ทนายพรี่หมี

ทนายพรี่หมี สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่เพจกฎหมาย (?) ที่จะมาเล่ากฎหมายในสไตล์ “เพื่อนเล่าให้ฟัง” ครับ

สอบเน Be like :เป็นกำลังใจให้คนสอบขาแพ่งครับ
02/10/2025

สอบเน Be like :

เป็นกำลังใจให้คนสอบขาแพ่งครับ

น่าาา เดี๋ยวก็ชิน
30/09/2025

น่าาา เดี๋ยวก็ชิน

หมอดอยปากกาพยาบาลฉันใดทนายก็ดอยปากกาหน้าบัลลังก์ คู่ความ และทนายคู่กรณีก็ฉันนั้นขอบคุณครับ
30/09/2025

หมอดอยปากกาพยาบาลฉันใด
ทนายก็ดอยปากกาหน้าบัลลังก์ คู่ความ และทนายคู่กรณีก็ฉันนั้น

ขอบคุณครับ

หนูหาแป๊บนุง

< เจาะตื้น แนวฎีกาเรื่อง NTR : บันดาลโทสะ หรือ ป้องกัน > ฎีกานี้เป็นฎีกาที่ค่อนข้างติดในใจพอสมควรเลย ด้วยความที่ผมเองก็ไ...
30/09/2025

< เจาะตื้น แนวฎีกาเรื่อง NTR : บันดาลโทสะ หรือ ป้องกัน >

ฎีกานี้เป็นฎีกาที่ค่อนข้างติดในใจพอสมควรเลย ด้วยความที่ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับฎีกาเก่าฎีกานึงเวลาอ่านเรื่องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วรู้สึกว่า “ไม่ใช่ดิ” ซึ่งฎีกานั้นคือฎีกาสามียิงชู้ที่กำลังทำกิจกรรมตอกเสาเข็มสร้างสัมพันธ์กับภรรยาตนอยู่ = ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจริงๆ ฎีกาแนวๆ นี้มีค่อนข้างเยอะ เราเลยจะมาเจาะตื้นว่า NTR แบบไหนเป็นป้องกัน และ NTR แบบไหน บันดาลโทสะกันครับ

(คำศัพท์ NTR ย่อมาจาก Netorare เป็น genre หนึ่งใน AV ญี่ปุ่น หมายถึง หนังแนวอาหวังโดนแย่งแฟนไปตอกโดยแบดบอยครับ)

#แนวฎีกาที่บอกว่าป้องกัน

กรณีนี้ส่วนมากแล้วแนวฎีกา จะมีการวางเงื่อนไขดังนี้

1.ต้องเป็นสามีภริยาจดทะเบียนกัน

2.ต้องยิงขณะเขาตอกกันเท่านั้น (นัว นอนตัก จูบปาก ไม่นับ)

ซึ่งมีแนวฎีกาเด่นๆได้แก่ ฎีกา 378/2479 (ล่อเม็ดทั้งเมียทั้งชู้ไปหวันคู่) กับ ฎีกา 5486/2560 (อันนี้วินิจฉัยเป็นนัยยะ ว่า ถ้าจัดการตอนตอกกันอะ โอเคป้องกัน แต่ถ้ากรณีตามคดีนี้คือ เห็นเขาตอกกัน -> ไปไฝว้ ไปซัด -> ชู้หนีขึ้นมอไซค์ -> จำเลยยังเอาเสียมไปตีชู้บนมอไซค์อีก ศาลบอกว่า การตอกกันมันจบไปละ แต่การที่จำเลยเอาเสียมไปตี ถือว่าเป็นเหตุบันดาลโทสะ)

โดยถามว่าทำไมเป็นป้องกันน่ะเหรอ ? ศาลบอกว่าการที่สามี โดน NTR ถือว่าเป็นการละเมิดต่อเกียรติยศในฐานะสามี จึงเป็นภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายซึ่งละเมิดต่อกฎหมาย ก็เลยทำได้

แต่สำหรับผม ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะมองว่ามันไม่ควรเข้าองค์ประกอบการป้องกัน แต่มองว่าเข้าองค์ประกอบบันดาลโทสะมากกว่า เพราะ การที่ผู้หญิงไปมีชู้ “โดยความยินยอม” มันไม่ได้ผิดกฎหมายอาญา อย่างมากมันเป็นละเมิดทางแพ่ง ซึ่งก็ไม่ได้มีกฎหมายอาญาข้อไหนระบุว่า “ห้ า ม N T R” นะ

ซึ่งวัตถุประสงค์ของกฎหมายป้องกันคือ เพื่อให้ประชาชนมีอำนาจระงับเหตุผิดกฎหมายได้เอง ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ ซึ่งควรเป็น “เรื่องอาญา” แต่กรณีนี้มันไม่ได้ละเมิดกฎหมายอาญาน่ะ แต่คิดว่าสาเหตุที่ศาลวินิจฉัยทำนองนี้น่าจะเป็นเพราะในสมัยนั้นมันเป็นปี 24XX ซึ่งด้วยบริบทสังคมปิตาอาจจะแรงๆอยู่

ไม่แน่ว่าในปัจจุบันศาลไม่เดินตามเวย์นั้นก็ได้

#กรณีที่เป็นบันดาลโทสะ

กรณีที่เป็นบันดาลโทสะนั้นค่อนข้างหลากหลาย ปกติแล้วถ้าไม่เข้าป้องกันก็มักจะเข้าบันดาลโทสะน่ะแหละ ตัวอย่างก็มีหลายฎีกาเลย เช่น

-เห็นภรรยานอนหนุนตักชู้ เลยเอามีดไปเสียบชู้ (ฎ.3583/2555)

-แม้แต่การคบหาเป็นแฟนกัน มีลูกด้วยกัน แต่ไม่ได้จด ก็เข้าบันดาลได้ (ฎีกา 249/2515 , ฎีกา 2373/2544)

แต่ฎีกา 249/2515 นี่จะคล้ายๆฎีกา NTR ซึ่งหน้าตาม 378/2479 คือ เห็นขณะตอกชัดๆเลย แต่แตกต่างกันตรงที่ 249 ไม่ใช่ภรรยาจดทะเบียน แต่เป็นเมียอยู่กินตามกฎหมาย

ก็สรุปคร่าวๆคือ ถ้าเป็นกรณีป้องกันเนี่ย มันจะต้องได้ความว่า เจอตอนตอก และ ต้องจดทะเบียน ถ้าไม่ใช่ตามนี้ก็เข้าบันดาลโทสะครับ (แต่ไม่แน่ใจว่าถ้าคดีหลังๆ แนวฎีกาจะเปลี่ยนไหมนะ)

ตำรวจจราจรเอาจริงใจดีสุดละครับ ถ้าไม่ทำตัวกวนตีน ผิดจริงว่าไปตามผิด เผลอๆที่เขาปรับ 500 อาจลดให้ด้วยซ้ำปล.หน้าโรงเรียนกร...
29/09/2025

ตำรวจจราจรเอาจริงใจดีสุดละครับ ถ้าไม่ทำตัวกวนตีน ผิดจริงว่าไปตามผิด เผลอๆที่เขาปรับ 500 อาจลดให้ด้วยซ้ำ

ปล.หน้าโรงเรียนกรูซะด้วย แต่ยืนยันว่า สน.สามเสนค่อนข้างเข้มจราจรครับ เพราะตรงนั้นมีทั้ง ซ.ค. / ซ.ฟ. / วัดราชา / สวนนัน / โรงเรียนอื่นๆอีก ถ้าไปแถวน้้นตอนเด็กเปิดเทอม ขึ้นชื่อเรื่องบรรลัยครับ

ศาลพิพากษาแล้ว หนุ่มใหญ่อารมณ์ร้อนทำลายทรัพย์สินหลวงเสียหาย จำคุก 2 เดือนปรับ 12,000 บาท โทษจำรอลงอาญา 1 ปี ชดใช้ 10,000 บาท
อ่านต่อในคอมเมนต์⬇️

#กองบัญชาการตำรวจนครบาล

29/09/2025

< สิ่งที่ควรถามตัวเองก่อนการฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาท >

“หลายคนมาปรึกษาผมว่า โดนด่าในเฟซบุ๊ก ควรฟ้องหมิ่นดีไหม?
ผมเลยอยากชวนถามตัวเองก่อนสักนิด ว่าการฟ้องนี่คุ้มจริงหรือเปล่า…”

เวลามีปัญหาข้อพิพาทกับใคร จนถึงขั้นคิดจะ “ฟ้องร้องคดี” หลายคนพร้อมจะหาทนาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว “การฟ้องคดี” ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะมีทั้งค่าใช้จ่าย เวลา และความสัมพันธ์ที่อาจพังทลาย

โดยเฉพาะ คดีหมิ่นประมาท ที่มักเกิดจากอารมณ์ ความแค้น หรือศักดิ์ศรีมากกว่าผลประโยชน์เชิงธุรกิจเสียด้วยซ้ำ

เปรียบเทียบง่าย ๆ : คดีความก็เหมือนการรักษาโรค

หมอไม่ผ่าตัดตั้งแต่แรก แต่จะเริ่มจากการรักษาวิธีที่เบากว่า เช่น การกินยา การปรับพฤติกรรม จนกว่าจำเป็นจริง ๆ ถึงเลือก “ผ่าตัด”

คดีก็เช่นกันครับ การขึ้นศาลก็เปรียบเหมือน “การผ่าตัด” ที่ควรใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะไม่ว่าคุณเป็นโจทก์หรือจำเลย ต่างต้องเสียทั้งเวลา ทุนทรัพย์ และพลังใจ

ประสบการณ์ผมพบว่า

60–70% ของคดีหมิ่นประมาท ฟ้องเพราะ “โกรธ/อีโก้”

30% ที่เหลือ เป็นความเสียหายทางธุรกิจจริง ๆ เช่น ถูกใส่ร้ายร้านค้า ทำให้เสียลูกค้า

บางครั้งคนที่ฟ้องแค่ “อยากได้คำขอโทษ” แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมเอ่ยคำนี้ออกมา เรื่องเลยบานปลาย

คำถามที่ควรถามตัวเองก่อนฟ้อง
1. คุณพร้อมสู้จนสุดทาง เล่นเกมยาวได้ไหม?
2. คุณพร้อมเสียเงิน เวลา และทรัพยากรไหม?
3. ถ้าแพ้หรือชนะ คุณรับได้กับคำตัดสินไหม?

ถ้าคำตอบคือ “พร้อม” ก็ลุยได้ แต่ต้องเข้าใจว่า การฟ้องคือการประกาศสงคราม ความสัมพันธ์แทบไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม (และไม่แน่ว่า หากคุณไม่ใสจริงๆ อีกฝ่ายก็อาจพร้อมที่จะสวนด้วยข้อหาหนักที่แรงกว่าเดิมได้)

วิธีอื่นที่อาจง่ายกว่า
การเจรจา
• การพูดคุยปรับความเข้าใจ
• การปล่อยวางจากโทสะ

หลายครั้งคดีที่ดูเหมือนใหญ่ อาจจบลงได้ง่าย ๆ แค่มีใครสักคนแสดง “สปิริต”

ในบางครั้งบางที ผมก็มองว่า “ศาลไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกเรื่อง”
เพราะต่อให้ชนะคดี ก็อาจเป็นเพียง ชัยชนะบนซากปรักหักพัง ที่คุณต้องแลกด้วยเงิน เวลา และความสัมพันธ์

แถมเมื่อคดีไปจนสุดทาง ค่าเสียหายอาจจะไม่ได้มากตามที่คุณคาดหวัง บางครั้งโทษก็เบาพอๆกับคดีจราจรซะอีก (เช่น หากฟ้องเพียงเพราะอีกฝ่ายด่าว่า “ควย” “ไอเหี้ย” ก็เข้าดูหมิ่นโดยการโฆษณา ซึ่งดูหมิ่นซึ่งหน้า โฆษณา คือลหุโทษนะ)

ย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่ได้บอกว่าการใช้สิทธิเป็นเรื่องไม่ดีนะครับ หากคำพูดในโลกออนไลน์มันกระทบคุณ แล้วคุณโกรธ รู้สึกไม่ดี ก็เป็นสิทธิที่จะฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย

แต่โลกความเป็นจริง การใช้สิทธิก็มี “ต้นทุน”
ซึ่งก็อยากให้ประเมินให้ดีก่อนตัดสินใจครับ

ช่วงนี้มาอรงแซงโค้งจริงๆ
26/09/2025

ช่วงนี้มาอรงแซงโค้งจริงๆ

ชาวเน็ตระดมทุน แห่บริจาคช่วยเหลือ น้องการ์ตูน และผู้เป็นแม่ หลังเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน โดนรถพุ่งชนร้าน....

25/09/2025

ก่อนจะจบ “prevent su***de month” ผมอยากจะแชร์อะไรให้ฟังกันครับ (มันไม่เกี่ยวกับกฎหมายหรอก แค่อยากเขียนแชร์ให้ฟัง)

เมื่อกี้นี้ผมเลื่อนโพสต์เจอข่าวเด็กวัย 16 ทำการฆตต. เพราะเหตุเรื่องการย้ายโรงเรียนและพบว่า หลายๆคนยังมีการขาดความเข้าใจในการพูดปลอบใจ หรือ ให้ความเห็นครับ ซึ่งเป็นความเห็นในลักษณะที่ว่า

“ทำไมไม่สู้” “ขนาดเราเจอเรื่องหนักๆ เรายังผ่านมาได้”

ผมเข้าใจว่าสิ่งที่พูดอาจจะมีเจตนาที่ดี และ อยากให้คนเราอดทนผ่านอุปสรรคต่างๆ และอยากให้มองปัญหาต่างๆในชีวิตเป็นเรื่องเล็กๆ แต่คำพูดเหล่านั้นอาจก่อผลกลับที่ตามมาได้ และ หากอยากให้คนฟังรู้สึกดี กรุณา

“หลีกเลี่ยงคำพูดทำนองนี้” ครับ

เพราะการพูดแบบนี้ มันอาจจะทำให้ผู้ฟังกลับรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม รวมถึงสร้างความรู้สึกผิดต่อผู้ฟังที่ว่า

“ทำไมกูเศร้ากับเรื่องนี้กูผิดเหรอวะ ??” “โอเค กูแม่งอ่อนแอเองไอสัส”

ต้องบอกก่อนว่า จิตใจคนเรา ไม่ต่างกับร่างกายครับ เรารู้กันอยู่แล้วว่า สภาพร่างกาย ความแข็งแรง การฟื้นตัวทางร่างกาย ภูมิคุ้มกันโรคของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน

บางคนยกดัมเบล 10 โลชิลๆ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะชิลเหมือนเรา

บางคนออกตัววิ่งเป็นกิโล ยังรู้สึกไม่เหนื่อยเลย ไม่สะใจ ในขณะที่บางคนออกวิ่งห้าเมตรแทบหน้ามืดจะเป็นลม

บางคนกินอาหารทะเลได้ แต่ไม่ใช่ว่าคนแพ้อาหารจะกระจอก

“จิตใจ” ของคนเรา ทำงาน “คล้ายๆกัน” ครับ

จิตใจแต่ละคนล้วนหล่อหลอมจากประสบการณ์ ปม ความรู้ความเข้าใจ หรือ สภาพแวดล้อม การสั่งสอน ที่ไม่เหมือนกัน เงื่อนไขการใช้ชีวิตก็ไม่เหมือนกัน

ยกตัวอย่างอย่าง หลายๆคนอาจจะเคยอกหักตอนมัธยม ร้องไห้ฟูมฟายเป็นบ้าเป็นบอ แต่พอมองย้อนกลับไป

”เราร้องทำไมวะ เสียเวลา เรื่องงานหนักกว่าเยอะ“

นั่นเพราะเรามองย้อนกลับไปอดีตผ่านเลนส์ของเราในเวอร์ชั่นที่แข็งแกร่งขึ้น ผ่านโลกมาเยอะขึ้น แต่หากเราลองคิดอีกมุมว่าตัวเราในอดีต ยังไม่ผ่านโลกมามากนัก อกหัก ณ ตอนนั้นมันก็ไม่ต่างจากความรู้สึกของ “โลกทั้งใบที่ล่มสลาย” หรอก

กับคนอื่นก็เช่นกัน อย่างที่ได้บอกไปว่า แต่ละคนล้วนมีประสบการณ์ ความแข็งแกร่ง ความรู้ความอ่านที่ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะร้องไห้ในสิ่งที่เรามองว่าเป็น ”เรื่องเล็ก“

เราอาจจะไม่เข้าใจว่า ทำไมเด็กเนิร์ดบางคนร้องไห้เพียงเพราะ ได้เกรด 3.49 หรือ ได้อันดับสองในการสอบศาล อัยการ

เพราะเราต่างก็ใช้ “เลนส์” ของเราในการตัดสินว่าเรื่องไหนเล็ก หรือ ใหญ่ ไม่ใช่ “เลนส์ของเขา”

แต่ถ้าเราลองมาดูในเลนส์ของเขา เราอาจจะเข้าใจได้ว่า “ทำไมเขาต้องร้องไห้ ทำไมต้องโกรธ เสียใจ”

ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้กับคนใกล้ตัว ลองฟังเขาให้เยอะๆ พูดสั่งสอนให้น้อย อย่าพยายามโทษตัวเขา บางทีเราอาจจะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ได้

สิ่งที่เรามองว่าเล็กน้อย แต่ถ้าทำให้เขาสามารถร้องไห้ได้ หรือ ตัดสินใจวางแผนทำอะไรบางอย่างได้ นั่นมันก็ “ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย” แล้วครับ

How to ด่าแบบนักกฎหมาย
25/09/2025

How to ด่าแบบนักกฎหมาย

สนใจทนายความไหมครับคูมนักข่าว 🤣 ช่วยดูข้อกฎหมายอธิบายข่าวได้นะ
24/09/2025

สนใจทนายความไหมครับคูมนักข่าว 🤣 ช่วยดูข้อกฎหมายอธิบายข่าวได้นะ

กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานในแวดวงการข่าวในบ้านเราแล้วฮะ

จากรายการ กรรมกรข่าว คุยนอกจอ ที่ออกอากาศเมื่อช่วงเช้าของวันนี้เลย

คือเฮียสอแกก็กำลังรายงานข่าว "หลุมยุบ" ที่หน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ตามปกติ แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงแทรกเข้ามากลางรายการ

ช : สวัสดีครับ

ญ : อย่าเจอกันเลย

ช : เป็นไง ได้ข่าวว่าโสดแล้วยังไงทีนี้

ญ : โสดแล้วงานเยอะชิบหาย ยังไม่ได้พักเลยเนี่ย

ช : ผมไม่เกี่ยวแล้วหนึ่ง

จากนั้นเฮียสอก็บอกว่า "เอ่อ นักข่าวเค้าคุยกัน ไม่ได้พักเลย อ่ะไม่เป็นไร ใจเย็น"

แล้วก็มีคนแคปช่วงดังกล่าวเอาไปโพสต์ลงโซเชียล จนกลายเป็นไวรัลขึ้นมา หลายคนก็เข้ามาแสดงความเห็นปั่น ๆ กันเพียบ เช่น

"เสียงเหมือนนัทตี้ข่าวสดเลย"

"จากเรื่องเล่าเช้านี้ กลายเป็นเรื่องชาวบ้านเช้านี้"

"โสดแล้วยังไงต่อ"

หลังจากนั้นไม่นานครับ ในช่องต็อก ๆ ของคุณนัทตี้ข่าวสด ก็ลงคลิปวิดีโอเล่าเบื้องหลังความโบ๊ะบ๊ะนี้ว่า

"โดนเพื่อนวางงาน ฝากไมค์ไว้ แล้วลืมบอกว่า 'ไลฟ์'"

พร้อมกับแนบคลิปวิดีโอตอนถือไมค์ของช่องสามเอาไว้ให้ดูด้วย

ก็มีคนเข้ามาแสดงความเห็นในคลิปกันเพียบ

"และนี่คือวิธีตะโกน 'โสด' ให้รู้กันทั้งประเทศ"

"คนรู้ทั้งประเทศแล้วว่าโสด"

"ไม่ลืม ตั้งใจแหละ ตั้งใจจะบอกว่าโสดใช่มั้ย"

ตำนานจริง ๆ ฮะ 555555555555

#เหมียวหง่าว

24/09/2025

< ว่าด้วยภาระการพิสูจน์ in a nutshell >

“ภาระการพิสูจน์” (burden of proof) คือหน้าที่ของคู่ความที่จะต้องนำพยานหลักฐานมาเข้าสืบตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลกำหนด ซึ่งโดยปกติแล้ว ศาลก็จะบอกแหละ แต่อย่างไรก็ตามมันก็เป็นสิ่งที่เราควรรู้ก่อนที่ศาลจะบอกเพื่อ คัดค้านเผื่อศาลอาจจะเบลอๆ มึนๆ เพราะคดีเยอะ หรือ ช่วยให้เราวางรูปคดีได้ดีขึ้น

ในคดีแต่ละคดี เมื่อโจทก์จำเลยต่อสู้กัน สิ่งที่ตามมาคือ “ประเด็นข้อพิพาท” ซึ่งจะเกิดจากข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่ายชนแล้วไม่ตรงกัน เช่น คนนึงบอกยืมเงินไม่คืน อีกคนบอกคืนแล้ว ประเด็นข้อพิพาทคือ “สรุปคืนเงินรึยัง ?”

หรือในคดีอาญา ก็ โจทก์ฟ้องว่ากระทำความผิด จำเลยบอกกูไม่ได้ทำโว้ย ประเด็นข้อพิพาทคือ “สรุปจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ?”

ทีนี้เมื่อมีประเด็นข้อพิพาท สิ่งที่ตามมาคือ “ภาระการพิสูจน์”

ภาระการพิสูจน์ ตามหลักกฎหมายแล้วมักจะตกกับฝ่ายที่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตนตามหลักการ “ผู้ใดกล่าวอ้าง ผู้นั้นนำสืบ”

เช่น

-โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ -> โจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริง -> โจทก์ต้องนำสืบ

ซึ่งปกติแล้ว โจทก์มักมีภาระการพิสูจน์ที่ค่อนข้างหนัก เว้นแต่จำเลยจะต่อสู้โดยยกข้อต่อสู้ใหม่ ยกตัวอย่างเช่น

-โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกสัญญาโดยมิชอบ -> จำเลยอ้างว่าเลิกสัญญาจริงแต่โจทก์ผิดก่อน -> เหตุที่จำเลยยกเลิก จำเลยมีภาระการพิสูจน์

ซึ่งคดีแพ่ง ภาระการพิสูจน์เป็นสิ่งชวนหัวน่าสับสน

แต่คดีอาญา ส่วนใหญ่ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์แทบจะ 90-100% หากจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง หรือแม้แต่จำเลยอ้าง “ป้องกัน” โจทก์ก็มีภาระการพิสูจน์อยู่ดี เพราะหากสู้ป้องกัน = ปฏิเสธว่าตนไม่ได้กระทำความผิด เว้นแต่จะสู้ว่า จำเป็น บันดาลโทสะ อันนี้จำเลยมีหน้าที่นะๆ

ดังนั้น บางคดีได้ทั้งแพ่งและอาญา แต่เลือกฟ้องแพ่ง บางทีก็ไม่ใช่เขาใจดี แต่ ภาระการพิสูจน์อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้

อีกกรณีที่ชวนหัวคือ หากประเด็นข้อพิพาทมีข้อเท็จจริงที่ตรงตามข้อสันนิษฐานตามกฎหมาย ยกตัวอย่าง 2 กรณีครับ

กรณีแรก คือ ข้อสันนิษฐานในความผิดฐานเมาแล้วขับ

ง่ายๆเลย ปกติโจทก์ต้องนำพยานหลักฐานว่า “เมาแล้วขับ” มาพิสูจน์ ซึ่งก็ได้แก่พวกหลักฐานการวัดแอลกอฮอล์ ซึ่งจำเลยไม่ได้มีหน้าที่พิสูจน์ว่ากูไม่ได้เมา (แต่หักล้างฝ่ายโจทก์ได้นะ)

หากข้อเท็จจริงปรากฎว่า จำเลยปฏิเสธการเป่าแอลกอฮอล์โดยไม่มีเหตุอันสมควร = สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเมาแล้วขับ จึงเท่ากับว่า โจทก์ไม่ต้องพิสูจน์ว่าเมาหรือไม่เมา เพราะกฎหมายบอกว่า ถ้ามึงปฏิเสธ ถือว่ามึงเมาไว้ก่อน

ถ้าจำเลยจะสูัว่า กูไม่เมา จำเลยต้องพิสูจน์ให้ได้ มิฉะนั้น แตกทันที

ตัวอย่างที่สองคือ ตามกฎหมายละเมิด ปกติแล้ว โจทก์มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ถึงความประมาทหรือจงใจของจำเลยในการกระทำละเมิดต่อโจทก์

แต่หากเป็นกรณีความเสียหายมาจากพวกรถ เรือ วัตถุอันตราย โจทก์นำสืบเพียงว่า จำเลยเป็นเจ้าของยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังจักรกลในขณะเกิดเหตุและความเสียหายเกิดจากทรัพย์ดังกล่าว แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

ส่วนประเด็นที่ว่า เป็นเหตุสุดวิสัย / โจทก์มีส่วนผิด อันนี้จำเลยจะต้องนำสืบหักล้างส่วนนี้ ซึ่งจำเลยมีภาระการพิสูจน์

แต่ในทางกลับกัน หากตั้งรูปเป็นคดีอาญาได้ล่ะ ? เกมส์จะเปลี่ยนเพราะโจทก์มีภาระการพิสูจน์แทบทั้งหมด ต่อให้จำเลยต่อสู้ว่า ก็โจทก์มีส่วนผิดด้วย โจทก์ก็ต้องมีภาระการพิสูจน์ว่าโจทก์มีส่วนผิดเช่นกัน ตรงนี้จะค่อนข้างแตกต่างกัน

ส่วนภาระการพิสูจน์แบบแปลกๆ เช่น ข้อสันนิษฐานตามข้อเท็จจริงโดยสภาพปกติ (prima facie) อันนี้จะขอละไว้ก่อนเพราะอธิบายยาว ฎีกาเยอะ และมันค่อนข้าง case by case อันนี้เบสิคๆก่อนครับ

#แล้วภาระการพิสูจน์สำคัญตรงไหน

อย่างที่บอกไป ภาระการพิสูจน์เปรียบเสมือนการบ้านที่อีกฝ่ายต้องไปทำในการนำสืบคดีให้ฝ่ายตนชนะ หากภาระการพิสูจน์ในประเด็นอีกฝ่ายมีความสำคัญและอาจน็อคคดีได้ ยิ่งสำคัญมากๆ เพราะถ้าเราสืบไม่ถึง แม้จะแพ้แค่ประเด็นเดียวก็อาจทำให้ผลคดีมีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น หากโจทก์มีภาระการพิสูจน์เรื่องอำนาจฟ้อง แม้ว่าประเด็นอื่นจะผิดมากแค่ไหนอย่างไร หากโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้สมได้ = แพ้ทันที เพราะ อำนาจฟ้องคือรากฐานในการดำเนินคดีนั่นเอง

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ทนายพรี่หมีผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์