติดในประเทศไทย

หากคุณเป็น คนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไป และอยู่ในอย่างน้อย 1 กลุ่มต่อไปนี้:

1. ผู้ใช้สาร
2. ครอบครัวและคู่ของผู้ใช้สาร
3. ผู้ให้บริการสุขภาพ
4. ผู้บังคับใช้กฎหมาย

ขอเชิญชวนเข้าร่วม แบบสอบถามสำรวจความคิดเห็น เกี่ยวกับ
📌 การเข้าถึงบริการลดอันตราย (Harm Reduction)
📌 ความเป็นไปได้ในการ ยกเลิกโทษทางอาญาสำหรับผู้เสพ

ทำแบบสอบถามได้ที่:
https://survey.alchemer.com/s3/8104894/REFORM-screening
แบบสอบถามนี้เป็นส่วนหนึ่งของ REFORM Thailand Partnership
ซึ่งรวมพลังจากภาคประชาสังคม ผู้ใช้สาร ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และผู้ให้บริการสุขภาพ
เพื่อผลักดันสังคมที่ไม่ตีตรา ลดการเลือกปฏิบัติ และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
อย่าลืมช่วยกระจายต่อไปยังกลุ่มที่เกี่ยวข้องนะคะ
#ยกเลิกโทษอาญาผู้เสพ #สิทธิมนุษยชน

26/10/2025

The NGO Delegation to the UNAIDS Programme Coordinating Board (PCB) is seeking nominations for members of the Civil Society Advisory Group (CSAG) for the 57th PCB Thematic Segment, to be ...

14/10/2025

“เราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า ยาเสพติดเป็นสิ่งไม่ดี แถวบ้านที่สุราษฎร์ฯ มีคนใช้ยา คนแถวนั้นก็กลัวกัน ผู้ใหญ่มักบอกว่า ‘อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด’ มันทำให้เสียคน เรียนไม่จบ ไม่มีอนาคต ติดยาแล้วอาจถูกจับด้วย ทำให้มุมมองของเราต่อเรื่องยาเสพติดคือ น่ากลัวและอย่าไปยุ่ง เราเริ่มทำงานเป็นเอ็นจีโอในประเด็นเอชไอวีเมื่อปี 2546 ช่วงนั้นมีข่าวสงครามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณ เห็นข่าวคนเสียชีวิตเยอะ เราตั้งคำถามว่า คนเหล่านั้นเป็นใคร เรามองว่าการจัดการผู้ค้าผลิตก็ควรทำแหละ แต่พอรู้รายละเอียดมากขึ้น ผู้เสียชีวิตกว่าสองพันคน จำนวนมากเป็นผู้เสพและผู้ค้ารายย่อย

“พอปี 2553 เราเปลี่ยนมาทำงานกับผู้ใช้สารเสพติด เป้าหมายคือยุติการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดด้วยวิธีการฉีด เราได้ไปพูดคุยและให้ความรู้ว่าจะลดความเสี่ยงเรื่องเอชไอวีได้ยังไง พอได้คุยกัน พวกเขาไม่ได้มีแค่เรื่องยาเสพติดและโรค แต่คือคนธรรมดาที่ถูกคาดหวังจากครอบครัวและสังคม เราได้ถามพวกเขาว่า ทุกวันนี้มองชีวิตตัวเองยังไง อยากเลิกหรืออยากลดไหม ถ้าใครอยากเลิก เราจะชวนวางแผน บางคนค่อยๆ ลดปริมาณ บางคนเปลี่ยนมาใช้สารทดแทน แค่นั้นก็เป็นความสำเร็จแล้ว ถ้าบางคนยังเลิกไม่ได้ คำแนะนำของเราคือ เขาจะยังมีชีวิตอย่างปลอดภัยในขณะที่ยังใช้ยาได้ยังไง

“เชื่อไหมว่า กลุ่มผู้ใช้ยาที่เราเจอมีหลายแบบมาก แต่สิ่งที่เหมือนกันคือไม่มีผู้ใช้ยาคนไหนฝันหรือตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่าโตขึ้นจะใช้ยาเสพติด เราเจอคนใช้ยาที่พยายามทำงานหาเลี้ยงครอบครัว เจอคนที่เข้าเรือนจำเป็นว่าเล่นจากการเสพแล้วถูกจับแล้วถูกนำตัวไปบำบัดซ้ำๆ เจอคนพยายามลดการใช้ยาเพราะอยากจะเก็บเงินไปเป็นค่าข้าวให้ลูก หลายคนพยายามเลิกยานะ แต่พอคนรอบตัวไม่เชื่อว่าจะเลิกได้ มีคนบอกว่า ‘หมาเคยกินขี้ ยังไงมันก็ต้องกิน’ เขาจะเอาพลังหรือแรงใจที่ไหนไปเลิก พอยาเสพติดผิดกฎหมาย เขาเลยถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี เป็นอาชญากร มันเลยไม่ใช่แค่โรคละ แต่สิ่งที่พวกเขาเจอคือโลกที่มีการตีตรา

“เราทำงานกับผู้ใช้สารเสพติดมาสิบกว่าปี ปัจจุบันมีบทบาทเป็นผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR) เรามองว่า ถ้าดีที่สุดคือต้องไม่มียาเสพติดเลยในประเทศนี้ แบบนั้นจะไม่มีคนใช้ยาแน่ๆ แต่พอยังทำแบบนั้นไม่ได้ ยังจัดการผู้ค้าผู้ผลิตไม่ได้ เราต้องมองเรื่องนี้แบบรอบด้านมากขึ้น ทางออกอาจจะไม่ได้อยู่ที่การเลิกใช้ยาเท่านั้น แต่ควรสนับสนุนให้เขาอยู่ในจุดที่จัดการตัวเองได้และไม่ไปละเมิดใคร

“เขาต้องมีข้อมูลที่จะดูแลและจัดการตัวเอง รู้ว่ายาแต่ละตัวออกฤทธิ์ยังไง ตัวไหนกดประสาท ตัวไหนกระตุ้นประสาท ตัวไหนหลอนประสาท ถ้าใช้เป็นเวลานานแล้วไม่ได้นอนจะเกิดอาการอะไรขึ้น ถ้ามันส่งผลต่อสุขภาพกายสุขภาพจิตก็ต้องเข้าสู่การรักษา อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้สนับสนุนให้ใครใช้ยานะ แต่การบอกให้เขาต้องเลิก! ไม่ใช่ทางออกของปัญหานี้อย่างเดียว เพราะบางคนยังเลิกไม่ได้เนื่องจากอยู่ในภาวะพึ่งพิง

“แน่นอนว่า ‘ใจ’ คือจุดเริ่มต้นของการเลิกยา แต่ระบบต้องเป็นมิตรกับเขาด้วย ไม่ใช่การบังคับให้เลิก แต่คือการดูแลหลังจากเลิกด้วย เลิกแล้วยืนระยะในสังคมได้ ถ้ากลับมาอยู่กับครอบครัว ก็ต้องได้รับการสนับสนุน เชื่อว่าเขาสามารถเลิกได้ บางคนกลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ต่อให้ใจเข้มแข็งยังไง เดินผ่านกลุ่มเพื่อนคนเดิม เจอกันตรงนี้ทุกวัน คำถามคือ คุณจัดการสภาพแวดล้อมตรงนั้นยังไง และเขาเข้าถึงการทำงานเพื่อจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ไหมด้วย ปัญหาที่หลายคนเจอคือถูกตราหน้าไปแล้วว่าเชื่อถือไม่ได้ ถ้าไม่มีใครเชื่อ เขาจะอยู่ในสังคมยังไง สุดท้ายเขาก็ถูกดีดกลับไปสู่ที่เดิมซ้ำๆ

“องค์กรของเรามี ‘บ้านเสมอ’ ที่เป็นพื้นที่ให้คำปรึกษาและให้ข้อมูลสำหรับคนที่ใช้ยาแล้วเกิดผลกระทบ รวมทั้งให้คำปรึกษากับครอบครัวที่มีลูกหรือคู่ที่ใช้ยา การทำงานของเราจะจัดแบ่งผู้ใช้ยาที่มารับบริการออกเป็นกลุ่มๆ ไม่ได้รวมทุกคนที่ใช้ยาอยู่ในกลุ่มหรือเข่งเดียวกันหมด เช่น คนที่ใช้แค่ครั้งคราว คนที่ใช้ประจำ และคนที่พึ่งพิงไม่สามารถหยุดใช้ได้ เพราะความเสี่ยงและผลกระทบ และวิธีการจัดการปัญหาแตกต่างกัน

“เราเชื่อว่าถ้าผู้ใช้ยามีข้อมูลมากพอ มีแหล่งที่จะพูดคุยหรือช่วยให้พวกเขามองเห็นปัญหาและผลกระทบ ด้วยการปฏิบัติที่ไม่ตัดสินและตีตราตั้งแต่แรก พวกเขาจะสามารถวางแผนชีวิตตัวเองเพื่อจัดการผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ สุดท้ายผู้ใช้ยาและครอบครัวจะมีทางออกต่อเรื่องนี้มากขึ้น บางคนอาจใช้เวลาสักระยะในการเลิกหรือลด เป็นเดือน เป็นปี หรือนานกว่านั้น บางคนหยุดใช้ยาในที่สุด สุดท้ายพวกเขาสามารถมีชีวิตในแบบที่ต้องการได้

“เราว่าปัญหาคือการมองคนใช้ยาด้วยมุมมองแบนๆ ราบเรียบจนเกินไป มองว่าเป็นเรื่องของปัจเจก ด่าว่าทำไมคนนี้ใช้ยา ต้องไปเลิกเท่านั้น! โดยไม่วิเคราะห์ว่ามีปัจจัยอะไรผลักให้เขาใช้ยา ไม่ว่าจะครอบครัว สังคม ระบบการศึกษา เศรษฐกิจ การมองแบบแบนๆ ทำให้ไม่เห็นมิติความเป็นคน ปัญหาใดๆ ในสังคมจะแก้ได้ ถ้าเรามองให้เห็นรายละเอียด ใช่ ยาเสพติดเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ถ้าเราปิดประตูเร็วจนเกินไป พอรู้ว่าคนนี้ใช้ยา ตัดสิน สรุป ไม่เอาคนนี้แล้ว เราจะไม่มีทางรู้เลยว่า อะไรทำให้เขาใช้ยา ถ้าคุณมองให้เห็นรายละเอียด คุณจะรู้จักเขามากขึ้น เห็นความเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไปเลย

“การจับคนเข้าเรือนจำด้วยคดียาเสพติด ส่วนใหญ่คือผู้เสพและผู้ค้ารายย่อยนะ ทั้งที่การแก้ปัญหายาเสพติดที่สำคัญกว่าคือการจัดการแหล่งค้าแหล่งผลิตรายใหญ่ ยังไงประเทศนี้ก็ไม่มีทางปลอดจากยาเสพติด ตราบใดที่เป็นเรื่องผลประโยชน์ เครือข่ายค้ายาใหญ่กว่าที่เราคิดมาก มีเรื่องคอร์รัปชั่นอีก ในประเทศที่ระบบเป็นแบบนี้ หลายคนมองผู้ใช้ยาเป็นคนไม่ดีไปแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริง พวกเขาอาจกำลังเป็นเหยื่อก็ได้นะ”


จารุณี ศิริพันธุ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR)

As an HIV advocate, I've seen firsthand how AI's promise of safety can turn into a tool for censorship. My new Strategic...
02/10/2025

As an HIV advocate, I've seen firsthand how AI's promise of safety can turn into a tool for censorship. My new Strategic Report and Open Letter reveals how current content moderation systems are failing to distinguish between hate speech and legitimate human rights advocacy, leading to the silencing of marginalized voices.

We demand direct accountability for AI developers and international legal oversight. This isn't just a tech problem, it's a human rights crisis.

Please read, share, and join us in demanding change.

Full Report: https://docs.google.com/document/d/1OW_BPT7ZMgdSu5_TJTM5Vr4fOUpTYgKJ65Rcn6S5J7k/edit?usp=drivesdk

—————
ภาษาไทย

ผม Thitiwatt Sirasejtakorn ในฐานะนักรณรงค์ HIV ผมได้เห็นกับตาว่าคำสัญญาเรื่องความปลอดภัยของ AI สามารถกลายมาเป็นเครื่องมือในการเซ็นเซอร์ได้อย่างไร รายงานเชิงกลยุทธ์และจดหมายเปิดผนึกฉบับใหม่ของผม เผยให้เห็นว่าระบบ กลั่นกรองเนื้อหาในปัจจุบันล้มเหลวในการแยกแยะระหว่างถ้อยคำสร้างความเกลียดชังกับการรณรงค์สิทธิมนุษยชนที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างไร นำไปสู่การปิดปากผู้กลุ่มประชากรเปราะบาง

ผมขอเรียกร้องให้บริษัทผู้พัฒนา AI ต้องรับผิดชอบโดยตรง และมีการกำกับดูแลทางกฎหมายในระดับสากล นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นวิกฤตสิทธิมนุษยชน ทั้งจาก UN ในองค์กรที่รับผิดชอบ รวมทั้ง หน่วยงานภาครัฐ ที่เรื่องจริยธรรมในการพัฒนา AI และการคุ้มครองข้อมูล Privacy & Security ของพลเมืองไทยในการดูแลและเฝ้าระวังผลกระทบจากการใช้ AIs ของพลเมืองไทย

โปรดอ่าน แชร์ และร่วมเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับเรา

อ่านรายงานฉบับเต็ม 👉 https://docs.google.com/document/d/1OW_BPT7ZMgdSu5_TJTM5Vr4fOUpTYgKJ65Rcn6S5J7k/edit?usp=drivesdk

#กำกับดูแลAI #สิทธิพลเมือง #สิทธิมนุษยชน #สิทธิLGBTQ #รณรงค์HIV #จริยธรรมAI #กลั่นกรองเนื้อหา



Pete Thitiwatt A Person Living with HIV
OpenAI มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย - FAIR

ว่าจะพูดอยู่นานละ งมโข่งกันจัง เรื่องการระบาดซิฟิลิส ว่าคนไม่ใช้ถุงยางป้องกัน ไม่ใช่จ่ะ! 1). แต่เพราะการทำออรัลเซกซ์ กับ...
27/09/2025

ว่าจะพูดอยู่นานละ งมโข่งกันจัง เรื่องการระบาดซิฟิลิส ว่าคนไม่ใช้ถุงยางป้องกัน ไม่ใช่จ่ะ!

1). แต่เพราะการทำออรัลเซกซ์ กับคนที่มีคนที่เชื้ิอซิฟิลิส แบบไม่มีอาการ(Asymtomatic Infection) แม้ว่าจะใช้ถุงยาง ตอน สอดใส่ ก็ไม่รอด !!

จำไว้นะว่า
. “การออรัลเซกซ์ เป็นความเสี่ยงต่ำสำหรับ HIV(ชนิดที่ไม่ต้องกังวลเลย) - แต่ไม่เป็นความปลอดภัยเลยสำหรับ STIs(Sexually Transmitted Infections) หรือ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์”

#ซิฟิลิส #หนองในแท้ในลำคอ #หนองในเทียมในลำคอ ก็เหมือนกัน

2).มีคนที่มาประวัติการติดเชื้อ ซิฟิลิส ที่รับการักษาด้วยการฉีดยา 1Dose สำหรับการทราบการติดเชื้อครั้งแรก (เรียก Early Treatment) และครั้งที่2 เป็นต้นไป ฉีด 3Dose (เรียก Lately Treatment) และต้องติดตามผลการรักษา 1 ปี โดย เงื่อนไขให้งดการมีเพศสัมพันธ์ ระหว่างนั้น! .. #มีใครทำได้? และนั่น ทำให้ การ Re-Infection หรือ การกลับไปติดเชื่อซ้ำมาใหม่ มันเลย ไม่จบ ไม่เสร็จ ไม่เข็ดเสร็จเด็ดขาด ให้แล้วๆ ไป ละถ้าไป Reinfection มาแล้ว จาก ค่า titer ที่กำลังลง จากการรักษา แต่ดันไปติดเชื้อมาใหม่ มันก็กลับมา ส่งค่อเชื้อแบบไม่แสดงอาการ ในขณะอยู่ในกระบวนการรักษา !! (Asomtomativ Syphilis Reinfection during Retention in care)

อย่าไปว่าคนไม่ใช้ถุงยาง .. มันไม่มีใคร ใชั 100% ไม่ใช้เลบ 100% หรอก!! มันใช้ถี่บ่อย แค่ไหนต่อให้มีเซก 100 ครั้ง พลาดไม่ใช้ ครั้งเดียว เพียงพอมี่ยที่จะ ติดเชื้ออะไรใดๆ ได้?

คำตอบคือ : แค่ครั้งเดียวที่เราเผลอ เราลืม เราประมาท ไม่ใช้ถุงยางครั้งเดียว ครั้งเดียวที่ไม่ป้องกัน ทั้งที่ใช้มา99 ครั้ง #โคตรจะเสี่ยง และ มีโอกาสเป็นอะไรได้ทั้งนั้นอะ

ปล. สำหรับการมีความเสี่ยงมาหลังการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย คือ ไม่ป้องกัน เรามีเครื่องมือฉุกเฉินให้ใช้ คือ ..

👉 สำหรับ HIV เราจะใช้ PEP (Post Exposure Propylaxis) ยาป้องกันฉุกเฉิน หลังมีความเสี่ยง ไม่เกิน 72 ชม.

👉สำหรับ STIs หรือ การติดเชื่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน ใดๆ เราเรียก Doxy-PEP เป็นยากินหลังเสี่ยง (รายละเอียดปรึกษาหน่วยบริการ)

ทั้งหน่วยงานรัฐฯ รพ. สถานบริการสุขภาพ โพสต์ซะ ดุไม่ทรงภูมิ ไม่ทันเหตุการณ์เลย แสดงว่า ไม่ใกล้ชิดกับคนในชุมชน

Pete Thitiwatt A Person Living with HIV
Global Network of People living with HIV (GNP+) มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย - FAIR

The Intentionally Unintentional : A Day Before My Day1 in HIV Activism”Pete Thitiwatt A Person Living with HIV  : A PERS...
26/09/2025

The Intentionally Unintentional : A Day Before My Day1 in HIV Activism”

Pete Thitiwatt A Person Living with HIV : A PERSON WITH HIV

7 years ago (June-2018) , I stood at a crossroads that would define the rest of my life. My ex-partner threatened to expose my HIV status publicly, intending to destroy me. In that terrifying moment, I faced an impossible choice: be exposed by someone else’s malice, or take control of my own story.

I chose to tell my truth myself.

I was scared—terrified, actually. I knew that once I posted those words, there would be no going back. I imagined people seeing me as dangerous, as someone to fear and avoid. I thought about all the ways society might reject me, judge me, even wish me harm. In my darkest thoughts, I wondered if this disclosure might be the end of everything I’d worked for.

But I refused to let someone else write my story.

That post changed everything—not in the way I feared, but in ways I never could have imagined. What began as self-protection became something much greater: a calling to serve my community.

I discovered that my vulnerability became my strength. My fear transformed into courage. My shame evolved into purpose. Every interview I gave, every story I shared, every moment I showed up authentically as someone living fully with HIV—it all became part of something bigger than myself.

Today, I realize that everything I’ve built since that day has been about one simple truth: none of us should walk this path alone.

To everyone in my community who feels unseen, unheard, or forgotten—you matter. Your life has value beyond measure. Your story deserves to be told with dignity and respect. You are not defined by a diagnosis, and you are never, ever alone in this fight.

I chose to speak up so that others might find their voice. I chose to be visible so that others might step into the light. I chose to turn my pain into purpose because I believe that what helps one of us, helps all of us.

This journey hasn’t always been easy, but it has been meaningful. And if my story can inspire even one person to keep fighting, to keep hoping, to keep believing in their own worth—then everything I’ve walked through has been worthwhile.

We are stronger together. We matter. And our stories—all of our stories—deserve to be heard.

#พีทคนเลือดบวก

25/09/2025

...ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC: Centers for Disease Control and Prevention) ระบุว่า หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักของการติดเชื้อเอชไอวี คือ การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักโดยไม่ป้องกัน เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณทวารหนักมีความบางและฉีกขาดได้ง่ายกว่าช่องคลอด ทำให้เชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายกว่า จึงมีความเสี่ยงมากกว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดประมาณ 10 – 20 เท่า ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในคู่ชาย-ชาย และชาย-หญิง 👩‍❤️‍👨👩‍❤️‍👩👨‍❤️‍👨
...อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีนี้ สามารถลดลงได้จนเหลือน้อยมากๆ และแทบไม่มีความแตกต่างกันในแต่ละเพศ ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ร่วมกับการกินยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี หรือเพร็พ (PrEP: Pre-Exposure Prophylaxis) ภายใต้คำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์

👉อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://shorturl-ddc.moph.go.th/11QKa

#โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ #เชื้อเอชไอวี
#กรมควบคุมโรค
#แชร์บอกต่อ

25/09/2025

ก้าวสำคัญของโลก UNAIDS ประกาศความสำเร็จข้อตกลงใหม่ หลังองค์กรการกุศล-เอกชน ร่วมมือให้ผลิตยา “เลนาคาพาเวียร์” ยาต้านเชื้อเอชไอวีแบบฉีด 2 ครั้งต่อปี ช่วยให้ราคาถูกลงกว่า 700 เท่า จาก 9 แสนบาท เหลือ 1,300 บาท เชื่อทำให้ประเทศรายได้น้อย-ปานกลาง เข้าถึงยาต้านที่มีประสิทธิภาพสูงนี้ได้อย่างเท่าเทียม
------------------------------
โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) แถลงข่าวประกาศข้อตกลงใหม่เพื่อหยุดยั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) รายใหม่ ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ณ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2568 ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ราคายาป้องกันเชื้อเอชไอวี ลดลงถึง 700 เท่า

ยาชนิดดังกล่าวมีชื่อว่า เลนาคาพาเวียร์ (Lenacapavir) หรือที่เรียกกันว่ายาเพร็พ (PrEP) ผลิตโดยบริษัท กิเลียดไซเอนซ์ (Gilead Sciences) จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นยาต้านเชื้อเอชไอวีแบบฉีดที่ออกฤทธิ์นาน สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ เมื่อฉีด 2 ครั้งต่อปี

อย่างไรก็ดี ราคายาตัวนี้ค่อนข้างสูง อยู่ที่ 2.8 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี (ประมาณ 9 แสนบาท) แต่ด้วยข้อตกลงดังกล่าว จะทำให้ยานี้ราคาถูกลงเหลือ 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี (ประมาณ 1,300 บาท) เท่านั้น
------------------------------
อ่านเพิ่มเติมได้ที่คอมเมนต์
------------------------------
#ข่าวสุขภาพ #ข่าวสาธารณสุข

แถลงการณ์ กรณีคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในการรับบริจาคโลหิต | การตีตราและละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ ...
24/09/2025

แถลงการณ์ กรณีคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในการรับบริจาคโลหิต | การตีตราและละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยพวกเราในฐานะผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ผู้เกี่ยวข้อง และผู้ถูกผลิตซ้ำวาทกรรมอันนำไปสู่การ ตีตราเลือกปฏิบัติ ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม และบุคคลตามรายชื่อแนบท้าย

อ่านแถลงการณ์เต็มโดย มูฟดิมูฟดิ - MovED: 👉https://www.facebook.com/share/p/19uD99UexQ/?mibextid=wwXIfr

—————

และข้อความต่อจากนี้ เป็นความเห็นส่วนตัว ของPete Thitiwatt A Person Living with HIV ประเด็นนี้ ดังนี้

นี่งง แล้วว่า สิ่งที่เรียกว่า องค์กรที่มีหน้า ปกป้องประชาชน รักษาผลประโยชน์ให้ชาติ ศาสนา พระมกคกษัตริย์ อันนี้เข้าใจ ! แล้ว ประชาชนพลเมือง ผู้เสียภาษี ผู้มีส่วนได้เสีย ที่มักได้น้อยกว่าเสีย และเวลาเสีย มักจะเสียจาก การฉ้อฉลของพลเมืองกันเอง จึงมีรัฐคอยบังคับใช้กฎหมายอะไรใดๆ แต่นี่คือ เสียจากอะไรก็ไม่รู้ขององค์กร ที่ืทั้งองค์กรรัฐ และไม่ใช่องค์กรของรัฐ ที่จับแพะชนแกะ ลูบหน้าปะจมูก !

ออกกฎระเบียบให้คนในสังคมขึ้นมา แทนที่จะบังคับใช้กับประชาชนให้เสมอภาคกัน นี่อะไร !

เห็นว่า มีอำนาจ มีอิทธิพลในการกำหนดกฎิกา กฎหมายในสังคมให้ยุติธรรม เป็นธรรม และ เสมอภาคกัน แต่อะองค์ดรที่เป็นที่พึ่งทางกฎหมายที่ ประชาชน มีกรณีพิพาทกับองค์กร จึงต้องใช้ศาลปกครอง ในการพิจารณากรณีพิพาท ก็แม้ศาลปกครอง ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า “อะไรคือการเลือกปฏิบัติ อะไรไม่ใช่“ ซึ่งก็จะไม่มีทางเข้าใจ หลักการความเท่าเทียม ความเสมอภาค และสิทธิพลเมือง ! ก็ลืมไปได้เลยว่า “สังคมเป็นธรรม คนเท่าเทียม ในฐานะ พลเมือง ที่เป็นหนึ่งในสังคม ที่มีกฎระเบียบ มีข้อตกลงที่ต้องเคารพ และทำหน้าที่พลเมืองที่ไม่จำเป็นต้องดี ต้องเป็นพลเมือง เกรด A แต่แค่ไม่เป็ปัญหาให้รบกวน กระทบชีวิตคนอื่น !

หรือ คำตัดสินนี้ กับ สิ่งที่องค์กรศาล กำลังทำ ไม่ทราบแน่ว่า ทำไมถึงออกมาแบบนี้ ! แต่ที่แน่ๆ ไม่ได้ ช่วยทำให้สังคมเท่าเทียม เสมอภาค หรือ ศาลกำลังเข้าใจ คำว่า ”การเลือกปฏิบัติ มันไม่เกี่ยวอะไรกัน กับ คนเท่ากัน สังคมเป็นธรรม“ ในแบบที่ ผิดแผกแตกต่างไป จาก ประชาชนอย่างพวกเรา ที่ทำสังคมให้เป็นในอบบที่เราอยากอยู่ อยากเป็นสมาชิกอยู่ในสังคมที่ ปลอดภัย เป็นธรรม ชอบธรรม

พวกเราทำ! ทำมาตลอด ! แต่ท่านไม่! ไม่เลยที่จะเป็นที่พึ่งที่ ศรัทธาให้ผู้คน กลายเป็นอะไรที่ไม่อยากจะเชื่อว่า ”นี่คือ องค์กรศา“

แสดงว่าสังคมมันพังมานานแล้ว เพราะเสาหนึ่งใน 3 พังคงแล้ว เพราะอาคารไม่สามารถตั้งอยู่ได้ ด้วย 2 เสา !

ปล. แคปชั้นนี้ เป็นความเห็นส่วนตัว ของ Pete Thitiwatt A Person Living with HIV ในฐานะสมาชิก มูฟดิ และพันทมิตร ซึ่งผลกระทบใดไม่ที่เกิดจากการ แสดงความเห็นต่อผลคำตัดสิน ของศาลปกครองฯ ผม ยินดีรับผลที่จะตามมา ไม่ว่าจะมาในรถปแบบไหน ก็ตาม

Thitiwatt Sirasejtakorn
23 กย. 68

United Nations Thailand สหประชาชาติ ประเทศไทย

นี่งง แล้วว่า สิ่งที่เรียกว่า องค์กรที่มีหน้า ปกป้องประชาชน รักษาผลประโยชน์ให้ชาติ ศาสนา พระมกคกษัตริย์ อันนี้เข้าใจ ! แ...
23/09/2025

นี่งง แล้วว่า สิ่งที่เรียกว่า องค์กรที่มีหน้า ปกป้องประชาชน รักษาผลประโยชน์ให้ชาติ ศาสนา พระมกคกษัตริย์ อันนี้เข้าใจ ! แล้ว ประชาชนพลเมือง ผู้เสียภาษี ผู้มีส่วนได้เสีย ที่มักได้น้อยกว่าเสีย และเวลาเสีย มักจะเสียจาก การฉ้อฉลของพลเมืองกันเอง จึงมีรัฐคอยบังคับใช้กฎหมายอะไรใดๆ แต่นี่คือ เสียจากอะไรก็ไม่รู้ขององค์กร ที่ืทั้งองค์กรรัฐ และไม่ใช่องค์กรของรัฐ ที่จับแพะชนแกะ ลูบหน้าปะจมูก !

ออกกฎระเบียบให้คนในสังคมขึ้นมา แทนที่จะบังคับใช้กับประชาชนให้เสมอภาคกัน นี่อะไร !

เห็นว่า มีอำนาจ มีอิทธิพลในการกำหนดกฎิกา กฎหมายในสังคมให้ยุติธรรม เป็นธรรม และ เสมอภาคกัน แต่อะองค์ดรที่เป็นที่พึ่งทางกฎหมายที่ ประชาชน มีกรณีพิพาทกับองค์กร จึงต้องใช้ศาลปกครอง ในการพิจารณากรณีพิพาท ก็แม้ศาลปกครอง ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า “อะไรคือการเลือกปฏิบัติ อะไรไม่ใช่“ ซึ่งก็จะไม่มีทางเข้าใจ หลักการความเท่าเทียม ความเสมอภาค และสิทธิพลเมือง ! ก็ลืมไปได้เลยว่า “สังคมเป็นธรรม คนเท่าเทียม ในฐานะ พลเมือง ที่เป็นหนึ่งในสังคม ที่มีกฎระเบียบ มีข้อตกลงที่ต้องเคารพ และทำหน้าที่พลเมืองที่ไม่จำเป็นต้องดี ต้องเป็นพลเมือง เกรด A แต่แค่ไม่เป็ปัญหาให้รบกวน กระทบชีวิตคนอื่น !

หรือ คำตัดสินนี้ กับ สิ่งที่องค์กรศาล กำลังทำ ไม่ทราบแน่ว่า ทำไมถึงออกมาแบบนี้ ! แต่ที่แน่ๆ ไม่ได้ ช่วยทำให้สังคมเท่าเทียม เสมอภาค หรือ ศาลกำลังเข้าใจ คำว่า ”การเลือกปฏิบัติ มันไม่เกี่ยวอะไรกัน กับ คนเท่ากัน สังคมเป็นธรรม“ ในแบบที่ ผิดแผกแตกต่างไป จาก ประชาชนอย่างพวกเรา ที่ทำสังคมให้เป็นในอบบที่เราอยากอยู่ อยากเป็นสมาชิกอยู่ในสังคมที่ ปลอดภัย เป็นธรรม ชอบธรรม

พวกเราทำ! ทำมาตลอด ! แต่ท่านไม่! ไม่เลยที่จะเป็นที่พึ่งที่ ศรัทธาให้ผู้คน กลายเป็นอะไรที่ไม่อยากจะเชื่อว่า ”นี่คือ องค์กรศา“

แสดงว่าสังคมมันพังมานานแล้ว เพราะเสาหนึ่งใน 3 พังคงแล้ว เพราะอาคารไม่สามารถตั้งอยู่ได้ ด้วย 2 เสา !

ปล. แคปชั้นนี้ เป็นความเห็นส่วนตัว ของ Pete Thitiwatt A Person Living with HIV ในฐานะสมาชิก มูฟดิ และพันทมิตร ซึ่งผลกระทบใดไม่ที่เกิดจากการ แสดงความเห็นต่อผลคำตัดสิน ของศาลปกครองฯ ผม ยินดีรับผลที่จะตามมา ไม่ว่าจะมาในรถปแบบไหน ก็ตาม !

Thitiwatt Sirasejtakorn
23 กย. 68

United Nations Thailand สหประชาชาติ ประเทศไทย

แถลงการณ์ กรณีคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในการรับบริจาคโลหิต : การตีตราและละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยพวกเราในฐานะผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ผู้เกี่ยวข้อง และผู้ถูกผลิตซ้ำวาทกรรมอันนำไปสู่การตีตราเลือกปฏิบัติ ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม และบุคคลตามรายชื่อแนบท้าย


สืบเนื่องจากกรณีที่ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๙๖๑/๒๕๖๘ เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ที่เคยมีคำสั่งให้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย Thai Red Cross Society ปรับเปลี่ยนนโยบายการรับบริจาคโลหิตจากการคัดกรองโดยเหมารวม "กลุ่มประชากร" มาเป็นการพิจารณา "พฤติกรรมเสี่ยง" ของปัจเจกบุคคล

เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) ในฐานะภาคประชาสังคมที่ทำงานส่งเสริมความเข้าใจเรื่องความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ทั้งเรื่องของ เชื้อชาติ สีผิว อายุ ภาวะสุขภาพและอื่น ๆ ในทุกมิติ รวมถึงเรื่องของเพศสภาพ เพศวิถี วิถีทางเพศ และอัตลักษณ์ทางเพศ เพื่อทำให้สังคมไม่ผลิตซ้ำวิธีคิดแบบตีตราเหมารวมซึ่งนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ

เราขอแสดงความผิดหวัง และด้วยความเคารพต่อความเห็นของตุลาการศาลปกครองกลางบางท่าน ในการวินิจฉัยคดีดังกล่าว เราขอเสนอข้อคิดเห็นต่อคำพิพากษา เนื่องจากเป็นคำพิพากษาที่อาจส่งผลไม่เพียงแต่จะทำให้การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศดำรงอยู่ต่อไป แต่ยังสร้างและตอกย้ำอคติทางเพศในสังคมไทยให้รุนแรงขึ้นไปอีก ผ่านกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เข้าใจในหลักสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม

ในขณะเดียวกันคำพิพากษาดังกล่าว ยังใช้คำว่ากรณีนี้เป็นการ “เลือกปฏิบัติที่เป็นธรรม” ซึ่งในหลักสากลไม่ปรากฎการใช้คำนี้ เนื่องจากโดยนิยามของการเลือกปฏิบัติถือเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว การพยายามนิยามหรืออธิบายให้การเลือกปฏิบัติกลายเป็นสิ่งชอบธรรมเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานสากลอย่างชัดเจน และอาจสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้องในสังคม

กรณีดังกล่าวได้สะท้อนความล้มเหลวขององค์กรหลักของประเทศ ทั้งสภากาชาดไทย ศาลปกครองและสถาบันสื่อ ที่ยอมให้อคติต่อเอชไอวี ต่อเพศสภาพ ต่อเพศสัมพันธ์ ที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาช้านาน มามีอำนาจเหนือองค์ความรู้ อันนำมาสู่การใช้เงื่อนไขการคัดกรองผู้บริจาคเลือดที่มีการเลือกปฏิบัติอย่างเห็นได้ชัด จนนำมาสู่การตีความและรับรองโดยศาลปกครอง ควบคู่กับการนำเสนอข่าวที่ไร้ความรับผิดชอบของสื่อมวลชนหลายสำนัก ผ่านการนำเสนอข่าวและพาดหัวในลักษณะมุ่งสร้างการแบ่งแยก เน้นย้ำว่า “กลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศเป็นกลุ่มเสี่ยง” ซึ่งถือเป็นการสื่อสารที่บิดเบือนและอันตรายต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างยิ่ง


เครือข่ายฯ ขอเน้นย้ำในหลักการสำคัญ ที่สังคมและกระบวนการยุติธรรมต้องทำความเข้าใจ คือ "กลุ่มเสี่ยง" (Population Risk) ไม่เท่ากับ "พฤติกรรมเสี่ยง" (Individual Risk)

• พฤติกรรมเสี่ยง สามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศ ทุกสถานะ โดยไม่จำกัดว่าเป็นเพศใด บุคคลข้ามเพศอาจไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงเลย ในขณะที่ชายจริงหญิงแท้ก็อาจมีพฤติกรรมเสี่ยงได้ เนื่องจากปัจจัยที่สำคัญในการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ คือ "การป้องกัน"

ซึ่งหมายถึง ไม่ว่าจะมีเพศสภาพใด หรือเพศกำเนิดของคู่เพศสัมพันธ์เป็นอย่างไร หากใช้วิธีป้องกันเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพในการมีเพศสัมพันธ์ ก็จะแทบไม่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งวิธีการป้องกันเอชไอวีในปัจจุบันมีหลากหลาย ตั้งแต่ถุงยางอนามัย ยาเพร็พ ยาเป๊บ หรือการมีคู่เพศสัมพันธ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีแต่กดเชื้อไวรัสได้จนตรวจไม่พบ (หรือ U=U)

ดังนั้นการใช้เกณฑ์ "กลุ่มเสี่ยง" แบบเหมารวม เป็นการปฏิเสธสิทธิของปัจเจกบุคคลในการได้รับพิจารณาจากพฤติกรรมของตนเอง และเป็นการตีตรากลุ่มประชากรทั้งหมดว่าเป็น "ผู้มีความเสี่ยง" อย่างไม่เป็นธรรม

• การระบุว่า “เลือกปฏิบัติเพื่อสวัสดิภาพความปลอดภัย” เพื่ออธิบายถึงการนำเกณฑ์ “กลุ่มเสี่ยง” มาใช้อ้างถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ไม่ใช่วิธีปฏิบัติที่ควรกระทำในการปกป้องสวัสดิภาพผู้รับโลหิต ที่พึงต้องใช้การคัด “พฤติกรรมเสี่ยง” อันมีได้ในบุคคลทุกเพศ หากแต่กลับกลายเป็นการ “เลือกปฏิบัติ” โดยจำกัด “สิทธิในเสรีภาพ” ที่จะกระทำประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ และทำให้เกิดภาพอคติ ว่าบุคคลหลากหลายทางเพศมีพฤติกรรมเสี่ยง เป็นบุคคลมีโรคติดต่ออันตราย ซึ่งเป็นการขัดแย้งรุนแรงต่อหลักคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน(UDHR) รวมถึงหลักการยอร์กยาการ์ตา

• เมื่อพูดถึง “ความปลอดภัย” ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติมีการใช้วิธีการตรวจสารพันธุกรรม (NAT หรือแนท) เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสต่าง ๆ รวมถึงเอชไอวี เป็นมาตรการคัดกรองเลือดทุกถุง รวมถึงมีเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำให้เชื้อไวรัสหมดฤทธิ์ (pathogen deactivation/inactivation) ที่สามารถนำมาใช้ได้

ดังนั้น การคัดกรองชั้นแรกด้วย "ประวัติ" จึงเป็นเพียงขั้นตอนที่จะลดโอกาสที่จะตรวจเจอถุงเลือดที่จะต้องถูกทิ้งไปลงในระดับหนึ่งเท่านั้น ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติไม่ได้ใช้ประวัติเพียงอย่างเดียวในการคัดกรองความปลอดภัยของเลือด

แม้คำพิพากษาจะยอมรับว่า การกระทำของสภากาชาดไทยเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ร้อง แต่กลับเลือกที่จะเพิกถอนคำวินิจฉัยที่เป็นคุณและสร้างสรรค์ของ วลพ. ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งและน่าผิดหวังอย่างยิ่ง


เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) ขอเรียกร้องและสนับสนุนการดำเนินการดังต่อไปนี้

1. สนับสนุนให้วลพ.ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อดำรงไว้ซึ่งเจตนารมณ์ของ วลพ. คือการสร้างมาตรฐานที่เท่าเทียม ไม่ใช่การลดทอนความปลอดภัย คำวินิจฉัยเดิมของ วลพ. ที่ศาลปกครองกลางเพิกถอนไปนั้น มิได้เสนอให้รับบริจาคโลหิตจากบุคคลหลากหลายทางเพศโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของกระบวนการคัดกรองของสภากาชาดไทยว่า "ไม่อาจคัดกรองพฤติกรรมเสี่ยงได้อย่างแท้จริง" และนำไปสู่ "การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ"

ข้อเสนอของ วลพ. คือการยกระดับกระบวนการคัดกรองให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม โดยให้พิจารณาจาก "พฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงของผู้บริจาค" เช่นเดียวกันในทุก ๆ คน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีเพศกำเนิด เพศสภาพ หรือการแสดงออกทางเพศเป็นเช่นไร นี่คือมาตรฐานสากลที่หลายประเทศทั่วโลกได้ปรับใช้แล้ว เพื่อให้ได้มาซึ่งโลหิตที่ปลอดภัย ควบคู่ไปกับการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

2. เรียกร้องให้สภากาชาดไทยและศูนย์รับบริจาคโลหิตทั่วประเทศ ไม่ใช้เงื่อนไขการรับบริจาคที่เป็นการเลือกปฏิบัติ เหมารวม และกีดกันผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิต เพื่อให้มีผู้บริจาคเลือดในจำนวนที่เพียงพอในขณะที่ยังคงความปลอดภัยสูงสุดของเลือดอยู่

ทั้งนี้เพื่อให้มีความ Inclusive อย่างแท้จริงและอิงตามหลักฐานเชิงประจักษ์ โดยการใช้เงื่อนไขการคัดกรองด้วยประวัติที่เป็นกลางด้านเพศสภาพ (เลิกกีดกันผู้มีความหลากหลายทางเพศ) เป็นกลางด้านเพศกำเนิดของคู่เพศสัมพันธ์ (เลิกกีดกันผู้มีเพศสัมพันธ์กับเพศกำเนิดเดียวกัน) เป็นกลางด้านช่องทางการมีเพศสัมพันธ์ (เลิกกีดกันผู้มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก) เป็นกลางด้านอาชีพ (เลิกกีดกันพนักงานบริการ) เป็นกลางด้านวิธีการป้องกันเอชไอวี (เลิกกีดกันผู้ใช้ยาเพร็พ หรือผู้ที่มีคู่เป็นผู้ติดเชื้อที่ U=U) แล้วเพิ่มเงื่อนไข "วิธีการป้องกันเอชไอวี" เข้ามาเป็นคำถามคัดกรองรายบุคคลที่เป็นมาตรฐานสากลและไม่เลือกปฏิบัติแทน

3. เรียกร้องให้สื่อมวลชน โปรดแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยการนำเสนอข่าวอย่างถูกต้องตามข้อเท็จจริงและหลักวิชาการ หลีกเลี่ยงการพาดหัวข่าวที่สร้างความเกลียดชัง ตีตรา เหมารวมและลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ

4. เรียกร้องให้สังคม โปรดร่วมกันส่งเสียง เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ ร่วมกันทำความเข้าใจเรื่องความเสี่ยง ที่ไม่ใช่เป็นเรื่องของ “กลุ่มคน” เพื่อเข้าใจเจตจำนงค์ที่แท้จริงของเรื่องนี้ ว่าเราสามารถคำนึงถึงความปลอดภัยของโลหิตและความความเท่าเทียมทางเพศควบคู่กันไปได้ การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมยังไม่สิ้นสุด เครือข่ายฯ จะยังคงยืนหยัดเคียงข้างผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติ และจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อสร้างสังคมที่เคารพในความแตกต่างหลากหลายและสิทธิมนุษยชนของทุกคนอย่างแท้จริง

23 กันยายน 2568
เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (มูฟดิ)

รายนามองค์กร บุคคลร่วมแถลงการณ์
1. มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR)
2. คณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ (กพอ.)
3. มูลนิธิสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI)
4. มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING)
5. มูลนิธิแอ็พคอม
6. กลุ่มรุ้งอรุณ จ.ลำปาง
7. Rainbow Dream Group Thailand
8. สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย
9. ชมรมหลากหลายทางเพศเมืองขอนแก่น
10. มูลนิธิเอชไอวี เอเชีย
11. องค์กรบางกอกเรนโบว์
12. องค์กรมิสเตอร์เกย์ยูนิเวิร์สไทยแลนด์
13. สมาคมพราว
14. มูลนิธิทำทาง
15. ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค
16. เมษยา เสมอเชื้อ
17. ฐิฏิวัสส์ ศิรเศรษฐกร #พีทคนเลือดบวก และ สมาชิกกลุ่มชุมชนออนไลน์: #กลุ่มคนเลือดบวก
18. ดวงทิพย์ ฆารฤทธิ์
19. วรภัทร วีรพัฒนคุปต์ สมาชิกสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ ไทยพีบีเอส
20. สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน(สสส.)
21. Non-Binary Thailand สัปภาคีนอนไบนารีเพื่อการระบุเพศ(HCNL)

#สภากาชาด #สภากาชาดไทย #ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ #บริจาคเลือด #เลือดไม่พอเพราะเธอไม่รับไง #ไม่รับบริจาคเลือด #ศาล #ตุลาการ #มีไว้ทำไม #น่าผิดหวัง #วลพ #เลือกปฏิบัติ #ไม่เลือกปฏิบัติ #ความหลากหลาย #ทางเพศ #เพศ #เอชไอวี #เครือข่าย #ตีตรา #ผลิตซ้ำ #พาดหัว #สื่อเสื่อม

ที่อยู่

Bangkok

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Pete Thitiwatt A Person Living with HIVผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์