สื่ออีสาน

สื่ออีสาน สื่ออีสาน เพื่อชีวิตชาวอีสาน

27/10/2025
25/10/2025
 #พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีน...
25/10/2025

#พระราชประวัติ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบรมราชินีนาถใน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของพลเอก พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า “สิริกิติ์” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เป็นศรี แห่งกิติยากร” ทรงพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ที่บ้านพลเอก เจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) ผู้เป็นบิดาของหม่อมหลวงบัว ณ บ้านเลขที่ ๑๘๐๘ ถนนพระรามหก ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร

ขณะนั้นเป็นระยะที่ประเทศเพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ก่อนหน้านั้นพระบิดาของพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก มียศเป็นพันเอก หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร

หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลทรงออกจากราชการทหาร โดยรัฐบาลแต่งตั้งให้ไปรับราชการในตำแหน่งเลขานุการเอก ประจำสถานทูตสยาม ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอมริกา ส่วนหม่อมหลวงบัวซึ่งมีครรภ์แก่คงพำนักอยู่ในประเทศไทย จนให้กำเนิดหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์แล้วจึงเดินทางไปสมทบ มอบหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ให้อยู่ในความดูแลของเจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ และท้าววนิดาพิจาริณี ผู้เป็นบิดาและมารดาของหม่อมหลวงบัว

หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ต้องอยู่ห่างไกลบิดามารดาตั้งแต่อายุยังน้อย บางคราวต้องระหกระเหินไปต่างจังหวัดตามเหตุการณ์ผันผวนทางการเมือง เช่น ในพุทธศักราช ๒๔๗๖ หม่อมเจ้าอัปษรสมาน กิติยากร พระมารดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ได้ทรงรับนัดดาตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปสงขลาด้วย

ปลายพุทธศักราช ๒๔๗๗ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลทรงลาออกจากราชการกลับประเทศไทยพร้อมครอบครัว อันมีหม่อมหลวงบัว หม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์ บุตรคนโต และหม่อมราชวงศ์ บุษบา บุตรีคนเล็กผู้เกิดที่สหรัฐอเมริกา แล้วมารับหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ บุตรคนรอง กับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์จาก หม่อมเจ้าอัปษรสมาน กลับมาอยู่รวมกันที่ตำหนักซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนกรุงเกษม ปากคลองผดุงกรุงเกษม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เริ่มเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี ปากคลองตลาด ในพุทธศักราช ๒๔๗๙ แต่เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาลุกลามมาถึงประเทศไทย จังหวัดพระนครถูกโจมตีทางอากาศบ่อยครั้งทำให้การเดินทางไม่สะดวกและไม่ปลอดภัย ในพุทธศักราช ๒๔๘๓ จึงย้ายไปเรียนชั้นประถมและมัธยมที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ถนนสามเสน เพราะอยู่ใกล้บ้านในระยะที่พอจะเดินไปโรงเรียนเองได้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เริ่มเรียนเปียโนที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ และในเวลาต่อมาได้ตั้งใจที่จะเป็นนักเปียโนผู้มีชื่อเสียง

หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้เผชิญสภาพของสงครามโลกมาเช่นเดียวกับคนไทยทั้งหลาย หม่อมเจ้านักขัตรมงคลผู้ทรงเป็นทหารเป็นผู้ปลูกฝังให้บุตรและบุตรีรู้จักความมีวินัย ความอดทน ความกล้าหาญ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และความเสียสละ โดยอาศัยสถานการณ์สงครามเป็นตัวอย่าง และสงครามโลกก็ทำให้คนไทยทั้งปวงต้องหันหน้าเข้าช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก สิ่งเหล่านี้จึงหล่อหลอมหม่อมราชวงศสิริกิติ์ให้มีความเมตตาต่อผู้อื่นและรักความมีระเบียบแบบแผนมาตั้งแต่เยาว์วัย

หลังจากสงครามสงบแล้ว นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น คือนายควง อภัยวงศ์ ได้แต่งตั้งให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลเป็นอัครราชทูตประจำประเทศอังกฤษ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลจึงทรงพาครอบครัวทั้งหมดไปด้วยในกลางพุทธศักราช ๒๔๘๙ ขณะนั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๓ ของโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์แล้ว

ระหว่างที่อยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เรียนเปียโน ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสกับครูพิเศษ แต่อยู่ที่อังกฤษได้ไม่นาน พุทธศักราช ๒๔๙๐ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลก็ทรงย้ายไปเป็นอัครราชทูตประจำประเทศฝรั่งเศสและเดนมาร์ก ก่อนจะกลับมาเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างนี้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ยังคงตั้งใจเรียนเปียโนอย่างขะมักเขม้นเพื่อเตรียมสอบเข้าวิทยาลัยการดนตรีที่มีชื่อเสียงของกรุงปารีส

พุทธศักราช ๒๔๙๑ ขณะที่หม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัวอยู่ในปารีส ได้รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งโปรดเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโรงงานทำรถยนต์ในกรุงปารีสอยู่เสมอ จนเป็นที่คุ้นเคยและต้องพระราชอัธยาศัย ฉะนั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุปัทวเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องประทับรักษาพระองค์ในสถานพยาบาล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมหลวงบัวพาบุตรี ทั้งสองคือหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์และหม่อมราชวงศ์บุษบาเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทเยี่ยมพระอาการเป็นประจำ จนพระอาการประชวรทุเลาลงและเสด็จกลับพระตำหนักได้

สมเด็จพระราชชนนีได้รับสั่งขอให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์อยู่ศึกษาต่อที่เมืองโลซานน์ในโรงเรียนประจำชื่อโรงเรียน Riante Rive ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในการสอนวิชาพิเศษแก่กุลสตรี คือ ภาษา ศิลปะ ดนตรี ประวัติวรรณคดี และประวัติศาสตร์

ต่อมาอีก ๑ ปี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัวมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วสมเด็จพระราชชนนีรับสั่งขอหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ต่อหม่อมเจ้านักขัตรมงคลและทรงประกอบพิธีหมั้นเป็นการภายใน ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ ทรงใช้พระธำมรงค์ที่สมเด็จพระราชบิดาทรงหมั้นสมเด็จพระราชชนนีเป็นพระธำมรงค์หมั้น แล้วโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ศึกษาต่อไปจนถึงกำหนดตามเสด็จกลับมาถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในเดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓

วันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ มีพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์และ เทพมนตร์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย และในวันนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

วันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับเฉลิมพระบรมนามาภิไธยว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และทรงเฉลิมพระยศ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

วันที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ ทั้งสองพระองค์เสด็จกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพราะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลแนะนำให้ทรงพักรักษาพระองค์อีกระยะหนึ่ง

พุทธศักราช 2494 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี มีพระประสูติกาลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเจริญพระชันษาได้ ๗ เดือน ทั้งสามพระองค์จึงเสด็จนิวัติประเทศไทย ประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ ซึ่งปัจจุบันคือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศร ราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดาฯ ซึ่งปัจจุบันเฉลิมพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดาฯ ปัจจุบันเฉลิมพระอิสริยยศ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิริธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ซึ่งปัจจุบันเฉลิมพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ได้ประสูติต่อมาตามลำดับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน รวมพระราชโอรสและพระราชธิดา ๔ พระองค์

ปลายพุทธศักราช ๒๔๙๘ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ผู้ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาสภากาชาดไทยเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินีให้ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาแทน เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ และในปีเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกทรงพระผนวชตามโบราณราชประเพณี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ภายหลังเมื่อทรงลาผนวชแล้ว ได้ทรงสถาปนาพระราชอิสริยยศสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ อันมีความหมายว่าทรงเป็นที่พึ่งของประชาชน นับเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์ที่สองของไทยต่อจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงปฏิบัติราชการแทนพระองค์เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรป

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณีกิจน้อยใหญ่ทั้งในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีของไทย และในฐานะคู่พระราชหฤทัยแห่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กล่าวคือทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจทั้งหลายไปได้เป็นอันมาก ทั้งยังมีพระราชดำริเริ่มใหม่เพื่อช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศอย่างอเนกอนันต์ ซึ่งโครงการพระราชดำริเหล่านั้นได้ยังประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชนสืบมาจนทุกวันนี้

ที่มา : https://www.royaloffice.th/01/08/2025/พระราชประวัติ-12-08-2566/

https://www.facebook.com/share/p/1EAyxfZweE/

25/10/2025

25 ตุลาคม 2547
โศกนาฏกรรม ‘ตากใบ’
วันที่ 25 ตุลาคม 2547 เกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 85 ราย กลายเป็นรอยร้าวระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน
โศกนาฏกรรมตากใบเกิดขึ้นในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมี พลเอก สัมพันธ์ บุญญานันต์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้บัญชาการทหารบก และพลโท พิศาล วัฒนวงษ์คีรี เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 โดยขณะที่เกิดเหตุเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จประทับ ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส ห่างจากอำเภอตากใบประมาณ 30 กิโลเมตร
จุดเริ่มต้นมาจากการชุมนุมที่หน้าสถานีตำรวจภูธรตากใบ ชาวบ้านเรียกร้องให้ทางการปล่อยตัวชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) 6 ราย ที่ถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหายักยอกปืนของราชการ โดยชาวบ้านจำนวนหนึ่งไม่เชื่อว่า ชรบ.ทั้ง 6 รายกระทำการดังที่ถูกกล่าวหา นำมาซึ่งการชุมนุมใหญ่ ต่อมาตำรวจและทหารตัดสินใจสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา ทั้งยังมีการใช้กระสุนจริงจนมีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุจำนวน 7 ราย (ผู้เสียชีวิต 5 รายมีบาดแผลถูกยิงบริเวณศีรษะ)
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้บังคับให้ผู้ชุมนุมหมอบลง ผู้ชุมนุมหญิงถูกแยกออกจากพื้นที่ ขณะที่ผู้ชุมนุมชาย 1,370 รายถูกสั่งให้ถอดเสื้อ มัดมือไพล่หลัง และขึ้นไปนอนคว่ำซ้อนกันเป็นชั้นๆ บนรถจีเอ็มซีของทหาร เพื่อนำไปคุมขังที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ที่ห่างออกไปกว่า 150 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาเดินทางกว่า 6 ชั่วโมง โดยคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาในเวลานั้นคือ ‘ขนไปให้หมด’ แม้จะมีรถบรรทุกอยู่แค่ 20 คัน
นั่นทำให้รถ 1 คันมีคนนอนซ้อนกันถึง 4-5 ชั้น จนบางคนขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตระหว่างทาง เมื่อถึงปลายทางจึงพบว่า มีผู้เสียชีวิตกว่า 78 ราย ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง รวมถึงรัฐบาลและผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ที่ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้
แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ซึ่ง ณ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงผลการตรวจพิสูจน์ศพในเบื้องต้นว่า ผู้เสียชีวิตทั้งหมดไม่มีบาดแผลฉกรรจ์ที่จะบ่งชี้ได้ว่า เสียชีวิตจากการปะทะ โดยคาดว่า การเสียชีวิตเกิดจากการขาดอากาศหายใจและการยิงแก๊สน้ำตาใส่ เพราะบริเวณตาขาวมีเลือดออก ประกอบกับการขนย้ายผู้ต้องหาทั้งหมดมีความแออัด รถที่ขนส่งไม่เอื้ออำนวยการในการขนส่ง และใช้เวลาในการขนส่งนานถึง 6 ชั่วโมง รวมถึงช่วงนี้เป็นช่วงถือศีลอดของชาวมุสลิม ทำให้กลุ่มผู้เสียชีวิตขาดอาหารและน้ำตาล จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตในขณะเดินทาง
1 วันถัดมา ทักษิณในฐานะนายกฯ กล่าวว่า กรณีมีผู้ตายกว่า 80 รายเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและไม่ต้องการให้เกิดขึ้น แต่เป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธทำร้ายพวกเขา แต่เป็นเพราะขาดอากาศหายใจ เนื่องจากอดอาหาร อดน้ำ และตากแดดทั้งวัน พอขึ้นไปเบียดเสียดยัดเยียดกันในรถ และใช้เวลานานกว่าจะวิ่งถึงที่หมาย คนเหล่านั้นจึงขาดอากาศหายใจและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต
แต่ทั้งหมดก็ไม่สามารถหยุดยั้งความสงสัยของสังคม ประชาคมมุสลิม รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ ต่างก็ประณาม ‘เหตุการณ์ตากใบ’ จนทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า เจ้าหน้าที่กระทำเกินกว่าเหตุ เป็น ‘อาชญากรรมของรัฐ’ ส่วนคลิปบันทึกเหตุการณ์สลายการชุมนุม ถูกเผยแพร่ในสังคมมุสลิมและประชาชนอย่างแพร่หลาย ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ผู้สั่งการออกมาแสดงความรับผิดชอบที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
คณะกรรมการ 11 คนที่รัฐบาลแต่งตั้งเพื่อสืบสวนหาความจริงกรณีตากใบ รายงานข้อค้นพบในเดือนธันวาคม 2548 โดยผลสรุปมีตั้งแต่ความผิดพลาดในแง่วิธีการสลายการชุมนุม ที่ใช้กำลังติดอาวุธและใช้กระสุนจริง โดยเฉพาะการใช้กำลังทหารเกณฑ์และทหารพราน ซึ่งมีวุฒิภาวะไม่สูงพอเข้าร่วมในการเข้าสลายการชุมนุม อีกทั้งผู้บังคับบัญชายังละเลย ไม่ควบคุมดูแลการลำเลียงและเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุม แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารชั้นผู้น้อย ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามแบบแผน และไม่เป็นไปตามวิธีปฏิบัติที่ใช้กันตามหลักสากล
ขณะเดียวกันผลสอบของคณะกรรมการ ยังระบุถึงความผิดของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ 3 ราย ได้แก่
1. พลโท พิศาล วัฒนวงษ์คีรี แม่ทัพภาคที่ 4 ในขณะนั้น เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ขาดความรับผิดชอบในฐานะผู้บังคับบัญชา
2. พลตรี สินชัย นุตสถิตย์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 ในขณะนั้น เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ปฏิบัติงานไม่ครบถ้วนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา จากกรณีพบว่า ในรถบรรทุกมีคนตาย แต่กลับมิได้มีคำสั่งหรือดำเนินการใดๆ
3. พลตรี เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5 ในขณะนั้น ผู้ควบคุมกำลังและเป็นหน่วยภาคยุทธวิธีในการสลายการชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ปฏิบัติงานไม่ครบถ้วนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา
ในอีกด้านหนึ่ง คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ร่วมมือกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและสภาทนายความ จัดตั้ง ‘ศูนย์นิติธรรม’ เพื่อให้การช่วยเหลือด้านคดีความแก่ประชาชนและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ รวมถึงช่วยหาทนายความให้ความรู้และให้คำปรึกษาเรื่องคดีความแก่ประชาชนในพื้นที่ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ใน 3 คดีสำคัญ ได้แก่
1. คดีผู้ต้องหาในข้อหายุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายจำนวน 58 ราย ซึ่งภายหลังอัยการถอนฟ้อง
2. คดีผู้ชุมนุมที่ตากใบเสียชีวิต 85 ราย
3. คดีแพ่งเรียกค่าเสียหายจากการตายโดยการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ
ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐได้พยายามช่วยเหลือเยียวยา ทั้งช่วยค่าทำศพแก่ญาติและครอบครัวผู้สูญเสีย ตลอดจนให้ทุนเด็กกำพร้า 64 ราย แต่ก็ไม่สามารถชดเชยความทุกข์ยากและความเจ็บปวดระหว่างการเป็น ‘จำเลย’ ต้องคดีความที่ผ่านมาได้
เดือนมิถุนายน 2555 ศาลอุทธรณ์ปฏิเสธโอกาสของผู้เสียหายจากกรณีตากใบอีกครั้ง ในการเรียกร้องความยุติธรรมขอไต่สวนการตายของเหยื่อบนรถบรรทุกทั้งหมด โดยมีคำสั่งยกคำร้องต่อการอุทธรณ์คำสั่งไต่สวนการตายเมื่อปี 2552 เนื่องจากคำสั่งศาลจากการไต่สวนการตายเมื่อเดือนตุลาคม 2547 ระบุเพียงว่า เจ้าหน้าที่ความมั่นคงปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ ซึ่งหมายความว่า ไม่มีใครถูกลงโทษจากปฏิบัติการครั้งนี้ และยังคงเป็นอีกอาชญากรรมโดยรัฐ ที่เจ้าหน้าที่ทุกคนลอยนวลพ้นผิด
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ทักษิณตอบคำถามสั้นๆ ในแอปพลิเคชัน Clubhouse หลังจากมีผู้ถามถึงเหตุการณ์ตากใบว่า “รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ตอนนั้นอยู่ในการควบคุมทหาร ผมได้รับรายงานก็เสียใจ จำไม่ค่อยได้ เสียใจ”
คำพูดของทักษิณอาจดูเหมือนปัดความรับผิดชอบ แต่ปริศนายังคงดำรงอยู่จนถึงวันนี้ว่า มีเหตุใดที่ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องรีบเคลียร์พื้นที่ ใครคือผู้สั่งการตัวจริง และเพราะเหตุใดเรื่องนี้จึงจบด้วยการ ‘ลอยนวลพ้นผิด’ ทั้งที่อีกหลายเรื่องหลายคดีในยุคทักษิณนั้น ทักษิณและคณะรัฐมนตรีก็ถูกกระบวนการยุติธรรมเอาผิดแทบทั้งสิ้น
หรือเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวกับทักษิณโดยตรง หรือเรื่องนี้อาจมีผู้เกี่ยวข้องมากเกินไปโดยเฉพาะ ‘ฝ่ายทหาร’ ทำให้การสืบสวนหาข้อเท็จจริงไม่เคยไปถึง
อย่างไรก็ตาม แม้ในเวลาต่อมามีความพยายามจากหลายภาคส่วนขอให้รัฐบาลออก พ.ร.ก.ต่ออายุความคดีตากใบ แต่ด้วยปัญหาทางข้อกฎหมาย ภายหลังจากที่รัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงทำให้การต่ออายุคดีไม่เป็นผล
“ในฐานะนายกฯ วันนี้ก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก และขอโทษในนามของรัฐบาลด้วย ก็จะทำให้ดีที่สุด ไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก” แพทองธารแถลงขอโทษและแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ตากใบในวันที่ 24 ตุลาคม 2567 ก่อนที่คดีความจะครบกำหนดในวันต่อมา
และเมื่อถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2567 หลังจากครบ 20 ปีนับจากวันที่เกิดเหตุ คดีนี้ก็สิ้นสุดลงไป โดยไม่มีจำเลยมาปรากฏตัวต่อศาล ทำให้ศาลไม่สามารถไต่สวน และจำต้องยกฟ้องไปในที่สุด
เป็นการปิดฉากหนึ่งในคดีประวัติศาสตร์ ที่สุดท้ายแล้วไม่มีผู้ใดได้รับโทษแม้แต่คนเดียว
ภาพ: AFP
#ตากใบ #ทักษิณ #ความยุติธรรม #ภาคใต้ #นราธิวาส

สำนักพระราชวัง เผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคตตามที่คณะแพทย์ผู้ถวา...
25/10/2025

สำนักพระราชวัง เผยแพร่ประกาศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต

ตามที่คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี้พันปีหลวง ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๒ เพื่อติดตามพระอาการทางระบบต่าง ๆ ความทราบทั่วกันแล้วนั้น ในช่วงที่ประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปรกติทางระบบต่าง ๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่วันที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่พระอาการทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันศุกร์ ที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เวลา ๒๑ นาฬิกา ๒๑ นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ ๙๓

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สำนักพระราชวัง จัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด ๑ ปี ตั้งแต่วันสวรรคตเป็นต้นไป

สำนักพระราชวัง
๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘

ประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด" รายงานความเคลื่อนไหวคดียักยอกทรัพย์ 431 ล้านบาทเศษ วันที่ 23 ตุลาคม 2568เรื่อง รา...
24/10/2025

ประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด" รายงานความเคลื่อนไหวคดียักยอกทรัพย์ 431 ล้านบาทเศษ

วันที่ 23 ตุลาคม 2568

เรื่อง รายงานความเคลื่อนไหวคดียักยอกทรัพย์ 431 ล้านบาทเศษ
เรียน สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด ทุกท่าน

ด้วยมีสมาชิกสอบถามถึงความเคลื่อนไหวในคดีความอาญายักยอกทรัพย์ 431 ล้านบาทเศษและปลอมแปลงเอกสารมีความเคลื่อนไหวไปถึงไหน ขอรายงานความเคลื่อนไหวคดีหมายเลขดำที่ อ.258/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 1148/2566 ศาลจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 ศาลมีคำพิพากษาจำคุกจำเลย 5 ปี 93 เดือน เงินต้นที่ยักยอกไปจำนวน 405 ล้านบาทจำเลยชดใช้มาแล้ว 100.5 ล้านบาท ให้เงินที่ชำระมาแล้วนำมาหักเงินต้นและที่เหลือให้จำเลยชำระให้หมด ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้เงินต้นส่วนที่เหลือ 304.5ล้านบาทจำเลยยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ทนายโจทก์ร่วมได้แถลงต่อศาลจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 ว่าจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล จำเลยได้ใช้สิทธิในการอุทรณ์โดยขอเลื่อนการยื่นอุทธรณ์มาตามลำดับ ศาลอนุญาตให้เลื่อนได้เป็นครั้งที่ 6 ครั้งสุดท้ายในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ในส่วนคดีความแพ่งที่ต้องติดตามทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย คดีหมายเลขดำที่ พE1/2568 เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 จำนวนทุนทรัพย์ ณ วันฟ้องจำนวน 689,980,80 บาท ศาลนัดพร้อมกันในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.00 น. สรุปคือตั้งแต่ศาลมีคำพิพากษาคดีความอาญา สหกรณ์ของเรายังไม่ได้ชำระเงินค่าเสียหายตามคำพิพากษา กระผมในฐานะผู้ได้รับมอบอำนาจกระทำการดังกล่าวจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ของสหกรณ์ และมวลสมาชิก

จึงประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยทั่วกัน

ขอแสดงความนับถือ
นายอนุศาสตร์ สอนศิลพงศ์
ประธานกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด

https://www.facebook.com/share/p/1Did43jxwN/?mibextid=wwXIfr
23/10/2025

https://www.facebook.com/share/p/1Did43jxwN/?mibextid=wwXIfr

กรมอุทยานฯ เตรียมยิงยาซึม "ช้างหูพับ" ขอนแก่น ขนย้ายไปภูหลวง หลังทำร้ายชาวบ้านเสียชีวิตแล้ว 2 ราย
วันนี้ (23 ต.ค. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการเฝ้าระวัง "ช้างป่าหูพับ" (ช้างป่าสีดอเพศผู้) ในพื้นที่ อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น โดยตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ช้างป่ายังคงออกหากินใกล้กับจุดเดิม คือ บริเวณนาครูถนอม ท้าย หมู่บ้านห้วยทราย ต.สงเปลือย ซึ่งอยู่ห่างจากชุมชนเพียงประมาณ 300 เมตร ทำให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูเวียงและฝ่ายปกครองต้องติดตามอย่างเข้มงวด
ล่าสุด นายสุธรรม วงษ์จันทร์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูเวียง เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและกำหนดให้เป็น วาระเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อชาวบ้านซ้ำอีก
กรมอุทยานฯ มีแนวทางจะดำเนินการส่งผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ เพื่อประเมินสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมของช้างป่า โดยมีแผนจะใช้วิธี ยิงยาซึม เพื่อจับและ ขนย้ายช้างป่าหูพับ ออกจากพื้นที่ไปยัง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จังหวัดเลย
ช้างป่าหูพับตัวนี้เข้ามาหากินในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูเวียงเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 และมีประวัติทำร้ายชาวบ้านเสียชีวิตแล้ว 2 ราย รายแรกเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 และรายที่สองเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568
#ช้างป่าหูพับ #อุทยานแห่งชาติภูเวียง #ขอนแก่น #ขนย้ายช้างป่า #เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง #กรมอุทยานฯ #วาระเร่งด่วน #ปากเสียงไทบ้าน #ข่าวไทยพีบีเอส #ข่าวที่คุณวางใจ

ที่อยู่

71 Theenanon Steet
Changwat Maha Sarakham
44000

เบอร์โทรศัพท์

+66858553535

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สื่ออีสานผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง สื่ออีสาน:

แชร์