ชมรมสันติประชาธรรม by PEITA

ชมรมสันติประชาธรรม by  PEITA สู้เพื่อชาติ

พรรคที่เกิดมาพร้อมสโลแกนนี้พรรคส้มมีไว้ช่วยทุกชาติยกเว้นไทยเศร้ากับความสูญเสียทุกชาติยกเว้นไทยดีใจที่ทุกชาติได้ดียกเว้นไ...
01/11/2025

พรรคที่เกิดมาพร้อมสโลแกนนี้
พรรคส้มมีไว้ช่วยทุกชาติยกเว้นไทย
เศร้ากับความสูญเสียทุกชาติ
ยกเว้นไทย
ดีใจที่ทุกชาติได้ดี
ยกเว้นไทย
สนับสนุนทุกอย่างที่ดี
ยกเว้นสนับสนุนทหารไทย

ทหารทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตย แม่จะบอกว่าทำหน้าที่แต่เบื้องหลังก็ต้องมีขวัญและกำลังใจของคนที่ต้องยอมไปฝึกฝนใส่เสื้อเกราะหนัก แบกอุปกรณ์ขนอาวุธหนักๆเดินในป่า อยู่อย่างยากลำบากให้ยุงหาม
เสี่ยงกับทุ่นระเบิดและอาวุธสงครามขนาดไหน เพื่อให้คนไม่กี่พวกมาคอยเห่าหอนไม่งับทหารหาญ

#พรรคส้มพวกนี้มีได้ทำไม

01/11/2025

เสร็จศึกเขมร
ต้องมารบกับ
พรรคประชาชนเขมร

ไม่ได้อยากจะคิดไรมากแต่ก็อดคิดไม่ได้พรรคที่เรียกร้องสิทธิให้เขมร ในระหว่างที่เรารบกับเขาโดยที่เขายิงขีปนาวุธใส่ประชาชนคน...
01/11/2025

ไม่ได้อยากจะคิดไรมากแต่ก็อดคิดไม่ได้
พรรคที่เรียกร้องสิทธิให้เขมร ในระหว่างที่เรารบกับเขา
โดยที่เขายิงขีปนาวุธใส่ประชาชนคนไทยใส่เด็ก

แล้วด้อยค่าทหารไทยตรวจสอบเอกชน คนทำงานสนับสนุนทหารและความมั่นคง
ในขณะเดียวกันเขาสนิทและให้เกียรติคนคิดแบ่งแยกดินแดนแบบใกล้ชิดกัน อวยกัน จนแยกไม่ออก

ยังไม่นับรวมเรื่องเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันนะ
ทำเป็นปกติธุระ
อดคิดไม่ได้จริงๆว่าทำไมถึงทำแบบนี้บ่อยๆ เป้าหมายเขาคืออะไร
ผลลัพธ์ที่ต้องการ คือ อะไร
แล้วเขารับงานรับเงินใครมานะ

สงสัยมากๆๆ

CIB ที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนขอบคุณที่ทำให้ความพยายามของชาวพุทธ ในการรักษาพระพุทธศาสนาที่แท้จริงไม่สูญเปล่า ขอบคุณที่ทำให...
31/10/2025

CIB ที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน

ขอบคุณที่ทำให้ความพยายามของชาวพุทธ ในการรักษาพระพุทธศาสนาที่แท้จริงไม่สูญเปล่า ขอบคุณที่ทำให้ การปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 67 เห็นผล และขอบคุณ ทุกกำลังกายแรงใจที่ฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลาย ไปสู่ชัยชนะร่วมกันของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง
https://www.facebook.com/share/p/1HUUDGWJ9A/?mibextid=wwXIfr

CIB updated!! พนักงานสอบสวน บก.ปอท. ส่งสำนวนสั่งฟ้อง “ลัทธิเชื่อมจิต”
จากกรณีที่มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ให้ดำเนินคดีกับลัทธิเชื่อมจิต ที่มีพฤติการณ์อ้างตนเป็นร่างอวตารขององค์เทพ สอนธรรมะผ่านการเชื่อมจิต และจัดกิจกรรมเปิดคอร์สที่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา
พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. จึงได้รับคำร้องทุกข์ และรวบรวมพยานหลักฐานทางคดี แจ้งข้อเท็จจริงและแจ้งข้อกล่าวหาให้กับผู้ต้องหาทั้ง 8 รายที่เกี่ยวข้องทราบ
ล่าสุด วันที่ 27 ต.ค.68 พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนคดีดังกล่าวไปยังสำนักงานอัยการคดีอาญา โดยสั่งฟ้องผู้ต้องหาในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก และความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน เป็นที่เรียบร้อยเเล้ว
ทั้งนี้ ในกระบวนการทางคดี เจ้าหน้าที่ดำเนินการด้วยความละเอียดรอบคอบ เพื่อคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเด็กตามกฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็ก
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)
มืออาชีพ เป็นกลาง เคียงข้างประชาชน
#เชื่อมจิต #ตำรวจสอบสวนกลาง

“ป.ป.ช.” มีมติรับไต่สวน “เศรษฐา-ครม.” ฝปมลดงบ 3.5 หมื่นล.ไปโปะ “แจกหมื่น”วันที่ 31 ต.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันแล...
31/10/2025

“ป.ป.ช.” มีมติรับไต่สวน “เศรษฐา-ครม.” ฝปมลดงบ 3.5 หมื่นล.ไปโปะ “แจกหมื่น”

วันที่ 31 ต.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่ความคืบหน้ากรณีเรื่องร้องเรียนกล่าวหา และเรื่องระหว่างไต่สวนกล่าวหา นายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 2 อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก ดังนี้

กรณีกล่าวหานายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก ร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายสำหรับเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย และเข้าไปมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

จากการสอบสวนปรากฏข้อเท็จจริง ดังนี้

ข้อกล่าวหาที่ 1 กรณีกล่าวหาว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับพวก ได้ร่วมกัน แปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง (1) (2) (3)

รับฟังได้ว่า สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้พิจารณาเสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลง ตามแนวทางที่ได้มีการประชุมหารือร่วมกันระหว่างสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

และสำนักงบประมาณ รวมวงเงินงบประมาณที่ถูกปรับลด เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 35,000 ล้านบาท แล้วนำไปเพิ่มเป็นรายจ่ายงบกลาง เพื่อนำไปใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล (หรือโครงการเติมเงิน 10,000) โดยมิได้เกิดจากฝ่ายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นผู้เสนอขอแปรญัตติเองตามระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อปรับลด ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) แต่อย่างใด

ดังนั้น จึงไม่มีการแปรญัตติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามรัฐธรรมนูญ คดีจึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง (3) ตามที่มีการกล่าวหา

นอกจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญยังเคยมีคำวินิจฉัยว่า การยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ต้องอยู่ในระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา หากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณดังกล่าวได้รับการพิจารณาเสร็จสิ้น
และเป็นกฎหมายใช้บังคับแล้ว ย่อมไม่เข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีกรณีต้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป จึงมีมติให้ยุติการสอบสวนทางลับตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

อย่างไรก็ดี เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากการสอบสวนว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายหรือมีมติสั่งการให้สำนักงบประมาณ (สงป.) ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปดำเนินการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง พิจารณาทบทวนงบประมาณรายจ่ายที่ได้ตั้งคำขอไว้ โดยให้เสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลงเพื่อเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล

และต่อมาคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบกับการเสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) เสนอ โดยมีการปรับลดงบประมาณของสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท แล้วนำไปเพิ่มเป็นรายจ่ายงบกลาง เพื่อนำไปใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล จนกระทั่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติเสียงข้างมากเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวทั้งที่งบประมาณรายจ่ายที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ทั้ง 5 แห่ง ตั้งคำขอรับการจัดสรรจากรัฐบาลดังกล่าว มีสถานะเป็นภาระทางการเงินเพื่อชดเชยต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการ

รวมทั้งความเสียหายจากการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการของรัฐตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 ที่รัฐบาลจะต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายให้แก่รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐนั้น ในโอกาสแรกที่สามารถกระทำได้ ตามมาตรา 20 (5) แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

แต่รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กลับดำเนินการปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณในส่วนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ทั้ง 5 แห่งลง โดยไม่ได้ตั้งงบประมาณชดเชยให้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ดังนั้น การกระทำของนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทั้ง 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท จึงเข้าข่ายเป็นการร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 9 และมาตรา 20 วรรคแรก (5)

โดยมีเจตนาที่จะนำงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวไปใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ได้ประกาศหาเสียงไว้ เพื่อมุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ซึ่งอาจมีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172

คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 โดยให้ดำเนินการไต่สวนบุคคลหรือคณะบุคคล ดังนี้

1. นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

2. คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติเห็นชอบกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567

3. นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายกรณินทร์ กาญจโนมัย รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐจำนวน 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท

สำหรับกรณีผู้ถูกร้องรายอื่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้

1. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน เนื่องจากขณะนั้นผู้ถูกร้องยังไม่ได้เข้าดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแปรญัตติเพื่อปรับลด ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงรายการหรือจำนวนในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่มีการกล่าวหา

2. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างมากจำนวน 5 ต่อ 2 เสียง มีมติไม่รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน เนื่องจากข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏพฤติการณ์และพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าได้มีส่วนร่วมกับผู้ถูกร้องข้างต้นในการปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณของสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง

3. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ที่ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน เนื่องจากข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏพฤติการณ์และพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า ได้มีส่วนร่วมกับผู้ถูกร้องข้างต้นในการปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณของสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง

ข้อกล่าวหาที่ 2 กรณีกล่าวหาว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับพวก ได้ร่วมกันแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 1,256,710,300 บาท อันเป็นการเข้าไปมีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง

รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 กลุ่มงานกิจการทั่วไป สำนักบริหารงานกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำรายละเอียดคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายของกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ได้มีบันทึกส่งคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผ่านความเห็นชอบจากเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ไปยังสำนักนโยบายและแผน เพื่อทำการวิเคราะห์ รวบรวม และบูรณาการเป็นคำขอตั้งงบประมาณในภาพรวมของหน่วยงาน รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 220,184,400 บาท ซึ่งประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลเงินช่วยเหลือกรณีสมาชิกถึงแก่กรรมหรือทุพพลภาพ เงินทุนเลี้ยงชีพ ทุนการศึกษาบุตร และค่าบริหารกองทุน

หลังจากที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และกฎหมายดังกล่าวได้เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ปรากฏว่าในวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 สำนักนโยบายและแผนได้มีบันทึกแจ้งให้หน่วยงานภายในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาดำเนินการเสนอคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในรายการ/โครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ หรือมีความจำเป็นต้องเสนอขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณเพื่อรองรับการดำเนินงานตามกฎหมายของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 กลุ่มงานกิจการทั่วไป สำนักบริหารงานกลาง จึงได้เสนอคำขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา จำนวน 324,130,810 บาท

เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ฉบับใหม่ ซึ่งส่งผลทำให้สิทธิในการได้รับวงเงินเลี้ยงชีพ ค่ารักษาพยาบาล เงินช่วยเหลือกรณีสมาชิกถึงแก่กรรมหรือทุพพลภาพเพิ่มสูงขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม โดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้มีหนังสือส่งคำขอแปรญัตติเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวไปยังประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568

แต่ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ปรากฏว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีมติไม่เห็นชอบการเสนอขอเพิ่มงบประมาณให้แก่กองทุนหมุนเวียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ สอดคล้องกับรายงานการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งไม่ปรากฏข้อมูลว่าได้มีการแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาแต่อย่างใด

นอกจากนั้น เมื่อตรวจสอบจากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (เล่มขาวคาดแดง) หมวด 6 งบประมาณรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน มาตรา 39 (25) สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา จำนวน 220,184,400 บาท ซึ่งมียอดตรงกับพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว จำนวน 220,184,400 บาท กรณีจึงไม่มีการแปรญัตติเพิ่มงบประมาณให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐ

พรรค ค. มีไว้เพื่อ ทำลายความมั่นคงของชาติในทุกอย่าง ทั้งความมั่นคงที่เป็นภัยคุกคามจากต่างชาติและความมั่นคงภายในประเทศอะไ...
31/10/2025

พรรค ค. มีไว้เพื่อ ทำลายความมั่นคงของชาติในทุกอย่าง ทั้งความมั่นคงที่เป็นภัยคุกคามจากต่างชาติและความมั่นคงภายในประเทศอะไรที่เป็นความมั่นคงเป็นสิ่งดีงามพรรคนี้ตั้งใจทำลายหมด

ถึงจุดหนึ่งผมว่าคนไทยจะทนไม่ไหว ออกมาลุกฮือไล่พรรคพวกนี้

ตอนนี้สะสมความเกลียดชังไปให้สุดและหยุดทีเขมร

สิ่งที่พวกส้มทำมันสะท้อนถึงความเป็น อนาธิปไตยบางอย่างคือไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเอง พอใครทำความดีที่เด่นเกินไป ก็มั...
31/10/2025

สิ่งที่พวกส้มทำ
มันสะท้อนถึงความเป็น อนาธิปไตยบางอย่าง
คือไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเอง พอใครทำความดีที่เด่นเกินไป ก็มักจะถูกกระบวนการแบบนี้ดิสเครดิตเพราะพวกเขาไม่เชื่อเรื่องศรัทธาในคุณค่าที่มีมาแต่ดั้งเดิมทั้งคุณธรรมความดีวัฒนธรรมจารีตต่างๆ ต้องทำลายล้างให้หมด วิธีคิดแบบนี้มาทำลายประเทศชาติมากมาย
แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเราเจริญอย่างที่เขาหลอกลวง

จริงนะ ตอนก่อนและขณะรบกันกับเขมร พรรคนี้ด้อยค่าทหารตลอดตอนประชาชนและทหารสูญเสีย. พรรคนี้ไม่เคยห่วงใยหรือ มีท่าทีที่คิดเห...
31/10/2025

จริงนะ ตอนก่อนและขณะรบกันกับเขมร พรรคนี้ด้อยค่าทหารตลอด

ตอนประชาชนและทหารสูญเสีย. พรรคนี้ไม่เคยห่วงใยหรือ มีท่าทีที่คิดเห็นใจคนไทยมีแต่ไปเรียกร้องสิทธิให้กับคนเขมรที่เป็นคนทำร้ายคนไทย

เรื่องนี้ผมเข้าใจทหารและกองทัพนะครับโดยศักดิ์ศรีของกองทัพจะมาบอกว่าจำเป็นต้องไปขอบริจาคต่างๆคงไม่ได้แต่ขณะเดียวกันจะปฏิเสธว่าสิ่งที่ ได้รับความช่วยเหลือมาจากคุณกันและพี่น้องประชาชนจำนวนมากเป็นสิ่งที่ไม่มีจริงก็ไม่ใช่เพราะว่าเป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มในส่วนที่ไม่สามารถเบิกจ่ายจากงบประมาณและอาจจะทำให้ขั้นตอนดังกล่าวต้องล่าช้าอย่างยกตัวอย่างห้องน้ำการรบในป่าไม่สามารถที่จะมีห้องน้ำที่สะดวกสบายได้ ก็มีประชาชนไปช่วยดูแลตามามควร
หรือการทำบังเกอร์ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนก็อาจจะไม่สามารถทำได้ทันท่วงทีถ้าหากว่า ต้องรอเบิกจ่ายงบประมาณ

รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้สอยต่างๆที่เราก็คิดไม่ถึง และก็ไม่สามารถเบิกจ่ายได้เนื่องจากว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรบโดยตรง อย่างเช่นผ้าอนามัยที่ไว้ซับความชื้นในขณะอยู่ป่า

ยังไม่รวมข้าวปลาอาหารที่ต้องประกอบเลี้ยงในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินที่เปิดแนวรบหลายจุดด้วยกันก็ย่อมขาดแคลนเป็นธรรมดาแต่อยู่ๆจะให้บอกว่ากองทัพไม่มีงบประมาณก็จะถูกโจมตีอีกจากพวกจ้องหาเรื่อง พวกคนพวกนี้ถ้าเป็นสมัยก่อนถือว่าเป็นกบฏต้องประหารเท่านั้น

พวกคอยมายุยงปลุกปั่นบั่นทอนกำลังใจให้คนที่กำลัง ต้องเผชิญกับศึกสงครามถึงแม้ว่าจะยุติไปแล้วแต่ก็ยังไว้วางใจเขมรไม่ได้
แล้วเราจะสามารถมีสักกี่คนที่จะมีความทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนอยู่แน่นอนกรณีคุณกันมีปัญหาที่ต้องพิสูจน์ เรื่องเกี่ยวกับการใช้เงินบริจาค และความเชื่อมโยงกับคุณธรรมนัส

ซึ่งโดยส่วนตัวที่ผมยังเชียร์คุณกันอยู่ก็เพราะว่าเชื่อว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกันแบบที่เขากล่าวหาว่าเป็นที่ฟอกเงินหรือว่าโยงใยไปในลักษณะที่หลอกลวงประชาชนแต่ประการใดเพราะโดยความตั้งใจจริงของคุณกันและผลงานที่เกิดขึ้นได้สร้างคุณูปการมากมายให้ช่วงวิกฤตของประเทศ

โดยที่ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงหรือไม่ได้รับเงินเดือนอันเป็นภาษีของประชาชนอย่างส.ส.พรรคประชาชน
แต่เป็นจิตอาสาล้วนๆ

แบบนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าการเล่นการเมือง โดยเอาผลประโยชน์ประเทศชาติมาเดิมพันเกินไปไหม

คิดแล้วเศร้าถ้าต่อไปคนไทยยังเลือกพวกนี้เข้ามาอีก
#พรรคส้มมีไว้ทำไม
#พรรคส้มโกหกอะไร
#พรรคส้มอุ้มเขมร

ไม่รู้ใครเป็นผู้ที่ถ่ายภาพมุมนี้ แต่เป็นมุมเรียกน้ำตามาก หลากหลายความรู้สึก แม่ได้กลับบ้าน พ่อมารอรับแม่ระหว่างทาง พ่อกั...
30/10/2025

ไม่รู้ใครเป็นผู้ที่ถ่ายภาพมุมนี้ แต่เป็นมุมเรียกน้ำตามาก หลากหลายความรู้สึก
แม่ได้กลับบ้าน พ่อมารอรับแม่ระหว่างทาง พ่อกับแม่ผ่านบ้านลูกชายเพื่อบอกลา

ขอบคุณเจ้าของภาพนะครับและเจ้าของเรื่องราวดีๆ
ขออนุญาตใช้ภาษาสามัญ
เพราะความรักความผูกพันที่คนไทยมีต่อสองพระองค์นั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน

จิตกร บุษบา ถามว่า..๑. ที่คุณพ่อ "ฝากบอก" นั้น ให้บอกกับใคร?๒. ตอนรัชกาลที่ ๙ สวรรคต พ่อเธอก็ไม่ได้กราบนะ  พ่อเธอหนีคดีอ...
30/10/2025

จิตกร บุษบา ถามว่า..
๑. ที่คุณพ่อ "ฝากบอก" นั้น ให้บอกกับใคร?
๒. ตอนรัชกาลที่ ๙ สวรรคต พ่อเธอก็ไม่ได้กราบนะ พ่อเธอหนีคดีอยู่ต่างประเทศ เสียใจมั้ยล่ะ ตอนนั้น หรือเพิ่งมาเล่นบทเสียใจตอนนี้ ตอนที่อยู่ในคุก เพื่อสร้างคะแนนสงสาร
๓. ถ้าไม่ติดคุก เพราะ #โกงชาติบ้านเมือง และใช้อำนาจนายกฯ ไปแสวงหาประโยชน์เข้าตระกูลชินฯ ก็ได้กราบเหมือนสุจริตชนทั่วไปนั่นแหละ ดังนั้น ถ้าพ่อเธอจะเสียใจ ควรเสียใจที่ตัวเองโกงและใช้อำนาจในทางมิชอบจะดีกว่า เราเรียกสิ่งนั้นว่า #การสำนึกผิด/สำนึกบาป ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรสำนึกและเสียใจ
๔. และถ้าพ่อเธอไม่ #โกงการติดคุก ภายหลังได้รับพระมหากรุณาธิคุณอภัยลดโทษ จากโทษจำคุก ๘ ปี เหลือเพียง ๑ ปี ป่านนี้พ่อเธอก็ได้ไปกราบแล้ว
๕. แต่พ่อเธอโกงไง โกงแม้กระทั่งพระมหากรุณาธิคุณ และพระบรมราชโองการ อ้างความเจ็บป่วย ไปนอนสบายอยู่ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ อยู่ตลอดหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ตอนนี้จึงต้องมา #ติดคุกจริงๆ แล้ว ไม่โกงแล้วนะ
๖. คำว่าเสียใจในกรณีนี้ มาพูดกันพล่อยๆ ไม่ได้นะ สถาบันไม่ใช่เพื่อนเล่นของครอบครัวเธอ บอกพ่อสิว่า ครั้งนี้ไม่โกงคุกแล้วนะพ่อ ทำตัวดีๆ หยุดโกงโทษ เดี๋ยวพ่อก็ออกมาทันงานช่วงท้าย.
พ่อไม่ต้องเสียใจกับวันนี้หรอก
พ่อควรเสียใจกับทุกวันที่ผ่านมามากกว่า
ถ้าเป็นคนที่มียางอาย เขาไม่กล้าพูดแบบนี้หรอก รวมถึงลูกก็ไม่ควรคาบประเด็นนี้มาปั่นต่อด้วย มันเหมือนคนเนรคุณ ที่เปิดประเด็นให้พ่อถูกขุด ถูกด่า และคนจำได้อีกครั้งว่า #พ่อเราโกง !!

FB : จิตกร บุษบา

“เตียวหุย” ขุนทหารตายน้ำตื้นบทเรียนพึงรู้ผ่อนหนักผ่อนเบาใครจะไปคิดว่าขุนทหารเชี่ยวชาญศึกอย่า “เตียวหุย” เมื่อถึงคราจะสิ้...
30/10/2025

“เตียวหุย” ขุนทหารตายน้ำตื้น
บทเรียนพึงรู้ผ่อนหนักผ่อนเบา

ใครจะไปคิดว่าขุนทหารเชี่ยวชาญศึกอย่า “เตียวหุย” เมื่อถึงคราจะสิ้นลม ก็ง่ายนิดเดียว ตายเพราะถูกลอบฆ่าโดยทหารของตัวเอง ภาษาบ้านๆเขาจึงเรียกว่าตายน้ำตื้น

ทำไมถึงเรียกว่าตายน้ำตื้น...?
คำตอบง่ายๆคือ ตายง่ายเกินไป
....

“เตียวหุย” เป็นน้องร่วมสาบานกับ “เล่าปี่” และ “กวนอู” ว่ากันตามฐานะความมีอันจะกินแล้ว “เตียวหุย” เป็นผู้มั่งคั่งที่สุดในสามพี่น้อง เมื่อคราวเกิดโจรโพกผ้าเหลือง ราชสำนักประกาศหาอาสาสมัครร่วมปราบโจร

“เล่าปี่” มีปัญญาคิดอ่านในการวางแผน แต่ขาดยุทธปัจจัย ไม่มีขุนพลคู่ใจ ที่จะรบทัพจับศึก แต่พอได้ “กวนอู” ผู้มีฝีมือเชิงชั้นการทหาร และ มี “เตียวหุย” ที่มีทั้งฝีมือและมีทรัพย์สิน ทั้งสามมีอุดมการณ์เดียวกัน จึงดื่มน้ำสาบานเป็นพี่น้องกัน โดยใช้พื้นที่บ้านของ “เตียวหุย” เป็นแหล่งรวมพลหาแนวร่วมและฝึกปรือทหาร


แม้ไม่เกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่ขอตายวันเดือนปีเดียวกัน ว่าไปนู่น แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่เป็นไปตามสาบานเสียทั้งหมด สิ่งที่ทั้งสามแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียวคือความรักที่มีต่อกัน เป็นรักที่บริสุทธิ์เกื้อกูลกันตราบจนสิ้นลม
...

“เตียวหุย” ตายเมื่อตอนอายุห้าสิบปี วัยเพียงห้าสิบนี้ยังถือว่าหนุ่มแน่นนัก ยังสามารถที่จะรบทัพจับศึกได้อีกหลายปี การตายของ “เตียวหุย” เกิดขึ้นหลังจาก “กวนอู” ตาย

และเหตุการณ์สำคัญหลังจากที่ “กวนอู” ตายมีการผลัดแผ่นดินขึ้น ณ แคว้นวุยก๊ก (ก๊กโจโฉ)

หลังจาก “โจโฉ” ตาย (“โจโฉ” ตายภายหลัง “กวนอู”ไม่นาน) “โจผี” ลูกชาย ขึ้นตำแหน่งแทนพ่อทุกตำแหน่ง แต่มีอาการเหี้ยมหาญเหิมเกริมมากกว่าพ่อหลายสิบเท่า

“โจผี” ชิงราชบัลลังก์ ปลด “พระเจ้าเหี้ยนเต้” ออกแล้วเนรเทศไปอยู่ชายแดนห้ามให้กลับมาเมืองหลวง

เหตุการณ์สะเทือนแผ่นดินนี้ทำให้อาณาประชาราษฎร เคียดแค้นชิงชังเป็นอย่างมาก หมายที่จะให้มีผู้แก้แค้นแทนพระเจ้า “เหี้ยนเต้” ทั้งสิ้น

รูปการของความชอบธรรมก็ควรเป็นเช่นนั้น
.....

เมื่อ “โจผี” ปล้นราชสมบัติ “พระเจ้าเหี้ยนเต้” ฟากฝั่ง “เมืองเสฉวน”ที่ “เล่าปี่”ปกครองอยู่ เหล่าขุนนางจึงพร้อมใจทูลเชิญให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เพราะเห็นว่า “เล่าปี่” มีความชอบธรรมเพราะเป็นเชื้อพระวงศ์มาแต่เดิม “พระเจ้าเหี้ยนเต้” นับถือจนถึงขั้นเรียกพระเจ้าอา หลังจากที่ให้อาลักษณ์ไล่เลียงลำดับญาติ ความชอบธรรมนี้มีมาเต็มๆ แต่ “เล่าปี่” ก็บิดพลิ้วไม่ยอมรับอยู่นานสองนานเพราะหวั่นคำครหาว่าครองราชย์ไม่ชอบธรรม

แต่ที่สุดแล้วก็ได้ขึ้นครองราชย์ เพื่อให้ราษฎรมีขวัญกำลังใจและมีที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตรใจ

พิจารณาตามความชอบธรรม ณ ตรงนี้ “พระเจ้าเล่าปี่” พึงที่จะกำยกทับไปปราบ “พระเจ้าโจผี” ตามความต้องการของประชาชน ตามคำแนะนำของเหล่ากุนซือ ที่ต่างช่วยกันวิเคราะห์ผลดีผลเสียต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นผล

แม้ “ขงเบ้ง” จะทัดทานหลายครั้งก็ไม่เป็นผลเช่นกัน

“พระเจ้าเล่าปี่” แน่วแน่ที่จะยกทัพไปปราบ “ซุนกวน” เพื่อแก้แค้นแทน “กวนอู” น้องร่วมสาบาน ซึ่งถูกฝ่าย “ซุนกวน” ล้อมปราบและฆ่าในที่สุด

ฝ่าย “ซุนกวน” เมื่อฆ่า “กวนอู” แล้วเกรงความผิดหวั่น “เล่าปี่” ยกทัพใหญ่มาทำศึกแก้แค้นกับตน จึงให้ทหารนำหัวของ “กวนอู” ไปมอบให้แก่ “โจโฉ”เพื่อพลางให้เกิดภาพว่า “ซุนกวน” ฆ่า “กวนอู” ตามคำสั่ง “โจโฉ”

มุกตื้นๆเพียงแค่นี้ไหนเลย “โจโฉ” จะไม่รู้ทัน จึงแก้เกมส์ด้วยการจัดการพิธีศพอย่างสมเกียรติ

ทุกปมสงสัยจึงคลีคลายว่า “กวนอู” นั้นตายเพราะฝีมือของฝ่าย “ซุนกวน”

อย่าเพิ่งงง นะครับ
ต้องปูเรื่องต้นทางให้เห็นภาพ จึงจะเห็นประเด็นมองเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ร่วมกันวิเคราะห์ถกประเด็นต่อเนื่องได้....

“พระเจ้าเล่าปี่” ฟังธงแน่นแน่ว่าจะต้องแก้แค้นแทน “กวนอู” ใครทัดทานก็ไม่ฟังแล้ว
เมื่อแน่วแน่เช่นนี้ ทุกฝ่ายก็ต้องยอม แล้วจัดแจงให้ “ขงเบ้ง” ดูแล “เมืองเสฉวน” แทน

ขณะที่ปรึกษาทัพเตรียมออกศึก ได้มีหนังสือไปเรียก “เตียวหุย” ซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้า “เมืองลองจิ๋ว” มาปรึกษาร่วมวางแผน
แต่กว่าจะกางแผนการได้ เมื่อ “พระเจ้าเล่าปี่” กับ “เตียวหุย” ได้เจอกันต่างกอดคอกันร้องไห้อาลัย “กวนอู” น้ำตาแทบเป็นสายเลือด

เมื่อวางแผนเรียบร้อยจึงนัดแนะกับ “เตียวหุย” กลับไป “เมืองลองจิ๋ว” เพื่อเตรียมทัพให้พร้อมแล้วจะยกพลไปเจอกันกับทัพหลวงของ “พระเจ้าเล่าปี่” ณ เมือง “เกงจิ๋ว” เพื่อปราบ “ซุนกวน”ให้หายแค้น
..

ความเหี้ยมหาญเป็นเหตุ...?
ความไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาเป็นเหตุ...?

“เตียวหุย” เมื่อกลับถึง “เมืองลองจิ๋ว” เรียกประชุมขุนนางทันที สั่งการโดยด่วนว่า ให้เตรียมทัพสู้ศึกครั้งนี้โดยไว ให้แล้วเสร็จภายในสามวัน
ย้ำ...!!!ภายในสามวัน

สิ่งของประการสำคัญที่ต้องเตรียมคือ เครื่องศราสตราวุธต่างๆให้ครบถ้วนจำนวนทหาร ม้าขาว ธงขาว ผ้าขาว

หลังจากที่ได้ยินคำสั่ง “ฮอมเกียง” และ “เตียวตัด” หัวหน้านายทหาร มองว่าเป็นไปได้ยากจริงๆที่จะเตรียมการตามสั่งให้ได้ทันภายในสามวัน

ทั้งสองจึงเข้าไปทัดทานและให้เหตุผลว่าเตรียมไม่ทันจริงๆ ขอให้ยืดระยะเวลาออกไปอีกสักนิด

“เตียวหุย” ควันออกหูทันทีหลังจากหัวหน้านายทหารทั้งสองว่ามาเช่นนั้น

ด้วยความเกรี้ยวกราด จึงสั่งให้นำตัวไปประหาร แต่มีผู้ร้องขอจึงลดโทษให้ โดยนำตัวไปผูกกับเสาไม้แล้วลงมือเฆี่ยนทหารทั้งสองคนละห้าสิบทีด้วยตัวเอง แถมกำชับใหม่ว่าทุกสิ่งที่สั่งให้แล้วเสร็จภายในวันพรุ่งนี้

เมื่อเลือดบ้าขึ้นหน้า ก็ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตัวไหนเข้าสิง
หรือเป็นเพราะชะตาถึงฆาตก็ไม่รู้นะ ทำให้ “เตียวหุย” แสดงกิริยาอย่างนั้นออกไป

เมื่อ “ฮองเกียง” กับ “เตียวตัด” ถูกปล่อยตัวทั้งสองจึงปรึกษากันว่า วันนี้ถูกเฆี่ยนก็เหมือนซ้อมตาย ถ้ายังจะทำงานให้ “เตียวหุย” อยู่อีกได้ตายจริงๆแน่

ทางออกในการรักษาลมหายใจทั้งสองจึงชิงลงมือก่อน

ดึกสงัดคืนนั้น “เตียวหุย” นอนไม่หลับกระวนกระวาย ทำอย่างไรก็ไม่หลับจึงเรียกหาให้คนใช้นำสุราอย่างดีมาดื่มแกล้มพระจันทร์ เพื่อให้คลายกังวล

อาจด้วยเป็นวันที่ชะตาขาด จึงทำให้เหล้าแก้วนั้นหวานเป็นพิเศษ ยิ่งดื่มยิ่งดี ยิ่งผ่อนคลายจนเผลอหลับไป

“เตียวหุย” ตายแบบไม่ต้องปะทะ ไม่ต้องต่อสู้

“ฮองเกียง” และ “เตียวตัด” ย่องมาเงียบๆ แล้วฆ่า “เตียวหุย” แล้วตัดหัวหนีไปเข้ากับ “ซุนกวน”

นี่จึงเป็นการตายแบบน้ำตื้นๆของขุนทหารนามระบือ ที่ชื่อ "เตียวหุย"
ตายเพราะไม่รู้ผ่อนหนักผ่อนเบา

เรื่องนี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญยิ่ง แม้ทุกชีวิตมีปลายทางเดียวกันนั้นคือความตาย แต่ตายแบบไหนจะเท่ห์กว่ากันเท่านั้นเอง พึงรู้จักการหนักการเบา คิดพิเคราะห์เสมอก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไป

ปรีชา นาฬิกุล
๒๙ เม.ย.๒๕๖๒

ที่อยู่

สำนักงาน พรรคประชาธิปัตย์ เลขที่ 67 เศรษศิริ 2 แขวง เขต พญาไท
Bangkok
10400

เบอร์โทรศัพท์

+66943659414

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ชมรมสันติประชาธรรม by PEITAผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ชมรมสันติประชาธรรม by PEITA:

แชร์