CREATIVE TALK "The Future Belongs to Your Creativity"

ติดต่อฝากข่าวประชาสัมพันธ์/Media Partner: [email protected]

สนใจลงโฆษณา: [email protected]

พูดไม่เก่ง ก็เป็นหัวหน้าที่คนรักได้ 5 วิธีบริหารทีมสไตล์ Introvertเมื่อคนพูดไม่เก่ง ต้องเป็นหัวหน้า จะจัดการยังไงดี?คนปร...
14/07/2025

พูดไม่เก่ง ก็เป็นหัวหน้าที่คนรักได้ 5 วิธีบริหารทีมสไตล์ Introvert
เมื่อคนพูดไม่เก่ง ต้องเป็นหัวหน้า จะจัดการยังไงดี?
คนประเภทที่พูดน้อย ขี้อาย หรือกลุ่มอินโทรเวิร์ตนั้น มักจะถูกมองว่าเป็นคนไม่รู้จักสื่อสาร จนยุคหนึ่งถูกคนค่อนขอดว่าจะทำงานได้ไหม หากต้องไปเป็นหัวหน้า นั่นทำให้สมัยก่อน คนที่ได้เป็นผู้นำจึงมักเป็นคนที่เข้าสังคม เพราะคนกลุ่มนี้รู้จักวิธีการพูด สามารถสร้างแรงจูงใจ เพื่อกระตุ้นอารมณ์ของคนได้
อย่างไรก็ตามในยุคหลังก็มีการพิสูจน์แล้วว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะคนพูดน้อยก็สามารถสำเร็จได้ ซึ่งผู้นำมากมายไม่ว่าจะเป็นบิล เกตส์ (Bill Gates), วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett), มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) หรือกระทั่งอับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) เองนั้นก็ไม่ใช่คนชอบเข้าสังคมแต่อย่างใด ทว่าพวกเขาเหล่านี้ต่างมีจุดแข็งตรงที่ทุกคนสามารถ ‘ทำให้ผู้อื่นยอมรับได้’ ว่าแต่ทำไมผู้นำที่พูดน้อยถึงสามารถสะกดใจคนได้กันนะ
ผู้นำที่พูดน้อยนั้นก็ตามชื่อเลย เพราะหลายคนชอบเก็บตัวหรือเป็นอินโทรเวิร์ต นั่นทำให้พวกเขาชอบทำงานด้วยการคิดมากกว่าพูด ซึ่งช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งคนที่พูดน้อยเองนั้นก็มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ฟังที่ดี สามารถเข้าใจความต้องการของลูกทีมได้
ในเว็บไซต์ uschamber.com ได้พูดถึงการสำรวจของผู้นำระดับโลกกว่า 56% แล้วพบว่าการเป็นผู้นำระดับสูงนั้นเกี่ยวข้องกับการสื่อสารอย่างชัดเจน ฉะนั้นแล้วผู้นำจึงเป็นคนที่ควรสื่อสารให้บ่อย
การสื่อสารไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนธรรมดา แต่หลายครั้งมันกลับเป็นเรื่องยากสำหรับคนพูดน้อย เพราะกำแพงเหล่านี้มันอาจทำให้เรารู้สึกว่าหมดพลังเร็วได้ ดังนั้นแล้วเมื่อการสื่อสารเป็นหัวใจสำคัญ แต่เราดันไม่ถนัดสื่อสาร แล้วจะทำยังไงกันนะ
👂 1. รับฟังอย่างตั้งใจ
ถึงแม้ว่าเราจะไม่ถนัดพูด แต่เราก็สามารถเป็นผู้ฟังที่ดีได้นะ เพราะการตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกทีมต้องการ จดบันทึกคีย์เวิร์ดสำคัญ และทำให้ลูกทีมรู้ว่าเราได้ยินพวกเขาเสมอ เป็นวิธีหนึ่งในการสื่อสารที่ดี เพราะการทำเช่นนี้คือการพูดสิ่งที่ลูกทีมพูดกลับไปให้พวกเขาฟังอีกครั้ง
🗣️ 2. ขอนัดคุย 1-1 ล่วงหน้า
บางครั้งการอยู่ต่อหน้าคนมากมาย ทำให้คนพูดน้อยรู้สึกหมดพลังได้ง่าย ดังนั้นแล้วเราจึงต้องพยายามเวทน้ำหนักให้ดี ว่าจะให้น้ำหนักกับสิ่งไหน เพราะหลังจากเราพูดต่อหน้าคนมากมาย ก็ให้หาเวลาสักพักเพื่อมาชาร์จพลังตัวเอง และนัดหมายเพื่อพูดคุยล่วงหน้าด้วยจำนวนคนที่น้อยลง ไม่เพียงแค่นั้นการประชุมแบบ 1-1 จะช่วยให้เราแน่ใจว่าจะไม่ถูกกระตุ้นจากคนมากเกินไป ซึ่งทำให้เราสามารถโฟกัสกับลูกทีมได้เต็มที่
✨ 3. จ่ายงานหลังการประชุม
บางครั้ง ในฐานะคนที่ต้องสื่อสารในห้องประชุม เราเองก็อาจมีหลุดโฟกัสได้ ฉะนั้นแล้วการบันทึกเสียง หรือถอดเทปออกมา เพื่อทบทวนเนื้อหาในตอนที่ประชุม จะทำให้เราสามารถมอบหมายงานส่วนตัวได้ถูกคน แล้วรู้ว่าต้องแจกจ่ายงานให้กับใคร
🌟 4. ตัดสินใจให้เร็วกว่าเดิม
การ Take Action ทันทีเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของคนเป็นลีดเดอร์ แต่ปัญหาคือคนพูดน้อยมักจะใช้เวลาในการตัดสินมากกว่าคนที่ชอบเข้าสังคม ซึ่งทำให้บางครั้ง ความชักช้าของคนพูดน้อยอาจทำให้งานกระจุกกันเป็นคอขวด จนทีมรู้สึกหงุดหงิดได้ ซึ่งการตัดสินใจได้เร็วขึ้นจะช่วยแก้ปัญหาในจุดนี้ ทำให้งานทีม Flow ขึ้น ไม่มากระจุกอีกต่อไป
📞 5. ให้การโทรเป็นลำดับสุดท้าย
อาจจะดูย้อนแยงไปหน่อยกับข้อเมื่อกี้ ทว่าคนพูดน้อยหลายคนชอบการสื่อสารด้วย Text มากกว่า เพราะเราต่างชอบการสนทนาด้วยการใช้ข้อความ และไตร่ตรองก่อนกำลังจะพูด ซึ่งเมื่อเราต้องเป็นหัวหน้า ควรมีมาตรการเรื่องการสื่อสารให้ดี เพราะการสื่อสารด้วยข้อความอยู่เสมอ จะช่วยให้เราสามารถคุยกับทีมได้อย่างไหลลื่น แม้จะไม่ได้ยินเสียงก็ตาม ซึ่งหากมีอะไรด่วนจริง ๆ ก็ให้การโทรนั้นเป็นลำดับสุดท้าย
คนพูดน้อยมักจะชอบชาร์จแบตด้วยการอยู่กับตัวเอง ซึ่งเป็นความสุขอย่างหนึ่งของชีวิต ในทางตรงกันข้าม การขึ้นเป็นหัวหน้าก็คือการที่ต้องสื่อสารมากกว่าเดิม และต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมากขึ้น เราต้องรู้ว่าเราจะไม่สามารถทำงานคนเดียวได้อีกต่อไป ฉะนั้นแล้วจงมองผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก เพราะมันจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าของทีม ซึ่งการกำหนดขอบเขตของการสื่อสารจะช่วยให้เราสามารถเป็นหัวหน้าที่ดีได้ แม้จะพูดน้อยก็ตาม
ท้ายที่สุดก็จงอย่าลืมว่าการพูดน้อยไม่ใช่โรค มันไม่ใช่ปัญหาหนักหนาของชีวิต จงอย่านำสิ่งนี้มาเป็นข้ออ้างในการไม่สื่อสาร เพราะมืออาชีพ และหัวหน้าที่เก่ง จะรู้วิธีรับมือกับการต้องสื่อสารได้ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบสิ่งนั้นเลยก็ตาม
✍🏻 แปล เรียบเรียง: พีรพล สดทรัพย์
🎨 ภาพประกอบ: ชนสรณ เวชสิทธิ์
#หัวหน้า #พูดน้อย #พูดไม่ค่อยเก่ง #แต่รักหมดใจ

14/07/2025

จำนวนคนต่อคิวบอกอะไรเราได้บ้าง?
- จำนวนคิวน่าจะบอกอะไรได้เหมือนกัน เช่น จำนวนความนิยม จำนวนความชอบ ความสนใจ ฯลฯ
- จากสงครามราคาของร้านสุกี้ ทำให้พบว่าบางร้าน "มีคนต่อคิวแม้แต่ร้านที่ไม่ได้จัดโปรฯ"
#ต่อคิว

13/07/2025

เปิดศึกหม้อสุกี้ของ MK กับการตลาดบุฟเฟ่ต์ และแบรนด์ใหม่!
มาชวนคุย ชวนถก เปิดหม้อสุกี้ไปด้วยกัน

Journey ขาด ธุรกิจก็พลาด ทั้งยอดขายและใจลูกค้า เปิดกลยุทธ์สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ต้องเริ่มที่รู้จักตัวเองก่อนเครื...
13/07/2025

Journey ขาด ธุรกิจก็พลาด ทั้งยอดขายและใจลูกค้า เปิดกลยุทธ์สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ต้องเริ่มที่รู้จักตัวเองก่อนเครื่องมือ โดย InsightEra และ Hubspot
หนึ่งในบทเรียนสำคัญของนักการตลาดยุคดิจิทัล คือ ‘Broken Customer Journey’
Broken Customer Journey คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อธุรกิจติดตามเส้นทางลูกค้า (Customer Journey) ได้ไม่ครบ ไม่ต่อเนื่อง และไม่เข้าใจ
📍 3 ปัญหาหลักที่ตามมาเมื่อธุรกิจเจอปัญหา Broken Customer Journey
1. Too many repeated conversations
ลูกค้าต้องอธิบายเรื่องที่สนใจหรือต้องการติดต่อซ้ำไปมาหลายช่องทาง เพราะระบบไม่เชื่อมกัน สร้างประสบการณ์ที่ไม่ดี และอาจทำให้ลูกค้าไม่ใช้บริการต่อ
2. Irrelevant messages
การมีหลายช่องทางเกินไป ทำให้อาจส่งข้อความผิดเวลา ผิดช่องทาง หรือไม่ตรงใจช่องทางที่ลูกค้าต้องการ สร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้า
3. Lack of guidance for New customer
โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ B2B ที่มีช่วงเวลาในการตัดสินใจ (Consideration Stage) ยาวกว่าทั่วไป แต่เพราะ Broken Customer Journey อาจทำให้ลูกค้าหลุดกลางทางไปไม่ถึงขั้นตอนปิดการขาย
สาเหตุของ Broken Customer Journey คือ “เครื่องมือไม่ทำงานร่วมกัน” หรือการขาดตัวช่วยเชื่อมต่อในการทำงานของแต่ละเครื่องมือ ซึ่งยุคนี้หลายคนจึงมองว่า Solution ที่ชื่อว่า AI
📍 การใช้ AI เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ของเครื่องมือเพื่อแก้ปัญหา
ไม่จำเป็นต้องมีงบเยอะ ก็สามารถเลือกเครื่องมือ MarTech มาใช้งานได้ โดยคำนึงถึงต้นตอของปัญหาอันดับแรก แล้วจึงหาเครื่องมือที่เหมาะสม
🟠 กรณีศึกษา: ฟิตเนสระดับพรีเมียมกับการใช้ AI แก้ปัญหา Broken Journey
ธุรกิจฟิตเนสรายหนึ่งลงทุนโฆษณาถึง $10,000 ต่อสัปดาห์ เพื่อสร้าง Leads แต่ทีม Sales มีเวลาและกำลังเพียงพอในการติดต่อ Leads เหล่านี้เพียง วันละ 8 ชั่วโมง ส่งผลให้ลูกค้าบางรายไม่ได้รับการติดต่อ เกิดเป็น Broken Customer Journey ที่นำไปสู่การสูญเสียโอกาสและรายได้
✨ Solution: ใช้ AI มาช่วยติดตามและสื่อสารอัตโนมัติ
โดยทางฟิตเนสใช้ Hotspot AI ระบบติดตามและตอบกลับลูกค้าโดยอัตโนมัติ หลังจากที่มีการกรอกฟอร์ม
ลูกค้าจะได้รับข้อความตอบกลับทันที โดยมี Chatbot AI ทำหน้าที่เหมือน PDR (Personal Digital Rep) ตลอด 24 ชม.
และยังเสริมประสบการณ์เพิ่มเติม โดยการป้อนข้อมูลลูกค้าให้ AI เรียนรู้เพื่อตอบคำถามซับซ้อน และในกรณีที่ต้องการคุยกับแอดมินคนจริง ๆ ระบบจะจับคีย์เวิร์ดเพื่อส่งต่อให้กับคน ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด
🟠 กรณีศึกษา 2: โรงเรียนนานาชาติในไทย
แม้จะไม่ใช่ธุรกิจที่นำร่องเทคโนโลยี แต่ก็นำเทคโนโลยีมาช่วยได้ โดยใช้ฟีเจอร์ Content Remix ของ HubSpot ในการเผยแพร่คอนเทนต์เดียวไปทุกช่องทางได้ในไม่กี่คลิก เช่น เว็บไซต์, Facebook ตอบโจทย์การตลาดในยุคนี้ ทำให้ลูกค้าได้ประสบการณ์และรับข่าวสารจากคอนเทนต์ทุกช่องทาง
📍 ความเชื่ออันตรายที่ธุรกิจมักเจอ เมื่อนำ MarTech หรือ AI เข้ามาใช้
1. เริ่มจากหา “เครื่องมือ” แทนที่จะเริ่มจาก “ปัญหา”
ธุรกิจจำนวนมากเห็นกระแส AI แล้วรีบลงทุนในเครื่องมือที่มีฟีเจอร์ AI โดยไม่ชัดเจนว่า “ต้องการแก้ปัญหาอะไร” จนเกิดปัญหาเครื่องมือใหม่เข้าไม่ได้กับระบบเดิม คนใช้งานไม่เข้าใจ จนเกิดเป็นการทำงานแบบ Silo
2. ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน
มากกว่า 90% จากประสบการณ์ของ Insightera และ Hubspot ธุรกิจหลายแห่งไม่รู้ว่าอยากได้ผลลัพธ์แบบไหนจากการใช้เทคโนโลยี ทำให้ทิ้งโปรเจกต์กลางทาง หรือเลือกเครื่องมือผิดตั้งแต่แรก
3. ไม่พิจารณาว่าเครื่องมือจะกระทบ Customer Journey อย่างไร
เช่น ใส่คอนเทนต์ที่สร้างจาก AI แบบไม่เกี่ยวข้องเลยกับสิ่งที่ลูกค้าสนใจ หรือออกแบบระบบอัตโนมัติที่ ซับซ้อนแต่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
4. ไม่รู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และ Journey ที่แท้จริงของลูกค้า
ธุรกิจบางแห่งไม่เข้าใจเส้นทางของลูกค้าที่แท้จริง ทำให้ไม่รู้ว่าจะสอน AI อย่างไรให้ตอบคำถามหรือให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ส่งผลให้ AI กลายเป็นตัวสร้างประสบการณ์ที่ “แย่ยิ่งกว่าเดิม”
5. คาดหวังว่า AI จะทำได้ทุกอย่าง
บางบริษัทเข้าใจว่า AI คือเครื่องมือสารพัดนึกที่ทำได้ทุกอย่าง แค่ใส่ข้อมูลลงไปก็ได้ผลลัพธ์ แต่แท้จริงแล้ว AI ต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องก่อนถึงจะทำงานได้ดี
AI ถ้าใช้ปรึกษาทั่วไปนั้นเหมาะสม แต่ถ้าจะใช้ในการ “ตัดสินใจแทน” นั้นยังไม่เหมาะ เพราะ AI รู้เท่ากับข้อมูลที่เราป้อนให้เท่านั้น
📍 แนวทางนำเครื่องมือ MarTech และ AI เข้ามาใช้งาน
1. เริ่มจาก วิเคราะห์ปัญหาและ Business Model ก่อน แล้วค่อยเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม
2. สร้างพื้นฐานธุรกิจและข้อมูลให้แข็งแรง เช่น เข้าใจ Customer Journey ของลูกค้า, วางระบบที่รองรับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งเทคโนโลยีและความพร้อมของคน
3. มองเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเสริมประสบการณ์ลูกค้า ไม่ใช่แค่ต้องการลดต้นทุนเพียงอย่างเดียว
4. ปรับกระบวนการทำงานโดยคำนึงถึงการ “ใช้ AI อย่างมีเป้าหมาย” และตอบโจทย์ Journey อย่างแท้จริง
📍 ถ้าให้เลือกเริ่มต้นทำ 1 อย่างที่สร้างผลกระทบและช่วยให้บริษัทปรับปรุง Customer Journey ได้ จะเริ่มจากอะไรเป็นอย่างแรก
Customer Journey หลัก ๆ ที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีมี 2 จุด คือ
1. Customer Acquisition (Marketing / Sales) หรือ ช่วงเริ่มรู้จักธุรกิจและก่อนจะมาเป็นลูกค้า
2. Customer Service หรือ ช่วงการบริการเพื่อให้ลูกค้าอยากกลับมาใช้บริการซ้ำ
ทั้งสองจุดเป็นช่วงสำคัญที่วัดกันที่ประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับ ถ้าลูกค้าชื่นชอบแบรนด์ก็จะเปลี่ยนจากคนรู้จักมาเป็นลูกค้า และถ้าแบรนด์สามารถสื่อสารและส่งมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ลูกค้าก็จะกลายเป็นลูกค้าประจำและกลับมาใช้บริการซ้ำ
ให้เลือกระหว่างจุดแรกและจุดที่สอง โดยวิเคราะห์ว่าธุรกิจของเราตอนนี้ต้องการพัฒนาจุด Touchpoint ไหนมากกว่ากัน
ส่งท้าย AI เป็นเพียงตัวช่วยให้ระบบและการทำงานดีขึ้น แต่ไม่สามารถตัดสินใจแทนได้ อยากใช้เทคโนโลยีให้คุ้มค่า ต้องเริ่มจาก “ความเข้าใจในธุรกิจและปัญหา” ก่อน ยิ่งเข้าใจความต้องการของลูกค้ามากเท่าไร เทคโนโลยีที่เข้ามาจะยิ่งเสริมประสบการณ์ของลูกค้าให้ยั่งยืน

รู้จัก ‘ใคร’ ไม่สำคัญ เท่ารู้ว่า ‘เขาต้องการอะไร’ OR และ ttb ทำอย่างไร ถึงเปลี่ยนทุก Touchpoint ให้กลายเป็นโอกาสครองใจลู...
12/07/2025

รู้จัก ‘ใคร’ ไม่สำคัญ เท่ารู้ว่า ‘เขาต้องการอะไร’ OR และ ttb ทำอย่างไร ถึงเปลี่ยนทุก Touchpoint ให้กลายเป็นโอกาสครองใจลูกค้าได้
ในยุคที่โลกเคลื่อนที่เร็ว พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็ว และเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ลูกค้าไม่ได้คาดหวังแค่ “บริการดี” อีกต่อไป แต่คาดหวังว่า “คุณต้องรู้จักฉัน” และ “ตอบโจทย์ฉันเป็นรายบุคคล”
Personalization จึงกลับมาอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาด แต่เป็น “รากฐานของประสบการณ์” ที่ลูกค้าคาดหวัง
ยิ่งการมาถึงของเทคโนโลยีทำให้การทำ Personalization เป็นเรื่องที่ทำได้จริงและละเอียดระดับ Tailor-made Experience ได้มากขึ้น จากการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และวิเคราะห์เพื่อส่งมอบแบบ Real-time โดยในงาน CTC2025 หัวข้อ Reimagining Transformation: When Personalization Becomes the Strategy ก็ได้มาไขคำตอบเรื่องของ Personalization ในระดับองค์กรใหญ่มากขึ้น โดยคุณภากร สุริยาภิวัฒน์ Senior Executive Vice President, Digital Business and Solutions, OR และคุณนริศ อารักษ์สกุลวงศ์ Chief Strategy and Digital Group at ttb
📍 OR และ ttb นำเทคโนโลยีมาทำ Personalization ได้อย่างไร?
🔵 OR (ผู้ให้บริการ PTT Station, Café Amazon และบริการอื่น ๆ)
มีผู้ใช้บริการกว่า 3.9 ล้านคนต่อวัน และทุกคนมีพฤติกรรมการใช้บริการแตกต่างกัน แนวทางของ OR คือ
- มองว่าลูกค้าทุกคน “มีความสำคัญเท่ากัน”
- เก็บข้อมูลจากทุก Touch Point เช่น เติมน้ำมัน ดื่มกาแฟ ใช้สิทธิ์สะสมแต้ม ฯลฯ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่จะสร้าง Personalization Workflow
- นำ Data เหล่านี้มาวิเคราะห์ พัฒนา และออกแบบบริการที่ “ตรงใจ” แบบเฉพาะบุคคล
🟠 ttb (ธนาคารที่มีผู้ใช้บริการทั่วประเทศ)
ttb เลือกเปลี่ยนแอปพลิเคชันให้กลายเป็น “Micro Experience” ส่วนตัวของลูกค้า
ttb พบว่า 93% ของธุรกรรมเกิดขึ้นบน Mobile Banking และมีเพียง 1% ที่ยังทำธุรกรรมผ่านสาขา
ข้อมูล Digital footprint บนแอปเหล่านี้เปิดโอกาสให้ ttb รู้จักลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และตอบโจทย์แบบเฉพาะบุคคล โดย ttb ใช้ 3 แกนหลักในการสร้าง Personalization คือ
1. Data Capturing & Insight Generation
ทุกการใช้งานในแอปถูกเก็บไว้ใน activity log จุดสำคัญคือ “แปลงข้อมูลเป็น Insight” เพื่อเข้าใจ Need & Pain ของแต่ละราย
2. Programmable Customer Experience
หน้าตาแอปของแต่ละคนจะ ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความสนใจที่เก็บข้อมูลได้ก่อนหน้า ไม่ว่าจะสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อแนะนำให้ตรงกับความสนใจของลูกค้า
3. Customer-Centric Business Model
เปลี่ยนจากการมองลูกค้าเป็นผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ มาเป็น “มนุษย์” ที่มีความต้องการเฉพาะตัว ออกแบบธุรกิจแบบ Holistic จากมุมมองของลูกค้า
📍 Digital Transformation ที่ “ทั้งองค์กรต้องมีส่วนร่วม”
ttb และ OR มองว่า Personalization สำเร็จไม่ได้ หากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงจาก “ภายในองค์กร” โดยทุกคนและทุกฝ่าย ทั้ง 4 ข้อ คือ
1. Purpose – มีเป้าหมายที่ชัดเจน ขับเคลื่อนจาก Business Model แล้วใช้เทคโนโลยีเป็นตัวเสริม
2. Inside-Out – การเปลี่ยนจากภายใน พนักงานต้องเข้าใจและมีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลง
3. Ownership – ให้ทีมพัฒนารู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของ Product ที่ดูแลด้วยตัวเอง และมีสิทธิ์ในการตัดสินใจ พัฒนา และภูมิใจในสิ่งที่ทำ
4. Ex*****on – ส่งมอบงานจริง เตรียมรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าที่จะเกิดขึ้นและปรับปรุง
และพนักงานในองค์กรทุกคนจะต้องเข้าใจว่าการทำ Digital Transformation นั้นมีไว้เพื่อ
1. Uplift Revenue, Win Market Share เอาเทคโนโลยีมาใช้แล้ว สามารถหาเงินเพิ่มให้กับองค์กรได้
2. Optimize Business Operating Cost ประหยัดขึ้นในการทำ Operation
3. Elevate Customer Engagement นำเทคโนโลยีมาใช้แล้วสร้างเสริมประสบการณ์ของลูกค้า
📍 ความท้าทายของการทำ Personalization
🔵 OR เลือกที่จะตั้งต้นจาก “โจทย์ผู้บริโภค” ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และนำ Ecosystem Play มาใช้เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าที่ OR นั้น “ครบจบในที่เดียว” โดยใช้ Data-driven Decision Making และยังต้องคำนึงถึง PDPA ในการเก็บและใช้งานข้อมูล
🟠 ttb แนวคิด “Perform while Transform” ในการวัดผลขณะ Transform โดยต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี ใช้เงินและทรัพยากรสูง และวาง Roadmap ในการพัฒนาอย่างรอบคอบ เรียนรู้จากสิ่งที่ทำไปตลอดเวลา หลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่แก้ไขยากถ้าไม่วัดผลขณะ Transform เลย
📍 วัดผลความสำเร็จของ Personalization อย่างไร?
🔵 OR
การสร้างความผูกพันกับลูกค้า ซึ่งคำตอบของ OR คือ เหล่ากองทัพฮีโร่ด้านบริการมารวบรวมไว้ในแอปพลิเคชันของ OR โดยมีเป้าหมายที่วางไว้ว่า
1. ทุก ๆ เจเนอเรชันจะต้องเข้าถึงแอปพลิเคชันของ OR ใช้งานไม่ว่าจะวัยไหน
2. Net promoting score (NPS) เป็น KPI หลักที่วัดว่ามีการชื่นชมบอกต่อไหม ลูกค้าชื่นชอบแอปพลิเคชันนี้มากน้อยแค่ไหน
🟠 ttb
1. วัดผลด้วย User Flow ในแอปที่แต่ละคนจะมี Flow ต่างกัน แต่จะมี Flow ที่ได้รับความนิยม ทาง ttb จะเก็บข้อมูลและพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าจาก Flow นั้นอย่างต่อเนื่อง
2. ยอดขายเกือบ 50% เริ่มต้นผ่านแอปพลิเคชัน
📍 สื่อสารออกไปให้ลูกค้าเข้าใจอย่างไร
🔵 OR - ศึกษาลูกค้าล่วงหน้า และใช้มาสคอตแทน Hero Product แต่ละตัวมาช่วยสื่อสารอย่างเข้าใจง่าย
🟠 ttb - ใช้ “หน้าตาของแอปที่แตกต่างกันไป” แทนการสื่อสาร ที่แสดงให้เห็นว่า ttb ติดตามและเข้าใจพฤติกรรมความสนใจของลูกค้า
📍 แผนการต่อยอด Personalization ในอนาคต
🔵 OR
วางแผนสร้าง Digital Roadmap 6 แกน รวมทั้งด้าน Frontend & Backend โดย Personalization เป็นหนึ่งในหัวใจหลัก
🟠 ttb
เตรียมเปิดตัว Loyalty Program ครั้งแรกของธนาคาร และยังมีAssign mission ไม่เหมือนกันให้ลูกค้าแต่ละคน แต่ละวัน เสริมพลังให้ Personalization ทำงานลึกยิ่งขึ้น

  5 โอกาสที่ธุรกิจยุคใหม่จะได้จากการทำ “Real-time Content Marketing” พุ่งสู่ความสำเร็จด้วยคอนเทนต์ทันกระแส !ในยุคที่เทรน...
12/07/2025

5 โอกาสที่ธุรกิจยุคใหม่จะได้จากการทำ “Real-time Content Marketing” พุ่งสู่ความสำเร็จด้วยคอนเทนต์ทันกระแส !
ในยุคที่เทรนด์มาไวไปไว หน้าฟีดเต็มไปด้วยข่าวสารมากมาย และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่สามารถปัดผ่านโพสต์ได้ภายในไม่กี่วินาที หากธุรกิจขยับตัวช้าไปแค่นิดเดียว ก็อาจทำให้ตกขบวนความสำเร็จไปได้ในพริบตา !
นี่คือเหตุผลว่าทำไม “Real-time Content” หรือ “คอนเทนต์ทันกระแส” จึงกลายเป็นเครื่องมือพลิกเกมการทำคอนเทนต์ยุคใหม่ เพราะไม่ใช่แค่การเกาะเทรนด์แล้วจบไป แต่สามารถต่อยอดกระแสเหล่านั้นมาสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ ได้มากมาย ตามไปดูกันเลย
1) โอกาสชิง “ความสนใจ” จากผู้บริโภค ปัจจุบันนี้โซเชียลมีเดียได้กลายเป็นทะเลคอนเทนต์อันดุเดือด ผู้บริโภคมีสิ่งให้เลือกเสพหลายเรื่อง หลากแพลตฟอร์ม การหยิบจับ “เทรนด์” ที่กำลังอยู่ในความสนใจของสังคม มาต่อยอดเป็น Real-time Content ก็นับเป็นกุญแจสำคัญที่จะดึงดูดให้คนมามุงที่การสื่อสารของธุรกิจแทนได้
2) โอกาส “ปรับลุค” คว้าใจคนรุ่นใหม่
สำหรับธุรกิจยุคใหม่อยากจับกลุ่มลูกค้า Gen Z, Gen Alpha หรือไปจนถึง Gen Beta ที่จะเติบโตมามีอิทธิพลในอนาคตเอาไว้ให้อยู่หมัด ยิ่งต้องทำ Real-time Content อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับภาพลักษณ์ธุรกิจให้สดใหม่ ทันสมัย ใกล้ชิดผู้บริโภคมากขึ้น
3) โอกาสบูสต์ “Engagement” บนโซเชียล
หากอยากได้ยอดไลก์ คอมเมนต์ และยอดแชร์ ก็ต้องเริ่มต้นจากการโพสต์ให้โดนใจคนอ่านก่อน ซึ่งถ้าธุรกิจรู้วิธีการสร้างคอนเทนต์ให้ถูกใจ ถูกที่ ถูกเวลา ล้อไปกับกระแสที่ฝูงชนกำลังอินได้ ก็จะสามารถเรียกยอดบนช่องทางโซเชียลได้ไม่ยาก !
4) โอกาส “ขายของ” ได้อย่างสร้างสรรค์
เมื่อการขายของธรรมดาไม่สามารถกระตุกใจให้คนซื้อได้อีกต่อไป การผสานพลังของกระแสเข้ากับไอเดียฉบับ Real-time Content จะช่วยให้ธุรกิจสอดแทรกสินค้าและบริการเข้าไปในคอนเทนต์ได้อย่างสร้างสรรค์ จนสามารถกระตุ้นให้ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นได้
5) โอกาสปั้นธุรกิจให้ “น่าจดจำ” เหนือคู่แข่ง
พื้นที่โฆษณาไหนก็ไม่ล้ำค่าเท่าพื้นที่ในใจและความทรงจำของผู้บริโภค การสร้างการสื่อสารที่อยู่ในเทรนด์สังคมและกระแสความสนใจคนได้อย่างต่อเนื่อง จะทำให้ธุรกิจสามารถตอกย้ำภาพจำของตัวเองให้โดดเด่นและแข็งแรงในระยะยาวได้อย่างแท้จริง
สำหรับใครที่อยากอัปสกิลไปมากกว่าการทำ Real-time Content แต่เป็นการเรียนรู้ครบทั้งทฤษฎี ลงมือทำจริงจากเคสจริง พร้อมเจอกับตำนานผู้ปั้นคอนเทนต์ตัวจริง ก็ตามมาอัปสกิลในหลักสูตร “Ultimate Real-time Content Marketing รุ่น 2” จาก ADcademy by AD ADDICT ได้เลย
╔═════════════════╗
หลักสูตร Ultimate Real-time Content Marketing รุ่น 2
📅 วัน : พฤหัสบดี ที่ 28 สิงหาคม 2025
⏰ เวลา : 9.00-16.00 น.
📍 สถานที่ : KX Knowledge Xchange (BTS วงเวียนใหญ่ ทางออก 4 / มีที่จอดรถในตัวอาคาร)
🔥 ราคา Early Bird : 5,900 บาท (ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ - 18 กรกฎาคม 2025)
💳 ราคาปกติ: 7,900 บาท (ตั้งแต่ 19 กรกฎาคม เป็นต้นไป)
╚═════════════════╝
📌 อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> https://bit.ly/ADC-Real-Time-2
#สถาบันสร้างสรรค์ความรู้ด้านโฆษณา #สถาบันปั้นคนโฆษณา

ฤกษ์ดีไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือจังหวะที่คุณเลือกได้ เซ็นให้ถูกวัน เริ่มให้ถูกฤกษ์ ใช้ชีวิตให้ถูกทิศถอดรหัสฤกษ์ดี ลายเซ็...
11/07/2025

ฤกษ์ดีไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือจังหวะที่คุณเลือกได้ เซ็นให้ถูกวัน เริ่มให้ถูกฤกษ์ ใช้ชีวิตให้ถูกทิศ
ถอดรหัสฤกษ์ดี ลายเซ็น และพลังแห่งตัวตน
ศาสตร์โบราณเป็นระบบที่มีหลักการและสามารถคำนวณได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เรา เข้าใจตัวเองมากขึ้น และ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ให้เราก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีทิศทาง มีความมั่นใจ และประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้
📆 ปฎิทินสีแดง น่ำเอี๊ยง คืออะไร ?
คุณกิตติธัช นำพิทักษ์ชัยกุล (CEO และทายาทรุ่นที่ 3 ของโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง) ได้เล่าให้ฟังว่า หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับปฏิทิน ‘น่ำเอี๊ยง’ คือปฏิทินสีแดง ที่ใช้หลักการโหราศาสตร์จีน มีจุดเริ่มต้นจากยุคที่ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติด้วยวิทยาศาสตร์ได้ บรรพบุรุษจึงใช้หลักการจดวิเคราะห์ดวงดาว เกิดเป็นโหราศาสตร์จีนที่เราเห็นในปัจจุบัน หลักการพื้นฐานคือการศึกษาการเคลื่อนที่ของดวงดาว เพื่อเข้าใจเวลา และฤดูกาล รวมถึงพลังงานธรรมชาติที่ส่งผลต่อชีวิตเรา ซึ่งสามารถคำนวณเป็นสถิติได้นั่นเอง
📆 สามกฏแห่งจักรวาล
ทุกอย่างในโลกล้วนเป็นเรื่องของธรรมชาติ ทุกอย่างมันออกมาจากเรา จิตเราสั่งให้เขียน ฉะนั้นสิ่งที่เราทำมันสามารถอ่านย้อนไปถึงจิตได้ ส่วนวันเกิดที่ไม่สามารถแก้ได้ ติดตัวเรามา มันคือกรรมจากอดีต ถ้าเราเป็นคนดีอีก 30% เราก็จะเจอแต่คนดี ๆ ถ้าไม่ดีก็เป็นตรงกันข้าม สิ่งนี้เรียกว่า ‘กฏแรงดึงดูด’
🔸 1. 天 (ฟ้า): สิ่งที่ฟ้ากำหนดมา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
🔸 2. 地 (ดิน): สภาพแวดล้อมรอบตัว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
🔸 3. 人 (คน): ตัวเราเอง สติและความตั้งใจ ที่สามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลงได้
📆 วันธงชัยและ 12 แพทเทิร์น
วันธงชัยคือวันที่ทำอะไรก็สำเร็จ ซึ่งในปฏิทินจะระบุทั้งกิจกรรมที่ควรทำและไม่ควรทำ โดยมี 12 แพทเทิร์นที่หมุนเวียนกันไป ได้แก่: วันแห่งการสร้าง, การขจัด, ความอุดมสมบูรณ์, ความสมดุล, ความเสถียร, การริเริ่ม, การทำลาย, ความอันตราย, ความสำเร็จ, การได้รับ, การเปิด, การปิด
การเลือกทำกิจกรรมให้เหมาะสมกับแต่ละวัน จะช่วยเสริมพลังและเพิ่มโอกาสความสำเร็จ เหมือนกับการเลือกเวลาที่เหมาะสมในการทำงาน
📆 ธาตุทั้งห้า และบุคลิกภาพ
แต่ละคนจะมีธาตุเด่นไม่เท่ากัน เป็นเหมือน Blueprint ที่บอกว่าเราควรหรือไม่ควรทำอะไร:
🔸 1.ธาตุทอง: เป็นคนตัดสินใจเก่ง มีผิวดี เหมาะเป็นอินฟลูเอนเซอร์
🔸 2.ธาตุน้ำ: ฉลาด มีปัญญา แต่ต้องวางแผนให้ดี ไม่งั้นจะไหลไปเรื่อยๆ
🔸 3.ธาตุไม้: รักการเจริญเติบโต พัฒนาและต่อยอดตัวเองอยู่เสมอ
🔸 4.ธาตุไฟ: เป็นแสงส่องสว่างให้ผู้คน ชอบให้คำแนะนำ
🔸 5.ธาตุดิน: หนักแน่น มีหลักการ ไม่ให้ใครมาเปลี่ยนแปลงง่ายๆ
✍️ ศาสตร์ลายเซ็นและตัวตน
อีกด้านนึง คุณนพเก้า ไชยะบุรินทร์ (ที่ปรึกษาด้านศาสตร์พลังงานธรรมชาติ (ฮวงจุ้ย) ได้เล่าถึงมุมศาสตร์ลายเซ็นและตัวตน จิตใจเป็นคนสั่งให้เขียนลายเซ็น ทำให้สามารถบอกได้ว่าเราเป็นคนยังไง ลายเซ็นจึงเป็นการสะท้อนตัวตนที่แท้จริง เชื่อมโยงกับบัตรประชาชน (ตัวเลขที่พ่อแม่ส่งให้เรา) และการกระทำของเราเอง ซึ่งเป็นกฏแห่งแรงดึงดูดหรือกฏแห่งกรรม
🔹 ตัวเลขในบัตรประชาชนสามารถอ่านได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และถ้าเปลี่ยนบัตรในวันที่เหมาะสม ก็สามารถเสริมดวงตัวเองได้ เช่น ถ้าในบัตรมีเลข 7 แปลว่าต้องเดินทางบ่อย ให้ไปออกบัตรวันที่ 19 จะทำให้ไปไหนก็มีคนรัก
✍️ การอ่านลายเซ็น
🔹 น้ำหนักปากกา และการยกปากกาแสดงถึงตัวตนเราทั้งหมด สามารถบอกได้ว่าเป็นคนใจร้อน ใจเร็ว ชอบเก็บเงิน หรือชอบใช้เงินเกินตัว
🔹 ลายเซ็นควรมีทั้งชื่อ และ นามสกุลให้ครบ เพราะสามารถบอกได้ว่าเกิดมาทำไม เพื่ออะไร ที่สำคัญคือ ทุกครั้งที่ลายเซ็นเปลี่ยน ดวงทุกอย่างก็เปลี่ยนตาม เพราะการเซ็นลายเซ็นคือการฝึกสมาธิรูปแบบหนึ่ง
✍️ เทคนิคการเซ็นลายเซ็นที่ถูกต้อง
🔹 ความยาว: ลายเซ็นยิ่งยาวยิ่งดี แสดงว่าวางแผนทุกอย่างได้อย่างละเอียด ลายเซ็นสั้นหมายถึงทำอะไรคนเดียว ไม่มีบริวาร
🔹 การมีบารมี: ห้ามเซ็นด้วยตัวเขียน (เขียนด้วยชื่อจริงนามสกุล ไม่ใช่ลายเซ็น) ต้องออกแบบตัวแรกโดยใช้หัวใหญ่ๆ ห้ามเซ็นตัวอื่นต่ำกว่าตัวแรก
🔹 สัดส่วน: นามสกุลให้ใหญ่แค่ 2/3 ของตัวแรกพอ
🔹 จุดจบ: ต้องมี "." ตอนจบเสมอ เพื่อแสดงถึงความมั่นใจ
🔹 ทิศทาง: เซ็นจากซ้ายไล่ไปขวา แล้วค่อยจบด้วยจุด
✍️ พลังจิตและการพัฒนาตนเอง
🔹 พลังจิต 100% เราใช้ได้แค่ 7% เพราะกิเลสครอบงำ แต่คนที่ฝึกทำสมาธิสูงจะใช้พลังจิตได้มากขึ้น เป้าหมายคือฝึกให้รู้จักตัวเอง เกิดมาทำไม เพื่ออะไร ต่อไปจะทำอะไร ถ้ารู้แล้วก็จะดำเนินชีวิตได้อย่างมีทิศทาง
#ธุรกิจสร้างสรรค์ #น่ำเอี๊ยง #สายมู #เสริมชะตาชีวิต #ฮวงจุ้ย

 🎉 Thailand E-Commerce Expo 2025📌 งานเดียวครบ! รวมตัวจริงสายอีคอมกว่า 40+ คนดารา | อินฟลูฯ | เจ้าของแบรนด์ | แพลตฟอร์มดั...
11/07/2025


🎉 Thailand E-Commerce Expo 2025
📌 งานเดียวครบ! รวมตัวจริงสายอีคอมกว่า 40+ คน
ดารา | อินฟลูฯ | เจ้าของแบรนด์ | แพลตฟอร์มดัง
พูดสด! แชร์หมดเปลือกเรื่อง "ขายออนไลน์ให้ปัง"
🌟 Speaker แน่นเวที! มากกว่า 40 คน!
เปา iHAVECPU, นัท นัทนิสา, หยกทอง, ซีเค, มายด์, โอ๊ต ปราโมทย์, แอแคลร์ จือปาก
อินฟลูฯ เจ้าของแบรนด์ตัวท็อป ผู้กวาดยอดขายหลักล้านต่อเดือน
พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Google / Lazada / TikTok / Shopee / LINE / YouTube
🧠 อัดแน่นเนื้อหาครบทุกด้านของการขายออนไลน์
กลยุทธ์ขายของแบบมืออาชีพทุกแพลตฟอร์ม
ใช้ AI ยังไงให้ไว ทำคอนเทนต์ยังไงให้ขาย
ยิงแอดยังไงให้คุ้ม ไลฟ์สดยังไงให้ยอดแตก
🤝 สร้างคอนเนคชั่น สายขายทั่วประเทศ
แม่ค้าออนไลน์ / เจ้าของแบรนด์ / อินฟลูฯ / ครีเอเตอร์
มาเจอกัน! แลกเปลี่ยนความรู้ แชร์เทคนิคกันสด ๆได้ที่
Thailand E-Commerce Expo 2025 งานเดียวครบ จบเรื่อง Ecommerce
—------------------—------------------
🗓️ 15-16 สิงหาคม 2025
⏰ 10:00 - 19:00 น.
📍True Icon Hall ICONSIAM ชั้น 7
🎯 ลงทะเบียนฟรี https://bit.ly/expo2025-creativetalk
—------------------—------------------
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่
💬 Line OA:
💻 https://ecommerceexpo.dbd.go.th
จัดโดย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
#การตลาดออนไลน์ #การตลาดออนไลน์ #สัมมนา #ห้ามพลาด

‘Self-Awareness’ คือสิ่งที่ทุกคนต้องมี การรู้จักตัวเอง ไม่ใช่แค่ “การเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร” ไขวิธีปลดล็อคพลังพิเศษในตัวเ...
11/07/2025

‘Self-Awareness’ คือสิ่งที่ทุกคนต้องมี การรู้จักตัวเอง ไม่ใช่แค่ “การเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร” ไขวิธีปลดล็อคพลังพิเศษในตัวเอง เพื่อสร้างอนาคตอย่างที่ต้องการ
🧠 Self-Awareness คือ Superpower ของคนยุคอนาคต
งานวิจัยระดับโลกเผยว่า คนกว่า 95% คิดว่ารู้จักตัวเองดีแล้ว แต่ในความเป็นจริง มีเพียง 10-15% เท่านั้น ที่ “รู้จริง” และทีมที่มีผู้นำที่รู้จักตัวเอง (Self-Awareness) สูง มีผลการทำงานที่ดีกว่าถึง 50%
การรู้จักตัวเอง ไม่ได้ดีแค่กับตัวเราเอง แต่ยังช่วยให้เรา ‘เข้าใจคนอื่นได้ดีขึ้น’ เพราะมนุษย์เชื่อมโยงความสัมพันธ์กันเป็นพื้นฐาน ถ้าเราสามารถเชื่อมโยงผู้อื่นด้วยความเข้าใจ ความมหัศจรรย์จะเกิดขึ้น
📍 Superpower ที่มนุษย์ทุกคนมีคืออะไร?
Superpower นี้ไม่ใช่พลังวิเศษแบบหนังซูเปอร์ฮีโร่ แต่คือ พลังในการเข้าใจว่า “เราเป็นใคร” และ “เราส่งผลต่อคนอื่นยังไง”
บางคนแค่พูดไม่กี่คำ ก็สร้างแรงบันดาลใจให้ทีมลุกขึ้นมาทำงานต่อได้
บางคนจัดการทีมได้ดี เพราะรู้ว่าใครควรทำอะไร
บางคนฟังเก่งจนใครก็อยากอยู่ใกล้
ทั้งหมดนี้คือ Superpower ของมนุษย์
📍 Superpower ทั้ง 4 ประเภท แล้วคุณล่ะมีพลังแบบไหน?
1️⃣ Fiery Red Super Power
คนที่มีพลังสีแดงอันแรงกล้า มุ่งมั่นไปสู่เป้าหมาย จิตใจแข็งแกร่งและรวดเร็ว ไม่ชอบอะไรที่ชักช้า
⚠️ ข้อควรระวังเมื่อใช้พลังมากเกิน: อาจกลายเป็นกดดันทีมและคนรอบตัว
2️⃣ Sunshine Yellow Superpower
คนที่มีพลังสีเหลือง ต้องการความสนุกสนานและอยากให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม มีพลังในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น
⚠️ ข้อความระวังเมื่อใช้พลังมากเกิน: อาจเผลอมองข้ามรายละเอียดสำคัญเพราะชอบสร้างสรรค์เกินไป
3️⃣ Earth Green Superpower
คนที่มีพลังสีเขียว จะเป็นคนที่อบอุ่น เป็นผู้ฟังที่ดีที่แคร์คนอื่นมากกว่าตัวเอง ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากกว่าเรื่องงาน มีเพื่อนชอบมาปรึกษาและทำให้คนอื่นรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ด้วย
⚠️ ข้อความระวังเมื่อใช้พลังมากเกิน: กลัวความขัดแย้งจนตัดสินใจอะไรไม่ได้
4️⃣ Cool Blue Superpower
คนที่มีพลังสีฟ้า จะเป็นคนที่มองหาความสมบูรณ์แบบ ละเอียดอ่อน ใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์เพื่อมองหาความถูกต้องมากที่สุด และใช้ความคิดเป็นตรรกะเหมาะกับคนที่ทำงานด้านข้อมูล
⚠️ ข้อความระวังเมื่อใช้พลังมากเกิน: ใช้เวลาตัดสินใจนานเกินเพราะพึ่งแต่ตรรกะและข้อมูล
📍พื้นฐานการสร้างพลัง Superpower
ดร. Carl Gustav Jung ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาพูดถึงการสร้าง Superpower ด้วยการเข้าใจพื้นฐานอย่าง “Psychological Preferences”
1️⃣ Attitude to the world (Introversion - Extroversion)
วิเคราะห์ว่าเรามีทัศนคติต่อโลกภายนอกอย่างไร และเราชาร์จพลังงานภายในแบบไหน
2️⃣ Decision Making Function (Thinking - Feeling)
เวลาตัดสินใจเราคิดจากเหตุผลและผลลัพธ์ของการตัดสินใจ หรือคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่นและมีอารมณ์เข้ามาตัดสินมากกว่า
3️⃣ Perceiving Function (Sensation - Intuition)
วิธีการที่เรารับรู้ข้อมูล และจัดการข้อมูล เป็นประเภทที่รับจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ต้องรู้จริงเห็นแจ้ง หรือ รับรู้และประมวลผลโดยใช้สัญชาตญาณ
เมื่อเราผสมผสานฐานรากทั้งสามอันนี้ จะประกอบสร้างเป็น Superpower ในตัวเราที่ไม่เหมือนใคร
📍 Superpower = Personality ที่ปรับเปลี่ยนลื่นไหลได้
การเข้าใจพลัง Superpower ของตัวเองเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งสำคัญ คือ การเข้าใจ Superpower ของคนอื่นแล้วหาทาง “สื่อสาร” กันต่างหาก ถึงจะเป็นการใช้พลังพิเศษที่เรามีอย่างถูกต้อง
เพราะเมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใคร เราจะใจดีกับตัวเองมากขึ้น และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับคนรอบข้าง
โดยเริ่มจาก "การสังเกต" ไม่ว่าจะเป็น ท่าทาง (Body Language) น้ำเสียง (Tone of Voice) หรือ คำที่เลือกใช้ (Word Choice) ว่าเขามีพลัง Superpower แบบไหน แล้วถามตัวเองว่าคนที่อยู่ตรงหน้าต้องการ “พลังงาน Superpower แบบไหน” จากเรา เพื่อเลือกใช้พลัง Superpower ที่เหมาะสม
เช่น เรามีพลังงานสีเขียวที่รักสงบ แต่ต้องทำงานกับหัวหน้าที่มีพลังงานสีแดงชอบความท้าทาย ให้เรากลับมาวิเคราะห์ตัวเองและสิ่งที่หัวหน้าต้องการ ทางหัวหน้าเองก็ต้องเข้าใจพลังงานของเราและปรับลดความแรงของตัวเอง เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจว่าอีกคนต้องการพลังงานแบบไหน การทำงานร่วมกันจะกลายเป็น Collaboration ที่แท้จริง โดยไม่มีใครกดดันจนเสียความเป็นตัวเอง
สุดท้ายนี้ การรู้จักตัวเอง (Self-Awareness) ไม่ใช่แค่ “การเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร”
แต่คือ “การเข้าใจตัวเองและอีกฝ่าย และเลือกพลัง Superpower ที่เหมาะกับสถานการณ์ที่สุด”
ใครที่อยากรับชมแบบจัดเต็ม
สามารถซื้อบัตรรับชมย้อนหลังทุกเซสชันเพิ่มเติมได้ที่
👉 https://bit.ly/3TRATke

อย่าเลือกพาร์ทเนอร์ที่แค่ ‘เก่ง’ หรือ ‘ดัง’ แต่เลือกคนที่ ‘เข้าใจ’ และ ‘มีเป้าหมายเดียวกัน’ 6 เทคนิค Collaboration ในปี ...
10/07/2025

อย่าเลือกพาร์ทเนอร์ที่แค่ ‘เก่ง’ หรือ ‘ดัง’ แต่เลือกคนที่ ‘เข้าใจ’ และ ‘มีเป้าหมายเดียวกัน’ 6 เทคนิค Collaboration ในปี 2025 ไม่ใช่แค่รอด แต่ต้อง Win-Win ไปด้วยกัน
ในวันที่เศรษฐกิจผันผวน ธุรกิจไม่ควรยืนเดี่ยวอีกต่อไป Session นี้จะพาคุณมอง “Collaboration หรือ การร่วมมือ” ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือ กลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดและเติบโต เพราะในวันที่ต้นทุนสูง ลูกค้าคิดเยอะ และแพลตฟอร์มเปลี่ยนเร็ว สิ่งที่ธุรกิจต้องทำไม่ใช่แค่ “รอด” แต่ต้อง “โตไปด้วยกัน” ให้ได้ แบบ Win-Win
📌 6 เทคนิคสำคัญ Collaboration ที่ใช่ ต้องไม่ใช่แค่การร่วมมือ แต่คือการวางรากฐานร่วมกัน เพราะในวันที่ธุรกิจไม่สามารถ “อยู่รอดคนเดียว” ได้อีกต่อไป ความร่วมมือที่ดีจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเข้าใจตัวเอง เข้าใจพาร์ทเนอร์ และเข้าใจ “เป้าหมายร่วม” อย่างแท้จริง
🎯 1. จะ Collaboration กับใคร วันนี้กลับมามองตัวเอง หา ‘Core Strength หรือจุดแข็งสำคัญ’ ให้เจอ ส่วนไหนไม่เก่งพอ เราค่อยหา Partner มาทำให้ธุรกิจเราแข็งแกร่งขึ้นไปด้วยกันได้
ความน่าสนใจคือทั้ง 3 ท่านพูดไปในทิศทางเดียวกัน
🟠 คุณกานต์ (FlowAccount) เน้นย้ำเรื่องของวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และทุกบริษัทมี Resource ที่จำกัด การจะวิ่งตามทุกเรื่องจึงเป็นเรื่องที่ยาก วันนี้เราจึงต้องหาจุดโฟกัสของตัวเอง ว่าจริง ๆ แล้ว ‘Core Strength หรือจุดแข็งสำคัญ’ ให้เจอ แล้วทุ่ม Resource ไปจุดนั้น แล้วหา Partner ที่เขามี Key Strength อย่างอื่นเพื่อที่จะ Collaborate ร่วมกัน
🟢 คุณอัษฎาวุธ (HumanSoft) ได้เล่าถึงภาพ วันนี้ AI เข้ามา แถมบริษัทใหญ่ ๆ มีเงินทุนหนา ถ้าเราจะทำอะไรที่มัน General มันไม่ได้ เพราะบริษัทเล็ก-กลาง เราไม่มี Resource ไปแข่งขันกับสิ่งเหล่านั้นได้ ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ คือ ‘โฟกัสอย่างจริงจังกับความถนัดของตัวเอง’ ซึ่งเราต้องเป็นให้ได้ พยายามทำให้ดีที่สุด และปล่อยให้ส่วนอื่นเป็นสิ่งที่ Partner เข้ามาช่วยเติมเต็ม นี่คือกลยุทธ์หนึ่ง ในการช่วยสู้ตลาดสมัยใหม่ ที่มี General เต็มไปหมด ทุกคนเก่งหมด กินรวบไปหมด
🔵 คุณสาธิดา (Digio (Thailand) ก็ได้เน้นมุมมองเดียวกันถึง Digio มี Value อยู่อย่างนึง “We work each and everyday to help people grow their business” ซึ่งตรงนี้คือคำตอบสำคัญ เราต้องทำให้จุดแข็งของแบรนด์เราเอง โดดเด่นขึ้นมา มุ่งเน้นทำสิ่งที่เราเชี่ยวชาญ ส่วนในเรื่องไหนไม่เก่งพอ เราจึงให้ Partner มาทำให้ธุรกิจเราแข็งแกร่งขึ้นไปด้วยกันได้
🎯 2. Collaboration จะสำเร็จได้ นอกเหนือจากการมี Business Goal และ Common Goal ที่ชัดเจนแล้ว ปลายทางต้องตอบโจทย์สร้างคุณค่าให้ลูกค้าด้วยเช่นกัน
🔵 คุณสาธิดา (Digio (Thailand) ได้บอกถึงการที่เราจะสำเร็จไปด้วยกันกับ Partner ได้ คือ ‘Business Goal’ ร่วมกัน ในวันนี้ตลาดมันใหญ่ ต่อให้เราโฟกัสลงมาเล็กลงเรื่อย ๆ ในอีกมุมเราต้องมั่นใจด้วยว่าเป้าหมายนั้นจะสามารถหล่อเลี้ยงแบรนด์ของเรา และพาร์ทเนอร์ได้กำไรมากจริง ๆ
🟢 คุณอัษฎาวุธ (HumanSoft) ได้ยกเคสของ HumanSoft ทำแพลตฟอร์มของ HR แต่ใน HR เองก็มีมิติที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะงาน Recruitment, HRM, HRD ซึ่งสิ่งที่เราถนัดสุดคือ HRM เลยจับมือกับ Daywork ที่ถนัดเรื่อง Recruitment หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่เราไปจับมือร่วมกับ Daywork คือ Customer Target เป็นคีย์ที่เราเลือกว่าตรงกับเรา เมื่อตรงแล้ว มาดูต่อว่าเขาเชี่ยวชาญเหมือนกับเราไหม เคล็ดลับสำคัญคือ อย่าไป Collaboration คนที่มีความเชี่ยวชาญเดียวกับเรา เพราะพาร์ทเนอร์จะกลายเป็นคู่แข่งในอนาคตทันที
🟠 คุณกานต์ (FlowAccount) เคสของ FlowAccount มีจุดแข็งในด้านของ Back office ที่เน้นเปิดบิล ทำบัญชี Dashboard การเงินต่าง ๆ โดยเน้นเรื่องของการมี Common Goal ร่วมกับ Digio (Thailand) และ HumanSoft ในแง่ของอยากให้มีเทคโนโลยีที่ดีกับลูกค้า SME มีเทคโนโลยีที่ดีใช้ เมื่อลูกค้ามีเทคโนโลยีที่ดี และมีการจัดการที่ดีขึ้นในงานหลังบ้านทุกอย่างก็แฮปปี้
🎯 3. อย่ารีบตัดสินใจเร็วเกินไป ขั้นตอนการเลือก Partnership สำคัญมาก!
🟢 คุณอัษฎาวุธ (HumanSoft) อย่าลืมที่จะเช็กว่าตัวเรา กับพาร์ทเนอร์ Win-Win หรือเปล่า รวมไปถึงต้นทุนร่วมกัน มันมี Cost ระหว่างทางอะไรบ้าง เมื่อต้นทุนที่เกิดขึ้นมันเหมาะสมกับ Win-Win ที่เราสร้างไหม เรื่องนี้เป็นจุดเปราะบางที่ต้องประเมินให้ดี พาร์ทเนอร์ก็ต้องได้คุ้มค่า รวมถึงเราเองก็ต้องได้คุ้มค่าเช่นกัน
การจับมือกับพาร์ทเนอร์ ต้องเริ่มจากการรู้จักเขาให้ดี และมั่นใจว่ามีแนวคิดและทิศทางที่ตรงกัน แล้วตอบให้ได้ว่า No หรือ Like ว่าเขามีแนวคิดตรงกับที่เราจะไปหรือไม่ แล้วพอเราสร้างความสัมพันธ์ไปจุดนึง มันจะมีเรื่องของ Trust เกิดขึ้น ซึ่งความเชื่อมั่น ไว้ใจกันมันต้องมี!
🔵 คุณสาธิดา (Digio (Thailand) บางครั้งธุรกิจมันมากกว่าแค่ Marketing ในวันนี้เราทำงานร่วมกันกับพาร์ทเนอร์ เราได้ Engagement เราได้ Awarness แต่สุดท้ายแล้ว Product ของทั้ง 3 ท่าน ไม่ว่าจะ HumanSoft, Digio (Thailand) และ FlowAccount มันคือเทคโนโลยี มันไม่ได้ขายได้ในวันแรก แต่ต้องอาศัยการทำระบบร่วมกันในระยะยาว สิ่งสำคัญคือการมี Goal ร่วมกัน เห็นกลยุทธ์ร่วมกัน เห็นเส้นทางเดียวกัน มันจะช่วยให้เราสำเร็จง่ายขึ้นได้มาก
พาร์ทเนอร์ที่ดีจะร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรค ผ่านร้อน ผ่านหนาวไปด้วยกัน ซึ่งคำว่า Trust มักเกิดจากสถานการณ์นี้ รวมไปถึงการมี Core Value และ Business Goal ร่วมกันจะเป็นจุดยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อให้เรากับพาร์ทเนอร์ เดินไปได้ตลอดรอดฝั่ง
🟠 คุณกานต์ (FlowAccount) คำนึงที่สำคัญมาก ๆ ของการทำงานร่วมกันคือ ‘Synergy’ ซึ่งมันมี Value มาก ๆ มันคือการรวมกันของคนสองคนบวกกันแล้วได้มากกว่าที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพราะทุกคนมีจุดแข็งของตัวเอง และมี Uniqueness ของตัวเอง เพราะสุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือลูกค้า จะทำให้เราจับมือกันไปได้ยาว ๆ ได้จริง
การเลือกพาร์ทเนอร์ก็เหมือนกับการเลือกเพื่อน เราก็มีกลุ่มเพื่อนหลายคน บางคนคบได้ยาว ๆ บางคนเหมาะแก่การทำกิจกรรมบางอย่าง ดังนั้นเวลาจะจับมือกับใครไปยาว ๆ ก็เหมือนเพื่อสนิท คือคนที่ศีลเสมอกัน คือคนที่มี Core Value ที่ตรงกัน มี Common Goal ที่เหมือนกัน อยากที่จะไปจุด ๆ นึงเหมือนกัน อย่าไปคบเพื่อนหรือพาร์ทเนอร์ที่หวังแต่ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว
🎯 4. อีกจุดที่สำคัญและไม่ค่อยมีคนพูดถึงในการ Collaboration คือการ เคลียร์คัต ตั้งแต่ Day 1 ต้องชัดเจน-เด็ดขาด-ไม่คลุมเครือ
✅ สิ่งที่ทั้ง 3 ท่านเน้นย้ำแล้วให้ข้อคิดเหมือนกันคือ เราควร ‘เคลียร์คัต’ กันตั้งแต่วันแรก เพราะถ้ามันเกิดพื้นที่ทับซ้อนกันระหว่างเรากับพาร์ทเนอร์ ต้องคุยให้เคลียร์ว่าสิ่งที่ทำร่วมกัน “ตรงไหนคือจุดที่เราห้ามร่วมกัน” ตกลงข้อนี้กันให้ได้ เพราะถ้าตกลงกันไม่ได้ผ่านไปก็มีปัญหา ดังนั้นการเซ็ต “เส้นบรรทัดฐาน” ให้เคลียร์ตั้งแต่วันแรก ทะเลาะกันให้จบตั้งแต่วันแรก เพราะถ้ามันแตกหักมันก็จบไว ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้ถนอมน้ำใจกัน วันหลังแตกหักกันจะหนักและเจ็บกว่าเดิม
✅ ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปใน 3 ข้อแรกจะมีการเน้นย้ำ Core Value, Business Goal และ Common Goal อยู่เสมอ ดังนั้นต้องเซ็ตขอบเขตกันตั้งแต่แรก ฉันถนัดอะไร, เก่งอะไร และแต่ละคนรับผิดชอบอะไร มันจะกลายเป็นเดี๋ยวฉันทำให้เธอก็ได้ ซึ่งถ้าเกิดทำให้กันไปตลอดมันจะมีฝ่ายที่เหนื่อยมาก ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลที่จะจับมือกันไปได้ยาว ๆ ถ้าเราเซ็ตขอบเขตกันให้ดี เซ็ตหน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกันให้ดีในทุก ๆ โปรเจกต์ของชีวิตให้ได้
🎯 5. เรามักจะโฟกัสที่ธุรกิจ จนลืมไปว่าการ Collaboration มันจะส่งผลถึง ‘ทีมงาน’ เพราะคนทำงานเบื้องหลังเราจะต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของผู้นำ
🟠 คุณกานต์ (FlowAccount) อันดับแรกเราต้องเข้าใจก่อนว่าผู้บริหารต้องการอะไร และพาร์ทเนอร์มีหน้าที่อะไรในการ Deliver โปรเจกต์นี้, เขาเป็น Decision maker หรือเปล่า และเขามี Authority จริง ๆ หรือเปล่า รวมไปถึงสุดท้ายเขาต้องการ Achieve ในฐานะคนในองค์กรของอีกฝั่งนึงคืออะไร เพราะความยากมันคือบางครั้งผู้บริหารอยากได้อย่างนึง แต่ผลงานของคน ๆ นั้นที่จะ Deliver โปรเจกต์ ก็เป็นอีกแบบนึง ซึ่งการทำความเข้าใจทั้ง 2 ปาร์ตี้สำคัญมาก ทั้งคนที่เป็น Decision maker และ คนที่ Execute จริง ๆ เมื่อเข้าใจเขาแล้ว เราก็ต้องเข้าใจตัวเราเองด้วยว่าจะ Deliver อะไร จะได้เข้าใจร่วมกันทั้งสองฝ่าย
โดยสรุปคือผู้บริหารมีหน้าที่ต้องพูดให้เคลียร์กับทีมงานอย่างชัดเจนว่า Goal ของเราในการไปพาร์ทเนอร์กันคืออะไร รวมถึงไปช่วยทีมระหว่างทางด้วย เพื่อให้งานมันเดิน รวมถึงน้อง ๆ ในทีมก็ต้องร่วมมือเช่นกัน
🔵 คุณสาธิดา (Digio (Thailand) ที่บริษัทน้อง ๆ ทีมงานมักจะถามว่า คนที่จะมาพาร์ทเนอร์เขาจะทำอะไร อยากได้อะไร แล้วเราจะช่วยอะไรให้พาร์ทเนอร์ได้เพื่อให้สำเร็จได้ เช่น มีการไปร่วมกับ FoodStory โดยฝั่งของ Digio (Thailand) เชี่ยวชาญเรื่อง Payment ส่วน FoodStory เชี่ยวชาญ order system ดังนั้นเราจะช่วยให้ order system สามารถ Deliver อะไรให้ลูกค้าได้ ทำอย่างไรให้ขั้นตอนการจ่ายเงินลูกค้าง่ายที่สุด และรับผิดชอบส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด
🟢 คุณอัษฎาวุธ (HumanSoft) การเป็นคนตรงกลางระหว่างพาร์ทเนอร์และลูกค้า เรามักจะได้ยินคำบ่นจากทีมงานว่ามันยุ่งยาก, ติดต่อไม่ได้, คำตอบไม่ชัดเจน, ประสานงานไปก็เงียบ ซึ่งวิธีแก้ที่ดีไม่ใช่ไปใส่ไฟเพิ่ม แต่ควรกลับมา Start with why ก่อนว่าทำไมเราถึงอยากทำงานร่วมกับเจ้านี้ เราจะพัฒนาผลิตภัณฑ์เราเพื่ออะไรให้กับลูกค้าเรา แล้วเขาได้อะไร เมื่อเหตุผลมันแข็งแรงพอ
แม้การทำงานพาร์ทเนอร์จะมีภาระงานที่เพิ่มขึ้น แต่ลูกค้าของเราจะได้เพิ่มมากขึ้น เราจะมีเหตุผลมากพอในการตอบกับทีมงานมากขึ้น ว่าทำไมเราถึงต้องทำจุดนี้ ถึงจะเหนื่อยก็ต้องไปต่อ ถ้าจำเป็นต้องทำ สำคัญจริง ๆ เราควรจะให้ทรัพย์กรทีมมากขึ้น ช่วยเหลือมากขึ้น หรือเราเป็นคนกลางไปเจรจาต่อช่วยเหลือซัพพอร์ตทีมได้ ถ้าเหตุผลเราหนักแน่นพอ ไม่มีอะไรหยุดเราได้
🎯 6. สุดท้ายนี้ สิ่งที่ควรโฟกัสมากที่สุดตั้งแต่ Day 1 เพื่อเริ่มเลือกพาร์ทเนอร์ ที่มาทำงานร่วมกับเรา (Collaboration) คือเรื่องอะไร ?
✅ สิ่งที่ทั้ง 3 ท่านฝากไว้มีความน่าสนใจในหลาย ๆ ประเด็น อันดับแรกคือ ‘การออกไปหาโอกาสใหม่ ๆ’ ข้างนอก เช่น การเข้าสมาคมหอการค้าสภาพอุตสาหกรรม หรือกลุ่มผู้ประกอบการต่าง ๆ จะทำให้เราเจอนักธุรกิจ และผู้ประกอบการ สิ่งสำคัญคือพยายาม Explore ให้ได้มากที่สุด เพราะเราไม่มีวันรู้หรอก ว่าเราจะได้ใครเป็นพาร์ทเนอร์ในอนาคต พยายามคุยหาโอกาสร่วมกัน เพื่อสร้างไอเดียใหม่ ๆ ร่วมกัน จะได้รู้ว่าใครมีแนวโน้มในการเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกัน หรืออีกจุดนึงที่น่าสนใจคือ เริ่มต้นที่ Common Friend ก่อนได้ คือคนในวงที่เรารู้จัก เริ่มคุยจากวงเล็กก่อน เพราะจะทำให้คุยง่ายขึ้น
✅ เทคนิคเล็ก ๆ ในการเข้าไปพูดคุยหรือ Explore มักจะตั้งคำถามว่า ‘ลูกค้าคุณคือใครครับ’ คุณขายสิ่งนี้กับใคร เพราะการมี การมี Goal เดียวกัน หรือ Customer Segment เดียวกันมันจะไปต่อง่าย ถ้ามันใช่มันจะคุยต่อได้ยาว หรือใครที่คุยแล้วมันส์มาก มีแววที่จะไปกันได้ อาจจะเป็นจุดที่เราเริ่มชอบเขา ก็สามารถประเมินจากจุดนี้ได้เช่นกัน
✅ หนึ่งอย่างที่ต้องยอมรับคือ การมี Mindset ที่ต้องเปิดหัวเราก่อน ว่าคนที่จะไปพาร์ทเนอร์ร่วมกันเขาจะช่วยเราได้ และยอมเปิดใจพูดคุย เพราะวันนี้เราทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ การออกไปพูดคุยมันไม่มีต้นทุน ตราบใดที่เรามีจุดแข็งคืออะไร เราเชี่ยวชาญอะไร เราจะไปช่วยลูกค้าอะไรได้บ้าง ซึ่งเราทุกคนทำได้ ขอแค่เริ่ม
โดยสรุป Collaboration ที่ใช่ ต้องไม่ใช่แค่การร่วมมือ แต่คือการวางรากฐานร่วมกัน เพราะในวันที่ธุรกิจไม่สามารถ “อยู่รอดคนเดียว” ได้อีกต่อไป ความร่วมมือที่ดีจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเข้าใจตัวเอง เข้าใจพาร์ทเนอร์ และเข้าใจ “เป้าหมายร่วม” อย่างแท้จริง
Session: Collaboration for Growth: The Strategy Behind Resilient Businesses กลยุทธ์ต้องร่วมเพื่อเติบโต
Speaker:
- คุณกานต์ โชครุ่งวรานนท์ Chief Of Staff at FlowAccount
- คุณอัษฎาวุธ จิตตเสถียร Chief executive officer HumanSoft
- คุณสาธิดา จิรดิลก Business Analyst, Digio (Thailand) Co., Ltd.
ใครที่อยากรับชมแบบจัดเต็ม
สามารถซื้อบัตรรับชมย้อนหลังทุกเซสชันเพิ่มเติมได้ที่
👉 https://bit.ly/3TRATke
#พาร์ทเนอร์

ที่อยู่

Suan Luang

เวลาทำการ

จันทร์ 10:00 - 19:00
อังคาร 10:00 - 19:00
พุธ 10:00 - 19:00
พฤหัสบดี 10:00 - 19:00
ศุกร์ 10:00 - 19:00

เบอร์โทรศัพท์

+6620131490

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ CREATIVE TALKผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง CREATIVE TALK:

แชร์