Buriram News แอดมินกลุ่มข่าวสารเมืองบุรีรัมย์

07/07/2025

🇹🇭 ขอมไม่ใช่เขมร – อารยธรรมไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของรัฐชาติ

เมื่อใดก็ตามที่มีข้อพิพาทเรื่องโบราณสถานระหว่างไทยกับกัมพูชา มักมีคำกล่าวหนึ่งที่เขมรหยิบมาใช้เสมอ:

> “ปราสาทขอมต้องเป็นของเขมร เพราะขอมคือบรรพบุรุษของกัมพูชา”

คำพูดนี้ฟังดูหนักแน่น แต่เมื่อย้อนกลับไปดู “กาลเวลา” และ “ฐานรากของอารยธรรม” จะเห็นชัดว่า ไม่สามารถเอา “ขอม” ซึ่งเป็นอารยธรรมร่วมภูมิภาค มาอ้างว่าเป็นสมบัติของรัฐชาติหนึ่งโดยเฉพาะได้

---

🏛️ ขอม: อารยธรรมร่วมของลุ่มน้ำโขง

อารยธรรมขอม หรือ Khom Empire เริ่มต้นราว พุทธศตวรรษที่ 14–18 (ค.ศ. 800–1400) โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพระนคร (นครวัด–นครธม) แต่แผ่อิทธิพลไปทั่วทั้ง ลุ่มน้ำโขง–เจ้าพระยา และปริมณฑล

ศิลปกรรมขอมปรากฏทั้งในกัมพูชา ไทย ลาว เวียดนาม และแม้แต่ในพม่า

> ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง — ขอมคือ “อารยธรรมเหนือพรมแดนรัฐชาติ” ที่เชื่อมโยงคนหลายเผ่าพันธุ์เข้าไว้ด้วยกัน

---

🧬 ไทยไม่ได้แยกขาดจากขอม — ไทยกลั่นกรองขอมจนกลายเป็นตนเอง

ก่อนจะมีชาติไทย ชาติสยาม หรือราชอาณาจักรสุโขทัย สิ่งที่อยู่ในพื้นที่ไทยคืออารยธรรมที่ถูกถักทอไว้แล้วหลายชั้น ได้แก่:

ศรีเทพ (พุทธศตวรรษที่ 11–14) อารยธรรมดั้งเดิมของลุ่มเจ้าพระยาตอนบน มีรากอินเดีย–ขอม

ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12–16) ในภาคกลาง — สะท้อนการรับพุทธศาสนาแบบมหายานผสมพราหมณ์ มีวัฒนธรรมร่วมกับขอม

ละโว้–ลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 15–18) ถูกอิทธิพลขอมครอบคลุมโดยตรงจนกลายเป็นรัฐแบบขอมย่อส่วน ทั้งการวางผังเมือง ปราสาทหิน และอักษรจารึก

สิ่งเหล่านี้กลั่นกรองขึ้นมาเป็น “แก่นกลางของอารยธรรมไทยยุคแรก” ก่อนที่สุโขทัยจะดึงสิ่งเหล่านี้ไปปรุงเป็นความเป็น “ไทย” ที่เรารู้จักในภายหลัง

> ขอมจึงไม่ใช่ “ของนอก” สำหรับไทย แต่คือ “เส้นเลือดสายหนึ่ง” ของร่างประวัติศาสตร์ไทย

---

🇰🇭 เขมร: รัฐใหม่ ไม่ใช่เจ้าของอารยธรรม

กัมพูชาในฐานะ “รัฐชาติ” เพิ่งเกิดขึ้นหลังปี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) เมื่อได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส หลังจากตกเป็นอาณานิคมมากว่า 90 ปี

แม้จะอ้างว่าเป็นทายาทอารยธรรมขอม แต่ความเป็น “รัฐ” ของกัมพูชาไม่ได้สืบต่อโดยตรงจากจักรวรรดิขอมโบราณ หากแต่ผ่านยุคล่มสลาย–สงคราม–ลัทธิล่าอาณานิคมมาก่อน

> เพราะฉะนั้น การอ้างว่า “ขอมคือเขมร” หรือ “มรดกขอมเป็นของกัมพูชา” จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงเชิงประวัติศาสตร์ หากแต่เป็น “วาทกรรมชาตินิยม” ที่สร้างขึ้นภายหลัง

---

⚖️ ถ้าเขมรมีสิทธิ — ไทย ลาว เวียดนาม ก็ควรมีสิทธิด้วย

โบราณสถานขอมในไทยมีมากกว่า 100 แห่ง เช่น พนมรุ้ง เมืองต่ำ ศีขรภูมิ ตาเมือนธม ศรีเทพ และลพบุรี ต่างมีรากทางขอมอย่างชัดเจน

ลาวก็มีปราสาทวัดพู
เวียดนามมีร่องรอยขอมทางใต้
ทุกประเทศมีสิทธิในเชิง “มรดกร่วม” ไม่ใช่ของใครคนใดคนเดียว

> ถ้าจะถือว่า “มรดกขอม = สมบัติของรัฐกัมพูชา” ก็ต้องยอมให้ประเทศอื่นอ้างสิทธิตามหลักเดียวกันด้วย

---

📌 ข้อสรุปจากกาลเวลา

อารยธรรม ช่วงเวลาโดยประมาณ ความสัมพันธ์กับไทย

ศรีเทพ พ.ศ. 1100–1400 จุดเริ่มเมืองรัฐในลุ่มเจ้าพระยา มีอิทธิพลขอม
ทวารวดี พ.ศ. 1200–1600 วัฒนธรรมอินเดีย–ขอม–พุทธ
ละโว้ พ.ศ. 1400–1800 เมืองสำคัญของขอมในลุ่มเจ้าพระยา
ขอม (นครวัด) พ.ศ. 1300–1800 ศิลปะขยายมายังสุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว ศรีสะเกษ ฯลฯ
กัมพูชา (รัฐชาติ) พ.ศ. 2496 – ปัจจุบัน รัฐใหม่หลังพ้นฝรั่งเศส ไม่ได้สืบสิทธิขอมโดยตรง

---

🇹🇭 ขอมไม่ใช่ของใคร — ขอมเป็นของภูมิภาค

ถ้าจะเคารพประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง ต้องยอมรับว่า “อารยธรรม” ไม่ใช่ “สมบัติส่วนตัวของรัฐชาติ”

> ไทยไม่ได้แย่งขอมจากเขมร — เพราะ ขอมก็อยู่ในร่างของความเป็นไทยตั้งแต่ต้นแล้ว

และถ้าจะพูดให้แฟร์ — เขมรก็ไม่ควรแย่งขอมจากไทยเหมือนกัน

รอๆๆๆ
07/07/2025

รอๆๆๆ

บุรีรัมย์วุ่น! วัสดุทำบัตรประชาชนหมด เจ้าหน้าที่บอกไม่รู้มาวันไหน รอมหาดไทยส่งให้ ยังไม่มีกำหนด ชาวบ้านเดือดร้อนเดินทางมาเก้อ

01/07/2025
28/06/2025
"ท่านสม รังสี"อดีตฝ่ายค้านกัมพูชา ปัจจุบันลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศส
28/06/2025

"ท่านสม รังสี"อดีตฝ่ายค้านกัมพูชา ปัจจุบันลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศส

ហ៊ុន សែន ខឹងថៃច្រឡោតតោតតូង មិនមែនដោយសារគាត់ស្រលាញ់ជាតិទេ តែដោយសារគាត់ភ័យខ្លាចពីការដួលរលុំរបបគាត់ ដែលរស់ដោយសារការផ្តល់លុយរាប់ពាន់លានដុល្លារ ពីក្រុមឧក្រិដ្ឋកម្មអន្តរជាតិ ដឹកនាំដោយចោរម៉ាហ្វីយ៉ា (Mafia) ចិន ដែលធ្វើសកម្មភាពនៅតាមដងព្រំប្រទល់ដែនកម្ពុជា-ថៃ។
អាជ្ញាធរថៃ បានសម្រេចកម្ទេចក្រុមចោរម៉ាហ្វីយ៉ាទាំងនោះ ដែលចិញ្ចឹមរបប ហ៊ុន សែន។ រឿងនេះហើយ ដែលធ្វើឲ្យ ហ៊ុន សែន ព្រួយបារម្ភយ៉ាងខ្លាំង ហើយខឹងច្រឡោតតោតតូង ដាក់ថៃ។
ជនក្បត់ជាតិ ហ៊ុន សែន មិនដែលគិតពីជាតិទេ។ គាត់ធ្វើអ្វីក៏ធ្វើដែរ ឲ្យតែបានក្រាញអំណាច។ គាត់បានកាត់ទឹកដីខ្មែរយើងខាងកើត ឲ្យទៅបរទេស ដែលបានលើកបន្តុបគាត់ធ្វើជាមេដឹកនាំអាយ៉ង។ បើស្រលាញ់ជាតិមែន ត្រូវស្រលាញ់ ទាំងខាងលិច ទាំងខាងកើត។ មិនត្រូវបើកភ្នែកតែមួយ មើលតែខាងលិចទេ។ ត្រូវបើកភ្នែកមួយទៀត មើលខាងកើតផង។

16/06/2025
🇰🇭กัมพูชาเด็กรุ่นใหม่ๆเขาไม่เอาตระกูลนี้(ได้ยินจากปากคนงานเขมรที่บริษัท)
15/06/2025

🇰🇭กัมพูชาเด็กรุ่นใหม่ๆเขาไม่เอาตระกูลนี้(ได้ยินจากปากคนงานเขมรที่บริษัท)

15/06/2025

[ กสทช. มีไว้ทำไม? สิ่งที่ควรทำกลับไม่ทำ หลัง 3 ปีควบรวมทรู-ดีแทค ]
ผ่านไปแล้ว 3 ปีหลังจากบอร์ด กสทช. มีมติ “รับทราบ” ให้มีการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค ท่ามกลางเสียงสะท้อนความกังวลของทุกภาคส่วนในสังคมไทย จากการที่ตลาดค่ายมือถือในประเทศไทยเป็นตลาดที่ผูกขาดอยู่แล้วระหว่าง 3 ค่าย มาบัดนี้เหลือ 2 ค่าย จะเอาอะไรมามั่นใจได้ว่าจะยังคงมีการแข่งขันกันอยู่
อย่างไรก็ตามบอร์ด กสทช. มิได้นำพาต่อเสียงคัดค้านกังวลของประชาชน และยังคงยืนยันให้ทั้งสองบริษัทสามารถควบรวมกิจการได้ แต่ก็แก้เกี้ยวเล็กน้อยด้วยการบอกว่าการควบรวมต้องเป็นไปตาม “เงื่อนไขเฉพาะเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค” โดยจะต้องมีมาตรการกำกับดูแลราคา คุณภาพ และการให้บริการ กล่าวคือ
๐ กำหนดเพดานราคาค่าบริการเฉลี่ยต้องลดลงอย่างน้อย 12%
๐ บริษัทที่ควบรวมต้องคงเงื่อนไขและผลประโยชน์ของผู้ใช้บริการเดิม
๐ กำหนดให้ทั้งสองแบรนด์ยังคงแยกกันเป็นเวลา 3 ปี เพื่อรักษาสภาพการแข่งขันในระดับแบรนด์
๐ จัดให้มีหน่วยธุรกิจเพื่อให้บริการโครงข่ายแก่ MVNO (กิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนโครงข่ายเสมือน) เพื่อส่งเสริมการแข่งขันของผู้เล่นรายย่อย
๐ ให้มีการติดตามตรวจสอบคุณภาพบริการและเป้าหมายการลงทุนโครงข่าย 5G
เงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้แม้ดูจะเป็นการดี แต่เมื่อสำรวจสภาพความเป็นจริงในทางปฏิบัติ เรากลับพบว่าผ่านไป 3 ปีหลังการควบรวมทรู-ดีแทค กสทช. ยังไม่ได้ดำเนินการตามมาตรการเหล่านี้อย่างจริงจังแม้แต่ข้อเดียว ทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจากการควบรวมคือ
๐ ประชาชนพบว่าค่าบริการแพงขึ้น
๐ มีรายงานยกเลิกโปรโมชันเก่าหรือบังคับเปลี่ยนแพ็กเกจใหม่
๐ การแยกแบรนด์แทบจะไม่มีผลต่อการแข่งขันที่แท้จริง
๐ เงื่อนไขส่งเสริม MVNO ยังคงไม่มีความชัดเจนในการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม
๐ ไม่มีการตรวจสอบโครงข่ายและการลงทุน 5G ประชาชนยังเจอปัญหาเน็ตล่มและสัญญาณคุณภาพแย่
3 ปีผ่านไป นอกจากเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในการควบรวมไม่ได้ถูกปฏิบัติจริงหรือส่งผลต่อการแข่งขันจริงแล้ว ในการประชุมบอร์ด กสทช. เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา ยังมีวาระที่กลุ่มทรู-ดีแทคขอลดเงื่อนไขมาตรการดังกล่าวลงอีก
แม้ท้ายที่สุดที่ประชุมวันนั้นยังไม่ได้พิจารณาวาระดังกล่าว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังสะท้อนว่าหากที่ผ่านมาเงื่อนไขต่างๆ ได้รับการปฏิบัติอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด คำร้องขอในการลดเงื่อนไขลงก็อาจพอเข้าใจได้ แต่ในเมื่อความเป็นจริงไม่มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ กสทช. กำหนดเอาไว้เลย การมาขอลดเงื่อนไขเหล่านี้ลงอีก ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล
ที่ผ่านมากรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาติดตามกรณีดังกล่าวเป็นการเฉพาะ และเชิญผู้แทน กสทช. มาชี้แจงหลายครั้ง สิ่งที่พบคือเงื่อนไขเฉพาะทุกข้อที่กำหนดไว้ ขาดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และมีความล่าช้ากว่าที่กำหนด เช่น
๐ เงื่อนไขราคาต้องลดลง 12% กสทช. ยังตกลงไม่ได้เลยว่าเกณฑ์ถ่วงน้ำหนักจะเป็นอย่างไร
๐ การตรวจสอบคุณภาพที่ระบุว่าต้องไม่แย่ลง กสทช. ไม่ได้ตรวจแบบเปรียบเทียบก่อนกับหลังควบรวม แต่ตรวจแบบผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ
๐ การจ้างที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบต้นทุนเอกชน ตกลงรายละเอียดกันภายใน กสทช. ได้ช้า และเมื่อออกเกณฑ์มาเอกชนก็ยังไม่ปฏิบัติตาม ทั้งที่กรณีนี้มีผลต่อการคิด Average Cost Pricing ซึ่งจะมีผลต่อการกำกับราคาและการส่งเสริมตลาด
มาวันนี้ กสทช. กลับมีแนวโน้มที่จะปรับปรุงเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะลงเสียอีก ทั้งที่สิ่งที่ กสทช. ควรทำคือการกลับไปดูมาตรการรายข้อว่าเอกชนทำจริงแค่ไหน ให้ผู้เชี่ยวชาญ ตัวแทนประชาชน และผู้บริโภคร่วมตรวจสอบ คาดโทษเอกชนอย่างจริงจังหากไม่สามารถปฏิบัติตามได้ และหากทำไม่ได้จริงก็ควรลงโทษ หรือกระทั่งพิจารณาทางเลือกเช่นในต่างประเทศ ที่ให้มีการแยกธุรกิจออกจากกัน
ตลาดค่ายโทรศัพท์มือถือของไทยทุกวันนี้เป็นตลาดที่ผู้บริโภคมีอำนาจต่อรองน้อยอยู่แล้ว อีกทั้งค่าใช้จ่ายด้านการสื่อสารและอินเตอร์เน็ตเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็น เป็นภาระค่าครองชีพที่ทุกคนต้องแบกรับในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลทุกวันนี้
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้คือต้นทุนของผู้ประกอบการ ต้นทุนในการทำมาหากินของประชาชนคนหาเช้ากินค่ำ การแสวงหาความรู้และข้อมูลที่จะเป็นต้นทุนในชีวิตหลายด้าน ดังนั้นหากไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจังในการกำกับควบคุม ย่อมกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทยเป็นอย่างมาก
ที่ผ่านมา กสทช. นอกจากจะไม่ปกป้องผู้บริโภคอย่างที่ควรเป็น ยังละเลยเพิกเฉยหน้าที่ของตัวเองโดยตรง เปิดทางให้ควบรวม ออกมาตรการเงื่อนไขมาแก้เกี้ยว พอถึงเวลาก็ปล่อยปละไม่ดูแล จะทำไม่ทำก็ช่าง มาวันนี้ยังจะอนุญาตให้ลดเงื่อนไขลงอีกอย่างนั้นหรือ?
แบบนี้ประเทศไทยจะมี กสทช. ไว้ทำไม?

08/06/2025

รถทุกคัน ลำเลียง ทรายขึ้นรถ ปลายทาง บุรีรัมย์ เพื่อเตรียมบังเกอร์ พร้อมตั้งรับทุกสถานการณ์ มูลนิธิ กันจอมพลัง ช่วยสู้ และfc จัดซื้อด่วน พร้อมขอส่งกำลังใจถึงรั้วของชาติ และประชาชนในพื้นที่

24/05/2025

อย่าลืมกดใช้เน็ตฟรีทรูกันเด้อ!หมดเขตวันนี้! #เยียวยาเน็ตลุ่ม *900*7164 #

28/02/2025

คุมกำเนิดทำลายมัสยิด โยนเข้าค่ายกักกัน ประวัติศาสตร์ขมขื่นที่จีนปฏิบัติต่ออุยกูร์
ชาวอุยกูร์เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เก่าแก่ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียกลางมาตั้งแต่ยุคโบราณ ปัจจุบันพวกเขาอาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของจีน ซึ่งเป็นดินแดนสำคัญในเส้นทางสายไหม ดินแดนนี้เคยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างตะวันออกและตะวันตก ส่งผลให้ชาวอุยกูร์เจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านวัฒนธรรม ศาสนา และเศรษฐกิจ การก่อตั้งอาณาจักรในช่วงศตวรรษที่ 8 และการเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในช่วงศตวรรษที่ 10 ทำให้พวกเขามีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเอเชียกลางมาอย่างยาวนาน
แต่ความรุ่งเรืองนี้ได้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลง เมื่อราชวงศ์ชิงของจีนเริ่มขยายอำนาจเข้าสู่ซินเจียงในช่วงศตวรรษที่ 18 ชาวอุยกูร์ต้องเผชิญกับการควบคุมจากจีนที่มีลักษณะของการกดขี่ทางวัฒนธรรมและการแทรกแซงทางการเมือง การปราบปรามกบฏ การตั้งนโยบายควบคุมภาษา วัฒนธรรม และศาสนาทำให้เกิดความขัดแย้งและความตึงเครียดในภูมิภาคนี้
นับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้นำนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นต่อชาวอุยกูร์ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการนับถือศาสนาอิสลาม การจำกัดการใช้ภาษาอุยกูร์ในระบบการศึกษา รวมถึงการส่งเสริมให้ชาวฮั่นอพยพเข้าสู่ซินเจียงอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ชาวอุยกูร์รู้สึกว่าถูกกีดกันจากนโยบายของรัฐ และนำไปสู่การต่อต้านและการประท้วง
การสร้าง "ค่ายปรับทัศนคติ" ในปี 2017 ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง มีรายงานว่าชาวอุยกูร์หลายแสนคนถูกกักขังในค่ายเหล่านี้ และต้องเผชิญกับการล้างสมอง การบังคับใช้แรงงาน และการทรมาน รัฐบาลจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยอ้างว่าค่ายดังกล่าวเป็นศูนย์ฝึกอาชีพเพื่อช่วยพัฒนาทักษะการทำงานและป้องกันแนวคิดหัวรุนแรง
ปัญหาชาวอุยกูร์ในซินเจียงได้รับความสนใจจากนานาชาติเป็นอย่างมาก หลายประเทศรวมถึงสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการคว่ำบาตรสินค้าจากจีนที่อาจเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานที่ถูกบังคับ นอกจากนี้ องค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งยังเรียกร้องให้รัฐบาลจีนหยุดการละเมิดสิทธิและยุติการเลือกปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์
#อุยกูร์ #ซินเจียง #สิทธิมนุษยชน #จีน #ประวัติศาสตร์จีน

“ติดตามข่าวสารที่จะจุดประกายความคิด ให้ความหวังกับผู้คนและสังคม ได้ที่สำนักข่าว SPRiNG”

ที่อยู่

Buriram

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Buriram Newsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์