ALONE For CASH Ltd.

ALONE For CASH Ltd. ที่ปรึกษาการบริหารในเรื่องการเงินเเละธุรกิจยุคดิจิทัล

04/07/2025

เศรษฐกิจดิจิทัลคือความหวัง ต้องวางรากฐานให้รู้จัก AI มากขึ้น World Bank แนะนำและคาด ปีนี้ GDP ไทยอาจเหลือ 1.8%
ธนาคารโลกเผยรายงาน “Thailand Economic Monitor: Digital Pathways to Growth” ฉบับล่าสุดระบุว่า โดยคาดว่า GDP ไทยปี 2568 จะเติบโตเพียง 1.8% และยังคาดการณ์ว่าในปี 2569 อาจจะเหลือเพียง 1.7% จากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก การส่งออกที่ชะลอตัว และการบริโภคในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว
แม้ว่าไทยจะกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากหลายทิศทาง แต่ ธนาคารโลก เผยว่า “เศรษฐกิจดิจิทัล” คือโอกาสสำคัญของไทยในการเร่งการเติบโต โดยคาดว่ามีมูลค่าราว ๆ 6% ของ GDP และกลุ่มอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน การชำระเงินดิจิทัล ฟินเทค ซอฟต์แวร์ และวิศวกรรม เป็นกลุ่มที่มีอัตราจ้างงานเติบโตเร็วที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
แต่แม้จะมีบุคลากรที่มีความสามารถ และมีคนไทยที่ใช้บริการดิจิทัลมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่การเข้าถึงความรู้ด้านเทคโนโลยียังน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีวิชาสอนเรื่องเทคโนโลยีหรือ AI อย่างจริงจัง
คลิกอ่านต่อใน comment
#เศรษฐกิจไทยรัฐออนไลน์ #เศรษฐกิจดิจิทัล #ธนาคารโลก #การเงิน #เทคโนโลยี #การศึกษา

ผู้ถือหุ้น YGG ไฟเขียวอนุมัติเพิ่มทุน PP กลุ่มทุนใหม่ 29.34%ผู้ถือหุ้น YGG ไฟเขียวอนุมัติเพิ่มทุน PP กลุ่มทุนใหม่ 29.34%...
02/07/2025

ผู้ถือหุ้น YGG ไฟเขียวอนุมัติเพิ่มทุน PP กลุ่มทุนใหม่ 29.34%

ผู้ถือหุ้น YGG ไฟเขียวอนุมัติเพิ่มทุน PP กลุ่มทุนใหม่ 29.34% พร้อมหนุน - เดินหน้าลุยธุรกิจเต็มสูบ

นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG เปิดเผยว่า ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ผู้ถือหุ้นมีมติเป็นเอกฉันท์ในการอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) 5 ราย จำนวน 250 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.54 บาท

โดยหุ้นสามัญเพิ่มทุน มีเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) 5 ราย ประกอบด้วย นายพิรัส ศิริขวัญชัย จำนวน 10 ล้านหุ้น หรือ 1.17% ศ.นพ.สมศักดิ์ เซาว์วิศิษฐ์เสรี จำนวน 20 ล้านหุ้น หรือ 2.35% นางทัศน์ดาว ชมเชย จำนวน 30 ล้านหุ้น หรือ 3.52% นายเธียรชัย ลีสิรวงศ์ จำนวน 35,000,000 หุ้น หรือ 4.11% และนางสาวอัครภิทย์ตา มีชัยวงค์ จำนวน 155 ล้านหุ้น หรือ 18.19%

นายธนัช กล่าวอีกว่า บริษัทได้เงินจากการเพิ่มทุนครั้งนี้จำนวน 135 ล้านบาท ประมาณเดือนมีนาคม - มิถุนายน 2568 โดยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน บริษัทมีแผนทางธุรกิจเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ จำนวน 95 ล้านบาท ส่วนอีกจำนวน 40 ล้านบาท ใช้เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ และพัฒนาโครงการผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของบริษัท ซึ่งมั่นใจว่าเม็ดเงินจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะสร้างความมั่นคงทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่อง และเปิดโอกาสให้บริษัทได้ขยายและต่อยอดธุรกิจ

“กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ 5 ราย มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 29.34% ทุกท่านมั่นใจในศักยภาพของ YGG ต้องการเข้ามาลงทุนมองถึงระยะยาว และมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตตามเทรนด์ตลาดโลก ในจำนวนผู้เข้ามาถือหุ้นมี คุณพิรัส ศิริขวัญชัย จะเข้ามาเป็นกรรมการของบริษัท และผู้ถือหุ้นทุกท่านพร้อมสนับสนุนธุรกิจของ YGG ให้เติบโตได้อย่างมั่นคง” นายธนัช กล่าว

หุ้นสหรัฐฯร่วงหนัก กังวลเศรษฐกิจถดถอยตลาดหุ้นหลักของสหรัฐฯ ปิดตัวลดลงอย่างหนักเมื่อวานนี้ 10 มี.ค. หลังเกิดความวิตกว่าเศ...
30/06/2025

หุ้นสหรัฐฯร่วงหนัก กังวลเศรษฐกิจถดถอย

ตลาดหุ้นหลักของสหรัฐฯ ปิดตัวลดลงอย่างหนักเมื่อวานนี้ 10 มี.ค. หลังเกิดความวิตกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มเผชิญกับสภาวะถดถอย อันเป็นผลจากมาตรการกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากหลายประเทศคู่ค้าสำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่สงครามการค้า

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ลดลง 890.01 จุด หรือ 2.08% ปิดที่ 41,911.71 จุด ดัชนี แนสแด็ก คอมโพสิต (Nasdaq Composite) ลดลง 727.90 จุด หรือ 4.00% เป็น 17,468.32 จุด ส่วนดัชนี S&P 500 (.SPX) ลดลง 155.64 จุด หรือ 2.70% ปิดที่ 5,614.56 จุด นับเป็นการปรับตัวลดลงในหนึ่งวันที่มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม

โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญกับช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่าน

ซึ่งการแสดงความเห็นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ผู้นำสหรัฐฯพยายามเบี่ยงเบนความสนใจต่อประเด็นที่ว่าเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในความเสี่ยงที่จะเข้าสู่สภาวะถดถอย

ขณะที่นักวิเคราะห์จากหลายสำนักพากันปรับลดประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเตือนว่าการทำสงครามการค้าของประธานาธิบดี ทรัมป์กำลังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้

โดย โกลด์แมน แซคส์ประกาศปรับเพิ่มโอกาสที่สหรัฐจะเผชิญภาวะถดถอยเป็น 20% จากเดิมที่ระดับ 15% โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์และเงินเฟ้อที่ถีบตัวสูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อการจ้างงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ด้าน มอร์แกน สแตนลีย์ปรับลดคาดการณ์การการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 1.5% จากเดิมที่ระดับ 1.9% เนื่องจากผลกระทบของนโยบายการค้าและการควบคุมผู้อพยพเข้าประเทศมีความรุนแรงมากกว่าที่ประเมินไว้

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด สาขาแอตแลนตา เปิดเผยแบบจำลองคาดการณ์ GDP ล่าสุดบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะติดลบ 2.4% ในไตรมาสแรกของปีนี้ หลังจากก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในแดนบวกที่ระดับ 2.3% ในไตรมาสดังกล่าว

InnovestX คาด SET "ผันผวน" เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนInnovestX คาด SET ผันผวนและมีโอกาสปรับลง จากความไม่แน่นอน ประเมินแนวรั...
26/06/2025

InnovestX คาด SET "ผันผวน" เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

InnovestX คาด SET ผันผวนและมีโอกาสปรับลง จากความไม่แน่นอน ประเมินแนวรับที่ 1180 - 1170 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1200 - 1210 จุด

InnovestX คาดว่า SET ผันผวนและมีโอกาสปรับลง จากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีของ ปธน. ทรัมป์ ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์เริ่มมีความตึงเครียดขึ้น อีกทั้งปัจจัยการเมืองในประเทศที่ร้อนแรงขึ้น ทำให้ภาพรวมของ SET ยังเปิด Downside Risk อยู่ ประเมินแนวรับที่ 1180 - 1170 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1200 - 1210 จุด

ช่วงสั้นมอง SET ฟื้นตัวจำกัด จากความกังวลเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศและการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในระดับต่ำและฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบในเชิง Valuation จะพบว่า ระดับ PER ของ SET ที่ 12-13 เท่า อาจจะดูเหมือนสูงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค แต่มองว่าสัดส่วนภาคบริการของไทยมีมากกว่าเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง แม้จะมีสัญญาณชะลอตัวลงแต่จะได้รับแรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดเช่นเดียวกับธนาคารกลาง ECB ที่ตลาดคาดจะมีมติปรับลดดอกเบี้ย 25bps สู่ 2.50% ส่วนเศรษฐกิจจีนยังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการของรัฐ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

กลยุทธ์ลงทุนแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้

1.หุ้น Undervalued เป็นหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรสามารถเติบโตได้ 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (มี PBV < 1 เท่า) 3) Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 2568F ต่ำกว่า -1SD) 4) SETESG Rating ระดับ A-AAA และมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ แนะนำ CPALL BDMS MTC MINT BTG

2.หุ้นปันผลคุณภาพดี โดย 1) มีสถิติจ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปีขึ้นไป และมี SETESG Rating ระดับ A-AAA 2) คาดจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักปันผลระหว่างกาลแล้ว ยังให้ Div. Yield เกิน 4% และ Div. Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว และ 3) ปี 2568 ผลประกอบการยังแข็งแกร่ง และราคาหุ้นยังมี Upside เกิน 15% แนะนำ AP KTB BBL PTT SPALI KBANK

3.หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนกำไร 1Q68 ที่คาดจะเติบโต YoY และ QoQ และมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC

4.Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไร 1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่ม REITs (LHHOTEL DIF), กลุ่มค้าปลีก (CPALL CPAXT) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI), กลุ่มธนาคาร (TISCO KKP), กลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) และกลุ่มไฟฟ้า (GULF GPSC) และ 2) หุ้นที่คาดได้ Sentiment บวกจากงาน Opp. Day ซึ่งคาดโทนประชุมเป็นบวกในสัปดาห์หน้า CPALL BCP AMATA KLINIQ

หุ้นเด่น

B*H: มองเป็นหุ้น Defensive คาดกำไรปกติปี 2568 จะเติบโตดีสุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 15% หนุนจาก 1) การขยาย/ปรับปรุง รพ. 2) การอัพเกรด รพ. การุญเวช ปทุมธานี เป็น รพ. เกษมราษฎร์ ปทุมธานี 3) การเพิ่มบริการใหม่ๆ และ 4) การดำเนินงานที่เติบโตมากขึ้นที่ รพ. ใหม่ 3 แห่ง Valuation ไม่แพง ซื้อขายที่ PER 2568F ระดับ 22.5 เท่า หรือที่ระดับ -2SD

GPSC: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากการปรับตัวลงของราคาก๊าซฯ ปี 2568 คาดกำไรปกติจะเติบโต 3.9% มีปัจจัยหนุน ได้แก่ การเพิ่มกำลังการผลิต, การได้รับการคัดเลือกโครงการพลังงานทดแทนระยะที่ 2 รอบแรก, ไม่มีผลกระทบจากการบังคับใช้ภาษีขั้นต่ำสากล

ตลาดหุ้นไทยวันที่ 7 มี.ค.2568 เปิดบวกเล็กน้อย +1.66 จุด ที่ 1,191.21 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6,705.32 ล้านบาท ( เวลา 10:20:28 น.)

24/06/2025

การค้าโลกเริ่มผ่อนคลาย การเมืองไทยเริ่มแผดเผา I Expert Pool
สถานการณ์การค้าโลกเริ่มมีแววผ่อนคลายจากจุดสูงสุดของสงครามการค้า โดยมีข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ลดภาษีอย่างมีนัยสำคัญ และการชะลอมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้การส่งออกไทยเดือนพฤษภาคม 2025 เร่งตัวขึ้นถึง 18.4% โดยได้รับแรงหนุนจากการเร่งสั่งซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักรกลก่อนมาตรการภาษีใหม่
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศกลับทวีความรุนแรง จากวิกฤติคลิปเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2025 และสร้างแรงกดดันทางการเมืองอย่างมาก แต่การวิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์การเมืองชี้ให้เห็นว่าการล้มรัฐบาลผ่านกลไกรัฐสภาไม่น่าจะเกิดขึ้น รัฐบาลปัจจุบันยังคงฐานเสียงที่แข็งแกร่งหากไม่รวมพรรคภูมิใจไทย โดยมีเสียงประมาณ 261 เสียงจาก 500 เสียง ซึ่งมากกว่าครึ่งประมาณ 10 เสียง
จึงมองว่า รัฐบาลมีทางเลือกสุดท้ายในมือคืออำนาจการยุบสภา โดยประเมินความน่าจะเป็นแบ่งออกเป็น 3 สถานการณ์หลัก ได้แก่ การยุบสภาทันที (ความเป็นไปได้ต่ำ) การปรับคณะรัฐมนตรีและรอให้ พรบ.งบประมาณ 2569 ผ่านก่อน (30 กันยายน) จึงค่อยยุบ (ทางเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุด) และสถานการณ์อื่นๆ เช่น ไม่ยุบสภาและบริหารราชการแบบปกติ (ความเป็นไปได้ปานกลาง)
หากมีการยุบสภาก่อนที่พระราชบัญญัติงบประมาณ 2569 จะผ่านสภาในเดือนกันยายน 2568 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงประมาณ 0.5 percentage point ต่อปีเหลือประมาณ 1% ทั้งในปี 2568 และ 2569 จากกระบวนการงบประมาณที่ล่าช้า ในทางตรงกันข้าม หากยุบสภาหลังจากงบประมาณผ่านแล้ว (ตุลาคมเป็นต้นไป) ผลกระทบจะลดลงเหลือประมาณ 0.3 percentage point
คลิกอ่านต่อใน Comment
#เศรษฐกิจไทยรัฐออนไลน์ #ลงทุน #คลิปเสียง #การเมืองระหว่างประเทศไทย #แพทองธารชินวัตร

EGCO Group เปิด Yunlin ในไต้หวัน เคาะจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลัง 3.25 บาท/หุ้นEGCO Group เปิด Yunlin โรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชา...
22/06/2025

EGCO Group เปิด Yunlin ในไต้หวัน เคาะจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลัง 3.25 บาท/หุ้น

EGCO Group เปิด Yunlin โรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งในไต้หวัน รู้รายเต็มปี 2568 ด้าน งบ 67 เคาะจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลัง 3.25 บาท/หุ้น กำไรสุทธิทะยาน 165%

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group โดย ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วยรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานปฏิบัติการ สายงานพัฒนาธุรกิจต่างประเทศ และสายงานบัญชีและการเงิน เปิด Yunlin หนึ่งในโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งในไต้หวัน กำลังผลิต 640 เมกะวัตต์ อย่างเป็นทางการ ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบและเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าของไต้หวันแล้ว

สำหรับโรงไฟฟ้า Yunlin ดำเนินการโดยบริษัท ยุนเหนิง วินด์ พาวเวอร์ จำกัด (Yunneng) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง EGCO Group ถือหุ้น 26.56% Skyborn Renewables ถือหุ้น 31.98% TotalEnergies ถือหุ้น 29.46% และ Sojitz Corporation ถือหุ้น 12%

ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group กล่าวว่า Yunlin ยังเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งแห่งแรกของ EGCO Group ที่ดำเนินการในไต้หวัน ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนตามสัดส่วนการถือหุ้นให้ EGCO Group ประมาณ 170 เมกะวัตต์ ในขณะเดียวกันจะทำให้ EGCO Group สามารถรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า Yunlin เต็มปี 2568 อีกด้วย

โรงไฟฟ้า Yunlin ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบไต้หวัน ห่างจากชายฝั่งตะวันตกของมณฑลหยุนหลินในไต้หวันเป็นระยะทางประมาณ 8-17 กิโลเมตร ที่ระดับความลึกของน้ำทะเลในช่วง 7-35 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 82 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยกังหันลม 80 ต้น กำลังผลิตต้นละ 8 เมกะวัตต์ รวมกำลังผลิตทั้งหมด 640 เมกะวัตต์ ไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกส่งเข้าสู่โครงข่ายไฟฟ้าของไต้หวันผ่านสถานีไฟฟ้าบนฝั่ง 2 แห่ง ใกล้กับตำบลไถซีและซื่อหู ในมณฑลหยุนหลิน เพื่อขายให้กับ Taiwan Power Company (TPC) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 20 ปี โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2562 ประกอบด้วยธนาคารไต้หวันและธนาคารระหว่างประเทศ รวมทั้งหน่วยงานสินเชื่อเพื่อการส่งออก

โรงไฟฟ้า Yunlin มีศักยภาพการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด 2,400 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ต่อปี ซึ่งสามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับภาคครัวเรือนไต้หวันมากกว่า 600,000 หลังคาเรือน คิดเป็น 90% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือนทั้งหมดของมณฑลหยุนหลินและช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี

ด้านผลประกอบการ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ประกาศผลการดำเนินงานปี 2567 มีกำไรจากการดำเนินงาน 9,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และมีกำไรสุทธิ 5,412 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,796 ล้านบาท หรือ 165% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ พร้อมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเคาะจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลัง 3.25 บาท/หุ้น รวมปันผลทั้งปี 6.50 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนประมาณ 6%

20/06/2025

ถอดรหัสราคาอาหารจานด่วน 13 ปี จากราคาเฉลี่ย 31 บาท/จาน สู่ 64 บาท คนเมืองจ่ายแพงขึ้น 106% สะท้อนกระเป๋าเงินคนไทย
ราคาขึ้น 106% ในเวลา 13 ปี แต่คุณ...ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่?
นี่คงเป็น 1 ในเหตุผล ที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่า ทำงานหนักขึ้น แต่กลับมีเงินไม่พอใช้มากขึ้นทุกปี หากเงินเดือนคุณขึ้นปีละ 3% แต่ต้องจ่ายค่าข้าวแพงขึ้น 6% ในทุกๆปี ไม่ต่างจากเรากำลัง “จนลง” โดยไม่รู้ตัว
ข้อมูลนี้ไม่ได้อ้างเอ่ยขึ้นมาเอง แต่มาจากการเก็บข้อมูล และสำรวจ การเปลี่ยนแปลงราคาอาหาร ใจกลางเมือง ย่าน สีลม สุรวงศ์ และ สาทร ตั้งแต่ปี 2555-2568 โดย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งถือเป็น 1 ในดัชนีสำคัญ ชี้วัด เศรษฐกิจของประเทศ
การสำรวจนี้ ดำเนินการรวมทั้งสิ้น 21 ครั้ง แต่ในระยะหลังเปรียบเทียบรอบปีแทน เจาะจงเฉพาะในพื้นที่สีลม-สุรวงศ์ ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางธุรกิจหรือ Central Business District (CBD) ของประเทศไทย และมีคนทำงานในสำนักงานเป็นจำนวนมาก
ภายใต้ตั้งสมมติฐานว่าราคาอาหารในย่านนี้เป็นราคามาตรฐานตัวแทนสำคัญสำหรับกรุงเทพมหานคร ผ่านการเดินสำรวจซ้ำตามร้านเดิมที่เคยสำรวจไว้จำนวนมากกว่า 30 ร้าน บางบริเวณเป็นร้านอาหารร้านเดียว บางบริเวณเป็นศูนย์อาหาร
พร้อมบันทึกถ่ายภาพนิ่ง และวีดีทัศน์ประกอบ และในบางบริเวณมีร้านค้าเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามห้วงเวลาอีกด้วย โดยแต่ละครั้งที่สำรวจใช้เวลาในการเดินไม่เกิน 2 ชั่วโมงในช่วงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน
ปรากฎข้อมูล 13 ปี (พฤษภาคม 2555 – มิถุนายน 2568) ราคาอาหารจานด่วน เพิ่มจาก 31.0 บาท เป็น 64.0 บาท หรือเพิ่มขึ้น 106.5% และหากคิดเป็นการเพิ่มขึ้นต่อปี ก็เท่ากับเพิ่มขึ้นประมาณ 5.7% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร เพราะสูงกว่าอัตราภาวะเงินเฟ้อ

(อ่านต่อในคอมเมนต์)

#เศรษฐกิจไทยรัฐออนไลน์ #ราคาข้าว #อาหารจานด่วน #ราคาอาหาร #เงินเฟ้อ #ต้นทุนธุรกิจ #สีลม #สาทร #เศรษฐกิจไทย #รายได้ #เงินเดือน

ปี 68 บสย.ค้ำประกันสินเชื่อกว่า 1 แสนล้าน ปลดล็อก SMEs ซื้อรถกระบะใหม่บสย. จัดวงเงินค้ำประกันสินเชื่อกว่า 1 แสนล้าน ตลอด...
18/06/2025

ปี 68 บสย.ค้ำประกันสินเชื่อกว่า 1 แสนล้าน ปลดล็อก SMEs ซื้อรถกระบะใหม่

บสย. จัดวงเงินค้ำประกันสินเชื่อกว่า 1 แสนล้าน ตลอดปี 2568 ปลดล็อก SMEs ซื้อรถกระบะใหม่ หนุน “กลุ่มเปราะบาง” เข้าถึงสินเชื่อ

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ในปีนี้ บสย. มีโครงการค้ำประกันสินเชื่อรูปแบบใหม่ๆ เพื่อขยายการช่วยเหลือ SMEs ให้ครอบคลุมมากที่สุด โดยเตรียมวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ 110,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบ 142,000 ล้านบาท ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 165,000 ราย รักษาการจ้างงาน 940,000 ตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ 454,300 ล้านบาท

ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อต่างๆ ทั้งโครงการตามมาตรการรัฐ PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ โดย บสย. ดำเนินการเอง เช่น ผู้ประกอบการที่ต้องการซื้อกระบะใหม่ ในการขนส่งสินค้าและธุรกิจค้าขาย มีมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อ (บสย. SMEs PICK-UP) วงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อช่วย SMEs กลุ่มนี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. คาดว่าสามารถช่วยผู้ประกอบการที่ต้องการซื้อรถกระบะใหม่ เข้าถึงสินเชื่อ 12,500 ราย

นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นตลาดรถเชิงพาณิชย์ที่ซบเซาให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตลอดปีนี้

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสำหรับ ผู้ประกอบการรายย่อย/กลุ่มเปราะบาง ผู้ที่เริ่มทำธุรกิจ อาชีพอิสระ สำหรับกลุ่ม Micro SMEs ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบ วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท ค้ำประกันไม่เกิน 20,000 บาทต่อราย

และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย. SMEs มีทุน” ช่วย SMEs รายย่อย อาชีพอิสระที่มีปัญหาเข้าถึงสินเชื่อในระบบ วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท ค้ำประกันไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย รวม 2 โครงการ คาดว่าจะช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบไม่ต่ำกว่า 200,000 ราย เป็นต้น

สำหรับ ผลดำเนินงานปี 2567 บสย. มียอดค้ำประกันสินเชื่อ 53,738 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้รับสินเชื่อ 88,472 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs) 90% ค้ำประกันเฉลี่ย 100,000 บาทต่อราย อีก 10% เป็น SMEs ทั่วไป ค้ำประกันเฉลี่ย 4.96 ล้านบาทต่อราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน 58,986 ล้านบาท รักษาการจ้างงาน 487,253 ตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 220,462 ล้านบาท

มติผู้ถือหุ้นไฟเขียว MGI กู้เงิน ณวัฒน์ 35 ล้านบาท จัด มิสยูนิเวิร์สMGI แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ อนุมัติให้บริษัทเข้าทำสัญญาจ...
14/06/2025

มติผู้ถือหุ้นไฟเขียว MGI กู้เงิน ณวัฒน์ 35 ล้านบาท จัด มิสยูนิเวิร์ส

MGI แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ อนุมัติให้บริษัทเข้าทำสัญญาจัดงานประกวด Miss Universe Thailand ครั้งที่ 74 ช่วงเดือน พ.ย.2568 โดยกู้เงิน ณวัฒน์ 35 ล้านบาท

บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2568เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าทำสัญญาจัดงานประกวด Miss Universe ครั้งที่ 74 (Hosting Agreement) กับบริษัทในกลุ่ม JKN ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิ์ในการจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สทั่วโลก เพื่อให้บริษัทได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่ 74 ที่จะจัดขึ้นในประเทศไทย ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568

สำหรับการจัดการประกวดมิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่ 74 ในปีนี้ บริษัทจะดำเนินการลงทุน ออกแบบ และจัดงานเองทั้งหมดในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “The Grand Universe. The Power of Love. The Power of Thailand” และจะยังคงรับผิดชอบการจัดงานประกวดมิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่74 ในประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานของ องค์กรมิสยูนิเวิร์ส พร้อมทั้งดำเนินงานให้สำร็จลุล่วงตามเงื่อนไขสัญญาที่กำหนด โดยบริษัทจะมีรายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมและการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังมีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน เรื่อง การรับความช่วยเหลือทางการเงิน โดยกู้ยืมเงินจาก นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท โดยถือหุ้นร้อยละ 42.88 จำนวนวงเงินกู้ยืมไม่เกิน 35 ล้านบาท มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.5 ต่อปี แบบไม่มีหลักประกัน และกำหนดเวลาในการคืนเงินกู้ ภายใน 30 วันนับจากวันที่เบิกใช้วงเงินกู้ยืม

12/06/2025

รวยล้น แต่ว่างเปล่า ครึ่งหนึ่งของธุรกิจครอบครัวเอเชีย ยังไม่รู้จะส่งต่อ “มั่งคั่ง”อย่างไร
รายงานล่าสุดจาก HSBC Global Private Banking เผยให้เห็นภาพรวมของธุรกิจครอบครัวในเอเชีย ที่แม้จะครอบครองทรัพย์สินระดับหมื่นล้าน แต่กว่า 52% ยังไม่มีแผนสืบทอดธุรกิจอย่างชัดเจน สวนทางกับความตั้งใจที่เจ้าของกิจการเกือบ 78% ต้องการเก็บกิจการไว้ภายในครอบครัว
ผลสำรวจใน 10 ตลาดหลัก พบว่าเจ้าของธุรกิจครอบครัวในเอเชีย โดยเฉพาะ จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และไต้หวัน มีอัตราการวางแผนสืบทอดต่ำเมื่อเทียบกับฝั่งตะวันตก เช่น อินเดีย ซึ่งมีถึง 79% ที่วางแผนส่งต่อธุรกิจให้สมาชิกในครอบครัว ขณะที่ฮ่องกงมีเพียง 44% และไต้หวัน 61%
นอกจากนี้ เจ้าของธุรกิจจำนวนไม่น้อยยังมองทางเลือกอื่นนอกจากการเก็บธุรกิจไว้ในครอบครัว โดยเฉพาะในเอเชียที่พบว่ามีแนวโน้ม “ขายกิจการเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งแทน”
เช่น จีนแผ่นดินใหญ่ (25%) ฮ่องกง (29%) และสิงคโปร์ (22%) ต่างมีอัตราการสนใจขายกิจการสูงสุดในกลุ่มตลาดที่สำรวจ

- จีนแผ่นดินใหญ่: ผู้สืบทอดรุ่นสอง-สามกว่า 60% รู้สึกว่าต้องสืบสานกิจการต่อ
- อินเดีย: มีเพียง 7% เท่านั้นที่รู้สึกว่าต้องรับช่วงต่อ ซึ่งสะท้อนค่านิยมที่เปิดกว้างกว่า

แม้จะยังไม่มีแผนที่เป็นรูปธรรม แต่แนวโน้มในเอเชียเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเจ้าของธุรกิจเริ่มให้ความสำคัญกับการวางแผนจัดการความมั่งคั่งอย่างเป็นระบบมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศอย่าง อินเดีย (ธุรกิจครอบครัวสร้าง GDP ถึง 79%) และ จีนแผ่นดินใหญ่ (ราว 50%) ซึ่งตอกย้ำว่าธุรกิจครอบครัวมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ

(อ่านต่อในคอมเมนต์)

#เศรษฐกิจไทยรัฐออนไลน์ #ธุรกิจครอบครัว #ความมั่งคั่ง #ความร่ำรวย #กิจการ #แผนธุรกิจ

กางแผน "บ้านปู" ปี 68 ลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมอีก 1,500 เมกะวัตต์บ้านปู ประกาศแผนปี 68 ลุยธุรกิจเรือธง วางกลยุ...
10/06/2025

กางแผน "บ้านปู" ปี 68 ลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมอีก 1,500 เมกะวัตต์

บ้านปู ประกาศแผนปี 68 ลุยธุรกิจเรือธง วางกลยุทธ์ Energy Symphonics ตั้งเป้าลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมอีก 1,500 เมกะวัตต์

1.การดำเนินงานและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ช่วยเพิ่มกระแสเงินสดและมูลค่าของธุรกิจ
2.การบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรักษาระดับหนี้และทุนให้อยู่ในระดับเหมาะสมกับการเติบโตและผลประกอบการที่ดี
3.การบริหารพอร์ตโฟลิโอเชิงกลยุทธ์ เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่จะมาสร้างคุณค่าให้บริษัทฯ ในระยะยาว
4.การบริหารจัดสรรเงินทุนอย่างมีวินัย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ

สำหรับแผนในปี 2568 บ้านปูเดินหน้าในแต่ละธุรกิจ คือ

ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ จะสร้างการเติบโตเชิงกลยุทธ์ทั้งธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำ โดยจัดสรรเงินลงทุนอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ราคาก๊าซ

ธุรกิจเหมือง ใช้ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลจนถึงการลดคาร์บอนผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบการจัดการอัจฉริยะ

ธุรกิจไฟฟ้า ตั้งเป้าลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมอีก 1,500 เมกะวัตต์

ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีพลังงาน เน้นลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะเสริมการทำงานระหว่างระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) และซอฟต์แวร์

สำหรับผลประกอบการปี 2567 บริษัทฯ รายงานรายได้จากการขายรวม 5,148 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 181,549 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 1,330 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 46,970 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 83.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 2,964 ล้านบาท และผลขาดทุนสุทธิ 23.67 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 682.42 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากการด้อยค่าเงินลงทุนจากการขายสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้านาโกโซ ในประเทศญี่ปุ่น และการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาท

นอกจากนี้ ในปี 2567 ได้เสนอขายหุ้น IPO ของ BKV Corporation (BKV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปูในสหรัฐฯ ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) การขายสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้านาโกโซ ในประเทศญี่ปุ่น

การได้รับเงินสนับสนุน (Subsidy) จากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ในการพัฒนาโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มแห่งใหม่ 2 โครงการ ในญี่ปุ่น ได้แก่

- โครงการ Aizu (ไอสึ)
- โครงการ Tsuno (ซึโนะ)

กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์ชั่วโมง ที่คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 2/2571 และการพัฒนาโครงการ CCUS ของ BKV ที่ชื่อว่าโครงการ Eagle Ford (อีเกิ้ล ฟอร์ด) ซึ่งคาดว่าจะสามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 90,000 ตันต่อปี และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างสมบูรณ์ในไตรมาส 1/2569

โบรกเกอร์ คงคำแนะนำ TRADING
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ภาพรวมแนวโน้มผลประกอบการปี 2025 ฟื้นตัว YoY หนุนจากทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติที่แข็งแกร่ง และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต-ลดต้นทุนการผลิตของธุรกิจถ่านหินคงประมาณการกำไรปี 2025 ที่ 3.5 พันล้านบาท (พลิกจากขาดทุน YoY)

แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/2025 ฟื้นตัว QoQ เพราะ

- ไม่มีรายการขาดทุนพิเศษจากการขายหุ้น Nakoso
- ธุรกิจก๊าซเร่งตัวขึ้นตามทิศทางราคาก๊าซ 1QTD อยู่ที่ US$3.7/mmbtu (+25% QoQ)
- ธุรกิจไฟฟ้าปรับตัวดีขึ้นเพราะการปิดซ่อมบำรุงของโรงไฟฟ้าหงสาน้อยลงซึ่งน่าจะเพียงพอชดเชยการอ่อนตัวลงของราคาถ่านหิน, โอกาสขาดทุน FX จากเงินบาทแข็งค่า, ขาดทุนHedging ราคาก๊าซธรรมชาติ

ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PBV 0.4 เท่า Discount -2 SD และมี Dividend Yield ปี 2025 เฉลี่ย7% คงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม 4.70 บาท โดยหุ้นมีเงินปันผลงวด 2H24 ที่ 0.12 บาท/หุ้น คิดเป็นYield 2.9% ขึ้น XD 11 เม.ย. ช่วยจำกัด Downside

08/06/2025

แค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน 4 Mindset การเงิน อย่ารอโอกาส อย่าช้าที่จะลงมือ
สิ่งสำคัญในการออมเงินและการบริหารการเงินไม่ใช่แค่เก่ง หรือดวงดี แต่ต้องมีทัศนคติที่ดีด้วยเช่นกัน เพราะการประสบความสำเร็จได้นั้นต้องเริ่มจากสิ่งง่าย ๆ อย่างปรับความคิดให้ดีก่อนวางระเบียบการเงินของตัว
แต่คนเกือบ 93% กลับมองข้ามมันไปเพราะคิดว่ามันไม่สำคัญ Thairath Money รวบรวม 4 วิธีคิดแบบใหม่ที่จะทำให้โลกการเงินของคุณดียิ่งขึ้น
คลิกอ่านต่อใน Comment
#เศรษฐกิจไทยรัฐออนไลน์ #การเงินดีชีวิตดี #การออม #ลงทุน #วางแผนการเงิน

ที่อยู่

209 เคเคพี ทาวเวอร์ สุขุมวิท 21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา จังหวัดกรุงเทพมหานคร
Bangkok
10110

เวลาทำการ

จันทร์ 11:00 - 20:00
อังคาร 11:00 - 20:00
พุธ 11:00 - 20:00
พฤหัสบดี 11:00 - 20:00
ศุกร์ 11:00 - 20:00
เสาร์ 11:00 - 20:00
อาทิตย์ 11:00 - 20:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ALONE For CASH Ltd.ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์