Green News Thailand

Green News Thailand สื่อนอกกระแส ของคนข่าวนอกระบบ

ชายแดนใต้ ต้าน กาสิโน-พนันออนไลน์ สะเทือนรัฐบาลและนักการเมืองทุกพรรค“เวทีรวมพลังเครือข่ายภาคประชาชนชายแดนใต้ : เรื่อง พ....
15/03/2025

ชายแดนใต้ ต้าน กาสิโน-พนันออนไลน์ สะเทือนรัฐบาลและนักการเมืองทุกพรรค

“เวทีรวมพลังเครือข่ายภาคประชาชนชายแดนใต้ : เรื่อง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex)”

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม 2568 เวลา 09.00-15.00 น. ณ ห้องประชุมศรีวังสา คณะรัฐศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี...(รายละเอียดช่องความเห็นด้านล่าง)

#คัดค้านคาสิโน- #พนันออนไลน์
#บอยคอตพรรคการเมืองที่สนับสนุนบ่อนคาสิโน
@แฟนตัวยง@แฟนตัวยง

10/03/2025

ปราจีน บ่อขยะยังควบคุมเพลิงไม่ได้

11 มีนาคม นัดยื่นหนังสือนายกฯค้านSEC "ประเทศเราไม่ควรมีกฎหมายพิเศษเพื่อคนพิเศษ SEC“
10/03/2025

11 มีนาคม นัดยื่นหนังสือนายกฯค้านSEC "ประเทศเราไม่ควรมีกฎหมายพิเศษเพื่อคนพิเศษ SEC“

10/03/2025

ARDA โชว์ความเป็นเจ้าแห่งบัลลังก์ราชาหนาม สร้างเครื่อง CT-Scan ทุเรียนสุดล้ำ ประมวลผลด้วยระบบ AI คัดทุเรียน “ไม่อ่อน-ไม่หนอน” 1 ลูกใช้เวลาสแกน 3 วินาที
ประเทศไทยถูกขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งทุเรียน” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งออกทุเรียนไปยังตลาดโลกปีละไม่ต่ำกว่า 800,000 ตันต่อปี อยู่ในภาคตะวันออกของไทย 300,000 ตัน ภาคใต้ประมาณ 500,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาท
โดยตลาดส่งออกหลักของไทยยังคงเป็นประเทศจีนที่มีการนำเข้าปีละไม่ต่ำกว่า 700,000 ตัน และถึงแม้ทุเรียนเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญของไทย แต่การคัดแยกระดับความอ่อน-แก่และการตรวจสอบปัญหาหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนยังคงเป็นความท้าทายสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ซึ่งหากไทยไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ นั่นไม่เพียงแต่จะเสียแชมป์ส่งออกทุเรียนเบอร์ 1 ของโลก แต่ยังเป็นการสูญรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาล
ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า ทุเรียนเป็นผลไม้ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะตลาดจีนที่มีความต้องการสูง แต่ปัญหาใหญ่ที่พบบ่อยและกระทบต่อการตลาดส่งออกทุเรียน คือ ปัญหาหนอนในผลทุเรียนและการเก็บทุเรียนอ่อนมาจำหน่าย อีกทั้งยังพบการลักลอบส่งออกทุเรียนอ่อนไปตลาดต่างประเทศ ซึ่งล้วนแต่เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ และทำลายความเชื่อมั่นในคุณภาพทุเรียนไทยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ดังนั้นหากประเทศไทยมีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยคัดกรองทุเรียนที่แม่นยำก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและแก้ปัญหาดังกล่าวได้ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ ARDA จึงได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อดำเนินโครงการ “การออกแบบเครื่องคัดแยกความอ่อน-แก่ และหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนด้วยเทคนิค CT-Scan ร่วมกับการประมวลผลผ่านโครงข่ายประสาทเทียมเชิงลึก” เพื่อออกแบบ และพัฒนาเครื่องมือตรวจสอบความอ่อน - แก่ และหนอนในผลทุเรียนด้วยเทคนิค CT-Scan ระดับโรงคัดบรรจุ ที่มีความแม่นยำไม่น้อยกว่าร้อยละ 95
“ปัจจุบันการประเมินทุเรียนอ่อนแก่จะใช้วิธีฟังเสียงเคาะ ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเกษตรกร แต่ก็ไม่สามารถยืนยันผลได้ 100% ขณะที่หนอนมีวงจรชีวิตอยู่ข้างในและเติบโตพร้อมผลทุเรียนจึงไม่รู้ว่าทุเรียนแต่ละลูกมีหนอนหรือไม่ เพราะยังไม่มีวิธีตรวจสอบ
แต่การใช้เทคนิค CT-Scan ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีความละเอียดสูง ร่วมกับการประมวลผลผ่านโครงข่ายประสาทเทียมเชิงลึกด้วย AI ที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ จะทำให้สามารถวิเคราะห์ความอ่อนแก่ของทุเรียนได้อย่างแม่นยำและมองเห็นหนอนที่อยู่ภายในผลทุเรียนได้ นับเป็นนวัตกรรมที่จะช่วยคัดกรองและรักษาคุณภาพมาตรฐานทุเรียนไทยที่มีประสิทธิภาพสูงก่อนส่งออกไปสู่ตลาดโลก
ซึ่งหากเราไม่หาวิธีตรวจสอบคุณภาพทุเรียน ไทยอาจเสียแชมป์การส่งออกทุเรียนให้กับประเทศผู้ค้ารายอื่น ที่พยายามแบ่งตลาดส่งออกทุเรียนไปจากประเทศไทย โดยเฉพาะเวียดนามที่ปี 2567 การส่งออกทุเรียนเติบโตขึ้นถึง 7.8 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2565 และบางช่วงเวลามีมูลค่าการส่งออกมากกว่าไทย หรือประเทศมาเลเซียที่กำลังวิจัยพัฒนาพันธุ์ทุเรียนที่คาดว่าจะเป็น Killer of Mon-Thong หรือผลิตมาเพื่อฆ่าหมอนทองของไทย ซึ่งจะทำให้เราสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันและเสียรายได้ไปอย่างน่าเสียดาย” ผู้อำนวยการ ARDA กล่าว
ด้าน รศ.ดร.ชาญชัย ทองโสภา สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สำนักวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า เครื่องตรวจ CT-Scan ทุเรียนเกิดขึ้น จากสมมติฐานทางการแพทย์ที่ใช้เครื่องดังกล่าวสแกนร่างกายมนุษย์ที่มีความซับซ้อน จึงคาดว่าน่าจะใช้กับทุเรียนได้เช่นกัน ทางคณะผู้วิจัยฯ จึงได้นำเครื่อง CT-Scan ตกรุ่นปลดระวางจากบริษัทเอกชนที่ให้บริการ
ด้านเครื่องมือแพทย์ มาพัฒนาเป็นเครื่องต้นแบบ และนำผลทุเรียนเข้าไปทดลอง พบว่าสามารถมองเห็นความอ่อน - แก่ และหนอนในทุเรียนได้อย่างชัดเจน โดยเครื่องจะสแกนภาพออกมาหลายเฟรม ในแต่ละเฟรม
จะแสดงค่า CT-Numbers ที่บ่งบอกถึงความหนาแน่นของวัตถุ โดยการเปรียบเทียบกับความหนาแน่นของน้ำส่วนไหนที่มีความหนาแน่นมากกว่าน้ำภาพจะเป็นสีขาว
ส่วนที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ เช่น อากาศ จะมีภาพเป็นสีดำ ซึ่งทุเรียนอ่อนจะมีน้ำเยอะกว่าทุเรียนแก่ โดยปัญหาการทดลองช่วงแรกพบว่า เมื่อเครื่องสแกนทุเรียนแล้ว ตัวสายพานรางเลื่อนผลทุเรียนจะย้อนกลับออกมาทางเดิม ซึ่งทางคณะผู้วิจัยได้มีการปรับแก้ไขให้รางเลื่อนผ่านไปทางเดียว ไม่ต้องย้อนกลับมาทางเดิมอีก เนื่องจากหากต้องนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ที่มีผลผลิตจำนวนมากเครื่องต้องสามารถทำงานได้รวดเร็วและไม่ยุ่งยากซับซ้อน
“ปัจจุบันเครื่องต้นแบบ CT-Scan สามารถสแกนผลทุเรียนออกมาเป็นภาพที่มีความละเอียดสูง ด้วยระยะห่าง 1 ซม./เฟรม หมายความว่าหากผลทุเรียนยาว 30 ซม. เมื่อผ่านเครื่องสแกนจะได้ภาพออกมา 30 เฟรม ในแต่ละเฟรมห่างกัน 1 ซม. ครอบคลุมพื้นที่ตลอดผล จากนั้นจะนำค่า CT-Numbers ที่ได้ในแต่ละเฟรมมาประมวลผลด้วย AI ซึ่งถูกเขียนและพัฒนาขึ้นใหม่โดยเฉพาะ ให้สามารถจำแนกลักษณะความสุกและตรวจหาหนอนภายในลูกทุเรียนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการคำนวณระยะเวลาขนส่งในการส่งออกให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการ อีกทั้งการตรวจสอบยังใช้เวลาเพียง 3 วินาทีต่อลูก หรือ 1,200 ลูก/ชั่วโมง
ไม่ว่าจะวางผลทุเรียนเข้าสู่เครื่องสแกนลักษณะใด ระบบดังกล่าวก็สามารถสแกนได้ ซึ่งเป็นการช่วยลดเวลาและลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการคัดแยกทุเรียนให้กับล้ง ด้านต้นทุนราคาถึงแม้เครื่อง CT-Scan ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการแพทย์จะมีราคาประมาณ 10 ล้านบาท แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะมีเครื่องตกรุ่นที่ถูกปลดระวางทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งานให้สามารถนำมาพัฒนาเป็นเครื่อง CT-Scan สำหรับใช้ตรวจสอบทุเรียน โดยคาดว่าจะมีราคาต่อเครื่องไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่าสำหรับโรงคัดแยกผลไม้หรือล้งจะนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยเครื่อง CT-Scan นี้ยังสามารถใช้กับผลไม้ชนิดอื่นได้แทบทุกชนิด ไม่เฉพาะกับแค่ทุเรียนเท่านั้น”

ผอ. ARDA กล่าวในตอนท้ายว่า นวัตกรรม CT-Scan ทุเรียนด้วย AI ภายใต้โครงการวิจัยนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการส่งออกทุเรียนของไทย ซึ่งจะเป็นการสร้างความได้เปรียบในตลาดโลก ความลดความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการถูกตีกลับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ อีกทั้งเป็นการสร้างการยอมรับและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประเทศผู้นำเข้าที่จะส่งผลต่อปริมาณการสั่งซื้อทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ ของไทยในระยะยาวต่อไป สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โทรศัพท์. 02 579 7435

ข้อมูลอ้างอิง...
https://www.ditp.go.th/post/193903

https://thevisual.thaipbs.or.th/culture/durian/

#งานวิจัย #ทุเรียน #เครื่องตรวจความอ่อนแก่ทุเรียน #สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร #เทคโนโลยีเกษตร #เสิร์ฟจากฟาร์ม

10/03/2025

"พื้นบ้าน-พาณิชย์ ผลประโยชน์และข้อเรียกร้องย่อมแตกต่างกัน"

- วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย-

ในการดำรงชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านทั่วโลกมีความแตกต่างอย่างเด่นชัดกับ ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์

ในการเคลื่อนไหวภาคประชาชนทุกประเทศที่ผมเจอและพอรู้จัก มีขบวนการของชาวประมงพื้นบ้าน ในชื่อเรียกและสถานะแตกต่างกัน

ในชาติที่ค่อนข้างมีการพัฒนาการทางการประมงมากหน่อย จะแยกพิจารณาและให้สิทธิบทบาท Small scale fisher กับ Fishing operator กันชัดเจน

ถ้าในชาติที่ กำลังพัฒนา และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มักพบเห็น ในทวีปเอเชีย, ทวีป อัฟฟริกา, อเมริกาใต้ ค่อนข้างเยอะสุด (รวมประเทศไทย) จะมี ทั้ง Artisanal fisher, Small scale fisher และ Fishing operators (ชาวประมงพื้นบ้าน, การประมงขนาดเล็ก และ การประมงพาณิชย์)

ในหลักการสากล มีความพยายามศึกษาค้นคว้า และชี้แนะแนวในการช่วยเหลือ แก้ปัญหา และให้การสนับสนุนคุ้มครองผู้คนในสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิถีประมงมากมาย

โดยหลักการที่ยอมรับกันทั่วไป คือ "หลักการสิทธิมนุษยชน" โดยพบว่า ผู้ที่มีความเปราะบางสุด คือ กลุ่มประมงพื้นบ้าน และประมงขนาดเล็ก ดังนั้น การพิจารณาในการให้การช่วยเหลือ แก้ปัญหา และคุ้มครอง เฉพาะกลุ่ม ด้วย มาตรการที่แตกต่างกัน เป็นหลักสิทธิมนุษยชนอย่างหนึ่ง

หลักการการประมงอย่างรับผิดชอบ (Code of conduct on Fisheries) เป็นหลักการสากลที่ขับเคลื่อนโดย "องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ" (FAO) หลักการนี้เรียกร้อง ให้ผู้เกี่ยวข้องกับการประมง(การจับปลา) ทั่วโลก ต้อง อยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบ

พูดบ้านๆง่ายๆ คือ "พวกมึง คิดอยากจะจับบัก ห...า กันตามใจ" ไม่ได้

และเมื่อปี 2557 (คศ.2014) "คณะกรรมการการประมงโลก" (Commitee Of Fisheries-COFI) ซึ่งเป็นกลไกระหว่างประเทศ ในFAO -UN ซึ่งรัฐบาลไทยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการด้วย ได้มีมติเห็นชอบ "แนวทางการสนับสนุนการประมงขนาดเล็กฯ " (VGSSF) ที่ทุกประเทศสมาชิกUN ควรนำไปปฏิบัติใช้

ในแนวทางนี้ บันทึกบริบท อธิบายที่มา บรรยายว่า การประมงพื้นบ้าน การประมงขนาดเล็ก ไว้อย่างชัดเจน และ เสนอแนวทางกลยุทธ ที่สามารถแปลงไปสู่การปฏิบัติ ไว้ครอบคลุมทุกมิติ การคุ้มครองตั้งแต่วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย -สนับสนุนการเข้าถึงอย่างเป็นธรรม -การผลิตที่ยั่งยืน ไปจนถึง การส่งเสริมการตลาด

ผมจำได้ว่า เรียกร้องและบันทึกไว้ชัดเจนกระทั่งประเด็นว่า "แม้นในกรณีที่มีสงครามรบพุ่งในแผ่นดินใดก็ตาม ก็ไม่อาจล้มล้างสิทธิของชาวประมงพื้นบ้านที่จะจับปลาจากแหล่งน้ำมากินมาใช้ตามวิถีชีวิต"

ในหลักการนั้น กล่าวไว้ชัดเจน ว่า ชาวประมงพื้นบ้าน ชาวประมงขนาดเล็ก จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาช่วยเหลือ สนับสนุน และมีมาตรการที่แยกไว้เป็นการเฉพาะ ที่แตกต่าง

หลักการสิทธิมนุษยชน และหลักการว่าด้วยการทำงานสนับสนุนชาวประมงพื้นบ้านที่ยอมรับกันทั่วโลก เรียกร้องให้ นักการเมือง รัฐ ต้องพิจารณามอง และให้การสนับสนุน "ชาวประมงแต่ละกลุ่ม" แตกต่างกันตามเงื่อนไขและปัจจัย

จะอย่างไรก็แล้วแต่ รัฐ และนักการเมือง จะต้องให้การคุ้มครอง "ชาวประมงพื้นบ้าน" "ชาวประมงท้องถิ่น" และประมงขนาดเล็ก

การส่งเสริมให้มีสหภาพ มีการรวมกลุ่ม ตั้งองค์กรชาวประมงพื้นบ้านเป็นเอกเทศ เป็นหลักประกันพื้นฐาน ที่จะทำให้ได้ยินเสียงของพวกเขา เสียงเขาดังขึ้น ไม่ใช่ถูกกลบอื้ออึงไปด้วยข้อเรียกร้องของเหล่าผู้ประกอบการ

เปรียบเทียบตามภาษาผม ก็คือ "อย่าใจอำมหิตด้วยการเลี้ยงงูเหลือมไว้กรงเดียวกับลูกไก่"

ผมจึงไม่เห็นด้วยกับใครก็ตาม โดยเฉพาะ ผู้มีอำนาจ รัฐ เถ้าแก่เรือ และนักการเมือง ที่ชอบเล่นคำสวยหรู "ชาวประมงทุกคนคือพวกเดียวกัน พาณิชย์-พื้นบ้าน ไม่แยกกัน" เพราะ ความคิดแบบนี้ คือ รากฐานของความคิดกดขี่ แล้วขูดรีด

แต่มันก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง เช่น ในกรณีที่มีปัญหาร่วมกัน ประมงพื้นบ้าน-พาณิชย์ ก็สามารถมีจุดร่วมเดียวกันได้ เช่น ทะเลตะวันออก มีมลพิษอุตสาหกรรมเยอะ , กลุ่มที่จับปลา ทั้งประมงพื้นบ้านและพาณิชย์ ก็อาจเป็นแนวร่วมกัน ในการต่อสู้เรียกร้องร่วมกัน ได้ในเรื่อง นั้นๆ

แต่ ทำอย่างไร ไม่ให้ เกิดการ "หงำกัน" หรือ "มีอิทธิพลเหนือ" จน คนตัวเล็กโงหัวไม่ขึ้น /

อย่าให้ กลายเป็นว่า ประมงพื้นบ้าน ไม่กล้า มีความเห็นต่าง ในเรื่องกติกาการประมง เพราะ กลัวว่า "ประมงพาณิชย์" ซึ่งมีบารมีอิทธิพลทางสังคมมากกว่า จะไม่ช่วยเรื่องมลพิษ

การเลี้ยงงูเหลือมในกรงเดียวกับลูกไก่ แล้วเรียกร้องให้ทั้งสองรักกัน, ฉันใด

ให้ ชาวประมงพื้นบ้านอยู่รวมกลุ่มเดียวกันกับผู้ประกอบการประมง มีข้อเรียกร้องเดียวกัน
ก็ฉันนั้น ...

#สื่อเถื่อน #ประมงพื้นบ้าน #สมาคมรักษ์ทะเลไทย #สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย #เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย

10/03/2025

#นักวิจัยค้นพบ 'เมืองโบราณอีกเมือง' ตั้งซ้อนทับ 'เมืองเก่านครราชสีมา'
สืบเนื่องจาก โครงการวิจัย “การสังเคราะห์ภูมิสารสนเทศและสถิติของ คูเมืองโบราณ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย” ศ.ดร. สันติ ภัยหลบลี้ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบร่องรอยการเคยมีอยู่ของแนวคันดินโบราณในพื้นที่ เมืองเก่านครราชสีมา อ. เมือง จ. นครราชสีมา ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของชุมชนโบราณ ก่อนที่จะมีการสร้างแนว คูเมืองเก่านครราชสีมา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2199 – พ.ศ. 2231)
การค้นพบนี้เกิดจากการสำรวจและแปลความหมายภาพถ่ายทางอากาศ ที่ถ่ายไว้ในปี พ.ศ. 2497 โดยกรมแผนที่ทหาร ซึ่ง ศ.ดร. สันติ พบว่าในทางภูมิศาสตร์ พื้นที่โดยรอบเมืองเก่านครราชสีมา เป็นที่ราบน้ำท่วมถึงของ คลองตะคองเก่า ที่ไหลมาจากลำตะคองทางทิศตะวันตก ผ่านทางตอนเหนือของแนวคูเมือง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนปัจจุบันอย่างหนาแน่น
แต่เมื่อพิจารณาภาพถ่ายทางอากาศ ที่ถ่ายไว้ในปี พ.ศ. 2497 ศ.ดร. สันติ พบแนวคล้ายคันดินที่ทอดยาวเป็นเส้นตรงอย่างต่อเนื่อง ทางตอนเหนือ ตะวันตกและทางตะวันออกของคลองตะคองเก่า จึงแปลความว่า อาจจะเป็นขอบเขตของอีกชุมชนโบราณ ทางตอนเหนือของพื้นที่เมืองเก่านครราชสีมา ซึ่งมีคูเมืองล้อมรอบเป็นสี่เหลี่ยมอย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่าสภาพปัจจุบัน พื้นที่โดยรอบเมืองเก่านครราชสีมา จะถูกเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากกิจกรรมการอยู่อาศัยของชุมชนเมืองในปัจจุบัน แต่จากการแปลความ แนวที่คาดว่าเป็นแนวคันดินโบราณ พิจารณาร่วมกับพฤติกรรมการไหลของคลองตะคองเก่า พบว่าไม่เป็นไปตามธรรมชาติของกระบวนการทางน้ำปกติทั่วไป ซึ่งมีตัวบ่งชี้ความผิดปกติทางภูมิศาสตร์อยู่ 2 ประเด็น คือ
1. ในฤดูน้ำหลาก เมื่อมวลน้ำจากลำตะคองเก่าไหลหลากจากทิศตะวันตก เข้ามาปะทะแนวคันดินทางทิศตะวันตก (ปัจจุบันคือ แนวถนนซอยประปา) มวลน้ำจะถูกกั้นด้วยคันดิน ทำให้น้ำเอ่อนองอยู่บริเวณนอกคันดิน ซึ่งในเวลาต่อมา ผลจากการที่มวลน้ำทั้งหมดต้องทยอยไหลเข้าช่องแคบ ๆ ตามร่องน้ำที่แนวคันดินเปิดระบายไว้ พื้นที่ร่องน้ำนอกคันดินจึงถูกกัดกร่อนสูง ตะกอนถูกพัดพาไปตามร่องน้ำมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ จนกลายเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ และพัฒนาเป็นบึงหรือหนองน้ำในเวลาต่อมา อยู่หน้าแนวคันดิน (ปัจจุบันคือ อ่างอัษฎางค์)
2. มวลน้ำจำนวนมากที่ขังอยู่นอกคันดิน จะถูกคันดินบังคับให้ไหลผ่านเข้ามาหลังแนวคันดิน ด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ลำตะคองเก่าเมื่อเข้ามาภายในพื้นที่หลังแนวคันดิน (พื้นที่ชุมชนโบราณ) จะถูกกัดก่อนในแนวราบอย่างรุนแรงเช่นกัน ทำให้ธารน้ำมีความคดโค้งมากกว่าปกติ (กวัดแกว่งมากกว่าธารน้ำทั่วไป) ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากมวลน้ำจำนวนมากที่ควรไหลหลากทั่วทั้งพื้นที่เท่า ๆ กัน ถูกรวมไว้นอกคันดินและถูกบีบถูกรีด ให้ฉีดเข้ามาตามร่องลำตะคองเก่าเพียงอย่างเดียว
ขอบเขตพื้นที่จากการรังวัดแนวคันดิน พบว่าแนวคันดินดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่รูปสี่เหลี่ยม ประกอบด้วยคันดินที่เห็นได้ชัดเจนด้านทิศเหนือยาว 2 กิโลเมตร ส่วนคันดินทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออก ในเบื้องต้นไม่สามารถประเมินความยาวได้ เนื่องจากแนวคันดินเดิม ต่อเนื่องล้อไปกับแนวคูเมืองนครราชสีมา

ซึ่งจากสมมุติฐานตั้งต้นที่ว่า ขอบเขตทางทิศใต้คือถนนจอมพล จะประเมินได้ว่า ชุมชนโบราณนี้มีรูปร่างใกล้เคียงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ช่วยสนับสนุนในอีกแง่มุมว่า แนวคันดินนี้ไม่ใช่ บาราย (Baray) หรือแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ในวัฒนธรรมเขมรโบราณ ที่นิยมสร้างเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ในอัตตราส่วน กว้าง : ยาว มักมีสัดส่วน 1 : 2 แทบทั้งสิ้น
นอกจากนี้ จากการตรวจวัดขนาดพื้นที่ กว้าง 2 กิโลเมตร x ยาว 1.7 กิโลเมตร คำนวณได้ว่าชุมชนนี้ มีพื้นที่ 3.4 ตารางกิโลเมตร หรือ เทียบเท่ากับ 2,125 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ใหญ่กว่าเมืองเก่านครราชสีมาถึง 2 เท่า และใหญ่กว่าชุมชนโบราณอื่น ๆ ที่กล่าวมาในข้างต้น
จากการค้นพบดังกล่าว ศ.ดร. สันติ ภัยหลบลี้ ให้ความเห็นว่า เป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้นจากข้อมูล โทรสัมผัส (remote sensing) ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดีเพิ่มเติมในรายละเอียด เพื่อพิสูจน์ทราบความถูกต้องจากการแปลความนี้ อย่างไรก็ตาม หวังว่าผลการแปลความนี้จะช่วยเป็นแนวทางตั้งต้นในการศึกษาวิจัยทางโบราณคดีในพื้นที่ และเป็นข้อมูลจุดประกายให้พี่น้องชาว จ. นครราชสีมา มีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ความเป็นมา ที่ยิ่งใหญ่และยาวนานในท้องถิ่นของตน

-------------------------------------------
เครดิต : มติชน

10/03/2025
นั่นไง? 😂🎵🎶  #ชินาธิปไตย
10/03/2025

นั่นไง? 😂🎵🎶 #ชินาธิปไตย

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66811939175

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Green News Thailandผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Green News Thailand:

แชร์