Medizerva ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Medizerva, Bangkok.

18/06/2022

วิชารักษาคนเก่ง

เมื่อตอนผมทำงานใหม่ๆ อดีตนายกอานันท์ ปันยารชุน เป็นบุคคลที่โดดเด่น มีความเก่งกล้าสามารถ ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด เคยทำงานทั้งภาครัฐและเอกชน ตอนที่คุณอานันท์ไปรับตำแหน่งให้บริษัทสหยูเนี่ยนในสมัยนั้นก็เป็นที่ฮือฮาว่าสหยูเนี่ยนโชคดีที่ได้คนอย่างนายกอานันท์ไปทำงาน

มีรุ่นพี่ผมคนหนึ่งเคยวิเคราะห์และตั้งคำถามที่น่าสนใจไว้ว่า คนเก่งตัวจริงน่าจะคือคุณดำหริ ดารกานนท์ เจ้าของสหยูเนี่ยนมากกว่าที่สามารถชักชวนคุณอานันท์ให้มาทำงานด้วยได้ …. เขามีเคล็ดลับอะไรกันนะที่สามารถจูงใจให้มืออาชีพฝีมือเยี่ยมแบบนี้มาอยู่ด้วยอย่างยาวนาน ….

เป็นคำถามที่ผมจำได้จนวันนี้..

………………..

วันศุกร์ที่ผ่านมา ทางหลักสูตรเอบีซีได้เชิญ คุณอนันต์ อัศวโภคิน ผู้สร้างอาณาจักรระดับหลายหมื่นล้านมาหลายแห่ง ตั้งแต่ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ โฮมโปร terminal 21 ธนาคาร โรงแรม ฯลฯ มาเล่าวิธีคิดในการสร้างธุรกิจต่างๆที่ฟังแล้วต้องทึ่งใน มุมมองอันเฉียบคม คุณอนันต์เล่าเคล็ดลับอยู่หลายประการ แต่ที่ผมประทับใจที่สุดและคิดว่าเป็นเคล็ดลับความสำเร็จของคุณอนันต์จริงๆคือการที่คุณอนันต์รู้จักใช้คนเก่งและมีคนเก่งทำงานให้มากมายในทุกธุรกิจที่คุณอนันต์ขยายออกไป

คุณอนันต์เล่าถึงความชอบที่จะหาลูกน้องที่เก่งกว่าตัวเอง ปล่อยให้คิดและตัดสินใจอย่างเต็มที่ ไว้ใจและกล้าให้ผลตอบแทนของลูกน้องที่สูงจนฟังตัวเลขแล้วแทบตกเก้าอี้ คุณอนันต์เปรียบตัวเองเป็นเซอร์ อเล็ก เฟอร์กุสันที่เป็นโค้ชไม่ใช่ผู้เล่น มีหน้าที่หาคนเก่งกว่ามาทำงานให้ คุณอนันต์บอกว่าเราต้องเลือกคนที่เก่งกว่าเราให้ได้ โดยเฉพาะไอ้คนที่เถียงเราเก่งๆนั่นแหละ ไม่งั้นบริษัทก็จะโตไม่ได้ เราเองก็เหนื่อยตาย ต้องทำเองทุกอย่าง

คุณอนันต์บอกว่า เทคนิคในการให้ลูกน้องเล่าปัญหาต่างๆให้ฟัง กล้าพูดกล้าคุยกับเจ้าของนั้นคุณอนันต์ใช้สามวิธี อย่างแรกคือใช้ห้องน้ำร่วมกับลูกน้องทุกคน อย่างที่สองคือนั่งกินข้าวสำรับเดียวกัน ส่วนอย่างสุดท้าย ถ้าไม่มีใครกล้าเล่าอะไรบนโต๊ะอาหาร คุณอนันต์จะเล่าเรื่องที่ตัวเองทำผิด ตัดสินใจผิด กล้าประกาศอย่างเปิดเผยว่าเราทำผิด เพื่อให้คนอื่นได้เรียนรู้ด้วย และแสดงให้พนักงานเห็นว่าเราเป็นคนธรรมดาทำผิดได้ เล่าจนเป็นปกติเหมือนอาบน้ำ ถูฟัน พนักงานทำผิดก็จะกล้าเล่าให้ทีมฟัง เพือเรียนรู้และจะได้ไม่ทำผิดอีก เป็นการปรับระดับน้ำความรู้ในองค์กรให้เท่ากัน

คุณอนันต์สร้างคนเก่งจากระดับฐานราก ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ในกลุ่มมาจากพนักงานที่ไม่มีประสบการณ์ จบปริญญาตรีมาแทบทั้งสิ้น คุณอนันต์ไม่มีฝ่าย HR ไม่มีการทดลองงาน หัวหน้างานต้องรับพนักงานอย่างระมัดระวังและต้องรับผิดชอบกับคนใหม่ที่เข้ามาเสมือนว่าถ้าเขาไม่ทุจริตก็จะอยู่ได้จนเกษียณ คุณอนันต์ส่งพนักงานไปเรียนต่อปริญญาโท ดูงานเมืองนอกตลอดเวลาเพื่อให้เขาเก่งขึ้น ได้เห็นโลกกว้าง และให้เก่งให้รู้รอบกว่าตัวคุณอนันต์เอง

คุณอนันต์สอนให้ลูกน้องตัดสินใจ เวลาลูกน้องมาถามก็มักจะไม่ให้คำตอบ เพราะถ้าตัดสินใจแทนลูกน้อง เขาก็จะไม่กล้าตัดสินใจ กลัวผิด กลัวถูกลงโทษ และเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ต่อให้ทำผิดเจ้าของก็จะต้องอดทนให้เขาเรียนรู้ และอดทนถ้าเขาตัดสินไม่ตรงกับเราก็ตาม

คุณอนันต์เคยบอกว่าเราต้องกล้าตั้งลูกน้องที่มีความสามารถขึ้นมาเป็นหัวหน้า ต่อให้จะแซงคนที่รับเขาตอนสัมภาษณ์ก็ตามถ้าเขาเก่งจริง ไม่ใช้ระบบอาวุโส แต่ใช้ความสามารถเป็นตัวนำ

คุณอนันต์ตอบคำถามนักเรียนในห้องว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีคนเก่งมาทำงานให้เพราะที่มีอยู่เหมือนยังไม่เก่งพอ คุณอนันต์บอกว่าเราต้องเริ่มจากการมองลูกน้องเป็นเหมือนเพื่อนร่วมงานเสมอ มีศักดิ์และศรีเท่ากับเรา เราโมโหเขาได้ ลูกน้องอาจจะโมโห ระเบิดกับเราได้ คุณอนันต์เคยเถียงกับลูกน้องจนลูกน้องโยนแฟ้มใส่ หรือไล่ให้คุณอนันต์ไปทำเองก็เคยมาแล้ว แต่คุณอนันต์บอกว่าเราต้องสูดลมหายใจ อดกลั้น และคิดว่าถ้าเอาความโกรธของลูกน้องครั้งเดียวไปตัดสินลงโทษ หรือไล่ออก โดยไม่ดูผลงานที่ผ่านมาของเขาเลย ต่อไปก็จะไม่มีใครทำงานด้วย ถ้าเราโมโหเขาได้เขาก็ต้องโมโหเราได้

มีคำถามว่าคุณอนันต์เคยเสียใจเรื่องคนหรือไม่ คุณอนันต์บอกว่าเพิ่งผิดหวังกับลูกน้องคนสนิทคนหนึ่งอย่างมาก แต่ก็เตือนสติทุกคนว่า ต่อให้มีลูกน้องคนใดคนหนึ่งทำผิดร้ายแรง ก็ต้องไม่เอาความผิดของคนคนเดียวมาออกกฏให้คนที่เหลือจนทำงานไม่ได้ เพราะคนทำผิดร้ายแรงก็เป็นเรื่องของบุคคล ต้องไม่เหมารวมออกกฎให้กับทุกคนจากกรณีเดียวอย่างเด็ดขาด

……

ผมนั่งฟังคุณอนันต์ด้วยความเพลิดเพลินในความใจกว้างและการมองการณ์ไกลของคุณอนันต์ การให้โอกาส การคิดถึงพนักงานอย่างเป็นเพื่อนร่วมงาน ไม่ได้คิดเอาแต่ประโยชน์ของตนเป็นตัวตั้ง น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คุณอนันต์สร้างคนเก่งและรักษาคนเก่งได้อย่างยาวนาน ผมอยากจะจบเรื่องราวของคุณอนันต์ที่แม้จะเป็นเถ้าแก่แต่ก็ยังทำหน้าที่เป็นเสมือนเพื่อนร่วมงานของทุกคน ถึงแม้ว่าคุณอนันต์เองไม่จำเป็นต้องทำก็ตาม

การประชุมบอร์ดครั้งหนึ่งในบริษัทที่คุณอนันต์เป็นกรรมการอยู่ ในปีนั้นบริษัทมีกำไรพิเศษจากการขายกิจการโรงพยาบาลออกไป และในที่ประชุมกรรมการที่มีต่างชาติอยู่ด้วยก็มีการถกเถียงกันว่าควรจะจ่ายโบนัสพิเศษให้พนักงานทั้งบริษัทหรือไม่

เสียงส่วนใหญ่ก็เห็นว่าไม่ควรจะจ่าย เพราะกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดจากการดำเนินการปกติของบริษัท แต่เกิดจากกำไรพิเศษที่พนักงานไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำให้เกิดแต่อย่างใด บริษัทที่ขายออกไปก็เกิดจากเงินลงทุนที่บริษัทไปลงทุนไว้นานมาแล้ว ไม่ได้ส่งพนักงานไปร่วมบริหารให้เจริญเติบโต การขายก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับพนักงาน

กรรมการบางคนถึงกับบอกว่า ถ้าจะให้โบนัสก็น่าจะให้เฉพาะซีอีโอกับซีเอฟโอ ซึ่งเป็นผู้ที่เจรจาต่อรองขายธุรกิจด้วยซ้ำไป
ฟังแบบนี้เสียงส่วนใหญ่ก็คล้อยตามเหตุผลที่ฟังเข้าทีอยู่เกือบทั้งสิ้น

คุณอนันต์เล่าต่อว่า ในที่ประชุมวันนั้น คุณอนันต์ได้ถามคำถามหลายคำถาม คุณอนันต์ถามกรรมการทั้งห้องว่า ตอนที่มีวิกฤตค่าเงินบาท เราตัดสินใจไม่จ่ายโบนัสพนักงานทั้งบริษัทใช่หรือไม่

กรรมการทั้งห้องก็พยักหน้ารับ

คุณอนันต์ก็ถามต่อว่า ในปีวิกฤตค่าเงินบาท กำไรจากการดำเนินงานก็ยังพอมี แต่เราขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมหาศาล ในตอนนั้นการตัดสินใจเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนก็เป็นเรื่องของซีอีโอกับซีเอฟโอสองคนไม่ใช่หรือ

แล้วจบด้วยคำถามสุดท้ายว่า ในตอนนั้นพนักงานทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยก็ยังถูกงดโบนัสทั้งๆที่กำไรจากการดำเนินงานก็ยังมีแต่มาขาดทุนเพราะอัตราแลกเปลี่ยนโดยแท้ แล้วในวันที่บริษัทมีกำไรพิเศษ จะไม่จ่ายโบนัสเขาหรือ

ที่ประชุมในวันนั้นก็อึ้งกันไปพักใหญ่ ก่อนจะมีมติเอกฉันท์ให้จ่ายโบนัสพิเศษให้พนักงานจากกำไรพิเศษที่ได้จากการขายกิจการ เป็นโบนัสที่คุณอนันต์ในฐานะเถ้าแก่คิดถึงและช่วย defend แทนพนักงานที่เป็นเพื่อนร่วมงานทุกคน ไม่ใช่คิดแค่เงินในกระเป๋าตัวเองในห้องประชุมบอร์ดวันนั้น

……………..


วิชารักษาคนเก่ง น่าจะต้องเริ่มจากเห็นลูกน้องเป็นเพื่อนร่วมงานก่อนเป็นอย่างแรกเลยนะครับ

Key conclusions for adapting.
24/02/2022

Key conclusions for adapting.

สรุปเทรนด์ Marketing ปี 2022
แบบอ่านง่ายๆ เอาเก็บไปคิดต่อได้เลย
(จาก The Secret Sauce)
จากข้อมูลและสถิติที่ผ่านมาเราจะเห็นการเติบโตของดิจิทัลมากขึ้น ทำให้หลายธุรกิจใช้กลยุทธ์แบบเชิงรุกมากมาย เมื่อการแข่งขันเพิ่มขึ้น การตลาดแบบเชิงลึกก็ยิ่งท้าทายอย่างมาก เพราะเมื่อใครทันการตลาดก่อน ศึกษาก่อน ก็ยิ่งได้เปรียบก่อน เพราะในอนาคต ดิจิทัลอาจไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่มันจะเป็นการดำเนินธุรกิจหลักอย่างแน่นอน
100WEALTH จึงสรุปเทรนด์ การตลาดปีนี้ จาก The Secret Sauce ที่ดำเนินรายการโดย คุณเคน นครินทร์ และ คุณ เอิร์ธ-อรรถวุฒิ เวศรานุรักษ์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ Adapter Digital มาฝาก
ตัวเลขที่น่าทึ่งคือ มีการคาดการณ์ว่า เม็ดเงินโฆษณาสื่อดิจิดัลทั่วโลก ในปี 2022 จะอยู่ที่ 60% เป็นครั้งแรกของโลก และแซง mass media เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในขณะที่อเมริกาเมื่อปลายปีที่ผ่านมาขึ้นเป็น 72% แล้ว (แต่เฉลี่ยทั่วโลกคือ 60%) ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นคลื่นลูกใหม่ ที่เราสามารถหยิบโอกาสตรงนั้นมาทำธุรกิจได้
มาดูภาพรวม Digital Mainstreamed การตลาดแห่งอนาคตที่ดิจิทัลไม่ใช่ส่วนเสริมอีกต่อไป
8 ใน 10 ของคนตอนนี้ ผู้บริโภคคือ digital consumer แล้ว จะเห็นว่ามันเติบโตมากขึ้น รวมไปถึง การเข้าไปดูคอนเทนต์และเข้าไปดูแพลตฟอร์มที่มากขึ้นตามไปด้วย
หากจะพูดถึงกลยุทธ์แกนหลักของดิจิทัล คีย์เวิร์ด 3 อย่างคือ
🔹Digitalization
ให้คนบนออนไลน์ซื้อจบในที่เดียว หรือ end to end คือ เห็น รู้จักสินค้า และซื้อให้ทีเดียว โดยการจะไปถึงจุดนั้น ต้องดูว่าใน digital economy เราอยู่จุดไหน เราขาดอะไร เอามาพัฒนาเพิ่มได้ไหม พร้อมจะ include อะไร (คล้ายเช็กลิสต์)
🔹Virtualization
AR/VR/Sensor จะทรงประสิทธิภาพมากขึ้น World economic forum บอกไว้น่าสนใจว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สร้างสีสัน แต่มันเข้าไปอิมเเพคในทุก ๆ sector ของทุกอุตสาหกรรม พวกนี้กำลังกลมกลืนเข้าไปในชีวิตของผู้คน นี่คือคีย์เวิร์ดสำคัญ เช่นคนกำลังนิยม virtual try-on คือการลองเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องสำอางค์ แว่นตา และสินค้าหลายประเภท รวมไปถึงมิติอุตสาหกรรมอื่นๆด้วย
และ Gucci เองได้มีการสร้างแอปและเน้นไปที่ virtual try-on ที่คนสามารถลองรองเท้า กระเป๋าได้ และอีกอันหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ คือ Virtual Human ที่มีเอไอหน้าตาคล้ายมนุษย์ที่สุดเพื่อตอบสนองด้านบริการ สินค้า โดยเอไอนั้นไม่มีตัวตนแต่ จะปรากฎบนจอภาพที่มีใบหน้าเหมือนคนที่สุด เพื่อบริการและอธิบายสินค้าแก่ผู้บริโภค เช่น สตาร์ทอัพของ Samsung ได้เริ่มโปรเจ็กนี้แล้ว
🔹Datafication
เป็นโปรแกรมการเก็บข้อมูลลูกค้า การเก็บข้อมูลสำคัญมากจนธุรกิจไหนไม่มี อาจจะไปไม่รอดได้ คีย์เวิร์ดที่น่าสนใจในการเก็บข้อมูลคือคำว่าให้ collect carrots ไม่ใช่ collect cookies เพราะแครอทคือ first party data แต่ cookies คือ Third party data
เพราะคำว่าแครอทนั้น ใหญ่กว่า และมีประโยชน์มากกว่านั่นเอง อีกทั้ง google เองยังออกมาประกาศว่าการมี first party ของตัวเอง ทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะต่อไป Cookies จะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป (ซึ่งเป็นประเด็นกันอยู่ตอนนี้)
และการจะทำให้การเก็บเดต้าสมบูรณ์แบบคือเราต้อง มี CRM ที่เป็น Key หลัก โดยเก็บข้อมูลลูกค้าและสร้างเอไอมาประกอบเพื่อสร้างแอปพลิเคชันของแบรนด์ เช่น เมื่อมีข้อมูลลูกค้าสั่งที่ไหน อีกกี่นาทีลูกค้าถึงจะถึงร้าน พนักงานสามารถอุ่นขนมปังได้เมื่อลูกค้าใกล้ถึงแล้วเท่านั้น เพื่อคงความกรอบและรสชาติของขนมปัง ที่ดีที่สุด เป็นต้น
ซึ่ง top skill ที่ การตลาดทั่วโลกต้องการคือ Digital Consumer Intelligence โดยการจะหยิบไปใช้ให้มีประสิทธิภาพคือต้องอย่าเก็บแยกเดต้า แต่ให้รวมเป็นทีมเดียวกัน เราจะรู้ข้อมูลที่เราไม่เคยรู้มากก่อน ซึ่งสำคัญมาก ๆ
เช่น KFC เอาข้อมูลจากโซเชียล มาประกอบเป็นโฆษณาโดยใช้ AI ทำ ประกอบเข้ากับคอนเทนต์และ Message และยิงแอดไปที่กลุ่ม target ทั้งหมด เพื่อจะได้รู้ว่า คนสั่งจริงหรือไม่ สั่งตอนไหน โดยผลคือเกินคาดมากๆ
จากเดิมที่คิดว่า คนสั่ง KFC ช่วงเที่ยงและเย็น กลับกลายเป็น lazy lunch และช่วงกลางสัปดาห์ ซึ่งทำให้เขาเห็นความเชื่อมโยงทั้งหมดของลูกค้าและ Journey ต่างๆ นี่คือความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นนอกเหนือจาก performance ที่ดี
ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของเทรนด์การตลาดดิจิทัล ที่ทุกธุรกิจควรรีบศึกษา เพื่อปรับตัวให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
ไปฟังกันแบบเต็ม ๆ ได้ที่นี่ : https://www.youtube.com/watch?v=tYRfAJr0Xcg
เรียบเรียงโดย 100WEALTH
ผู้เขียน Pattarasuda B.


#ไปให้ถึง100ล้าน

สมุนไพรไทย สารออกฤทธิ์ (active ingredients) ไม่แต่ใครจริง ๆ
30/11/2021

สมุนไพรไทย สารออกฤทธิ์ (active ingredients) ไม่แต่ใครจริง ๆ

Specialty Natural Innovation (SNI) กลุ่มบริษัทที่เปลี่ยนสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับของแบรนด์ระดับโลกด้วยนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ .....

หลักคิด และ ข้อคิด ขอบคุณมาก ๆ ครับ ที่แชร์สิ่งดีดี ครับ
18/10/2021

หลักคิด และ ข้อคิด
ขอบคุณมาก ๆ ครับ ที่แชร์สิ่งดีดี ครับ

-- 10 บทเรียนธุรกิจจากผู้กำกับโฆษณาระดับโลก--
อาทิตย์ที่ผ่านมาถือเป็นโอกาสดีที่ได้นั่งคุยกับพี่ #ต่อธนญชัย ศรศรีวิชัย (ต่อ ฟีโนมีน่า) ผู้กำกับหนังโฆษณาอันดับ 1 ของโลก 6 สมัย ซึ่งหากใครเคยดูโฆษณาของไทยประกันชีวิต เงินติดล้อ สมูทอี แพนทีน หรือ AdviceIT ฯลฯ จะเห็นว่าโฆษณาทุกตัวที่พี่ต่อทำนั้นนอกจากจะประสบความสำเร็จในการเป็นที่พูดถึงแล้ว ยังแอบแฝงแนวคิดเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมเสมอ
ซึ่งตลอดการนั่งคุย 8 ชม. นั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเรากำลังคุยอยู่กับผู้กำกับโฆษณา แต่เหมือนกำลังนั่งคุยอยู่กับคนที่เข้าใจธุรกิจ เข้าใจชีวิตอย่างลึงซึ้ง และที่สำคัญที่สุดคือคนที่เชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นผ่านอาชีพที่ตัวเองทำ เลยถือโอกาสสรุปแนวคิดที่ได้จากพี่ต่อเผื่อจะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่กำลังทำธุรกิจอยู่
#ให้คิดถึงคนดูเลิกคิดถึงตัวกู
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของหรือนักการตลาดสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญที่สุดคือคนดูคือลูกค้า ว่าเค้าสนใจอะไรอยู่ไม่ใช่เอาแต่ตะบี้ตะบันจะขายของเพียงอย่างเดียวไม่เช่นนั้นเราก็จะเอาแต่เล่าว่าของเราดียังไง มีฟังก์ชั่นอะไรดี ซึ่งบางครั้งลูกค้าอาจไม่ได้สนใจเลยก็ได้ ฉะนั้นเราควรกลับไปมองในมุมลูกค้าก่อนว่าเค้าสนใจอะไรอยู่
พี่ว่า Squid Game เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ เค้าชนะตั้งใจก่อนจะเริ่มเขียนบทแล้ว เพราะเค้าทำหนังที่เข้าใจ Insight ของคนทั้งโลกที่มีความรู้สึกระหว่างคนจนคนรวย ปัญหาเชื้อชาติ ความขัดแย้งทางศาสนา ความอยากยกระดับชีวิตตัวเอง นี่คือประเด็นสังคมที่คน 90%ทั้งโลกเจอ ไอ้ตัวเกมมันเป็นแค่เครื่องมือการตลาดที่ทำให้เนื้อเรื่องสนุกมากยิ่งขึ้น พอคนดูไม่ว่าจะประเทศไหนก็จะรู้สึกโดนใจเพราะเหมือนกับชีวิตเรา แต่เราลองมาดูหนังของไทยที่ชอบเอามวยไทยเอาวัดมาขาย ทำหนังท่องเที่ยวก็ต้องมีซีนยักษ์วัดแจ้ง วัดพระแก้ว ซึ่งเราไม่เคยคิดเลยว่าคนดูเค้าสนใจเรื่องนี้จริงๆมั้ย
#อย่าอยู่แต่ในห้องประชุมและคิดแทนลูกค้าให้ลองเอาชีวิตเราไปเป็นเค้าดู
จะทำอะไรจะขายอะไรให้ลูกค้า อย่าไปคิดแทนลูกค้าเพราะคนอยู่แต่ในโต๊ะทำงานอยู่แต่ในห้องประชุม ไม่มีทางที่จะเข้าใจความต้องการลูกค้าที่แท้จริงแน่นอน เราจะทำหนังเกี่ยวกับคนขายก๋วยเตี๋ยว เราก็ต้องลองไปเป็นคนขายก๋วยเตี๋ยวดู ว่าเค้าลวกยังไง เค้ายกกระชอนยังไง เค้ามีท่าทางยังไง ไม่งั้นไม่มีทางที่คนดูจะเชื่อเรา เหมือนกับเวลาเราดูหนังไทยแล้วเห็นคนจนทุกคนใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อต ต้องมีรอยเปื้อนที่หน้า ต้องเอาแขนเช็ดเหงื่อทุกคน ซึ่งมีชีวิตจริงมันไม่เป็นแบบนั้น เวลาพี่จะทำหนังโฆษณาสักเรื่องเวลาที่เสียไปมากที่สุดคือเวลาการค้นคว้าข้อมูล ลงพื้นที่ ลงไปสังเกตพฤติกรรมของคนจริงๆ ซึ่งของเรานี้เราหาไม่ได้ในห้องประชุม
#จะทำของอะไรมาขายอย่าเพิ่งคิดว่าจะขายยังไงให้คิดว่าของเราทำของที่ดีที่สุดแล้วหรือยัง
คนส่วนใหญ่สนใจแต่ว่าจะทำยังไงให้สินค้าขายได้ สนใจว่าต้องการตลาดยังไงแบรนด์ดิ้งยังไง จะทำโปรโมชั่นยังไง แต่ไม่ค่อยสนใจว่าของของเรานั้นดีที่สุดที่เราทำได้แล้วหรือยัง ก่อนเราจะไปทำการตลาดเราต้องมั่นใจว่าของเราดีที่สุดก่อน เอาเวลาไปพัฒนาสินค้าเราให้อร่อยขึ้น ให้ใช้ดีมากขึ้นก่อน แล้วถึงเป็นหน้าที่ของนักการตลาดที่มาช่วยทำให้สินค้าดูน่าสนใจขึ้น ให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้นเอง
พี่เองเวลาจะทำโฆษณาชิ้นไหนจะต้องดูก่อนว่าสินค้าของเค้าดีแล้วหรือยัง เพราะถ้าเราทำให้สินค้าเค้าเป็นที่รู้จักขายได้ แต่พอถึงเวลาที่ลูกค้าเค้าใช้แล้วมันไม่ดีสุดท้ายมันก็กลับมาทำร้ายแบรนด์ภายหลังอยู่ดี
#เริ่มต้นทำแบบคนจนแต่ให้เริ่มทำเลย
ต่อให้เราจะมีเงินเยอะแค่ไหน แต่ถ้าคิดจะทำอะไรอยากให้เริ่มจากคิดว่าเราจนไม่มีเงินก่อน เพราะเมื่อไหร่เราใช้เงินลงไปทีเดียวตู้มเลย แน่นอนว่ามันเร็วแต่พื้นฐานเราจะไม่แน่น ไม่แน่นทั้งในเรื่องของคุณภาพสินค้า ไม่แน่นในเรื่องความคิด กลุ่มลูกค้า แล้วที่สำคัญมันทำให้เราคิดน้อย เพราะมันไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้ จดจำและพัฒนา
สมมุติว่าเราจะทำสบู่ อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องจะตั้งชื่อยังไง แพ็กเกจจิ้งจะสวยแค่ไหน ซึ่งเดี๋ยวนี้คนเราชอบคิดเรื่องเหล่านี้ก่อนทำสินค้าให้ดี แต่ให้เริ่มต้นด้วยการทำสบู่ออกมาให้ดีก่อน แทนที่จะผลิตล็อตแรกออกมาเยอะๆทีเดียว เพราะถ้าทำแล้วไม่ดีขายไม่ได้ก็ไม่เจ็บตัว การเริ่มต้นก็ทำได้ง่ายเพราะใช้เงินไม่เท่าไหร่ อาจลองทำขึ้นมาใช้เองก่อน ถ้าใช้ดีแล้วก็อาจลองเพิ่มเป็น 30 ก้อนลองส่งให้คนรอบตัวใช้ ทำจนคิดว่านี่เป็นสบู่ที่ดีที่สุดของเราแล้วค่อยเริ่มคิดเรื่องที่จะขาย แต่ที่สำคัญที่สุดนะคือทำเลย ทำทันที อย่าไปรอ เพราะรอให้พร้อมก็จะไม่มีทางได้ทำ
#ความจริงใจซื่อสัตย์คือการตลาดที่ดีที่สุด
การสื่อสารการตลาดยุคนี้สำคัญที่สุดคือความจริงใจ ซื่อสัตย์และเป็นธรรมชาติหรือเป็นตัวเราเองนี่แหละ เพราะคนดูเดี๋ยวนี้เค้ารู้หมดแล้วอะไรปรุงแต่ง อะไรไม่จริง เค้าไม่เชื่อพรีเซนเตอร์ดังๆที่รู้ว่าไม่ใช้ของชิ้นนั้นๆแล้ว แต่เค้าเชื่อเจ้าของที่ออกมาพูดจริงๆมากกว่า ชอบรีวิวลูกค้าที่พูดถึงสินค้านั้นจริงๆมากกว่า
ไม่เชื่อเราลองสังเกตคอนเทนต์ที่กลายเป็นไวรัลในตลาดทั้งหลายในช่วงที่ผ่านมา ไม่ใช่มาจากโปรดักชั่นขนาดใหญ่ จัดไฟ ใช้พร็อพเยอะ แต่มาจากอะไรที่มันจริง ยกตัวอย่าง บังฮาซัน บังมีความเป็นธรรมชาติ กล้องช่วงแรกๆก็ดูไม่ชัดแต่ดูแล้วเชื่อว่าเรียล เป็นคนใต้ก็พูดสำเนียงคนใต้ บอกว่ารับมาจากชาวบ้านก็บอกรับมาจากชาวบ้านแต่ก็เลือกร้านที่อร่อยที่สุดมา แถมมีกินให้ดูสดๆเลยว่ามันอร่อยจริง ลองคิดดูนะถ้าบังฮาซันมีโปรดักชั่นที่อลังการ ใช้ภาษาที่ดูน่าเชื่อถือ คนดูคงไม่เชื่อแล้วคงไม่ดังขนาดนี้แน่นอน
#โลกยุคใหม่ไม่มีอีกแล้วคนที่รู้เพียงเรื่องเดียวจะมีแต่Maker
มันหมดยุคแล้วที่เราจะทำอาชีพอะไรอย่างเดียวโดยไม่รู้เรื่องอื่นเลย เราต้องรู้ทุกเรื่องในภาพรวมทุกมุมมอง ถ้าคุณทำอาชีพผู้กำกับ คุณก็ต้องเป็นผู้กำกับที่เข้าใจธุรกิจ ถ้าคุณเป็นวิศวกร คุณก็ต้องเป็นวิศวกรที่เข้าใจเรื่องบัญชี หรือถ้าคุณเป็นนักธุรกิจคุณก็ต้องเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี
ลองคิดดูถ้าพี่เป็นผู้กำกับที่เอาแต่คุยว่าหนังเราดียังไง เราอยากจะทำแบบนี้ โดยไม่สนใจในมุมธุรกิจเลย และอีกฝั่งนึงก็คือนักธุรกิจที่สนใจจะขายของแต่ไม่สนใจเรื่องสังคมเรื่องศิลปะเลย มันคงคุยกันไม่มีทางรู้เรื่องแน่นอน แต่ถ้าเมื่อไหร่นักโฆษณาเข้าใจในมุมธุรกิจและนักธุรกิจสนใจเรื่องศิลปะเรื่องสังคม ก็จะทำให้คุยกันได้ง่ายและเห็นเป้าหมายเดียวกันได้ไม่ยาก
#จะขายอะไรให้คิดเสมอว่าเราจะทำให้สังคมดีขึ้นได้ยังไง
เราทุกคนล้วนอยู่ในธุรกิจที่ทำให้โลกเราแย่ลงด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ในธุรกิจอะไรก็ตาม เราทำอสังหาฯ เราก็ต้องระเบิดภูเขา ตัดต้นไม้ เราทำร้านอาหารเราก็ต้องฆ่าสัตว์ สร้าง Food waste เราทำโฆษณาเราก็กำลังมอมเมาประชาชนให้เกิดกิเลสมากขึ้น แต่เชื่อมั้ยว่าทุกธุรกิจก็มีมุมที่ช่วยให้สังคมดีขึ้นได้ด้วยเช่นกัน เราทำธุรกิจเงินกู้ เราจะสอนชาวบ้านได้ยังไงให้กู้เพื่อไปปลดหนี้จะได้ตั้งใจทำมาหากิน ไม่ใช่กู้เพื่อไปซื้อของฟุ่มเฟือย เราทำร้านอาหารเราจะช่วยให้คนรู้จักกินของที่ดีมีประโยชน์ ทำลายสุขภาพน้อยลงได้ยังไง หรือเราจะช่วยให้เกษตรกรชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ยังไง
ซึ่งคนส่วนใหญ่จะคิดว่าการที่ธุรกิจต้องให้อะไรกับสังคมจะทำให้กำไรน้อยลง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นไม่มีใครยอมทำแน่นอน แต่เราต้องทำให้เค้าเห็นว่าเค้าเองก็ได้มากขึ้น และสังคมก็ได้มากขึ้นนะ ถ้าคุณทำให้คนกู้คุณเพื่อไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยน้อยลงเค้าก็มีเวลาไปทำธุรกิจให้ดีขึ้น ครั้งหน้าที่เค้ามากู้คุณเค้าก็จะมากู้ในก้อนเงินที่เพิ่มขึ้น
#จะเอาชนะใจใครได้ต้องเข้าใจเค้าให้ได้ก่อน
มีครั้งนึงพี่ถูกเจ้าสัวท่านนึงเชิญเข้าไปพบเพราะอยากให้พี่ทำโฆษณาให้ พอพี่เดินเข้าไปในห้องประชุมหนึ่งในผู้บริหารเดินเข้ามาแล้วทักขึ้นมาว่าเรามาจากเครือโรงเรียนเดียวกันนะครับ เค้าทำการบ้านพี่มาอย่างดีว่าเราจบจากที่ไหน ทำงานอะไรมาบ้าง ผลงานเราเป็นยังไง ซึ่งนี่คือเรื่องที่พี่ทำมาตลอด
อาจจะเห็นเราแต่งตัวเสื้อกล้าม ขาสั้น รองเท้าแตะ แต่เวลาพี่จะไปคุยงานกับใคร พี่ทำการบ้านเค้าก่อนทั้งสิ้นว่าเค้าเป็นใครเค้าสนใจเรื่องอะไรเพื่อที่จะหาจุดเชื่อมโยง เพราะคนส่วนใหญ่จะชอบคนที่มีอะไรเหมือนกับตัวเค้าเอง และทำให้พี่เข้าใจเค้าด้วยว่าเค้ามีพื้นฐานแบบนี้เค้าน่าจะมีชุดความคิดแบบไหน พอเราเข้าใจเค้าก็ทำให้เราคุยกับเค้าได้ลื่นมากขึ้น ทำให้เรามีโอกาสโน้นมน้าวเค้าให้เปิดใจรับกับความคิดเราได้มากขึ้น แม้บางครั้งไอเดียที่พี่เสนอจะโคตรตรงข้ามกับสิ่งที่ธุรกิจเค้าเชื่อเลยก็ตาม
#รักลูกค้าก่อนแล้วลูกค้าจะรักเราเอง
ไม่ต้องเสียเวลาพูดหรอกว่าจะสร้าง Brand love ยังไง จะทำให้ลูกค้ามาเป็น repeat customer ยังไง จะมีกลยุทธ์อะไรที่ให้ลูกค้ารักเราบอกต่อเรา สิ่งที่อยากบอกคนทำธุรกิจทุกคนคือ เราต้องรู้จักรักลูกค้าเราก่อน ก่อนที่จะให้ลูกค้ามารักเรา
การรักลูกค้าคือการทำสินค้าให้ดี บริการให้ดี จริงใจกับเค้าเราใส่ผงชูรสก็บอกว่าใส่แต่มันทำให้อาหารอร่อยขึ้นนะก็บอกไป ถ้าเราใส่สารกันบูดเราก็ต้องบอกว่าใส่ ไม่ใช่เลี่ยงไม่พูดแล้วไปพูดเรื่องอื่น ที่สำคัญต้องช่วยทำให้สังคมดีขึ้นทางใดทางหนึ่งด้วย และเมื่อไหร่ที่เค้ารู้สึกว่าคุณหวังดีกับเค้าคุณรักเค้า เดี๋ยวเค้าก็จะรักคุณเองมันง่ายแค่นี้
การขายที่ดีที่สุดไม่ใช่การขายที่ลูกค้ามาซื้อกับเรา แต่มันคือดีที่สุดต่อลูกค้า ถ้าสินค้าเราไม่ได้ถูกที่สุดหรือดีที่สุดในมุมลูกค้า เราก็ต้องพูดความจริงกับลูกค้า ถ้าสินค้าหรือบริการเรายังไม่ดี เราก็บอกลูกค้าไปเลยว่าเรายังไม่ดีแต่เราจะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง เราสัญญาว่าวันนึงเราจะทำสินค้าบริการเราให้ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จะช่วยให้ชีวิตลูกค้าดีขึ้น ถ้าเรามีความตั้งใจแบบนั้นเราก็สื่อสารออกไป พี่เชื่อว่าถ้าเราพูดด้วยความจริงใจลูกค้าจะสัมผัสได้
#ไม่มีอะไรจะทำให้เราโตเท่ากับความพ่ายแพ้และปัญหา
ไม่มีใครชอบเจอกับปัญหา ทุกครั้งที่เจอปัญหาเรามักจะคิดว่าทำไมเราต้องซวยแบบนี้ แต่ถ้าเราลองคิดดูให้ดี ทุกการคิดค้นอะไรใหม่ๆ ทุกการตลาดที่ประสบความสำเร็จล้วนมาจากการแก้ปัญหาทั้งสิ้น ฉะนั้นจริงๆแล้วปัญหาคือสิ่งที่จะทำให้เราพัฒนาหรือค้นพบสิ่งใหม่ๆ และปัญหาคือโอกาสในการยกระดับจิตใจตัวเอง คิดดูง่ายๆถ้าโควิดครั้งนี้คือวิกฤตที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ครั้งหน้าที่เราเจอกับปัญหาเราก็จะไม่รู้สึกว่ามันหนักเพราะเราเจอหนักที่สุดมาแล้วนี่แหละคือประโยชน์ของปัญหา แต่คนมักไม่ได้มองตรงนี้ คนที่เจอกับปัญหาหรือวิกฤตใหญ่ๆแล้วผ่านมันไปได้ คนๆนั้นก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าคนอื่น
ฉะนั้นเราควรสร้างนิสัยที่ชอบหาปัญหา ชอบแก้ไขปัญหา เพราะมันเหมือนการฝึกสมองเราให้รู้จักการแก้ปัญหาอยู่ตลอด แล้วเวลาที่ปัญหามาหาเราจริงๆเราก็จะไม่ตื่นตระหนกและไม่รู้สึกว่าทำไมต้องมาเกิดกับกูแบบนี้
ปล. ขอบคุณพี่อั๋น CEO Kaspy เกษตรครบจบในแอปเดียว ที่ชวนไปนั่งพูดคุยสร้างแรงบันดาลใจดีๆในครั้งนี้ครับ
#ผู้ชายขายบริการ
#ต่อเพนกวิน #ต่อธนญชัย #ต่อฟีโนมีน่า

We definitely consider this.
24/09/2021

We definitely consider this.

We all need.
23/02/2021

We all need.

ผู้จัดการที่ดีที่สุด คือคนที่ช่วยทีมให้ประสบความสำเร็จ
แน่นอนว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องมีผู้นำที่เยี่ยมยอด (จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมความสามารถในการระบุและดึงดูดคนที่มีความสามารถนั้นมีความสำคัญพอๆ การพัฒนาคนที่มีความสามารถ) แต่เมื่อการเป็นผู้นำที่ดีนั้นเป็นอะไรที่มากกว่าการที่คนนั้นมีความเด็ดเดี่ยวอดทน มีความสามารถในการสั่งการ และสามารถปกป้องคนในทีม (ซึ่งอาจจะฟังดูเป็นอะไรที่ล้าหลังไปหน่อย) เราจะตัดสินว่าใครเป็นผู้นำที่ดีอย่างเป็นกลางได้อย่างไร?

Google ได้ทำโปรเจค Oxygen เพื่อเฟ้นหาคุณสมบัติที่บรรดาผู้จัดการที่ยอดเยี่ยมของ Google มีร่วมกัน โดยสิ่งที่ค้นพบมีดังนี้

1. มีความเป็นโค้ชที่ดี
2. รู้จักเพิ่มศักยภาพคนในทีมและไม่พยายามบริหารจัดการทุกอย่าง
3. แสดงความสนใจและความห่วงใยคนในทีม ทั้งเรื่องความสำเร็จ เรื่องส่วนตัว ความเป็นอยู่
4. ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์
5. เป็นนักสื่อสารที่ดี ทั้งผู้ฟังที่ดีและแชร์ข้อมูลข่าวสารอยู่เสมอ
6. ช่วยคนในทีมให้มีความก้าวหน้าในสายอาชีพ
7. มีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่ชัดเจน
8. มีทักษะทางเทคนิคสำคัญที่จะช่วยคนในทีม
9. มีการสร้างความร่วมมือนอกเหนือจากในบริษัท
10. มีความกล้าตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
เมื่อเวลาผ่านไป Google ได้เห็นการพัฒนา อันเป็นผลมาจากตัวชี้วัดเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความพึงพอใจและประสิทธิภาพด้านการทำงานของพนักงานที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการเติบโตในหน้าที่การงาน

หลังจากที่ได้ทำการศึกษามาหลายปี Google ก็ได้นำพฤติกรรมข้างต้นมาพัฒนาเป็นชุดคำถามเพื่อใช้ในการเพื่อมองหาผู้นำที่ดีที่สุดของบริษัท แล้วส่งให้คนในแต่ละทีมทำ

คำถามที่ Google ใช้ในการประเมินการเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม ได้แก่

1. ผู้จัดการของฉันให้ฟีดแบคที่สามารถทำตามได้จริง ที่ช่วยฉันในการพัฒนาการปฏิบัติงาน
2. ผู้จัดการของฉันไม่พยายามบริหารแบบจุลภาค (micromanage) (พยายามควบคุมในทุกรายละเอียดยิบย่อยในแต่ละวัน ทั้งๆ ที่หน้าที่นี้สามารถมอบให้คนอื่นจัดการแทนได้)
3. ผู้จัดการของฉันได้แสดงความตระหนักในตัวของฉันในฐานะบุคคลหนึ่ง
4. การกระทำของผู้จัดการของฉันต่อมุมมองของฉันที่ฉันนำเสนอต่อทีม ได้แสดงให้เห็นว่าเขา / เธอเห็นคุณค่าของสิ่งที่ฉันเสนอไป แม้ว่ามันจะแตกต่างจากมุมมองของเขาก็ตาม
4. ผู้จัดการของฉันทำให้ทีมโฟกัสทำให้ทีมมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ / การส่งมอบงานตามลำดับความสำคัญ
5. ผู้จัดการของฉันแบ่งปันข้อมูลที่ได้รับจากผู้จัดการและผู้นำของเขาอย่างสม่ำเสมอ
6. ผู้จัดการของฉันได้พูดคุยถามไถ่เรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาอาชีพในหกเดือนที่ผ่านมา
7. ผู้จัดการของฉันมีการสื่อสารเป้าหมายที่ชัดเจน
8. ผู้จัดการของฉันมีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคเพียงพอที่จะทำการบริหารฉันได้อย่างมีประสิทธิภาพ* (เช่น ทักษะการโค้ด, ทักษะการขาย, ทักษะด้านการทำบัญชี)
9. ฉันจะแนะนำผู้จัดการของฉันให้พนักงาน Google คนอื่นๆ
10. ฉันพอใจกับประสิทธิภาพโดยรวมของผู้จัดการในฐานะผู้จัดการ
11. สิ่งที่คุณอยากแนะนำให้ผู้จัดการของคุณทำต่อไป
12. สิ่งที่คุณอยากให้ผู้จัดการของคุณเปลี่ยน

*โปรดสังเกตว่ามีเพียงข้อ 9 เท่านั้นที่เป็นคำถามเกี่ยวกับ Hard skills
แน่นอนว่าทักษะความรู้และความเชี่ยวชาญนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่าคือการสื่อสาร การมอบหมายงาน การสร้างความรู้สึกให้พนักงานรู้สึกมีอิสระและมีเป้าหมายในการทำงานนั้นสำคัญกว่า

จะเห็นได้ว่าคำถามส่วนใหญ่นั้นไม่ได้วัดด้านความรู้ ทักษะ หรือประสบการณ์ที่เป็น Hard skills เท่าไร แต่จะเน้นการประเมินผู้จัดการในทักษะด้าน Soft skills ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ทักษะการสื่อสาร การให้ฟีดแบค การโค้ช การทำงานเป็นทีม การให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ไปจนถึงการแสดงความเห็นอกเห็นใจ

อย่างคำถามที่ 2 ที่ว่า 'ผู้จัดการของฉันเป็นคนที่ไม่พยายามควบคุมในทุกรายละเอียดยิบย่อยหรือเปล่า?' แน่นอนว่าทุกงานมีแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด ดังนั้นผู้นำส่วนใหญ่จึงนำไปบังคับใช้ในกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ

แต่สำหรับพนักงานแล้ว การที่พวกเขารู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมและความพึงพอใจกับงานมากที่สุด ก็เมื่อพวกเข้าได้รู้สึกมีอำนาจและมีความเป็นอิสระกับงานชิ้นนั้นๆ พวกเขาจะแสดงความสนใจเป็นพิเศษเมื่อมันเป็น 'งานของฉัน' จะทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีความรับผิดชอบและมีอำนาจ ไม่เพียงแต่การทำตามสิ่งที่เจ้านายบอก แต่ทำในแนวทางที่คิดว่าที่ดีสุดสำหรับเขา

ผู้นำที่ดีจะกำหนดมาตรฐานและแนวปฏิบัติ และให้พนักงานมีอิสระในการทำงานตามแนวทางที่จะพวกเขาสามารถทำได้ดีที่สุดภายในแนวทางที่ให้ไว้

ผู้นำที่ดีจะเปิดโอกาสการทำงานให้พนักงานรู้สึกว่างานที่พวกเขา 'ต้องทำ' เป็น 'อยากทำ' เพราะนั่นจะเป็นการเปลี่ยนงานนั้นให้มีความหมาย และมีความเชี่อมโยงกับทักษะความสามารถ และประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคนในทีม

แน่นอนว่าการระบุพฤติกรรมผู้จัดการที่มีประสิทธิภาพ และเคล็ดลับในการพัฒนา มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเขียนขึ้นมา แต่การลงมือทำจริงๆ นั้นยาก แต่ผู้จัดการที่มีคุณสมบัติเหล่านี้นี่แหละ ที่จะช่วยให้คนในทีมและบริษัทของคุณไปสู่ความสำเร็จ

อ่านบทความนี้ได้ที่นี่ https://techsauce.co/tech-and-biz/how-google-knows-in-less-than-5-minutes-if-someone-is-a-great-leader

I'm remembering this.
20/02/2021

I'm remembering this.

ทฤษฎี Value Hacker ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจกระบวนการในการสร้างสิ่งที่มีคุณค่าเพื่อประสบความสำเร็จหรือรวยเร็วในแบ....

อีกหนึ่งในทางในการ grow the business
07/01/2021

อีกหนึ่งในทางในการ grow the business

Ben Francis จากเด็กส่งพิซซา สู่เจ้าของแบรนด์กีฬา หมื่นล้าน / โดย ลงทุนแมน
“ผมตื่นเช้าไปเรียน ช่วงเย็นเป็นพนักงานส่งพิซซาถึง 4 ทุ่ม
หลังจากนั้น ผมก็จะกลับบ้านมาหาไอเดียในการสร้างธุรกิจ”
ประโยคดังกล่าวเป็นการเล่าถึงชีวิตประจำวันของ Ben Francis
หนุ่มชาวอังกฤษวัย 19 ปี ที่ริเริ่มก่อตั้งธุรกิจเมื่อ 8 ปีที่แล้ว

มาวันนี้ ไอเดียทางธุรกิจของเขาได้กลายมาเป็น บริษัท Gymshark
ที่ล่าสุด ถูกประเมินมูลค่าไว้ที่ประมาณ 39,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นสตาร์ตอัประดับยูนิคอร์น

Gymshark ทำธุรกิจอะไร
แล้วประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Gymshark ถูกก่อตั้งขึ้นโดย Ben Francis ในปี 2012
ตอนนั้น เขามีอายุเพียง 19 ปี และกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย

Francis มีอาชีพเสริมหลังเลิกเรียน เป็นเด็กส่งพิซซากะกลางคืน
รับส่งพิซซาตั้งแต่ 5 โมงเย็น จนถึง 4 ทุ่ม

หลังจากส่งพิซซาเสร็จ เขาก็ได้กลับบ้านมาเริ่มหาไอเดีย
ในการสร้างธุรกิจส่วนตัวเป็นประจำทุกวัน

จนในที่สุด Francis ก็ได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทขึ้น
โดยธุรกิจแรกที่ทำก็คือ การขายอาหารเสริมบนเว็บไซต์

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอาหารเสริมของเขาก็เรียกได้ว่าไม่ประสบความสำเร็จ

โดย Francis พบว่าการที่เรานำแบรนด์อาหารเสริมของคนอื่นมาขาย
แม้จะพอขายได้ แต่กำไรต่อหน่วยของธุรกิจนี้ค่อนข้างต่ำ
รวมถึงพื้นที่ในการเติบโตมีจำกัด

ทำให้เขา ได้มองหาธุรกิจใหม่ และเขาก็พบว่า
เสื้อผ้าสำหรับนักออกกำลังกายในยิมน่าจะเติบโตได้ดี

สำหรับที่มาของไอเดียนี้เกิดขึ้นจากการที่ Francis เป็นคนที่ชอบเข้าไปใช้บริการในยิมเป็นประจำ และเขาก็พบว่าเสื้อผ้าที่เอาไว้ใส่ในยิม ไม่มีแบรนด์ไหนเลยที่มีดีไซน์ และคุณภาพถูกใจ

ประกอบกับการที่ Francis พอมีพื้นฐานการตัดเย็บอยู่บ้าง
เขาจึงได้ลองดีไซน์ และตัดเย็บเสื้อผ้าสำหรับเล่นในยิมขึ้นมาเพื่อทดลองใส่เองก่อน

ต่อมา เมื่อ Francis เห็นว่าดีไซน์ และการเลือกใช้วัสดุเริ่มนิ่งแล้ว
เขาก็ได้เริ่มนำเสื้อผ้าภายใต้แบรนด์ของเขาชื่อว่า Gymshark วางขายบนเว็บไซต์

และก็ดูเหมือนว่าแบรนด์ของเขา จะได้รับกระแสตอบรับค่อนข้างดี
เพราะตั้งแต่ในช่วงเปิดตัว Gymshark สามารถสร้างรายได้เฉลี่ย 20,000 บาท ต่อวัน

แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลย กับการที่ Francis ตัดสินใจใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมด
ไปเช่าพื้นที่ภายในงาน BodyPower Expo ซึ่งเป็นงานสำหรับคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย เพื่อนำแบรนด์ Gymshark ของเขาไปวางขาย

ซึ่งนั่นก็นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะที่งาน BodyPower Expo
ร้านของเขาสามารถโกยรายได้ไปมากถึง 10 ล้านบาท จากการขายสินค้าหมดเกลี้ยง ภายในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง..

เมื่อ Francis เห็นว่าแบรนด์ของเขาเป็นที่ต้องการ และมียอดขายถล่มทลายขนาดนี้
เขาจึงได้ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย
และมาทุ่มเทให้กับ Gymshark อย่างเต็มตัว

แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น..

เพราะตลาดที่ Gymshark กระโดดเข้ามาเล่น คืออุตสาหกรรมเสื้อผ้า และรองเท้ากีฬา ที่แม้จะมีมูลค่ามากถึง 5.3 ล้านล้านบาท แต่ก็เต็มไปด้วยเจ้าตลาดรายใหญ่มากมาย

อย่าง Nike และ Adidas พร้อมที่จะทุ่มงบลงทุนวิจัย พัฒนาสินค้าเข้ามาแข่งขัน รวมถึงทุ่มงบการตลาดเพื่อเป็นสปอนเซอร์ให้กับนักกีฬาชื่อดัง และสร้างฐานลูกค้า จากฐานแฟนคลับซูเปอร์สตาร์ในวงการกีฬา

เช่น
ถ้าอยากยิงฟรีคิกได้แบบ David Beckham ก็ต้องเลือก Adidas Predator
ถ้าอยากกระโดดชู้ตบาสได้แบบ LeBron James ก็ต้องเลือก Nike..

แล้วแบรนด์ Gymshark ที่แม้มีชื่อฉลามตัวโต แต่ยังมีฐานคนรู้จักขนาดเท่าปลาตัวเล็ก
จะมีกลยุทธ์ในการเติบโตในตลาดที่เต็มไปด้วยคู่แข่งที่แข่งแกร่งนี้ อย่างไร?

Francis มองว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสนใจในแบรนด์กีฬาสมัยใหม่
แม้ว่าจะยังมีไอดอลเป็นนักกีฬาชื่อดังอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่เข้ามาอยู่ในความสนใจหลายคน
ก็คือ “กลุ่มอินฟลูเอนเซอร์” บนแพลตฟอร์มโซเชียลอย่าง YouTube, Instagram รวมถึง TikTok

โดยกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ที่ว่านี้ ก็จะกระจัดกระจาย แตกแขนงตามความสนใจของแต่ละคน
มีทั้งเรื่องเกม เรื่องสารคดี เรื่องธุรกิจ และแน่นอนว่าเรื่องการออกกำลังกายก็เป็นหนึ่งในนั้น

Francis มองว่าแบรนด์เกิดใหม่จะโตได้ในยุคนี้ ก็ต้องมีกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์เป็นตัวชูโรง
ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เข้าถึงฐานลูกค้าที่ชัด และมีศักยภาพในการทำการตลาดสูง

เช่น เราเป็นคนหนึ่งที่ดูยูทูบการออกกำลังกายทุกวัน
เราก็น่าจะมีโอกาสเห็นแบรนด์ในวิดีโอ หรือโพสต์ที่เราดูเป็นประจำ นั่นเอง

สำหรับตัวอย่างที่ชัดมากในเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
เมื่อยูทูบเบอร์ชื่อดังอย่าง Ninja นำเกมอินดี้อย่าง Among Us มาสตรีม
จนทุกวันนี้ Among Us ได้กลายมาเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกและมีผู้เล่น 500 ล้านคน ต่อเดือน
ซึ่งมากกว่าประชากรทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน..

ซึ่ง Gymshark ก็ได้นำไอเดียเหล่านี้ มาประยุกต์ใช้
โดยบริษัทเลือกที่จะเข้าไปเป็นสปอนเซอร์ให้กับเจ้าของบัญชี Instagram และ YouTube
ที่เป็นนักออกกำลังกายชื่อดัง และมีฐานผู้ติดตามมากในระดับหนึ่ง
เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้นำเสนอแบรนด์ของพวกเขา

โดยในปีนี้ Gymshark ได้เป็นสปอนเซอร์ให้กับอินฟลูเอนเซอร์ 125 คน
ในขณะเดียวกัน บัญชี Instagram ของบริษัทก็มีผู้ติดตามมากถึง 5 ล้านคน

กลยุทธ์ดังกล่าว เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Gymshark โตระเบิด

โดยในปี 2019 บริษัทมีรายได้ 7,136 ล้านบาท กำไร 758 ล้านบาท
โดยรายได้เติบโตเป็น 20 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2015

ซึ่งเรื่องราวของ Gymshark ก็ได้ดึงดูดกลุ่มนักลงทุนให้เข้าไปลงทุนกับบริษัท
ซึ่งล่าสุด General Atlantic ก็ได้เข้าไปลงทุนใน Gymshark เป็นมูลค่า 273 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือราว 8,176 ล้านบาท เพื่อแลกกับหุ้นของบริษัท 21%

นั่นเท่ากับว่าตอนนี้ มูลค่าการประเมินของ Gymshark จะอยู่ที่ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือ 39,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นมูลค่าในระดับสตาร์ตอัปยูนิคอร์น..

ถึงตรงนี้ เราก็น่าจะสรุปได้ว่าเรื่องราวของ Gymshark ก็เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจ

น่าสนใจแรกก็คือ Francis เริ่มต้นหาไอเดียทางธุรกิจตั้งแต่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย
และพอพบเข้ากับธุรกิจที่ตัวเองอยากทำ เขาก็ได้ตัดสินใจทำอย่างทุ่มเท
ถึงขนาดตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย

ตรงนี้จะเห็นได้ว่าไม่ว่าเราจะอายุเท่าไร มีต้นทุนทางการศึกษาขนาดไหน
เราก็สามารถสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ

อีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ แม้กลุ่มธุรกิจที่เราก่อตั้งขึ้นมา
จะมีเจ้าตลาดอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีทางเติบโต

ซึ่งตรงนี้ Gymshark ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า
เขาสามารถก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาที่เติบโตเป็น 20 เท่าใน 4 ปี
และตอนนี้ก็มีมูลค่าบริษัทระดับ 39,000 ล้านบาท ไปแล้วนั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.thetimes.co.uk/article/gymshark-founder-ben-francis-story-2jm7d2trk
-https://www.forbes.com/sites/jodiecook/2020/08/17/how-gymshark-became-a-13bn-brand-and-what-we-can-learn/?sh=1873273b76ed
-https://beeketing.com/blog/gymshark-growth-story/
-https://medium.com//gymshark-owner-ben-francis-tells-his-story-bd2017bd5105
-https://www.forbes.com/sites/alexandrasternlicht/2020/12/02/how-ben-francis-used-tiktok-and-instagram-to-build-gymshark-into-a-billion-dollar-sportswear-brand/?sh=3898c2c32358
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-08-14/general-atlantic-invests-in-1-3-billion-fitness-brand-gymshark
-https://medium.com/the-crunch/is-gymshark-worth-1-4-billion-6476ddabfae

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Medizervaผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์