22/11/2025
ไฟจากพื้นที่ป่า สู่เวทีนโยบาย: 10 สาระสำคัญจาก Pre-Forum ครั้งที่ 2 เตรียมความพร้อมสู่ Thailand National PM2.5 Forum
ทุกปีเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูแล้ง ‘ไฟป่า’ กลายเป็นประเด็นที่ปรากฏบนแผนที่ดาวเทียมและสื่อบ่อยครั้ง เพราะสร้างความเสียหายกระจายไปไกลกว่าขอบเขตป่า ทั้งก่อควันลอยข้ามจังหวัด ข้ามภาค ไปจนกระทบเมืองใหญ่ สร้างฝุ่น PM2.5 สูงต่อเนื่องหลายวัน ทำลายระบบนิเวศ สัตว์ป่า และทำให้เจ้าหน้าที่และอาสาดับไฟ ต้องทำงานท่ามกลางความเสี่ยงปีแล้วปีเล่า
ผลกระทบที่เป็นที่ประจักษ์ ทำให้ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด มาตรการในพื้นที่ป่า เป็นหมวดที่มีข้อถกเถียงกันน้อยที่สุด ทั้งนี้ปัญหาไฟป่าไม่ได้เกิดจากปัจจัยด้านอากาศหรือภูมิประเทศเพียงอย่างเดียว แต่มีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างการจัดการป่า การบังคับใช้กฎหมาย ความเป็นอยู่ของชุมชน และเครื่องมือที่รัฐมีอยู่ในมือ
เวที Pre-Forum ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ ‘พ.ร.บ. อากาศสะอาด: เครื่องมือสู้ฝุ่น PM2.5 - ฝุ่นจากไฟในพื้นที่ป่า’ จึงเป็นการสรุปภาพใหญ่เพื่อสร้างความเข้าใจว่าการจัดการไฟป่าต้องอาศัยอะไรบ้าง ทั้งในเชิงพื้นที่ เทคโนโลยี คน กฎหมาย และกลไกเศรษฐศาสตร์ ก่อนที่จะถูกยกระดับเข้าสู่เวทีนโยบายระดับประเทศ Thailand National PM2.5 Forum ครั้งที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 20-21 เดือนมกราคม 2569
1. ระบบ ‘ตามไฟ’ ช่วยวางแผนปฏิบัติการ
แอปพลิเคชั่นตามไฟ (tamfire.net) ช่วยให้เห็นจุดความร้อนแบบ near real-time สามารถตรวจสอบการลุกลามของไฟย้อนหลังหลายปี และระบุพื้นที่ที่มีความร้อนสะสมผิดปกติได้อย่างละเอียด ช่วยแยกไฟธรรมชาติและไฟที่มนุษย์จุด ทำให้หาต้นตอไฟได้แม่นยำขึ้น ทุกหน่วยงานเข้าถึงข้อมูลเดียวกัน และเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับวางแผนปฏิบัติการอย่างทันสถานการณ์และลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่
2. กรณีศึกษาไฟป่า ไฟลาม 70,000 ไร่จากการล่าสัตว์
พื้นที่เหนือเขื่อนภูมิพล เป็นจุดที่มีไฟป่ามากที่สุดรวมแล้วกว่า 300,000 ไร่ ตัวอย่างการใช้ระบบตามไฟ ได้ระบุจุดกำเนิดไฟจุดหนึ่ง ที่ทำให้ไฟป่าลามกว่า 70,000 ไร่ นำไปสู่การจับนายพรานล่าสัตว์ส่งขายพ่อค้าเนื้อสัตว์ป่า ที่ใช้เวลาในการควบคุม 2 สัปดาห์ สะท้อนถึงความท้าทายของภูมิประเทศ กำลังคน ความซับซ้อนของการสั่งการในพื้นที่กันชน ซึ่งต้องนำไปสู่การจัดลำดับพื้นที่เสี่ยงใหม่ ไม่ใช่ยึดตามความเคยชินหรือขีดจำกัดภายในแต่ละกรมอีกต่อไป
3. วางเป้าหมายลดพื้นที่เผา 40% ต่อปี
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ยืนยันความพร้อมในการรับมือไฟป่า โดยมีการตั้งวอร์รูมระดับกรม ผสานเทคโนโลยีกับกำลังคนในพื้นที่เพื่อให้การดับและควบคุมไฟป่ามีความแม่นยำขึ้น เช่น ใช้เฮลิคอปเตอร์ โดรน อุปกรณ์ดับไฟ จัดทำแนวกันไฟ บริหารจัดการเพลิง จัดตั้งจุดตรวจและชุดลาดตระเวน และวางเป้าหมายลดพื้นที่เผาไหม้ให้ลงร้อยละ 40 ในปี 2569
4. 8 มาตรการ 4 ยุทธศาสตร์ ใน 14 กลุ่มป่าเสี่ยง
ปีที่ผ่านมา กรมป่าไม้ต้องเผชิญจุดความร้อนหลายหมื่นจุด และไฟป่าที่ลุกลามถึงระดับล้านไร่ ขณะที่กำลังคนมีจำกัด เจ้าหน้าที่ 1 คนต้องดูแลพื้นที่เฉลี่ยถึง 30,000 ไร่ ซึ่งทำได้ยากมาก จึงต้องเดินหน้า 8 มาตรการ และ 4 ยุทธศาสตร์ ใน 14 กลุ่มป่าเสี่ยง เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ ลดความสูญเสียของป่า และรับมือไฟป่าอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยป้องกันรักษาป่า ชุมชน และเครือข่ายท้องถิ่น
5. รวมศูนย์แผน กระจายภารกิจ
เชื้อเพลิงสะสมในป่าเป็นหนึ่งในตัวแปรการปะทุไฟ การจัดการต้องมีทั้งแนวกันไฟ เก็บใบไม้แห้ง และกำกับกิจกรรมหาของป่าอย่างเป็นระบบ แต่ที่ผ่านมามักขาดผู้รับผิดชอบชัดเจน การบูรณาการระหว่างพื้นที่ป่าจึงจำเป็น เพื่อไม่ให้พื้นที่หนึ่งกลายเป็นต้นตอที่ส่งผลต่อพื้นที่อื่น อีกทั้งอบต. ซึ่งเป็นกำลังหลักในพื้นที่ยังขาดงบประมาณและอุปกรณ์ กรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ ต้องเป็นพี่เลี้ยงเชิงวิชาการและทรัพยากร เพื่อให้การทำงานเกิดผลจริง ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างนโยบายและการปฏิบัติ
6. เปลี่ยนมือเผามาเป็นผู้ดูแลป่า
ผลการศึกษาในพื้นที่อุทยานแม่ปิง พบว่ากลุ่มคนเผาป่าจำนวนหนึ่งมีปัญหาสุขภาพจิตหรือใช้สารเสพติด โครงการ ‘ชายชุดดำจิตเวช’ มีแนวทางนำผู้เผาป่าเข้าสู่ระบบคนพิการทางจิตเพื่อรับการจ้างงาน โดยการจัดการจะมีระบบคัดกรอง รักษา และให้การสนับสนุนในระยะยาว ให้มีอาชีพดูแลป่าผ่านการจ้างงานของบริษัทเอกชน เป็นการแก้ปัญหาเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
7. บังคับใช้กฎหมายแบบบูรณาการ
ในร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด (ที่กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาในชั้นสว.) เน้นย้ำให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด ต้องเข้ามามีบทบาทและทำงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรฯ และหน่วยงานป่าไม้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นแผนงานแล้วไม่ขยับ อาจถูกดำเนินคดีตามมาตรา 157 และทั้ง 3 ป่า คือป่าอนุรักษ์ ป่าสงวน และป่าชุมชน ต้องมีเป้าหมายที่สอดคล้อง ส่งเสริมและสนับสนุนกัน เพื่อให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการ
8. ประชาชนต้องเข้าถึงข้อมูลและตรวจสอบได้
พ.ร.บ. อากาศสะอาด กำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดทำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่ระบุข้อมูลพื้นที่ป่าชนิดต่าง ๆ, พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าและแนวกันไฟ, พื้นที่ป่าชุมชน, ข้อมูลชุมชนที่อยู่ในป่า, จุดความร้อน/ พื้นที่ไฟไหม้ซ้ำซาก รวมถึงจำนวนเจ้าหน้าที่ เครื่องมือ อุปกรณ์ งบประมาณ เปิดเผยให้ประชาชนเข้าถึงและตรวจสอบได้โดยง่าย และต้องจัดทำบัญชีการระบายสารมลพิษทางอากาศภาคป่าไม้ พร้อมข้อมูลอุตุนิยมวิทยาเพื่อเชื่อมโยงกับ Big Data ในอนาคต
9. ป่าต่างกัน จัดการต่างกัน
พ.ร.บ. อากาศสะอาด กำหนดแนวทางการจัดการที่แตกต่างกันตามประเภทของพื้นที่ป่า
•ป่าอนุรักษ์: เน้นการป้องกันและบริหารจัดการไฟแปลงใหญ่ที่ข้ามเขตป่า เพื่อขจัดปัญหาจุดเกรงใจระหว่างหน่วยงาน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอาชีพที่เสี่ยงต่อการก่อให้เกิดไฟป่า และการสร้างความร่วมมือกับชุมชน/ องค์กรท้องถิ่นในการป้องกันไฟ
•ป่าสงวน: บังคับให้กระทรวงทรัพยากรฯ ต้องประสานงานกับกระทรวงเกษตรฯ เพื่อปรับเปลี่ยนระบบการเกษตรที่เสี่ยงต่อมลพิษทางอากาศ และดำเนินการรับรองสิทธิ์และความมั่นคงในการใช้ประโยชน์ที่ดินในรูปแบบแปลงรวม หรือการทำสมุดพกประจำตัวดิจิทัลสำหรับผู้อาศัยในเขตป่า
•ป่าชุมชน: เน้นการสนับสนุนการจัดตั้งป่าชุมชนเพิ่ม เพื่อดำเนินงานด้านอากาศสะอาดโดยเฉพาะ และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐ ชุมชน และเอกชน
10. PES เปิดทางให้เอกชนและชุมชนร่วมดูแลป่า
พ.ร.บ. อากาศสะอาด มีกลไกนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า PES (Payment for Ecosystem Services) หรือการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับการให้บริการระบบนิเวศ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการป้องกันและฟื้นฟูระบบนิเวศ เปิดทางให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยสนับสนุนการทำงานในป่าได้ เช่น การจ้างคน หรือการจัดหาเครื่องมือทางการเกษตร และจูงใจชุมชนมาร่วมป้องกันไฟ ปรับรูปแบบการใช้ประโยชน์ป่า และรับผลตอบแทนเมื่อทำให้ระบบนิเวศดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันที่ทำให้เกิดไฟจากการหาของป่าและล่าสัตว์
เหล่านี้คือการบ้านชิ้นสำคัญ และข้อเสนอเชิงรุก ที่จะถูกนำไปขับเคลื่อนต่อในเวที Thailand National PM2.5 Forum ครั้งที่ 2 เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม ติดตามความเคลื่อนไหวทั้งหมดได้ที่ www.facebook.com/breathebangkokorg
🔵 ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาฝุ่นควันกับเรา
Website: www.breathebangkok.org
Facebook: www.facebook.com/breathebangkokorg
#สภาลมหายใจกรุงเทพฯ #สสส