Matichon Information Center

Matichon Information Center ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Matichon Information Center, บริษัทด้านสื่อ/ข่าวสาร, 12 ถนนเทศบาลนฤมาล ลาดยาว จตุจักร, Bangkok.

MIC (Matichon Information Canter) หรือ ศูนย์ข้อมูลมติชน (แต่เดิมเรียกห้องสมุดมติชน) ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2521 ซึ่งเป็นปีเดียวกันที่หนังสือพิมพ์มติชนออกวางจำหน่ายฉบับแรก (วันที่ 9 มกราคม 2521)
ศูนย์ข้อมูลมติชน คือ แหล่งรวม “ทรัพย์สินทางปัญญาความรู้ข่าวสารของเครือมติชน”ที่นำมาเป็น “ข้อมูล” หรือ “ฐานคิด” ประกอบการศึกษาวิเคราะห์พิจารณา และ อีกทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ ในอนาคต

โดยปัจ

จุบันเปิดบริการให้กับ บุคคลทั่วไป นักศึกษา นักวิจัย หน่วยงานเอกชน-ราชการ และ สถาบันการศึกษา
โดยมีบริการดังนี้
- Matichon E-Library ห้องสมุดข่าวมติชน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2540
- E-Book, E-Newspaper และ E-Magazine สำนักพิมพ์มติชน และในเครือมติชน
- ห้องสมุดภาพข่าวมติชนและในเครือมติชน

นาม “มนตรี ตราโมท” มักจะถูกจารึกไว้กับความเป็นบรมครูด้านดนตรีไทย แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านได้เคยประพันธ์เพลงสากลไว้ไม่น้...
06/08/2025

นาม “มนตรี ตราโมท” มักจะถูกจารึกไว้กับความเป็นบรมครูด้านดนตรีไทย แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านได้เคยประพันธ์เพลงสากลไว้ไม่น้อย โดยจำนวนหนึ่งเกี่ยวพันกับอุดมการณ์คณะราษฎร ซึ่งถูกทำให้เลือนหายไปตามกาลเวลา

นาม “มนตรี ตราโมท” มักจะถูกจารึกไว้กับความเป็นบรมครูด้านดนตรีไทย แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านได้เคยประพันธ์เพลงสากลไว้ไม่น้อย โดยจำนวนหนึ่งเกี่ยวพันกับอุดมการณ์คณะราษฎร ซึ่งถูกทำให้เลือนหายไปตามกาลเวลา

“ทั่วราษฎรไทย ได้สิทธิเสรี สำราญ สำเริง รื่นเริง เต็มที่ เพราะชาติเรามีเอกราชสมบูรณ์”

เป็นส่วนหนึ่งของบทเพลงวันชาติ 24 มิถุนา ที่ครูมนตรี ตราโมท ประพันธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2482 แทรกบริบทที่ไทยได้รับเอกราชทางการศาลกลับคืนมาในสมัยรัฐบาลคณะราษฎร ภายหลังจากถูกอิทธิพลเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเข้าครอบงำจนมีผลให้ไทยต้องสูญเสียเอกราชทางการศาล ตั้งแต่ พ.ศ.2398 ถึง 2481 นับเป็นเวลาร่วม 83 ปี

ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้า ครูมนตรี ได้แต่งเพลงนี้เข้าประกวดเป็นเพลง “วันรัฐธรรมนูญ” ได้รับรางวัลที่ 1 ของสโมสรคณะราษฎร์ เมื่อครั้งมีการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญขึ้นใน พ.ศ.2479

ท่านได้อธิบายแนวคิดว่า วันชาติของไทย เป็น “ปฐมฤกษ์ของรัฐธรรมนูญไทยอีกด้วย” โดยแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งของเนื้อหาเพลงในท่อนนี้ยังประสานไปกับทำนองเพลง “ปฐม” เพลงไทยเดิมซึ่งเป็นต้นแบบของทำนองเพลงวันชาติ ในที่สุด

ครั้นต่อมาในยุคสมัยที่ละครอิงประวัติศาสตร์ของหลวงวิจิตรวาทการกำลังเติบโต ครูมนตรี ตราโมท ยังเป็นกำลังสำคัญในการประพันธ์ทำนองประกอบเพลงร้องละครอิงประวัติศาสตร์จำนวนมาก โดยมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นผู้ประพันธ์เนื้อเพลงขึ้นมาประกอบอีกส่วนหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เพลง “อานุภาพแห่งความเสียสละ” ซึ่งมีเนื้อหาพูดถึงความเสียสละของชาวไทย และยังกล่าวถึงบรรพกษัตริย์ไทยนับตั้งแต่ขุนบรมจวบจนถึงพ่อขุนรามคำแหง

ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2538 ได้รายงานว่าเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม นายมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดงดนตรีไทย วัย 95 ปี ได้ถึงแก่กรรมแล้วที่โรงพยาบาลนนทเวช จ.นนทบุรี หลังจากล้มป่วยและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนนทเวชมาตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยกำหนดการพระราชทานน้ำอาบศพแก่นายมนตรี ณ ศาลากลางน้ำ วัดเทพศิรินทราวาสในวันที่ 7 สิงหาคม เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป
ด้านประวัติของนายมนตรี ตราโมท ท่านเป็นชาวสุพรรณบุรีโดยกำเนิด เมื่อเติบใหญ่ได้เข้ารับราชการในกรมมหรสพตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 และได้ตามเสด็จแปรพระราชฐานหลายครั้ง ครั้นต่อมาได้เข้ารับราชการในสังกัดกรมศิลปากร เป็นที่เคารพนับถือของนักดนตรีไทย ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอกอุที่มีความรู้ความสามารถในทางดนตรีเป็นเจนจัด ด้วยได้รับเชิญเป็นครูใหญ่ในพิธีไหว้ครูทั้งงานหลวงและราษฎร์ และยังเป็นครูสอนวิชาการดนตรีไทยในสถาบันอุดมศึกษาอีกหลายต่อหลายแห่ง
ความสามารถของครูมนตรี ตราโมท เป็นที่ประจักษ์ชัดผ่านผลงาน เพราะท่านเป็นนักแต่งเพลงไทยที่มีผลงานเพลงเป็นจำนวนมาก นอกเหนือไปจากการประพันธ์เพลงในยุคสมัยคณะราษฎรดังที่กล่าวข้างต้น ท่านยังมีส่วนในการประพันธ์เพลงไทยเดิมอีกหลายต่อหลาย จำพวกเพลง “ระบำรำฟ้อน” ท่านได้ประพันธ์ไว้เป็นจำนวนมาก จนได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งประเภทนี้ เพราะได้แต่งไว้เป็นจำนวนมากเกินกว่าผู้ใดทั้งสิ้นในวงการดนตรีไทย ทั้งยังมีเพลงระบำโบราณคดีชุดต่างๆ ระบำประกอบการแสดงโขน จนท่านได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ดนตรีไทยเป็นคนแรกและรุ่นแรก
ทั้งนี้ ครูมนตรี ตราโมทเอง ยังคงมีโอกาสถวายการสอนดนตรีและคำแนะนำให้แก่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขณะดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีมาระยะเวลาอันยาวนาน ทั้งยังเคยร่วมแต่งเพลงกับสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ด้วย การสูญเสียครูมนตรี ตราโมทไปในวันที่ 6 สิงหาคม 2538 นอกจากจะเป็นการสูญเสียผู้ประพันธ์เพลงวันชาติ “24 มิถุนา” จึงเป็นการสูญเสียอัจฉริยบุคคลผู้มีคุณุปการต่อวงการดนตรีไทยไปอีกคนหนึ่ง
กระนั้น ชีวิตที่โลดแล่นของท่านจากการเป็นนักดนตรีในสังกัดกรมมหรสพครั้งสมบูรณาสิทธิราชย์ การประพันธ์เพลงสมัยคณะราษฎรและประพันธ์ทำนองเพลงร่วมกับการประพันธ์เนื้อร้องของหลวงวิจิตรวาทการ จวบจนถึงการเป็นอาจารย์ทางดนตรีของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังคงเป็นที่จดจำของผู้ใฝ่รู้หรือสนใจทางดนตรีไทยอยู่เสมอ

ชมภาพ 40 ปี เหตุการณ์จราจลบางขวาง
04/08/2025

ชมภาพ 40 ปี เหตุการณ์จราจลบางขวาง

ได้เวลาที่ เสียงแห่งการ "เตือนสติ" และ "เสียงแห่งการทบทวน" จะเริ่มปรากฎให้ได้ยินกันบ้างเสียที โดยที่การ "รับฟัง"จะมีเพิ่...
01/08/2025

ได้เวลาที่ เสียงแห่งการ "เตือนสติ" และ "เสียงแห่งการทบทวน" จะเริ่มปรากฎให้ได้ยินกันบ้างเสียที โดยที่การ "รับฟัง"จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

มี “อีกเสียงหนึ่ง” ที่น่าจะดังออกมา แต่พวกเรากลับไม่ได้ยินเสียงนี้เลยระหว่างเสียงสนั่นหวั่นไหวของอาวุธยุทโธปกรณ์ นั่นคือ “เสียงเตือน-เสียงดึงสติ” ผู้คนในสังคมจากนักบวชผู้ทรงศีลทางศาสนา โดยเฉพาะ “พุทธศาสนาเถรวาทไทย” ซึ่งกำลังประสบภาวะวิกฤตศรัทธาอย่างหนัก

เสียงที่ควรเตือนศาสนิกชนทั้งหลายว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การทำสงคราม ใช้อาวุธประหัตประหารกัน คือ “อวิชชา” ซึ่งชักนำให้มนุษย์ที่ควรรักเมตตาต่อกัน หลงทางไปสู่วิถีแห่งการทำลายล้างเข่นฆ่ากัน

เหมือนเมื่อคราวที่ “พระอุบาลีคุณูปมาจารย์” (จันทร์ สิริจนฺโท) ครั้งยังเป็น “พระเทพโมลี” เคยกล้าเตือนสังคมสยามในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1

หวังว่า หลังจากนี้ เราคงได้ยิน “เสียงอื่นๆ” เหล่านั้นมากขึ้น เพราะนั่นคือเสียงที่จะนำพาสังคมไทยกลับคืนสู่วิถีปกติของ “ความเป็นสังคมพลเรือน”

อ่านบทความ : เมื่อ ‘เสียงปืน’ เงียบลง | ปราปต์ บุนปาน

https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_853755

.. ลูกสาวผมคนเล็ก (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) เป็นคนที่หน้าตาเหมือนผมมาก เขาก็มาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยล้อเล่นว่าเ...
30/07/2025

.. ลูกสาวผมคนเล็ก (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) เป็นคนที่หน้าตาเหมือนผมมาก เขาก็มาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยล้อเล่นว่าเห็นรูปน้องเต้าส่วนแล้วรู้สึกหน้าจะเหมือนผมมากกว่าลูกสาวผมเหมือนผมอีก แต่หน้าตาเหมือนกันจริงๆ อาจจะเป็นเพราะพื้นเพเป็นคนทางเหนือด้วยกัน ก็หน้าตาน่ารัก ให้ผมอุ้งยังไม่ร้องไห้เลย”

ภาพหน้าหนึ่งในข่าวหนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2548 ลงภาพ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น อุ้มน้อง “เต้าส่วน” หนูน้อยชาวลำปาง วัย 1 ขวบ 8 เดือน ที่หน้าตาเหมือนตนไว้ในอ้อมกอด ระหว่างที่ พ.ต.ท ทักษิณ เป็นประธานมอบถุงรับขวัญเด็กแรกเกิดให้กับผู้คลอดบุตรเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่โรงพยาบาลศิริราช
ความดังของน้องเต้าส่วนนี้คงขยายขึ้นไปอีก เมื่อหนังสือพิมพ์ข่าวสดฉบับวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2548 คาดหน้าหนึ่งว่า “แม้วใหญ่” ยกเรื่อง “แม้วน้อย” ไปพูดออกรายการวิทยุเช้าวันเสาร์ ว่าอุ๊งอิ๊งได้มาเล่าให้ตนฟังว่า เพื่อนที่มหาวิทยาลัยพูดแซวว่า “น้องเต้าส่วน” หน้าเหมือนพ่อยิ่งกว่าลูกสาวแท้ๆเสียอีก

ด้าน พ.ต.ท ทักษิณ ได้ให้สัมภาษณ์กับมติชนไว้อีกว่า “... ลูกสาวผมคนเล็ก (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) เป็นคนที่หน้าตาเหมือนผมมาก เขาก็มาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยล้อเล่นว่าเห็นรูปน้องเต้าส่วนแล้วรู้สึกหน้าจะเหมือนผมมากกว่าลูกสาวผมเหมือนผมอีก แต่หน้าตาเหมือนกันจริงๆ อาจจะเป็นเพราะพื้นเพเป็นคนทางเหนือด้วยกัน ก็หน้าตาน่ารัก ให้ผมอุ้งยังไม่ร้องไห้เลย”
ขณะที่ทางฝั่งครอบครัวของน้องเต้าส่วน ได้ให้สัมภาษณ์ว่าความดังของน้องเต้าส่วนนั้น ทำให้ต้องมีการปรับตัว

“หลังจากลูกชายเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ ยอมรับว่าชีวิตเปลี่ยนไปมาก ไปไหนมาไหนต้องระวังในเรื่องของการแต่งตัวมากขึ้น จากเดิมปกติจะทำตัวง่ายๆ ช่วงนี้ให้น้องเต้าส่วนหยุดพัก ไม่ให้ไปเรียนหนังสือที่เนิร์สเซอรี่ เกรงว่าเวลามีนักข่าวมาสัมภาษณ์จะไม่มีใครดูแล”

นั่นคือยี่สิบปีที่แล้ว ที่เด็กไทยที่เกิดช่วงนั้นจะได้รับ “ถุงรับขวัญเด็กแรกเกิด” ซึ่งเวลาผ่านไป ต่างเติบโตขึ้น ส่วนทักษิณ ก็แก่ตัวลง และยังคงต่อสู้ในทางการเมืองต่อไป พร้อมๆกับบุตรสาวคนเล็ก

ย้อนปณิธานวันเกิด “ทักษิณ” ในรอบ 10 ปีอยากเห็นบ้านเมืองไทยเป็นอย่างไร ?26 กรกฎาคม 2548 และ 2558
26/07/2025

ย้อนปณิธานวันเกิด “ทักษิณ” ในรอบ 10 ปี
อยากเห็นบ้านเมืองไทยเป็นอย่างไร ?
26 กรกฎาคม 2548 และ 2558

ย้อนปณิธานวันเกิด “ทักษิณ” ในรอบ 10 ปี
อยากเห็นบ้านเมืองไทยเป็นอย่างไร ?
26 กรกฎาคม 2548 และ 2558

ภายหลังจากเกิดเมื่อเช้ามืดของวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2547 กลุ่มผู้ก่อการประมาณ 150 คนได้บุกเข้าปล้นปืนในค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้อาวุธปืนไปกว่า 400 กระบอก ทั้งยังทำให้ทหารเวรเสียชีวิตไป 4 นาย นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อุบัติขึ้นอีกครั้งหนึ่ง การปะทะกันอีกหลายต่อหลายครั้งที่ตามมาส่งผลให้ในเวลาต่อมา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นอย่าง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ออกคำสั่งแต่งตั้ง “คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ” (กอส.) ขึ้น เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยสันติวิธี

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร จึงแถลงข่าวไว้เมื่อในวันครบรอบวันเกิดอายุ 56 ปีว่า “... ที่อยากได้คือ อยากเห็นสิ่งที่บอกกับประชาชนไว้ว่าจะแก้อะไรบ้างให้มันสำเร็จได้ใน 4 ปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสงบสุข สันติสุขในภาคใต้ ผมอยากเห็นจริงๆ เพราะเป็นเรื่องที่ทำให้ความกังวลของทุกฝ่ายหมดไป และทำให้คนพ้นความยากจน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่เป็นฝันที่อยากที่จะต้องทำให้ได้”

ในขวบปีเดียวกันนั้นเอง ยังมีเสียงสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ให้ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นออกโทรทัศน์ร่วมกับ ประธาน กอส. ชี้แจงถึงการออก พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งมีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ.2548 ก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ความตั้งใจของ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร ในปีที่ 56 ของชีวิตจึงสัมพันธ์กับความพยายามจะแก้ปัญหาในพื้นที่ความรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนให้สำเร็จ

แต่ด้วยคลื่นลมทางการเมือง ในอีก 10 ปีต่อมา เมื่อ พ.ศ.2558 ทักษิณ ชินวัตร ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่นครดูไบ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวได้โพสต์ภาพคู่กับบิดาพร้อมข้อความในอินสตาแกรมระบุว่า “Happy Birthday to my one and only daddy Kaa มีหลายคนเคยพูดว่าลูกเข้มแข็งที่ผ่านเรื่องราวต่างๆมาได้ ในใจลูกคิดเสมอว่าเบื้องหลังความเข้มแข็งคือครอบครัวที่แข็งแรง พ่อซึ่งเจออะไรมากกว่าลูกหลายเท่าวันนี้ยังมองโลกในแง่ดีเสมอ ให้อภัยคนที่ทำร้ายได้ทุกเมื่อ ลูกหวังว่าวันหนึ่งจะเป็นได้ครึ่งหนึ่งของพ่อเท่านั้นค่ะ ดีใจที่ได้มาอยู่กับพ่อทุกๆปี จะรอวันที่พ่อกลับไปเป่าเค้กวันเกิดพร้อมหน้ากันค่ะ รักพ่อเสมอ ทั้งวันที่คนห้อมล้อมและวันที่ไม่มีใครรอบตัว”

ในรายงานข่าวฉบับเดียวกัน ยังระบุอีกว่าในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 66 ของ ทักษิณ ชินวัตร ได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองเล็กที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เฉพาะคนในครอบครัวอย่าง น.ส.แพทองธาร และ นายพานทองแท้ ชินวัตรและคนสนิทเท่านั้น รวมถึงอดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย บางส่วนที่ยังไม่ถูกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศไปร่วมงานด้วย

ขณะที่เหตุการณ์ในประเทศไทย หนังสือพิมพ์มติชนรายงานข่าวว่า บริเวณห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว กลุ่มคนเสื้อแดงมีการจัดกิจกรรมฉลองวันเกิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยมีกลุ่มคนเสื้อแดงทยอยเข้ารวมงานนับร้อยคน ทั้งนี้ การจัดงานเป็นไปอย่างสงบ มีการร้องเพลงอวยพรวันเกิด กิจกรรมสภากาแฟ และมีการร่วมแสดงความยินดีที่สถานีโทรศัพท์พีชทีวี (Peace TV) กลับมาออกอากาศได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามในระหว่างจัดกิจกรรมมีทหารในเครื่องแบบคอยสังเกตการณ์และถ่ายรูปการจัดกิจกรรมต่างๆที่ถูกจัดขึ้น

น่าสนใจว่าในวันเกิดปีที่ 76 ของ ทักษิณ ชินวัตร ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ขึ้นไปสู่จุดปะทะและปัญหาอีกสารพัดเรื่องในประเทศอย่างเรื่องน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ ทักษิณ จะอยากเห็นหรือคาดหวังอะไรต่อไปในวันเกิดปีนี้ ? เพราะทุกอย่างล้วนผันแปรและเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทที่เข้ามา ขณะวันเกิดและสิ่งที่หวังยังเชื่อมโยงกับบริบทในชีวิตที่ ทักษิณ ชินวัตรต้องเผชิญ

เทียบกำลังรบไทย-กัมพูชา
24/07/2025

เทียบกำลังรบไทย-กัมพูชา

สำรวจศักยภาพกองทัพไทย และกัมพูชา ปี 2025
ทั้งกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ งบประมาณทางทหาร และอันดับโลก
#กองทัพไทย #กัมพูชา

สืบเนื่องจากสถานการณ์ปะทะ ระหว่างไทย และกัมพูชา ที่ได้อุบัติขึ้นจึงขอเสนอการเปรียบเทียบกำลังรบของทั้งสองประเทศโดยอ้างอิง...
24/07/2025

สืบเนื่องจากสถานการณ์ปะทะ ระหว่างไทย และกัมพูชา ที่ได้อุบัติขึ้นจึงขอเสนอการเปรียบเทียบกำลังรบของทั้งสองประเทศโดยอ้างอิงจากเพจ Global Firepower (GFP) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่จัดอันดับความแข็งแกร่งของกองทัพทั่วโลกเพื่อประเมินศักยภาพในการทำสงครามของแต่ละประเทศ จำนวน 145 ประเทศในปี 2025 โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น กำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ เศรษฐกิจ และภูมิศาสตร์ โดยไม่ได้รวมการจัดอันดับศักยภาพทางนิวเคลียร์

ทั้งนี้ความแข็งแกร่งของกองทัพไทยอยู่ในอันดับที่ 25 ส่วนกัมพูชา อยู่อันดับที่ 95 ในจำนวน 145 ประเทศทั่วโลก

กองทัพอากาศไทย มีความได้เปรียบท่วมท้น โดยมีเครื่องบินรบทุกประเภทรวม 493 ลำ เทียบกับกัมพูชาที่มีเพียง 25 ลำ โดยกัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่ หรือสกัดกั้นเลย แม้จะเคยปรากฏภาพเครื่องบินมิก -21 อายุกว่า 50 ปี แต่คงไม่มีขีดความสามารถในการรบแล้ว ส่วนไทยมีเครื่องบินขับไล่ 72 ลำ ที่ทันสมัยในระดับภูมิภาค เช่น F-16 และ กริพเพน

ส่วนกำลังรบทางทะเลนั้น ไทยมีเรือรบ 293 ลำเทียบกับกัมพูชาที่มีอยู่เพียง 20 ลำ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรือยามฝั่ง ไม่มีขีดความสามารถในการปฎิบัติการในทะเลลึก เทียบกับกำลังทางเรือฝ่ายไทย ที่สามารถปิดล้อมทางทะเลได้

กำลังรบภาคพื้นดิน อาจจะพอสูสี ใกล้เคียง ในระดับปริมาณ ไม่ว่าจะเป็น รถถัง ปืนใหญ่ ปืนใหญ่อัตตาจร(เคลื่อนที่เอง) และเป็นที่น่าสังเกตว่า กัมพูชามีแท่นยิงจรวดถึง 463 แท่นซึ่งติดอ้นดับ 10 ของโลก ซึ่งถึงแม้จะปราศจากความแม่นยำ แต่สามารถเป็นอาวุธที่ใช้ข่มขวัญ และสร้างความเสียหายได้ เช่นเดียวกับเมื่อระดมยิงแล้วก็คือการเปิดเผยพิกัด โดนสวนกลับได้ไม่ยากนัก

เปิดขุมกำลัง เปรียบเทียบ ไทย-กัมพูชา

จากเพจ Global Firepower (GFP) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่จัดอันดับความแข็งแกร่งของกองทัพทั่วโลกเพื่อประเมินศักยภาพในการทำสงครามของแต่ละประเทศ จำนวน 145 ประเทศในปี 2025

ข้อมูลจาก .’กองจดหมายเหตุต่างประเทศเตี้ยวหวีไถ‘ ของทางการจีน  น่าจะเป็น ข้อมูลที่เที่ยงตรงที่สุด ว่า ประธานเหมา  คุยอะไร...
23/07/2025

ข้อมูลจาก .’กองจดหมายเหตุต่างประเทศเตี้ยวหวีไถ‘ ของทางการจีน น่าจะเป็น ข้อมูลที่เที่ยงตรงที่สุด ว่า ประธานเหมา คุยอะไร กับ คุณชายคึกฤทธิ์ และยังมี บทสนทนาระหว่าง นายกโจว กับคุณชายคึกฤทธิ์อีก (เท่าที่ทางการจีน จะยอมเปิดเผย)
แต่คนที่รู้จริงทั้งหมด ที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ "แนนซี่ ถัง" หรือ "ถังเหวินเซิง" ล่ามในวันนั้น

บทความพิเศษ | รศ.อาทร ฟุ้งธรรมสาร แปล

“ประวัติศาสตร์ ต้องมองยาวๆ หลายยุคสมัย ผ่านกรอบเวลาที่ยาวนาน เช่นเดียวกับที่เครือมติชนเป็นประจักษ์พยานของความสัมพันธ์จีน...
22/07/2025

“ประวัติศาสตร์ ต้องมองยาวๆ หลายยุคสมัย ผ่านกรอบเวลาที่ยาวนาน เช่นเดียวกับที่เครือมติชนเป็นประจักษ์พยานของความสัมพันธ์จีน-ไทยอย่างเป็นทางการมาถึง 50 ปี ตั้งแต่ปลายยุคสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน

มติชนเป็นสื่อหลักที่มีประสบการณ์ร่วมกับเหตุการณ์การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อ พ.ศ.2518 โดยคุณสุจิตต์ วงษ์เทศ และคุณสุทธิชัย หยุ่น จากหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ซึ่งจะพัฒนาเป็นเครือมติชนในเวลาต่อมา ได้เดินทางไปร่วมทำข่าวที่กรุงปักกิ่งด้วย ถือเป็นทรัพยากร และประสบการณ์จากอดีตที่สามารถนำมาขยายได้...

“มันไม่มีอะไรง่าย ไม่มีอะไรเป็นบวกไปหมด ทุกอย่างมีความสลับซับซ้อนของมัน หวังว่ากิจกรรมของเครือมติชน จะให้ภาพใหญ่ว่าในภูมิรัฐศาสตร์แบบนี้มีหลายทางเลือกให้เราได้เข้าไปแตะ คนมาร่วมงานจะได้ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนในมิติที่รอบด้านมากขึ้น”

คือคำตอบของ ปราปต์ บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ต่อคำถามพื้นฐานอย่างจุดประสงค์ที่มุ่งหวังให้สังคมไทยได้รับจากอีเวนต์หลากหลายในเครือมติชน อันเนื่องจากวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน

ปราปต์ รีแคป ความสัมพันธ์ไทย-จีนว่ามีมาอย่างยาวนาน สะท้อนผ่านเนื้อหาของเครือมติชนที่พยายามนำเสนออย่างครบถ้วนทุกมิติทั้งเชิงประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคก่อนเกิดรัฐชาติ โดยเมื่อปี 2567 สำนักพิมพ์มติชน ตีพิมพ์หนังสือ รวมข้อมูลวรรณกรรมวิชาการ โซเมีย, ไท-ไต ใน “นิธิ เอียวศรีวงศ์” ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์ไทยจีนในอีกมิติ หรือในภูมิศาสตร์อีกแบบหนึ่ง

ไหนจะเรื่องราวของ ‘เจ้านครอินทร์’ หรือสมเด็จพระนครินทราธิราช ซึ่งจักรพรรดิจีนหนุนให้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.1952 ไหนจะ ‘พระเจ้าตาก’ ที่คนไทยรับรู้กันดีว่าทรงมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋วเส้นทาง ‘ความเป็นไทย’ ไม่เคยห่างหายจากการมีอยู่ของ ‘ความเป็นจีน’

ไม่เว้นแม้ Family tree ของครอบครัว ‘บุนปาน’ ที่ฝั่งปู่ทวด ‘แซ่ตั้ง’ ฝั่งตาทวด ‘แซ่ลี้’ สมรสกับยายทวดผู้เป็นสาวไทย ตั้งถิ่นฐานในพรมแดนเชื่อมต่อ ราชบุรี-นครปฐม ขณะที่ย่าก็พูดภาษาจีนได้คล่องโดยนอกจากชื่อไทย ยังมีชื่อจีนว่า ‘กิมเฮียง’

อ่าน ก่อนค่ำคืนดินเนอร์ทอล์ก ปราปต์ บุนปาน รีแคป สัมพันธ์จีน-ไทย มองภาพใหญ่ในภูมิรัฐศาสตร์โลก #หน้า9ประชาชื่น มติชนรายวัน ฉบับเต็มในคอมเมนต์
#50ปีไทยจีน

18 กรกฎาคม 2531 คนครึ่งแสนร่วมฟัง พลตรีจำลองยอมรับว่าเข้าร่วมการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าในวันที่ 6 ตุลา 19 จริง แต่ทำ...
18/07/2025

18 กรกฎาคม 2531 คนครึ่งแสนร่วมฟัง พลตรีจำลองยอมรับว่าเข้าร่วมการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าในวันที่ 6 ตุลา 19 จริง แต่ทำไปเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการฆ่านักศึกษาที่ธรรมศาสตร์

18 กรกฎาคม 2531 คนครึ่งแสนร่วมฟัง พลตรีจำลองยอมรับว่าเข้าร่วมการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าในวันที่ 6 ตุลา 19 จริง แต่ทำไปเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการฆ่านักศึกษาที่ธรรมศาสตร์

ย้อนกลับไป ในบริบทท่ามกลางกระแสแข่งขันก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2531 พรรคน้องใหม่ในเวลานั้นอย่างพรรค “พลังธรรม”ของ พลตรี จำลอง ศรีเมือง ได้ลงแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งนั้นด้วย

ฉนวนเหตุและที่มาของความสงสัยว่าพลตรี จำลอง ศรีเมือง เข้าไปมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ 6 ตุลา นั้นเกิดขึ้นเมื่อนาง จงกล ศรีกาญจนา ผู้สมัคร ส.ส.กทม พรรคพลังธรรม ได้กล่าวไว้ในการปราศรัยเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ครั้งหนึ่งว่า

“... เมื่อตอนที่เราลุกขึ้นสู้ในปี 2516-2519 ตอนนั้นมีคนๆหนึ่งสวมหมวกหลุบเชียวนะ และใส่แว่นตาดำ ไม่รู้มาจากไหน จะคอยส่งไมโครโฟนให้เราพูดตลอดเวลา นานๆไปยังไม่เคยแหย่ว่าทำไมใส่หมวกอย่างกับขอทาน ไม่รู้ว่าใคร จนสุดท้ายมาถึงตอนที่บุกทำเนียบ เราจะหลงลืมอะไร เธอก็จะต้องคอยกระตุ้นว่า พี่บัว (ชื่อเล่นของนางจงกล ศรีกาญจนา) อย่าลืมพูดคำนั้น คำนี้แล้วก็ส่งไมค์ให้อีก จนวินาทีสุดท้ายปรากฎว่าคนๆนั้นก็คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในตอนนี้นั่นแหละ”

ขณะที่ภายหลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 นางจงกล ในฐานะสมาชิกสภาปฎิรูปการปกครองแผ่นดิน ยังได้เคยกล่าวถึงความกลัวว่าบทบัญญัติมาตรา 29 ในกฎหมายนิรโทษกรรม พ.ศ.2519 จะไม่มีผลเป็นการยกเว้นความผิดครอบคลุมและตนเองจะถูกลงโทษในกาลข้างหน้าในฐานะผู้ร่วมก่ออาชญากรรม ความว่า

“บอกว่าโทษนั้นถึง 20 ปี ดิฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะ ตัวบทกฎหมายอะไรๆ แต่มาเสียวไส้ว่าถึงกับประหารชีวิต ดิฉันเคยสงสัยเหลือประมาณว่าเหตุไฉนเวลาผ่านมาตั้ง 2 เดือนเศษแล้ว ไม่มีผู้ใดที่จะขอนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ซึ่งได้ร่วมทำงานในครั้งนั้น ดิฉันก็เป็นประชาชนแม่บ้านธรรมดาซึ่งไปร่วมเต้นเหยงๆ อยู่กับเขาตอนนั้นด้วย”

คำปราศรัยของนางจงกล พร้อมทั้งให้สัมภาษณ์ยืนยันกับหนังสือพิมพ์อีกฉบับ จุดชนวนคำถามความเกี่ยวพันของหัวหน้าพรรคพลังธรรรม และการล้อมปราบขบวนการศึกษาในวันที่ 6 ตุลา 2519

นักวิชาการที่มีชื่อเสียงทางรัฐศาสตร์ อย่างนายชัยอนันต์ สมุทวณิช กล่าวยืนยันว่า พลตรีจำลองไม่ได้เข้าไปส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการปราบปรามขบวนการนักศึกษาขณะนั้น แต่เป็นคนที่แก้ไขรอยร้าวในชาติ ยุคขาวพิฆาตซ้าย โดยกล่าวว่า

“ผมเขียนตำราการเมืองไทยพิมพ์เผยแพร่ทั่วโลก โดยการค้นคว้าข้อมูลและสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องมากมายในเหตุการณ์ 6 ตุลา ขอยืนยันว่าพลตรีจำลองไม่เกี่ยวข้องด้วย” โดยนายชัยอนันต์ยังได้กล่าวเสริมอีกว่า “ไม่อยากเห็นประวัติศาสตร์ไทยถูกบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของใคร จะเห็นว่าพลตรีจำลองถูกโจมตีเรื่องสันติอโศก ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และพัวพันกับเหตุการณ์ 6 ตุลา”

16 กรกฎาคม 2531 พลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์มติชน ความว่าในวันที่ 6 ตุลานั้นตนอยู่ที่หน้าพระบรมรูปทรงม้า อีกทั้งออกตัวว่าตนไม่รู้จักกับเจ้าหน้าที่สักคนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เวลานั้น

ขณะที่นายธงชัย วินิจจะกูล อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลา กล่าวว่า เหตุการณ์ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าในวันที่ 6 ตุลา “มีส่วนเกี่ยวข้อง” การกับสังหารหมู่ในวันที่ 6 ตุลา เพราะการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นส่วนหนึ่งของการปิดล้อมเพื่อสร้างความเกลียดชัง อันนำไปสู่การเอาลิ่มตอกอก แขวนคอ เผานั่งยางทั้งเป็น ทั้งยังกล่าวเสริมว่า

“ผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ พลตรีจำลอง จะได้คะแนนมาก เพราะกี่คนที่จะรู้เรื่อง 6 ตุลาฯ ประชาชนในต่างจังหวัดรู้เรื่องเหตุการณ์ 6 ตุลาแค่ไหน พลตรีจำลอง อาจจะได้คะแนนสงสาร แต่ขออย่ามองว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะนักศึกษา”

วันที่ 18 กรกฏาคม 2531 ในเวลา 19 น.เศษ พล.ต.จำลองได้เดินทางมาถึงเวทีปราศรัย ที่ท้องสนามหลวงโดยได้รับการคุ้มกันจากเจ้าหน้า ที่ตำรวจและคณะผู้ติดตามอย่างแน่นหนาเนื่องจากเกรงว่าจะมีการทำร้ายโดยกลุ่มคน และขณะที่พล.ต.จำลองขึ้นเวที ได้มีเสียงโห่ร้องต้อนรับของผู้ฟัง

จากนั้นพล.ต.จำลองได้กล่าวปราศรัยว่า วันนี้คน ชื่อจำลองได้ตกเป็นจำเลยแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีหนัง สือพิมพ์บางฉบับที่ได้เขียนบทความหรือข้อคิดเห็นแสดงความเห็นใจว่า ถูกเขากล่าวหาว่าเป็นฆาตกรอย่างนี้ยังไปเดินช่วยลูกพรรคหาเสียงอยู่อีก ซึ่งตนเห็นว่า แม้จะถูกกล่าวหาก็ไม่เป็นไร จะต้องมีการชี้แจงกัน

พล.ต.จำลองกล่าวยืนยันว่า ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยว ข้องกับการฆ่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ 6 ตุลาฯ เพราะขณะนั้นมียศเพียงพันตรี ประจำ ศูนย์วิจัยบก.ทหารสูงสุด ไม่มีกำลังพลที่ถืออาวุธอยู่ในบังคับบัญชาแม้แต่คนเดียว ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามนักศึกษา ไม่มีการติดต่อประสานงาน กับตำรวจ และไม่ได้ไปหาข่าวให้ใครทั้งสิ้น

ตนไปเฉพาะที่ลานพระบรมรูปทรงม้าและทำเนียบรัฐบาลในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ไม่ได้ชวนผู้ทำงานอยู่ที่เดียวกันให้ไปชุมนุมด้วยเลย

"ผมขอยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนพัวพันในการฆ่านักศึกษาใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งก็ขอพูดตรงนี้ห่างจากที่เกิดเหตุ
ไม่กี่ร้อยเมตร วิญญาณที่อยู่จะได้เห็นว่าคนที่ไม่ได้จบจากสถาบันนี้แต่ก็กล้ามาพูดมายืนยัน ณ ที่นี้ ฉะนั้นขอให้ผู้ที่มาฟังการปราศรัยทุกคนช่วยกันตั้งจิตให้สงบไว้อาลัย 1 นาที' พล.ต.จำลองกล่าว และหลังจากนั้น ก็ได้กล่าวขอบคุณและปราศรัยต่อไปว่า ตามที่นางจงกลยกเอาเรื่อง 6 ตุลาฯขึ้นมาพูดในการปราศรัยที่สวนลุมพินี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมนั้น การพูดของนางจงกลเป็นการประชาสัมพันธ์ตัวเองและพูดถึงเรื่องที่ต้องมา ยุ่งเกี่ยวกับบ้านเมือง โดยได้อ้างว่า รู้จักกับนักการเมืองอาวุโส โดยกล่าวอ้างชื่อ 3 คนคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปราโมช, • พล.ต.ต.หลวงอรรถสิทธิ์ สิทธิสุนทรและตน

กรณีที่นางจงกลกล่าวอ้างถึงตนนั้นเป็นความจริง เพราะในการชุมนุมวันนั้นไม่ใช่เป็นการเรียกร้องให้ใครไปฆ่านักศึกษา แต่เรียกร้องขอความสงบเรียบร้อย

พล.ต.จำลอง ศรีเมืองกล่าวอีกว่า' การพูดของนางจงกลเป็นความจริง แต่พรรคได้ประชุมแล้วเห็นว่าเป็นความจริงที่ไม่ควรนำมาพูด ไม่มีประโยชน์ สำหรับตนไม่ได้กังวลต่อคำพูดของนางจงกล เพราะทำอะไร ก็บอกว่าทำ ไม่ได้ทำก็บอกไม่ได้ทำ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น 12 ปีมาแล้ว จำรายละเอียดไม่ได้ แต่เรื่องใหญ่ ๆ พอจำได้

14 ตุลาคม 2516 ตนศึกษาปริญญาโททางการบริหารที่สหรัฐจนปลายปี 2517 จึงสำเร็จได้เดินทางกลับประเทศไทย ทำงานประจำศูนย์วิจัยกอง บัญชาการทหารสูงสุด ไม่ได้คุมหน่วยกำลังที่มีอาวุธพล.ต.จำลองกล่าวว่า ปลายปี 2517 ตนได้ไปปฏิบัติธรรมกับพุทธทาสอยู่ 5 วัน 5 คืน และได้รู้จักการ กินเจจากที่นั่นและถือศีลข้อที่ 1 ให้เคร่งขึ้น ตนไม่ได้ฆ่าแม้กระทั่งมดและยุง แล้วจะไปฆ่านักศึกษาได้อย่างไร

ประมาณต้นปี 2519 เหตุการณ์ทวีความเลวร้ายลง บ้านเมืองระส่ำระสาย ทุก คนห่วงใยหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจะกระทบกระเทือนต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างยิ่ง รวมทั้งตนด้วย และว่าในช่วงดังกล่าวได้ออกไปฟังอภิปรายในหลายที่และได้รู้จักกับนางจงกล แต่ไม่ได้สนิทอะไรกัน

"ค่ำของวันที่ 5 ตุลาคม 2519 มีคนนำหนังสือพิมพ์มาให้ผมดู มีรูปหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นรูปคน ถูกแขวนคอแต่งหน้าเหมือนองค์รัชทายาทมาก และยัง มีรูปภาพต่างหากอีก ผมตกใจเพราะจะกระทบกระเทือนต่อสถาบันสูงสุด จึงได้บอกคนรู้จักและเห็นความจำเป็นที่จะต้องเรียกร้องรัฐบาลให้ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยอย่างจริงจังเสียที่" พล.ต.จำลองกล่าวกับผู้ที่มาฟังคำปราศรัย

ในที่สุดภาพลักษณ์ของพลตรีจำลองในฐานะนักการเมือง “สายวัด” จึงมิได้ถูกสั่นคลอนลงหลังจากเหตุการณ์นี้ หากแต่แข็งแรงขึ้นภายใต้ระบบความคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องของคนที่ไม่เท่ากัน อีกทั้งศาสนายังเป็นเรื่องเดียวกับการเมือง คือ การเมืองต้องถูกกำกับด้วยคนดีที่มีธรรมะในจิตใจ เสมือนอย่างพลตรีจำลองที่ถือศีล 8 และเคยปฏิบัติธรรมในสำนักท่านพุทธทาส แล้วจะไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลาได้อย่างไร ?

อ้างอิง
วสุชน รักษ์ประชาไท. ขวาสุดขั้ว ระบอบคนดีกับการเมืองยุคประชาธิปไตยกลับหลังหัน. กรุงเทพฯ : มติชน, 2566.
ภาสกร ญี่นาง, ร่องรอยความหวาดกลัวและ “รู้ว่าผิด” ระหว่างการร่างกฎหมายนิรโทษกรรมผู้เกี่ยวข้องกับ 6 ตุลาฯ, ที่มา https://shorturl.asia/nxtOe

นาทีนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจับพระชีพจรของสมเด็จย่าไว้แนบพระกรตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ
18/07/2025

นาทีนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจับพระชีพจรของสมเด็จย่าไว้แนบพระกรตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ

วันนี้ย้อนหลังไปเมื่อ 30 ปี ที่แล้วคือห้วงเวลาแห่ง ความเศร้าสลดของปวงชนชาวไทย เมื่อเวลา 21.17 น.วันที่ 18 ก.ค. สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่าของพสกนิกรทั้งประเทศ ได้เสด็จสวรรคตด้วยพระอาการสงบ ณ ห้องประทับชั้น 5 ตึก84 ปี ร.พ.ศิริราช

รายงานข่าวแจ้งว่าก่อนสมเด็จย่าจะสวรรคตนั้น ทรงบรรทมอยู่บนพระแท่นท่ามกลางการถวายการ รักษาของคณะแพทย์อย่างใกล้ชิด พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเฝ้าพระอาการอยู่อย่างใกล้ชิดแทบเบื้องพระวรกายของสมเด็จแม่

นาทีนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจับพระชีพจรของสมเด็จย่าไว้แนบพระกรตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ โดยสมเด็จย่าทรงหมดลมหายใจขณะที่พระกรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงจับอยู่ที่พระชีพจร เมื่อทรงทราบว่าสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงถวายบังคมพระบรมศพ โดย ทรงกราบที่พระหัตถ์ พระประยูรญาติทรงกราบ และผู้ที่เข้าเฝ้าฯ ทุกคนในที่นั้นได้หมอบกราบพร้อมกัน

ภายในห้องประทับนั้นยังมี พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีประทับอยู่พร้อมหน้า

สำนักพระราชวังมีประกาศ เรื่อง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 เวลา 23:30 น. ความว่า

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีประทับรักษาพระอาการประชวร ณ ตึก ๘๔ ปี โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๓๘ ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น

แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ พระอาการประชวรได้ทรุดหนักลงตามลำดับ และสวรรคตเมื่อเวลา ๒๑ นาฬิกา ๑๗ นาที วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๘ รวมพระชนมายุ ๙๔ พรรษา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังจัดการพระบรมศพถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวายมีกำหนด ๑๐๐ วัน ตั้งแต่วันสวรรคตเป็นต้นไป

อนึ่ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระบรมศพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งประดิษฐาน ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา ๙ นาฬิกา ถึงเวลา ๑๖ นาฬิกา วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๘

สำนักข่าวเอเอฟพี, เอพี และรอยเตอร์รายงานข่าวว่า หลังการสวรรคตของสมเด็จย่า ประชาชนชาวไทยหลายพันคนที่ไปรอรับพระบรมศพที่บริเวณพระบรมมหาราชวัง หรือวัดพระแก้วอย่างหนาแน่น หลายคนที่ยืนรอพากันร้องไห้ท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าสลด ทุกคนสวมเสื้อผ้าสีขาว-ดำ เพื่อแสดงการไว้ทุกข์ ขณะที่ทางราชการประกาศไว้ทุกข์มีกำหนด 100 วัน ตั้งแต่วันสวรรคตเป็นต้นไป

สำนักข่าวต่างประเทศยังรายงานพระราชประวัติสมเด็จ ย่าอย่างละเอียด และระบุถึงการเสนอข่าวของสื่อมวลชนไทยว่า หนังสือพิมพ์ทุกฉบับได้นำเสนอภาพพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จย่า ซึ่งเป็นพระพักตร์แห่งรอยยิ้มแห่งความเมตตา ที่คุ้นตาของพสกนิกรชาวไทย ซึ่งพระองค์มีพระราชกรณียกิจมากมาย และทรงมีความสนใจพิเศษใน ด้านการสาธารณสุขและการศึกษาในถิ่นทุรกันดาร

Thai Chinese Golden Fes อีเวนต์ ”ความรู้“ จาก ”มติชน“ ล่าสุดครับ ส่วนตัวหลักคือ ”Khowledge Fes“ ที่ มิวเซียม สยาม จัดประ...
14/07/2025

Thai Chinese Golden Fes อีเวนต์ ”ความรู้“ จาก ”มติชน“ ล่าสุดครับ ส่วนตัวหลักคือ ”Khowledge Fes“ ที่ มิวเซียม สยาม จัดประจำทุกต้นปี

ที่อยู่

12 ถนนเทศบาลนฤมาล ลาดยาว จตุจักร
Bangkok
10900

เวลาทำการ

จันทร์ 10:00 - 18:00
อังคาร 10:00 - 18:00
พุธ 10:00 - 18:00
พฤหัสบดี 10:00 - 18:00
ศุกร์ 10:00 - 18:00

เบอร์โทรศัพท์

+66922464140

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Matichon Information Centerผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Matichon Information Center:

แชร์