The Lecture ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก The Lecture, บริษัทด้านสื่อ/ข่าวสาร, Bangkok.

เช่นเคยค่ะ นักข่าวสาว เก็บบรรยากาศและเรื่องราววันเปิดนิทรรศการ “สติ space” มาฝากค่ะเมื่อ 5 สค 66 มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธ...
07/08/2023

เช่นเคยค่ะ นักข่าวสาว เก็บบรรยากาศและเรื่องราววันเปิดนิทรรศการ “สติ space” มาฝากค่ะ
เมื่อ 5 สค 66 มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ร่วมกับ กองทุนพัฒนาสื่อสร้างสรรค์, SCG พร้อมด้วย PMAT และ SCB แถลงเปิดนิทรรศการ “สติ Space” ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร

นพ.บัญชา พงษ์พานิช ผอ.มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส เล่าถึงที่มา บทบาท การดำเนินงาน วัตถุประสงค์ โดยใจความว่า จากก้าวแรกที่ท่านอาจารย์พุทธทาสสร้างสวนโมกข์ สร้างโรงหนัง (โรงมหรสพทางจิตวิญญาณ, Hollyland) ที่ไชยา กระทั่งมีหอจดหมายเหตุพุทธทาส (สวนโมกข์กรุงเทพ) ที่สวนรถไฟ ซึ่งเปิดให้คนเข้าไปใช้พื้นที่นั้น นพ.บัญชามองว่า การจัดพื้นที่เพื่อให้คนเดินทางไปยังพื้นที่อาจไม่เพียงพอสำหรับยุคนี้ ถึงเวลาที่จะต้องนำองค์ความรู้ออกมาเสิร์ฟให้ถึงที่ที่เขาอยู่ด้วย และมองว่ากลุ่มคนทำงานออฟฟิศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของสังคม “สติ space” จึงเลือกสื่อสารแก่กลุ่มนี้เป็นเบื้องต้น ฯลฯ

อนุวัฒน์ จงยินดี ที่ปรึกษา คณะกรรมการมูลนิธิเอสซีจี ตัวแทนมูลนิธิ SCG ผู้สนับสนุนห้อง New Gen Space สำหรับจัดนิทรรศการในครั้งนี้ กล่าวถึงการสนับสนุนโครงการว่า มูลนิธิเอสซีจีและมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส มีความร่วมมือช่วยเหลือกันมาโดยตลอด นับตั้งแต่แรกก่อตั้ง. สำหรับพื้นที่แสดงนิทรรศการนี้ มูลนิธิเอสซีจีเช่าไว้เพื่อให้ ศิลปิน บุคคล ฯลฯ ใช้แสดงงานอยู่แล้ว. “สติ space” เป็นนิทรรศการที่สอดคล้องกับแนวทางของห้อง New Gen Space, การสร้างสติใช้ได้กับทุกเรื่อง มีสติ พอเพียง คิด พูด ทำ ถูกต้อง ฯลฯ มูลนิธิเอสซีจีเห็นประโยชน์ ความสำคัญ และสนับสนุน หวังว่าคนออฟฟิศและผู้สนใจจะเข้ามาใช้และได้รับประโยชน์ ฯลฯ


ปราโมทย์ บุญนำสุข ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบาย และยุทธศาสตร์ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า ในแต่ละปีกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จะให้ทุนแก่องค์กรพัฒนาสื่อ เพื่อประชาชนจะได้รับข่าวสารที่ถูกต้องและอยู่ในระบบนิเวศสื่อที่ดี ซึ่งหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ เป็นองค์กรหนึ่งที่ได้รับทุนประเภท Collaborative Grant โดยปีแรก ทำรายการ “ทำอะไรก็ธรรม” และปีนี้ครั้งที่สอง นิทรรศการ “สติ space” ซึ่งสามารถสร้างสรรค์ ปรุงแต่งให้เข้ากับรสนิยมคนรุ่นใหม่ ให้กล้ามาชิมลองโดยไม่เคอะเขิน ไม่ต่อต้าน ... ฯลฯ

ธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Country CEO บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศ) จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสามย่านมิตรทาวน์ กล่าวว่า เมื่อแรกที่ทีมเข้ามาพูดคุย มองในมุมธุรกิจก็ได้ตั้งคำถามไปหลายข้อ วันนี้ดีใจที่ได้เห็นนิทรรศการ. พร้อมตอบรับให้ใช้พื้นที่ เช่น สามย่านมิตรทาวน์ เป็นพื้นที่นำร่อง นึกถึงวัยรุ่นก็ต้องนึกถึงสามย่านมิตรทาวน์ ฯลฯ

วรวัจน์ สุวคนธ์ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานทรัพยากรบุคคล ผู้บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจธนาคารมีการแข่งขันสูงมาก ทำอย่างไรให้พนักงานมีความสุขขึ้นได้บ้าง จากเดิมเราเคยมีชมรมจริยธรรม มีจัดคอร์สภาวนา มีนิมนต์พระมา ฯลฯ สิบปีผ่านไปก็ยังเหมือนๆ เดิม. พอได้ฟังเรื่ององค์กรรมณีย์ก็สนใจ เรื่อง สติ mindfullness ก่อนอื่นหัวหน้าต้องมีสติก่อน จึงจะทำองค์กรให้มีสติได้, ฉันทะสำคัญมาก อีกอันคือวิริยะ และต้องมีสภาพแวดล้อมที่สามารถดึงให้กลับมามีสติ ... ความสำเร็จไม่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด

ฯลฯ

“สติ space” เป็น interactive exhibition ที่นำ “สติ” มาเป็นเครื่องมือดูแลกลุ่มคนวัยทำงาน จำลองบรรยากาศสำนักงาน ที่น้อมชวนให้กลับมารู้ตัว ดูใจ ซึ่งจะเยียวยา officer ได้หรือไม่ แค่ไหน อย่างไร อยากให้มาชิมลองดูค่ะ

เปิดให้ชิมลอง ที่ชั้น ๓ ห้อง New Gen หอศิลป์กทม. เข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้-๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๖ | ๑๐ โมง ถึง ๒ ทุ่ม

03/07/2023
25/06/2023

อนปส อจ.สันติกโร หมวดจิตสู่ธรรม ครั้งที่ 5 มิย 2566 (3/3)
[3] หมวดธรรม
ประเด็นที่ 3 อาจารย์พูดถึงขันธ์ห้า และแลกเปลี่ยนขั้นที่ 13

อานาปานสติกับขันธ์ห้า
- ผมจะเปลี่ยนใช้ภาษาของขันธ์ห้า เป็นการเปรียบเทียบคำสอนที่ไม่ปรากฏในอานาปานสติสูตรโดยตรง แต่เนื่องจากขันธ์ห้าเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงมากที่สุดแล้วสอดคล้องกับหมวดธรรม ก็เลยไม่ยากที่จะเชื่อมโยงระหว่างอานาปานสติกับขันธ์ห้า
- หมวดกาย ก็เทียบได้กับรูปขันธ์.
- หมวดเวทนา ก็เทียบได้กับเวทนาขันธ์.
- หมวดจิต เป็นโอกาสที่จิตที่กำลังเป็นผู้รู้ จิตที่ประกอบด้วย สติ สมาธิ สัมปชัญญะ สัมมาทิฏฐิ จะค่อยๆ เรียนรู้ รู้ตัวว่าสัญญาเป็นอย่างนี้ สังขารเป็นอย่างนี้ และตลอดเวลาที่รับรู้สิ่งเกี่ยวข้องต่างๆ ตรงนั้นมีวิญญาณ.

- หมวดกาย หมวดเวทนา หมวดจิต เป็นโอกาสที่ผู้ปฏิบัติจะรู้เรื่องขันธ์ห้า และจะชัดเจนมากขึ้นใน หมวดจิต ขั้นที่ 12

ขั้นที่ 12 : (ทำจิตให้ปล่อยอยู่) ฝึกปล่อยสัญญาว่าเราว่าของเรา
- ขั้นที่ 12 สิ่งที่ปรากฏทางร่างกาย ทางเวทนา ทางนึกคิด มันมักจะสำคัญมั่นหมายว่า “เรา, ของเรา” อยู่เรื่อย เช่น เรารู้สึก เราคิด รู้สึกของเรา ความคิดของเรา ฟุ้งซ่านของเรา สงบของเรา
- ผู้ปฏิบัติโดยสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติในกระแสของมรรคมีองค์แปดจะสนใจการที่ “อ่อ มันสำคัญว่าเรา มีตัวสัญญามันสำคัญว่าเรา” ซึ่งในพระสูตรสำคัญว่าเราเป็นสัญญาวิปลาส.
- ขั้นที่ 12 ฝึกที่จะไม่ฝึกนิสัยที่จะนึกคิดเรื่อง “ของเรา”. หากยังเหลืออยู่ก็อย่าไปเสียใจ แค่รู้ “อ่อ ยังนึกว่ามีตัวกูอยู่” ก็รู้และฝึกที่จะปล่อย

ขั้นที่ 13 : ตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ
- ถ้ามาถึงหมวดธรรมก็จะเห็นสิ่งที่เรียกว่าเวทนาขันธ์ หรือสัญญาขันธ์ เป็นสิ่งที่ประเดี๋ยวๆ เกิด - เดี๋ยวๆ เปลี่ยนแปลง - เดี๋ยวๆ ก็ดับ.
- มีสติมีสมาธิมากพอก็สังเกตว่า เวทนาเกิด เวทนาเปลี่ยน เวทนาดับ สังเกตเรื่อยๆ
- ถ้ามีสติรู้ตัวว่านึก สมมุตินึกว่าจิตสบาย ก็รู้เป็นเพียงการนึก ไม่ต้องไปย้ำว่าสบายๆ มันแค่การนึก นึกแล้วก็ปล่อย ไม่ต้องไปยึดเป็นตัวสำคัญว่าเป็นตัวเรา ไม่สบายก็เช่นเดียวกัน ง่วงนอนก็เหมือนกัน.
- ถ้ามีสติ มีสมาธิ มีสัมมาทิฏฐิ มันแค่สังเกตว่า อาการสบาย ไม่สบาย ง่วงนอนได้เกิดขึ้น แล้วเป็นไปตามเหตุปัจจัย พิจารณาการเกิดขึ้นของอะไรต่างๆ แล้วรู้เห็นว่าแต่ละอย่างมันไม่เที่ยง ไม่ถาวร ไม่หยุดนิ่ง
- เรื่องหยุดนิ่งมีความน่าสนใจ เพราะว่าหลายครั้งมันจะไปคิดว่าอยากให้อะไรหยุด. มีอะไรที่ไม่ชอบ เดี๋ยวไปนึก นึกเรื่องหนึ่งที่ตัวเองลำบากใจ เช่น ผมเพิ่งไปเยี่ยมแม่เยี่ยมน้องสาว แล้วสมมตินะสมมติไปนึกเรื่องที่เคยมีเรื่องกับน้องสาว สมมติว่าไปนึกเรื่องนั้นๆ แล้วไปคิด เรื่องนั้นก็จะใหญ่. แต่ถ้ารู้ตัวว่ามันจำได้ว่าสิ่งนั้นเคยเกิด แต่ความจริงที่กำลังเป็นไปไม่ใช่สิ่งนั้น - จำได้ นึกได้ หรือไปคิด มันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว.

- ก็ดูสมควรแก่เวลา ก็เลยจะฝากไว้เท่านี้ ว่า หมวดที่แล้วมามีประโยชน์หลายๆ อย่าง และวันนี้ได้พยายามอธิบายว่ามีประโยชน์ในด้านเตรียมผู้ปฏิบัติให้รู้จักกับขันธ์ห้า
- แล้วจะได้เห็นการที่หายใจเข้า-หายใจออกไม่เที่ยง, รู้สึกสบาย-ไม่สบายก็ไม่เที่ยง, แม้แต่นึกว่าไม่เที่ยงก็ไม่เที่ยง และที่มันไม่เที่ยงก็ไม่เที่ยงอยู่เรื่อยๆ จะสัญญาหรือไม่สัญญา หรือถ้าแกล้งโง่ๆ ว่ามันเที่ยง ไม่ว่าจะแกล้งเท่าไหร่มันก็ไม่เที่ยง
- การคิดนึกตัวสังขาร ไม่ว่าปรุงแต่งในทางที่เป็นบาป หรือปรุงแต่งในทางที่เป็นกุศล ก็ไม่เที่ยง
- น่าสงสารผู้ปฏิบัติที่พยายามจะได้อะไรดีๆ อยากจะเป็นชาวพุทธดีๆ เป็นคนดีๆ อยากได้อันนี้ และเอาไว้เพื่อเป็นคนดีตลอดไป มันบ้า! อาจารย์พุทธทาสเคยพูดไว้ “ทั้งชั่ว ทั้งดี ล้วนอัปรีย์” เพราะว่าเราจะพยายามเอาไว้เป็นถาวร.
- เคยไหม นึกว่าเราจะดีๆ โดยหวังว่าจะดีๆ ตลอดไป หรือจะฉลาดตลอดไป หรือจะน่ารักตลอดไป แม้แต่จะใฝ่ฝันในสิ่งที่ดีมันก็ไม่เที่ยง ถ้าเห็นตรงนี้มันสบาย จะสบายขึ้นเยอะ. ยังเห็นคุณค่าที่จะปฏิบัติในทางที่ดี ที่น่ารัก ที่ฉลาด แต่รู้ว่าล้วนไม่เที่ยงทั้งนั้น.

โอเค เลยเวลาบรรยาย สมควรที่จะจบแค่นี้.
.
ปล.
1. The Lecture พยายามทำให้ Lecture นี้อ่านง่าย แต่ยอมรับว่ามันก็คงไม่ง่าย เพราะมันต้องการประสบการณ์บางอย่างเป็นเครื่องเคียงในการอ่านด้วย.

2. Lecture นี้มาจากคอร์สเล็กๆ ที่อาจารย์สันติกโรสอนเรื่องจิตและธรรมเสริมแก่ศิษย์เนิร์ดๆ ซึ่งพวกเขามีประสบการณ์บางอย่างกันพอสมควร

3. วัตถุประสงค์ของ Lecture นี้ เพื่อเป็นรอยทางบางอย่างสำหรับผู้สนใจใช้ศึกษาและทบทวนร่วมกัน.

4. สามารถศึกษาอานาปานสติกับอาจารย์สันติกโร เพิ่มเติมได้ทาง youtube ช่องหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ นะคะ

24/06/2023

อนปส อจ.สันติกโร หมวดจิตสู่ธรรม ครั้งที่ 5 มิย 2566 (2/3)
[2] หมวดจิต : ศึกษา “สัญญา” และ “สังขาร”

- เมื่อหายใจเข้า-ออกโดยสติ ตรงนั้นมีวิญญาณ.
- ทุกครั้งที่หายใจเข้า-ออกโดยสติ ตรงนั้นมีผัสสะกระทบระบบประสาท แล้วเกิดสิ่งที่เรียกว่ารู้แจ้ง. วิญญาณแปลว่ารู้แจ้ง.
- ตัววิญญาณจะเกิดกับสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาเรื่อยๆ ได้ยินเป็นวิญญาณทางหู นึกคิดเป็นวิญญาณทางมโน(ใจ) ลมหายใจเป็นวิญญาณทางกาย ฯลฯ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ดับไป และที่จิตรู้สึกได้ ตรงนั้นมีวิญญาณ.

ขั้นที่ 9 : ศึกษาสัญญา
- พอมีวิญญาณ มีผัสสะ มีเวทนา จิตจะนึกว่านี้เป็นอะไร เช่น สัญญารู้ว่านี้เป็นหายใจเข้า, บางทีสัญญาจะนึกเรียกโดยคำพูดว่าหายใจเข้า แต่บางทีแค่รู้ว่าสำคัญว่าหายใจเข้า.
- สังเกตสัญญา ถ้าเอาตามคำแนะนำที่อาจารย์พุทธทาสใช้ :- มีสติ มีสมาธิพอประมาณ รู้ว่าจิตมีราคะหรือไม่มีราคะ จิตมีโทสะหรือไม่มีโทสะ ฯลฯ ถ้าฝึกในขั้นที่ 9 ตามที่อาจารย์พุทธทาสปฏิบัติ ก็จะเจอตัวสัญญา
- ถ้ามีโลภะ ราคะ โดยสติโดยสัมปชัญญะ มันจะรู้ที่นี่ มันจะรู้ถูกต้อง
- วันนี้อาจารย์แนะนำให้ฝึกนั่ง หายใจเข้า-ออก แล้วสังเกตสิ่งนี้สิ่งนั้น จะเห็นตัวสัญญาอยู่

ขั้นที่ 10 : ศึกษาสัญญา, สังขาร
- ในขั้นที่ 10 ทำจิตให้ปราโมทย์อย่างยิ่ง ก็มีตัว “สัญญา” สำคัญมั่นหมายในสิ่งที่เป็นกุศล
- ในภาษากัมมัฏฐานเรามักจะเน้นที่คำว่า “สติ” และบางแห่งก็จะใช้คำว่า “สัญญา” ก็ได้.
- อานาปานสติสูตรไม่ได้ใช้คำว่า “สัญญา” แต่ถ้าศึกษาก็พบสัญญา สำคัญในสิ่งที่เป็นโอกาสจิตใจยกระดับตัวมันเอง อาทิ เมตตา กตัญญู
- พอจิตสำคัญหมายรู้อันใดอันหนึ่งที่เป็นกุศล จิตก็จะปราโมทย์โดยธรรมชาติ ตรงนี้ก็จะปรุงแต่งปราโมทย์, ปรุงแต่งเราก็เรียกว่าสังขาร, สังขารา.

ขั้นที่ 11 : ศึกษาสังขาร
- ในขั้นที่ 11 ซึ่งเป็นเรื่องสมาธิ สัญญาก็ทำงาน มันหมายรู้ในอะไรก็ได้ที่จิตจะรวมตัวเป็นสมาธิ
- ระดับทั่วไป การทำงานตรงนี้ก็จะมีการนึกคิดบ้าง เรียกสังขารก็ได้, ไม่ใช่ปรุงแต่งชนิดฟุ้งซ่าน เป็นการปรุงแต่งชนิดละเอียด ที่เหมาะกับการปฏิบัติ. พระสูตรบางแห่งก็ใช้คำว่าสังขารในทำนองนี้.

ขั้นที่ 12 : ศึกษาสัญญา
- ในขั้นที่ 12 ก็มีวิญญาณ ถ้ารู้ตัวมีสติมีสัมปชัญญะก็มีวิญญาณอยู่แน่ๆ
-พบจิตรู้ตัวว่ากำลังเกาะเกี่ยวอะไรสักอย่าง เกาะเกี่ยวความคิดความจำ เกาะเกี่ยวการที่ส่วนหนึ่งของร่างกายมันเจ็บ เกาะเกี่ยวความสบาย ฯลฯ
- พอจิตรู้ตัวว่าเกาะเกี่ยว ตรงนั้นก็มีสัญญาหมายรู้ ก็ฝึกปล่อย
- ขั้นที่ 12 วิโมจยํ จิตฺตํ คือจิตฝึกปล่อย ไม่ต้องเกาะเกี่ยว. มีสัญญาบ้าง รู้แล้วปล่อย. มีสังขารการคิดนึกการปรุงแต่ง ก็รู้แล้วปล่อย ไม่ต้องยึดติดเป็นเราเป็นของเรา.

นี่เรื่องที่ 2 อยากฝากไว้ว่า ในหมวดจิตก็เป็นโอกาสที่จิตจะได้ศึกษาและทำงานกับเรื่องสัญญาและเรื่องสังขาร

(มีต่อพรุ่งนี้ :)

23/06/2023

อนปส อจ.สันติกโร หมวดจิตสู่ธรรม ครั้งที่ 5 มิย 2566 (1/3)
#จิต #ขันธ์ห้า #ขั้นที่13 #หมวดจิต #หมวดธรรม

ครั้งนี้อาจารย์ทบทวนหมวดจิตบางแง่มุม และคาบเกี่ยวไปหมวดธรรม โดยเสนอ 3 ประเด็น ดังนี้

[1] จิต : ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

[จิต:ผู้รู้]
- คำว่า “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” ทั่วไปมักนึกถึงพระพุทธเจ้า แต่วันนี้คำว่า “ผู้รู้” อยากให้นึกถึง “จิต”
- สายวัดป่าที่บริกรรม “พุทโธ-พุทโธ” ก็จะนึก “พุทโธ ผู้รู้ หายใจเข้า - พุทโธ ผู้รู้ หายใจออก”
- สิ่งที่อาจารย์อยากให้พวกเราสนใจก็คือ “ผู้รู้คือจิต”

[จิต:ผู้ปฏิบัติ]
- หลายคนยังคิดว่าผู้ปฏิบัติคือ เรา, กู
- ตามที่ได้แลกเปลี่ยนครั้งที่แล้วเรื่องจิตประภัสสร เราไม่ต้องยกตัวเรา, ตัวกู เป็นผู้ปฏิบัติ, “จิตเป็นผู้ปฏิบัติ”.

[จิต:ผู้เข้าถึง]
- การปฏิบัติหมวดจิตทั้ง 4 ขั้น เป็นการทำความเข้าใจและเข้าถึงจิตเป็นผู้รู้
- “เข้าถึงจิตเป็นผู้รู้” ใครเข้าถึง? ระวังนะ ไม่ใช่เราเข้าถึง “จิตผู้รู้เข้าถึงความเป็นผู้รู้” ซึ่งมีอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก.
- โดยสามัญสำนึกซึ่งประกอบด้วยอวิชชาจะเดาเอาว่า เรากำลังทำนี่ กำลังทำโน่น คือสำคัญมั่นหมายว่ามีตัวเรา แต่เมื่อศึกษาเรื่องจิตประภัสสร มีสติต่อเนื่อง บางเวลาจะรู้ว่ามีแต่จิตปฏิบัติ ไม่ต้องมีเรา มีแต่จิตกำลังรู้ กำลังตื่น กำลังเบิกบานในปัจจุบันที่กำลังไหลเลื่อน

สรุป
- อาจารย์อยากให้พวกเราตระหนักสนใจในแง่ “จิตเป็นผู้รู้, ผู้ตื่น, ผู้เบิกบาน”
- การที่จิตเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในปัจจุบัน จะไม่เปิดประตูให้กิเลสเข้ามา.
- การนึกถึงเรา เรานี้เราโน้น เอาเราเป็นตัวตั้งเป็นการเปิดประตูเชื้อเชิญให้กิเลสเข้ามา.

(อ่านต่อพรุ่งนี้)

—-
ปล.ยังเหลืออีก 2 ประเด็น คือ
[2] หมวดจิต : ศึกษา “สัญญา” และ “สังขาร”
[3] หมวดธรรม : ขันธ์ห้า และอนปสขั้นที่ 13
The Lecture จะทยอยลงให้อ่านและทบทวนในวันถัดๆไป นะคะ

วันวิสาขบูชา เวียนมาบรรจบ, วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน, ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓ มิย ๒๕๖...
03/06/2023

วันวิสาขบูชา เวียนมาบรรจบ, วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน, ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓ มิย ๒๕๖๖.
เช้านี้ สวนโมกข์กรุงเทพต้อนรับผู้มาเยือนเช้านี้ด้วยเสียงธรรมจากอาจารย์พุทธทาส ฉันได้ยินท่านสอนว่า ...
• เรามีโอกาสแล้วที่จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน, “รู้” คือรู้ตามที่ควรจะรู้, “ตื่น” คือตื่นจากความโง่, “เบิกบาน” คือมีชีวิตสดใสดุจดอกไม้บาน
• วันวิสาขบูชาเป็นวันที่เรามาระลึกถึงพระศาสดาและมารู้ความหมายของวิสาขบูชาทั้งในภาษาธรรม ภาษาคน และความหมายในฐานะวันประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์คนหนึ่งเอาชนะมาร เป็นชัยชนะในนามมนุษยชาติ
• หน้าที่ของเราคือประพฤติตามรอยของพระผู้มีพระภาคเจ้าฯ ขัดเกลานิสัยสันดานของตนให้มีความสะอาด สว่าง สงบ, “สะอาด” คือไม่มีของสกปรก/กิเลสมาแปดเปื้อน, “สว่าง” คือรู้เรื่องทุกข์และความดับทุกข์, “สงบ” คือความทุกข์ดับไป
• ทำได้เช่นนี้ก็ชื่อว่าดำรงตนสมควรกับความหมายของวิสาขบูชา สมแก่การเป็นสาวกของพระบรมศาสดา ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

จบจากคำปรารภของท่านอาจารย์พุทธทาส คณะสงฆ์จากวัดชนะสงคราวราชวรมหาวิหาร และพุทธศาสนิกชนก็มาครบพร้อม ด้วยวันนี้เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา จึงมีพุทธศาสนิกชนมาร่วมกิจกรรมหนาตาเป็นพิเศษ กาลนี้พระมหาประเสริฐ ปสัฏโฐ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามฯ เมตตาแสดงธรรมราว ๓๐ นาที ก่อนจะนำพุทธศาสนิกชน เวียนเทียนประทักษิณ ณ สังเวชนียสถานสมมติ ร่วมกัน

พิธีกรอธิบายการเวียนประทักษิณ (เวียนขวา) ให้ฟังว่าเป็นธรรมเนียมที่แสดงออกถึงความเคารพอย่างยิ่งของชาวชมพูทวีป แสดงถึงศรัทธาในคำสอน เป็นน้อมสักการะ น้อมรำลึก น้อมนำคำสอนมาปฏิบัติ

จบจากเวียนเทียน ก็เป็นช่วงถวายสังฆทานใส่บาตรพระภิกษุ ๙ รูป แม้วันนี้ผู้เข้าร่วมจะค่อนข้างมากแต่ก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย กิจกรรมสำเร็จอย่างงดงามตามเวลา

จากนั้นพระคุณเจ้าได้กล่าวอปโลกฯ แจ้งของถวายสังฆทานให้ญาติโยมได้รับรู้ กล่าวคือ ส่วนที่ ๑ ถวายพระมหาเถระผู้เป็นประธาน ส่วนที่ ๒ ถวายแด่พระอนุเถระตามลำดับลงไปจนถึงสังฆะนวกะอาสนะสุดท้าย ส่วนเหลือนอกจากนั้น ย่อมถึงแก่สามเณรวัดศรีโสดาและอาศรมธรรมจาริกบนดอยภาคเหนือ ตลอดจนคฤหัสถ์ทั้งหลาย พระภิกษุในที่นั้น เห็นสมควร จึงเปล่งสาธุกาลพร้อมกัน

พระมหาประเสริฐ ปสัฏโฐ กล่าวสัมโมทนียกถา ถึงกิจกรรมนี้ว่า เป็นการทำตามหลักพุทธโอวาท ๓ ประการ คือไม่ทำบาป ทำกุศลให้สมบูรณ์ และทำจิตให้ผ่องแผ่ว ฯลฯ ทำตามอริยประเพณีที่ดีงาม จึงขออนุโมทนาและขออำนวยอวยพรให้เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ฯลฯ และขอให้ได้รับสวัสดิภาพปลอดภัยทุกเมื่อ

ท้ายกิจกรรมพิธีกรได้แจ้งยอดทำบุญ ในวันวิสาขบูชา ๒๕๖๖ จากทุกช่องทาง มียอดรวม ๑๘๔,๓๓๗.๐๙ บาท กาลนี้ต้องขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านด้วยนะคะ

นอกจากนี้ ตลอดบ่ายยังมีนานากิจกรรม อาทิ อานาปานสติภาวนา, ล้อมวง Dhamma Workshop “พุทธทาสจะอยู่ไปไม่มีตาย...?”, 3 ศิลป์ภาวนา, Meditation in Motion by Supol Lohachitkul, ฟังเสียงในจิตใจ, เวียนเทียนในสวน, Suanmokkh กลางแปลง เรื่อง Silence ชวนดูโดย แพท วงเคลียร์, อิสระ ฮาตะ ชวนคุยโดย ภัทร จึงกานต์กุล และกิจกรรมเพ็ญภาวนาชาคริยานุโยค กับกลุ่มอยู่เย็นเป็นประโยชน์ เป็นกิจกรรมปิดท้าย.

ซึ่ง The Lecture ได้ประมวลภาพบางส่วนมาให้ชมกันด้วย ท้ายนี้ขออนุโมทนากับทุกท่านอีกครั้ง และขอส่งกำลังใจให้ทุกท่านเจริญในมรรค เจริญธรรม รู้ทุกข์ และเข้าถึงความดับทุกข์ ได้ยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยกันทุกๆ คนนะคะ : )

จิตตั้งมั่น (สมาทหํ) - อานาปานสติ ขั้นที่ 11โดย อจ.สันติกโรHighlightทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิต ทุกอย่างเป็นเรื่องเกี่...
20/04/2023

จิตตั้งมั่น (สมาทหํ) - อานาปานสติ ขั้นที่ 11
โดย อจ.สันติกโร
Highlight
ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิต ทุกอย่างเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิต เป็นเรื่องของจิต หรือจะเรียกว่าเป็นเรื่องในจิต แล้วอานาปานสติ มีขั้นที่ 9-10-11 เพื่อศึกษาจิต
บรรยาย
[หมวดจิต-ขั้นที่ 11 จิตตั้งมั่น]

มาถึงขั้นที่ 11 จะเป็นเรื่อง สมาทหํ จิตฺตํ จิตการรวบรวม การรวมตัวของจิต ภาษาไทยที่ผมคุ้นเคยจะแปลว่า จิตตั้งมั่น, อันนั้นโดยการเข้าใจศัพท์บาลีว่าแปลว่าตั้งมั่น แต่เดี๋ยวนี้นักภาษาจะมองในแง่ว่า สมาทหํ อยู่ที่การรวมตัวเป็นเดียว แทนที่จะฟุ้งซ่าน เที่ยวนี้ เที่ยวโน้น จิตรวมตัว แต่พอรวมตัวมันก็จะตั้งอยู่อย่างมั่นคง ตั้งมั่นจะเกิดจากการรวมตัวซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า สมาทหํ หรือ สมาธิ
ใครทำ? ไม่ต้องเป็นตัวกู สมาทหํ จิตเอง จิตที่กำลังปฏิบัติ ไม่ต้องไปคิดว่าเป็นของใคร. จิตนี้ที่มีสติอยู่ หรือจะเรียกว่าตัวสติก็คือจิต มันก็พอพูดได้ ภาษาตรงนี้มันกำกวม แต่ผู้ปฏิบัติคือจิตที่รู้สึกตัวอยู่ รวมกำลัง รวมความสนใจ รวมตัว กับสิ่งต่างๆ เช่น ลมหายใจยาว
อันนี้จะเป็นแนวทางอาจารย์พุทธทาส ที่ท่านจะอธิบายในบางแห่ง ถ้าจะเอาแบบสมบูรณ์ :-

ในขั้นที่ 11 จิตที่รู้เรื่องลมหายใจยาวทั้งเข้า-ทั้งออก รู้จักมาแล้ว คุ้นเคยพอสมควร เลย สมาทหํ โดยอาศัยลมหายใจยาว และจิตก็รู้จัก "สมาทหํ คือรวมตัวกับลมหายใจยาว หรือกับลมหายใจสั้น",

หรือรู้สึกตัวทั่วพร้อมกับกายทั้งปวง จิตก็รู้สึกตัวกับกายทั้งปวง หายใจเข้า-หายใจออก และ "จิต สมาทหํ กับการเคลื่อนไหวของลมหายใจที่เคลื่อนไหวทั่วไปในร่างกาย" พลังชี่ ลมปราณ รู้สึกทั่วไปในร่างกาย จนมี สมาทหํ ,

หรือลมหายใจพร้อมด้วยร่างกายสงบระงับ "จิต สมาทหํ กับการสงบระงับ" แต่ละขั้นจะ สมาทหํ ที่สงบละเอียดกว่าขั้นก่อน ผู้ปฏิบัติก็คือจิต ก็ทบทวนและก็ศึกษาสมาทหํ ละเอียดลง มั่นคงลง ประณีตลง,

แล้ว "สมาทหํ กับปีติ" ชาวบ้านทั่วไปจะรู้จักปีติหยาบหน่อย ที่เกิด-ดับของอร่อย แต่จิตที่ปฏิบัติในทางสมาธิ เช่น อานาปานสติ จะรู้จักปีติที่เกิดจากวิเวก และปีติที่เกิดจากสมาธิ จะเป็นปีติที่เป็นส่วนหนึ่งของฌาน บางครั้งจะตื่น-ตึงแค่ไหนจิตก็เสพปีติที่ประณีต ที่ละเอียด เพราะได้รู้จักการครอบครองของกิเลส ของนิวรณ์ ของอกุศล จิตที่ไม่ถูกครอบครองโดยนิวรณ์โดยกิเลส ก็ปีติในตัว ตรงนี้จะเป็นสมาธิที่อาศัยปีติ

หรือปีตินั้นเบาลง เย็นลง เลย "สมาทหํ กับสุข" สุขที่เกิดจากวิเวก วิเวกจากนิวรณ์และกิเลส หรือสุขที่เกิดจากสมาธิ นี่ขั้นที่ 11 อาศัยสิ่งที่ได้คุ้นเคย ที่ได้ศึกษาในครั้งก่อนๆ อันนี้จะเป็นแนวอานาปานสติที่สมบูรณ์ คุ้นเคยกับเวทนาที่ประณีตแล้ว สมาทหํ

หรือแม้แต่ขั้นที่ 9 จิตที่รู้สึกตัวว่าจิตกำลังเป็นอยู่อย่างไร จิตรู้สึกตัวว่าอย่างนี้ สมาธิตรงนั้นรวมตัว ตั้งมั่นตรงนั้น หรือโดยปราโมทย์ก็ได้
อันนี้ผมขอทบทวนตามแนวที่อาจารย์พุทธทาสเคยแนะนำ จะเป็นแนวสำหรับผู้ที่จริงจังเอาจริงเอาจังกับอานาปานสติ ไม่ต้องดัดแปลงให้มันง่ายๆ ท่านจะเอาแบบสมบูรณ์ พวกเราจะเอาสมบูรณ์แค่ไหนก็แล้วแต่ความสามารถ แล้วแต่ความสนใจและเวลา
โอเค วันนี้ผมขอบรรยายเท่านี้. ให้ทบทวนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิต ทุกอย่างเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิต เป็นเรื่องของจิต หรือจะเรียกว่าเป็นเรื่องในจิต แล้วอานาปานสติ มีขั้นที่ 9-10-11 เพื่อศึกษาจิต ก็ฝากไว้ให้พิจารณาทบทวนเอาเอง ตริตรองเอาเอง
และต่อไปเราจะลงปฏิบัติดู
(อาจารย์สันติกโรนำภาวนา)
--
#อานาปานสติกับอาจารย์สันติกโร
#หมวดจิตสู่ธรรม(ทำ) #ครั้งที่3
#จิตตั้งมั่น #อานาปานสติขั้นที่11
#อาจารย์สันติกโร
แสดงเมื่อ 6 เมษายน 2566

ทำจิตปราโมทย์ - อานาปานสติ ขั้นที่ 10โดย อจ.สันติกโร[Highlight]- หลักการคือทำให้จิตรู้จักยกระดับ ทำให้จิตสูงขึ้นโดยธรรมะ...
20/04/2023

ทำจิตปราโมทย์ - อานาปานสติ ขั้นที่ 10
โดย อจ.สันติกโร
[Highlight]
- หลักการคือทำให้จิตรู้จักยกระดับ ทำให้จิตสูงขึ้นโดยธรรมะ
- ทำจิตให้คลุกคลีกับธรรมะที่ดีงาม แล้วจิตจะปราโมทย์เอง
-จิตที่คลุกคลีกับกิเลสจะตกต่ำ คลุกคลีกับนิวรณ์ก็จะมัวๆ แต่ถ้าจิตที่อยู่กับธรรมะก็จะสูงขึ้น ซึ่งเป็นความหมายหนึ่งของปราโมทย์ คือไม่ตกต่ำ
- การปฏิบัติที่บ้าน ถ้าจะลองขั้นที่ 10 ก็ให้หายใจเข้านึกถึงธรรมะอะไรก็ได้ง่ายๆ ที่ทำให้จิตสูงขึ้น เชื่น นึกถึงเรื่องกตัญญู ใจที่มีเมตตา บุญที่เคยได้ทำ ฯลฯ
[คำบรรยาย โดยย่อ]
คำว่า “การทำจิตให้ปราโมทย์อย่างยิ่ง” ไม่ต้องบอกว่าใครทำ ธรรมะหลายตัวช่วยกันทำ ช่วยกันปฏิบัติ เช่น เมตตา ขันติ ความตั้งใจดี สติปัญญา ฯลฯ ธรรมะเหล่านี้ในตัวเราช่วยกันทำ

เวลาปฏิบัติที่บ้าน ในแต่ละวัน แต่ละครั้ง ลองตกลงใจกับตัวเองก่อนว่าวันนี้จะสนใจเรื่องอะไร เช่น ครั้งนี้จะสนใจเรื่องกาย ครั้งนี้จะเรื่องเวทนา ครั้งนี้จะเน้นเรื่องจิต เป็นต้น สมมติว่าครั้งนี้จะดูจิต เน้นเรื่องจิต เราก็ฝึกกับหมวดกายพอควร ดูเวทนาสักห้านาที แล้วมาดูที่จิต

อาจจะมีบางวันพร้อม บางวันไม่พร้อมเท่าไหร่ ก็ไม่เป็นไร อยากขอให้ลองดู

[ดูจิตโดยใช้ “นิวรณ์”]
ดูจิตโดยใช้ “นิวรณ์” เป็นหลักในการดู เมื่อหายใจเข้า-ออกสบาย ผ่อนคลาย ตั้งมั่น ก็เริ่มดู ...

นิวรณ์กามฉันทะมีอยู่หรือไม่มีอยู่ และดูข้ออื่นๆ (พยาบาท, ถีนมิทธะ, อุทธัจจกุกกุจะ, วิจิกิจฉา) เหล่านี้ต่อไป แล้วจบด้วยจิตนี้มีนิวรณ์รบกวนหรือไม่

จิตไม่มีนิวรณ์รบกวนสำคัญมาก ขอให้รู้จัก, ทำความรู้จักภาวะที่นิวรณ์เบาบางกว่าธรรมดา จะรู้จักนิวรณ์มากขึ้น ชัดขึ้น และจะเป็นประโยชน์

การดูจิต จะใช้หลักนิวรณ์ หรือใช้มุมมองอื่นก็ได้ ให้ดูสักพักหนึ่ง จากนั้นมาดูขั้นที่ 10 ขั้นที่ 10 น่าสนใจมากๆ เพราะเป็นขั้นที่สนุก สนุกโดยธรรมะ – ไม่ควรมองข้ามเชียว ผมจะแนะนำ แล้วพวกเราก็ลองทำดู

[ขั้นที่ 10 การทำจิตใจปราโมทย์]

หลักการคือทำให้จิตรู้จักยกระดับ ทำให้จิตสูงขึ้นโดยธรรมะ

และปราโมทย์โดยธรรมะนั้นๆ ถ้าทำได้ เราสามารถนำธรรมะที่กำลังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เอามาพิจารณาว่ามีประโยชน์ มีความดีความงามอย่างไร จิตที่เข้าถึงความดีความงามเหล่านี้ จะปราโมทย์โดยตัวเอง, ทำจิตให้คลุกคลีกับธรรมะที่ดีงาม แล้วจิตจะปราโมทย์เอง.

สำหรับการปฏิบัติที่บ้าน ถ้าจะลองขั้นที่ 10 ก็ให้หายใจเข้า-นึกถึงธรรมะอะไรก็ได้ง่ายๆ ที่ทำให้จิตสูงขึ้น

จิตที่คลุกคลีกับกิเลสจะตกต่ำ คลุกคลีกับนิวรณ์ก็จะมัวๆ แต่ถ้าจิตที่อยู่กับธรรมะก็จะสูงขึ้น ซึ่งเป็นความหมายหนึ่งของปราโมทย์ คือไม่ตกต่ำ

ธรรมะข้อไหนก็ได้ที่พอนึกได้ ที่บางคนจะทำได้ง่ายพอสมควร ก็คือเรื่อง กตัญญูกตเวที - หายใจเข้า นึกถึงอะไร ใคร สถานที่ องค์ความรู้ อะไรก็ได้ที่นึกได้ ไม่ต้องไปคิดมากๆ แค่นึกถึงคำว่ากตัญญู แล้วจะนึกถึงอะไรสักอย่าง แล้วหายใจเข้า-ออกโดยนึกถึงสิ่งนั้นอยู่ในใจ เช่น ต้นไม้ - นึกถึงต้นไม้ให้ความงามแก่ชีวิตเรา เรานึกถึงต้นไม้และรู้สึกกตเวทีกับต้นไม้นั้น, ครู - นึกถึงครู มีครูที่สอนอะไรที่มีประโยชน์ นึกถึงท่านหายใจเข้า-หายใจออก, เพื่อน - เพื่อนที่ทำอะไรดีๆ ก็นึกถึงเพื่อนและสิ่งที่ได้ทำ ฯลฯ

มันจะนึกได้ ถ้าจิตเปิด และสงบพอควร ไม่ต้องสงบมากๆ นึกถึงแล้วหายใจเข้า-หายใจออกกับสิ่งนั้น

พอมีกตัญญูในใจ จะยกระดับใจ หรือจะเป็นธรรมะอื่นๆ เช่น เมตตา ก็ดูใจที่ประกอบด้วยเมตตา ใจที่มีเมตตา เป็นจิตที่งอกงาม งดงาม จะมีปราโมทย์โดยธรรมะ. ถ้าเวลาน้อย เอากตัญญูก็ดี เมตตาก็ดี.

หรือแม้แต่บุญที่ได้ทำ นึกถึงบุญคือความดีงามที่ได้ทำ เน้นที่บุญ ที่งดงาม มีประโยชน์ ไม่ต้องเน้นที่ตัวกู แล้วใจปราโมทย์ ก็ทำความรู้จักใจที่ปราโมทย์ว่าเป็นอย่างไร

หรือวันไหนเราอยู่ในศีลอยู่ในธรรม ชนิดที่เวลาจะหลับสามารถยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นก็คือปราโมทย์ จิตที่ดีงาม โดยคุณธรรม โดยสมาธิ โดยวิปัสสนา ฯลฯ

จิตที่ปราโมทย์อย่างนี้สมควรรู้จัก หายใจเข้า - จิตที่ปราโมทย์อย่างนี้สมควรรู้จัก หายใจออก, หลักนี้ไม่น่าจะยากเกินไป ขอให้ลองดู ขอให้ใจกว้าง ฝึกจิตที่ปราโมทย์อยู่

สมควรแก่เวลา ต่อไปจะภาวนากัน.

---
#อานาปานสติกับอาจารย์สันติกโร
#หมวดจิตสู่ธรรม(ทำ) #ครั้งที่2
#ทำจิตปราโมทย์ #อานาปานสติขั้นที่10
#อาจารย์สันติกโร
แสดงเมื่อ 2 มีนาคม 2566

กิจกรรม 1 วัน สำหรับทุกท่านที่สนใจอานาปานสติค่ำวันเสาร์ที่ 8 เมษา อยากชวนผู้สนใจทั้งใหม่และเดิม มาทบทวนและชิมลองอานาปานส...
06/04/2023

กิจกรรม 1 วัน สำหรับทุกท่านที่สนใจอานาปานสติ
ค่ำวันเสาร์ที่ 8 เมษา อยากชวนผู้สนใจทั้งใหม่และเดิม มาทบทวนและชิมลองอานาปานสติ

ลองฟัง-ลองปฏิบัติ-ลองซักถาม หากรู้สึกว่าน่าสนใจ ขอกระซิบว่า ปีนี้มีสวนโมกข์กรุงเทพและเกวาลารีทรีทจะมีคอร์สต่อเนื่อง เปิดกว้างให้ผู้สนใจอานาปานสติได้ฝึกฝนเรียนรู้ (ไม่มีค่าใช้จ่าย) ติดตามข่าวการรับสมัครเร็วๆนี้

ด้วยจิตเมตตาและเปี่ยมด้วยความเป็นกัลยาณมิตร อาจารย์สันติกโรพร้อมอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความรู้และเทคนิคต่างๆ เพื่อนำพาผู้สนใจปฏิบัติเรียนรู้กาย เวทนา จิต ธรรม ผ่านลมหายใจ อย่างค่อยเป็นค่อยไป และผ่อนคลาย
ฉะนั้น 19.00-21.00 น. เสาร์ที่ 8 เมษา เรียนเชิญมาทบทวนและชิมลองกัน
ลงทะเบียนที่ https://register.bia.or.th/query.php?act_id=6045
พบกันทางซูม Meeting ID: 883 8332 5921 Passcode: 12345

แล้วพบกันนะคะ ^ ^

รูปแบบของอาหารบางทีไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือศาสตร์แห่งการทำให้อิ่ม ด้วยการทำให้มันสุก และให้มันมีคุณค่าพอที่จะให้ร่าง...
06/04/2023

รูปแบบของอาหารบางทีไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือศาสตร์แห่งการทำให้อิ่ม ด้วยการทำให้มันสุก และให้มันมีคุณค่าพอที่จะให้ร่างกายเติบโต

ถ้าเราจับแก่นอันนี้ไว้ เมื่อไปพบอาหารในประเทศไหนก็ตาม เราจะเข้าใจว่ารากเหง้ามันใกล้กัน เขาจะต้องทำให้มันสุก เขาจะต้องดูว่ามันมีสารอาหารพอ และมันก็กินได้ ถ้ามันมีสามอย่างนี้ มันเป็นอาหารที่ทำให้เรารอดตายได้

ถ้าเราอยากจะรอดตายทางธรรม เวลาไปพบเจอความต่างของศาสตร์ต่างๆ ที่พาเราฝึกจิตใจ เราต้องหาให้เจอว่าแก่นของมันคืออะไร สิ่งที่อาตมาพบ สุดท้ายแล้วแก่นของการฝึกฝนภาวนา ในหลากหลายสายธรรม ไม่ว่าอุบายจะเป็นอะไร มักย้อนมาสู่เรื่องสองเรื่อง ที่ไม่ทิ้งกัน

(1) ฝึกยังไงให้จิตใจสงบ หายจากความว้าวุ่น มีความมั่นคงมากขึ้น พุทธศาสนาบ้านเราเรียกการทำอันนี้ว่าสมถะ ทำให้ความว้าวุ่นมันสงบลง ไม่ได้สงบจนนิ่งนะ แต่สงบพอที่จะใช้งานมันทำสิ่งต่อไป (2) คือการเฝ้าดูสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็นจริง อันนี้ภาษาพระแถวบ้านเราเรียกว่า วิปัสสนา

ไม่ว่าอุบายทำให้มันสงบจะเกิดจากอะไร อุบายเถรวาทอาจจะมีบอกว่า 40 วิธีทำสมถะภาวนา แต่จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องมีแค่ 40 มีมากกว่านั้นได้ และหลายสายธรรมก็พัฒนามิติอื่นๆ ที่ไม่ได้ขัดแย้งกับการทำให้มันสงบ

และเมื่อสงบแล้ว การอนุญาตให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างที่มันเป็น เฝ้าดูทุกอย่างตามเป็นจริง จะเป็นมิติที่ทำให้เราเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นว่า ความจริงเป็นอย่างไร อันนี้คือการทำวิปัสสนา

ถ้าเราจับสองมิตินี้ อย่าว่าแต่พุทธศาสนาเลย ศาสตร์อื่นๆ ที่ไม่ใช่พุทธศาสนา เราก็จะเริ่มเห็นว่า มีหลายอย่างลงเรื่องเดียวกัน...

---

บางช่วงจากปรารภธรรม กิจกรรมตักบาตรเดือนเกิด เมย66 ครั้งนี้ได้รับความเมตตาจาก พระเอกวีร์ มหาญาโณ แบ่งปันประสบการณ์การเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนพระภิกษุนานาชาติ บาลี-สันสกฤต ซึ่งท่านเป็นหนึ่งในพระไทยที่ได้ไปศึกษาและใช้เวลา 15 วัน ในวัดพุทธศาสนา สายวัชรยานแบบทิเบต ที่อินเดียตอนใต้

ฟังเต็มๆ ได้ที่ https://fb.watch/jKJFmwA-XI/

#ตักบาตรเดือนเกิด #เมย66
#พระเอกวีร์มหาญาโณ
#สวนโมกข์กรุงเทพ

คำว่า ธาตุ หมายถึงสิ่งสุดท้ายของการแยกออกเป็นส่วนประกอบ แต่ละส่วนๆธาตุนั้นมีอยู่ ๒ ระดับ คือ ธาตุแท้ๆ และธาตุที่ผสมกันอย...
03/04/2023

คำว่า ธาตุ หมายถึงสิ่งสุดท้ายของการแยกออกเป็นส่วนประกอบ แต่ละส่วนๆ
ธาตุนั้นมีอยู่ ๒ ระดับ คือ ธาตุแท้ๆ และธาตุที่ผสมกันอยู่
สิ่งมีชีวิตประกอบอยู่ด้วยธาตุ ๖ : ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุว่าง ธาตุจิต
ธาตุทั้งหลายประชุมปรุงกันเข้า เป็นผลิตผลใหม่ อย่างนั้นอย่างนี้ ตามกฎอิทัปปัจจยตา
ธาตุมันปรุงแต่งกัน เจือกันและปรุงแต่งกัน ให้เกิดผลใหม่ๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น
หัวใจของพระพุทธศาสนา คือ ทุกอย่างเป็นสักแต่ว่าธาตุ เป็นไปตามธรรมชาติตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์
การเห็นสิ่งทั้งปวงโดยความเป็นธาตุ คือสิ่งสูงสุด, การปฏิบัติให้เห็นว่า สิ่งทั้งปวงเป็นสักว่าธาตุนั่นแหละ คือการปฏิบัติธรรมะสูงสุด
เห็นสักว่าธาตุแล้ว มันก็ไม่ยึดถือว่าตัวตน
เห็นสักว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ จะเรียกว่าเห็นธรรมธาตุก็ได้
ความเป็นพุทธบริษัทที่สมบูรณ์ มันสมบูรณ์ต่อเมื่อเห็นธาตุทั้งหลายตามที่เป็นจริงว่าธาตุธรรมธรรมชาติ
รู้แจ้งสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง แล้วจิตมันก็ไม่หลงใหลในอะไรอีกต่อไป เป็นจิตหลุดพ้น เข้าถึงนิพพานธาตุ ดับเสียซึ่งกิเลส ดับเสียซึ่งตัวตน
นิพพานธาตุ สูงสุด ที่สุด แต่ก็ยังเป็นสักแต่ว่าธาตุ

#อะไรๆก็เป็นสักแต่ว่าธาตุ #พุทธทาสภิกขุ
#ธรรมะใกล้มือ #ธรรมะเล่มน้อย #เล่ม10 วางแผง 2เมย66
--
ชุดธรรมะเล่มน้อย คือการบรรยายที่พุทธทาสภิกขุตั้งใจสรุป เรื่องที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ทั้งหมดทั้งสิ้นของพุทธศาสนา ในลักษณะที่เป็นการย่อเอาแต่ใจความ เป็นธรรมะเล่มน้อยๆ แต่มีหลายเล่ม (๑๒ เล่ม) เพราะว่ามันมีหลายเรื่องหรือหลายชื่อ แต่ว่าแต่ละชื่อๆ นั้น มันรวมความทั้งหมดของพุทธศาสนาไว้
--
หนังสือ : สมทบได้ที่ Line / Facebook สโมสรธรรมทาน สวนโมกข์กรุงเทพ
E-Book : ดาวน์โหลดได้ที่ https://pagoda.or.th/dharma-book.html
AudioBook : https://www.youtube.com/playlist?list=PLhSp_mSSQCh8Y5xbMaE_09_s5dRkLA2Kl

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Lectureผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์