
10/08/2025
ศรีสะเกษอพยพกลับ ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่เติมขวัญ เร่งกู้ระเบิดตกค้าง แนะจดจำ ห้ามจับ รีบแจ้ง
แดนดงลำดวน ในเปลวเพลิงสงคราม เมื่อ 'อำนาจ' ถูกส่งต่อ 'ชีวิต' ของประชาชน ยังคงเป็นระเบิดเวลา! 🚨💥
꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂
ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดศรีสะเกษ... เส้นแบ่งที่เคยเป็นเพียงแค่ภาพในแผนที่ วันนี้กลับกลายเป็น "บาดแผลฉกรรจ์" ที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณ ของคนชายขอบ
เหตุการณ์ปะทะกันด้วยอาวุธสงคราม เมื่อวันที่ 24-28 กรกฎาคม2568 ที่ผ่านมานี้ ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความหวาดกลัว และซากปรักหักพังไว้เบื้องหลัง ไม่ใช่แค่บ้านเรือนที่ถูกทำลาย แต่รวมถึงความเชื่อมั่นใน 'รัฐ' และ 'ผู้นำ' ที่กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรง
ขณะที่ชาวบ้านจำนวนมาก ต้องอพยพออกจากบ้านเกิด เพื่อเอาชีวิตรอดจากห่ากระสุนปืนใหญ่ และลูกระเบิด ที่สาดเข้ามาไม่ขาดสาย
ภาพที่ควรจะได้เห็นคือ การเข้าช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน การแสดงความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งจาก "ผู้ว่าราชการจังหวัด" ผู้ซึ่งเปรียบเสมือน 'พ่อเมือง' ที่ต้องปกป้องดูแลลูกบ้านของตัวเอง อย่างสุดความสามารถ
แต่สิ่งที่ปรากฏ กลับสร้างความกังขา และสะท้อนภาพอันน่าเศร้า ของระบบราชการไทย... เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นก่อนหน้า เหตุการณ์สู้รบจะบานปลาย
เมื่อผลการสอบคัดเลือก "สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน" (อส.) ของจังหวัดศรีสะเกษ ถูกประกาศออกมา ด้วยความผิดพลาดใหญ่หลวง
นำมาซึ่งคำถามมากมายจากสาธารณชน แต่คำอธิบายที่ตามมานั้น กลับยิ่งตอกย้ำถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง "เป็นความขัดข้องในการประมวลผล ของระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่ความผิดพลาดของตัวบุคคล"
เป็นคำอ้าง ที่ดูราวกับนิยายวิทยาศาสตร์ ที่เอาไว้ปัดความรับผิดชอบ... หากคอมพิวเตอร์ผิดพลาด แล้วใครเป็นคนสั่งการ? ใครคือผู้รับผิดชอบระบบ?
คำถามเหล่านี้ ยังคงลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ โดยไม่มีใครกล้าหาญพอ ที่จะยอมรับความจริง
ผลพวงจากความผิดพลาดนั้น ก็มาปรากฏชัดในยามวิกฤต เมื่อ "อนุพงศ์ สุขสมนิตย์" ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เริ่มมีท่าทีเก็บตัว และระมัดระวัง ในการลงนามในคำสั่งต่าง ๆ อย่างผิดสังเกต
งานสำคัญ ที่ต้องอาศัยการตัดสินใจที่เด็ดขาด ในช่วงเวลาคับขัน จึงตกไปอยู่กับ "รองผู้ว่าราชการจังหวัด" ที่ต้องรับหน้าเสื่อแทนทั้งหมด...
ภาพของ "รองผู้ว่าฯ" ที่ต้องคอยรับมือกับสถานการณ์หน้างาน คอยสั่งการประสานหน่วยงานต่าง ๆ ท่ามกลางความเดือดร้อนของชาวบ้าน
โดย "พ่อเมือง" เลือกที่จะแบ่งงาน ลงพื้นที่เดินสายเติมขวัญกำลังใจ ให้กับชาวบ้านในศูนย์อพยพแทบทุกวัน กลายเป็นภาพซ้ำที่ชินตา
สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสังคมไทย หากแต่เป็นรูปแบบที่คุ้นชินของระบบราชการ ที่เน้นการรักษาระบบ มากกว่าการดูแลประชาชน
ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร ที่จะแบ่งงานกันแบบนั้น เพราะกลยุทธ์ในการรับมือวิกฤต ที่ผู้นำแต่ละคนเลือกใช้ ย่อมไม่เหมือนกัน ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เผชิญ
เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น ผู้นำหลายคนมักจะใช้วิธีการ "ลอยตัว" หรือ "สลายตัว" เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางกฎหมาย และการเมือง
ขณะที่ "ผู้ใต้บังคับบัญชา" หรือ "ลูกน้อง" ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นเกมการเมืองที่ซับซ้อน และไร้ซึ่งคุณธรรม ที่คนเล็กคนน้อย ต้องเป็นผู้แบกรับภาระหนักอึ้ง เอาไว้เพียงลำพัง
ระเบิดที่มองไม่เห็น เมื่อ 'บ้าน' กลายเป็น 'กับระเบิด' เมื่อสถานการณ์สู้รบเริ่มคลี่คลายลง ผู้คนในพื้นที่เสี่ยงภัย เริ่มได้รับอนุญาต ให้เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาของตนเองได้... ในเช้าวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2568
เสียงประกาศนี้อาจฟังดูเป็นข่าวดี เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นใหม่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือการส่งประชาชนกลับไปสู่ "สงครามเงียบ" ที่อันตรายไม่แพ้สงคราม ที่เพิ่งจะสงบลงไป
กระสุนปืนใหญ่ และวัตถุระเบิดจำนวนมหาศาล ที่ถูกยิงเข้ามาในพื้นที่ ได้ทิ้งร่องรอยมรณะไว้ตามหมู่บ้าน และพื้นที่เกษตรกรรมต่าง ๆ ในหลายตำบล ทั้งภูผาหมอก, เสาธงชัย, รุง, ละลาย, โนนสำราญ, บึงมะลู, ชำ, เมือง, เวียงเหนือ และทุ่งใหญ่...
เหล่าวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิดเหล่านี้ เปรียบเสมือน "ระเบิดเวลา" ที่กำลังนับถอยหลังอยู่ในทุก ๆ ตารางนิ้ว ของผืนแผ่นดิน ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ทำกิน และที่พักพิง
คำเตือนที่ตามมานั้น ฟังดูเรียบง่ายและเป็นทางการ "โปรดใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ" "ห้ามเข้าไปบริเวณพื้นที่กระสุนตก ที่ยังไม่ระเบิด" และ "หากพบเห็นให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่"...
คำเตือนเหล่านี้ แม้จะมีความหวังดี แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ความหมาย เมื่อเทียบกับความเป็นจริง อันโหดร้ายของชาวบ้าน ที่กำลังกลับสู่บ้าน ที่อาจกลายเป็นสนามรบได้ทุกเมื่อ
ชาวบ้านต้องเดินอย่างระมัดระวังในพื้นที่ ที่เคยวิ่งเล่นอย่างอิสระ ต้องหวาดระแวงทุกย่างก้าวที่เดินเข้าสู่ไร่นา ที่เคยเป็นแหล่งทำมาหากิน และต้องอยู่อาศัยในบ้านที่อาจมีลูกระเบิด ที่พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา
การเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ตกค้าง ในพื้นที่ยังไม่แล้วเสร็จ... ประโยคนี้ คือการยอมรับถึงความจริง อันน่าสะเทือนใจที่ว่า "รัฐ" ยังไม่สามารถคุ้มครอง ความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ให้กับประชาชนของตนเอง ได้อย่างเต็มที่
การอนุญาตให้กลับบ้านในช่วงเวลาเช่นนี้ จึงไม่ใช่แค่การให้ความหวัง แต่เหมือนกับการผลักประชาชน ให้กลับไปเผชิญหน้ากับอันตราย ด้วยตนเองอีกครั้ง
รัฐในฐานะ 'ผู้ทิ้ง' และประชาชนในฐานะ 'ผู้รับ' ประเด็นของศรีสะเกษในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของการสู้รบ ตามแนวชายแดน หรือการบริหารจัดการ ของเจ้าหน้าที่ในภาวะวิกฤต
หากแต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจน ของความสัมพันธ์ระหว่าง "รัฐ" กับ "ประชาชน" ในสังคมไทย ที่ถูกละเลย และมองข้ามมาโดยตลอด
"อำนาจที่ไม่รับผิดชอบ" การที่ผู้ว่าฯ ลอยตัว และปล่อยให้รองผู้ว่าฯ รับหน้าเสื่อในสถานการณ์วิกฤต สะท้อนถึงวัฒนธรรมการเมืองแบบ "หนีปัญหา" และ "เอาตัวรอด" ที่ฝังรากลึกอยู่ในระบบราชการไทย
การเมืองแบบนี้ ไม่สนใจผลกระทบต่อประชาชน แต่ให้ความสำคัญ กับการรักษาตำแหน่ง และความอยู่รอดของตัวเองเป็นหลัก
ผู้ว่าฯ อาจจะคำนึงถึงผลกระทบทางการเมือง ที่อาจเกิดขึ้น จากการเซ็นคำสั่งสำคัญในภาวะฉุกเฉิน และเลือกที่จะ "เก็บตัว" เพื่อให้ตัวเองปลอดภัยที่สุด... ในขณะที่ความปลอดภัยของประชาชน ถูกผลักไปไว้เป็นเรื่องรอง
ประชาชนในฐานะ 'เหยื่อ' ของนโยบาย การอนุญาตให้ชาวบ้านกลับบ้าน ท่ามกลางสถานการณ์ ที่ยังมีวัตถุระเบิดตกค้าง อยู่เป็นจำนวนมาก
สะท้อนให้เห็นถึงการมองประชาชน เป็นเพียง 'ตัวเลข' ในสถิติ หรือ 'เบี้ย' ตัวหนึ่งในเกมการเมือง และเกมการบริหารจัดการภาครัฐ
การที่ประชาชนต้องกลับบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงภาระค่าใช้จ่าย ในการดูแลศูนย์อพยพ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐรีบเร่ง ประกาศให้ประชาชนกลับสู่ภูมิลำเนา... โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของชาวบ้าน อย่างแท้จริง
สื่อสารที่ขาดความจริงใจ คำเตือนที่ให้ประชาชนระมัดระวัง หรือห้ามเข้าพื้นที่อันตรายนั้น ดูเหมือนจะเป็นเพียงพิธีกรรมทางราชการ เพื่อแสดงให้เห็นว่า "รัฐได้เตือนแล้ว"
แต่ในความเป็นจริง เป็นคำเตือนที่ไร้ซึ่งพลัง และขาดการปฏิบัติที่จริงจัง หากรัฐมีความจริงใจ ในการดูแลประชาชนอย่างแท้จริง
การเก็บกู้วัตถุระเบิด ควรจะเป็นภารกิจอันดับหนึ่ง ที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น ก่อนที่จะอนุญาตให้ประชาชนกลับเข้าพื้นที่ ไม่ใช่การปล่อยให้ประชาชน กลับไปเสี่ยงชีวิตเอง แล้วบอกให้ "ใช้ความระมัดระวัง"
เมื่อ 'ข่าว' เป็นแค่ 'เปลือก' และ 'ความจริง' ถูกซุกซ่อนไว้ใต้พรม ในวงการราชการท้องถิ่น มีเรื่องราวมากมาย ที่สื่อกระแสหลัก ไม่ได้นำเสนออย่างเจาะลึก
เพราะคือโลกที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ การเมือง และความสัมพันธ์อันซับซ้อน ที่ยากจะอธิบายได้ด้วยข่าวสั้น ๆ แค่ไม่กี่บรรทัด
ความผิดพลาดในการประกาศผลสอบ อส. ไม่ใช่แค่ความผิดพลาด ของระบบคอมพิวเตอร์อย่างที่กล่าวอ้าง หากแต่เป็นการส่งสัญญาณบางอย่างที่บอกว่า "มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ"
การที่ผู้ว่าฯ ต้องเก็บตัว และให้รองผู้ว่าฯ รับหน้าเสื่อแทน นับแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่ใช่แค่เรื่องของความระมัดระวัง แต่เป็นเรื่องของความกลัว...
กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับความจริง กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกลัวที่จะต้องรับผิดชอบ ในสิ่งที่ตัวเองอาจจะไม่ได้ทำ หรือทำไปแล้ว โดยที่ไม่อยากให้ใครรู้
ในแวดวงข้าราชการด้วยกันเอง เรื่องราวเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะทุกคนรู้ดีว่า "ผู้ว่าฯ" ที่เป็นใหญ่ที่สุดในจังหวัด คือผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่ล่อแหลมที่สุด
หากมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น ผู้ว่าฯ คือคนแรก ที่จะถูกโยนความผิดให้ แต่ในบางครั้ง ก็มีเกมการเมืองที่ถูกจัดฉากขึ้น เพื่อปกป้องคนบางกลุ่ม และใช้คนบางคนเป็นเครื่องมือ ในการรับผิดชอบแทน
ชาวบ้านต้องเผชิญกับ "ระเบิดตกค้าง" ตามหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่เรื่องของความล่าช้าในการเก็บกู้ แต่เป็นเรื่องของความลำบากใจ ในการจัดสรรงบประมาณและบุคลากร ในภาวะที่ยังไม่แน่นอน...
"รัฐ" อาจจะมองว่า การดูแลประชาชนในศูนย์อพยพ มีค่าใช้จ่ายสูง จึงต้องรีบเร่งให้กลับบ้าน แต่ไม่ได้คำนึงถึง "ต้นทุน" ของชีวิตประชาชน ที่อาจจะต้องสูญเสียไป จากการกลับไปเผชิญหน้า กับอันตรายเหล่านั้น
เรื่องราวของศรีสะเกษในครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าข่าวการสู้รบ เป็นมากกว่าข่าวการบริหารจัดการที่ผิดพลาด แต่เป็นเรื่องราวที่บอกเล่าถึง...
ความเปราะบางของชีวิตคนชายขอบ ที่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจที่ไม่มั่นคง และต้องเผชิญหน้ากับความจริง ที่เจ็บปวดที่ว่า... ในบางครั้ง 'ผู้นำ' ก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างเราเสมอไป
ท้ายที่สุดแล้ว... สำหรับชาวศรีสะเกษ ที่กำลังกลับสู่ภูมิลำเนาในขณะนี้ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ การดูแลตัวเอง และคนในครอบครัวให้ปลอดภัยที่สุด เท่าที่จะทำได้
ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ คือ "ห้ามจับ รีบแจ้ง" และสิ่งที่ควรจะจดจำเอาไว้ตลอดไปคือ... เหตุการณ์นี้ได้ทิ้งบาดแผล และบทเรียนอันยิ่งใหญ่ ไว้ให้เราได้เรียนรู้ว่า... ความปลอดภัยของประชาชน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดูแลของรัฐ เพียงอย่างเดียว
หากแต่ขึ้นอยู่กับความระมัดระวัง และการลุกขึ้นมาส่งเสียง ของตัวเราเองด้วย
และสำหรับนักการเมือง และข้าราชการในทุกระดับชั้น... หากยังคงใช้วิธีการ "ลอยตัว" และ "เอาตัวรอด" ในยามวิกฤตเช่นนี้อยู่เรื่อยไป
ในอนาคตข้างหน้า เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นอีกครั้ง... สิ่งที่อาจจะสูญเสียไป อาจไม่ใช่แค่ความเชื่อมั่น
แต่คือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เคยสร้างมาอย่างยากลำบาก ก็เป็นได้...
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----
⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉
✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 100919 ส.ค. 2568
#ศรีสะเกษ #ผู้ว่า #ความขัดแย้งชายแดน #การเมืองท้องถิ่น #ระเบิดเวลา #สงคราม #ความจริงที่ต้องพูด #ประเทศไทย