Bit Insider ทุกเรื่องราว ข่าวสาร ของทรัพย์สินดิจิทัล

17/10/2025

ครอบครัวทรัมป์สร้างอาณาจักรคริปโต! ทำกำไรทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 จาก World Liberty Financial, เหรียญมีม TRUMP และ MELANIA

รับมือฉบับ Michael Saylor หาก Bitcoin ราคาร่วงแรง !
15/10/2025

รับมือฉบับ Michael Saylor หาก Bitcoin ราคาร่วงแรง !

📌 Bitcoin ร่วงแรง ควรทำอย่างไร ? คำถามที่ทุกคนอยากรู้

… ถอดรหัส Michael Saylor: จากวันที่เสีย 6 พันล้าน สู่ปรัชญา "กอดให้แน่น 10 ปี"

👉 บทเรียนจากชายผู้เคยเผชิญวิกฤตขาดทุนมหาศาล เผยวิธีรับมือความผันผวนของ Bitcoin พร้อมท้าทายโลกการเงินด้วยมุมมองที่ว่า "ความผันผวนคือชีวิต"

“ท่ามกลางคำถามสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกต่างสงสัย ‘เมื่อ Bitcoin ร่วงแรง เราควรทำอย่างไร?’"

Michael Saylor ผู้ก่อตั้ง MicroStrategy บริษัทมหาชนที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุดในโลก ได้มอบคำตอบที่ชัดเจนและหนักแน่น ผ่านประสบการณ์ตรงจากการสูญเสียเงินส่วนตัวถึง 6 พันล้านดอลลาร์ ภายในวันเดียวในช่วงวิกฤตดอทคอม พร้อมแบ่งปันปรัชญาการลงทุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งกลายเป็นแนวทางสำคัญในยามที่ตลาดผันผวน

ในการให้สัมภาษณ์ล่าสุด Saylor ได้สะท้อนถึงผลกระทบทางอารมณ์จากเหตุการณ์ขาดทุนครั้งประวัติศาสตร์ เขายอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ "ตึงเครียดและไม่น่าพอใจอย่างยิ่ง" แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ความเจ็บปวดที่แท้จริงไม่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตส่วนตัว แต่มาจากความรู้สึกรับผิดชอบต่อผู้ที่เชื่อมั่นในตัวเขา

👉 "ต้นทุนทางอารมณ์ที่โหดร้ายที่สุด คือการทำให้คนอื่นผิดหวัง" Saylor กล่าว

"มันคือการตระหนักว่าสิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนรายย่อย ซึ่งชีวิตของพวกเขาต้องเปลี่ยนไปเมื่อเงินที่เคยคิดว่ามีได้อันตรธานหายไป การรู้สึกว่าคุณทำให้คนที่เชื่อมั่นในตัวคุณต้องล้มเหลว มันเป็นความรู้สึกที่โหดร้ายอย่างยิ่ง"

📌 กฎ 10 ปี: คำตอบของ Saylor ต่อคำถาม "Bitcoin ร่วงแรงทำอย่างไร?"

เพื่อรับมือกับความผันผวนที่อาจทำลายนักลงทุนส่วนใหญ่ Saylor ได้ยึดมั่นในปรัชญาการลงทุนระยะยาวอย่างถึงที่สุด ซึ่งเป็นแก่นหลักในการตอบคำถามว่าควรทำอย่างไรเมื่อตลาดดิ่งลง

👉 "กฎของผมง่ายมาก: หากคุณไม่พร้อมที่จะถือ Bitcoin เป็นเวลา 10 ปี ก็อย่าซื้อมันแม้แต่ 10 นาที" เขากล่าวอย่างหนักแน่น "และหากคุณต้องการใช้เงินนั้นภายในสี่ปีข้างหน้า ผมไม่แนะนำให้ซื้อ Bitcoin อย่างยิ่ง"

มุมมองของเขาตั้งอยู่บนข้อมูลในอดีตที่ว่า "ไม่มีใครเคยขาดทุนจากการถือ Bitcoin นานกว่าสี่ปี" ดังนั้น กุญแจสำคัญคือการสร้าง "ความเชื่อมั่น (Conviction)" อย่างแรงกล้าผ่านการศึกษาและทำความเข้าใจสินทรัพย์อย่างถ่องแท้ก่อนที่จะนำเงินเข้าไปลงทุน ไม่ใช่การตื่นตระหนกตามราคาที่ผันผวน

📌 การลงทุนพันล้าน vs. การพนัน: เมื่อความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
Saylor อธิบายความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างมุมมองของเขาต่อการลงทุนใน Bitcoin กับการพนัน เขาสามารถ "หัวเสียจนแทบบ้า (drive me bananas)" เมื่อเห็นเงินหลักหมื่นดอลลาร์บนโต๊ะพนัน แต่กลับสงบนิ่งเมื่อการลงทุน Bitcoin พันล้านของเขามีมูลค่าลดลง 300 ล้านดอลลาร์

เหตุผลคืออะไร? "ที่โต๊ะพนัน โอกาสถูกกำหนดมาให้เราเสียเปรียบ แต่กับ Bitcoin ผมรู้สึกว่าโอกาสเข้าข้างผมอย่างมากในระยะยาว"

📌 โอบรับความผันผวน: จาก "ข้อเสีย" สู่ "คุณสมบัติ" สร้างความมั่งคั่ง

ในขณะที่โลกการเงินแบบดั้งเดิมมองว่าความผันผวนคือศัตรูตัวร้าย แต่สำหรับ Saylor มันคือ "คุณสมบัติ (Attribute)" ที่สำคัญที่สุด เขาเล่าถึงช่วงที่ราคา Bitcoin ดิ่งจาก 66,000 ดอลลาร์ ลงไปที่ 16,000 ดอลลาร์ เมื่อถูกถามว่าจะทำอย่างไร คำตอบของเขาสั้นและชัดเจน: "ผมจะรอให้มันกลับขึ้นไปอีกครั้ง"

เขายกอุปมาว่าเหมือนกับการเป็นเจ้าของ Central Park ในแมนฮัตตัน "หากคุณได้ยินว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลง 30% เพราะสงคราม คุณคงไม่รีบขายมันทิ้ง เพราะคุณตั้งใจจะถือมันในระยะยาว และรอจนกว่าสภาวะตลาดจะกลับสู่ภาวะปกติ"

ที่สำคัญกว่านั้น ความผันผวนนี้เองที่สร้างประโยชน์ทางการเงินมหาศาลให้กับบริษัทของเขาผ่านเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อน ทำให้สามารถระดมทุนได้มหาศาลด้วยต้นทุนที่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ "ความผันผวนคือพลังชีวิต (vitality) มันคือชีวิต (life)" Saylor สรุป

📌 คำวิจารณ์ถึงกลยุทธ์ที่ "ผิดปกติ" ของบริษัททั่วไป

ปรัชญาของ Saylor ถือเป็นการท้าทายภูมิปัญญาดั้งเดิมของโลกธุรกิจอย่างสิ้นเชิง เขาชี้ว่าบริษัทส่วนใหญ่ที่พยายามกำจัดความผันผวนและหลีกเลี่ยงการถือเงินทุนไว้ กำลังดำเนิน "กลยุทธ์ทางการเงินที่ผิดปกติ (dysfunctional financial strategies)" และนั่นคือเหตุผลที่อายุขัยเฉลี่ยของบริษัทในปัจจุบันสั้นลง

ในท้ายที่สุด คำตอบของ Michael Saylor ต่อคำถาม "Bitcoin ร่วงแรง ควรทำอย่างไร?" ไม่ได้อยู่ที่การซื้อขายตามกระแส แต่อยู่ที่การมีวินัยและมุมมองระยะยาวที่แน่วแน่ เขากำลังนำเสนอแนวคิดที่ปฏิวัติวงการการเงิน โดยวิ่งเข้าหาสิ่งที่คนอื่นพยายามวิ่งหนี นั่นคือ "เงินทุน" และ "ความผันผวน" ซึ่งสำหรับเขาแล้ว มันไม่ใช่ความเสี่ยง แต่เป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตและพลังขององค์กรในระยะยาว

#บิทคอยน์

การที่เราเชื่อมั่นใน Bitcoin และรอคอยอาจส่งผลสำเร็จได้ในตลาดคริปโต
14/10/2025

การที่เราเชื่อมั่นใน Bitcoin และรอคอยอาจส่งผลสำเร็จได้ในตลาดคริปโต

📌 Pavel Durov เผยเรื่องราวดราม่าการลงทุนใน Bitcoin ที่ค้ำจุนชีวิต ขณะที่ Telegram ยังขาดทุน

Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram แอปพลิเคชันส่งข้อความที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว ได้เปิดเผยเรื่องราวการลงทุนใน Bitcoin ของเขาเป็นครั้งแรกอย่างละเอียด ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายและความเชื่อมั่นที่สวนกระแสในช่วงเวลาที่หลายคนมองว่าเขาคือ "คนที่น่าสงสาร" จากการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่

ในการให้สัมภาษณ์กับ Lex Fridman Podcast Clips, Pavel Durov ได้ย้อนเล่าถึงจุดเริ่มต้นการเดินทางของเขากับโลกของคริปโตเคอร์เรนซี โดยยอมรับว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของ Bitcoin ตั้งแต่ยุคแรกๆ

👉 จุดเริ่มต้นที่สวนกระแส: การลงทุนครั้งใหญ่ในปี 2013

เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2013 เมื่อ Durov ตัดสินใจทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์เข้าซื้อ Bitcoin แต่การลงทุนครั้งใหญ่นั้นกลับกลายเป็นการซื้อผิดจังหวะครั้งสำคัญ หรือที่นักลงทุนมักเรียกกันว่า 'การติดดอย' เขาเข้าซื้อที่ราคาสูงถึง $700 ต่อเหรียญ ซึ่งเป็นราคาที่เกือบจะแพงที่สุดในรอบนั้น

"ในปีถัดมา ราคาของมันดิ่งลงเหลือประมาณ $300 หรือ $200" Durov เล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากว่า "หลายคนเริ่มแสดงความเห็นใจต่อผม พวกเขาพูดทำนองว่า 'น่าสงสาร... พลาดครั้งใหญ่เลยนะที่ไปลงทุนกับสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ'"

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความเห็นใจที่ถาโถมเข้ามา จุดยืนของ Durov กลับแน่วแน่และไม่ไหวหวั่น เขาตอบกลับทุกคนด้วยประโยคสั้นๆ แต่หนักแน่นว่า "ผมไม่สนใจ ผมจะไม่ขายมัน ผมเชื่อในสิ่งนี้"

🚩 ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังความศรัทธา

ความเชื่อมั่นของ Durov ไม่ได้เกิดจากความดื้อรั้น แต่มาจากปรัชญาที่ลึกซึ้งต่อเทคโนโลยีเบื้องหลัง Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีโดยรวม เขาเชื่อว่าสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้คือ "รูปแบบการแลกเปลี่ยนที่แท้จริง" (ultimate means of exchange) ด้วยเหตุผลสำคัญ 3 ประการคือ:

1️⃣ ไม่มีใครสามารถยึด Bitcoin ของคุณไปได้

2️⃣ ไม่มีใครสามารถเซ็นเซอร์คุณด้วยเหตุผลทางการเมืองได้

3️⃣ มันคืออิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง

หลักการเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้เขายึดมั่นในการลงทุน แม้จะต้องเผชิญหน้ากับภาวะตลาดขาลงอย่างรุนแรง

🚩 Bitcoin คือผู้ค้ำจุนชีวิต ไม่ใช่ Telegram

Durov ยังได้ถือโอกาสนี้ชี้แจงข้อกล่าวหาและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของเขา เขากล่าวว่าหลายคนมักเข้าใจว่าวิถีชีวิตที่หรูหราของเขา ไม่ว่าจะเป็นการเช่าสถานที่พักที่ดีหรือการเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวนั้น มาจากรายได้ของ Telegram

"ความจริงก็คือ Telegram เป็นการดำเนินงานที่ขาดทุนสำหรับผมโดยส่วนตัว (money losing operation for me personally)" Durov กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะเปิดเผยความจริงที่น่าประหลาดใจว่า "Bitcoin คือสิ่งที่ทำให้ผมยังอยู่รอดได้ (stay afloat)"

คำกล่าวนี้ได้ตอกย้ำว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนใน Bitcoin ที่เขาอดทนถือครองมาตลอดระยะเวลาหลายปี คือแหล่งเงินทุนสำคัญที่ค้ำจุนทั้งชีวิตส่วนตัวและการพัฒนา Telegram ต่อไป

🚩 คำทำนายอนาคต: Bitcoin จะแตะ 1 ล้านดอลลาร์

เมื่อมองไปข้างหน้า Pavel Durov แสดงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและท้าทาย โดยเขาเชื่อว่ามูลค่าของ Bitcoin จะเดินทางไปถึงจุดที่ $1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในที่สุด

เหตุผลหลักที่สนับสนุนคำทำนายของเขานั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือการเปรียบเทียบระหว่าง Bitcoin กับสกุลเงิน Fiat ที่ออกโดยรัฐบาล

"รัฐบาลต่างๆ ยังคงพิมพ์เงินอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับไม่มีวันพรุ่งนี้" เขากล่าว "ในทางกลับกัน ไม่มีใครกำลังพิมพ์ Bitcoin เพิ่มขึ้นมาได้ตามใจชอบ มันมีภาวะเงินเฟ้อที่สามารถคาดการณ์ได้ และจะหยุดลง ณ จุดหนึ่ง"

👉 บทสรุปของเขาจึงชัดเจนว่า "Bitcoin จะยังคงอยู่ต่อไป (Bitcoin is here to stay) ส่วนอนาคตของสกุลเงิน Fiat ทั้งหมดนั้น ยังคงต้องรอดูกันต่อไป (remains to be seen)"

เรื่องราวของ Pavel Durov จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าความสำเร็จของนักลงทุน แต่เป็นบทพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นที่แน่วแน่ในการมองการณ์ไกล ซึ่งเปลี่ยนจากสถานะของ "คนที่น่าสมเพช" ในสายตาผู้อื่น กลายมาเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากวิสัยทัศน์ของตนเองในโลกแห่งการเงินยุคใหม่

#ลงทุน #คริปโต

12/10/2025

นักวิเคราะห์ชื่อดัง ชี้ Bitcoin อาจปรับฐานครั้งใหญ่ และอาจร่วงไปถึงระดับ 60,000 - 70,000 ดอลลาร์

จีนไม่ได้เก็บทองเพราะกลัววิกฤต… แต่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับโลกหลังวิกฤตนั้น ?
10/10/2025

จีนไม่ได้เก็บทองเพราะกลัววิกฤต… แต่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับโลกหลังวิกฤตนั้น ?

จีนกำลังเตรียมบางสิ่งที่ใหญ่กว่าที่โลกคาดคิด..

เมื่อ #ทองคำ อาจไม่ใช่แค่สินทรัพย์ปลอดภัยอีกต่อไป แต่คืออาวุธการเงินใหม่ที่ปักกิ่งใช้ท้าทายอำนาจดอลลาร์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปริมาณทองคำสำรองของจีนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วแบบ “เกินปกติ” ขณะเดียวกันราคาทองคำโลกทะลุ "4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์" เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

จนหลายฝ่ายตั้งคำถามว่า — #จีนกำลังเตรียมแผนใหญ่อะไรบางอย่างหรือไม่ ?

📌 ประเด็นหลักและความคืบหน้าที่สำคัญ

- ทองคำในระบบการค้าจีนพุ่งทะลุ 40,000 กิโลกรัมในปี 2025 เพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่าจากปี 2020 ตามข้อมูลจาก Shanghai Gold Exchange และ Bloomberg (“on warrant stock” คือปริมาณทองที่อยู่ในระบบการค้า ไม่ใช่สำรองของรัฐบาล)

- จีนสะสมทองคำมานานกว่า 10 ปี เพื่อสร้าง stockpile ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และอาจกลายเป็นฐานทุนสำรองระดับภูมิภาค

- ราคาทองคำพุ่งแรงจาก ความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐฯ โดยเฉพาะนโยบายของ Donald Trump ที่กระทบตลาดและค่าเงิน

- จีนขยายบทบาท Hong Kong ให้เป็นศูนย์กลางซื้อขายทองคำ โดยเปิด offshore vault แห่งแรกของ Shanghai Gold Exchange เพื่อดึงทองจากต่างประเทศเข้าสู่ระบบของจีน

- ปักกิ่งยังเชิญ ธนาคารกลางและกองทุนความมั่งคั่งของชาติอื่น ๆ ให้เก็บและเทรดทองผ่านระบบของตน แทนการพึ่งพาศูนย์กลางในลอนดอน

- ทองคำถูกใช้เป็นเครื่องมือในการ เสริมบทบาทเงินหยวน (Yuan) และสร้างระบบชำระเงินข้ามประเทศที่ “ไม่ต้องผ่านดอลลาร์”

นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered ชี้ว่า “จีนกำลังรอช่วงที่โลกต้านทานน้อยที่สุด เพื่อก้าวขึ้นสู่บทบาทในระบบการเงินโลก”

📌 โอกาสและความเสี่ยงของทองคำในอนาคตสำหรับ #นักลงทุน

- #โอกาส: ทองคำอาจกลายเป็น “สินทรัพย์สำรองหลัก” ของกลุ่มประเทศ BRICS ที่ต้องการลดอิทธิพลของสหรัฐฯ

- #ความเสี่ยง: หากทองคำถูกใช้เป็นกลไกหลักของการชำระเงิน อาจกระทบต่อระบบการเงินสหรัฐฯ และสร้างแรงเสียดทานทางภูมิรัฐศาสตร์

- #แนวโน้ม: จีนอาจผลักดันระบบ gold-backed payment network เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น มาตรการคว่ำบาตร หรือการตัดขาดจากระบบ SWIFT

- #คำเตือน: แม้จีนมีโครงสร้างทองคำแข็งแกร่ง แต่ “สภาพคล่องในระบบยังตามหลังลอนดอน” และยังต้องใช้เวลาสร้างความเชื่อมั่นระดับโลก

ทำให้น่าคิดอย่างยิ่งว่า..

“จีนไม่ได้ซื้อทองเพื่อป้องกันวิกฤต... แต่อาจกำลังเตรียมสร้างโลกใหม่หลังวิกฤตนั้น”

----------------------------

งานรวมตัวนักลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของปี

ปีนี้ Trader KP และ Business Tomorrow พานักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าทั้งไทยและต่างประเทศมารวมตัวกันถึง 18 ท่านในวันเดียว ! ทุกท่านจะมาอัปเดตเทรนด์แห่งอนาคตของโลก เทคโนโลยีใหม่ๆ วิเคราะแนวโน้มเศรษฐกิจ แชร์กลยุทธ์การลงทุน และสุดยอดหุ้นเติบโตที่ต้องมีในพอร์ต

✨ เจาะลึกเศรษฐกิจไทย–โลกท่ามกลางความผันผวน
✨ หุ้น AI = Bubble หรือ Mega Opportunity ?
✨ กลยุทธ์ลงทุนหุ้นเทค + Bitcoin & ทองคำ
✨ ฟัง Stock Picks x10 เด้ง จากกูรูตัวจริง
✨ เน็ตเวิร์กนักลงทุนระดับท็อป วันเดียวเต็มอิ่ม

🗓️ วันอาทิตย์ที่ 30 พ.ย. 2568 | 📍 True Digital Park Grand Hall

ซื้อบัตรและดูรายละเอียดได้ในคอมเม้นท์ 👍

🔥 Bitcoin พุ่งแรง แต่นั่นอาจสื่อถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น !
09/10/2025

🔥 Bitcoin พุ่งแรง แต่นั่นอาจสื่อถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น !

📌 เมื่อทุกสินทรัพย์พุ่งขึ้นพร้อมกัน กลายเป็นสัญญาณเตือนภัยที่น่ากลัวที่สุดของการเงินโลก

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หากคุณเปิดดูหน้าจอการเงิน หรือแม้แต่กระดานซื้อขายสินทรัพย์ใด ๆ ก็ตาม คุณจะเห็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Everything Rally หรือการที่ทุกสินทรัพย์ล้วนพุ่งขึ้นพร้อมกันอย่างน่าตกใจ

ทองคำ ทะยานทำจุดสูงสุดใหม่ Bitcoin ก็วิ่งฉิวทะลุหนึ่งแสนสองหมื่นห้าพันเหรียญอีกครั้ง ส่วนตลาดหุ้นอเมริกา ก็ทำ All-Time High ไม่แพ้กัน ในแง่หนึ่ง นี่คือสัญญาณของความมั่งคั่งที่กำลังทะลักเข้ามา แต่ในอีกแง่หนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านกลับมองว่ามันคือ "สัญญาณเตือนระบบการเงินดั้งเดิมของโลกกำลังมีปัญหา"

เราได้พูดคุยกับ อาจารย์ตั้ม-พิริยะ สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ไบรท์ชิพ จำกัด และกรรมการบริหาร บริษัท โฉลก ดอท คอม จำกัด เกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ ซึ่งอาจารย์ตั้มเองมองว่าราคาทองคำทำ All-Time High หรือ Bitcoin ทะลุจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ และตลาดหุ้นอเมริกาก็ทำ All-Time High เป็นเรื่องที่ต้องระวังเช่นกัน

และก่อนที่เราจะสรุปว่าสินทรัพย์เหล่านั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ อาจารย์ตั้มบอกว่าให้ลองพิจารณาเรื่องของการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเสียก่อนเพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้

-----

🔸ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ 'ราคา' แต่อยู่ที่ 'เครื่องมือวัด'

หากคุณเป็นนักลงทุนหรือเจ้าของธุรกิจ การประเมินมูลค่าทรัพย์สินคือหัวใจสำคัญของการตัดสินใจ ลองนึกภาพว่าคุณมีที่ดินผืนเดิมมา 5 ปี และทุกปีคุณจะเอา 'เครื่องมือวัด' เดียวกันไปประเมินราคา

🚩 ปีแรก: ที่ดินผืนนี้ราคา 10 ล้านบาท
🚩 ปีที่ห้า: ที่ดินผืนนี้ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 25 ล้านบาท

คุณคงดีใจที่ทรัพย์สินของคุณมีราคาเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า แต่จู่ ๆ คุณก็พบว่าไม่เพียงแต่ที่ดินของคุณเท่านั้นที่ราคาพุ่งสูง แต่ที่ดินของเพื่อนบ้านคุณที่สภาพเดิม ๆ ก็มีราคาพุ่งขึ้นในอัตราเดียวกันด้วย

คุณอาจจะเริ่มสงสัยว่า หรือแท้จริงแล้วมันไม่ได้เกิดจากการที่ที่ดินมีมูลค่าเพิ่ม แต่เป็นเพราะเครื่องมือที่ใช้วัดมันไม่เที่ยงตรง? ซึ่งอาจารย์ตั้มชวนให้เรามองปรากฏการณ์นี้ด้วยมุมคิดที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งว่า "บางทีปัญหามันอยู่ที่ไม้บรรทัดรึเปล่า"

ในโลกการเงิน ‘เครื่องมือวัด’ ที่เราใช้ในการวัดมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทองคำ หุ้น หรือ Bitcoin ก็คือเงินดอลลาร์ และเมื่อทุกอย่างดูสูงขึ้นพร้อมกัน ความหมายหนึ่งที่ซ่อนอยู่ก็คือสิ่งที่อาจารย์ตั้มบอก

“เราวัดทุกอย่างด้วยเงินดอลลาร์ใช่ไหม ไม่ว่าจะเป็นราคาทองคำในหน่วยดอลลาร์ ราคาบิทคอยน์ในหน่วยดอลลาร์ หรือราคาหุ้นในหน่วยดอลลาร์ เมื่อทุกอย่างขึ้นพร้อมกันหมด ความหมายหนึ่งก็คือ ดอลลาร์กำลังเสื่อมค่า ทุกอย่างอาจจะอยู่กับที่ก็ได้ มันคือตัวเลขที่ใช้ในการวัดมากกว่าที่กำลังเสื่อมมูลค่าลง”

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่การที่สินทรัพย์ต่าง ๆ มีค่ามากขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่เป็นการที่หน่วยวัดของโลก นั่นคือสกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์กำลัง ‘หดตัว’ หรือเสื่อมมูลค่าลงอย่างต่อเนื่องและรุนแรงต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังปี 2008 ที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเงินเฟียตครั้งใหญ่และการทำ QE กลายเป็นเรื่องปกติ

-----

🔸 เปิดโปงกลไกที่กดราคาทองคำ และการกลับคืนสู่มูลค่าที่แท้จริง

สำหรับ ทองคำ การทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว (ปีเดียวขึ้นไป 50%) ถูกมองว่า "ผิดปกติ" ในสายตาของตลาด แต่หากมองผ่านมุมของนักลงทุนทองคำแล้ว มันอาจจะเป็นเพียงการกลับคืนสู่ "ความจริง" ที่ถูกซ่อนไว้เป็นเวลานาน

อาจารย์ตั้มเล่าว่า หากเทียบปริมาณซัพพลายทองคำกับความต้องการในการเก็บออมมูลค่า "จริงจริงแล้วทองคํามันไม่ควรจะราคาเท่านี้ด้วยซ้ำ" แต่ควรจะอยู่ประมาณ $8,000 ถึง $10,000 ต่างหาก

“เมื่อเราเอาอัตราการเจริญเติบโตของปริมาณเงินในระบบมาตั้งหารทุกอย่างลงไป ก็จะพบว่า จริง ๆ แล้วตลาดหุ้นขึ้นมานิดเดียวเอง ทองคำก็ขึ้นมานิดเดียวเอง แทบจะไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ”

กลไกที่กดราคาทองคำไว้คือสิ่งที่เรียกว่า ทองคำกระดาษ (Paper Gold) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการ แทรกแซงตลาด กลไกนี้ทำงานโดยหลักการดังต่อไปนี้

🚩 การเปิด Naked Short : นักลงทุนสถาบันสามารถ ขายทองคำล่วงหน้าโดยที่ไม่มีทองคำนั้นอยู่จริง
🚩การชำระด้วยดอลลาร์ : เมื่อทำกำไรหรือขาดทุนจากการขายนี้ ก็จะรับรู้ผลเป็น เงินดอลลาร์ แทนที่จะเป็นการส่งมอบทองคำ

การดำเนินการเช่นนี้ทำให้สามารถมี ‘กำลังขาย’ จำนวนมหาศาลเข้าสู่ตลาด ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อเสถียรภาพทางการเงิน และทำให้ราคาทองคำถูกกดไว้เป็นเวลานาน ทั้งที่มูลค่าที่แท้จริงของทองคำควรจะสูงกว่านี้มาก

การขึ้นของราคาทองคำในวันนี้จึงเป็นการสะท้อนว่า ความพยายามในการควบคุมมันค่อย ๆ ลดลงไป และความต้องการทองคำในฐานะแหล่งเก็บออมที่แท้จริง ท่ามกลางวิกฤตความเชื่อมั่นของเงินดอลลาร์ ได้กลับมาทำงานอีกครั้ง

-----

🔸 ความมั่งคั่งที่แท้จริงจะมาพร้อมกับ 'ความเข้าใจ' ในสินทรัพย์นั้น

เมื่อไม้บรรทัดของโลกกำลังหดตัว และเราต้องอยู่ท่ามกลางระบบที่นโยบายการเงินของโลกมันเหมือนการ ‘เล่นบิงโก’ ที่ต้องมานั่งเดาใจคณะกรรมการที่ประชุมกัน สภาวะนี้ได้เปลี่ยนให้โลกทั้งโลกกลายเป็นสนามเดิมพัน

ในภาวะเช่นนี้ ‘การเก็บออม’ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เพราะความเสี่ยงที่เราต้องเผชิญ คือความเสี่ยงที่รัฐบาลจะทำให้เงินในกระเป๋าเราเสื่อมค่า หรือที่อาจารย์ตั้มกล่าวถึงในบริบทของการส่งออกไว้ว่า

“การลดค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ คือการทำลายความมั่งคั่งของทุกคนในประเทศ ทำให้ทุกคนจนลงเมื่อเทียบกับคนอเมริกัน ถึงแม้ว่าเราจะเอื้อเฟื้อให้ธุรกิจส่งออกทำงานได้ดีขึ้น และมีคนหาเงินได้มากขึ้นส่วนหนึ่ง แต่คนส่วนใหญ่จะจนลง และเงินที่หามานั้นก็จะยิ่งนำมาซึ่งเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นภายในประเทศอีก การทำเช่นนี้ก็เปรียบเสมือนการส่งออกสินค้าแต่นำเข้าเงินเฟ้อแทน ซึ่งเราต้องดูความสมดุลตรงนี้ให้ดี”

เมื่อเราไม่เห็นด้วยกับทิศทางของประเทศและโลกการเงิน ทางออกสำหรับนักลงทุน คือการ "โหวตด้วยเท้า" หรือย้ายทรัพย์สินของเราไปอยู่ในที่ที่เราเห็นด้วย ดังนั้น Bitcoin จึงถูกนำเสนอในฐานะสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาของทองคำ มันเป็นสินทรัพย์ที่ส่งข้ามโลกได้ในไม่กี่วินาที และเป็นทรัพย์สินเดียวที่คุณสามารถ ‘พกไปที่ไหนก็ได้ในโลก’ หากต้องเผชิญกับวิกฤตหรือสงคราม

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่การชี้ชวนให้คุณวิ่งเข้าหาสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งอย่างหน้ามืดตามัว แต่เป็นข้อคิดที่อาจารย์ตั้มเตือนไว้ว่า

“คนเราไม่สามารถมี Bitcoin ได้มากเกินระดับความรู้ของเรา”

ความรู้ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องราคาและการลงทุน แต่รวมถึงความเข้าใจในหลักเศรษฐศาสตร์ ความแข็งแกร่งทางเทคนิค และการจัดการความเสี่ยง

หากเราศึกษาและเตรียมพร้อม วันนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุด เพราะคุณไม่ได้แค่กำลังลงทุน แต่คุณกำลัง ‘ลงแรงลงทุนในความรู้’ ซึ่งเป็นทรัพย์สินเดียวที่ไม่มีวันเสื่อมค่า และไม่มีอำนาจใดในโลกจะพรากไปจากคุณได้

คุณเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่ ลองคอมเมนต์มาแลกเปลี่ยนกันได้เลย

#เศรษฐศาสตร์ #เงินเฟ้อ #การลงทุน #ทองคำ

📌 Deutsche Bank ชี้ Bitcoin มีศักยภาพเป็นทุนสำรองโลกภายในปี 2030 หลังสหรัฐฯ ไฟเขียวตั้งกองหนุนเชิงยุทธศาสตร์นักวิเคราะห์...
08/10/2025

📌 Deutsche Bank ชี้ Bitcoin มีศักยภาพเป็นทุนสำรองโลกภายในปี 2030 หลังสหรัฐฯ ไฟเขียวตั้งกองหนุนเชิงยุทธศาสตร์

นักวิเคราะห์จากธนาคารยักษ์ใหญ่ Deutsche Bank ออกบทวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Bitcoin อาจมีบทบาทสำคัญในฐานะสินทรัพย์ทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลกเคียงข้างทองคำได้ภายในปี 2030 โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายครั้งประวัติศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ

🔸 จุดเปลี่ยนสำคัญ: สหรัฐฯ จัดตั้งทุนสำรอง Bitcoin

หัวใจสำคัญที่กระตุ้นการคาดการณ์นี้ คือคำสั่งพิเศษของรัฐบาลทรัมป์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่อนุมัติให้มีการจัดตั้ง "ทุนสำรอง Bitcoin เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ" อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณยอมรับ Bitcoin ในระดับรัฐบาลเป็นครั้งแรก

นายสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ยืนยันว่า รัฐบาลจะใช้ "แนวทางที่ไม่กระทบต่องบประมาณ" ในการสร้างทุนสำรองนี้ โดยมีรากฐานมาจาก "Bitcoin ที่ถูกยึดมาเป็นของกลางและตกเป็นของรัฐบาลกลางในท้ายที่สุด"

มาริออน ลาบูร์ นักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank ระบุว่าการตัดสินใจของสหรัฐฯ "ได้จุดประกายการถกเถียงเรื่องการนำ Bitcoin มาเป็นสินทรัพย์สำรองของธนาคารกลางขึ้นมาอีกครั้ง"

🔸 มุมมองนักวิเคราะห์: ทำไม Bitcoin ถึงเทียบชั้นทองคำได้

บทวิเคราะห์ของ Deutsche Bank ชี้ว่า Bitcoin มีคุณสมบัติในการเป็น "แหล่งเก็บรักษามูลค่า" (Store of Value) คล้ายกับทองคำ เนื่องจากมีค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ที่ต่ำกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิม เช่น หุ้น ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับสถาบันที่ต้องการกระจายความเสี่ยง

สถานการณ์ตลาดในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในสินทรัพย์ทั้งสองประเภท โดยเมื่อเดือนที่แล้ว ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นไปแตะระดับ $124,000 ขณะที่ราคาทองคำก็สร้างสถิติสูงสุดใหม่ที่ $3,700 ต่อออนซ์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin อยู่ที่กว่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ และทองคำอยู่ที่กว่า 25 ล้านล้านดอลลาร์

🔸 ภาคธนาคารเตรียมพร้อม: รอแค่กฎระเบียบที่ชัดเจน

ทิศทางการยอมรับนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในภาครัฐเท่านั้น อเลสซิโอ ควาลินี ซีอีโอของ Hex Trust บริษัทผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลระดับสถาบัน เชื่อว่าธนาคารในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่อยู่ในจุดที่พร้อมจะให้บริการ Bitcoin อย่างเต็มรูปแบบแล้ว ทั้งการรับฝาก (Custody) การซื้อขาย และบริการเงินฝาก

เขาชี้ว่า "กฎระเบียบของสหรัฐฯ คือมาตรฐานระดับโลก" และทันทีที่มีความชัดเจนด้านกฎหมาย ธนาคารต่างๆ ก็พร้อมจะเข้ามาในตลาดนี้ทันที ซึ่งจะยิ่งผลักดันให้เกิดการยอมรับในวงกว้างต่อไป

05/10/2025

[ Alert ]
ราคา Bitcoin พุ่งทำ All Time High ใหม่แล้วที่ราคา 125,700 ดอลลาร์ !

04/10/2025

Charles Hoskinson ทำนาย Bitcoin แตะ $250,000 ภายในปี 2026 หลังกฎหมายคริปโตชัดเจน ปลดล็อกการลงทุนจากบริษัทใหญ่ๆ

01/10/2025

Bitcoin พุ่ง 2.3% อยู่ที่ 116,750 ดอลลาร์ ต้อนรับเดือนตุลาคม “Uptober”

นักลงทุนวัย 15 ปี กับพอร์ตหลักแสน !
29/09/2025

นักลงทุนวัย 15 ปี กับพอร์ตหลักแสน !

📌แกะสูตรออมเงิน ‘น้องคอปเตอร์’ นักลงทุนวัย 15 ปี ที่เอาค่าขนมสร้างพอร์ตหลักแสน

คุณยังคิดว่าการลงทุนเป็นเรื่องซับซ้อนและไกลตัวของผู้ใหญ่หรือไม่ ถ้าใช่... ลองมาดูเรื่องราวของ ‘น้องคอปเตอร์’ ทฤษฎี ปันนวน เด็กหนุ่มวัย 15 ปี จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ที่เปลี่ยนเงินค่าขนมเดือนละ 3,000 บาท มาสร้างพอร์ตการลงทุนมูลค่าหลักแสนได้สำเร็จ ด้วยแนวคิดและวินัยที่น่าทึ่ง โดยมีวอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นบุคคลต้นแบบ และความฝันที่ชัดเจนของตัวเองเป็นแรงผลักดัน

----------

🟢 เส้นทางที่เริ่มต้นด้วยเงินค่าขนม 800 บาท

ครอบครัวของน้องคอปเตอร์ทำธุรกิจตัดเย็บเสื้อผ้าและไม่ได้เป็นสายนักลงทุน ความสนใจในเรื่องนี้จึงมาจากตัวของน้องคอปเตอร์ล้วน ๆ โดยมีวอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นไอดอลผู้จุดประกาย ซึ่งทำให้เขาเริ่มศึกษาการลงทุนอย่างจริงจังตั้งแต่ช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 3

เงินลงทุนก้อนแรกของน้องคอปเตอร์คือ 3,500 บาท ซึ่งมาจากการเก็บออมเดือนละ 800 บาท จากค่าขนมที่ได้เดือนละ 3,000 บาท คิดเป็นสัดส่วนราว 20-30% ของรายรับทั้งหมด

ในช่วงแรก ทางบ้านไม่เห็นด้วยกับการลงทุนนัก เขาต้องขอให้คุณแม่ช่วยเปิดพอร์ตลงทุนในชื่อของท่าน เพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ ซึ่งสร้างความกังวลให้ผู้ปกครองว่าจะถูกมิจฉาชีพหลอกลวง และยังมีความเชื่อดั้งเดิมว่า "หุ้นมีแต่คนรวยที่เล่นกัน"

แต่สุดท้ายน้องคอปเตอร์ก็สามารถโน้มน้าวคุณพ่อคุณแม่ได้สำเร็จ โดยค่อย ๆ อธิบายเหตุผลว่า การลงทุนในหุ้นไม่ใช่การพนัน แต่คือสิทธิ์ความเป็นเจ้าของในบริษัท

----------

🟢 แนวคิดทางการเงินที่โตเกินวัย ‘มูลค่าของสิ่งของเท่ากับชั่วโมงทำงาน’

วิธีคิดนี้น้องได้อธิบายว่า หากต้องการซื้อของราคา 500 บาท และสมมติว่าเขาสามารถทำงานได้ชั่วโมงละ 50 บาท นั่นหมายความว่าต้องใช้เวลาทำงานถึง 10 ชั่วโมงเพื่อแลกกับของชิ้นนั้น เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ถ้าสิ่งของนั้นไม่จำเป็น เขาก็จะเลือกที่จะไม่ซื้อทันที

ดังนั้นจึงทำให้น้องคอปเตอร์สามารถเก็บเงิน 800 บาทต่อเดือนมาลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ และเป็นแนวทางที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ได้

----------

🟢 พลังของเวลา และการเติบโตจากความผิดพลาด

ปัจจุบันพอร์ตของน้องคอปเตอร์มีมูลค่าหลักแสนบาท จากต้นทุนราว 60,000-70,000 บาท พอร์ตนี้สร้างกำไรไปแล้วกว่า 30,000 บาท โดยมีสัดส่วนเป็นหุ้น 95% และ Bitcoin 5% ซึ่งน้องคอปเตอร์บอกว่ายังลงทุนใน Bitcoin น้อยเพราะยังศึกษาไม่มากพอ

----------

🟢 กลยุทธ์หลักของเขาประกอบด้วยแนวคิดที่น่าสนใจดังนี้

🚩ข้อได้เปรียบสำคัญที่สุดคือเวลา : เพราะน้องคอปเตอร์เข้าใจในพลังของดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) อย่างลึกซึ้ง การเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 15 ทำให้เขามีเวลาให้เงินทำงานและเติบโตได้ยาวนานกว่าคนอื่นหลายสิบปี

🚩เขามุ่งมั่นเป็นการลงทุนระยะยาว : โดยตั้งเป้าลงทุน 10 ปีขึ้นไป เขาเคยผ่านช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก แต่ก็เลือกที่จะไม่ขาย เพราะเชื่อมั่นในเป้าหมายระยะยาว และมองว่าการเทรดระยะสั้นหรือเฝ้ากราฟนั้น ‘ปวดหัว’ และไม่เหมาะกับนักเรียนที่ต้องโฟกัสกับการเรียน

🚩เขาเรียนรู้จากความผิดพลาด : ในช่วงแรกน้องคอปเตอร์เคยลองเล่น ‘หุ้นซิ่ง’ และขาดทุนหนักมาก่อน ประสบการณ์ครั้งนั้นสอนให้เขาเปลี่ยนมาเน้นการลงทุนในบริษัทใหญ่ที่มั่นคงในดัชนี S&P 500 และวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างละเอียด ทั้งงบการเงิน รายได้ กำไร และหนี้สิน

🚩เขาเลือกหุ้นที่เข้าใจและมองเห็นอนาคต : สำหรับหุ้นเด่นในพอร์ตของเขาคือ Nvidia (ให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 80%), Tesla และ Counter (MSTY) ซึ่งสะท้อนมุมมองที่เชื่อว่า AI คือเมกะเทรนด์ที่จะมาแรงในอีก 10-20 ปีข้างหน้า

----------

🟢 เป้าหมายที่ชัดเจน และคำแนะนำจากใจ

น้องคอปเตอร์ไม่ได้ลงทุนอย่างไร้จุดหมาย เขามีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการมี Passive Income เดือนละ 50,000 บาท ตอนอายุ 45 ปี ซึ่งเขาคำนวณไว้แล้วว่าต้องมีพอร์ตลงทุนประมาณ 10-12 ล้านบาท นอกจากนี้ยังตั้งเป้าที่จะเป็น "ที่ปรึกษาและครีเอเตอร์ด้านการเงินการลงทุน" ในอนาคตด้วย

โดยสำหรับเพื่อน ๆ และผู้ใหญ่ที่ยังลังเลเรื่องการลงทุน เขาได้ให้คำแนะนำที่เรียบง่ายแต่น่าสนใจไว้ดังนี้

🚩สำหรับวัยรุ่น เขาแนะนำว่า : "อยากจะให้ทุกคน เริ่มต้นด้วยเงินน้อย ๆ ก่อน ที่ไม่กระทบการเรียนและการใช้ชีวิตครับ"

🚩สำหรับผู้ใหญ่ เขาแนะนำว่า : "อยากจะให้ทุกคน เริ่มลงทุนในสินทรัพย์ที่เราเข้าใจ อาจจะไม่ใช่หุ้นก็ได้ อาจจะเป็นทองคำ ตราสารหนี้ อะไรพวกนี้ก็ได้ครับ"

เรื่องราวของน้องคอปเตอร์เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ‘เวลา’ และ ‘วินัย’ คือสองเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างความมั่งคั่ง ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ มีเงินเริ่มต้นมากน้อยแค่ไหน ขอเพียงแค่มีความเข้าใจ มีเป้าหมายที่ชัดเจน และเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ความสำเร็จทางการเงินก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝันอีกต่อไป

คุณคิดอย่างไรกับเรื่องของน้องคอปเตอร์ คอมเมนต์มาแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้เลย

ติดตามน้องคอปเตอร์ได้ทาง TikTok : copterpannuan

#น้องคอปเตอร์ #การเงิน #ออมเงิน #วางแผนการเงิน #อิสรภาพทางการเงิน #ลงทุนหุ้น

29/09/2025

Michael Saylor ไม่หยุดซื้อ! MicroStrategy ทุ่มเพิ่ม 196 BTC มูลค่า 22.1 ล้านดอลลาร์ เฉลี่ยที่ $113,048 ต่อเหรียญ หลังราคาหลุด $110,000 สั้นๆ เมื่อสัปดาห์ก่อน

ที่อยู่

Changwat Chiang Mai

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Bit Insiderผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์