08/10/2025
เขากระโดง...
ใคร “โกง” ความจริง?
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมทำซีรีส์ข่าว “ทาง 2 แพร่ง ที่แยกเขากระโดง” ทางเนชั่นทีวี เพื่อขมวดปมให้เห็นความซับซ้อนของการแย่งชิงกรรมสิทธิ์ในที่ดินรถไฟ 5,083 ไร่..ผืนนี้
โดยเฉพาะเรื่องราวที่สร้างความงุนงงสงสัยไปทั่วว่า เหตุใดๆ ไปๆ มาๆ “กรมที่ดิน” และ “เครือข่ายการเมืองบุรีรัมย์” ดูจะเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียอย่างนั้น
ทั้งๆ ที่ในรัฐบาลเพื่อไทย กรมที่ดินดูจะเป็น “ผู้ร้าย” เพราะไม่ยอมเพิกถอนโฉนดเขากระโดง
ทั้งๆ ที่มีคำพิพากษาศาลฎีกา จนมีการโยกย้ายอธิบดีกรมที่ดิน เปลี่ยนอธิบดีคนใหม่ เพื่อเข้ามาเพิกถอนโฉนดทันที
แต่พอรัฐบาลเพื่อไทยเริ่มมีเค้า “ไปไม่รอด” ปรากฏว่า กรมที่ดิน และ “บิ๊กมหาดไทย” พลิกเกม ไม่ยอมเพิกถอนโฉนดเขากระโดง และเมื่อรัฐบาลเพื่อไทยพ้นจากอำนาจแน่ๆ ก็มีการตั้งโต๊ะแถลงปฏิเสธการเพิกถอนโฉนดอย่างเป็นทางการ พร้อมย้ำว่าสิ่งที่รัฐมนตรียุคเพื่อไทยสั่งให้ดำเนินการนั้น ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ที่สำคัญ “คีย์แมนภูมิใจไทย” กลับท้าเช้าท้าเย็น ให้การรถไฟฯ ฟ้องเพิกถอนเป็นรายแปลง เพื่อให้ศาลพิพากษา แล้วกรมที่ดินจะนำคำพิพากษามาเพิกถอนโฉนด เหมือนกับ 35 แปลงที่ศาลฎีกาเคยพิพากษาไว้แล้ว
เรื่องดำเนินมาถึงตรงนี้ ทำให้สังคมเริ่มสับสน และมองว่า สงสัยกรมที่ดินจะเป็นฝ่ายถูก หนำซ้ำ “คีย์แมนภูมิใจไทย” ยังเย้ยเพื่อไทยว่า ยึดกระทรวงมหาดไทยไป 2 เดือน ทำไมยังเพิกถอนโฉนดไม่ได้ แปลว่าสิ่งที่จะดำเนินการนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ “ทำไม่ได้จริงตามที่ประกาศ” ใช่หรือไม่
และการรถไฟฯ กลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกตั้งคำถามว่า เหตุใดไม่ยื่นฟ้องเพิกถอนเป็นรายแปลง เพราะไม่จำเป็นต้องเพิกถอนทั้ง 995 แปลง แต่เลือกฟ้องบางแปลง เช่น “โซนไข่แดง” หรือ แปลงของ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” ก็ได้
แต่แล้ว...เรื่องราวก็พลิกมาอีกด้าน เมื่อมีความเคลื่อนไหวของการรถไฟฯ ที่ดึงเรื่องมาฟ้องเอง 2 แปลง เป็นแปลงของ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” เนื้อที่กว่า 37 ไร่ และแปลง บริษัท ศิลาชัยฯ โรงโม่หินชื่อดังของจังหวัด เนื้อที่กว่า 7 ไร่ โดยอ้างมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ชี้มูลเอาไว้ “เป็นฐาน” หรือ “หลักฐานสำคัญ” ในการดำเนินคดี ว่าที่ดิน 2 แปลงนี้ออกโฉนดโดยมิชอบ
ทำไปทำมา การรถไฟฯ กำลังพลิกกลับมาเป็นพระเอก แต่ก็น่าแปลกใจว่า เหตุใด “คีย์แมนภูมิใจไทย” จึงท้าฟ้องรายแปลง แถมท้ารายวันอีกด้วย
“เนชั่นทีวี” เราได้ข้อมูลสำคัญ เป็นคำพิพากษาศาลปกครอง ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การฟ้องรายแปลง เป็นการ “เดินอ้อม” และ “ถ่วงเวลา” ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่ที่ดินเขากระโดง สามารถกลับมาเป็นของรัฐได้ทันที
เป็นคำพิพากษา “ศาลปกครองกลาง” เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 ซึ่งใช้เป็นฐานให้กรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดงได้ทันที ไม่ต้องรอคำพิพากษาให้เพิกถอนรายแปลง
เป็นคดีที่การรถไฟฯ ฟ้องกรมที่ดิน และอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว เพราะไม่มีการยื่นอุทธรณ์
คำพิพากษาหน้า 27…เขียนไว้ชัดเจนแบบนี้
“แม้ในคำพิพากษาของศาลฎีกาทั้งสองคดี และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะไม่ได้วินิจฉัยให้เพิกถอนที่ดินแปลงอื่นๆ นอกเหนือจากที่ปรากฏเป็นข้อพิพาทในคดีก็ตาม แต่คำพิพากษาดังกล่าวก็ได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี (การรถไฟฯ) ผู้ฟ้องคดีจึงสามารถใช้ยันกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า…
อีกทั้งที่ดินบริเวณที่ศาลมีคำพิพากษากล่าวอ้างถึง มีฐานะเป็นที่ดินของรัฐซึ่งสามารถใช้จัดทำบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปได้ หาใช่มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดี...”
คำพิพากษาส่วนนี้ ชี้ชัดว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้ผูกพันเฉพาะคู่ความ 35 แปลง ตามที่ “คีย์แมนภูมิใจไทย” กล่าวอ้าง แต่ผูกพันที่ดินแปลงอื่นในเขากระโดง 5,083 ไร่ด้วย พูดง่ายๆ คือต้องโดนเพิกถอนทั้งหมด
และในคำพิพากษาหน้า 30 ยังระบุเป็นเชิง “หักข้อต่อสู้ของกรมที่ดิน”เอาไว้อย่างชัดแจ้งว่า…
(กรณีที่การรถไฟฯไม่ยอมใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาล เพื่อเพิกถอนโฉนดรายแปลง)...”ศาลเห็นว่า มาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่ได้จำกัดอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง (กรมที่ดิน และอธิบดีกรมที่ดิน) จะเพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินเฉพาะกรณีที่จะต้องมีคำพิพากษาถึงที่สุดเท่านั้น
แต่ยังได้กำหนดอำนาจหน้าที่ รวมถึงวิธีการและขั้นตอนต่างๆ กรณีที่ความปรากฏแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เองว่า มีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ใดโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็เป็นหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง (กรมที่ดิน และอธิบดีกรมที่ดิน) ที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง
และหากพบว่ามีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็เป็นอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ที่จะมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิที่ดินได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้ฟ้องคดี (การรถไฟฯ) ไปฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลเสียก่อน ข้อกล่าวอ้างของผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่อาจรับฟังได้”
สรุปง่ายๆ เป็นภาษาที่เราๆ ท่านๆ อ่านได้เข้าใจก็คือ
1.ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 ไม่ได้ระบุหรือจำกัดอำนาจให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดได้ เฉพาะที่มีคำพิพากษาศาลถึงที่สุดแล้วเท่านั้น แต่ถ้าความปรากฏแก่กรมที่ดินว่ามีการออกโฉนดหรือหนังสือแสดงสิทธิฯ ไม่ถูกต้อง ก็เพิกถอนได้เลย
2.ไม่มีความจำเป็นต้องให้การรถไฟฯไปฟ้องรายแปลง เพราะคำพิพากษาศาลฎีกา และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชี้ชัดรับรองการเป็นกรรมสิทธิ์ที่ดินเขากระโดงว่าเป็นของการรถไฟฯไว้หมดแล้ว
3.สรุปคือ เพิกถอนได้ทันที ไม่ต้องไปฟ้องรายแปลงอีก
อ่านมาถึงตรงนี้ รู้หรีอยังว่า ใครเล่นเกม!
เมื่อข้อเท็จจริงทั้งหมดดำเนินมาอย่างชัดเจนจนถึงจุดนี้ จึงยังเหลืออีกประเด็นเดียวที่ฝ่าย “คีย์แมนภูมิใจไทย” และกรมที่ดินยังใช้เป็นเหตุผลในการไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง นั่นก็คือการอ้างว่า การรถไฟฯไม่มีแผนที่ยืนยัน
แต่จริงๆ แล้ว การรถไฟฯ ใช้แผนที่ไปสู้คดีในศาล จนชนะมาแล้วทุกศาล ซึ่งศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์รับรองไว้หมด
และ ”เนชั่นทีวี” เรามีหลักฐานมาเพิ่มเติม คือ การตั้งคณะกรรมการขึ้นมารับรองแนวเขตที่ดินเขากระโดงของการรถไฟฯ โดยกรรมการมีตัวแทนทั้งการรถไฟฯ และกรมที่ดิน รวมถึงผู้เกี่ยวข้องครบถ้วน
ปรากฏหลักฐานชัดว่า มีการตั้ง “กรรมการ” ลงพื้นที่ตรวจสอบแนวเขต ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 67 และทำงานร่วมกันเรื่อยมา กระทั่งรับรองแนวเขตเรียบร้อย มีกระบวนการยื้อกันพอสมควร แต่สุดท้ายยอมลงนามรับรองทั้งสองฝ่าย เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยเข้าไปคุมกระทรวงมหาดไทย จึงกล้าประกาศว่า สามารถเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดงได้ทันที แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นเสียก่อน
เอกสารยังอ้างถึงการทำงานที่ทำร่วมกันอย่างต่อเนื่องระหว่างการรถไฟฯ และสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ มีทีมรังวัด 2 ชุด จากตัวแทนทั้ง 2 ฝ่าย กระจายกันลงพื้นที่เพื่อ “ปักหลักเขต” ในทางโค้ง ทุกๆ ระยะ 10 เมตรกันเลยทีเดียว ส่วนทางตรง ให้ปักหลักเขตจากจุดเริ่มต้นถึงจุดสิ้นสุดทางตรงได้เลย
โดยทีมรังวัด 2 ชุดที่ว่านั้น ยังสับเปลี่ยนทุกสัปดาห์ รวมแล้ว 8 ชุด เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน และพบค่าพิกัดตำแหน่งที่ต้องปรับปรุง 34 หมุด สุดท้ายก็ทำเสร็จเรียบร้อย รับรองตรงกันทั้งสองฝ่าย
มีภาพแนวเขตที่เห็นชอบร่วมกัน เนื้อที่ที่ไม่มีการโต้แย้ง เหลือ 4 พันกว่าไร่ และมีลายเซ็นที่ลงนามรับรองแล้ว
แม้แนวเขตที่ไม่มีข้อโต้แย้งของที่ดินเขากระโดง จะมีเนื้อที่เหลือ 4 พันกว่าไร่ แต่บรรดา “แปลงไข่แดง” ซึ่งเป็นของตระกูลการเมืองชื่อดังของจังหวัด และกิจการของตระกูล ก็ยังอยู่ตรงกลาง หรือใจกลางพื้นที่
แบบนี้การเพิกถอนโฉนดให้ได้ทันที...ไม่ต้องไปฟ้องรายแปลง...ยังทำไม่ได้อีกหรือ?