29/09/2025
ซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจ พบปชช.กว่า 83% กลัวปัญหาศก.ทั้งความไม่มั่นคงของรายได้ เงินไม่พอใช้ หนี้พุ่ง
เมื่อวันที่ 28 กันยายน ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง ความหวัง กับ ความกลัว ในสภาวะเศรษฐกิจซบเซา จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวน 1,069 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 23 – 27 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา พบว่าคนไทยกำลังเผชิญความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่าง ความหวัง และ ความกลัว ซึ่งสะท้อนสภาวะสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่เปราะบาง แต่ก็ยังแฝงด้วยพลังใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า
ความหวังของคนไทย
ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนยังคงมีความหวังสำคัญอยู่หลายประการ โดยร้อยละ 67.4 คาดหวังอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวและความมั่นคงของเศรษฐกิจ สะท้อนความต้องการให้รายได้และค่าครองชีพกลับเข้าสู่สมดุล ขณะที่ร้อยละ 59.2 มีความหวังต่อการได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย ปราศจากอาชญากรรมและภัยสังคม การปฏิรูปการเมืองที่มีเสถียรภาพ โปร่งใส และสามารถลดความขัดแย้ง กลายเป็นความหวังของประชาชนร้อยละ 53.8 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าคนไทยยังฝากอนาคตไว้กับโครงสร้างการเมืองที่มั่นคง
ในอีกมิติหนึ่ง ความหวังต่ออนาคตของครอบครัวและเยาวชนปรากฏที่ร้อยละ 43.7 สะท้อนความฝันที่จะเห็นเด็กรุ่นใหม่เติบโตในสภาพสังคมที่ดีกว่าเดิม ขณะที่ร้อยละ 40.9 เชื่อมั่นต่อการปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ซึ่งบ่งชี้ว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยกำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่จะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นพลังสร้างสรรค์
ความกลัวของคนไทย
เมื่อเปลี่ยนมองอีกด้าน พบว่าความกลัวยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญในชีวิตประจำวัน ร้อยละ 83.9 ของคนไทยยอมรับว่ากลัวปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นความไม่มั่นคงของรายได้ การไม่มีเงินพอใช้ หรือหนี้สินที่สะสม ร้อยละ 67.4 กังวลต่อความไม่ปลอดภัยทั้งในที่ทำงาน บนท้องถนน และภัยจากยาเสพติด ขณะที่ร้อยละ 59.1 กลัวภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ดินถล่ม หรือถนนทรุด ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและจับต้องได้
ในมิติการเมือง ร้อยละ 44.5 กลัวการเปลี่ยนรัฐบาลและความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจกลับมาสั่นคลอนเสถียรภาพอีกครั้ง ส่วนร้อยละ 43.6 มีความกังวลต่อโรคระบาดและปัญหาสุขภาพ ซึ่งยังคงเป็นเงื่อนไขความไม่แน่นอนในชีวิตคนไทยยุคปัจจุบัน
พลังใจและการต่อสู้
แม้จะเผชิญทั้งความหวังและความกลัว ผลการสำรวจชี้ให้เห็นพลังใจอันแข็งแกร่งของคนไทย โดยถึงร้อยละ 94.2 ระบุว่าจะ “สู้ชีวิตต่อไป” ในขณะที่มีเพียงร้อยละ 5.8 ที่รู้สึกอยาก “ถอยหลัง” หรือยอมแพ้ต่อปัญหา
ตัวเลขนี้สะท้อนว่าสังคมไทยยังคงมีทุนทางใจและความยืดหยุ่น (resilience) ที่จะรับมือกับวิกฤต แม้ในสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา
ดร.นพดลกล่าวว่า เมื่อนำความหวังและความกลัวมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ว่าคนไทยต่างก็ “หวัง” ในสิ่งเดียวกับที่ “กลัว” นั่นคือ เศรษฐกิจและความปลอดภัย เศรษฐกิจถูกมองว่าเป็นทั้งจุดเปราะบางที่สุดและความหวังสูงสุด ขณะที่ความปลอดภัยก็เป็นทั้งความคาดหวังและความวิตกที่ดำเนินคู่กันไป การเมืองเองแม้จะเต็มไปด้วยความกลัวต่อความไม่มั่นคง แต่ก็ยังคงเป็นความหวังที่จะได้เห็นการปฏิรูปที่โปร่งใสและลดความขัดแย้งได้จริง
เมื่อมองในเชิงสังคมศาสตร์ ผลสำรวจนี้ชี้ให้เห็นว่า คนไทยกำลังเติบโตมากับการมองโลกแบบสองด้าน ด้านหนึ่งคือความไม่มั่นใจในปัญหาที่จับต้องได้ แต่อีกด้านคือความเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงและการต่อสู้สามารถทำให้อนาคตดีกว่าเดิม ความกลัวอาจสะท้อนความจริงที่ต้องเผชิญ แต่ความหวังสะท้อนพลังจินตนาการและศักยภาพของสังคมที่จะก้าวข้ามอุปสรรคไปได้
“กล่าวโดยสรุป แม้คนไทยจะมีความกลัวมากมาย โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ร้อยละ 83.9 ของประชาชนยอมรับว่าเป็นปัญหาหนักที่สุด แต่ความหวังยังคงปรากฏในระดับสูงถึงร้อยละ 67.4 ในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และที่สำคัญที่สุดคือ คนไทยถึงร้อยละ 94.2 ยังเลือกที่จะ “สู้ชีวิตต่อไป” ซึ่งสะท้อนถึงพลังใจที่สังคมไทยต้องรักษาไว้ สำหรับคนไทยที่กำลังมองหาความหมายของอนาคต ข้อค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ความกลัวจะยังมีอยู่ แต่ความหวังและพลังใจยังคงมีน้ำหนักมากกว่า และนี่คือสิ่งที่สังคมและภาครัฐควรต่อยอด ด้วยการปฏิรูปการเมืองทำการเมืองใหม่แท้จริง เปลี่ยนความหวังให้กลายเป็นจริง และเปลี่ยนความกลัวให้เป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างนโยบายที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของประชาชน” ผศ.ดร.นพดลกล่าว
#วันนี้เพื่อไทยทำอะไร