Investing4U ทุกเรื่องข่าว ที่อยู่อาศัย การลงทุน

23/12/2024

FacebookFacebookXXLINELineบทความนี้จะพามาทำความรู้จักกลยุทธ์การตลาดแบรนด์หรู แบรนด์เนม Luxury Brand Marketing Strategy ที่เน้นการเพิ่มกำไรจา...

23/12/2024

B 2 A "Business to Algorithm"
22/12/2024

B 2 A "Business to Algorithm"

[Business] รู้จักกลยุทธ์ B2A ‘Business to Algorithm’ ที่แบรนด์ Crumbl Cookies ใช้ จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ FOMO Marketing จากผู้ติดตามกว่า 16 ล้านคน และมีรายได้ ปีละกว่า 35,000 ล้าน โดยแทบไม่ต้องใช้งบ Marketing
จากร้านคุกกี้เล็กๆ ในยูทาห์ สู่ธุรกิจที่มี 1,000 สาขาครอบคลุมทั้ง 50 รัฐของอเมริกา พร้อมรายได้พันล้านดอลลาร์ต่อปี (ราวๆ 35,000,000,000 บาท) นี่คือ Crumbl Cookies ธุรกิจที่เติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
สิ่งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของคุกกี้อร่อย แต่เป็นเรื่องของการสร้างแบรนด์และการตลาดที่แหวกแนวจนกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับพันล้าน
[🎯 จุดเริ่มต้นที่ชัดเจน ด้วยความมุ่งมั่นสู่ความเป็นที่สุด ]
Jason Mcgowan (CEO) และ Sawyer Hemsley (COO) สองผู้ก่อตั้ง Crumbl เริ่มต้นด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน
“สร้างสรรค์คุกกี้ช็อกโกแลตชิพที่ดีที่สุดในโลก”
พวกเขาทุ่มเททั้งเวลาและเงินทุนหลายพันดอลลาร์ไปกับการทดลองสูตร โยนคุกกี้ทิ้งนับไม่ถ้วน และยอมรับว่าหลายครั้งผลลัพธ์ที่ได้น่าอายมาก แต่พวกเขาไม่ยอมแพ้ จนกว่าจะได้สูตรที่สมบูรณ์แบบ
มันคือบทเรียนแรกที่น่าสนใจ - ก่อนจะคิดเรื่องการขยายธุรกิจ พวกเขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีที่สุดก่อน การลงทุนกับคุณภาพตั้งแต่วันแรกคือรากฐานสำคัญของการเติบโตในระยะยาว
[กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ ร่วมมือกับ Pantone เพื่อให้ได้สีที่สมบูรณ์แบบสำหรับการถ่ายภาพลง Instagram]
Crumbl ไม่ได้แค่ขายคุกกี้ แต่พวกเขาขาย "ประสบการณ์" ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การออกแบบร้านแบบเปิด ให้ลูกค้าเห็นทุกขั้นตอนการทำงาน ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากร้านขนมทั่วไปในยุคนั้น การเปิดครัวให้เห็นไม่เพียงสร้างความโปร่งใส แต่ยังทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำคุกกี้
การเลือกใช้โทนสีขาว-ชมพูที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร สะอาดตา และที่สำคัญ - เหมาะกับการถ่ายรูปลง social media
พวกเขาถึงขั้นร่วมมือกับ Pantone บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านสี เพื่อให้ได้เฉดสีที่สมบูรณ์แบบสำหรับการถ่ายภาพลง Instagram
แม้กระทั่งกล่องใส่คุกกี้ ก็ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน เมื่อเปิดกล่อง คุณจะเห็นคุกกี้ทุกชิ้นเรียงตัวสวยงาม เหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่ง นี่คือการยกระดับจากถุงกระดาษธรรมดา สู่ "แพ็คเกจจิ้งระดับพรีเมียม" ที่ทำให้การซื้อคุกกี้กลายเป็นประสบการณ์พิเศษ
[🚀 การตลาดแบบ Drop ของแบรนด์สตรีทแวร์ ที่ทำให้ Crumbl Cookies กลายเป็นปรากฏการณ์ FOMO Marketing]
หัวใจสำคัญของความสำเร็จ Crumbl อยู่ที่กลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด พวกเขานำเอาแนวคิด "การปล่อยของ" (Drop) แบบแบรนด์สตรีทแวร์มาใช้กับธุรกิจอาหาร ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน
ทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00 น. Crumbl จะเปิดตัวเมนูคุกกี้ 6 รสชาติใหม่ที่จะขายเฉพาะสัปดาห์นั้นเท่านั้น จากคลังรสชาติกว่า 150 แบบ บางรสชาติมีเบคอน บางรสชาติมีวิปครีม บางรสชาติมีมะนาว หรือแม้แต่คุกกี้ที่ทำมาเพื่อกินตอนเช้า
นี่คือการสร้าง FOMO (Fear of Missing Out) อย่างแท้จริง ถ้าคุณไม่รีบไปซื้อ Buttermilk Pancake Brittle Cookie ในสัปดาห์นี้ คุณอาจจะไม่ได้ลิ้มลองมันอีกเลย
การประกาศเมนูใหม่ผ่าน TikTok และ Instagram ทำให้แฟนๆ ต้องคอยติดตามและรอคอยว่าสัปดาห์นี้จะมีรสชาติอะไรที่น่าสนใจ
ที่สำคัญไปกว่านั้น Crumbl ยังร่วมมือกับ influencer ชื่อดัง ให้พวกเขาแชร์ประสบการณ์การชิมคุกกี้กับผู้ติดตามหลายล้านคน สร้างกระแสและการบอกต่อในวงกว้าง
[📱 B2A - Business to Algorithm โมเดลธุรกิจใหม่ที่น่าจับตา]
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ Crumbl สร้างโมเดลธุรกิจแบบใหม่ที่เรียกว่า B2A (Business to Algorithm) พวกเขาไม่ได้มุ่งเน้นการขายให้ผู้บริโภคโดยตรง (B2C) หรือขายให้ธุรกิจอื่น (B2B) แต่พวกเขาเน้นการทำธุรกิจผ่านอัลกอริทึมของ social media
ทีมงานด้าน social media ของ Crumbl มีถึง 30 คน มากกว่าทีมการตลาดทั่วไป ประกอบด้วยช่างภาพและวิดีโอกราฟเฟอร์มืออาชีพ พวกเขาเข้าใจดีว่า ‘ถ้าชนะใจอัลกอริทึม ธุรกิจก็จะเติบโตได้เอง’
ผลลัพธ์ที่ได้คือยอดผู้ติดตามมหาศาล - 6 ล้านคนบน Instagram, 10 ล้านคนบน TikTok ซึ่งมากกว่า Starbucks 5 เท่า และมากกว่า McDonald's 3 เท่า และที่สำคัญ ผู้ติดตามเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่พวกเขาคือกลุ่มคนที่พร้อมจะซื้อและแชร์เรื่องราวของ Crumbl ต่อไป
[📈 การขยายธุรกิจ]
การเติบโตของ Crumbl จากร้านเล็กๆ ในยูทาห์ สู่ธุรกิจที่มีสาขามากกว่า 1,000 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา โดยแต่ละสาขาสร้างรายได้เฉลี่ย 1.2 ล้านดอลลาร์ต่อปี ด้วยอัตรากำไร 15%
ที่น่าสนใจคือ การขยายสาขาของ Crumbl ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่มหรือรวดเร็วเกินไป พวกเขาใช้ระบบแฟรนไชส์ที่เข้มงวด เลือกพาร์ทเนอร์ที่มีวิสัยทัศน์ตรงกัน
และให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานในทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นรสชาติของคุกกี้ การตกแต่งร้าน หรือการให้บริการ
ล่าสุด Crumbl ยังได้ขยายธุรกิจไปยังแคนาดา และมีแผนที่จะขยายไปยังตลาดต่างประเทศอื่นๆ ในอนาคต แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตที่ไม่มีที่สิ้นสุด
[📱 กลยุทธ์ Social Media ที่ทำให้แบรนด์แตกต่าง]
ความสำเร็จบน social media ของ Crumbl ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เกิดจากการวางแผนอย่างละเอียดในทุกแพลตฟอร์ม
บน TikTok ที่มีผู้ติดตามกว่า 10 ล้านคน Crumbl เน้นการสร้างคอนเทนต์ที่สนุก มีชีวิตชีวา และเข้าถึงง่าย
พวกเขาจะโชว์เบื้องหลังการทำคุกกี้ การ reveal รสชาติใหม่ประจำสัปดาห์ และสร้างคอนเทนต์ที่เข้ากับเทรนด์ต่างๆ ได้อย่างแนบเนียน
สำหรับ Instagram ที่มีผู้ติดตาม 6 ล้านคน เน้นภาพถ่ายสวยงาม การจัดองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบ
และการสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน โดยรีโพสต์คอนเทนต์จากลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ สร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์
ที่สำคัญ Crumbl ไม่ได้ใช้ social media เพียงเพื่อโปรโมทสินค้า แต่ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ใหม่ การไปซื้อคุกกี้ที่ Crumbl ไม่ใช่แค่การซื้อขนม แต่เป็นกิจกรรมที่ต้องถ่ายรูป แชร์ และพูดถึงในโลกออนไลน์
[💡ถอดบทเรียนความสำเร็จที่ทุกธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้]
Crumbl ไม่ได้แค่ทำคุกกี้อร่อย แต่พวกเขาสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอาหาร ด้วยการผสมผสาน 3 องค์ประกอบเข้าด้วยกัน
1. ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในผลิตภัณฑ์ - การใส่ใจกับคุณภาพตั้งแต่วันแรก ไม่ประนีประนอมกับมาตรฐาน แม้จะต้องลงทุนสูงและใช้เวลานาน
2. การสร้างแบรนด์ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด - ทุกจุดสัมผัสกับลูกค้าต้องสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่หน้าร้านไปจนถึงกล่องใส่คุกกี้ เพราะทุกรายละเอียดคือโอกาสในการสร้างความประทับใจ
3. กลยุทธ์การตลาดที่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ - การผสมผสานระหว่าง FOMO Marketing, Social Media Strategy ด้วยแนวคิด B2A - Business to Algorithm และการสร้างชุมชน ทำให้แบรนด์เติบโตแบบก้าวกระโดด
แต่ละสาขาของ Crumbl สร้างรายได้เฉลี่ย 1.2 ล้านดอลลาร์ต่อปี ด้วยอัตรากำไร 15% นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ในยุคดิจิทัล การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่คุณภาพของสินค้าเพียงอย่างเดียว
ความสำเร็จของ Crumbl ยังสะท้อนให้เห็นว่า การทำธุรกิจในยุคนี้ต้องเข้าใจว่า social media ไม่ใช่แค่ช่องทางการสื่อสาร แต่เป็นหัวใจของธุรกิจ การลงทุนกับทีม social media ที่แข็งแกร่งไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบคุกกี้ของ Crumbl แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า พวกเขาได้เปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการทำธุรกิจอาหารไปอย่าง
ทั้งหมดนี้คือกรณีศึกษาที่น่าสนใจของธุรกิจที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ได้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจว่าการสร้างแบรนด์ในปัจจุบันต้องมากกว่าแค่มีสินค้าที่ดี แต่ต้องสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ สร้างชุมชนที่แข็งแกร่ง และใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด
ความสำเร็จของ Crumbl ไม่ใช่แค่เรื่องของคุกกี้อร่อย แต่เป็นเรื่องของการเข้าใจผู้บริโภคยุคใหม่อย่างลึกซึ้ง และการกล้าที่จะทำอะไรแตกต่าง แม้จะอยู่ในธุรกิจที่ดูเหมือนธรรมดาอย่างการขายคุกกี้ก็ตาม
บทเรียนสุดท้ายที่สำคัญคือ ในโลกธุรกิจปัจจุบัน บางครั้งนวัตกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นการคิดค้นสิ่งใหม่เสมอไป แต่อาจเป็นการนำสิ่งที่มีอยู่มาผสมผสานในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ Crumbl กลายเป็นมากกว่าแค่ร้านคุกกี้ธรรมดา แต่เป็นปรากฏการณ์ทางธุรกิจที่น่าจับตามอง
เขียนโดย : ภคณัฐ ทาริยะวงศ์

22/12/2024

"4 MEGATRENDS" แห่งธุรกิจอาหารในปี 2568
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในโลกปัจจุบันไม่เพียงแต่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของผู้คน แต่ยังสร้างความท้าทายและโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกอีกด้วย
สำหรับปี 2568 ที่กำลังจะถึงนี้ Chef's Club by makro ขอพาทุกท่านไปเจาะลึกกับ "4 Megatrends" หรือ 4 เมกะเทรนด์ที่กำลังจะขับเคลื่อนธุรกิจอาหารให้เติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านอาหารได้เข้าใจและปรับตัวให้ทันเพื่อคว้าโอกาสในเมกะเทรนด์นี้
1. เทรนด์ Ready-to-Cook (RTC) 🥘

เทรนด์อาหารพร้อมปรุง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยที่มีการขยายสาขาเพิ่ม ต้องการให้อาหารมีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกันทุกจาน ลดเวลาในการทำอาหาร ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ชอบความสะดวกสบาย อาหารคุณภาพสูงได้มาตรฐาน และรสชาติดี

อีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนคือ "Urbanization" หรือการเจริญเติบโตของเมืองใหญ่ ทำให้วิถีคนเมืองที่เร่งรีบเติบโตตาม เทรนด์อาหารพร้อมปรุง (Ready-to-Cook) จึงกลายเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่ในเมืองใหญ่

2. เทรนด์ใช้โซเชียลมีเดียให้เข้าถึงลูกค้า 📣

ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมิเดีย (Tiktok/Instagram) + การเลือก Influencers + คอนเทนต์กระชับสั้น เร็ว
ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและการรับรู้ของผู้บริโภค

จากข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคนไทย พบว่า มากกว่า 3-4 ชั่วโมงต่อวัน ใช้เวลาบนโซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มที่กำลังมาแรงในคนไทย คือ TikTok มีผู้ใช้งานสูงถึง 47.5 ล้านคน เฉลี่ยเปิดดู 13 ครั้งต่อวัน ทำให้แพลตฟอร์มนี้กลายเป็นช่องทางหลักในการค้นหาร้านอาหารและเมนูใหม่ๆ โดยเทคนิคการทำตลาด คือ ต้องเริ่มทำคอนเทนต์ที่ดึงดูดลูกค้า สั้น เร็ว ใช้แฮชแท็กยอดนิยมเวลาลงคลิป และเล่าเรื่องให้โดนใจ ทำให้คนดูอยากติดตาม อีกทั้งการเลือก Influencers ที่เหมาะสมสามารถสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มการรับรู้ในตัวแบรนด์ได้ในเวลาอันสั้น นอกจากนี้ การใช้คอนเทนต์แบบกระชับ เข้าใจง่าย และมีเอกลักษณ์ ก็ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่ใช้สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน

3. เทรนด์สินค้าเพื่อสุขภาพ 🥗

ตั้งแต่วิกฤติโควิดที่ผ่านมาเมื่อปี 2019 ทำให้ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น เช่น อาหารปลอดสารพิษ อาหารที่มีโปรตีนสูง หรือผลิตภัณฑ์ที่ลดน้ำตาล อาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลายเป็นที่ต้องการอย่างมาก

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมเทรนด์สินค้าเพื่อสุขภาพในมุมของผู้ประกอบการคือ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เช่น AI และ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคและออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

4. เทรนด์ยกระดับเมนูอาหารทั่วไปให้แตกต่าง 🌟

การเปิดรับวัฒนธรรมอาหารจากต่างประเทศ
ผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ได้มองหาแค่อาหารที่อร่อย โดยเฉพาะผู้บริโภคชาวไทยที่อาจยอมจ่ายมากกว่า แต่แลกมากับการคาดหวังที่จะได้รับประสบการณ์ทานอาหารที่ต่างไปจากเดิม ทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย และยินดีที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ โดยเฉพาะอาหารที่มีเรื่องราวหรือแหล่งที่มา หรืออาหารมีการเพิ่มเอกลักษณ์ในเมนู เช่น การผสมผสานวัฒนธรรมอาหารจากต่างประเทศ การใช้วัตถุดิบท้องถิ่น หรือการปรับเมนูธรรมดาให้โดดเด่น จึงกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่น่าจับตามอง
📌 "4 Megatrends" ที่กล่าวถึงนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนพฤติกรรมของผู้บริโภคในอนาคต แต่ยังเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจอาหารของไทยสามารถเติบโตในตลาดโลก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางธุรกิจของแม็คโคร อาทิเช่น

- พัฒนา Own Brand เอโร่ (aro) ผ่านความร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำของไทย เพื่อส่งออกซอฟต์พาวเวอร์อย่าง Thai Cuisine ไปสู่ตลาดโลก

- นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ด้วยการนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า

- เตรียมทำ TikTok ใน Makro PRO นำเสนอคอนเทนต์เกี่ยวกับกลุ่มธุรกิจโฮเรก้า สาระความรู้ และมีโชว์เคสจากเชฟชื่อดังมาทำอาหาร เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่

- เปิดตัว “Chef’s Club by Makro” เสริมแกร่งเชฟ และร้านอาหารทุกระดับในประเทศไทย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความรู้ที่ทันสมัย เป็นแพลตฟอร์มที่มอบประสบการณ์ใหม่ อาทิ โซลูชันด้านวัตถุดิบคุณภาพ ที่คัดสรรจากเชฟผู้เชี่ยวชาญ แหล่งรวมความรู้ แรงบันดาลใจด้านอาหารสำหรับธุรกิจ สิทธิประโยชน์สุดพิเศษสำหรับสมาชิกเพื่อพัฒนาธุรกิจ และสร้างเครือข่ายธุรกิจแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเชฟแถวหน้า อีกทั้งยังเปิดกว้างเป็นเสมือนสังคมของคนรักอาหาร

#4เมกะเทรนด์ #เมกะเทรนด์ร้านอาหาร

22/12/2024

5 เทรนด์ผู้บริโภคปี 2025 ที่คุณไม่ควรพลาด‼️
Consumer Trends 2025 🌿🌏

โลกกำลังเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงตาม แบรนด์และธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ มาดูกันว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง 🤩

เทรนด์ที่ 1 รักโลก รักสิ่งแวดล้อม 🌱
“สินค้ารักษ์โลกกำลังเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของผู้บริโภค” ผู้คนตระหนักถึงปัญหาโลกร้อนมลภาวะ และขยะพลาสติกมากขึ้นจึงเลือกสนับสนุนสินค้าที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เทรนด์ที่ 2 สายคอมมูนิตี้ต้องมา 💻
“กลุ่มสังคมที่มีเป้าหมายเดียวกันช่วยเติมเต็มความสัมพันธ์ในยุคใหม่” ยุคที่เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียเชื่อมต่อผู้คนที่มีความชอบคล้ายกันจากทั่วโลกช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการที่มากขึ้นในปัจจุบัน

เทรนด์ที่ 3 เพราะบ้านคือพื้นที่เติมพลัง 🏡
“บ้านที่มอบความสุขและการพักผ่อนด้วยธรรมชาติและสมาร์ทเทค” ความสงบจากธรรมชาติกับนวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนยุคใหม่ที่มองหาพื้นที่พักผ่อนและใช้ชีวิตอย่างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม

เทรนด์ที่ 4 ชอบแบรนด์จริงใจ มีจริยธรรม ❤️
“แบรนด์ที่จริงใจ ได้ใจผู้บริโภคไปเต็มๆ” ผู้บริโภคบางกลุ่มให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและมีความโปร่งใสทางธุรกิจโดยเฉพาะในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคและการเดินทาง​

เทรนด์ที่ 5 พร้อมปรับตัวกับทุกสภาพอากาศ 🌦️
“สินค้าที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงโลกกำลังฮิตสุดๆ” ผู้บริโภคมองหาการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว สินค้าที่รองรับทุกสภาพอากาศเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อลดความจำเป็นในการซื้อสินค้าและลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ

เตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง และอย่าลืมปรับตัวเพื่อเข้ากับเทรนด์ใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต

ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก..
https://www.euromonitor.com/press/press-releases/november-2024/euromonitor-international-reveals-top-global-consumer-trends-for-2025
https://www.innovamarketinsights.com/trends/consumer-trends-2025/

#แนวโน้มผู้บริโภค #ธุรกิจในอนาคต #เทรนด์ผู้บริโภค2025

22/12/2024
28/11/2024

วิเคราะห์ธุรกิจ 7-Eleven ด้วยเครื่องมือ 7 Powers

28/11/2024

ประเภท "ความต้องการของลูกค้า" ฉบับ Philip Kotler ที่นักการตลาด คนทำธุรกิจ ควรรู้
#การตลาด

28/11/2024

สรุป 5 ไอเดียเขียน Prompt สั่ง ChatGPT ให้ได้คำตอบแบบโหด ๆ

28/11/2024

KOL กับ KOC ผู้มีอิทธิพลทางความคิด ในโลกการตลาด ต่างกันอย่างไร ?
#อินฟลูเอนเซอร์ #การตลาด

28/11/2024

รู้จัก INGU แบรนด์สกินแคร์สัญชาติไทยตัวท็อปใน Shopee ที่สร้างยอดขาย 300 ล้านบาท ภายในเวลา 2 ปี - MarketThink

“INGU ใช้เวลาประมาณ 2 ปี ตั้งแต่เปิดแบรนด์ สร้างยอดขายได้รวม 600 ล้านบาท และรายได้ส่วนใหญ่มาจาก Shopee”

นี่คือคำพูดของ คุณชยธร กิติยาดิศัย หรือ คุณอิ๊ง ผู้ก่อตั้งแบรนด์ INGU ที่ใคร ๆ ในยุคนี้ ยกให้เป็นหนึ่งในแบรนด์ตัวท็อปของวงการสกินแคร์

สิ่งที่หลายคนอยากรู้ โดยเฉพาะคนที่คิดอยากสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเอง จนถึงพ่อค้าแม่ค้าที่ขายสินค้าในโลกออนไลน์ นั่นคือ คุณอิ๊ง มีเคล็ดลับอะไรถึงทำให้ INGU สร้างยอดขายได้ดีเกินคาดใน Shopee

โดยคนที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุด จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก คุณอิ๊ง ผู้ก่อตั้งแบรนด์ INGU นั่นเอง

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ INGU มาจากการที่ คุณอิ๊ง เปิดช่อง YouTube ในชื่อรายการ “พลิกหลังกล่อง” ถือเป็นรายการที่ พลิกวงการรีวิวสกินแคร์อย่างไม่เคยมีใครทำมาก่อน ที่สำคัญยังเป็นการ “พลิกชีวิตครั้งใหญ่” ให้กับคุณอิ๊ง

“รูปแบบรายการ คือ การหยิบสกินแคร์ต่าง ๆ มาดูข้างกล่อง ที่จะบอกว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง และส่วนผสมเหล่านี้ มีคุณสมบัติอย่างไร โดยใช้ความรู้จากที่เราเรียนมาและศึกษาผ่านธุรกิจที่บ้าน ที่เป็นโรงงาน OEM รับจ้างผลิตสกินแคร์ เมื่อรายการได้รับความนิยม เราก็อยากลองท้าทายตัวเอง ด้วยการเป็นเจ้าของธุรกิจแบรนด์สกินแคร์”

เริ่มต้น INGU เปิดตัวด้วย 3 ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม “ล้าง บำรุง ปกป้อง” มาพร้อมกับการสื่อสารที่ฉีกหนีแบรนด์สกินแคร์อื่น ๆ เช่น การนำส่วนผสมสารสกัดต่าง ๆ มาไว้หน้ากล่อง เพื่อให้ผู้บริโภคอ่านง่าย

พลิกการสื่อสารการตลาด จากที่แบรนด์ต่าง ๆ มักจะบอกว่าผิวคนเราจะสวย ต้องประโคมสกินแคร์เยอะ ๆ

แต่สำหรับ INGU เลือกจะบอกกับผู้บริโภคว่า “สกินแคร์ควรใช้เท่าที่จำเป็น”

ที่น่าสนใจคือ ในยุคนี้ที่ช่องทางการขายมีให้เลือกมากมายเสียเหลือเกิน INGU เลือก Shopee เป็นช่องทางแรกในการจัดจำหน่าย เหตุผลเพราะนอกจากภาพลักษณ์ของ Shopee ที่มีความเฟรนด์ลี เข้าถึงง่าย สะดวกสบายในการใช้ เข้าถึงผู้ใช้งานในทุกกลุ่มแล้วนั้น

จากประสบการณ์ส่วนตัวของคุณอิ๊ง พบว่า หากคนรุ่นใหม่อยากจะซื้อสกินแคร์ต่าง ๆ เขามักจะเลือกซื้อที่ Shopee เป็นที่แรก ๆ

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คือ ยิ่งขายใน Shopee นานเท่าไร INGU ก็ยิ่งขายดีขึ้นเรื่อย ๆ
แน่นอนว่าเรื่องนี้มีหลายปัจจัยเลยทีเดียว แต่หากจะถามหาปัจจัยไหนที่เป็น “หัวใจแห่งความสำเร็จ” คำตอบคือ Branding & Quality ที่สะท้อนมาจาก 5 แนวคิดหลักในการทำธุรกิจของ INGU

1. Simplify to Amplify : สกินแคร์ที่ดีต้องเรียบง่าย มีส่วนผสมที่จำเป็นต่อผิวเท่านั้น
2. Transparent Science : ใช้งานวิจัยคุณภาพสูงมาพัฒนาสินค้า
3. Empower Local Producers : ใช้สารสกัดท้องถิ่นมาเป็นส่วนผสมร่วมกับสารสกัดระดับโลก
4. Realistically Sustainable : ทุกบรรจุภัณฑ์จะใช้วัสดุรีไซเคิลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
5. Facts without Fear : สร้างแบรนด์ให้มีความจริงใจ ให้ความรู้ด้านสกินแคร์

พอส่วนผสมเหล่านี้ถูกนำมาหล่อหลอมร่วมกันเป็นความแข็งแกร่งให้แก่แบรนด์ INGU สเต็ปต่อมาคือ คุณอิ๊ง จะขายผลิตภัณฑ์ INGU อย่างไร เพื่อให้ได้ยอดขายมากที่สุด

หนึ่งในอาวุธสำคัญของทางแบรนด์ก็คือ เครื่องมือการขายของ Shopee ที่มีสารพัดเครื่องมีที่จะช่วยเพิ่มยอดขาย และกระตุ้นให้ผู้บริโภคอยากซื้อสินค้าของเรามากที่สุด

คุณอิ๊งเล่าว่า เขาเองก็เลือกใช้ฟีเจอร์ Shopee Live ขายสินค้าใน Shopee, มีการใช้เงินยิงโฆษณา, นำสินค้าและของขวัญที่หลากหลายมาร่วมรายการกับแคมเปญที่ทาง Shopee จัดขึ้น

หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกใจคุณอิ๊งในฐานะ YouTuber มากที่สุด คือ YouTube Shopping Affiliate ฟีเจอร์ล่าสุดจากความร่วมมือระหว่าง Shopee และ YouTube ที่เปิดโอกาสให้ YouTuber สร้างสรรค์คอนเทนต์วิดีโอ รีวิว หรือเปิดตัวสินค้าใหม่

พร้อมแปะตะกร้าสินค้าในวิดีโอ ลิงก์เชื่อมต่อไปยังร้านค้าแบรนด์บน Shopee ให้ผู้ชมคลิกซื้อได้ทันที สะดวกและง่ายกว่าที่เคย

นอกจากนี้ คลิปเก่าที่ติดตะกร้าไว้แล้วจะยังคงสร้างรายได้ต่อไป ทุกครั้งที่มีผู้เข้าชมใหม่ พวกเขาสามารถกดซื้อสินค้าผ่านลิงก์ได้อย่างง่ายดาย หมายความว่ายิ่งสร้างคอนเทนต์รีวิวผ่าน YouTube Shopping Affiliate มากเท่าไร โอกาสการขายก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ INGU ไม่เคยพลาด คือการเข้าร่วมแคมเปญ ดับเบิ้ลเดทของ Shopee ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักช้อปรอคอยเพื่อช้อปโปรโมชันและรับโค้ดส่วนลดสุดพิเศษ

ตัวอย่างความสำเร็จคือ ในแคมเปญ 9.9 ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของ Shopee INGU สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่าวันปกติถึง 10 เท่า !

นอกจากนี้ การสร้างแบรนด์ผ่าน Social Media ของแบรนด์ ยังมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่องทางเชื่อมโยงฐานลูกค้าที่ชื่นชอบแบรนด์ของเรา ให้มองเห็นโอกาสในการช้อปปิงสินค้าที่ทั้งมีคุณภาพและราคาคุ้มค่าผ่านแพลตฟอร์ม Shopee

แนวคิดทางการตลาดทั้งหมดนี้ กำลังทำให้ INGU เติบโตเร็วและแข็งแกร่งในช่องทาง Shopee อีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 สำหรับผู้ใช้งานชาวไทย สะท้อนผ่านตัวเลขที่น่าสนใจของแบรนด์บน Shopee

- ยอดขายราว 300 ล้านบาท ภายในเวลา 2 ปี
- ยอดขายสูงสุดที่แบรนด์เคยทำได้ผ่าน Shopee Live คือ มากกว่า 1 ล้านบาท ภายใน 2 ชั่วโมง
- ยอดขาย 8 เดือนแรกของแบรนด์ ปี 2567 เติบโตราว 2.5 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ทั้งหมดนี้ทำให้คุณอิ๊งมั่นใจว่า ในอนาคตแบรนด์ INGU จะเติบโตเคียงคู่ไปกับ Shopee พร้อมทั้งวางแผนจัดแคมเปญการตลาดร่วมกันอีกมากมาย เพื่อสร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ส่วนภาพรวมของแบรนด์ INGU ก็เตรียมที่จะขยายไลน์อัปสินค้าเพิ่มขึ้น เพื่อตอบโจทย์กับปัญหาผิวของกลุ่มลูกค้า ทุกเพศ ทุกวัย

เหตุผลนอกจากเรื่องรายได้แล้วนั้น อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็เพื่อพิสูจน์ว่า ธุรกิจเล็ก ๆ ของคนไทยที่เกิดจาก Passion ก็สามารถประสบความสำเร็จในตลาดโลกได้เหมือนกัน

Reference :
- สัมภาษณ์ คุณชยธร กิติยาดิศัย ผู้ก่อตั้งแบรนด์ INGU

Lately, I’ve aimed to refine my analytical skills to apply these insights to my work. Today, I reviewed Starbucks' Q4 an...
25/10/2024

Lately, I’ve aimed to refine my analytical skills to apply these insights to my work. Today, I reviewed Starbucks' Q4 and full-year 2024 financial report, which reflects considerable challenges impacting customer experience. Management is working on recovery plans, with details expected in the annual report.

Starbucks' Q4 & FY 2024 Financial Highlights
Key Points:
1. Global same-store sales fell by 7%, with U.S. sales down 6% and China by 14%.
2. GAAP EPS dropped to $0.80 (down 24%).
3. Q4 revenue decreased by 3% to $9.1 billion.
4. FY 2024 saw a 2% dip in same-store sales, but a 1% increase in total revenue, reaching $36.2 billion.

Additional Challenges:
- Struggles to engage customers persist, even with added investments.
- Intense competition and economic issues in China continue to impact results.

As Brian Niccol takes the CEO role, it will be interesting to see if his leadership improves Starbucks' outlook.

Message from Brian: Back to Starbucks
https://lnkd.in/gxGsvsE8

ที่อยู่

Thon Buri District

เบอร์โทรศัพท์

+66813575065

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Investing4Uผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Investing4U:

แชร์