Mati Insight "Mati Insight" เพจรวมคอนเทนต์อินโฟกราฟฟิกที่น่ารู้น่าสนใจจากสื่อในเครือมติชน จำกัด (มหาชน)

3 กันยายน 2544 ราวตี 3 ศิลปินล้านนาชื่อดัง นาม “จรัล มโนเพ็ชร” เกิดล้มป่วยกะทันหันระหว่างพักผ่อนอยู่กับนางอันยา โพธิวัฒน...
03/09/2025

3 กันยายน 2544 ราวตี 3 ศิลปินล้านนาชื่อดัง นาม “จรัล มโนเพ็ชร” เกิดล้มป่วยกะทันหันระหว่างพักผ่อนอยู่กับนางอันยา โพธิวัฒน์ ผู้เป็นภรรยา ที่บ้านพัก ต.เหมืองง่า อ.เมือง จ.ลำพูน
เวลานั้น จรัล ตื่นขึ้นมาด้วยอาการหายใจไม่ออกต้องเรียกหายาดม จากนั้นก๋เข้าห้องน้ำแล้ว ล้มหมดสติ ภรรยานำส่ง ร.พ.ลำพูน แพทย์พยายามช่วยชีวิตแต่ศิลปินคำเมืองสิ้นใจแล้ว
ต่อมา ร.พ. ลำพูนนำศพ “จรัล มโนเพ็ชร” มายังแผนกนิติเวช ร.พ.มหาราชนครเชียงใหม่ เพื่อพิสูจน์หาสาเหตุของการเสียชีวิต โดยแพทย์ผ่าพิสูจน์ศพนาน 5 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ ได้ผลสรุปจากการผ่าตัดว่า “เส้นเลือดหัวใจตีบ” กระนั้น สำหรับคนใกล้ชิดและหมู่ญาติพี่น้อง เป็นที่ทราบกันดีว่าราชาเพลงคำเมืองนั้นป่วยด้วยโรคลูคีเมีย ต้องถ่ายเลือดแทบทุกเดือน และเดินทางไปถ่ายเลือดที่โรงพยาบาลรามาธิบดีที่กรุงเทพอยู่ทุกรอบ 6 เดือน
ด้านนางอันยา คู่ทุกข์คู่ยากของจรัล มโนเพ็ชร ยังได้เผยอีกว่า ช่วงเช้าของวันที่ 2 กันยายน 2544 “จรัล” ออกไปทำงานตามปกติที่บ้านนายมานิต อัชวงศ์ ผู้จัดการส่วนตัวในเมืองลำพูน เพื่อประชุมนักแสดงในเครือ เตรียมนำผลงานไปแสดงในงาน 25 ปี โฟล์กซองคำเมือง จรัล มโนเพ็ชร ซึ่งกำหนดแสดงในวันที่ 23 ต.ค.นี้ ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย หลังประชุมเสร็จในช่วงเวลากลางคืน ก็ร่วมสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานเล็กน้อย จากนั้นเวลาประมาณ 5 ทุ่ม จึงขอตัวกลับบ้านและมาถึงบ้านประมาณเที่ยงคืน
ต่อมา เวลาประมาณตี 3 จรัลตื่นขึ้นกลางดึก ขอยาหอมกับน้ำอุ่น จึงจัดให้ หลังจากนั้นอีกประมาณ 5 นาที ก็ร้องบอกว่าหน้ามืดและอาเจียนออกมา โดยพยายามจะเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำ ก่อนจะค่อยๆหมดเรี่ยวแรงและไม่ได้สติ ด้านนางอันยา จึงได้เร่งนำตัวนายจรัล ส่งโรงพยาบาลจังหวัดลำพูน เมื่อถึงมือของแพทย์ แม้จะปั้มหัวใจอยู่ราว 30 นาที แต่ไม่เป็นผล หมอได้ออกมาแจ้งข่าวต่อครอบครัวมโนเพ็ชรว่านายจรัลได้จากไปแล้ว
ในเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 4 กันยายน 2544 บริเวณวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ตั้งแต่ช่วงเช้าบรรยากาศบำเพ็ญกุศล มีประชาชนทั้งในจังหวัดลำพูนและจังหวัดใกล้เคียงหลั่งไหลมาเคารพศพนาย จรัล อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวและทราบข่าวจากมัคคุเทศก์ว่า จรัลซึ่งเป็นผู้อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของล้านนาเสียชีวิต จึงถือโอกาสมารร่วมเคารพศพด้วย พร้อมกับมีการเปิดเพลงของจรัลที่ทุกคนรู้จัก เป็นการรำลึกถึงตลอดทั้งงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานีวิทยุท้องถิ่นในภาคเหนือและในกรุงเทพฯ ต่างเปิดเพลงของจรัลตลอดทั้งวัน และมีผู้ฟังโทรศัพท์มาแสดงความเสียใจและความอาลัยเป็นจำนวนมากต่อการจากไปของศิลปินเพลงพื้นเมืองรายนี้ ซึ่งเป็นความภูมิใจของคนเหนือ ถือเป็นเอกลักษณ์และต้นตำรับของศิลปินพื้นบ้านล้านาที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ อีกทั้งทำประโยชน์ให้แก่ท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก ทั้งการส่งเสริมวํฒนธรรมท้องถิ่น จนได้รับรางวัลดีเด่นด้านวัฒนธรรมแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงเพลงพื้นบ้าน ประจำปี 2540
ด้านลิขสิทธิ์เพลงของนายจรัล ผู้จัดการส่วนตัวของนายจรัลได้กล่าวว่า ลิขสิทธิ์เพลงที่ได้เขียนและเรียบเรียงไว้ได้มอบให้แก่นายไตรศุลี หรือ “ต้นไม้” ลูกชายเพียงหนึ่งเดียวของนายจรัล ส่วนคอนเสิร์ต25 ปี โฟล์กซองคำเมือง ที่จะจัดขึ้นนั้น จากการพูดคุยกับพี่น้องของจรัลเอง ยังไม่แน่ใจว่าจะยังมีการจัดคอนเสิร์ตขึ้นอีกไหม ส่วนตัวนั้นไม่อยากให้จัดงานดังกล่าวขึ้นอีกแล้ว เพราะไม่อยากไปยืนร้องไห้หลังเวที แต่ถ้ากระแสประชาชนอยากจัดก็คงต้องปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง
ด้านนายครรชิต มโนเพ็ชร น้องชายกล่าวถึงการจัดงานคอนเสิร์ตว่า รูปแบบเดิมที่วางไว้นั้นจะมีช่วงที่ 4 คนในตระกูลมโนเพ็ชรขึ้นร้องเพลงร่วมกัน แต่เมื่อมาถึงจุดนี้คิดว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบงานให้ต่างออกไป
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวมติชน ยังได้รายงานต่อไปว่า ขณะนี้มีบุคคลและคณะเจ้าภาพต่อคิวเป็นเจ้าภาพจัดงานศพไปจนถึงวันที่ 7 กันยายน ส่วนงานพระราชทานเพลิงศพนั้นจะมีการจัดตามขนบธรรมเนียมล้านนาโบราณ มีการจัดขบวนแห่ศพและเสลี่ยงเทศนาธรรมนำหน้าขบวน ตามด้วยขบวนปราสาทปากบาน ซึ่งใช้สำหรับคหบดีหรือคนมีซื่อเสียง และขบวนปี่แน-กล่องจุม เคลื่อนขบวนศพทอดยาวจากวัดพระธาตุหริภุญชัยจนไปถึงสุสานบ้านหลวย คาดว่าจะมีผู้คนเข้าร่วมนับหมื่นคนที่จะมาร่วมงานฌาปนกิจและพระราชทานเพลิงศพ
ภายหลังการฌาปนกิจในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2544 เถ้ากระดูกของจรัล บางส่วนถูกนำไปโปรยยังยอดดอยหลวงเชียงดาวตามความประสงค์ของเขาก่อนหน้านั้น บางส่วนนำไปไว้ที่กู่ของสายตระกูลที่ประตูหายยา บางส่วนถูกนำไปบรรจุใต้ฐานรูปปั้นโลหะรูปของเขา

3 ก.ย. 2558 : พระปางฮิลใจ กลายเป็นข่าวหน้า 1 เมื่อมีผู้สังเกตเห็นหน้าบันของอุโบสถวัดเจริญสุคันธารามหรือวัดบ้านกันผม ต.พร...
03/09/2025

3 ก.ย. 2558 : พระปางฮิลใจ

กลายเป็นข่าวหน้า 1 เมื่อมีผู้สังเกตเห็นหน้าบันของอุโบสถวัดเจริญสุคันธารามหรือวัดบ้านกันผม ต.พระพุทธ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา เป็นรูปพระพุทธเจ้ารายล้อมด้วยปัญจวัคคีย์ภิกษุทั้ง 5 รูป อันเป็นเหตุการณ์ตอนปฐมเทศนา แต่ที่ผิดแปลก คือพระพุทธเจ้าในภาพปูนปั้นนั้นกำลังชู 2 นิ้ว คล้ายๆกับการชูสัญลักษณ์ “สู้ๆ” จนชาวบ้านนิยามว่าเป็น “ปางสู้ๆ”
จากการสอบถามนายแหลม จั้นอรัญ อายุ 78 ปีในหมู่บ้านกันผม กล่าวว่าอุโบสถแห่งนี้ก่อสร้างมานานแล้ว ตั้งแต่ ปี 2513 ซึ่งในขณะนั้นมีพระอธิการตุ่นเป็นเจ้าอาวาส มีช่างจากบุรีรัมย์เป็นผู้ออกแบบอุโบสถ แต่หลังจากสร้างอุโบสถเสร็จไม่นาน พระอธิการตุ่นก็ได้ลาสิกขาไปอยู่กับครอบครัว โดยที่ชาวบ้านก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆกับตัวอุโบสถ ครั้นต่อมาหลายปีเข้า มีผู้สังเกตเห็นและพูดต่อๆกันไปถึงความแปลกประหลาดของพระพุทธเจ้าชู 2 นิ้ว ซึ่งหลายคนตั้งชื่อว่า “ปางสู้ๆ” เหมือนเป็นกำลังใจให้ชาวบ้านว่าอย่าท้อแท้กับอุปสรรคต่างๆในชีวิต
ส่วนสาเหตุที่ช่างผู้สร้างอุโบสถทำปางสู้ๆขึ้นนั้น นายแหลมไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริง แต่ก็ถือว่าทำให้คนสนใจพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ต่อมา ทางทีมผู้สื่อข่าวสำนักข่าวข่าวสด ได้เดินทางไปพบกับนายตุ่น กรอกงูเหลือม อายุ 74 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดเจริญสุคันธารามหรือว่าวัดบ้านกันผม ซึ่งเปิดเผยว่าขณะที่ตนเป็นเจ้าอาวาสอยู่นั้นได้มีชาวบ้านมาปฏิบัติธรรม ส่วนมากเป็นคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ส่วนคนวัยทำงานหรือหนุ่มสาวนั้นมักจะไม่ค่อยเข้าวัดมาศึกษาพระธรรม เมื่อตนมีโอกาสสร้างอุโบสถหลังใหม่ ทดแทนหลังเก่าที่เสื่อมสภาพไป จึงคิดทำหน้าบันปางปฐมเทศนาที่แฝงภาพพระพุทธเจ้าชู 2 นิ้วไว้ เพื่อให้เกิดความแปลกใจแก่ผู้พบเห็น
โดยนายตุ่น กรอกงูเหลือม อดีตเจ้าอาวาสวัดเจริญสุคันธาราม ยังได้เผยอีกว่าภาพพระพุทธเจ้าชู 2 นิ้วนั้นแทนความหมายเรื่องการเดินทางสายกลาง คือ 1.ต้องไม่ตึงจนเกินไป 2.ต้องไม่หย่อนจนเกินไป มีแต่ผู้ตระหนักในข้อดังกล่าวจึงจะสามารถมีความสุขได้
ในส่วนของประวัติวัดเจริญสุคันธาราม ตามประวัติของกรมการศาสนาระบุว่าวัดตั้งขึ้นเมือง พ.ศ.2391 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ.2432 หากเชื่อตามข้อมูลดังกล่าว นั้นหมายความว่าการสร้างอุโบสถของวัดขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ.2513 ตามคำให้การของ นายตุ่น กรอกงูเหลือม อดีตเจ้าอาวาส อุโบสถหลังนี้ควรจะเป็นอุโบสถหลังที่ 2 หรือ 3 ของวัดที่สร้างขึ้นทดแทนอุโบสถเดิมที่มีการพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ.2432 แล้ว
ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าปางสู้ๆ หากพิจารณาด้วยมุมมองทางศิลปกรรม อาจจัดเป็นพระพุทธรูปที่แสดงออกตามเอกลักษณ์ในเชิงช่างอีสานอย่างแท้จริง ดังสังเกตได้จากพระวรกายผิดหลักกายวิภาค พระพักตร์ของพระพุทธเจ้ามีลักษณะที่นักวิชาการบางท่านเรียกว่า แบบเด็กๆ แลดูเด๋อๆด๋าๆ น่ารักแบบซื่อๆ สิ่งเหล่านี้นับรวมไปถึงการดัดแปลงเปลี่ยนจากการปฐมเทศนาที่พระพุทธรูปจำต้องอยู่ในท่าแสดงธรรมหรือยกพระหัตถ์ขึ้นจีบนิ้วพระหัตถ์ เป็นปางสู้ๆ ไปเสียอย่างงั้น

อ้างอิง
“แห่ดู-ปางสู้ๆ พุทธรูปชู 2 นิ้ว”, (วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ.2558), ข่าวสด
กรมการศาสนา. ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม 17 นครราชสีมา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมการศาสนา
ติ๊ก แสนบุญ. พระพุทธรูปอีสาน : ตัวตนคนอีสาน พระวรกายผิดหลัก พระพักตร์แสดงอารมณ์... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/culture/article_5117

เปิดสภาพป่าทุ่งใหญ่ห้วยขาแข้ง ก่อน “สืบ นาคะเสถียร”ประท้วงด้วยชีวิต“สาเหตุของการฆ่าตัวตายคาดว่า เกิดจากการทำงานป้องกันรั...
02/09/2025

เปิดสภาพป่าทุ่งใหญ่ห้วยขาแข้ง ก่อน “สืบ นาคะเสถียร”ประท้วงด้วยชีวิต

“สาเหตุของการฆ่าตัวตายคาดว่า เกิดจากการทำงานป้องกันรักษาป่าไม่สำเร็จ ผมยอมรับว่า พื้นที่ดูแลเกินกำลังของนายสืบจริงๆ” นายไพโรจน์ สุวรรณกร อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวถึง ความตายของ “สืบ นาคะเสถียร”

หลังรับตำแหน่ง หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ได้ 8 เดือน ช่วงเช้ามืดวันที่ 1 กันยายน 2533 “สืบ นาคะเสถียร” อายุ 40 ปี ได้ตัดสินใจปลิดชีพตนเองภายในบ้านพักสำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง หมู่ 6 ต.ระบำ อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี

อธิบดีกรมป่าไม้ เล่าว่าสืบ เป็นคนเอาจริงเอาจังกับงานมาก ได้เคยแจ้งกับตนว่า งบประมาณที่จะจัดสรรให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งมีน้อย ตนได้พยายามจัดงบประมาณช่วยเหลือ โดยจัดคอนเสิร์ตคนรักป่าที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ธนาคารกสิกรไทย ได้มอบรถยนต์ 1 คันและประกันชีวิตแก่ข้าราชการ ลูกจ้าง ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งทุกคน
นายไพโรจน์ยังกล่าวเสริมอีกว่า การพบกับ สืบเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม เป็นการพบกันครั้งสุดท้าย และก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สืบได้ทำบันทึกถึงกรมป่าไม้ว่า มีการลักลอบล่าสัตว์มากขึ้น โดยมีการใช้ปืน M-16 และอาวุธสงครามสืบพยายามหาวิธีป้องกันอย่างสุดความสามารถ แต่ยากเกินความสามารถและขอบเขตรับผิดชอบของตนจนเป็นสาเหตุของความเครียด
ตามข้อเท็จจริง นายไพโรจน์ยังกล่าวด้วยว่าการดูแลพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจำนวนมากถึงล้านกว่าไร่นั้นกว้างใหญ่เกินไป อีกทั้งยังประสบปัญหามีผู้เข้าไปลักลอบล่าสัตว์ป่า ทั้งชาวบ้านและบุคคลในเครื่องแบบ ปัญหาและอิทธิพลที่ไม่สามารถควบคุมได้เหล่านี้กลายมาเป็นเหตุและปัจจัยให้สืบตัดสินใจกระทำเช่นนั้น
ส่วนประวัติของ สืบ นาคะเสถียร เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2492 ที่จังหวัดปราจีนบุรี เป็นบุตรของนายสนับ อดีตผู้ว่าราชการ จ.ปราจีนบุรี และนางบุญเยี่ยม ผู้เป็นมารดา เข้าศึกษาในระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเซนต์หลุยส์ ฉะเชิงเทรา แล้วเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

จากนั้นได้เข้ารีบราชการเป็นนักวิชาการป่าไม้ 3 เมื่อปี 2518 และในปี 2522 ได้โอกาสไปเรียนต่อทางด้านอนุรักษ์วิทยาที่ประเทศอังกฤษ และในปี 2530 ได้รับทุนจากสถาบัน Smithsonian ไปอบรมหลักสูตรการอนุรักษ์และการจัดการสัตว์ ที่ “ศูนย์อนุรักษ์และวิจัย” Front Royal, รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ด้านนายถวิล เลิศประเสริฐ แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งที่นายสืบต้องเสียสละชีวิตแลกไว้อีกว่า “ป่าทุ่งใหญ่ห้วยขาแข้ง คืออาณาจักรสัตว์ป่าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เป็นศูนย์รวมสัตว์ป่านานาพันธุ์ของไทยมากกว่า 600 ชนิด หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของสัตวป่าทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้นกว่า 1,500 ชนิด ...

โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสัตว์ป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์กว่า 20 ชนิด สัตว์ป่าหายากและกำลังถูกคุกคามกว่า 60 ชนิด เช่น เลียงผา สมเสร็จ เสือไฟ เสือลายเมฆ เสือดาว กระทิง วัวแดง ช้างป่า หมาใน แมวลายหินอ่อน เก้งหม้อ ลิงภูเขา ชะนีมือขาว และที่น่ายินดีและตื่นเต้นคือ ควายป่าที่เคยเชื่อกันว่าสูญพันธุ์แล้ว เวลานี้ปรากฎตัวให้เห็นแล้วในลำห้วยขาแข้ง จนสามารถถ่ายภาพทางอากาศมาชื่นชมกัน”
นายถวิล ยังกล่าวเสริมอีกว่าควายป่าที่ว่าหายากนั้น ยังคงมีการล่ากันอยู่ในเวลานั้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหมดกลายมาเป็นภาระที่ สืบ นาคะเสถียรต้องแบกรับไว้ด้วยหน้าที่ ผนวกกับสภาพ “... ป่าทุ่งใหญ่ห้วยขาแข้งตกอยู่ในสภาพที่ถูกคุกคามมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นด้านการบุกรุกเข้าไปลักลอบตัดไม้หรือล่าสัตว์ เช่น การลักลอบตัดไม้ในเขตอำเภอลานสัก น่าวิตกเหลือเกินที่แม้แต่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภายใต้การดูแลที่เข้มแข็งที่สุดก็ไม่สามารถรักษาป่าไว้ได้”
เสียงปืนที่ถูกนิยามว่าเป็นการประท้วงขั้นสูงสุดต่อบรรดานักล่าและอิทธิพลเถื่อน ได้ส่งแรงกระทบต่อสังคมไทยอย่างรุนแรงให้เรากลับมาสนใจรักษามรดกและทรัพยากรทางธรรมชาติอีกครั้ง เมื่อคดี “เสือดำ” ประทุขึ้นในปีช่วง พ.ศ.2561 ถึง 2564 บทสรุปของคดีเสือดำที่ศาลพิพากษาว่านายเปรมชัย กรรณสูต มีความผิดฐานร่วมกันล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ครอบครองและซ่อนเร้นซากสัตว์ป่าคุ้มครองซึ่งได้มาโดยกระทำผิดกฎหมาย ให้มีโทษจำคุก 2 ปี 14 เดือน และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาท ส่วนจำเลยอีก 2 คน คือ คนขับรถและนายพราน พิพากษาให้คงโทษจำคุกเช่นกัน

จึงเป็นเสียงสะท้อนของชัยชนะและผลพวงที่สืบ นาคะเสถียร เคยเสียสละแลกไว้ด้วยชีวิตตนในอีกทางหนึ่ง

อ้างอิง
อาลัยสืบ นาคะเสถียร น้ำเนตรป่าท่วมถึงพรหม, (วันอังคารที่ 4 กันยาย พ.ศ.25330), มติชน
พบจ.ม. “สืบ นาคะเสถียร” บันทึกละเอียดยิบก่อนตายระบุเครียด/งานเกินสะสาง, (วันอังคารที่ 4 กันยาย พ.ศ.25330), มติชน
วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์. The lost Forest ประวัติศาสตร์(การทำลาย)สิ่งแวดล้อมไทยและสงครามแย่งชิงทรัพยากร. กรุงเทพฯ : มติชน, 2567.

20 ปี เฮอริเคนแคทรีน่า รุนแรงสุดในประวัติศาตร์สหรัฐฯ เช้าของวันที่ 26 สิงหาคม 2568 มีรายงานข่าวว่าพายุคาจิกิที่อ่อนกำลัง...
28/08/2025

20 ปี เฮอริเคนแคทรีน่า รุนแรงสุดในประวัติศาตร์สหรัฐฯ

เช้าของวันที่ 26 สิงหาคม 2568 มีรายงานข่าวว่าพายุคาจิกิที่อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 มีศูนย์กลางอยู่บริเวณทิศใต้ของเมืองวิญ ประเทศเวียดนาม มีแนวโน้มว่ากำลังอ่อนกำลังลงเรื่อยๆและจะกลายสภาพเป็นพายุดีเปรสชัน ที่เข้าปกคลุมพื้นที่ประเทศลาวและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย
ถึงกระนั้น อิทธิพลของ “คาจิกิ” ยังคงส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ดังปรากฎว่ามีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่แถบจังหวัดเลย ทำให้บางหมู่บ้านเกิดน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะหมู่บ้านริมน้ำเหืองอย่างบ้านเหมืองแพร่ อ.นาแห้ว จ.เลย น้ำป่าได้ไหลทะลักลงสู่แม่น้ำเหือง อันเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับลาว ด้วยกระแสน้ำที่สูงขึ้นและเชี่ยวกราก

ส่งผลให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้กับลำน้ำเหือง ต้องเร่งขนย้ายทรัพย์สินขึ้นไว้ในที่สูง พร้อมกันนั้น เส้นทางสัญจรอย่างถนนทางเข้าหมู่บ้านเหมืองแพร่ยังถูกตัดขาด สะพานไม้ไผ่ข้ามลำน้ำเหืองระหว่างไทยกับลาว อันเป็นสัญญลักษณ์ที่เชื่อมโยงผู้คน 2 ฝั่งเข้าด้วยก็ถูกน้ำพัดเสียหาย ไม่สามารถสัญจรได้
ยิ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยก่อนนหน้านี้ จำต้องระวังเป็นพิเศษอย่างจังหวัดน่าน ตามรายงานข่าวเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 อิทธิพลของ “คาจิกิ” ยังคงส่งผลให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมาในหลายพื้นที่ อันอาจเป็นมูลเหตุให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ในหลายพื้นที่ ภาคส่วนต่างๆในจังหวัดน่านจึงเร่งเตรียมการเพื่อรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ซ้ำรอยอุทกภัยเดิมที่ยังไม่จางหายไป
ผลพวงของภัยพิบัตินั้นดูจะซ้ำรอยทางเวลา แค่ย้ายสถานที่ ถ้าหากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในเช้าตรู่วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2548 ประชาชนหลายพันคนต่างพากันอพยพหนีออกจากนิว ออร์ลีนส์ และพื้นที่ลุ่มต่ำของลุยเซียนา เนื่องจากเฮอริเคนแคทรีน่าได้หวนกลับมาเป็นพายุที่มีกำลังแรงอีกครั้ง ระหว่างที่เคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกในสหรัฐ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าเฮอร์ริเคนแคทรีน่าได้ก่อตัวขึ้นเป็นพายุระดับ 4 มีความเร็วกว่า 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จัดว่าเป็นพายุที่มีความสามารถในการสร้างและก่อภัยพิบัติทางเศรษฐกิจได้อย่างร้ายแรง ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (george w. bush) ผู้นำสหรัฐในขณะนั้นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในรัฐหลุยเซียนาและสั่งการให้ประชาชนตามแนวชายฝั่งอพยพเมื่อพายุเคลื่อนเข้าฝั่งนิวออร์ลีนส์
ผลพวงที่ตามมาจากความเสียหายเมื่อพายุพัดผ่านอ่าวเม็กซิโก ทำให้แท่นขุดเจาะน้ำมันได้รับความเสียหาย ประเมินความเสียหายไว้ว่าอยู่ที่ราว 25,000 ล้าน ดอลลาร์ หรือราว 1 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีรายงานผู้เสียชีวิตในเบื้องต้นราว 80 ราย

ด้านนายกเทศมนตรีเมืองนิวออลีนส์ อันเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบจากพายุแคทรีน่ามากที่สุดของสหรัฐอเมริกากล่าวว่า แคทรีน่าได้ถล่มเมืองจนราพณาสูร พื้นที่ร้อยละ 80 ของตัวเมืองต้องจมอยู่ใต้น้ำ สูงถึง 6 เมตร ซ้ำปัญหาน้ำท่วมยังอาจเข้าขั้นวิกฤตขึ้นไปอีก หากเขื่อนกั้นน้ำของทะเลสาบพอนชาร์เทรน ซึ่งพบรอยร้าวยาว 200 ฟุต เกิดแตกออก น้ำจะท่วมทะลักเข้าเมืองในทันที
หลังจากมวลพายุได้พัดผ่านไป ด้วยความเร็วลมสูงสุดที่ 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมงระหว่างที่พัดเข้าสู่รัฐลุยเซียน่า และคลื่นพายุซัดขึ้นฝั่งสูงถึง 7.6-8.5 เมตร ส่งผลให้แคทรีน่ากลายเป็นพายุเฮอร์ริเคนที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ตามขนาดของความเสียหายที่พายุได้ก่อไว้ทั่วทั้งภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา คาดว่ามีบ้านเรือนประมาณ 217,000 – 300,000 หลัง ถูกทำลาย เนื่องจากถูกพายุซัดถล่ม และหากประเมินความเสียหายโดยภาพรวมอาจมากถึง 201,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประเมินมูลค่าราว 6.9 ล้านล้านบาทไทยในปัจจุบัน
แม้ความเสียหายของที่พายุ “คาจิกิ” ได้สร้างจะไม่มีวันเทียบเท่าได้กับสิ่งที่ “แคทรีน่า” ได้ทิ้งไว้ แต่หากมองในเชิงช่วงเวลา ช่างดูบังเอิญเหลือเกินที่พายุทั้ง 2 ลูกจะพัดขึ้นฝั่งต่างที่แต่เวลาเดียวกัน บทเรียนที่ “แคทรีน่า” น่าจะทิ้งไว้จึงกลายเป็นคำถามต่อการรับมือและแผนป้องกันภัยพิบัติ ซึ่งไทยเองน่าจะต้องรีบตั้งรับให้ทันท่วงทีกับสิ่งที่ “คาจิกิ” จะสร้างผลกระทบให้แก่เศรษฐกิจและสังคมของเรา

เครดิตภาพ
-MongaBay
- The University of Melbourne
-Britannica
- library of congress
-Wikipedia

22 ส.ค. 2523 : ย้อนรอย 45 ปี ม็อบชาวไทยมุสลิม 300 คน ประท้วงอิสราเอลยึดกรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงภาพเปลวไฟกำลังลุกไหม้ผื...
22/08/2025

22 ส.ค. 2523 : ย้อนรอย 45 ปี ม็อบชาวไทยมุสลิม 300 คน ประท้วงอิสราเอลยึดกรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวง

ภาพเปลวไฟกำลังลุกไหม้ผืนธงชาติอิสราเอล เป็นภาพที่ถูกเลือกหยิบขึ้นมาเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2523 แม้จะไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหว แต่อารมณ์ในภาพก็บ่งชี้ถึงความโกธรเคืองของชาวไทยมุสลิมต่อการกระทำของอิสราเอลอยู่ไม่น้อย
เหมือนเข็มของประวัติศาสตร์จะวิ่งเป็นวงกลม เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2568 มีรายงานว่าทีมสื่อมวลชนจากสำนักข่าวอัลจาซีราทั้งหมด 5 คน ได้ตกเป็นเหยื่อของการโจมตีแบบมุ่งเป้าโดยเจตนาของกองทัพอิสราเอล ขณะที่พวกเขากำลังพักอยู่ในเตนท์ผู้สื่อข่าว ตรงหน้าประตูทางเข้าของโรงพยาบาลอัล-ซีฟา ในเมืองกาซา พร้อมๆกันนั้นในวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ทางอิสราเอลยังอนุมัติแผนการตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งประชมคมโลกส่วนมากมองว่าการกระทำดังกล่าวของอิสราเอลผิดกฎหมายระหว่างประเทศ นี้คือสัญญาณที่เด่นชัดว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์เมื่อกว่า 45 ปีที่แล้ว มิได้เคลื่อนผ่านหรือเปลี่ยนแปลงไปเลย
ย้อนกลับไปเมื่อ 45 ปีที่แล้ว ขบวนผู้ประท้วงช่วยไทยมุสลิมได้มุ่งหน้าไปที่สถานฑูตอิสราเอลในซอยหลังสวนในช่วงบ่ายของวันที่ 22 สิงหาคม เพื่อประท้วงประเทศอิสราเอลที่ได้ยึดดินแดนปาเลสไตน์ โดยยึดครองกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงอย่างถาวร
ในระหว่างชุมนุมประท้วงมีการถือโปสเตอร์ เขียนข้อความประณามอิสราเอลและยิวอยูต่างๆนานา รวมทั้งออกแถลงการณ์คัดค้านโดยระบุว่าการกระทำของอิสราเอลครั้งนี้เป็นการดื้อด้านต่อมติขององค์การสหประชาชาติและเสียงประณามของชาวโลก แสดงให้เห็นว่าอิสราเอลไม่ต้องการสันติภาพในดินแดนตะวันออกกลางและสันติภาพของโลก
หลังจากทำการประท้วงไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง กลุ่มผู้ประท้วงได้นำแถลงการณ์ไปวางไว้หน้าประตูสถานทูตอิสราเอล ต่อจากนั้นได้นำธงชาติของอิสราเอลขึ้นมาเผาที่บริเวณเดียวกันนั้น พร้อมกับตะโกนสาปแช่ง ในที่สุด กลุ่มผู้ประท้วงจึงได้แยกย้ายกันกลับในเวลา 15.00 น. โดยประมาณ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจวางกำลังรักษาความสงบอยู่รอบๆ บริเวณสถานทูตจนกระทั่งกลุ่มผู้ประท้วงชาวไทยมุสลิมเดินทางกลับจนหมด
สาเหตุของการประท้วงในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ก่อนหน้าในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2523 รัฐสภาของอิสราเอลได้ผ่านกฎหมายเยรูซาเลม ที่ระบุถึงการอ้างสิทธิ์ของอิสราเอลเหนือพื้นที่เยรูซาเลมในฐานะเมืองหลวงของประเทศ กระนั้น คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติระบุว่า “กฎหมายเยรูซาเลม” ฉบับนี้ถือเป็นโมฆะและเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ไม่เข้าไปตั้งสถานเอกอัครราชทูตในกรุงเยรูซาเลม ซึ่งเท่ากับเป็นการไม่ยอมรับกรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล แต่ยังคงเป็นกรุงเทลอาวีฟที่นานาประเทศต่างให้การยอมรับว่าเป็นนครหลวง
ในทิศทางที่ตรงกันข้าม อิสราเอลยังคงยืนยันว่า “เยรูซาเลม” เป็นเมืองหลวงของประเทศตนเองมาโดยตลอด ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการตั้งถิ่นฐานและย่านที่อยู่อาศัยของชาวยิวจำนวนมากในนครเยรูซาเลมตะวันออก ส่งผลให้เยรูซาเลมกลายเป็นเมืองที่เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก สอดคล้องกับเหตุการณ์เมื่อครั้งประธานาธิบดีทรัมป์ ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2560 เขาเคยประกาศรับรองว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยอมรับให้กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลอย่างเป็นทางการ

การยอมรับในครั้งนั้น ทำให้นายกรัฐมนตรีของอิสราเอลในขณะนั้น เบนจามิน เนทันยาฮู เรียกการตัดสินใจของสหรัฐฯว่าเป็นวันประวัติศาสตร์ และกล่าวขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์เป็นอย่างสูง โดยระบุว่า “เยรูซาเลม เป็นเป้าหมายแห่งความหวัง ความฝัน และการภาวนาของเรามานานสามสหัสวรรษ”
ควันไฟของผืนธงชาติอิสราเอลที่ชาวไทยมุสลิมประท้วงต่อต้านการกระทำของอิสราเอลได้จางหายไป แต่เปลวไฟของกระสุนและดินระเบิดที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังยากที่จะจางหายไป

30 ปี ประกาศเกียรติคุณบุคคลสันติภาพดีเด่น ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์วันสันติภาพไทย นับเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์เพื่อรำลึกถึงก...
16/08/2025

30 ปี ประกาศเกียรติคุณบุคคลสันติภาพดีเด่น ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์

วันสันติภาพไทย นับเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์เพื่อรำลึกถึงการปฏิบัติหน้าที่เพื่อพิทักษ์ปกป้องเอกราชและอธิปไตยของไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีกำลังสำคัญคือ “ขบวนการเสรีไทย” ซึ่งนำโดยนาย ปรีดี พนมยงค์ ผู้เป็นหัวหน้าขบวนการ

กระนั้น ในขบวนการพิทักษ์รักษาเอกราชอันนำมาซึ่ง “สันติภาพ” มิได้แลกมาด้วยเลือดและควันปืนเป็นด้านหลัก หากแต่ด้วยการฑูตและสันติธรรม ยังประกอบไปด้วยบุคคลอื่นๆที่มีส่วนร่วมในขบวนการ นอกเหนือจากปรีดี พนมยงค์อยู่ด้วย บุคคลอีกบุคคลหนึ่งซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ ป๋วย อึ้งภากรณ์
ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 17 สิงหาคม 2538 รายงานว่าในวันที่ 16 สิงหาคม 2538 ตัวแทนคณะกรรมการสันติภาพไทย ได้มอบใบประกาศเกียรติคุณบุคคลสันติภาพดีเด่นแด่ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ เนื่องในวันสันติภาพไทย ที่บ้านพักในซอยอารี ดร.ป๋วย ได้เดินทางมารับรางวัลเกียรติยศนี้ด้วยตนเองและได้เดินทางกลับประเทศอังกฤษในวันเดียวกัน
รายงานข่าวฉบับเดียวกัน ยังได้ระบุอีกว่าในวันที่ 16 สิงหาคม 2538 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขณะดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทรงเป็นประธานเปิดงาน 50 ปี วันสันติภาพไทยที่จัดโดยคณะกรรมการงานวันสันติภาพไทย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสถาบันปรีดี พนมยงค์

ภายในงานนอกจากการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม เพื่ออุทิศแก่วีรกรรมของเสรีไทยและอดีตเสรีไทยที่ล่วงลับไปแล้ว ยังมีการกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สันติภาพและการสมานไมตรีเพื่อปัจจุบันและอนาคต” โดย นายอดัม เคิร์ล ผู้เชี่ยวชาญด้านสันติศึกษาชาวอังกฤษ
สาระสำคัญภายในงานที่เกี่ยวข้องกับ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ คือ การที่ น.พ.เสม พริ้งพวงแก้ว ประกาศเกียรติคุณบุคคลสันติภาพดีเด่น ซึ่งคณะกรรมการได้ประกาศเชิดชูเกียรติ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ผู้มีคุณูปการต่อสังคมไทยเป็นอันมาก ให้เป็นบุคคลสันติภาพแทนสหายทั้งหลายในวีรกรรมตลอดช่วงสงครามคราวนั้น และสืบต่อมมาจนทุกวันนี้เป็นเวลา 50 ปี หลังจากนั้น ทางคณะกรรมการจึงได้ให้เจ้าหน้าที่เดินทางไปมอบรางวัลดังกล่าวแก่ ดร.ป๋วย ณ บ้านพักในซอยอารี ดังที่ได้กล่าวไป
ในส่วนของวีรกรรมเพื่อ “สันติภาพ” ของ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ สะท้อนผ่านคำประกาศกิตติคุณบุคคลสันติภาพ ในวันที่ 16 สิงหาคม 2538 ที่ระบุไว้ว่า “... เมื่อคนไทยทั้งในประเทศและนอกประเทศ ได้ร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติภารกิจเพื่อให้บรรลุซึ่งอิสรภาพและสันติภาพในคราวสงครามโลกครั้งที่ 2 ในบรรดาอดีต “ผู้รับใช้ชาติ” ในครั้งนั้น ที่ยังดำรงชีวิตอยู่ ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ เป็นบุคคลหนึ่งซึ่งสามารถเป็นตัวแทนของคนไทย ผู้ยึดมั่นในอุดมคติสันติภาพอย่างมั่นคง”
“ท่านผู้นี้ตระหนักอย่างถ่องแท้ว่า สันติภาพมิใช่หมายถึงเพียงสภาพที่ปราศจากสงครามเท่านั้น หากยังมีความหมายครอบคลุมถึงมิติอื่นๆด้วย ได้แก่ สันติภาพทางสังคม สันติภาพทางเศรษฐกิจ สันติภาพทางครอบครัว และสันติภาพในชีวิต เมื่อสิ้นสงครามแล้ว ท่านได้รับใช้ชาติบ้านเมืองในฐานะข้าราชการอย่างเต็มกำลังสติปัญญาและความสามารถมาโดยตลอด ท่านเป็นผู้มีส่วนอย่างสำคัญในการผลักดันให้ผนวกการพัฒนาสังคมไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติด้วย”
“เมื่อได้มาดำรงตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์และอธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านได้พยายามทุกวิถีทางที่จะประสานความร่วมมือในระหว่างมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยอาศัยศักยภาพและทรัพยากรของสถาบันทางวิชาการเหล่านั้นพัฒนาชนบทอย่างบูรณการและอย่างมีมาตรฐาน ท่านเป็นผู้ริเริ่มโครงการบัณฑิตอาสาที่สนับสนุนให้บัณฑิตจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ได้มีโอกาสออกไปเรียนรู้และรับใช้ประชาชนในชนบท งานพัฒนาชนบทที่ท่านริเริ่มขึ้นนั้น นับเป็นกิจกรรมทางสังคมที่แปลกใหม่ในยุคสองทศวรรษก่อนและเป็นต้นแบบของการพัฒนาชนบทในปัจจุบัน”
“งานพัฒนาสังคมในลักษณะนี้เอง คือ การเสนอแนวทางการแก้ปัญหาบ้านเมืองโดยวิถีทางแห่งสันติท่ามกลางสังคมไทยที่กำลังมีช่องว่างทางสังคมและเศรษฐกิจระหว่างภาคเมืองกับภาคชนบทและระหว่างภาคธุรกิจกับนอกภาคธุรกิจ ครั้นเมื่อเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงจนเกิดการประหัตประหารกันเองระหว่างคนในชาติ ท่านได้ยึดหลักธรรมทางศาสนา เสนอทางออกให้สังคมไทยด้วยหลักการที่เรียกว่า “สันติประชาธรรม” คือ การเปิดโอกาสให้ประชาราษฎรที่ส่วนร่วมในการตัดสินกิจการของส่วนรวม โดยยึดถือหลักการถูกต้องชอบธรรม และหลักสันติวิธีอย่างหนักแน่น”
“แม้ท่านจะได้รับความลำบากเดือดร้อนจากความขัดแย้งทางการเมืองในยุคนั้น ท่านก็ยังสามารถดำรงสันติภาพในชีวิตของท่านอย่างมั่นคง และในยามชราแล้วนี้ท่านยังเป็นกำลังใจให้อนุชน สมกับเป็นแบบอย่างของบุคคลสันติภาพโดยแท้ ด้วยเหตุผลโดยสังแขป ดังได้แสดงมา คณะกรรมการจึงใคร่ขอถือโอกาสอันเป็นมงคลในวาระ 50 ปี แห่งกาลอันสำคัญยิ่งนี้ ประกาศยกย่อง “ศ.ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์” เป็นบุคคลสันติภาพ อันควรแก่การเชิดชูยิ่ง”

กระแสสังคมได้พัดพาให้กองทัพมีบทบาท “นำการเมือง-สังคม” ไปแล้ว (ซึ่งเป็นโจทย์ยากที่ต้องตามแก้ไขในวันข้างหน้า) แต่สังคมไทยต...
15/08/2025

กระแสสังคมได้พัดพาให้กองทัพมีบทบาท “นำการเมือง-สังคม” ไปแล้ว (ซึ่งเป็นโจทย์ยากที่ต้องตามแก้ไขในวันข้างหน้า) แต่สังคมไทยต้องไม่ถลำลึกไปอีกขั้น ด้วยการยกยอปอปั้นให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งกลายมาเป็น “ยี่ห้อ-สัญลักษณ์” ของกระบวนการ/ปฏิบัติการ “ทหารนำการเมือง-สังคม” ดังกล่าว
จนส่งผลเสียต่อระบบราชการและระบบการบริหารจัดการกำลังพลของกองทัพในระยะยาว

สังคมไทยต้องไม่สนับสนุนให้ความนิยมหรือการบูชายึดติดในตัวบุคคล มาทำให้ระบบที่เดินไปได้อยู่แล้วอย่างเป็นปกติ ต้องเสีย รวน กระทั่งเส้นทางการเจริญเติบโตของนายทหารระดับรองๆ ลงไป ต้องพลอยหยุดชะงัก และกลายเป็นปัญหาค้างคาในอนาคต

หรืออย่าทำให้ “โผทหาร” ที่กำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณา ณ เวลานี้ ต้องสะดุด เพราะสังคมไปติดยึดกับนายทหารยศ “พลโท” ตำแหน่ง “แม่ทัพภาค” หนึ่งราย

กระแสสังคมได้พัดพาให้กองทัพมีบทบาท “นำการเมือง-สังคม” ไปแล้ว (ซึ่งเป็นโจทย์ยากที่ต้องตามแก้ไขในวันข้างหน้า) แต่สังคมไทยต้องไม่ถลำลึกไปอีกขั้น ด้วยการยกยอปอปั้นให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งกลายมาเป็น “ยี่ห้อ-สัญลักษณ์” ของกระบวนการ/ปฏิบัติการ “ทหารนำการเมือง-สังคม” ดังกล่าว

จนส่งผลเสียต่อระบบราชการและระบบการบริหารจัดการกำลังพลของกองทัพในระยะยาว

อ่านบทความ ปัญหาของการ ‘ต่ออายุราชการ’ | ปราปต์ บุนปาน

https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_855642

14 สิงหาคม 2488  เวลา 19.03 น. ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 4 เดือนก่อนหน้า แถลงออกออก...
14/08/2025

14 สิงหาคม 2488 เวลา 19.03 น. ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 4 เดือนก่อนหน้า แถลงออกออกอากาศเพื่อประกาศการยอมรับเงื่อนไขการยอมแพ้สงครามโดยไม่มีเงื่อนไขโดยรัฐบาลญี่ปุ่น

ภายในไม่กี่นาที ท้องถนนในอเมริกาก็เต็มไปด้วยประชาชนนับล้านคนที่ตกตะลึงและมีความสุข บรรดาช่างภาพออกปฎิบัติงานและหนึ่งในอิริยาบทที่ถูกถ่ายไว้จำนวนไม่น้อยคือ “การจูบ” ซึ่งหลายคู่ คือ คนแปลกหน้า รวมทั้งภาพที่ชื่อเสียงที่สุดภาพหนึ่ง ที่ถ่ายโดยอัลเฟรด ไฮเซ็นสตรัดท์ แห่งนิตยสารไลฟ์ ที่ไทม์สแควร์ นิวยอร์ค

“ฉันกำลังเดินฝ่าฝูงชนในวันวีเจเดย์เพื่อหารูป ผมสังเกตเห็นกะลาสีคนหนึ่งกำลังเดินมาทางฉัน เขากำลังคว้าตัวผู้หญิงทุกคนที่หาเจอและจูบพวกเธอทุกคน ทั้งเด็กสาวและหญิงชรา จากนั้นฉันก็สังเกตเห็นพยาบาลคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนจำนวนมาก ฉันเพ่งมองเธอ และอย่างที่หวังไว้ กะลาสีคนนั้นก็เดินเข้ามาคว้าตัวพยาบาลคนนั้นแล้วก้มลงจูบเธอ ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นพยาบาล ถ้าเธอสวมชุดสีเข้ม ฉันคงไม่มีรูปนี้ ความแตกต่างระหว่างชุดสีขาวของเธอกับชุดเครื่องแบบสีเข้มของกะลาสีทำให้ภาพถ่ายดูโดดเด่นยิ่งขึ้น” (ข้อความจากหนังสือ The Eye of Eisenstaedt)

“มติชน” ฉบับวันที่ 16 สิงหาคม 2538 รายงานว่า นิตยสารไลฟ์ ซึ่งเป็นผู้ลงตีพิมพ์ภาพดังกล่าวว่า ระบุในปี 2523 ว่า นางพยาบาลในภาพคือนางอีดิธ เชน หลังจากนั้น ก็มีผู้ชายจำนวนมากพยายามอ้างตัวเป็นชายหนุ่มในภาพ แต่ได้รับการปฏิเสธจากทั้งนิตยสารไลฟ์ และนางเชน

จนกระทั่งในปี 2538 นายคาร์ล มัสคาเรล อดีตตำรวจนักสืบนิวยอร์ควัย 68 ออกมาบอกว่า เขาคือทหารเรือคนนั้น และเดินทางไปพบนางเชน

"นางเชน" เธอให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า ไม่เคยเห็นหน้าตาของชายในชุดทหารเรือที่ประทับรอยจูบบนแก้มเธออย่างชัดๆ อีกทั้งไม่เคยมั่นใจว่าจะชี้ตัวเขาผู้นั้นได้ 100% หากแต่เธอเชื่อว่า นายมัสคาเรลโล คือทหารเรือคนนั้นด้วยคำถาม 2 ข้อ

ลักษณะของการจูบเป็นอย่างไรและชายในชุดทหารพูดอะไรหลังจาก จูบ?

"ผู้ชายที่อ้างตัวเป็นทหารเรือในภาพบางคนก็ตอบว่า เขาขอนัดฉันไปเที่ยว บ้างก็ว่าชวนฉันไปทานอาหารค่ำ บ้างก็บอกว่าขอเบอร์โทรศัพท์ แต่ที่จริงแล้วทหารเรือคนนั้นไม่ได้พูดอะไรเลย" นาง เชนกล่าว

ขณะที่คำตอบของ "มัสคาเรลโล"คือ ..ผมไม่ได้พูดอะไรสักคำ ผมกอดเธอแล้วก็จูบอยู่นนาน หลังจากนั้นผมก็หันหลังเดินจากไป"

มัสคาเรลโล" ยังเล่าอีกว่า วันนั้นประชาชนมากมายในไทม์ สแควร์ต่างโผเข้าสวมกอดกันและหอมกันด้วยความดีใจ เขาเองก็รู้สึกเช่นนั้นและได้หอมผู้หญิงไปหลายคน

ต่อคำถามที่ว่า ลักษณะการจูบของทหารเรือในภาพเป็นอย่างไร "นางเชน" เล่าว่า "เป็นการจูบที่ไม่มีความรู้สึกอนาจารเขาเป็นสุภาพบุรุษ มันให้ความรู้สึกที่ดี แล้วเขาก็เดินจากไป"นางเชนเล่าระลึกความหลัง

อย่างไรก็ตาม นิตยสารไลฟ์ ไม่ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ ดังนั้น บุรุษ ผู้ประทับรอยจูบก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป หรือแม้กระทั่งกรณี นางอีดิธ เชน ที่นิตยสารไลฟ์ ยืนยัน ก็ยังมีผู้ตั้งข้อสังเกตุไม่เห็นด้วยว่าคือเธอ

แต่ไม่ว่า จะเป็นใคร V-J Kiss ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ ทางวัฒนธรรม ว่าด้วยเส้นแบ่ง วันเวลาแห่ง “สงคราม” และ “สันติภาพ” ไปตลอดกาล

(หมายเหตุ ภาพการจุมพิตนี้ ยังถูกถ่ายโดย วิกเตอร์ ยอร์เกนเซน แห่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ดังข้อมูลในลิงค์นี้ โดยระบุชื่อคนในภาพต่างกัน https://www.facebook.com/share/p/1HyLfbewdc/ )

ย้อนหลังไปในช่วงปี 2337-2538    นาม “แก๊ง "อ้วน-ผอม"  สร้างความหวาดผวาในหมู่ประชาชนทั้งในเขตนครบาลและปริมณฑลมณฑล โดยออกอ...
13/08/2025

ย้อนหลังไปในช่วงปี 2337-2538 นาม “แก๊ง "อ้วน-ผอม" สร้างความหวาดผวาในหมู่ประชาชนทั้งในเขตนครบาลและปริมณฑลมณฑล โดยออกอาละวาดปล้น ร้านเสริมสวยและร้านค้าอื่นๆ

ทำให้กรมตำรวจต้องสั่งหน่วยงาน ทั้งกองบัญชาการตำรวจนครบาล กองปราบปรามตำรวจภูธรจังหวัดในเขตปริมณฑลออกตามล่า กระทั่งในที่สุด กก.สส.น.เหนือได้เข้าจับกุมคนร้ายแก้งนี้ได้ 4 คน เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2538 และนำออกแถลงข่าวในวันถัดมา

แก๊ง "อ้วน-ผอม"ทั้งสี่ ประกอบด้วย นายชูศักดิ์ หรือศักดิ์ คงบุตร ฉายา "ผอม" อายุ 32 ,นายวีระหรือรุ่งหรือน้อย บุญเมือง ฉายา "ผอม" อายุ 22 ปี ,นายอาคมหรือหน่อยหรือเปี้ยก สายทองคำ ฉายา "อ้วน"อายุ 21 ปี และ นายสมบูรณ์ หรือ ไก่ ลือวัฒนะฉายา "อ้วน" อายุ 29 ปี

ตลอด 2 ปี ของการก่ออาชญากรรม แก๊ง "อ้วน-ผอม" ก่อคดีทั้งสิ้น 49 คดี ประกอบด้วยคดีในพื้นที่ สน.โชคชัย 10 คดี, สน.ประชาชื่น 6 คดี, สน.สุทธิ
สาร 5 คดี,สน.เตาปูน 5 คดี,สน.บางเขน 4 คดี, สน.ห้วยขวาง 3 คดี, สน.ทุ่งสองห้อง 2 คดี, สน.พหลโยธิน 1 คดี,สน.ลาดพร้าว 1 คดี,สน.หัวหมาก 1 คดี, สน.บางซื่อ 1 คดี ส่วนคดีที่เหลือเกิดขึ้นในเขตจ.นนทบุรี 9 คดีและปทุมธานี 1 คดี

และนี่คือคำให้สัมภาษณ์แบบเปิดใจของนายชูศักดิ์ คงบุตร ฉายา "ผอม" หัวหน้าแก๊ง!!!

"ผมชำนาญเส้นทางใน กทม.มาก โดยเฉพาะในเขต บก.น.เหนือ เพราะเคยขับขี่รถจักรยานยนต์รับ จ้างตั้งแต่ปี 2524 ต่อมาหนีคดีปล้นจาก สน.บางซื่อในปี 2535 จากนั้นก็เข้ากรุงเทพฯ ก่อคดีชิงทรัพย์เพียงคนเดียว โดยเฉพาะในเขตนครบาลเหนือ ย่านถนนลาดพร้าว ถนนพหลโยธิน"

•ทำไมคิดจะปล้น
"เพราะมีปัญหาในเรื่องค่าครองชีพ ผมมีเมีย 4 คน มีลูก 4 คน งานที่ทำไม่มีเงินเพียงพอจะเลี้ยงจึงต้องปล้น ต่อมาได้มีน้องๆ เข้ามาร่วมงานด้วย เพราะเคยรู้จักกับผมและเห็นว่าผมมีเงินใช้จ่าย มือเติบ อยาก คิดมีเงินบ้างจึงขอร่วมงานด้วย จากนั้นก็ทำงานกันเป็นทีมๆ ละ 2 คน โดยขับรถจักรยานยนต์ตรวจดูว่า ร้านไหนที่น่าปล้นก็เข้าไปปล้น ไม่มีการวางแผนขึ้นอยู่กับแต่ละคนตัดสินใจดูว่าร้านไหนปลอดภัยก็ลงมือระหว่างเข้าปล้นจะให้ทุกคนหมอบลง เมื่อได้ทรัพย์สินแล้วก็หลบหนีออกต่างจังหวัด"

•แล้วไปทำร้ายเจ้าทรัพย์เขาทำไม
"ที่ทำร้ายไปก็มีบ้าง แต่ไม่มีเจตนา เพราะต้องการทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว แต่ที่ต้องลงมือทำร้ายเพราะเอาปืนออกมาข่มขู่ให้เกิดความกลัว หากฉุกเฉินก็จะตบก่อน ถ้ายังมีการขัดขืนอีกจะยิงปืนขู่ขึ้นฟ้า อย่างไร ก็ตามหากมีการต่อสู้ถึงขั้นใช้ปืนยิงมา ผมก็จะสู้เพื่อความอยู่รอด"

•หลบหนีตำรวจไปได้อย่างไร
"ก่อนเข้าปล้นจะจอดรถจักรยานยนต์ไว้หน้าร้านบางครั้งต้องสตาร์ทรถไว้เลย เมื่อเสร็จก็ขับหลบหนีเปลี่ยนป้ายทะเบียน เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ วิ่งไปตามตรอกซอยเพื่อออกไปสู่ต่างจังหวัด จะไม่กบดานใน กทม.ส่วนโทรศัพท์มือถือนั้นผมไม่มีเจตนาจะเอาไปขาย แต่เพื่อไม่ให้เจ้าทุกข์โทรศัพท์แจ้งตำรวจทันการณ์จึงต้องเอาไปด้วย เมื่อเอาไปแล้วก็ไม่ขายเพราะกลัวเป็นเบาะแสให้ตำรวจจับกุม นอกจากนี้ยังขายไม่ได้ราคา ส่วนใหญ่จะทุบทิ้ง มีพวกน้องๆ ที่เข้ามาใหม่บางคนก็เอาไปใช้ เก็บไว้เพื่อความโก้เก๋ แต่ผมไม่เก็บกลัวตำรวจจับได้"

•เคยคิดจะปล้นคลีนิกหรือไม่
"ไม่เอา เพราะตามคลินิกมีแต่คนตกทุกข์ได้ยาก ที่ปล้นร้านเสริมสวยและร้านอาหารเพราะส่วนใหญ่คนที่เข้าไปในร้านมีอันจะกินและมีเงิน คิดว่าแต่ละคนคงไม่เดือดร้อนเท่าใดนัก"

•เอาเงินที่ปล้นไปทำอะไร
"เงินที่ได้มาจากการปล้นเหมือนกับเบี้ยหัวแตก ใช้เที่ยวเตร่บำเรอความสุข แบ่งให้ลูกเมียใช้บ้าง แต่ส่วนใหญ่เที่ยวและเล่นการพนัน เมื่อหมดเงินก็ปล้นใหม่เป็นอย่างนี้ตลอด เป็นวัฏจักร ตอนแรกคิดจะตั้งตัวแต่ทำไม่ได้ คิดจะเลิกอยู่เหมือนกันแต่มาถูกจับเสียก่อน"

•ทำไมถึงปล้นหลายร้านในวันเดียวกัน
"เนื่องจากปล้นร้านเดียวไม่เพียงพอ มีคนร่วมงานหลายคนต้องแบ่งกัน และต้องรู้ว่าเมื่อเกิดเหตุจุดใดจุดหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจะแห่กันไปที่เกิดเหตุกันมากทำให้จุดอื่นว่างจากการระวังป้องกัน

•รู้ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่
"ทราบจากการติดตามข่าว และยังทราบข่าวว่ามีทั้งตำรวจกองปราบฯ นครบาล ตำรวจนนทบุรีกำลังตามจับพวกผมอยู่จึงหลบหนีออกต่างจังหวัดตลอดไม่ยอมอยู่กับที่

• ไม่กลัวตำรวจจับตายหรือ
"เรื่องอย่างนี้ก็ต้องเสี่ยงเอา ก่อนงานทุกครั้ง ทุกคนยอมรับสภาพว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าก็ต้องเกิด เมื่อเจอตำรวจก็แล้วแต่ดวงเพราะมันสุดวิสัย ที่ถูกจับ กุมครั้งนี้ทุกคนยอมรับและยอมรับความเป็นสุภาพบุรุษของเจ้าหน้าที่ กก.สส.น.เหนือ เมื่อถูกจับกุมแล้ว ต่อไปประชาชนคงนอนตาหลับเสียที ผมขอยอมรับใช้กรรมตามที่ได้ก่อไว้ทุกอย่าง"

•เมื่อออกจากคุกมาจะเลิกหรือไม่
"คิดดูว่าคนอายุประมาณ 40-50 ปี ออกมาแล้วคงไม่คิดจะทำอย่างนั้น เพราะมันเกินวัยที่จะทำอย่างเดิมอีก"

ที่อยู่

Bangkok
10900

เบอร์โทรศัพท์

+6625890020

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Mati Insightผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Mati Insight:

แชร์