เล่าทุกเรื่อง กับริชาร์ต

เล่าทุกเรื่อง กับริชาร์ต เล่าทุกเรื่องบนโลกที่สนใจ และอยากเล่าให้คนที่สนใจเหมือนกันฟัง

01/09/2025

8 ปีที่อินโดนีเซียเป็นรัฐบาลพลเรือนในยุคโจโกวี่ ประเทศราบรื่น เศรษฐกิจโตเป็นดาวเด่นภูมิภาคแข่งกับเวียดนาม พอมายุคนายพลซูเบียนโต้แม้จะมาจากเลือกตั้ง แต่เป็นอดีตผู้นำทหารยุคเผด็จการซูฮาโต้ ประเทศประท้วงยับขั้นรุนแรงในหลายเมือง เศรษฐกิจถดถอย คอรัปชันพุ่ง อำนาจตำรวจ-ทหารเพิ่ม

16/08/2025

การใช้โทรศัพท์โทรหาใครสักคนในยุคนี้มันช่างยากเย็นและกฎเกณฑ์เยอะเสียจริง
- โทรไปเลยโดนว่าเสียมารยาท
- งั้นส่งข้อความไปหาก่อน… ก็ไม่ตอบ
- โอเคงั้นรอตอบมาก่อนถึงค่อยโทรไป
- พอเวลาผ่านไปนานก็ไม่อ่านแชทเลยตัดสินใจโทรหา
- อีฝั่งนั้นตอบมาว่า อ้าวถ้ามีเรื่องด่วนก็โทรมาสิคะ
- ครั้งถัดไปเลยกดโทรหาเลย
- โดนว่าเสียมารยาท
เนี่ยต้องให้ทำตัวยังไงดีเอ่ย วนเวียนแบบนี้ ทีหลังจะส่งจดหมาย ส่งเมลล์ไปหา ต้องไลน์บอกก่อนมั้ยจะได้ไม่เสียมารยาท

12/08/2025

มีคนบางกลุ่มบอกว่าขนาดจีน-เวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์ยังเจริญได้เลย คือยังไงเอ่ย อยากเป็นแบบเขาบ้างงี้? แล้วคิดว่าไทยจะเป็นประเทศตัวท็อปของระบอบได้โดยคิดแบบไทยๆ ทำนิสัยแบบไทยๆ พฤติกรรมแบบไทยๆ งั้นเหรอ?….แกๆ ตื่นก่อนค่ะ โน่น!! มองไปยังประเทศคอมมี่หรือเผด็จการอื่นๆ ก่อนเนอะที่เกือบทั้งหมดอยู่ในกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาจ้า แกคิดว่าไทยจะไปรวมอยู่ในกลุ่มตัวยอดของระบอบได้จริงดิถ้าเปลี่ยนการปกครอง?
เอางี้นะ ขนาดไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยฉบับครึ่งๆ กลางๆ มีการถ่วงดุลอำนาจ(บ้างไม่มีบ้าง) มีกระบวนการตรวจสอบรัฐบาลจากฝ่ายต่างๆ ที่ตรวจเข้มๆ บ้าง ตรวจหลวมๆ บ้าง บางทีแม่งปล่อยเบลอไปเลยก็มี โดยเฉพาะประชาชนที่ตรวจสอบเข้มข้นเพราะพึ่งพารัฐไม่ค่อยได้ มีสื่อคอยด่า คอยถาม คอยติดตามข่าวทุกวัน
พวกนักการเมือง ข้าราชการ หรือผู้มีอำนาจยังกล้าโกงซึ่งหน้า ยังกล้าทำผิดแบบไม่เห็นหัว ไม่เกรงใจคนจ่ายภาษี แถมยังออกมาแก้ตัวหน้าด้านๆ ได้ ลอยหน้าลอยตาไปมาในสังคมแบบไม่สนอะไร และการทุจริตคอรัปชั่นโจ๋งครึ่มขนาดนี้
ถ้าไทยเป็นคอมมี่แบบที่ตรวจสอบอะไรก็ไม่ได้ วิจารณ์ก็ไม่ได้ แถมรัฐยังสร้าง propaganda หลอกคนในชาติกันเอง ทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจวงตระกูลเอาไว้โดยไม่สนว่าใครจะเป็นจะตายแบบที่ ฮุน เซน เป็น ไล่ก็ไม่ออก ประท้วงก็ไม่ได้ ไม่มีสิทธิเปลี่ยนผู้นำได้ตามอำเภอใจแบบนี้ และอีกหลายๆ อย่างที่ประชาชนถูกจำกัดอิสระและบังคับให้เลือกที่จะเชื่อตามที่ผู้มีอำนาจต้องการเท่านั้น แกคิดว่าจะอยู่ได้จริงดิ?
คิดว่าคนพูดเนี่ยคงลืมนึกถึงนิสัย และกมลสันดานที่ประกอบสร้างหล่อหลอมให้เป็นคนไทยที่ไม่ใช่ชาติพันธุ์ที่ชอบอยู่ในกรอบ มีความคิดเป็นของตัวเอง นิสัยรักอิสระ และค่อนข้างไปทางขี้เกียจ ไม่ใช่ชาติพันธุ์ที่ขยัน ใฝ่รู้ มีความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิตแบบที่เวียดหรือจีนเป็น ขนาดให้เรียนมันยังไม่ค่อยอยากเรียนเลย เฟ้อฝันอยากมีชีวิตเหมือนในละคร ในขนาดที่คนประเทศคอมมี่ตัวท็อปเหล่านั้นแข่งกันเรียนเอาเป็นเอาตาย เพื่อผลักตัวเองให้ขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงและเป็นแบบนี้กันเกือบทั้งประเทศ
คอมมี่ทั้งโลกเจริญขึ้นมาได้อยู่ 2 ประเทศ ที่เหลืออยู่ในระดับประเทศยากจนทั้งหมดเช่น ลาว คิวบา และเกาหลีเหนือ ในขณะที่ประเทศแบบเสรีนิยมไม่ได้ถูกจำกัดความเจริญ ถ้าพัฒนาตัวเองได้ก็เจริญได้ โดยใช้เวลาแค่ไม่กี่สิบปีก็มีซึ่งก็ถูกพิสูจน์มาแล้วว่ามันเปิดโอกาสให้ได้แข่งแบบทั่วถึงกว่า คนไทยบางพวกริจะไปอยู่ในสนามที่แข่งขันยากเพื่อหวังว่าจะเจริญบ้างแบบตัวท็อปของระบอบ แต่ไม่ดูสภาพตัวเองว่าทรัพยากรภายในอยู่ในเกณฑ์จะแข่งกับเขาได้หรือเปล่า สภาพนี้จะหวังเป็นจีน เป็นเวียดนาม ไม่จ้าาาา ถ้าไทยเป็นคอมมี่นะสภาพไม่ต่างจากเขมร พม่าในวันนี้หรอก
ขนาดอยู่ในระบอบที่มีโอกาสแข่งขันได้อย่าเสรี ไทยยังขี้เกียจจะแข่งขันเลย และริจะไปอยู่ในที่ที่การแข่งขันจำกัดแล้วคิดว่าตัวเองจะเจริญแบบตัวยอด แกๆ เอาอะไรมามั่น
ปัญหาเนี่ยไม่ได้อยู่ที่ระบอบแต่มันอยู่ที่คนในประเทศล้วนๆ ถ้าระบอบมีปัญหานะป่านนี้ก็ไม่มีชาติไหนเจริญหรอก ดังนั้นอย่าโทษระบอบเลย มันอยู่ที่ทรัพยากรบุคคลภายในล้วนๆ ต่อให้เอาตัวไปอยู่ในประเทศพัฒนาแล้ว บางคนก็ไม่ได้พัฒนาตาม เพราะพื้นฐานชีวิตมันไม่ได้เหมาะแก่การยกระดับพัฒนา ซึ่งในไทยมีคนแบบนี้เยอะแทบจะเป็นส่วนใหญ่ของสังคมประเทศตั้งแต่ระดับการเมืองจนถึงรากหญ้า
ปล. สุดท้ายจีนและเวียดที่ระบอบการปกครองเป็นคอมมี่ ก็ต้องเปิดเศรษฐกิจเป็นเสรีอยู่ดีและขันสูงกว่าประเทศประชาธิปไตยเสียอีก คิดดูว่าแกจะเอาอะไรไปแข่งสู้ห๊ะนั่งไตรแลนด์เดีย!!

08/08/2025

นั่งฟังนักข่าวรุ่นน้อยวัย 20 ปลายๆ คุยอวดกับน้องนักข่าวจบใหม่ว่า ยุคพี่นะเป็นแบบนั้น สังคมยุคพี่มันอย่างนี้ พี่ผ่านเหตุการณ์สำคัญๆ เยอะอยู่ ไอ้เรานั่งมองหน้ากับพี่ที่ไทยรัฐทีวีแล้วกระซิบว่า พี่ๆ ผมว่าเราไม่ต้องไปขิงเด็กเนอะว่าเราเกิดในยุคสหภาพโซเวียต ทันยุคสงครามเย็น 🥹

05/08/2025

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนกัมพูชา ถึงรับรู้ข่าวสารเป็นคนละด้านกับคนไทย วันนี้ได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกับเพื่อนคนมาเลเซียที่มาเรื่องงานในเมืองไทย ก็นัดเจอกันเหมือนทุกๆ ครั้งเวลาที่นางมาไทย คำถามแรกที่เราพูดคุยกันก็คือ "ริชาร์ตคุณคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา"
ก็เลยถามกลับไปที่นางว่า "แล้วคุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ล่ะในฐานะคนมาเลเซีย"
นางก็ตอบกลับมาว่า นางพึ่งกลับมาจากไปเจอลูกค้าที่กัมพูชา แล้วก็มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่าลูกค้าของนางที่เป็นคนเขมร เชื่อรัฐบาลและข่าวสารที่ออกมาจากรัฐบาลอย่างสนิทใจ ว่าไทยรุกรานเขมรก่อน และเขมรคือเหยื่อของความรุนแรงในครั้งนี้ และเชื่อว่าไทยต้องการที่จะยึดดินแดนของกัมพูชากลับมาเป็นของตัวเอง
นางก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่สิ่งที่แปลกกว่านั้นก็คือ นางไม่สามารถเห็นฟีดข่าวสารที่เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือในประเทศอื่นๆ ได้เลยระหว่างที่อยู่ในกัมพูชา
แม้แต่โทรศัพท์ของนางเองที่เป็นชาวต่างชาติ ก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นฟีดข่าวจากประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ ได้เช่นกัน เพราะมันถูกบล็อกเอาไว้หมดโดยที่รัฐบาลของตระกูลฮุนเซนที่ควบคุมการรับรู้สื่อของคนกัมพูชาแทบจะ 100%
ก็เลยถามนางเพิ่มเติมว่า "ถ้าเราไม่ใช่เพื่อนกันคุณจะเชื่อข่าวจากฝั่งไทยหรือจากฝั่งกัมพูชา"
นางก็เลยตอบว่า ข่าวที่ออกมาจากฝั่งไทยมันมีข้อมูลหลักฐานต่างๆ ที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ และดู make sense กว่าที่ออกมาจากทางกัมพูชาอย่างแน่นอน ประกอบกลับมาเลเซียไม่ได้ถูกปิดกั้นการเข้าถึงข่าวสาร ดังนั้นแล้วคนมาเลเซียมีวิจารณญาณที่ดีพอที่จะเลือกเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร
ก็เลยพูดย้ำไปว่า เวลาไทยทำอะไรเรามักทำตามหลักสากล ไทยค่อนข้างกลัวการถูกมองไม่ดีในระดับนานาชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องภาพลักษณ์ของทหารที่ก่อนหน้านี้เคยถูกมองติดลบ จากการก่อรัฐประหาร และข่าวคราวด้านแย่ๆ เสียหายของคนในกองทัพ
แต่ครั้งนี้สิ่งที่ทหารทำถือว่าเป็นไปตามครรลองคลองธรรมและตามกฎหมายทั้งภายในประเทศแล้วก็ระดับสากล ดังนั้นสถานการณ์นี้ทหารถือว่าเป็นฮีโร่ที่ทำหน้าที่ปกป้องความมั่นคงบริเวณชายแดน
"แต่ไม่ได้หมายความว่าคนไทยอยากจะได้การรัฐประหารหรือการมีรัฐบาลทหาร ซึ่งมันต้องแยกกัน"
นางถามต่ออีกว่า "แล้วรัฐบาลของคุณล่ะจะเลือกตั้งใหม่เมื่อไหร่?"
ก็เลยตอบกลับไปว่า "ไม่รู้ แต่คนไทยอยากให้รัฐบาลนี้ยุบสภาหรือลาออกนะ"
ถามกลับไปที่นางได้ข่าวว่าคนมาเลเซียออกมาขับไล่นายกรัฐมนตรีเหมือนกันนี่
นางก็ตอบกลับมาว่า "รัฐบาลไทยกับมาเลเซียก็ไม่ได้ต่างกันหรอก ฉันก็รอให้นายกฯ ลาออกเหมือนกัน"
ส่วนที่หลายคนสงสัยว่าแล้วคนเขมรที่อยู่ต่างแดนที่ไม่ถูกปิดข่าว ทำไมยังเชื่อว่าไทยยิงก่อน การมีความรู้สูงขึ้น ภาษาก็ได้ ไม่ได้ช่วยให้รู้ความจริงเลยเหรอ?
ต้องบอกว่า อัลกอริทึมของ social media เวลาที่เราให้ความสนใจอะไรมันจะเลือก content ขึ้นหน้า feed เหล่านั้นให้คนที่ไถฟีด เพราะทั้งไทยและกัมพูชาต่างใช้ภาษาของตนเองเป็นหลักในการสื่อสาร ฉะนั้นมันก็จะเลือกข้อมูลที่เป็นภาษาตัวเองขึ้นมาบนฟีด ซึ่งก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ เพราะถ้าใครโพสต์อะไรที่ตรงข้ามกับที่รัฐบาลสื่อสารก็จะโดนลงโทษ ดังนั้นใครจะกล้าโพสต์แทงสวน หรือไม่ก็เลือกที่จะเงียบไปเลยไม่พูดอะไรดีกว่า อีกทั้งสื่อต่าง ๆ ที่ออกมาจากรัฐบาลเองที่ทำเป็นภาษาอังกฤษก็น้อยมาก ๆ ฉะนั้นเมื่อสนใจ fake new มันก็จะเอาข้อมูลที่เป็นที่สนใจขึ้นมาแทนจนกลบข้อมูลจริง ทำให้แทบมองไม่เห็นข้อมูลอื่นๆ
อีกอย่างคนเขมรในต่างแดนก็ยังมีญาติพี่น้องที่อยู่ในประเทศ ซึ่งมันก็ต้องพูดคุยกันอยู่แล้ว และโดยมากแล้วญาติที่อยู่ในเขมรก็จะพูดสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่สื่อไทยและสื่อนานาชาตินำเสนอ
ฉะนั้นคำพูดของคนในที่แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องโกหกแต่มันก็มีน้ำหนักกว่าเพราะคนเขมรเชื่อว่าไทยจ่ายเงินซื้อสื่อต่างชาติให้ทำข่าวเข้าข้างตัวเองหรือ PR ตัวเอง เขาเชื่อกันแบบนี้จริงๆ
อีกอย่างด้วยความที่เขาถูกปลูกฝังความเป็นชาตินิยมหลอกลวงแบบนี้มาตั้งแต่เกิด มันจึงเป็นอารมณ์ร่วมกันของคนเขมรที่มองเรื่องของเหตุและผลและข้อเท็จจริงเป็นเรื่องรอง และเลือกที่จะเชื่อสิ่งที่รัฐบาลบอกอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะเขาถูกสอนมาให้เกลียดประเทศไทย ถูกสอนมาว่าไทยขโมยทุกอย่างไปจากเขามาตั้งแต่ในอดีตและส่งต่อชุดความคิดนี้แบบนี้รุ่นต่อรุ่น ต่อให้จะไปอยู่ในประเทศที่เจริญแล้ว แต่สุดท้ายเลือดมันข้นกว่าน้ำความเชื่อมันเข้มข้นกว่าความรู้ และเขายังเชื่อแบบนั้นต่อให้จะไม่ได้อยู่ในประเทศตัวเองก็ตาม
นับเป็นช่วงเวลาคุณภาพในการพูดคุยมากๆ คุยการเมือง และเศรษฐกิจล้วนๆ 😆

02/08/2025

รู้ว่าคนไทยอยากทำตัวนอกกติกาแบบเขมรบ้าง แต่แกแบกรับผลที่ตามมาได้จริงดิ แกรับสภาพแบบนั้นได้เหรอ แค่โดนบอกเวียดนามจะแซงแกยังดิ้นเลย

01/08/2025

สรุปคือ เปิดเสรีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ นับหมื่นรายการ รวมหมูแบบมีเงื่อนไข กระทรวงยันไม่มีดีลสัมปทานแหล่งก๊าซ-ฐานทัพทหาร แลกภาษี 19%

01/08/2025

Tariff 19% สำหรับไทยก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยๆ กับประเทศต่างๆ ในอาเซียน น้อยกว่าเวียดนามที่เรียกว่าแทบจะรีบถวายตัวบัวให้ทรัมป์ตั้งแต่แรกๆ ที่สุดท้ายได้มา 20% ไม่รวมสินค้า Transhipping ที่โดน 40% ถ้าจับได้ขึ้นมา ซึ่งเรียกว่าเวียดนามที่ตามแบอาซ่าให้อเมริกาเชยชมมาแต่ต้นนั้นคงเจ็บใจไม่น้อยที่เปลือยยันเครื่องในขนาดนั้นแต่กลับยังมากกว่าประเทศอื่นๆ
ซึ่งแน่นอนว่าต้องรอว่าไทยเอาอะไรไปแลก ไปต่อรองถึงได้เรทนี้มา แต่ที่คิดว่าน่าจะโดนเหมือนกันกับทุกประเทศคือ ทรัมป์คงบังคับแหละว่าจะต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 0% แต่จะทุกชนิดหรือว่าแค่บางชนิดอันนี้ไม่รู้ ต้องรอกระทรวงแถลงแหละ แต่คิดว่าการที่ได้ในอัตรานี้ก็ไม่แย่สำหรับประเทศที่ตอนนี้ไม่ใช่ลูกรักขนาดนั้นของอเมริกาเหมือนเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และยุโรป ก็เหมือนๆ เท่าๆ กับเพื่อนๆ แถบๆ นี้
แต่ที่น่าสงสารกว่าคือลาวและเมียนมานี่แหละ โดนไป 40% ซึ่งนับว่าหนักหน่วงอยู่สำหรับประเทศเล็กๆ ที่ไร้อำนาจต่อรอง และต้องพึ่งพาต่างประเทศสูง เพราะการที่เจอกำแพงภาษีขนาดนี้กับสินค้าที่มูลค่าไม่สูงที่ส่งออกไปอมริกา (สินค้าเกษตร และสิ่งทอ) ยิ่งที่ทำให้สินค้าของลาวกับพม่าที่แข่งขันแทบไม่ได้อยู่แล้วในตลาดโลก ยิ่งไร้ทางสู้โดยสิ้นเชิง (พม่าอาจชินเพราะโดนคว่ำบาตรมาหลายสิบปี)
คำถามคือทำไมลาวและพม่าโดนภาษีขนาดนี้ ก็ต้องบอกว่าทางรัฐบาลของทั้งสองประเทศไม่กระตือรือล้นที่จะเจรจา บุคคลระดับสูงที่ครองอำนาจอยู่ไม่ได้สนใจประเทศขนาดนั้น เพราะว่าคนพวกนี้มันได้ผลประโยชน์ ได้เงิน ได้อำนาจอยู่แล้ว ส่วนประชาชนจะเป็นยังไงไม่ได้แคร์ เพราะถ้าแคร์นะป่านนี้ประเทศไม่อยู่ในสภาพนี้มาหลายสิบปี
เมื่อรัฐบาลไม่ได้มีเรื่องคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนอยู่ในสมการ ฉะนั้นการที่รัฐบาลไม่ไฟ้วท์ให้ประเทศจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจสำหรับเราในฐานะมิตรประเทศข้างบ้านที่เวลาเกิดเหตุทีไร พี่ไทยกูรับจบตล๊อดๆ
สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นตามมาคือ เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศที่แย่อยู่แล้วจะยิ่งแย่หนักกว่าเดิม เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ปากท้องไม่อิ่ม รายได้ไม่พอใช้ ผู้คนจะหนีความแร้นแค้นข้ามมายังประเทศที่เจริญกว่า ใหญ่กว่า หาเงินได้มากว่า ซึ่งประเทศไทยนี่แหละที่จะต้องรับเคราะห์ต่อ ต้องเตรียมมีรับแรงงานเพื่อนบ้านไหลทะลักเข้ามาอีกโขยงใหญ่ได้เลย ซึ่งถ้าไทยรับมือไม่ดีเราจะเจอปัญหาสังคมจากการไหลทะลักของต่างด้าวเข้ามา
สรุปแล้วนะคือ ผลการเจรจาเปิดเสรีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ นับหมื่นรายการ รวมหมูแบบมีเงื่อนไข แต่ทางกระทรวงยันไม่มีดีลสัมปทานแหล่งก๊าซ-ฐานทัพทหาร แลกภาษี 19%
ก็หวังว่าเงื่อนไขที่ไทยแลกกับสหรัฐคงไม่เจ็บตัวมาก โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการภายใน เพราะจะบอกว่าเราไม่เสีย ไม่เจ็บเลยก็คงไม่ใช่ เราเสียประโยชน์เหมือนกับทุกๆ ประเทศแหละ แต่เสียมากเสียน้อยก็ต้องรอดูต่อไป

30/07/2025

เทียบกันชัดๆ เขมรส่งคนไปยืนพูดเท็จต่อหน้าสหภาพรัฐสภาที่เจนีวา หาว่าไทยละเมิด หาว่าไทยใช่อาวุธเคมี ส่วนไทยทำได้แค่ตอบโต้โดยร่อนหนังสือตามไปแถลงแก้ต่าง สรุปรัฐบาลจะเดินตามตูดเขมรอย่างเดียวไปตลอดจริงๆ อวดว่าหลักฐานเต็มมือแต่ไม่ชิงพูดก่อน ทำงานเหมือนเผื่อเหลือทางหนีในอนาคต

29/07/2025

พวกอินฟูลฯ หาแสงทำคอนเทนต์ไปมอบเงินให้ญาติผู้เสียชีวิตแล้วถ่ายรูปโอบกอดร้องไห้โชว์ควรหยุดนะ ชีวิตคนอื่นไม่ใช่คอนเทนต์ของคุณ มันน่ารังเกียจที่เอาความเสียใจของครอบครัวผู้สูญเสียมาสร้างเอนเกจฯ มาให้เรียกความนิยมจากผู้ติดตาม ผมบริจาคไปเป็นแสนๆ เข้ามูลนิธิโดยตรงยังไม่โชว์เลย

ความแตกต่างระหว่างไทยกับเขมรคือ🇰🇭เขมรถูกทำให้เชื่อ Fake News อย่างสนิทใจ🇹🇭ไทยถูกหลอกให้เชื่อ Fake News อย่างน่าประหลาดใจ
29/07/2025

ความแตกต่างระหว่างไทยกับเขมรคือ
🇰🇭เขมรถูกทำให้เชื่อ Fake News อย่างสนิทใจ
🇹🇭ไทยถูกหลอกให้เชื่อ Fake News อย่างน่าประหลาดใจ

[ #สรุป อย่าแปลกใจว่าทำไมคนเขมรถึงเชื่อข่าวลวงข่าวปลอมได้สนิทใจ ผลจากการศึกษาอยู่ระดับต่ำความรู้คนส่วนใหญ่แค่ประถม คนเรียนต่อ ม.ปลายไม่ถึง 50% ส่วนใหญ่เรียนไม่จบ สื่ออยู่ในมือของลูกสาวฮุน เซน รัฐบาลปิดกั้นเสรีภาพสื่ออยู่อันดับที่ 147 จาก 180 ชาติ และมีกฎหมายห้ามวิจารณ์รัฐบาล]
ในยุคที่ข้อมูลคืออำนาจ การควบคุมข่าวสารกลายเป็นอาวุธทางการเมืองที่ทรงพลังยิ่งกว่าปืนหรือรถถัง สำหรับประเทศอย่างกัมพูชา ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบบเผด็จการมายาวนานสู่เศรษฐกิจเปิด การต่อสู้กันของ "ความจริง" และ "ความเชื่อ" จึงไม่ได้เกิดขึ้นในสนามสื่อเพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นในโรงเรียน ห้องเรียน โซเชียลมีเดีย และแม้แต่ในจิตใจของประชาชนเอง
หนึ่งในปัจจัยที่ถูกมองข้ามแต่ทรงพลังคือ บทบาทของกองทัพและหน่วยความมั่นคง ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการ เผยแพร่หรือปั่นกระแสข่าวปลอม (disinformation) เพื่อควบคุมการรับรู้ของประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง, การเมือง, และการเลือกตั้ง
รายงานของ Cambodian Center for Independent Media (CCIM) และองค์กรสากล เช่น Global Witness ระบุว่า หน่วยงานทางทหารของกัมพูชา มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตและกระจายข่าวปลอมผ่านเครือข่ายเฟซบุ๊กปลอม เว็บไซต์ปลอม และบัญชีปลอมจำนวนมาก โดยมักใช้เนื้อหาที่กระตุ้นความกลัว เช่น ข่าวปลอมเกี่ยวกับการก่อรัฐประหาร การแทรกแซงของต่างชาติ หรือการปลุกปั่นทางเชื้อชาติและศาสนา
💬 คำถามคือ—เหตุใดประชาชนจึงยังเชื่อข่าวปลอมเช่นนี้ได้ในยุคที่ข้อมูลหาได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว❓
คำตอบบางส่วนอยู่ที่ตัวประชาชนเอง โดยเฉพาะใน สภาพของการไม่รู้หนังสือ (illiteracy) ซึ่งยังเป็นปัญหาใหญ่ในกัมพูชา แม้รัฐบาลจะรายงานว่าอัตราการรู้หนังสือในประเทศอยู่ที่ประมาณ 83% (ข้อมูลทางการ) แต่การรู้หนังสือที่แท้จริง—เช่น การอ่านจับใจความ การคิดวิเคราะห์ หรือการแยกแยะความจริงกับการบิดเบือน—ยังคงต่ำมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและในกลุ่มประชากรที่ยากจนหรือมีการศึกษาต่ำ
การ “อ่านออก” ไม่เท่ากับ “เข้าใจ” และการ “เข้าถึงอินเทอร์เน็ต” ไม่เท่ากับ “เข้าถึงข้อเท็จจริง” ภายใต้เงื่อนไขนี้ ข่าวปลอมที่ผลิตโดยกลไกรัฐหรือกองทัพ—โดยอ้างอิงศีลธรรม ความมั่นคง หรือภาพลักษณ์ของผู้นำ—จึงถูกเชื่อได้ง่าย โดยไม่มีการตรวจสอบย้อนกลับ สื่ออิสระก็ถูกควบคุม ขณะที่ระบบการศึกษาเองก็ยังไม่สามารถปลูกฝังทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ได้เพียงพอ
บทความนี้จะวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างคุณภาพการศึกษาและการไม่รู้หนังสือ การแพร่กระจายของข่าวปลอม (รวมถึงข่าวที่รัฐและกองทัพผลิตขึ้นเอง) เสรีภาพสื่อที่จำกัดจนไม่สามารถเป็นกลไกถ่วงดุลอำนาจได้
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงภาพที่ใหญ่กว่า: สังคมที่ “เข้าถึงข้อมูล” แต่ไม่ “เข้าถึงความรู้” และไม่อาจใช้ข้อมูลนั้นเพื่อกำหนดอนาคตของตนเองได้อย่างเสรี
📍 การศึกษาของกัมพูชาเข้าถึงได้ แต่คุณภาพยังต่ำ
กัมพูชามีความก้าวหน้าอย่างมากในด้าน “การเข้าถึงการศึกษา” โดยอัตราการเข้าเรียนระดับประถมสูงถึง 97–99% อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ซ่อนอยู่คือ คุณภาพการเรียนรู้ ที่ต่ำและ การหลุดออกจากระบบ ที่สูงมาก โดยเฉพาะในระดับมัธยมปลาย
รายงานของ World Bank และ OECD ชี้ว่า นักเรียนชั้น ป.6 ถึง 74% ไม่สามารถบรรลุมาตรฐานขั้นต่ำด้านคณิตศาสตร์
โครงการ PISA‑D ปี 2018 พบว่า นักเรียนกัมพูชาอายุ 15 ปี มีเพียง 10% ที่มีทักษะคณิตศาสตร์ในระดับพื้นฐาน และมีความสามารถขั้นต่ำทางอ่านได้เพียง 8% เท่านั้น
ขณะที่ผลประเมินระดับชาติชั้นประถมปลาย (Grade 6) ปี 2016–2021 ทำให้เห็น: ผู้ที่ยังไม่บรรลุมาตรฐานพื้นฐานทางภาษาเขมรเพิ่มจาก 34% เป็น 45%
🔵การเข้าถึงระบบการศึกษาของคนกัมพูชา
🔹ระดับอนุบาล (3–5 ปี): มีเด็กเข้าร่วมเพียง 43–68.5% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานในหลายประเทศ
🔹ประถมศึกษา (ปี 1–6): อัตราเข้าเรียนในระดับประถมอยู่ที่ 97–99%
🔹มัธยมต้น (ปี 7–9): อัตราเข้าเรียนราว 55–75% ขึ้นอยู่กับปีการศึกษาและพื้นที่
🔹มัธยมปลาย (ปี 10–12): เข้าเรียนเพียงประมาณ 20–44% เท่านั้น และมีอัตราการสำเร็จต่ำมาก
🔹อุดมศึกษา: อัตราการเข้าเรียนเพิ่มจาก 10% (2013) เป็น 19% (ปี 2024)
🔵 ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษา
👩‍🏫 ครู & การฝึกอบรม
ครูผู้สอนยังขาดคุณภาพ แม้มีการอบรมจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNESCO และ GPE เพื่อยกระดับคุณภาพครูและระบบประเมินระดับชาติ
🚧 โครงสร้างพื้นฐาน
สถานศึกษาหลายแห่งยังขาดระบบไฟฟ้า น้ำสะอาด ห้องน้ำ และห้องเรียนเพียงพอ โดยโรงเรียนในชนบทมีข้อจำกัดอย่างมาก
💸 ภาระทางการเงิน & กำลังจ่าย
แม้โรงเรียนรัฐบาล “ฟรี” แต่ผู้ปกครองมักมีค่าใช้จ่ายเสริมทั้งหนังสือเรียน เสื้อผ้า อุปกรณ์ และค่าเล่าเรียนพิเศษ (tutoring) ซึ่งสภาพเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลักให้เด็กหลายคนลาออกไปทำงานช่วยครอบครัว โดยเฉพาะในเด็กชายและครอบครัวยากจน
📍 ข่าวปลอมและการไม่รู้เท่าทันสื่อ: ความรู้ผิดๆ ในโลกดิจิทัล
กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่ ข่าวปลอมแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผ่าน Facebook และ YouTube ซึ่งเป็นแหล่งข่าวหลักของประชากรทั่วไป
ข้อมูลจาก DataReportal ปี 2024 พบว่า กว่า 70% ของประชากรใช้ Facebook ซึ่งมักเป็นช่องทางที่ข่าวปลอมเผยแพร่อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากอัลกอริธึมของ Facebook เน้นการ "กระตุ้นอารมณ์" มากกว่าความจริง ทำให้ข่าวที่กระตุ้นความกลัว โกรธ หรือหวังแพร่ได้ง่าย
อีกทั้งการศึกษาที่ต่ำทำให้ชาวบ้านจะเชื่อผู้นำชุมชนหรือบุคคลที่ตนเคารพ มากกว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยตนเอง
การพูดแบบ “เขาบอกว่า...”, “ข้าราชการพูดมา...”, “พระวัดนั้นบอกว่า...” จึงมักถูกเชื่อโดยไม่สงสัย
นอกจากนี้ ความเคารพต่อผู้มีอำนาจ ยังทำให้ผู้คนหลีกเลี่ยงการตั้งคำถามกับสิ่งที่ถูกกล่าวอ้างในข่าว
🔹60% ของชาวกัมพูชาเชื่อข่าวจาก Facebook โดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มา โดยประชากรอายุ 15–30 ปี เป็นกลุ่มที่ “เสพข่าวเร็ว” แต่ “วิเคราะห์ช้า” โดยเฉพาะในชนบท
🔹เพียง 18% ของครู บอกว่าพวกเขาเคยได้รับการอบรมเรื่อง “การรู้เท่าทันสื่อ” หรือ “การตรวจสอบข่าวปลอม”
อีกทั้งเสรีภาพสื่อในกัมพูชาอยู่ในระดับที่ จำกัดหรือถูกควบคุมอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party - CPP) ซึ่งมีอำนาจยาวนาน มีบทบาทอย่างมากในการควบคุมข้อมูลข่าวสารทั้งในสื่อดั้งเดิมและออนไลน์
📍 วงจรอุบาทว์: การศึกษาอ่อนแอ – ข่าวปลอมเฟื่องฟู – สื่อถูกปิดปาก
กัมพูชามักอยู่ใน ลำดับต่ำของดัชนีเสรีภาพสื่อโลก (World Press Freedom Index) ของ Reporters Without Borders (RSF) ปี 2024: อันดับที่ 147 จาก 180 ประเทศ เสรีภาพสื่อในกัมพูชา ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงหลังปี 2017 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งใหญ่
สื่อหลัก เช่น ช่องโทรทัศน์ TVK, Bayon TV, CTN ส่วนใหญ่เป็นของรัฐ หรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ ซึ่งผู้ที่ควบคุมสื่อของกัมพูชาคือลูกสาวของฮุน เซนคือ ฮุน มานา
ส่วนหนังสือพิมพ์เอกชนอิสระมีน้อย และหลายแห่งถูกปิดตัวลง เช่น The Cambodia Daily (ปิดในปี 2017 หลังถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังเกิน 6 ล้านดอลลาร์)
ขณะที่ Voice of Democracy (VOD) (ถูกปิดในปี 2023 หลังรายงานข่าวเกี่ยวกับบทบาทของลูกชายผู้นำฮุน เซน ในการช่วยเหลือแผ่นดินไหวตุรกี)
แม้จะมีช่องทางออนไลน์มากขึ้น แต่รัฐบาลเริ่ม ควบคุมอินเทอร์เน็ต อย่างเข้มงวด โดยปี 2021 มีการประกาศตั้ง National Internet Gateway (NIG) เพื่อควบคุมการรับ-ส่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ → เทียบได้กับ “Great Firewall” ของจีน
รัฐบาลสามารถสั่ง ISP (ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต) ให้บล็อกเว็บไซต์ที่ “ขัดต่อความมั่นคงหรือศีลธรรม” ได้ทันที ทั้งมีกฎหมายควบคุมการแสดงออกออนไลน์ เช่น Cybercrime Law ถ้าใครแสงความเห็นมีเนื้อหาคลุมเครือสร้างความไม่ไว้วางใจต่อรัฐ ก็สามารถใช้กฎหมายเล่นงานผู้วิจารณ์รัฐบาลได้
Law on Telecommunications (ปี 2015) – ให้อำนาจรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องผ่านศาล
นอกจากนี้ยังมีการใช้กฎหมายในการปิดปากสื่อทั้ง กฎหมายอาญามาตรา 305 ใช้ข้อหาหมิ่นประมาทเล่นงานนักข่าว
🔹พ.ร.บ. NGO & Associations (ปี 2015) ใช้ควบคุมองค์กรสื่ออิสระที่เป็น NGO
🔹พ.ร.บ.ไซเบอร์ (Cybercrime Law) เปิดทางให้จับกุมผู้วิจารณ์รัฐบาลทางออนไลน์
การทำงานของนักข่าวกัมพูชาต้อง เซ็น “ข้อตกลงความประพฤติ” กับตำรวจ เพื่อหลีกเลี่ยงคดี อีกทั้งนักข่าวในพื้นที่ชนบทถูกคุกคามหากรายงานประเด็นทุจริต ทรัพยากรธรรมชาติ หรือการเวนคืนที่ดิน ส่วนองค์กรสื่ออิสระที่ยังมีอยู่ เช่น Cambodian Center for Independent Media (CCIM) ทำงานอย่างจำกัด และอยู่ภายใต้การตรวจสอบ
เพราะฉะนั้น เมื่อคนกัมพูชาอยู่ในโครงสร้างสังคมที่การศึกษาไร้คุณภาพ ทำให้ข่าวปลอมมีอำนาจมากกว่าข้อเท็จจริง
เมื่อการศึกษาอ่อนแอ, สื่อถูกควบคุม, โซเชียลเน้นอารมณ์, และวัฒนธรรมเชื่อผู้อาวุโสยังแข็งแรง—ข่าวปลอมจึงมีพื้นที่เติบโตอย่างรวดเร็วและไร้การต่อต้านอย่างเปิดเผยเพราะสุดท้ายใครที่ไม่เชื่อรัฐบาลกัมพูชา มักมีจุดจบที่ไม่สวยนั่นเอง

27/07/2025

รัฐบาลเลิกโลกสวยถามหาความเป็นสุภาพบุรุษ ความมีมนุษยธรรมจากผู้นำที่เติบโตมาจากสมาชิกแกนนำกลุ่มฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนชาติตัวเองได้แล้ว ต่อให้มันส่งคนไปตายแนวหน้าเหมือนหมูเหมือนหมาข้างถนนเป็นพันๆ ใช้โล่มนุษย์ชีวิตประชาชนเป็นเกราะกำบัง มันไม่สนหรอกว่าใครจะตายมันสนแต่อำนาจ

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เล่าทุกเรื่อง กับริชาร์ตผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์