29/07/2025
ความแตกต่างระหว่างไทยกับเขมรคือ
🇰🇭เขมรถูกทำให้เชื่อ Fake News อย่างสนิทใจ
🇹🇭ไทยถูกหลอกให้เชื่อ Fake News อย่างน่าประหลาดใจ
[ #สรุป อย่าแปลกใจว่าทำไมคนเขมรถึงเชื่อข่าวลวงข่าวปลอมได้สนิทใจ ผลจากการศึกษาอยู่ระดับต่ำความรู้คนส่วนใหญ่แค่ประถม คนเรียนต่อ ม.ปลายไม่ถึง 50% ส่วนใหญ่เรียนไม่จบ สื่ออยู่ในมือของลูกสาวฮุน เซน รัฐบาลปิดกั้นเสรีภาพสื่ออยู่อันดับที่ 147 จาก 180 ชาติ และมีกฎหมายห้ามวิจารณ์รัฐบาล]
ในยุคที่ข้อมูลคืออำนาจ การควบคุมข่าวสารกลายเป็นอาวุธทางการเมืองที่ทรงพลังยิ่งกว่าปืนหรือรถถัง สำหรับประเทศอย่างกัมพูชา ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบบเผด็จการมายาวนานสู่เศรษฐกิจเปิด การต่อสู้กันของ "ความจริง" และ "ความเชื่อ" จึงไม่ได้เกิดขึ้นในสนามสื่อเพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นในโรงเรียน ห้องเรียน โซเชียลมีเดีย และแม้แต่ในจิตใจของประชาชนเอง
หนึ่งในปัจจัยที่ถูกมองข้ามแต่ทรงพลังคือ บทบาทของกองทัพและหน่วยความมั่นคง ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการ เผยแพร่หรือปั่นกระแสข่าวปลอม (disinformation) เพื่อควบคุมการรับรู้ของประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง, การเมือง, และการเลือกตั้ง
รายงานของ Cambodian Center for Independent Media (CCIM) และองค์กรสากล เช่น Global Witness ระบุว่า หน่วยงานทางทหารของกัมพูชา มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตและกระจายข่าวปลอมผ่านเครือข่ายเฟซบุ๊กปลอม เว็บไซต์ปลอม และบัญชีปลอมจำนวนมาก โดยมักใช้เนื้อหาที่กระตุ้นความกลัว เช่น ข่าวปลอมเกี่ยวกับการก่อรัฐประหาร การแทรกแซงของต่างชาติ หรือการปลุกปั่นทางเชื้อชาติและศาสนา
💬 คำถามคือ—เหตุใดประชาชนจึงยังเชื่อข่าวปลอมเช่นนี้ได้ในยุคที่ข้อมูลหาได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว❓
คำตอบบางส่วนอยู่ที่ตัวประชาชนเอง โดยเฉพาะใน สภาพของการไม่รู้หนังสือ (illiteracy) ซึ่งยังเป็นปัญหาใหญ่ในกัมพูชา แม้รัฐบาลจะรายงานว่าอัตราการรู้หนังสือในประเทศอยู่ที่ประมาณ 83% (ข้อมูลทางการ) แต่การรู้หนังสือที่แท้จริง—เช่น การอ่านจับใจความ การคิดวิเคราะห์ หรือการแยกแยะความจริงกับการบิดเบือน—ยังคงต่ำมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและในกลุ่มประชากรที่ยากจนหรือมีการศึกษาต่ำ
การ “อ่านออก” ไม่เท่ากับ “เข้าใจ” และการ “เข้าถึงอินเทอร์เน็ต” ไม่เท่ากับ “เข้าถึงข้อเท็จจริง” ภายใต้เงื่อนไขนี้ ข่าวปลอมที่ผลิตโดยกลไกรัฐหรือกองทัพ—โดยอ้างอิงศีลธรรม ความมั่นคง หรือภาพลักษณ์ของผู้นำ—จึงถูกเชื่อได้ง่าย โดยไม่มีการตรวจสอบย้อนกลับ สื่ออิสระก็ถูกควบคุม ขณะที่ระบบการศึกษาเองก็ยังไม่สามารถปลูกฝังทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ได้เพียงพอ
บทความนี้จะวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างคุณภาพการศึกษาและการไม่รู้หนังสือ การแพร่กระจายของข่าวปลอม (รวมถึงข่าวที่รัฐและกองทัพผลิตขึ้นเอง) เสรีภาพสื่อที่จำกัดจนไม่สามารถเป็นกลไกถ่วงดุลอำนาจได้
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงภาพที่ใหญ่กว่า: สังคมที่ “เข้าถึงข้อมูล” แต่ไม่ “เข้าถึงความรู้” และไม่อาจใช้ข้อมูลนั้นเพื่อกำหนดอนาคตของตนเองได้อย่างเสรี
📍 การศึกษาของกัมพูชาเข้าถึงได้ แต่คุณภาพยังต่ำ
กัมพูชามีความก้าวหน้าอย่างมากในด้าน “การเข้าถึงการศึกษา” โดยอัตราการเข้าเรียนระดับประถมสูงถึง 97–99% อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ซ่อนอยู่คือ คุณภาพการเรียนรู้ ที่ต่ำและ การหลุดออกจากระบบ ที่สูงมาก โดยเฉพาะในระดับมัธยมปลาย
รายงานของ World Bank และ OECD ชี้ว่า นักเรียนชั้น ป.6 ถึง 74% ไม่สามารถบรรลุมาตรฐานขั้นต่ำด้านคณิตศาสตร์
โครงการ PISA‑D ปี 2018 พบว่า นักเรียนกัมพูชาอายุ 15 ปี มีเพียง 10% ที่มีทักษะคณิตศาสตร์ในระดับพื้นฐาน และมีความสามารถขั้นต่ำทางอ่านได้เพียง 8% เท่านั้น
ขณะที่ผลประเมินระดับชาติชั้นประถมปลาย (Grade 6) ปี 2016–2021 ทำให้เห็น: ผู้ที่ยังไม่บรรลุมาตรฐานพื้นฐานทางภาษาเขมรเพิ่มจาก 34% เป็น 45%
🔵การเข้าถึงระบบการศึกษาของคนกัมพูชา
🔹ระดับอนุบาล (3–5 ปี): มีเด็กเข้าร่วมเพียง 43–68.5% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานในหลายประเทศ
🔹ประถมศึกษา (ปี 1–6): อัตราเข้าเรียนในระดับประถมอยู่ที่ 97–99%
🔹มัธยมต้น (ปี 7–9): อัตราเข้าเรียนราว 55–75% ขึ้นอยู่กับปีการศึกษาและพื้นที่
🔹มัธยมปลาย (ปี 10–12): เข้าเรียนเพียงประมาณ 20–44% เท่านั้น และมีอัตราการสำเร็จต่ำมาก
🔹อุดมศึกษา: อัตราการเข้าเรียนเพิ่มจาก 10% (2013) เป็น 19% (ปี 2024)
🔵 ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษา
👩🏫 ครู & การฝึกอบรม
ครูผู้สอนยังขาดคุณภาพ แม้มีการอบรมจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNESCO และ GPE เพื่อยกระดับคุณภาพครูและระบบประเมินระดับชาติ
🚧 โครงสร้างพื้นฐาน
สถานศึกษาหลายแห่งยังขาดระบบไฟฟ้า น้ำสะอาด ห้องน้ำ และห้องเรียนเพียงพอ โดยโรงเรียนในชนบทมีข้อจำกัดอย่างมาก
💸 ภาระทางการเงิน & กำลังจ่าย
แม้โรงเรียนรัฐบาล “ฟรี” แต่ผู้ปกครองมักมีค่าใช้จ่ายเสริมทั้งหนังสือเรียน เสื้อผ้า อุปกรณ์ และค่าเล่าเรียนพิเศษ (tutoring) ซึ่งสภาพเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลักให้เด็กหลายคนลาออกไปทำงานช่วยครอบครัว โดยเฉพาะในเด็กชายและครอบครัวยากจน
📍 ข่าวปลอมและการไม่รู้เท่าทันสื่อ: ความรู้ผิดๆ ในโลกดิจิทัล
กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่ ข่าวปลอมแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผ่าน Facebook และ YouTube ซึ่งเป็นแหล่งข่าวหลักของประชากรทั่วไป
ข้อมูลจาก DataReportal ปี 2024 พบว่า กว่า 70% ของประชากรใช้ Facebook ซึ่งมักเป็นช่องทางที่ข่าวปลอมเผยแพร่อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากอัลกอริธึมของ Facebook เน้นการ "กระตุ้นอารมณ์" มากกว่าความจริง ทำให้ข่าวที่กระตุ้นความกลัว โกรธ หรือหวังแพร่ได้ง่าย
อีกทั้งการศึกษาที่ต่ำทำให้ชาวบ้านจะเชื่อผู้นำชุมชนหรือบุคคลที่ตนเคารพ มากกว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยตนเอง
การพูดแบบ “เขาบอกว่า...”, “ข้าราชการพูดมา...”, “พระวัดนั้นบอกว่า...” จึงมักถูกเชื่อโดยไม่สงสัย
นอกจากนี้ ความเคารพต่อผู้มีอำนาจ ยังทำให้ผู้คนหลีกเลี่ยงการตั้งคำถามกับสิ่งที่ถูกกล่าวอ้างในข่าว
🔹60% ของชาวกัมพูชาเชื่อข่าวจาก Facebook โดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มา โดยประชากรอายุ 15–30 ปี เป็นกลุ่มที่ “เสพข่าวเร็ว” แต่ “วิเคราะห์ช้า” โดยเฉพาะในชนบท
🔹เพียง 18% ของครู บอกว่าพวกเขาเคยได้รับการอบรมเรื่อง “การรู้เท่าทันสื่อ” หรือ “การตรวจสอบข่าวปลอม”
อีกทั้งเสรีภาพสื่อในกัมพูชาอยู่ในระดับที่ จำกัดหรือถูกควบคุมอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party - CPP) ซึ่งมีอำนาจยาวนาน มีบทบาทอย่างมากในการควบคุมข้อมูลข่าวสารทั้งในสื่อดั้งเดิมและออนไลน์
📍 วงจรอุบาทว์: การศึกษาอ่อนแอ – ข่าวปลอมเฟื่องฟู – สื่อถูกปิดปาก
กัมพูชามักอยู่ใน ลำดับต่ำของดัชนีเสรีภาพสื่อโลก (World Press Freedom Index) ของ Reporters Without Borders (RSF) ปี 2024: อันดับที่ 147 จาก 180 ประเทศ เสรีภาพสื่อในกัมพูชา ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงหลังปี 2017 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งใหญ่
สื่อหลัก เช่น ช่องโทรทัศน์ TVK, Bayon TV, CTN ส่วนใหญ่เป็นของรัฐ หรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ ซึ่งผู้ที่ควบคุมสื่อของกัมพูชาคือลูกสาวของฮุน เซนคือ ฮุน มานา
ส่วนหนังสือพิมพ์เอกชนอิสระมีน้อย และหลายแห่งถูกปิดตัวลง เช่น The Cambodia Daily (ปิดในปี 2017 หลังถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังเกิน 6 ล้านดอลลาร์)
ขณะที่ Voice of Democracy (VOD) (ถูกปิดในปี 2023 หลังรายงานข่าวเกี่ยวกับบทบาทของลูกชายผู้นำฮุน เซน ในการช่วยเหลือแผ่นดินไหวตุรกี)
แม้จะมีช่องทางออนไลน์มากขึ้น แต่รัฐบาลเริ่ม ควบคุมอินเทอร์เน็ต อย่างเข้มงวด โดยปี 2021 มีการประกาศตั้ง National Internet Gateway (NIG) เพื่อควบคุมการรับ-ส่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ → เทียบได้กับ “Great Firewall” ของจีน
รัฐบาลสามารถสั่ง ISP (ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต) ให้บล็อกเว็บไซต์ที่ “ขัดต่อความมั่นคงหรือศีลธรรม” ได้ทันที ทั้งมีกฎหมายควบคุมการแสดงออกออนไลน์ เช่น Cybercrime Law ถ้าใครแสงความเห็นมีเนื้อหาคลุมเครือสร้างความไม่ไว้วางใจต่อรัฐ ก็สามารถใช้กฎหมายเล่นงานผู้วิจารณ์รัฐบาลได้
Law on Telecommunications (ปี 2015) – ให้อำนาจรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องผ่านศาล
นอกจากนี้ยังมีการใช้กฎหมายในการปิดปากสื่อทั้ง กฎหมายอาญามาตรา 305 ใช้ข้อหาหมิ่นประมาทเล่นงานนักข่าว
🔹พ.ร.บ. NGO & Associations (ปี 2015) ใช้ควบคุมองค์กรสื่ออิสระที่เป็น NGO
🔹พ.ร.บ.ไซเบอร์ (Cybercrime Law) เปิดทางให้จับกุมผู้วิจารณ์รัฐบาลทางออนไลน์
การทำงานของนักข่าวกัมพูชาต้อง เซ็น “ข้อตกลงความประพฤติ” กับตำรวจ เพื่อหลีกเลี่ยงคดี อีกทั้งนักข่าวในพื้นที่ชนบทถูกคุกคามหากรายงานประเด็นทุจริต ทรัพยากรธรรมชาติ หรือการเวนคืนที่ดิน ส่วนองค์กรสื่ออิสระที่ยังมีอยู่ เช่น Cambodian Center for Independent Media (CCIM) ทำงานอย่างจำกัด และอยู่ภายใต้การตรวจสอบ
เพราะฉะนั้น เมื่อคนกัมพูชาอยู่ในโครงสร้างสังคมที่การศึกษาไร้คุณภาพ ทำให้ข่าวปลอมมีอำนาจมากกว่าข้อเท็จจริง
เมื่อการศึกษาอ่อนแอ, สื่อถูกควบคุม, โซเชียลเน้นอารมณ์, และวัฒนธรรมเชื่อผู้อาวุโสยังแข็งแรง—ข่าวปลอมจึงมีพื้นที่เติบโตอย่างรวดเร็วและไร้การต่อต้านอย่างเปิดเผยเพราะสุดท้ายใครที่ไม่เชื่อรัฐบาลกัมพูชา มักมีจุดจบที่ไม่สวยนั่นเอง