บุรีรัมย์ไทยแลนด์

บุรีรัมย์ไทยแลนด์ แนะนำที่กิน ที่เที่ยว ในจังหวัดบุรีรัมย์ วิถีและวัฒนธรรม

บิ๊กอีเวนต์กลางกรุง! “บุรีรัมย์ มาราธอน 2026” แถลงใหญ่ฉลองทศวรรษแห่งความสำเร็จ คิกออฟแคมเปญสุดอลังการ พร้อมรางวัลจัดเต็ม...
15/07/2025

บิ๊กอีเวนต์กลางกรุง! “บุรีรัมย์ มาราธอน 2026” แถลงใหญ่ฉลองทศวรรษแห่งความสำเร็จ คิกออฟแคมเปญสุดอลังการ พร้อมรางวัลจัดเต็ม 10 ล้าน

กรุงเทพฯ – 15 กรกฎาคม 2568 : การแถลงข่าว "บุรีรัมย์ มาราธอน 2026 พรีเซนเต็ด บาย น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง" ภายใต้แนวคิด “สวรรค์ของนักวิ่ง” สร้างตำนานอีกครั้ง กับอีเวนต์พิเศษฉลองทศวรรษแห่งความสำเร็จสุดอลังการ กับการเปิดรับสมัคร On site ที่ One Bangkok ใจกลางกรุงเทพเป็นครั้งแรก และของรางวัลจัดเต็มมากกว่าทุกปี นับเป็นรายการวิ่งที่มีมูลค่ารางวัลรวมสูงที่สุดในประเทศไทย รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท

ทั้งนี้ “บุรีรัมย์มาราธอน 2026 พรีเซนเต็ด บาย น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง" จะจัดขึ้นในช่วงเย็นวันเสาร์ที่ 24 มกราคม 2569 ภายใต้แนวคิด Your Ultimate Destination สวรรค์ของนักวิ่ง ออกสตาร์ทจากสนามแข่งรถระดับโลก “ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต” และเข้าเส้นชัยที่สนามฟุตบอล ”ช้างอารีนา” แข่งขันทั้งสิ้น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะมาราธอน (42.195 กม.), ระยะฮาล์ฟมาราธอน (21.1 กม.), ระยะมินิมาราธอน (10 กม.), ระยะฟันรัน (4.554 กม.) หนึ่งในงานวิ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีนักวิ่งร่วมงานมากกว่า 3 หมื่นคน ต่อปี ได้รับการรับรองจากสหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติ (World Athletics) และมีการจัดงานเอ็กซ์โป เวลา 10.00-20.00 น. ขนทัพสินค้ากีฬาและสุขภาพเอาใจนักวิ่งปอดเหล็กจากทั่วโลกอีกด้วย

นางนิตยา เกิดจันทึก ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬาอาชีพ การกีฬาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา “บุรีรัมย์มาราธอน” คือตัวอย่างความสำเร็จของการพัฒนากีฬาวิ่งอย่างเป็นรูปธรรม น่าประทับใจในทุกมิติ ทั้งด้านคุณภาพของการแข่งขัน การบริหารจัดการมาตรฐานระดับโลก รวมทั้งเป็นต้นแบบการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่กล่าวได้ว่า เป็นหนึ่งในจังหวัดที่ประชาชน มีส่วนร่วมในการจัดมหกรรมกีฬามากที่สุด โดยการจัดงานยังช่วยยกระดับศักยภาพของเมืองบุรีรัมย์อย่างรอบด้าน กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมสุขภาพ สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ ‘กีฬา’ เป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาในระดับจังหวัดและระดับประเทศได้อย่างแท้จริง

พล.ต.ต.สุรพงษ์ อาริยะมงคล อุปนายกอาวุโสและเลขาธิการสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่า บุรีรัมย์มาราธอนเป็นตัวอย่างความสำเร็จของการจัดการแข่งขันวิ่งบนถนนที่มีมาตรฐานระดับสากลในประเทศไทย ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อทั้งวงการกีฬาและการท่องเที่ยว พร้อมแนะนำแนวทางการพัฒนางานวิ่งที่อยากให้ผู้จัดงานวิ่งในประเทศไทยตระหนัก เพื่อให้การจัดการแข่งขันวิ่งบนถนนในประเทศไทยมีมาตรฐานที่ดีอย่างต่อเนื่องและได้รับการยอมรับในระดับสากล อาทิ การขอรับรองมาตรฐานจากสมาคมกรีฑาฯ และขอการรับรองเส้นทางจาก World Athletics, การจัดระบบความปลอดภัยที่เข้มข้น, พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ด้านการจัดการแข่งขันอย่างมืออาชีพ สร้างมาตรฐานเดียวกันสำหรับงานวิ่งทุกรายการในประเทศ และส่งเสริมการวิ่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Running Event)

นายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า เมื่อสิบปีก่อน ไม่มีใครคาดคิดว่าเมืองเล็ก ๆ ในภาคอีสาน จะก้าวขึ้นมาเป็น Sport Destination ระดับโลกได้ กลายเป็นสถานที่จัดงานมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลก โมโตจีพี และงานวิ่งมาตรฐานระดับโลกอย่างบุรีรัมย์มาราธอน ทุกปีจังหวัดได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก สร้างเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจหลายพันล้านบาท งานวิ่งบุรีรัมย์มาราธอนได้กลายเป็นแรงผลักสำคัญในการเปลี่ยนโฉมเมือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เกิดจากความร่วมมือทั้งภาครัฐเอกชนและประชาชน โดยเฉพาะกองเชียร์และอาสาสมัครนับหมื่นคน ที่ดูแลและส่งกำลังใจนักวิ่งตลอดเส้นทาง จนได้รับการยกย่องว่าเป็นเทศกาลดนตรีที่ยาว 42.195 กิโลเมตร ถือเป็น Soft Power ที่ไม่มีที่ใดเหมือน

นายโชติชนก ชิดชอบ ผู้อำนวยการการแข่งขัน กล่าวถึงแนวคิดการพัฒนางานตลอด 10 ปี ว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากแค่การจัดงานปีละครั้ง แต่เกิดจากการทำงานหนักตลอด 365 วันของทุกปี โดยเราให้ความสำคัญกับเสียงของนักวิ่งทุกคน นำมาปรับปรุงให้ทุกครั้งดีขึ้นกว่าเดิม คำว่า “สวรรค์ของนักวิ่ง” ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกน แต่เป็นแนวคิดหลักในการทำงานทุกขั้นตอน เราเคยนำบุรีรัมย์มาราธอนไปสู่จุดสูงสุดด้วยมาตรฐานสากลในระดับ Gold Label ในปี 2024 ทั้งหมดเพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีที่สุดของนักวิ่งที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก ปัจจุบันนักวิ่งสามารถนำเวลาของรายการเราไป ต่อยอดสมัครรายการวิ่งระดับเมเจอร์ในโลกนี้ได้ทุกเรซ ส่วนการสนับสนุนนักวิ่งต่อยอดไปยังเมเจอร์ระดับโลกรายการโตเกียวมาราธอนที่จะเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 15 – 29 สิงหาคมนี้ เมื่อสมัครแล้วให้มารายงานตัวทางเพจบุรีรัมย์มาราธอนตามเวลาที่กำหนด ชาย 10 คน และหญิง 10 คนที่ทำเวลาดีที่สุดในระยะฟูลมาราธอน ซึ่งไม่ใช่ทีมชาติ ฝ่ายจัดฯ จะสนับสนุน ค่าสมัคร ค่าที่พักและค่าเดินทางเพื่อเป็นรางวัลพิเศษให้กับนักวิ่งได้สัมผัสงานวิ่งมาตรฐานระดับ Platinum Label

นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กล่าวถึงการเดินทางตลอด 10 ปี ของงานว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายหลายสิ่ง ทั้งจากวิ่งตอนเช้าเป็น Night Run, การเผชิญสถานการณ์โควิด-19, การพัฒนางานยกระดับจนได้รับการรับรองระดับเหรียญ Bronze, Sliver และ Gold ในปี 2024 รวมทั้งการตัดสินใจไม่ไปต่อในระดับ Platinum ในปี 2025 แต่หันมุ่งเน้นการตอบแทนและดูแลนักวิ่งเป็นหัวใจสำคัญเหนือทุกสิ่ง

“สวรรค์ของนักวิ่ง” ยังคงเป็นแนวทางในการรังสรรค์งาน โดยได้รับความร่วมมือจากพี่น้องชาวบุรีรัมย์ที่แสดงให้เห็นว่าเมืองเล็กๆ สามารถสร้างมาตรฐานโลกได้ด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่ และในโอกาสแห่งการเฉลิมฉลองในวาระ 1 ทศวรรษ นอกเหนือจากเงินรางวัล 1.65 ล้านบาท บุรีรัมย์มาราธอนปีนี้ จัดเต็มมอบของขวัญพิเศษและเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท

ความพิเศษฉลอง10 ปี ได้แก่ 1.นักวิ่งที่สมัคร On site ด้วยตนเองทุกคนจะได้รับถุงเท้าวิ่งรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น เวอร์ชันฉลอง 10 ปี มูลค่า 420 บาท และสิทธิ์ลุ้นทองคำ 1 สลึง 10 เส้น 2.นักวิ่งที่วิ่งต่อเนื่องครบ 10 ปีจะได้รับเหรียญ BRM Superfan 3.มอบ “หมวก BRM Sub 3 ลิมิเต็ด” สำหรับนักวิ่งระยะ Marathon Sub 3 ที่วิ่งภายในเวลาต่ำกว่า 3:00:00 ชม. 4. มอบ “ไอเท็มลับ ฉลอง 10 ปี” ให้กับนักวิ่งทุกคน (จัดส่งไปกับ Race pack)

นอกจากนี้บุรีรัมย์มาราธอนยังมอบเงินรางวัลพิเศษแบบจัดเต็มเช่นเคย มูลค่ารวม 1,300,000 บาท โดยจะสุ่มแจกให้กับนักวิ่งในทุกระยะ จำนวน 50 รางวัลต่อระยะ รวมทั้งหมด 200 รางวัล และบริการ “ภาพนักวิ่งฟรี” ในรูปแบบเรียลไทม์ ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ โดยปีนี้ยกระดับคุณภาพ และเพิ่มจำนวนของช่างภาพมากขึ้น , รางวัลพิเศษสำหรับนักวิ่งที่ทำ NEW PB จะได้รับคูปองหมูกระทะ 1 ชุด มูลค่า 250 บาท และยังมีของรางวัลจากผู้สนับสนุนอีกกว่า 100 รายการ

นายสุรพล อุทินทุ ผู้บริหารน้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง พันธมิตรหลักในฐานะไตเติ้ลสปอนเซอร์กล่าวว่า เพื่อตอกย้ำ ความมุ่งมั่นในการสนับสนุนมหกรรมการวิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไทยมาอย่างยาวนาน ในปี 2026 นี้ ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปี จะมีทั้งกิจกรรมและของรางวัลพิเศษสำหรับนักวิ่งเพิ่มขึ้นไม่แพ้ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีการเสริมกิจกรรม “เก็บ-กลับ-รีไซเคิล” โดย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล จำกัด หรือ TBR ร่วมกันคัดแยกขวดน้ำดื่มหลังการบริโภค ทิ้งลงถังที่จัดไว้ทั่วบริเวณงาน เพื่อนำกลับเข้าสู่กระบวนรีไซเคิลอย่างถูกวิธี เพื่อนำไปแปรรูปเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างงานวิ่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ภายในงานแถลงข่าว ยังมีการจัดนิทรรศการ 10 ปี บุรีรัมย์มาราธอน พร้อมกิจกรรมพิเศษมากมายได้แก่ เปิดรับสมัครแบบ On-Site ซึ่งได้รับความสนใจจากนักวิ่งขาแรงจากทั่วประเทศนับพันคน ร่วมสมัครและรับของที่ระลึกเป็นถุงเท้าวิ่งรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น เวอร์ชันฉลอง 10 ปี มูลค่า 420 บาท และสิทธิ์ลุ้นทองคำ 1 สลึง 10 เส้น

ทั้งนี้ ฝ่ายจัดการแข่งขัน กำหนดการเปิดรับสมัครแบบออนไลน์ ในวันที่ 19 กรกฎาคม สำหรับนักวิ่งเก่าและวันที่ 20 กรกฎาคม สำหรับนักวิ่งใหม่ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครได้ที่ แฟนเพจ Buriram Marathon

15/07/2025

ลดทั้งเมือง🎉ขอเชิญชวน มาค่ะ กิจกรรม ลดทั้งเมือง 
17-28 ก.ค 2568 ณ ทวีกิจซุปเปอร์เซ็นเตอร์ โดย 👉🏽 #สำนักงานพาณิชย์จังหวัดบุรีรัมย์
#สมาคมธุรกิจโรงแรมและที่พักจังหวัดบุรีรัมย์ #จังหวัดบุรีรัมย์ #สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ #สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์
👉🏽 #หอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์

วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 เวลา 9.30 น. ณ ห้องประชุมบุษยรัตน์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ได้ม...
14/07/2025

วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 เวลา 9.30 น. ณ ห้องประชุมบุษยรัตน์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ได้มีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “การเทียบเคียงการพัฒนาเมืองอย่างบูรณาการของจังหวัดอุบลราชธานีกับกลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการพัฒนาเมืองระหว่างจังหวัดสำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

เวทีเสวนาดังกล่าวได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาเมืองจาก 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ ประกอบด้วย
นางสาวพูนทรัพย์ เทพนคร ประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์
นายมงคล จุลทัศน์ ประธานอาวุโสหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี
นายชาญณรงค์ บุริสตระกูล อดีตประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่น
นายรัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ
นอกจากนี้ ยังมี นายวันปิยะ ภุมมะภูมิ ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงอุบลราชธานีที่ 1 ร่วมให้มุมมองด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม โดยมี อาจารย์นพภา พันธุ์เพ็ง ประธานมูลนิธิสื่อสร้างสุข ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ

การเสวนาครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือของศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้าจังหวัดอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมแนวคิด วิสัยทัศน์ และข้อเสนอแนะจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำไปสู่การวางยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดอุบลราชธานีและกลุ่มจังหวัดใกล้เคียงอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน

พระธาตุนาดูน ตั้งอยู่ที่บ้านนาดูน เขตอำเภอนาดูน จ.มหาสารคาม พระธาตุแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 8 มิถุนา...
14/07/2025

พระธาตุนาดูน ตั้งอยู่ที่บ้านนาดูน เขตอำเภอนาดูน จ.มหาสารคาม พระธาตุแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2522 ได้มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีตของนครจำปาศรี ซึ่งหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่ขุดพบคือ สถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในผอบสามชั้น โดยชั้นนอกสุดเป็นสำริด ชั้นกลางเป็นเงิน และชั้นในสุดเป็นทองคำ

ภายในชั้นในสุดมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ 1 องค์ มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาวขุ่นขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหักครึ่ง หล่อเลี้ยงไว้ด้วยน้ำมันจันทน์เมื่อเปิดออกมาจะมีกลิ่นหอมมาก สันนิษฐานว่าสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบนี้มีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 13 - 15 สมัยทวาราวดี หรือระหว่าง พ.ศ. 1000-1200

จากการค้นพบ ชาวจังหวัดมหาสารคามจึงได้พร้อมใจกันสร้างพระธาตุนาดูนขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ถาวร โดยพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดถูกบรรจุอยู่ในสถูปจำลอง ทำจากโลหะทรงกลม สูง 24.4 ซม. พระธาตุนาดูนสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2530 และมีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร (ในขณะนั้น) เสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นประดิษฐานไว้ในองค์พระธาตุนาดูน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2530

บริเวณรอบๆ พระธาตุมีศูนย์พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมจำปาศรีที่เก็บรักษาโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับอานาจักรจัมปาศรี สวนรุกขชาติ และสวนสมุนไพรที่มีบรรยากาศร่มรื่นสวยงาม โดยได้รับการตกแต่งให้เป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาบนเนื้อที่ราว 902 ไร่

ศาลเจ้าพ่อพนมรุ้ง
14/07/2025

ศาลเจ้าพ่อพนมรุ้ง

โบยบินอีกครั้ง ณ ถิ่นเดิม: เรื่องราวแห่งความหวังของ “กระเรียนคืนถิ่นบุรีรัมย์”ณ ดินแดนอีสานใต้ จังหวัดบุรีรัมย์ เรื่องรา...
14/07/2025

โบยบินอีกครั้ง ณ ถิ่นเดิม: เรื่องราวแห่งความหวังของ “กระเรียนคืนถิ่นบุรีรัมย์”
ณ ดินแดนอีสานใต้ จังหวัดบุรีรัมย์ เรื่องราวอันน่าภาคภูมิใจของการฟื้นคืนชีพสิ่งมีชีวิตที่เคยเลือนหายไปจากธรรมชาติได้ถูกจารึกไว้เป็นประจักษ์พยานแห่งความสำเร็จในการอนุรักษ์ นกกระเรียนพันธุ์ไทย สัตว์ปีกสง่างามที่เคยสูญพันธุ์ไปจากผืนแผ่นดินไทยนานกว่าครึ่งศตวรรษ ได้กลับมาโบยบินและขยายพันธุ์อีกครั้งในพื้นที่ชุ่มน้ำอันอุดมสมบูรณ์ของจังหวัดบุรีรัมย์ ภายใต้ “โครงการกระเรียนคืนถิ่น” ซึ่งเป็นความร่วมมือร่วมใจจากหลายภาคส่วนที่ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ

ย้อนกลับไปในอดีต นกกระเรียนพันธุ์ไทยเคยเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศในพื้นที่ลุ่มน้ำของประเทศไทย แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและการล่าอย่างหนัก ทำให้ประชากรนกกระเรียนลดลงอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไม่มีผู้ใดพบเห็นในธรรมชาติอีกเลยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์นี้กลับคืนมา องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้ริเริ่มโครงการเพาะขยายพันธุ์นกกระเรียนในกรงเลี้ยง จนประสบความสำเร็จและนำมาสู่การปล่อยนกกระเรียนคืนสู่ธรรมชาติครั้งแรกในปี พ.ศ. 2554 ณ พื้นที่ชุ่มน้ำของจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นบ้านหลังใหม่ที่เหมาะสมที่สุด

พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญสองแห่งของบุรีรัมย์ ได้แก่ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก และ อ่างเก็บน้ำสนามบิน ได้กลายเป็นหัวใจของโครงการ ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวย เป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่และมีพื้นที่ราบลุ่มโดยรอบซึ่งเหมาะแก่การดำรงชีวิตและขยายพันธุ์ของนกกระเรียน โครงการนี้มิได้เป็นเพียงการปล่อยนกให้กลับคืนสู่ป่า แต่เป็นการบูรณาการความร่วมมืออย่างรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชุมชนท้องถิ่น

ความสำเร็จของโครงการไม่ได้วัดจากจำนวนนกที่ถูกปล่อยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการที่นกสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและเริ่มขยายพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นภาพที่สร้างความปลื้มปีติให้แก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน นอกจากนี้ โครงการยังได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับชุมชน โดยส่งเสริมให้เกษตรกรรอบพื้นที่โครงการหันมาทำ “เกษตรอินทรีย์” เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยแก่นกกระเรียนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ความร่วมมือนี้ได้ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้ชื่อ “ข้าวสารัช” (SARUS RICE) ซึ่งมาจากชื่อสามัญของนกกระเรียน (Sarus Crane) เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและตอกย้ำถึงการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลระหว่างคนกับธรรมชาติ

ปัจจุบัน ฝูงนกกระเรียนที่สง่างามได้กลายเป็นภาพที่คุ้นตาในพื้นที่ชุ่มน้ำของบุรีรัมย์ นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจสามารถไปเยี่ยมชมและศึกษาเรียนรู้เรื่องราวของนกกระเรียนได้ที่ ศูนย์อนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและนกกระเรียนพันธุ์ไทย จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งเรียนรู้ แต่ยังเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงาม โดยเฉพาะในช่วงเช้าและเย็นที่จะได้เห็นภาพนกกระเรียนออกหากินและโบยบินกลับรัง

การกลับมาของนกกระเรียนพันธุ์ไทยที่บุรีรัมย์ จึงไม่ใช่เป็นเพียงความสำเร็จในการอนุรักษ์สัตว์ป่าหายากชนิดหนึ่ง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าหากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง มนุษย์และธรรมชาติก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน เรื่องราวของ “กระเรียนคืนถิ่นบุรีรัมย์” จะยังคงถูกเล่าขานต่อไป เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมให้คงอยู่คู่ผืนแผ่นดินไทยสืบไป

สวัสดีบุรีรัมย์
14/07/2025

สวัสดีบุรีรัมย์

13/07/2025

เดินไปพูดไป

13/07/2025

งดงามงานเทียนประโคนชัย

ท่ามกลางเสียงแคน ดนตรีกันตรึมที่เร่งเร้า และขบวนเทียนพรรษาอันวิจิตรตระการตาของอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ภาพของเหล่...
12/07/2025

ท่ามกลางเสียงแคน ดนตรีกันตรึมที่เร่งเร้า และขบวนเทียนพรรษาอันวิจิตรตระการตาของอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ภาพของเหล่ายุวทูตวัฒนธรรมตัวน้อย คือภาพจำอันสดใสที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนได้อย่างไม่รู้ลืม พวกเขาคือส่วนสำคัญที่ทำให้ประเพณี “หลอมเทียนรวมใจ ประโคนชัยเทียนศิลป์” เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและเป็นสะพานเชื่อมศรัทธาจากรุ่นสู่รุ่น

ในทุกๆ ปี ช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ถนนสายหลักในอำเภอประโคนชัยจะคึกคักเป็นพิเศษด้วยขบวนแห่เทียนจาก 6 คุ้มวัด อันได้แก่ วัดโคน, วัดกลาง, วัดจำปา, วัดแจ้ง, วัดโพธิ์ และวัดชัยมงคล แต่สิ่งที่แต่งแต้มสีสันให้ขบวนแห่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น คือริ้วขบวนของเด็กๆ จากโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมืออันแข็งแกร่งภายใต้แนวคิด “บ้าน วัด โรงเรียน” (บวร) ที่ปลูกฝังให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น

ท่วงท่าอ่อนช้อยในชุดพื้นเมืองอันวิจิตร

ภาพที่คุ้นตาที่สุดคือขบวนรำของเหล่านักเรียนหญิงจากโรงเรียนต่างๆ อาทิ โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม และโรงเรียนเมืองตลุงพิทยาสรรพ์ ซึ่งมักจะรับหน้าที่เป็นนางรำในขบวนของวัดต่างๆ เด็กหญิงในชุดผ้าซิ่นไหมพื้นเมืองสีสันสดใส สวมเสื้อแขนกระบอก ห่มสไบเฉียงอย่างงดงาม ผมเกล้ามวยประดับด้วยดอกไม้หรือเครื่องประดับศีรษะที่สะท้อนเอกลักษณ์อีสานใต้ ใบหน้าแม้จะอ่อนเยาว์ แต่แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและสมาธิในขณะที่เคลื่อนไหวร่ายรำไปตามจังหวะดนตรีอย่างพร้อมเพรียงและอ่อนช้อย

แต่ละโรงเรียนจะมีการออกแบบชุดและท่ารำที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง บางขบวนอาจมาในชุดสีทองอร่ามที่ได้แรงบันดาลใจจากนางอัปสรา สะท้อนอิทธิพลศิลปะขอมโบราณในพื้นที่ ในขณะที่บางขบวนเลือกใช้สีสันที่หลากหลาย สอดคล้องกับสีของธงวัดหรือสัญลักษณ์ของชุมชนนั้นๆ การได้รับคัดเลือกให้เป็นนางรำในขบวนถือเป็นความภาคภูมิใจของเด็กๆ และครอบครัว พวกเขาต้องใช้เวลาหลังเลิกเรียนในการฝึกซ้อมอย่างหนัก เพื่อให้การแสดงออกมางดงามสมเกียรติที่สุด

รอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะแห่งความสุข

นอกจากขบวนรำอันตระการตาแล้ว ยังมีเด็กๆ ทั้งชายและหญิงอีกมากมายที่เข้าร่วมในริ้วขบวน เด็กชายมักแต่งกายด้วยชุดม่อฮ่อมหรือเสื้อผ้าฝ้ายพื้นเมือง เดินถือธงทิว ธงวัด หรือพุ่มเทียนขนาดเล็ก บ้างก็เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงวิถีชีวิตชุมชน เช่น การจำลองการทำนา หรือการละเล่นพื้นบ้าน

ตลอดเส้นทางที่ขบวนเคลื่อนผ่าน เราจะได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่เดินโบกไม้โบกมือทักทายผู้ชมสองข้างทาง แม้ในบางปีสภาพอากาศจะไม่เป็นใจ มีสายฝนโปรยปรายลงมา แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความร่าเริงของพวกเขา ภาพเด็กน้อยในชุดกันฝนใสที่คลุมทับชุดรำ ยังคงยิ้มและร่ายรำต่อไปด้วยสปิริต คืออีกหนึ่งความน่ารักน่าเอ็นดูที่ปรากฏในงาน

สำหรับเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่ได้ร่วมในขบวนรำอย่างเป็นทางการ พวกเขามักจะจูงมือผู้ปกครองมาเดินเที่ยวชมงานด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใส มือหนึ่งถือขนม อีกมือหนึ่งอาจถือของเล่นที่ซื้อจากร้านค้าแผงลอยที่เรียงรายอยู่เต็มพื้นที่จัดงาน แววตาที่เบิกกว้างอย่างตื่นตาตื่นใจเมื่อได้เห็นต้นเทียนขนาดใหญ่ที่แกะสลักอย่างวิจิตรพิสดาร คือภาพสะท้อนของความทรงจำอันล้ำค่าในวัยเยาว์ ที่จะซึมซับและผูกพันกับประเพณีอันดีงามของบ้านเกิดไปโดยไม่รู้ตัว

การมีส่วนร่วมของเด็กๆ ในกิจกรรมแห่เทียนประโคนชัย จึงไม่ได้เป็นเพียงการแสดงเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่คือกระบวนการเรียนรู้และสืบทอดวัฒนธรรมที่มีชีวิต คือการส่งต่อศรัทธาในพระพุทธศาสนาและความภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเองจากรุ่นสู่รุ่น ก่อให้เกิดเป็นภาพจำอันงดงามที่ว่า...ประเพณีนี้จะยังคงสืบต่อไปอย่างยั่งยืนในหัวใจของชาวประโคนชัยทุกคน

พลังศรัทธาและรอยยิ้มเปี่ยมสุข: กำลังใจจากผู้ชมงานแห่เทียนประโคนชัย เสน่ห์วิถีและวัฒนธรรมที่ไม่จางหายท่ามกลางแสงแดดอันร้อ...
12/07/2025

พลังศรัทธาและรอยยิ้มเปี่ยมสุข: กำลังใจจากผู้ชมงานแห่เทียนประโคนชัย เสน่ห์วิถีและวัฒนธรรมที่ไม่จางหาย
ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุของดินแดนอีสานใต้ เสียงดนตรีพื้นบ้านที่เร่งเร้าผสานกับเสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วถนนสายหลักของอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ นี่คือสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของ “งานประเพณีแห่เทียนพรรษาประโคนชัย” มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่ไม่ได้เป็นเพียงขบวนแห่เทียนอันวิจิตรตระการตา แต่คือศูนย์รวมแห่งพลังศรัทธา ความสามัคคี และที่สำคัญคือ กำลังใจอันเปี่ยมล้นจากผู้ชม ที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมนต์เสน่ห์แห่งวิถีและวัฒนธรรมที่ไม่เคยจางหาย

บรรยากาศสองฟากฝั่งถนนที่ขบวนเทียนเคลื่อนผ่าน เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงปรบมือจากผู้ชมที่ยืนรออย่างเนืองแน่น ไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อยที่นั่งบนบ่าผู้เป็นพ่อ ชี้ชวนให้ดูความงดงามของต้นเทียนด้วยแววตาเป็นประกาย กลุ่มผู้สูงวัยที่ยกมือพนมไหว้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา หรือคนหนุ่มสาวที่ส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจคณะนางรำและผู้ร่วมขบวนอย่างไม่ขาดสาย ภาพเหล่านี้คือ “กำลังใจที่มองเห็นได้” เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ส่งตรงไปถึงช่างฝีมือและชาวชุมชนผู้ทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างสรรค์ผลงานพุทธศิลป์อันงดงาม

เสน่ห์แห่งวิถีวัฒนธรรมที่สะท้อนผ่านกำลังใจของผู้ชม

มนต์เสน่ห์ของงานแห่เทียนประโคนชัยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความสวยงามของต้นเทียนที่แกะสลักอย่างประณีตบรรจง ซึ่งเป็นฝีมือของช่างในท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่ยังอยู่ที่ “วิถีชีวิตและวัฒนธรรม” อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งผู้ชมสามารถสัมผัสได้อย่างใกล้ชิด

ความผูกพันของชุมชน “บ้าน วัด โรงเรียน”: กำลังใจจากผู้ชมไม่ได้มอบให้แค่ขบวนแห่ที่อยู่ตรงหน้า แต่ยังส่งไปถึงเบื้องหลังความสำเร็จ นั่นคือความร่วมมือร่วมใจของ “บ้าน วัด โรงเรียน” (บวร) ที่ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ตั้งแต่การหล่อเทียน การแกะสลักลวดลายที่ผสมผสานศิลปะไทยและขอมโบราณอย่างลงตัว ไปจนถึงการฝึกซ้อมขบวนรำและการแสดงต่างๆ เสียงชื่นชมจากผู้ชมจึงเปรียบเสมือนรางวัลอันยิ่งใหญ่สำหรับความสามัคคีของชุมชน

รอยยิ้มและไมตรีจิต: นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มและไมตรีจิตจากชาวประโคนชัย การสอบถามพูดคุยถึงที่มาของลวดลายบนต้นเทียน หรือการชี้ชวนให้ลิ้มลองอาหารพื้นถิ่นขึ้นชื่ออย่าง “กุ้งจ่อม” และ “หมูฮอง” ที่มีจำหน่ายตลอดเส้นทาง เป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่สร้างความประทับใจและก่อให้เกิดกำลังใจซึ่งกันและกัน

การมีส่วนร่วมอย่างมีชีวิตชีวา: ผู้ชมไม่ได้เป็นเพียงผู้เฝ้าดู แต่เป็นส่วนหนึ่งของงานประเพณีอย่างแท้จริง หลายคนแต่งกายด้วยผ้าไทย ผ้าพื้นเมือง เพื่อร่วมเป็นเกียรติแก่งาน บ้างก็ร่วมร่ายรำไปตามจังหวะดนตรีกันตรึมอย่างสนุกสนาน การแสดงออกอย่างมีชีวิตชีวานี้เองที่เติมเต็มให้บรรยากาศของงานเปี่ยมไปด้วยพลังและความสุข

ดังนั้น กำลังใจจากผู้ชมงานแห่เทียนประโคนชัยจึงไม่ใช่แค่เสียงเชียร์หรือเสียงปรบมือ แต่คือภาพสะท้อนของความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมท้องถิ่น และความผูกพันอันแน่นแฟ้นของคนในชุมชน เป็นพลังอันบริสุทธิ์ที่หล่อเลี้ยงให้ประเพณีอันดีงามนี้ยังคงมีชีวิตชีวาและสืบทอดต่อไปอย่างยั่งยืน สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้แก่ผู้ที่ได้มาเยือน สมกับเป็นหนึ่งในงานประเพณีแห่เทียนพรรษาที่ยิ่งใหญ่และมีเอกลักษณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย

ความงดงามตระการตาของงานประเพณีแห่เทียนพรรษาเมืองประโคนชัย ประจำปี 2568 ซึ่งจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 11 กรกฎาคม 256...
12/07/2025

ความงดงามตระการตาของงานประเพณีแห่เทียนพรรษาเมืองประโคนชัย ประจำปี 2568 ซึ่งจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 ณ บริเวณหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลประโคนชัย อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยในปีนี้ยังคงสืบสานเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า พร้อมนำเสนอความวิจิตรงดงามของขบวนเทียนพรรษาจากฝีมือช่างศิลป์พื้นบ้านที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันเข้าพรรษา จะเป็นหัวใจของงานเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 กรกฎาคม โดยไฮไลท์สำคัญคือขบวนแห่เทียนพรรษาอันยิ่งใหญ่ของ 6 คุ้มวัดในเขตเทศบาล ได้แก่ วัดโคน, วัดกลาง, วัดจำปา, วัดแจ้ง, วัดโพธิ์ และวัดชัยมงคล

นักท่องเที่ยวและประชาชนจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับต้นเทียนพรรษาที่ผ่านการแกะสลักอย่างประณีตบรรจง บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติและวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา ลวดลายที่ผสมผสานเอกลักษณ์ศิลปะไทยและขอมโบราณ สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาและพลังศรัทธาของชาวประโคนชัย ขบวนแห่จะเคลื่อนไปตามเส้นทางสายหลัก เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชื่นชมความงดงามอย่างใกล้ชิด

นอกเหนือจากขบวนเทียนพรรษาแล้ว บรรยากาศภายในงานจะเต็มไปด้วยสีสันของการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสานใต้ ไม่ว่าจะเป็นการร่ายรำอันอ่อนช้อยของนางรำกว่า 1,500 ชีวิต ดนตรีกันตรึมอันเป็นเอกลักษณ์ และการแสดงที่สะท้อนวิถีชีวิตของชุมชน ซึ่งจะสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม

สำหรับปี 2568 งานจัดขึ้นภายใต้แนวคิด "หลอมเทียนรวมใจ ประโคนชัยเทียนศิลป์ เยือนถิ่นชุมชน คนทำเทียน" เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวได้ไปเยี่ยมชมวิถีชุมชนคนทำเทียนในแต่ละคุ้มวัด เพื่อสัมผัสกระบวนการสร้างสรรค์ต้นเทียนอันน่าทึ่ง ตั้งแต่การหลอมผึ้งไปจนถึงการแกะสลักลวดลายอันละเอียดอ่อน

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย ทั้งการประกวดธิดาเทียนพรรษา และการออกร้านจำหน่ายสินค้าท้องถิ่นและอาหารพื้นบ้านขึ้นชื่อของประโคนชัย อาทิ กุ้งจ่อม, หมูฮ้อง และแกงบวน ให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์

ประเพณีแห่เทียนพรรษาเมืองประโคนชัยไม่ได้เป็นเพียงงานบุญที่สำคัญ แต่ยังเป็นเทศกาลที่หลอมรวมจิตใจของคนในชุมชนให้เป็นหนึ่งเดียว และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชาวบุรีรัมย์ เชิญชวนทุกท่านมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์อันน่าประทับใจในครั้งนี้

ที่อยู่

นครราชสีมา

เบอร์โทรศัพท์

+66644606444

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ บุรีรัมย์ไทยแลนด์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

ประเภท