NLAB Share tips, recommend methods, and various techniques for UX/UI design.

ตอนนี้ NLAB มีโครงการให้คำแนะนำหรือเป็นที่ปรึกษาให้  #ฟรี!!! เดือนละ 2 Project ครับ อยากให้ช่วยเรื่องอะไร หรืออยากปรึกษา...
15/10/2024

ตอนนี้ NLAB มีโครงการให้คำแนะนำหรือเป็นที่ปรึกษาให้ #ฟรี!!! เดือนละ 2 Project ครับ อยากให้ช่วยเรื่องอะไร หรืออยากปรึกษาสามารถทักมาคุยได้เลยนะครับฟรีๆ ไม่คิดตังค์ ไม่ขายคอร์ส ไม่ชวนลงทุน ไม่ใช่บอส แฮร่!!!
ส่งรายละเอียดเรื่องที่อยากให้ช่วยไว้ใน inbox ได้นะครับ 🙂

www.narenrit.com

15/10/2024

ตอนนี้ NLAB มีโครงการให้คำแนะนำ หรือเป็นที่ปรึกษาให้ ฟรี!!! เดือนละ 2 Project นะครับ
ส่งรายละเอียดของโปรเจคไว้ใน inbox ได้ครับ 🙂

Figma big update ครับผม มีหลาย feature ที่น่าสนใจมากกกกก
27/06/2024

Figma big update ครับผม มีหลาย feature ที่น่าสนใจมากกกกก

We came together live in San Francisco and virtually on June 26-27 for . Here’s what we launched this year:→ UI3, a redesigned Figma→ Figma AI (Ma...

วันนี้เราจะมาชวนคุยเรื่อง  “CTA หรือ Call to action” กันครับ ว่ามันคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร ทำไมทีม MKT หรือหลายๆคนช...
17/06/2024

วันนี้เราจะมาชวนคุยเรื่อง “CTA หรือ Call to action” กันครับ ว่ามันคืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร ทำไมทีม MKT หรือหลายๆคนชอบพูดถึงกันนะ?
Call to Action (CTA) คือการเชิญชวนผู้ใช้งาน (User)ให้ทำกิจกรรมบางอย่าง โดยทั่วไปมักปรากฏในรูปแบบของปุ่ม, หรือข้อความต่างๆในแอปพลิเคชัน มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดความสนใจ หรือกระตุ้นให้ผู้ใช้ (User) ทำการดำเนินการที่ต้องการ เช่น สมัครสมาชิก ซื้อสินค้า หรือดาวน์โหลดข้อมูลต่าง
การออกแบบ CTA ให้มีประสิทธิภาพจึงอาจจะต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย และนี่คือหลักการในการออกแบบ Call to Action สำหรับแอปพลิเคชันแบบคร่าวๆครับ
1️⃣ #ชัดเจนและตรงประเด็น (Clarity and Directness)
✅ โดยใช้ข้อความที่กระชับและตรงไปตรงมา เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจได้ทันทีว่าต้องทำอะไรเช่น "สมัครตอนนี้", "ซื้อเลย", "ดาวน์โหลดฟรี"
🚫 หลีกเลี่ยงการใช้ข้อความที่ซับซ้อนหรือคลุมเครือให้มากที่สุด
2️⃣ #มีแรงดึงดูด (Attractiveness)
✅ ใช้คำที่กระตุ้นให้เกิดความต้องการหรือความสนใจ เช่น "ข้อเสนอพิเศษ", "ส่วนลดพิเศษ", "สมัครฟรี"
✅ ใช้สีที่โดดเด่นและมีความแตกต่างจากสีพื้นหลัง เพื่อให้ CTA เด่นชัดและมองเห็นได้ง่าย
3️⃣ #สร้างความเร่งด่วน (Urgency)
✅ ใช้คำที่สร้างความรู้สึกเร่งด่วนหรือมีเวลาจำกัดเช่น "ข้อเสนอหมดเขตวันนี้", "สมัครด่วน", "ซื้อตอนนี้ก่อนหมด"
✅การสร้างความเร่งด่วนจะช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้ตัดสินใจเร็วขึ้น
4️⃣ #ใช้คำที่กระตุ้นการกระทำ (Actionable Words)
✅ ใช้คำกริยาที่กระตุ้นให้ผู้ใช้ทำกิจกรรมเช่น "เริ่มต้น", "สำรวจ", "รับส่วนลด"
✅ การใช้คำกริยาที่ชัดเจนจะทำให้ผู้ใช้เข้าใจว่าต้องทำอะไรและจะได้รับอะไร
5️⃣ ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ (User-Centered)
✅เข้าใจความต้องการและเป้าหมายของผู้ใช้ เพื่อสร้าง CTA ที่ตรงกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ
✅ การสร้าง CTA ที่ตอบสนองต่อความต้องการจะช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้จะทำตาม
🙂ขอยกตัวอย่าง Call to Action ที่ใช้ในแอปพลิเคชันต่างๆดังนี้ครับ
📖 #แอปพลิเคชันเพื่อการศึกษา (Educational App)
✅ "เริ่มเรียนฟรีวันนี้"
✅ "ลงทะเบียนเพื่อรับบทเรียนเพิ่มเติม"
💰 #แอปพลิเคชันด้านการเงิน (Financial App)
✅ "เปิดบัญชีตอนนี้รับ ###"
✅"รับคำแนะนำด้านการลงทุนฟรี"
😷 #แอปพลิเคชันด้านสุขภาพและฟิตเนส (Health and Fitness App)
✅ "มาวางแผนการออกกำลังกายกันเถอะ"
✅ "เป้าหมายของสัปดาห์ที่ผ่านมาคุณทำได้ยอดเยี่ยมมาก มาเริ่มสัปดาห์นี้กัน"
🏝️ #แอปพลิเคชันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยว (Travel App)
✅ "เหลือเพียง 2 ที่นั่ง รีบจองเลยตอนนี้"
✅"มีสถานที่ที่น่าสนใจรอให้คุณค้นหาอยู่ มาลองดูกันเถอะ"
🛍️ #แอปพลิเคชันด้านการช็อปปิ้ง (Shopping App)
- "ชำระเงินตอนนี้ ลดทันที 10%"
- "เพิ่มอีก 1 ชิ้นแถมฟรี 1 ชิ้น"
👨🏻‍💻 #การออกแบบและวางตำแหน่งของ “Call to Action”
⭐️ #การออกแบบ (Design)
- ใช้สีที่โดดเด่นและสอดคล้องกับธีมของแอปฯ, เว็บไซต์
- ใช้ขนาดที่เหมาะสม ไม่เล็กเกินไปหรือใหญ่เกินไป
- ใช้ไอคอนหรือกราฟิกที่เสริมให้ CTA น่าสนใจและชัดเจนยิ่งขึ้น
⭐️ #การวางตำแหน่ง (Placement)
- วางในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน เช่น หน้าหลัก, หน้าแรกของฟีเจอร์ใหม่, หน้าชำระเงิน
- ใช้พื้นที่ที่ผู้ใช้มักจะคลิกบ่อย เช่น กลางหน้าจอ, หรือมุมขวาล่าง
- ไม่วาง CTA ใกล้กับพื้นที่ที่ผู้ใช้มักจะเลื่อนหน้าจอเพื่อหลีกเลี่ยงการคลิกผิดและลดความน่ารำคาญ
🎯 เมื่อได้จุดประสงค์ของการออกแบบ CTA แล้วจะต้องมีการทดสอบและวัดผลด้วยนะครับโดยใช้หลักการง่ายๆเพียง 2 ข้อคือ Testing and Iteration
❤️ ทำ A/B Testing : ทดลองออกแบบ CTA หลายๆแบบเพื่อดูว่าแบบใหนที่ได้ผลดีที่สุด แล้วจึงนำมาใช้งานจริงในแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์
⭐️ วิเคราะห์ผลลัพธ์ : ใช้ข้อมูลจากการใช้งานเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุง CTA ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอยู่เสมอ
📝การออกแบบและสร้าง Call to Action ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้แอปพลิเคชันสามารถกระตุ้นให้ผู้ใช้งาน (User) ทำกิจกรรมที่ต้องการได้มากยิ่งขึ้นได้อย่างแน่นอนครับ ก่อนที่จะ Develop ออกมาแล้วให้ User เจอของจริงบนแอปฯ เราควรเริ่มด้วยด้วยการทำ Prototype ไปทดสอบกับทีมอื่นๆ หรือถามความเห็นจากเพื่อนๆ ต่างแผนกดูก่อนก็ได้ครับ เพื่อวัดผลไวๆ จะได้ไม่เสีย Effort ของ Developer หากว่าต้องมีการแก้หรือปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นนะครับ 🙂
เป็นไงบ้างครับ หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับทีม หรือเอาไปเป็นแนวทางในการใช้งานได้บ้างนะฮะ 🚀
หากชอบ Content แบบนี้อย่าลืมกดแชร์ กด Like หรือ กดติดตาม NLAB ไว้ได้เลยนะครับ
จะหาอะไรหนุกๆมาแชร์ มาเล่าให้ฟังบ่อยๆเลยคร้าบบบบ

www.narenrit.com

หาก User interface คือหน้าตาของแอปพลิเคชัน  Tone of Voice ก็เปรียบเสมือน น้ำเสียง หรือ สำเนียงของแอปพลิเคชันเช่นกัน 🙂การ...
16/06/2024

หาก User interface คือหน้าตาของแอปพลิเคชัน Tone of Voice ก็เปรียบเสมือน น้ำเสียง หรือ สำเนียงของแอปพลิเคชันเช่นกัน 🙂
การกำหนด Tone of Voice สำหรับแอปพลิเคชันมีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผูใช้รู้สึกถึงความเป็นมิตร ความน่าเชื่อถือ และบุคลิกภาพของแบรนด์หรือบริการนั้น ๆ การเลือกใช้ Tone of Voice ที่เหมาะสมจะช่วยให้การสื่อสารในแอปพลิเคชันมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ครับ
🚀และนี่คือขั้นตอนในการกำหนด Tone of Voice สำหรับแอปพลิเคชันแบบคร่าวๆนะครับ
1️⃣ #เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย (Understand the Audience) - ระบุว่าใครคือผู้ใช้แอปพลิเคชันของคุณ พวกเขามีลักษณะอย่างไร อายุ เพศ ความสนใจ และความต้องการของพวกเขาคืออะไร
#ตัวอย่าง: หากแอปพลิเคชันของคุณเป็นแอปการศึกษา กลุ่มเป้าหมายอาจเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือครูผู้สอน
2️⃣ #กำหนดบุคลิกภาพของแบรนด์ (Define Brand Personality) ระบุบุคลิกภาพที่คุณต้องการให้แบรนด์หรือแอปพลิเคชันของคุณมี เช่น เป็นมิตร จริงใจ มืออาชีพ หรือสนุกสนาน
#ตัวอย่าง: แอปพลิเคชันที่เน้นการช่วยเหลือด้านสุขภาพจิต อาจต้องการมีบุคลิกภาพที่อบอุ่นและให้การสนับสนุน
3️⃣ #สร้างGuideline สำหรับ Tone of Voice (Create a Tone of Voice Guideline) กำหนดหลักการในการใช้คำศัพท์ ประโยค และรูปแบบการสื่อสารในแอปพลิเคชัน (Do / Don’t) เช่น การใช้คำสั่งที่ชัดเจน การหลีกเลี่ยงคำที่ซับซ้อน และการใช้ภาษาในรูปแบบที่สอดคล้องกัน
#ตัวอย่าง: แอปพลิเคชันธนาคารอาจใช้ภาษาที่เป็นทางการและชัดเจน ขณะที่แอปพลิเคชันด้านฟิตเนสอาจใช้ภาษาที่เป็นกันเองและสร้างแรงบันดาลใจ
🔥เพื่อให้เห็นภาพยิ่งขึ้น จะยกตัวอย่าง Tone of voice ของ 2 บริการที่มีความแตกต่างกันมาให้ดูเป็นตัวอย่างคร่าวๆนะครับ
🚕 แอปบริการเรียกรถ Taxi 🚕
ตัวอย่าง Tone of Voice สำหรับแอปให้บริการแท็กซี่สามารถมีหลายแบบตามภาพลักษณ์ของแบรนด์หรือกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ เช่น
#เป็นกันเองและสะดวกสบาย
ตัวอย่าง > "ต้องการเดินทาง? แค่เปิดแอปเรา แล้วเลือกรถที่คุณต้องการได้เลย สะดวก ปลอดภัย และสบายใจได้ทุกเที่ยว!"
#เรียบง่ายและมั่นใจได้
ตัวอย่าง > "เพียงแค่ไม่กี่คลิก รถแท็กซี่ของเราจะอยู่ตรงหน้าคุณ พร้อมที่จะพาคุณไปทุกที่ ปลอดภัยแน่นอน!"
#หรูหราและพรีเมียม
ตัวอย่าง > "ขึ้นรถกับบริการแท็กซี่ระดับพรีเมียมที่คุณคู่ควร เรามอบประสบการณ์การเดินทางที่เหนือระดับ ให้คุณรู้สึกพิเศษในทุก ๆ ครั้ง"
#เน้นความปลอดภัยและการดูแล
ตัวอย่าง > "เรื่องการเดินทางให้เราดูแลคุณ ทุกการเดินทางมีความปลอดภัยสูงสุด และเราพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง"
#สดใสและทันสมัย
ตัวอย่าง > "เส้นทางของคุณคือเป้าหมายของเรา ใช้แอปเราวันนี้ เดินทางสะดวกสบายในทันที พร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้คุณตื่นเต้นทุกครั้งที่ใช้"
🍜ตัวอย่าง Tone of Voice สำหรับแอปสั่งอาหาร 🍜
ตัวอย่าง Tone of Voice สำหรับแอปให้บริการสั่งอาหารสามารถมีหลายแบบตามภาพลักษณ์ของแบรนด์หรือกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ เช่น
#เป็นกันเองและสนุกสนาน
ตัวอย่าง > "หิวหรือยัง? สั่งอาหารกับเราง่ายสุด ๆ แค่ไม่กี่คลิก แล้วรอรับความอร่อยถึงหน้าบ้านได้เลย! ลุยกัน!"
#เรียบง่ายและตรงไปตรงมา
ตัวอย่าง > "แค่เลือกเมนูที่คุณชอบ เราจัดส่งให้ถึงที่ภายในเวลาอันรวดเร็ว ทานให้อร่อยนะครับ/ค่ะ!"
#หรูหราและพรีเมียม
ตัวอย่าง > "พบกับประสบการณ์การสั่งอาหารระดับพรีเมียม ที่คุณจะไม่ลืม. เราคัดสรรเมนูอย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบความอร่อยให้คุณ."
#เน้นสุขภาพและความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ตัวอย่าง > "หิวได้ แต่สุขภาพต้องมาก่อน เลือกเมนูอาหารสุขภาพที่ส่งตรงถึงคุณแล้ว ลองเลย!"
#ก้าวร้าวหรือแหวกแนว
ตัวอย่าง > "เบื่ออาหารเดิม ๆ ไหม? มาลองอะไรใหม่กับเราได้ทุกวัน! อย่ารอช้า สั่งเลย!"
📱ตัวอย่างการใช้งาน Tone of Voice ในแอปพลิเคชัน 📱
#ข้อความต้อนรับ (Welcome Messages) ใช้ภาษาที่อบอุ่นและเป็นมิตร เช่น "ยินดีต้อนรับสู่แอปของเรา! เรามีอะไรสนุก ๆ รอคุณอยู่"
#คำแนะนำและการแจ้งเตือน (Instructions and Notifications) ใช้ภาษาที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา เช่น "อย่าลืมอัปเดตโปรไฟล์ของคุณเพื่อประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด"
#ข้อความแสดงข้อผิดพลาด (Error Messages) ใช้ภาษาที่เป็นมิตรและให้คำแนะนำในการแก้ไข เช่น
"โอ๊ะ! ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดพลาด ลองใหม่อีกครั้งหรือขอความช่วยเหลือจากเรา"
💡Tone of voice ในแต่ละแบบให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน สามารถดึงดูดลูกค้าตามกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน อยากให้ลูกค้าและผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่นรู้จักเราในแบบใหน หรืออยากสื่อสารอย่างไรกับผู้ใช้งานของเรา การสร้าง Tone of Voice จึงเป็นสิ่งที่เราต้องกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกๆของการออกแบบครับ
🎯การเลือกใช้คำ รูปประโยคและใช้น้ำเสียงที่เหมาะสมในแอปพลิเคชันจะช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกถึงความเอาใจใส่และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่ประสบการณ์การใช้งานที่ดีและความพึงพอใจของผู้ใช้ในระยะยาว
❤️แบรนด์ที่ใช้ Tone of voice ที่เหมาะสมจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพิ่มความน่าเชื่อถือ และกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อหรือใช้งานของเราเพิ่มมากขึ้นได้ครับ
หากชอบ Content แบบนี้อย่าลืมกดแชร์ กด Like หรือ กดติดตาม NLAB ไว้ได้เลยนะครับ
จะหาอะไรหนุกๆมาแชร์ มาเล่าให้ฟังบ่อยๆเลยคร้าบบบบ

www.narenrit.com

Design Thinking เป็นกระบวนการแก้ปัญหาที่มุ่งเน้นไปที่การเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งานหรือลูกค้า และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม...
14/06/2024

Design Thinking เป็นกระบวนการแก้ปัญหาที่มุ่งเน้นไปที่การเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งานหรือลูกค้า และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจน อาทิ การเข้าใจปัญหา (Empathize), การกำหนดปัญหา (Define), การสร้างไอเดีย (Ideate), การสร้างต้นแบบ (Prototype), และการทดสอบ (Test)
ในปี 2009 AirBnB อยู่ในสภาวะใกล้ล้มละลาย เช่นเดียวกับสตาร์ทอัพอีกหลายๆ แห่งในยุคนั้น ในขณะนั้น AirBnB มีรายได้ไม่ถึงสัปดาห์ละ 200 ยูโรด้วยซ้ำ ทำให้ผู้ก่อตั้งทั้งสามคนเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามที่จะแก้ไขมันโดยใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด 🔥
Joe Gebbia หนึ่งในผู้ก่อตั้ง AirBnB ยอมทิ้งการเรียนคอมพิวเตอร์เพื่อไปสมัครเรียนที่ Rhode Island School of Design เพราะเขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับวิธีการคิดแบบ Design thinking ว่า "ต้องเอาตัวเองไปไว้ในรองเท้าของลูกค้า เพื่อหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ" หลังจากเข้าศึกษาอย่างจริงจัง เขาเริ่มนำแนวคิดต่างๆมาสู่ทีมและพัฒนา AirBnB ทีละน้อย จนเริ่มเห็นแนวโน้มที่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ📝
🔎 Design Thinking ประกอบไปด้วย
1️⃣ การเข้าใจปัญหา (Empathize)
ในการเริ่มต้น Airbnb ผู้ก่อตั้งได้พยายามเข้าใจความต้องการของผู้ใช้โดยตรง พวกเขาได้ใช้เวลาพูดคุยกับลูกค้า ทั้งผู้ที่ให้เช่าห้องและผู้ที่มาพัก เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการที่แท้จริง พวกเขาได้ลองเป็นเจ้าของบ้านพักและผู้เข้าพักด้วยตัวเอง เพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์จริง ๆ ของทั้งสองฝ่าย
2️⃣ การกำหนดปัญหา (Define)
หลังจากเข้าใจความต้องการของผู้ใช้ ผู้ก่อตั้งได้ระบุปัญหาหลักที่ผู้ใช้ประสบอยู่ อาทิเช่น ปัญหาของเจ้าของบ้านที่ไม่รู้ว่าจะถ่ายภาพบ้านอย่างไรให้ดึงดูดลูกค้า หรือปัญหาของผู้เข้าพักที่ไม่รู้ว่าจะหาแหล่งที่พักที่ดีและเชื่อถือได้จากที่ไหน เพราะรูปไม่น่าเชื่อถือและไม่กล้าที่จะจอง
3️⃣ การสร้างไอเดีย (Ideate)
เมื่อระบุปัญหาแล้ว Airbnb ได้ใช้กระบวนการระดมสมองเพื่อสร้างแนวคิดและวิธีแก้ไขต่าง ๆ พวกเขาคิดวิธีการต่าง ๆ ที่จะทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้ดีขึ้น เช่น การจัดทำแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้งานง่าย การให้บริการถ่ายภาพบ้านพักให้เจ้าของที่พักแบบฟรีๆ เพื่อช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถดึงดูดลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
4️⃣ การสร้างต้นแบบ (Prototype)
หลังจากที่ได้ไอเดียแล้ว พวกเขาได้สร้างต้นแบบของแพลตฟอร์มและบริการต่าง ๆ โดยมีการพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อทดลองใช้กับกลุ่มผู้ใช้ในวงจำกัดก่อน
5️⃣ การทดสอบ (Test)
เมื่อสร้างต้นแบบแล้ว Airbnb ได้ทำการทดสอบและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้จริง พวกเขานำผลการทดสอบมาปรับปรุงและพัฒนาแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง จนได้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดีที่สุด 🥳
🔥 #ตัวอย่างความสำเร็จของ Airbnb จากการคิดแบบ Design Thinking
หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จของ Airbnb ที่เกิดจากการใช้ Design Thinking คือการถ่ายภาพบ้านพักที่ให้เช่า เดิมทีเจ้าของบ้านมักจะถ่ายภาพบ้านของตนด้วยกล้องจากสมาร์ทโฟน ทำให้ภาพที่ได้ไม่ดึงดูดผู้เข้าพักมากนัก Airbnb จึงได้คิดและจัดหาช่างภาพมืออาชีพไปถ่ายภาพบ้านพักให้ฟรี ผลที่ได้คือ ภาพที่ดูสวยงามและมีคุณภาพสูงขึ้น ทำให้มีผู้เข้าพักสนใจและจองห้องพักมากขึ้นเป็นเท่าตัวในเวลาอันรวดเร็ว
จากกระบวนการเหล่านี้จะเห็นได้ว่า Design Thinking มีส่วนสำคัญในการช่วยให้ Airbnb สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้ให้บริการและลูกค้าของพวกเขามากขึ้น และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับทั้งเจ้าของบ้านและผู้เข้าพัก
Joe Gebbia เชื่อว่าการพูดคุยกับลูกค้าและพยายามเข้าใจความต้องการของลูกค้า มีความสำคัญมาก และเขาขอให้ทีมของเขาคิดในแบบที่ลูกค้าคิด!
พนักงานใหม่ทุกคนที่เข้ามาใน AirBnB สัปดาห์แรกต้องออกไปพบลูกค้า และพูดคุยกับลูกค้าเพื่อหาปัญหาให้เยอะที่สุดแล้วบันทึกมันไว้ สิ่งนี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้พนักงานได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้างจากนั้นจึงกลับมาคิดและหา Solution เพื่อแก้ไขมัน
หนึ่งในนักออกแบบของ AirBnB เล่าให้ฟังว่าตอนที่เค้ากำลังพูดคุยถามปัญหาต่างๆจากลูกค้าอยู่นั้น ลูกค้าก็เล่าขึ้นมาเองว่า “การให้คะแนนด้วยดาวที่ให้กับที่พัก มันดูเย็นชาเกินไป”
หลังจากการพูดคุยกับลูกค้า เค้าใช้เวลาหนึ่งวันในการตัดสินใจและออกแบบใหม่โดยเปลี่ยนจากรูปดาว ⭐️ ให้เป็นรูปหัวใจ ❤️แทน
เพราะเชื่อว่าหัวใจจะสร้างความรู้สึกที่ลึกซึ้งได้มากกว่า 🥰
การปรับเพียงเล็กน้อยนี้แทบจะไม่ได้ใช้เงินเลย แต่กลับส่งผลให้ AirBnB มีผู้คนมาให้คะแนนที่พักเพิ่มขึ้นกว่า 30% และ AirBnB ได้พัฒนาจากการทำเงินเพียง 200 ยูโรต่อสัปดาห์ ไปสู่การปฏิวัติการท่องเที่ยวทั่วโลก และมีรูปภาพสวยๆจากที่พักต่างๆมากกว่า 1,500,000 ชิ้นใน 192 ประเทศ และ 34,000 เมือง มีจำนวนผู้พักมากกว่า 40 ล้านคนในปี 2015 🚀
นี่เป็นเพียง 1 ตัวอย่างที่นำมาเล่าให้ฟังสั้นๆ ว่าการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) มีความสำคัญอย่างไร และมีวิธีการทำอย่างไรบ้าง หากเพื่อนๆลองนำกลับไปทำแล้วได้ผลอย่างไร กลับมาเล่าสู่กันฟังด้วยน้าาาา 🙂
ถ้าชอบ Content แบบนี้อย่าลืมกดแชร์ กด Like หรือ กดติดตาม NLAB ไว้ได้เลยนะครับ จะหาอะไรหนุกๆมาแชร์ มาเล่าให้ฟังบ่อยๆเลยคร้าบบบบ

www.narenrit.com

เป็นที่ทราบกันดีว่าชาว UX/UI designer มากกว่า 90% นิยมใช้โปรแกรม Figma ในการออกแบบ Application หรือ Website กันอยู่แล้ว ...
10/06/2024

เป็นที่ทราบกันดีว่าชาว UX/UI designer มากกว่า 90% นิยมใช้โปรแกรม Figma ในการออกแบบ Application หรือ Website กันอยู่แล้ว เนื่องด้วยโปรแกรมค่อนข้างใช้งานง่าย มีฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อ designer และ developer โดยเฉพาะ และที่สำคัญยังทำพร้อมๆกันได้หลายคนแบบ Real-time ด้วย ❤️
🚀วันนี้ NLAB จึงขอแนะนำ Plugins เจ๋งๆ ที่จะช่วยให้เพื่อนๆลดเวลาในการทำงานได้ 10X กันเลยทีเดียวแถมยังใช้ ฟรี!!! ด้วยนะ ไปดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างงงงงง
1️⃣
วิธีใช้: หลังจากติดตั้ง เปิด Content Reel จาก Plugins > Content Reel จากนั้นเลือกประเภทของเนื้อหาที่ต้องการ เช่น ข้อความ รูปภาพ หรือไอคอน และลากมาวางในดีไซน์ของคุณ
ข้อดี: ช่วยให้การเพิ่มเนื้อหาตัวอย่างในดีไซน์เป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว
https://www.figma.com/community/plugin/731627216655469013/content-reel
2️⃣
วิธีใช้: เปิด Unsplash จาก Plugins > Unsplash ค้นหาภาพที่ต้องการแล้วคลิกเพื่อแทรกลงในดีไซน์
ข้อดี: สามารถค้นหาและเพิ่มภาพสวย ๆ จากคลังภาพฟรีของ Unsplash ได้ทันที
https://www.figma.com/community/plugin/738454987945972471/unsplash
3️⃣
วิธีใช้: เปิด Remove BG จาก Plugins > Remove BG เลือกรูปที่ต้องการลบพื้นหลังแล้วคลิก Remove Background
ข้อดี: ช่วยลบพื้นหลังของรูปภาพได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
https://www.figma.com/community/plugin/738992712906748191/remove-bg
4️⃣
วิธีใช้: เปิด Figmotion จาก Plugins > Figmotion แล้วใช้เครื่องมือในการสร้างแอนิเมชั่นต่างๆ
ข้อดี: ช่วยให้การสร้างแอนิเมชั่นใน Figma เป็นไปอย่างง่ายดายและสะดวกสุดๆ
https://www.figma.com/community/plugin/733025261168520714/figmotion
5️⃣
วิธีใช้: เปิด Blush จาก Plugins > Blush เลือกและปรับแต่งอิลลัสเตรชันที่ต้องการแล้วแทรกลงในดีไซน์
ข้อดี: คลัง illustrations สวย ๆ เพียบบบบ แถมปรับแต่งได้ตามต้องการ
https://www.figma.com/community/plugin/838959511417581040/blush
6️⃣
วิธีใช้: เปิด Iconify จาก Plugins > Iconify ค้นหาไอคอนที่ต้องการแล้วลากมาวางในดีไซน์
ข้อดี: คลังไอคอนขนาดใหญ่ที่สามารถค้นหาและใช้งานได้ทันที
https://www.figma.com/community/plugin/735098390272716381/iconify
7️⃣
วิธีใช้: เปิด Stark จาก Plugins > Stark เลือกเครื่องมือที่ต้องการใช้งาน เช่น Contrast Checker หรือ Colorblind Simulator
ข้อดี: ช่วยตรวจสอบดีไซน์ เช่น การตรวจสอบความคมชัดของสี และ ฯลฯ
https://www.figma.com/community/plugin/732603254453395948/stark-contrast-accessibility-checker
8️⃣
วิธีใช้: เปิด Autoflow จาก Plugins > Autoflow แล้วเลือกสององค์ประกอบในดีไซน์ที่ต้องการเชื่อมต่อกัน ระบบจะสร้างเส้นเชื่อมให้อัตโนมัติ
ข้อดี: ช่วยโยงเส้นเชื่อมต่อระหว่างหน้าจอต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย (แต่น้องจะดื้อเป็นบางครั้ง)
https://www.figma.com/community/plugin/733902567457592893/autoflow
9️⃣
วิธีใช้: เปิด Lorem Ipsum จาก Plugins > Lorem Ipsum เลือกพื้นที่ที่ต้องการใส่ข้อความแล้วเลือกจำนวนคำหรือย่อหน้าที่ต้องการ
ข้อดี: ช่วยเพิ่มข้อความตัวอย่างในดีไซน์ ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์เอง
https://www.figma.com/community/plugin/736000994034548392/lorem-ipsum
🔟
วิธีใช้: เปิด Wireframe จาก Plugins > Wireframe เลือกเทมเพลตหรือองค์ประกอบที่ต้องการแล้วแทรกลงในดีไซน์
ข้อดี: มีเทมเพลตที่เอาไว้สร้าง wireframe มากมาย หลากหลายมากกกก
https://www.figma.com/community/plugin/742764242781786818/wireframe
#วิธีการติดตั้ง Plugin ใน Figma
👨🏻‍💻เปิด Figma แล้วคลิกที่ Explore Community ที่เมนูด้านซ้าย
🔎พิมพ์ชื่อ Plugin ที่ต้องการในช่องค้นหา
✅คลิกที่ Plugin แล้วคลิก Run, Install
การใช้ Plug-ins จะช่วยทำให้เราลดเวลาในการออกแบบได้เยอะมากครับ ยังมี Plug-ins ที่น่าสนใจและมีประโยชน์อีกเพียบเลย ถ้าเพื่อนๆเจอตัวใหนเด็ดๆ อย่าลืมเอามาแนะนำด้วยน้าาาาา
หากชอบ Content แบบนี้อย่าลืมกดแชร์ กด Like หรือ กดติดตาม NLAB ไว้ได้เลยนะครับ
จะหาอะไรหนุกๆมาแชร์ มาเล่าให้ฟังบ่อยๆเลยคร้าบบบบ 🥳


www.narenrit.com

การทำ   เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงความต้องการ และปัญหาของผู้ใช้งาน(User) ในการใช้ผลิตภัณฑ์ หรือบริการต่างๆขอ...
09/06/2024

การทำ เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงความต้องการ และปัญหาของผู้ใช้งาน(User) ในการใช้ผลิตภัณฑ์ หรือบริการต่างๆของเรามากยิ่งขึ้น
เพราะฉนั้นการออกแบบคำถามที่เหมาะสม และการสร้างบรรยากาศที่ดีในการสัมภาษณ์จึงเป็นส่วนสำคัญมากๆ ที่ทีมจะต้องหมั่นฝึกฝนและขัดเกลาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้คำถามและคำตอบที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้มีประสิทธิภาพและแก้ไขปัญหาที่ถูกจุดมากยิ่งขึ้นครับ
🚀 10 ขั้นตอนในการทำ User interview ให้มีประสิทธิภาพ
1️⃣ เริ่มต้นด้วยการสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง โดยแนะนำตัวของผู้สัมภาษณ์ แล้วถามคำถามที่ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกสบายๆ เช่น
"สวัสดีครับ/ค่ะ ขอบคุณที่มาร่วมสัมภาษณ์กับเราในวันนี้นะคะ สามารถบอกเล่าเกี่ยวกับตัวคุณได้มั้ย?"
2️⃣ ชวนคุยและใช้คำถามปลายเปิด โดยให้ผู้ใช้งานพูดออกมาเอง ไม่ใช่คำถามที่ตอบได้แค่ "ใช่" หรือ "ไม่" เท่านั้น เช่น
"สิ่งที่คุณรู้สึกสะดวกและไม่สะดวกในการใช้ผลิตภัณฑ์ของเราคืออะไรบ้าง?"
3️⃣ คำแนะนำฟีเจอร์หรือผลิตภัณฑ์ที่คุณสร้างและขอความคิดเห็นเกี่ยวกับมัน เช่น
"คุณคิดว่าการใช้แอพพลิเคชั่นของเรามีประโยชน์ยังไงบ้าง? หรือฟีเจอร์ที่เพิ่งออกมาใหม่ใช้แล้วเป็นอย่างไร?"
4️⃣ ถามเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้งานหรือการแก้ไขปัญหา ของผู้ใช้ เช่น
"เมื่อคุณเกิดปัญหาในการใช้งานผลิตภัณฑ์ คุณทำอย่างไรเพื่อแก้ไขมัน?"
5️⃣ ถามเกี่ยวกับความคาดหวังของผู้ใช้งานที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของคุณ เช่น
"คุณคาดหวังสิ่งใดจากผลิตภัณฑ์ของเราที่ยังไม่มีในปัจจุบัน?"
6️⃣ ถามเกี่ยวกับการใช้งานที่ผู้ใช้งานใช้เป็นประจำ เช่น
"คุณใช้ผลิตภัณฑ์ของเราในชีวิตประจำวันของคุณอย่างไรบ้าง?"
7️⃣ ถามเกี่ยวกับความพึงพอใจของผู้ใช้งานต่อผลิตภัณฑ์ของคุณ เช่น
"คุณรู้สึกพึงพอใจมากน้อยแค่ไหนกับผลิตภัณฑ์ของเรา?"
8️⃣ ถามเกี่ยวกับความพึงพอใจหรือการแก้ไขของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ผู้ใช้งานเคยใช้
เพื่อให้คุณเข้าใจความชอบและไม่ชอบของพวกเขา เช่น
"คุณเคยใช้ผลิตภัณฑ์แบรนด์อื่น ในส่วนไหนที่คุณคิดว่ามันดีกว่าผลิตภัณฑ์ของเรา?"
9️⃣ ถามเกี่ยวกับความคาดหวังของผู้ใช้งานในอนาคต เพื่อช่วยให้คุณวางแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณให้เหมาะสม เช่น
"คุณคาดหวังสิ่งใดจากเราในอนาคต ที่ยังไม่มีในปัจจุบัน?"
🔟 สรุปด้วยการถามปลายเปิดให้ผู้ใช้งานพูดออกมาอีกครั้งเพื่อให้พูดเพิ่มถึงปัญหาหรือความต้องการอื่นๆ ที่อาจจะไม่ได้ถูกพูดในส่วนอื่น เช่น
"มีอะไรบางอย่างที่คุณต้องการให้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเราไหม?"
การใช้เทคนิคการตั้งคำถามเหล่านี้จะช่วยให้การทำ User interview ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานของคุณให้ข้อมูลที่มีค่าและสะท้อนความต้องการและปัญหาของพวกเขาอย่างถูกต้องและตรงใจที่สุด.
. การหมั่นฝึกฝนตั้งคำถามและการสร้างบรรยากาศในการพูดคุยให้รู้สึกผ่อนคลาย มีส่วนสำคัญมากๆ ที่จะช่วยให้เราได้คำตอบที่ลึกและมีประโยชน์ต่อสินค้าหรือบริการของเรามากยิ่งขึ้นได้ครับ
อย่าลืมฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ และออกไปสนุกกับการทำ User interview กันนะครับ

www.narenrit.com

วันนี้มาแนะนำเกมสนุกๆที่เอาไว้เล่นเพลินๆ และฝึกฝนการเป็นนักออกแบบไปในตัวด้วยจะมีเกมอะไรบ้างไปลองดูกันเล้ยยยยยย1. KERNTYP...
08/06/2024

วันนี้มาแนะนำเกมสนุกๆที่เอาไว้เล่นเพลินๆ และฝึกฝนการเป็นนักออกแบบไปในตัวด้วย
จะมีเกมอะไรบ้างไปลองดูกันเล้ยยยยยย
1. KERNTYPE
เป็นเกมที่เอาไว้จัด Padding (ระยะห่าง) ระหว่างตัวอักษรในคำต่างๆ ซึ่งสามารถให้เราฝึกฝนสายตาอันเฉียบคมของเรา เพื่อการออกแบบที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ลองเข้าไปเล่นที่ —> https://type.method.ac
2. it's centered that
เกมทดสอบสายตาแบบโหดๆ วิธีการเล่นคือตอบคำถามว่าจุดที่เห็นในภาพ อยู่ตรงกลางของ Object หรือไม่? มีให้เลือกแค่ Yes/No เท่านั้น เหมือนจะง่าย แต่บอกเลยไม่ง่ายยยยยยย
ลองเข้าไปเล่นที่ —> https://www.supremo.co.uk/designers-eye/
3. Shape type
เกมฝึกปรับ Vector เหมาะกับสาย Craft icon หรือปรับ Object ต่างๆในงาน UX/UI คนมีพื้นฐานเป็น Graphic designer มาก่อนอาจจะรู้สึกอีซี่กับเกมนี้ แต่สำหรับ UX เพรียวๆอาจจะไม่ค่อยอีซี่เท่าไหร่เด้อ
ลองเข้าไปเล่นที่ —> https://shape.method.ac
4. Foneyfonts
เกมทดสอบความรู้รอบตัวในงานออกแบบ มาลองดูกันว่าเราแน่แค่ใหนนนนนน
ลองเข้าไปเล่นที่ —> https://www.supremo.co.uk/foney-fonts/
5. Figma ninja
อันนี้จะไม่เชิงเป็นเกมซะทีเดียวครับ แต่จะเป็น Tools ที่เอาไว้ฝนฝนสกิลการใช้โปรแกรม Figma ให้เราเก่งขึ้นแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว โดยส่วนตัวแนะนำให้เพื่อนๆที่ใช้โปรแกรม figma ในการทำงานเป็นประจำอยู่แล้ว ลองมาเล่นอันนี้ดูนะครับสุดมากๆ
ลองเข้าไปเล่นที่ —> https://www.designer.tips/practices/figma-ninja-chapter-1-figma
Open on Figma —> https://www.figma.com/community/file/769694576496801916
เป็นอย่างไรบ้างครับ ชอบเกมใหนกันบ้างมา Comment แลกเปลี่ยน หรือมาอวดคะแนนกันได้เลยน้าาาาา
หากชอบ Content แบบนี้อย่าลืมกดแชร์ กด Like หรือ กดติดตาม NLAB ไว้ได้เลยนะครับ
จะหาอะไรหนุกๆมาแชร์ มาเล่าให้ฟังบ่อยๆเลยคร้าบบบบ

www.narenrit.com

หลายๆคนอาจจะคุ้นเคย หรือผ่านตากับคำว่า User Persona มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อยเนอะวันนี้เลยมาชวนคุยว่า เอ….เจ้า User Persona...
07/06/2024

หลายๆคนอาจจะคุ้นเคย หรือผ่านตากับคำว่า User Persona มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อยเนอะ
วันนี้เลยมาชวนคุยว่า เอ….เจ้า User Persona เนี้ยมันยังมีความสำคัญอยู่มั้ย และมันมีวิธีการคิดและสร้างขึ้นมาอย่างไร?
เอาล่ะ, เรามาพูดถึงข้อดีของการสร้าง User Persona ในงาน UX กันก่อนดีกว่าว่ามันมีความสำคัญอย่างไรบ้างงงง
.
1️⃣ ช่วยให้ทีมเห็นภาพ, เข้าใจความต้องการ, แรงจูงใจ, และพฤติกรรมต่างๆของ Target User ได้อย่างแท้จริงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การออกแบบตรงกับสิ่งที่ User ต้องการมากขึ้น
2️⃣ ด้วยการมี User Persona เป็นตัวแทนของ Target user จึงทำให้ทีมสามารถมุ่งเน้นการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการและแก้ปัญหาของผู้ใช้ได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
3️⃣ ช่วยให้ทุกคนในทีมเห็นภาพรวมของ Target user ที่ชัดเจนและตรงกัน ทำให้การสื่อสารและการตัดสินใจเป็นไปอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น
4️⃣ สามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการทดสอบการออกแบบและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับผู้ใช้จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ในแต่ละผลิตภัณฑ์หรือบริการ อาจมี User Persona มากกว่า 1 คนก็ได้ )
5️⃣ หลายครั้งการใช้ที่มี User Persona ทำให้ทีมสามารถออกแบบปรับเปลี่ยนหรือ สร้างประสบการณ์ในการใช้งาน (UX) ที่ดีและตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผู้ใช้รู้สึกพึงพอใจและมีประสบการณ์ที่ดีกับผลิตภัณฑ์หรือบริการมากยิ่งขึ้น
#การสร้าง User Persona จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่จะช่วยออกแบบและพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นเครื่องมือที่เอาไว้สื่อสารภายในทีมได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกัน ว่าสิ่งที่ออกแบบหรือแก้ไขนี้เพื่อเป้าหมายอะไรด้วยครับ 🙂🚀
#วิธีการทำ 📝
เนื้องจาก User persona คือตัวแทนของกลุ่มเป้าหมายของเรา ฉนั้นอาจจะต้องตั้งต้นด้วยข้อมูลจริงที่เรามีโดยอิงจากจำนวน Target User ส่วนใหญ่มากำหนดไว้ก่อน เช่น
😁 ตั้งชื่อให้ persona และระบุข้อมูลพื้นฐาน เช่น อายุ เพศ อาชีพ
👨🏻‍💻 รายได้ การศึกษา และที่อยู่อาศัย
🎯 เป้าหมายหลักของ persona ในการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ
💡 สิ่งที่ผลักดันให้ persona ใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ
🔥 /Pain Points ปัญหาหรือความท้าทายที่ persona เผชิญอยู่
🧗🏻‍♂️ and Attitudes พฤติกรรมการใช้งานและทัศนคติที่มีต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการ
#สำคัญ อย่าลืมหารูปบุลคลตัวอย่างมาแปะใน persona ด้วยนะครับ ทุกคนจะได้ อ๋อ!!! เห็นภาพชัดยิ่งขึ้นครับผม 😁
⭐️ ก่อนจะนำไปใช้จริงอาจจะลองออกแบบมาสัก 1-3 ตัวอย่าง แล้วคุยกันในทีมเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันว่ามีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง จะได้ปรับแก้และเป็นข้อตกลงร่วมกัน ก่อนนำไปใช้จริงนะครับ 🙂


www.narenrit.com

โปรแกรมออกแบบสำหรับ UX/UI designer ในปัจจุบันมีค่อนข้างหลากหลายโปรแกรมมากๆซึ่งการเลือกใช้จะขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย เช่...
05/06/2024

โปรแกรมออกแบบสำหรับ UX/UI designer ในปัจจุบันมีค่อนข้างหลากหลายโปรแกรมมากๆ
ซึ่งการเลือกใช้จะขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย เช่น ความถนัดของผู้ใช้, งบประมาณ, ระบบปฏิบัติการ (Mac, Windows) หรือฟีเจอร์ที่โดดเด่นแตกต่างกัน
วันนี้ NLAB ขอรวบรวมโปรแกรมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบันมาเล่าให้ฟังว่า แต่ละโปรแกรมมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร คุณสมบัติของแต่ละโปรแกรมมีความโดดเด่นแตกต่างกันแบบใหน และสุดท้ายเราจะเลือกใช้โปรแกรมใหนให้เหมาะสมกับงานที่ทำมากที่สุด
1️⃣
💎คุณสมบัติเด่น:
Vector Editing: เครื่องมือสำหรับการวาดและแก้ไขภาพเวกเตอร์
Symbols: ออกแบบและสร้างองค์ประกอบต่าง ๆ
Prototyping: ใช้สร้าง Clickable prototype
Plugins: รองรับปลั๊กอินจากภายนอกเพื่อเพิ่มความสามารถต่างๆ
💻แพลตฟอร์ม: macOS
https://www.sketch.com/
2️⃣
💎คุณสมบัติเด่น:
Collaboration: การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ สามารถแชร์โปรเจคและแก้ไขพร้อมกันได้ (online)
Prototyping: สร้างต้นแบบอินเตอร์แอคทีฟได้ง่ายและรวดเร็ว
Components: การสร้างองค์ประกอบที่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้
Design Systems: การจัดการสไตล์และองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อความสอดคล้องกันทั้ง Project
💻แพลตฟอร์ม: Web-based (ใช้งานได้ทั้ง Windows และ macOS)
https://www.figma.com/
3️⃣ XD
💎คุณสมบัติเด่น:
Prototyping: สร้างต้นแบบและทดสอบการใช้งานได้อย่างง่ายดาย
Auto-Animate: สร้างภาพเคลื่อนไหวระหว่างอาร์ตบอร์ดได้ง่าย
Repeat Grid: การสร้างและจัดการเลย์เอาต์ซ้ำๆ ได้อย่างรวดเร็ว
Plugins: มีปลั๊กอินที่เพิ่มความสามารถได้หลากหลาย
แพลตฟอร์ม: Windows และ macOS
https://www.youtube.com/watch?v=CsPQd2FUcVo
4️⃣ Studio
💎คุณสมบัติเด่น:
Screen Design: การออกแบบหน้าจอได้อย่างยืดหยุ่นและรวดเร็ว
Prototyping: สร้างต้นแบบที่สามารถกดใช้งานได้จริง เหมาะกับการทำ Clickable prototype อย่างไวๆ
Animation: การสร้างแอนิเมชั่นที่ซับซ้อนได้อย่างง่ายดาย
Collaboration: แชร์และทำงานร่วมกันในทีมได้สะดวกมาก
💻แพลตฟอร์ม: macOS
https://www.invisionapp.com/
5️⃣ RP
💎คุณสมบัติเด่น:
Prototyping: สร้างต้นแบบที่มีการอินเตอร์แอคทีฟสูง (เหมือนแอปจริง)
Documentation: การสร้างเอกสารและรายละเอียดของโปรเจค
Flow Diagrams: สร้าง wireframe และไดอะแกรมง่ายๆ
Dynamic Content: รองรับการสร้างเนื้อหาแบบหลากหลาย
💻แพลตฟอร์ม: Windows และ macOS
https://www.axure.com/
6️⃣
💎คุณสมบัติเด่น:
Interactive Design: การออกแบบที่มีความอินเตอร์แอคทีฟสูง(เสมือนแอปจริง)
Prototyping: สร้างต้นแบบที่สามารถใช้งานได้จริง
Animation: การสร้างแอนิเมชั่นที่มีความซับซ้อนได้
Code: สามารถเพิ่มโค้ดเพื่อปรับแต่งต้นแบบได้อย่างละเอียด
💻แพลตฟอร์ม: Web-based
https://www.framer.com/developers/
#สรุป
โปรแกรมที่กล่าวมาทั้งหมดมีคุณสมบัติและความสามารถที่แตกต่างกัน การเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับความต้องการของนักออกแบบและทีมงาน รวมถึงสไตล์และขั้นตอนการทำงานของเราและทีมด้วยนะครับ
ในแต่ละโปรแกรมจะมีเวอร์ชั่นให้ทดลองใช้งาน ลองโหลดมาใช้งาน มาฝึกๆเล่นๆ ลองดูว่าเราใช้แล้วชอบมั้ย และเหมาะกับทีมหรือเปล่าก่อนตัดสินใจซื้อลองดูว่าโปรแกรมที่เราชอบนี้มี Community ที่เอาไว้พูดคุยแลกเปลี่ยนหรือถามปัญหากันมั้ย เวลามีคำถามอะไร จะได้มีผู้คนมากมายคอยช่วยตอบคำถามหรือแลกเปลี่ยนกันได้ครับผม 🙂

www.narenrit.com

  เป็นกระบวนการที่สำคัญในการเข้าใจผู้ใช้ (User) เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหา (Pain point) ของพ...
04/06/2024

เป็นกระบวนการที่สำคัญในการเข้าใจผู้ใช้ (User)
เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหา (Pain point) ของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วันนี้เลยอยากจะมาแนะนำขั้นตอนและวิธีการทำ และการวัดผลของการทำ User Research แบบคร่าวๆกันครับ 🥳
📝 #ขั้นตอนการทำ User Research ประกอบไปด้วย ⤵️
1️⃣ #กำหนดวัตถุประสงค์ (Define Objectives)
ระบุวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าคุณต้องการทราบอะไรจากผู้ใช้ เช่น ความพึงพอใจ ปัญหาในการใช้งาน หรือความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองที่ดี?
2️⃣ #เลือกวิธีการ (Choose Research Methods)
วิธีการในการทำ User research มีหลายรูปแบบ ให้เลือกที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ เช่น
💡 #แบบสอบถาม (Surveys): สำหรับเก็บข้อมูลที่เน้นปริมาณมาก (quantity)จากผู้ใช้หลายๆ คน
💡 #สัมภาษณ์ (Interviews): สำหรับข้อมูลเชิงลึกจากการสนทนาโดยตรงกับผู้ใช้
💡 #การสังเกตการณ์ (Observation): สังเกตดูการใช้งานของ User ในสถานการณ์จริง
💡 #การทดสอบการใช้งาน (Usability Testing): ให้ User ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จริงๆหรืออาจจะแค่ตัว Prototype แล้วทำการบันทึกข้อสังเกตต่างๆ
3️⃣ #เก็บข้อมูล (Collect Data)
เก็บข้อมูลที่ได้มาอย่างเป็นระบบ เช่น การบันทึกเสียง การถ่ายภาพ หรือการจดบันทึก
4️⃣ #วิเคราะห์ข้อมูล (Analyze Data)
💡รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ เพื่อหาแนวโน้ม รูปแบบ หรือปัญหาที่เกิดขึ้น
💡ใช้เครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆเช่นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) และการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis)
5️⃣ #สร้างPersona และ Journey Map (Create Personas and Journey Maps)
💡สร้าง Persona ที่เป็นตัวแทนของผู้ใช้เป้าหมาย (User target) และ Journey Map เพื่อเข้าใจประสบการณ์ของผู้ใช้ในแต่ละขั้นตอน
6️⃣ #สรุปผลและนำเสนอ (Summarize and Present Findings)
สรุปผลการวิจัยและนำเสนอข้อมูลให้ทีมหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับรู้และนำไปใช้ในการออกแบบต่อไป ..................................
🕵🏻‍♂️ #การวัดผลของ User Research ประกอบไปด้วย 👇🏻
1️⃣ #วัดความพึงพอใจ (Measure Satisfaction)
ใช้แบบสอบถามความพึงพอใจ (Satisfaction Surveys) หรือ Net Promoter Score (NPS) เพื่อวัดผลว่าผู้ใช้มีความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์อย่างไรบ้าง
2️⃣ #วัดการใช้งาน (Measure Usability)
ใช้การทดสอบการใช้งาน (Usability Testing) เพื่อวัดว่าใช้งานง่ายแค่ไหน โดยใช้เกณฑ์เช่น ความเร็วในการใช้งาน (Efficiency) ความสำเร็จของการใช้งาน (Effectiveness) และความพึงพอใจ (Satisfaction)
3️⃣ #วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Analysis)
วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถาม การบันทึกการใช้งาน หรือข้อมูลจากระบบ เช่น อัตราการคลิก (Click-through Rate) อัตราการ Drop-off ต่างๆ
4️⃣ #วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis)
วิเคราะห์ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้ใช้งาน เพื่อหาแนวโน้มและประเด็นสำคัญซึ่งจะนำมาถึงการคิด Solution หรือหาวิธีแก้ปัญหากันต่อไป
5️⃣ #เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmarking)
เปรียบเทียบผลลัพธ์กับเกณฑ์มาตรฐานหรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อดูว่าผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับใด
❤️การทำ User Research ที่ดีและการวัดผลที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงเป้ามากยิ่งขึ้นครับ 🙂🚀
ไว้จะมาเล่าแบบลงรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนว่าใช้ Tools อะไรบ้าง หรือเริ่มทำอย่างไร แบบจับมือทำอีกทีนะครับ #ฝากติดตามด้วยนะคร้าบบบบ
หากมีอะไรอยากแนะนำ หรือสอบถามเพิ่มเติมสามารถ Comment ไว้ได้เลยนะครับ ยินดีรับฟังและตอบคำถามทุกๆ Comment เลยครับ และสุดท้ายขอขอบคุณที่สละเวลาเข้ามาอ่านกันนะคร้าบ ❤️


www.narenrit.com

ที่อยู่

Bangkok
10310

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ NLABผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์