ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket

ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket, เว็บไซต์ข่าวและสื่อ, บริษัทเอไอไฟว์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (สำนักงานใหญ่) 157/1193 หมู่ที่ 6 ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง, Changwat Si Sa Ket.
(340)

꧁༺ บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน เริ่มจากแนวคิดลึก เปิดด้วยเหตุการณ์จริง นำพาเข้าสู่การตีความลึก แบบนักวิเคราะห์ข่าวกรอง นำเสนอมุมมองใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เล่าข่าว หรือเล่าเรื่องซ้ำ แต่ตีแผ่ประเด็นลึก ๆ ที่คนในแวดวง ไม่ค่อยกล้าพูดออกมา ༻꧂

ฮุนชินสะท้านทรวง หนูแทะปมเงื่อน MOU43-44 คว่ำชามข้าวอ่าวไทย แม้จำใจยุบสภา ก็ยังได้รักษาการดุเดือด! ขีดเส้นตาย ก.ย. 68 กอ...
06/09/2025

ฮุนชินสะท้านทรวง หนูแทะปมเงื่อน MOU43-44 คว่ำชามข้าวอ่าวไทย แม้จำใจยุบสภา ก็ยังได้รักษาการ

ดุเดือด! ขีดเส้นตาย ก.ย. 68 กองทัพกับเพื่อไทย ปม MOU43-44 สู่สงครามใต้ดิน! 💣🔥

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

เมื่อแสงไฟแห่งความจริง ส่องลงบนเวทีการเมืองไทย ภาพที่ปรากฏ ไม่ใช่แค่เรื่องราวการเมืองธรรมดา แต่คือการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์มหาศาล ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังม่านแห่ง "ความเข้าใจ" และ "ความสัมพันธ์อันดี" ที่เคยถูกนำมาอ้าง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ "พรรคเพื่อไทย" พลิกบทบาทจากผู้กุมอำนาจรัฐบาล มาเป็นฝ่ายค้าน และการปรากฏตัวขึ้นมาในฐานะรัฐบาลของ "พรรคภูมิใจไทย" ได้จุดชนวนสงครามการเมือง ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสภา

แต่ลุกลามไปถึงความมั่นคงของชาติ และผลประโยชน์ของประชาชนไทยทั้งประเทศ

จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ที่เปรียบได้กับการลั่นไกปืน คือประเด็น "MOU43-44" ซึ่งพรรคภูมิใจไทยประกาศอย่างชัดเจนว่า จะยกเลิกบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ กับประเทศกัมพูชา

ซึ่งเป็นเหมือนการ "คว่ำชามข้าว" ที่เคยป้อนผลประโยชน์ให้กลุ่มทุนบางกลุ่ม อย่างไม่เป็นธรรมมานานหลายปี

ทว่าในอีกมุมหนึ่ง พรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้าน กลับออกมาโต้แย้งอย่างรุนแรงว่า การยกเลิก MOU ดังกล่า วจะทำให้ประเทศไทยเสี่ยงต่อการเสียดินแดน และอาจเปิดช่องให้ประเทศที่สาม เข้ามาแทรกแซงข้อพิพาท บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

คำกล่าวอ้างนี้ ไม่ใช่แค่การแสดงบทบาทฝ่ายค้านทั่วไป แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงความห่วงใยที่ซ่อนเร้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเบื้องหลังของคำพูด ที่ดูเหมือนจะปกป้องผลประโยชน์ของชาตินั้น มีวาระซ่อนเร้น ที่มุ่งปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนตนเองอยู่

นี่คือการต่อสู้ที่ซับซ้อนกว่าที่ตาเห็น คือการปะทะกันของ "อำนาจเก่า" ที่หวังจะรักษาโครงสร้างเดิม ๆ กับ "อำนาจใหม่" ที่ต้องการรื้อถอน และสร้างมาตรฐานใหม่ ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

คือเหตุผลที่ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสภา แต่จะลุกลามไปสู่การต่อสู้นอกเกมการเมือง ที่มีเครือข่ายสนับสนุนจากภายนอก คอยหนุนหลังกัมพูชาอย่างลับ ๆ โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ของกัมพูชามาเป็นข้ออ้าง

ชนวนระเบิด! เมื่อ "MOU43-44" เป็นแค่บันทึกความเข้าใจปลอม ๆ การอ้างว่า เป็นเพียงบันทึกความเข้าใจ เรื่องการปักปันเขตแดนนั้น เป็นเพียงเปลือกนอกที่สวยงาม

แต่แก่นแท้กลับเน่าเฟะ ถูกยัดไส้ด้วยผลประโยชน์ที่ซับซ้อน และผิดกฎหมาย มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยที่ พรรคเพื่อไทยและตระกูลชินมีอำนาจ ใช้ MOU นี้เป็นเครื่องมือในการ "มั่วนิ่ม" เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงิน และทรัพยากรแก่กัมพูชา อย่างผิดหลักการ

โดยเอาเงินภาษีของคนไทยไปประเคนให้ เพื่อแลกกับผลประโยชน์มหาศาลจาก "พลังงานในอ่าวไทย" ซึ่งเป็นแหล่งขุมทรัพย์ ที่กำลังจะถูกปล้นไปจากคนไทยทั้งประเทศ

ความร่วมมือในการช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้าน ควรเป็นเรื่องที่แยกต่างหาก จากการเจรจาปักปันเขตแดน แต่ที่ผ่านมา ตระกูลชินได้ทำให้เรื่องทั้งสอง ปะปนกันจนยากจะแยกออก ทำให้ MOU ที่ควรจะเป็นแค่เอกสารทางเทคนิค กลายเป็นการ์ดที่ใช้ปกป้องผลประโยชน์ ของกลุ่มทุนตนเองได้อย่างแนบเนียน

นี่คือการตีแผ่ประเด็น ที่คนในแวดวงไม่ค่อยกล้าพูดถึง เพราะคือการรื้อฟื้นบาดแผลเก่า ๆ ที่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

สงครามชายแดน การปะทะกันของสองมุมมอง ในขณะที่การเมืองในสภากำลังดุเดือด เรื่องราวที่ชายแดนไทย-กัมพูชา กลับยิ่งตึงเครียดขึ้นไปอีก ด้วยปัญหาแรงงานต่างด้าวเถื่อน ที่กำลังจะกลายเป็น ระเบิดเวลา ที่รอการจุดชนวน

การอพยพของชาวกัมพูชาจำนวนมาก เข้ามาในประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการวางแผนอย่างเป็นระบบ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากการ “ใจดี” ของคนไทย

ชาวกัมพูชาจำนวนมากเตรียมลักลอบเข้ามา เพราะพืชผลการเกษตรราคาตกต่ำ แต่คำตอบที่น่าตกใจจากปากชาวเขมรเหล่านี้คือ “ไม่กลัวกฎหมายไทย เพราะคนไทยใจดี จับไปก็มีข้าวกินฟรี”

นี่คือการตอกย้ำถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ ไม่ใช่แค่เรื่องของความยากจน แต่เป็นปัญหาที่เชื่อมโยงกับ เครือข่ายเจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วย ที่แสวงหาผลประโยชน์ จากค่าหัวคิวของแรงงานเถื่อนข้ามชาติ

ทำให้ความพยายามของกองทัพไทย ที่ต้องการผลักดันให้แรงงานเถื่อน ออกไปจากแผ่นดินไทยนั้น แทบจะไร้ความหมาย

ในทางกลับกัน "ฮุน เซน" เริ่มส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากกองทัพไทย และยอมรับอย่างเป็นทางการว่า พื้นที่หลายแห่งในจังหวัดสระแก้ว เป็นดินแดนของไทย บ่งบอกถึงความพยายาม ในการใช้กลไกระหว่างประเทศ

ทั้งการส่งกษัตริย์สีหมุนีไปจีน การเยือนเวียดนามของฮุนเซน หรือแม้แต่การขอร้อง "UNSC" โดยนายกฮุนมาเนตนั้น ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะหลักฐานของไทย ชัดเจนเกินกว่าจะปฏิเสธได้ว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน และรุกล้ำอธิปไตยของไทยจริง ๆ

สถานการณ์นี้ทำให้กองทัพไทย มีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่า และต้องการเปิดศึกครั้งที่สองอย่างเด็ดขาด หากกัมพูชายังคงไม่ยอมคืนพื้นที่ ที่รุกล้ำไปทั้งหมด

การประชุม GBC ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 9 กันยายน 2568 นี้ จึงเป็นเหมือน "เส้นตาย" ที่จะกำหนดชะตากรรมของพื้นที่พิพาท และนี่คือสิ่งที่ทำให้การยกเลิก "MOU43-44" เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ต่อความมั่นคงของชาติ

เกมอำนาจเบื้องหลัง การบินไปนครดูไบของทักษิณ ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองและชายแดน เรื่องราวของ "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" ที่เดินทางไปนครดูไบ ดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องราวส่วนตัว

แต่ถ้ามองให้ลึก นี่คืออีกหนึ่งหมากสำคัญ ในเกมการเมืองที่ซับซ้อน และเปี่ยมไปด้วยกลอุบาย การบินไปในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การไปพักผ่อน หรือรักษาตัว

แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่วางแผนโดย "เนติบริกร" อย่าง "นายวิษณุ เครืองาม" และผู้มีอำนาจตัดสินใจตัวจริง ที่อยู่เคียงข้างกายของทักษิณมาตลอด

เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ มีอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือ การใช้ใบรับรองแพทย์จากนครดูไบ เพื่อต่อรองในคดีความที่กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งอาจเป็นความพยายาม ที่จะเลื่อนการตัดสินคดีออกไป หรือแม้กระทั่งหาช่องทางหลุดพ้น จากข้อกล่าวหาทั้งหมด

ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะแสดงให้เห็นว่า "อำนาจเงิน" อาจสามารถบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม ได้จริงหรือไม่?

ประการต่อมาคือ การเตรียมพร้อมสำหรับ "การหลบหนีอย่างถาวร" หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง การบินออกนอกประเทศในช่วงเวลาที่เหมาะสมนี้ จึงเป็นเหมือนการวัดใจว่า หากเจรจากับกระบวนการยุติธรรมได้สำเร็จ ก็จะบินกลับมา แต่หากไม่ ก็จะไม่กลับมาอีกเลย

แต่คำถามสำคัญที่คนไทยหลายคนสงสัยคือ "ถ้าทักษิณไม่กลับมา พรรคเพื่อไทยจะล่มสลายหรือไม่?" คำตอบคือ "ไม่มีทาง" เพราะแท้จริงแล้ว ทักษิณไม่ใช่ผู้มีอำนาจตัวจริง แต่เป็น "นายหญิง" ที่เป็นผู้กุมชะตาชีวิตของพรรคอย่างแท้จริง

นายหญิงข้างกายทักษิณ คือผู้อนุมัติเม็ดเงิน และเป็นผู้ที่พร้อมจะกลับมา "ไล่เช็คบิล" นักการเมืองที่เคยทรยศหักหลังในอดีต อย่างสาสม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสงครามการเมืองที่แท้จริง เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น

การปราชัยครั้งนี้ไม่ใช่จุดจบของ "ตระกูลชิน" แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นบทใหม่ของสงคราม เพื่อแย่งชิงอำนาจ และผลประโยชน์เท่านั้นเอง

ถึงจุดจบ ที่ไม่มีวันสิ้นสุด การต่อสู้เพื่อยกเลิก "MOU43-44" จึงไม่ใช่แค่เรื่องของนโยบาย แต่เป็นการทดสอบขีดความสามารถของ "พรรคภูมิใจไทย" ในสถานการณ์ที่ "กองทัพไทย" กำลังเข้มแข็ง และมีประชาชนหนุนหลังอย่างเต็มที่

หากทำสำเร็จ พรรคภูมิใจไทยจะได้รับคะแนนนิยมอย่างมหาศาล และลดกระแสความนิยมของพรรคเพื่อไทย ลงอย่างฮวบฮาบ

แต่หากทำไม่สำเร็จ ก็จะส่งผลร้ายแรงต่อคะแนนนิยมของพรรค และเปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทย กลับมามีอำนาจอีกครั้ง

นี่คือสงครามการเมือง ที่เต็มไปด้วยกลอุบาย ผลประโยชน์ และการหักหลัง ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการการเมือง แต่เชื่อมโยงกับความมั่นคงของชาติ เศรษฐกิจ และชีวิตของประชาชน อย่างแยกไม่ออก

เพราะเมื่อหนูแทะปมเงื่อน MOU43-44 คว่ำชามข้าวอ่าวไทย การต่อสู้ที่แท้จริง เพื่อผลประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติ ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว…

พร้อมหรือยังที่จะเปิดตา และรับรู้ความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ม่านแห่ง "ความเข้าใจ" และ "ความสัมพันธ์อันดี" ที่เคยถูกใช้เป็นข้ออ้างมาโดยตลอด?
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----

⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉

✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 060858 ก.ย. 2568

#ฮุนชินสะท้านทรวง #การเมืองไทย #อ่าวไทย #กัมพูชา #ทักษิณ #ภูมิใจไทย #เพื่อไทย #ความมั่นคงของชาติ #สงครามการเมือง #แรงงานเถื่อน #ฮุนเซน

ภูมิใจไทย สมใจนึก หนูคว้าเก้าอี้ นายกรัฐมนตรี เร่งเคลียร์คดีพัวพัน ให้คำมั่นยุบสภา ภายใน 4 เดือนอนุทินคว้าเก้าอี้นายกฯ! ...
05/09/2025

ภูมิใจไทย สมใจนึก หนูคว้าเก้าอี้ นายกรัฐมนตรี เร่งเคลียร์คดีพัวพัน ให้คำมั่นยุบสภา ภายใน 4 เดือน

อนุทินคว้าเก้าอี้นายกฯ! ภูมิใจใคร? ใครภูมิใจ? เมื่อการเมืองไทย ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของ “ทุกคน” ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน! 🧐💔

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

วันที่ประวัติศาสตร์ถูกเขียนขึ้นใหม่ วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พศ. 2568 ณ อาคารรัฐสภาไทย เสียงโหวตที่ก้องกังวานในห้องประชุม ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือการสั่นสะเทือนของรากฐานทางการเมือง ที่เคยยึดโยงอยู่กับ "ขั้วอำนาจเก่า" และ "ขั้วอำนาจใหม่" อย่างที่เคยเป็นมา

การประชุมเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ได้กลายเป็นบันทึกหน้าสำคัญ ที่พลิกโฉมหน้าการเมืองไทย อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด และชื่อของ "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" หรือที่ใคร ๆ เรียกติดปากว่า "หนู" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับการโหวตด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วยถึง 311 เสียง ภายใต้เสียงชื่นชม และเสียงก่นด่าที่ดังอื้ออึงไม่แพ้กัน

วันนั้นไม่ใช่แค่วันที่ “หนู” ได้รับชัยชนะ แต่มันคือวันที่ "ภูมิใจไทย" ได้กลายเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้อย่างสมใจนึก ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือผลลัพธ์ของสมการการเมืองที่ซับซ้อน ซ่อนเร้น และเต็มไปด้วยการเจรจาต่อรองลับหลังฉาก ที่ยากจะคาดเดา

ในขณะที่ทุกสายตา ต่างจับจ้องไปที่พรรคการเมืองใหญ่ ที่เคยเป็นคู่ขัดแย้ง พรรคเล็ก พรรคกลาง อย่างภูมิใจไทย กลับกลายเป็น "ตัวแปร" ที่พลิกเกมได้อย่างเหนือชั้น!

แต่เรื่องราวที่น่าสนใจยิ่งกว่าชัยชนะครั้งนี้ คือเบื้องลึกเบื้องหลังของคะแนนเสียง ที่ไหลบ่าเข้ามาให้ “หนู” ได้ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ นั่นคือการ "โหวตสวนมติพรรค" ที่เกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจาก สส. หลายพรรค ทั้ง 9 งูเห่าจากพรรคเพื่อไทย ที่โหวตให้ “หนู” อย่างชัดเจน

ทั้ง 4 สส. จากพรรคประชาธิปัตย์ที่ฝ่าฝืนมติ “งดออกเสียง” และยังมีบางส่วนจากพรรคไทยสร้างไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ร่วมโหวตสนับสนุนอย่างไม่ลังเล ในขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติเอง ก็มี สส. บางส่วนที่ "งดออกเสียง" เพื่อแสดงจุดยืนที่แตกต่างออกไป

ปรากฏการณ์ "งูเห่า" หรือ "สส. สวนมติพรรค" ที่เคยเห็นจนชินตา ในการเมืองไทย กลับมาอีกครั้งในบริบทที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัว

แต่เป็นการส่งสัญญาณว่า "การเมืองในระบบพรรค" กำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรง และการยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรคนั้น อาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับ สส. บางคนอีกต่อไป

การเข้าถึงอำนาจของพรรคภูมิใจไทย ที่ไม่ได้มีจำนวน สส. มากที่สุด อย่างที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรกนี้ ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า "ใครเป็นคนกำหนดเกมนี้?" และ "ชัยชนะของ 'หนู' คือชัยชนะของใครกันแน่?"

แกะรอยสมการอำนาจที่มองไม่เห็น หากมองผิวเผิน การที่ภูมิใจไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อาจดูเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือผลลัพธ์ของเกม ที่ถูกวางหมากอย่างแยบยลตั้งแต่ต้น

ในช่วงที่พรรคเพื่อไทย ยังคงเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล ร่วมกับพรรคประชาชนโดยมี "ชัยเกษม นิติสิริ" เป็นแคนดิเดตนายกฯ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ความขัดแย้งของสองพรรคนี้ แต่ในเงามืดนั้นเอง "ขั้วอำนาจที่มองไม่เห็น" ได้เริ่มทำงาน

ขั้วอำนาจนี้ อาจไม่ใช่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ หรือกลุ่มการเมืองแบบเดิม ๆ แต่เป็นกลุ่มที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ในการ "สกัด" การผงาดขึ้นของพรรคการเมือง ที่มาจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริง

และาก็เลือกที่จะ "วางเดิมพัน" กับพรรคที่สามารถ "ต่อรอง" ได้ง่ายกว่า ซึ่งก็คือพรรคภูมิใจไทย ที่มีประวัติศาสตร์การเมืองที่ยืดหยุ่น และพร้อมที่จะทำงานกับทุกขั้วอำนาจ

การที่ สส. จากพรรคเพื่อไทย 9 คน โหวตสวนมติพรรค เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า แม้แต่พรรคที่เคยเป็นขั้วอำนาจเก่า ก็ยังไม่สามารถควบคุม สส. ของตนเองได้ทั้งหมด

การตัดสินใจของ สส. เหล่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของ "อุดมการณ์ที่แตกต่าง" แต่เป็นเรื่องของ "ข้อตกลงที่นอกเหนือจากมติพรรค" ที่เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง หรือเป็นสัญญาณว่า "ขั้วอำนาจ" ในพรรคเพื่อไทยเอง ก็ไม่ได้เป็นเอกภาพอย่างที่เคยเป็นมา

ยิ่งไปกว่านั้น การที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยมีมติ "งดออกเสียง" กลับมี สส. 4 คนโหวตสนับสนุน “หนู” ก็เป็นการตอกย้ำว่า "พรรคการเมือง" กำลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ และการตัดสินใจของ สส. กำลังถูกชี้นำโดยปัจจัยอื่น ที่นอกเหนือจาก "วิถีประชาธิปไตย" ที่พึงมี

ดังที่ "นายชัยชนะ เดชเดโช" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวไว้ว่า...

"ถ้าคิดว่า จะใช้เอกสิทธิ์กันตลอด ตนเรียนว่า ระบบประชาธิปไตย เวลาเราลงรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกส ภาผู้แทนราษฎร เราต้องลงสังกัดพรรค แต่ถ้าเกิดว่าวันหนึ่ง เราเลือกตั้งชนะมาแล้วมาอยู่ในพรรค แต่เวลาโหวตนายกฯ แล้วอ้างเอกสิทธิ์ สส. ก็เหมือนเราทำให้การเมืองพรรคการเมืองอ่อนแอ ทำให้ระบบประชาธิปไตยมันอ่อนแอลง"

คำพูดนี้สะท้อนความจริงอันน่าเจ็บปวดว่า "พรรคการเมือง" ในปัจจุบัน ไม่ใช่สถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็งอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นเพียง "กระดาน" ให้ สส. ได้ใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจ

เมื่อมีโอกาสที่ "ดีกว่า" เข้ามา สส.เหล่านั้น ก็พร้อมที่จะหันหลังให้กับพรรค ที่เคยให้โอกาสทันที

ปรากฏการณ์ “หนู” และอนาคตที่ไม่แน่นอน เมื่อได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 คำถามที่ตามมาคือ "แล้วอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร?"

สิ่งที่น่าสนใจคือคำกล่าวแรกของ “หนู” หลังได้รับตำแหน่ง คือการเน้นย้ำเรื่อง "เวลาที่มีอยู่น้อย" และต้องทำงาน "ไม่มีวันหยุด" รวมถึงการให้คำมั่นว่าจะ "เร่งแก้ไขปัญหา" ให้คลี่คลาย คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่แค่การให้คำมั่น ตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่คือการยอมรับโดยปริยายว่า "รัฐบาลนี้มีเวลาจำกัด"

"การยุบสภาใน 4 เดือน" ที่กลายเป็นข่าวลือหนาหู ก็ยิ่งตอกย้ำว่ารัฐบาลนี้เป็นแค่ "รัฐบาลเฉพาะกาล" หรือ "รัฐบาลเปลี่ยนผ่าน" ที่มีภารกิจสำคัญในการ "จัดระเบียบ" ทางการเมืองบางอย่าง ให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนที่จะคืนอำนาจ ให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง

ภารกิจแรก ๆ ที่รัฐบาลของ “หนู” ต้องเผชิญก็คือการ "เคลียร์คดีความ" ที่พัวพันกับบุคคลสำคัญ ในแวดวงการเมือง รวมถึงการจัดการกับ "ข้อตกลงลับ" ที่เกิดขึ้นก่อนการโหวตนายกฯ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และหากทำไม่สำเร็จ ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ภายในรัฐบาลเองในไม่ช้า

ในขณะที่พรรคเพื่อไทย ได้ประกาศตัวเป็น "ฝ่ายค้าน" และให้คำมั่นว่าจะ "ทำหน้าที่ตามครรลองของรัฐสภา" ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเมืองไทย กำลังเดินไปในทิศทางที่แปลกประหลาด

พรรคที่เคยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล กลับต้องไปทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ที่ตนเคยเป็น "ตัวแปร" สำคัญในการช่วยจัดตั้ง

สิ่งที่น่าจับตาต่อไปคือ การทำงานของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาชน ที่ดูเหมือนจะไม่ได้แตกแถว และยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ของตน

ซึ่ง "นายกัณวีร์ สืบแสง" จากพรรคเป็นธรรม ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า "ขอฝากรัฐบาลคุณอนุทินฯ ช่วยเร่งติดตาม" ในหลายประเด็นสำคัญ ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน การแก้ปัญหาชายแดน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ภารกิจเหล่านี้คือ "บททดสอบ" สำคัญของรัฐบาล “หนู” ว่าจะสามารถตอบสนอง ความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริงหรือไม่

ใครภูมิใจ? คำถามที่ทุกคนต้องตอบ เมื่อพิจารณาจากทุกมุมมองแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในการเมืองไท ยไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่คือการ "ปรับสมดุลอำนาจ" ครั้งใหญ่ ที่แทรกซึมไปทั่วทุกวงการ

"ภูมิใจไทย" ได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจทางการเมือง ได้อย่างสมใจนึก แต่คำถามที่ตามมาคือ "ภูมิใจจริงหรือ?" ในเมื่อการขึ้นสู่อำนาจครั้งนี้ ไม่ได้มาจากชัยชนะที่เด็ดขาดในการเลือกตั้ง

แต่มาจากการ "โหวตสวนมติพรรค" และการ "เปลี่ยนขั้ว" ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งอาจทำให้ภาพลักษณ์ของพรรค ที่เคยเป็น "คนกลาง" ดูมัวหมองลงไป

สำหรับประชาชนอย่างเรา ๆ แล้ว สิ่งที่ควรจะ "ภูมิใจ" คืออะไร? เราภูมิใจในชัยชนะของพรรคที่ได้เป็นรัฐบาล หรือเราควรจะภูมิใจในระบบประชาธิปไตยของเรา ที่ยังทำงานได้ดี? คำตอบอาจจะซับซ้อนกว่านั้น

การเมืองไทยในตอนนี้ได้เข้าสู่ยุคที่ "ทุกอย่างเป็นไปได้" ความจงรักภักดีต่อพรรคการเมือง ดูจะเป็นเรื่องที่ล้าสมัย และผลประโยชน์ร่วมกัน ดูจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ที่มองไม่เห็น แต่กลับมีพลังมหาศาล

คุณพ่อของอนุทิน ที่กล่าวว่า "พ่อดีใจมาก ดีใจที่ได้เห็นวันนี้ หนูก็ทำตัวดี ๆ นะ" สะท้อนให้เห็นถึงความหวัง และความเชื่อมั่นในตัวลูกชาย แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นคือ "ประชาชนทุกคนจะมีความหวัง และความเชื่อมั่นในรัฐบาลนี้ มากน้อยแค่ไหน?"

การเมืองไม่ใช่เรื่องของ "คนใดคนหนึ่ง" ที่จะสามารถทำอะไรก็ได้ ตามอำเภอใจอีกต่อไป แต่คือเรื่องของ "ทุกคน" ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน หากรัฐบาลใหม่ สามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างแท้จริง และทำให้ประชาชนทุกคน "ภูมิใจ" ในผลงานได้ นั่นจึงจะเป็นชัยชนะที่แท้จริง

คำถามที่ทิ้งท้ายไว้ให้ทุกคนต้องคิดก็คือ "เราภูมิใจในสถานการณ์ตอนนี้หรือไม่? และเราจะทำอย่างไร เพื่อให้อนาคตการเมืองไทย เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถ 'ภูมิใจ' ร่วมกันได้อย่างแท้จริง?"
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----

⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉

✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 051852 ก.ย. 2568

#ภูมิใจใคร #ใครภูมิใจ #หนูเป็นนายก #สภาเดือด #การเมืองไทย #เปลี่ยนผ่านประเทศ #การเมืองไทย #เปลี่ยนผ่านประเทศ #อนาคตประเทศไทย

ศาลอุทธรณ์พิพากษา คุก 21 ปี เอกชัย หงส์กังวาน ขวางขบวนเสด็จพระราชินี จากคนขายหวย สู่นักเคลื่อนไหวการเมืองจากพ่อค้าหวย สู...
05/09/2025

ศาลอุทธรณ์พิพากษา คุก 21 ปี เอกชัย หงส์กังวาน ขวางขบวนเสด็จพระราชินี จากคนขายหวย สู่นักเคลื่อนไหวการเมือง

จากพ่อค้าหวย สู่นักโทษการเมือง เมื่อ 'เอกชัย หงส์กังวาน' ถูกจองจำ ในประวัติศาสตร์บาดแผล ที่ไม่มีวันจบสิ้น

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

บทเรียนที่ชีวิตได้ลิขิต เมื่อชะตากรรมของ 'เอกชัย หงส์กังวาน' คือกระจกสะท้อนการเมืองไทยที่เจ็บปวด! จากนักขายหวยออนไลน์ ผู้ใฝ่ฝันถึงชีวิตที่เรียบง่าย สู่สัญลักษณ์แห่งความดื้อรั้น ที่ไม่ยอมจำนนในเส้นทางนักสู้

ดั่งนิยายน้ำเน่า ที่มีตอนจบไม่สวยงาม แต่นี่คือความจริงที่เจ็บปวดของสังคมไทย ที่ไม่มีใครกล้าพูด!

เสียงประกาศจากศาลอุทธรณ์ เสียงที่เงียบงันในโลกออนไลน์ เวลา 09.00 น. ของวันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2568 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ห้องพิจารณา 608 บรรยากาศเงียบสงัด ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นในโลกภายนอก

แต่ภายในห้องนั้น มีเสียงประกาศที่ก้องกังวาน และสั่นสะเทือนไปถึงขั้วหัวใจ ของใครหลายคน ศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.778/2564 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง "นายเอกชัย หงส์กังวาน" และพวกรวม 5 คน

ในความผิดฐานประทุษร้าย ต่อเสรีภาพของพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 มั่วสุม และกีดขวางการจราจร จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563

ในวันนั้น เหล่าคณะราษฎร 2563 นัดชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อขับไล่ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" ระหว่างทางได้เผชิญหน้ากับขบวนเสด็จพระราชินี

การเผชิญหน้าเพียงชั่วครู่ ที่กลายเป็นชนวนแห่งการฟ้องร้องทางกฎหมาย ที่ลากยาวนานร่วม 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิจารณาหลักฐานจากหลายฝ่าย ทั้งคลิปวิดีโอจากตำรวจ และสายสืบที่แฝงตัวในกลุ่มผู้ชุมนุม

และได้ตัดสินพลิกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ยกฟ้อง โดยระบุว่าจำเลยทั้ง 5 มีเจตนาแน่ชัด ที่จะขัดขวางขบวนเสด็จ และลงโทษจำคุก "นายเอกชัย หงส์กังวาน" ทั้งสิ้น 21 ปี 4 เดือน ในขณะที่จำเลยคนอื่น ถูกลงโทษจำคุกคนละ 16 ปี

คำตัดสินนี้ไม่ใช่แค่การพลิกคดี แต่เป็นการพลิกชะตาชีวิตของชายที่ชื่อ "เอกชัย" ชายผู้ที่เคยเป็นเพียงนักขายหวยออนไลน์ จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเอแบค ดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขเหมือนคนทั่วไป ก่อนที่เรื่องราวทั้งหมด จะถูกปลุกขึ้นมาจากนรกทางการเมือง

เสียงคำพิพากษาที่ดังขึ้นในวันนี้ เป็นการปิดฉากชีวิตที่เคยเรียบง่ายของเอกชัย อย่างเป็นทางการ และเปิดหน้าใหม่ของหนังสือ ที่เต็มไปด้วยความขมขื่นและคำถาม

จุดเริ่มต้นที่ไม่ได้ตั้งใจ เมื่อการเมืองเข้ามาทำร้ายชีวิต เรื่องราวของเอกชัย ไม่ได้เริ่มต้นจากอุดมการณ์อันแรงกล้า เหมือนนักเคลื่อนไหวทั่วไป หากแต่เริ่มต้นจากเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว ที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้

นั่นคือ เรื่องปากท้องและเศรษฐกิจ ชีวิตของเอกชัยพลิกผันอย่างสิ้นเชิงเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ทำรัฐประหารในปี 2549 และมีนโยบายยกเลิกโครงการ "หวยบนดิน" ของรัฐบาล "ทักษิณ ชินวัตร"

รายได้จากการขายหวยที่เลี้ยงชีพ หายไปในพริบตา ความไม่พอใจ และว่างงานที่เกิดขึ้น ทำให้ชายคนนี้เริ่มตั้งคำถาม กับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่เอกชัย เริ่มสนใจการเมืองอย่างจริงจัง

เอกชัยใช้เวลาศึกษาการเมืองด้วยตนเอง ผ่านอินเทอร์เน็ตที่เปิดโลกทัศน์อันไร้ขีดจำกัด ด้วยความที่เป็นคนที่มีพื้นฐานชอบค้นคว้า อ่านภาษาอังกฤษได้ดี และสามารถเรียบเรียงความคิดได้อย่างเป็นระบบ

สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาในบทความ ที่เอกชัยเขียนหลังออกจากเรือนจำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์คอมมิวนิสต์ หรือประวัติศาสตร์การนิรโทษกรรมในประเทศไทย

การศึกษา และการทำความเข้าใจการเมืองอย่างถ่องแท้ ทำให้เอกชัยตระหนักว่าปัญหาทั้งหมด ล้วนมีต้นตอมาจากโครงสร้างทางการเมือง ที่ผิดปกติ และเมื่อความจริงปรากฏแก่สายตาแล้ว.. .ยากนักที่จะทำเป็นไม่เห็น

ต่อสู้แบบ "ลุยเดี่ยว" ที่ไม่เหมือนใคร เอกชัยเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากการต่อสู้แบบ "ลุยเดี่ยว" และสร้างปรากฏการณ์ให้สังคมได้เห็น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่การประท้วงเรื่อง "นาฬิกาเพื่อน" ของ "พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ" อย่างไม่ลดละ

การเดินทางไปยื่นหนังสือ หรือประท้วงตามสถานที่ต่าง ๆ โดยไม่ต้องนัดรวมพลกับใคร การเคลื่อนไหวแบบนี้ของเอกชัย เป็นทั้งความกล้าหาญ และความดื้อรั้นในคราวเดียวกัน และนี่คือสิ่งที่ทำให้แตกต่าง จากนักเคลื่อนไหวคนอื่น ๆ ในยุคเดียวกัน

เอกชัยเคยอธิบายปรัชญาการต่อสู้ว่า "รูปแบบเดิม ๆ ที่ปลุกม็อบกันใหญ่ ๆ หลักหมื่นหลักแสน ผลลัพธ์คือโดนสลายชุมนุม ม็อบใหญ่มันคุมยาก ปัญหาเยอะ ผลเสียตกกับแกนนำ ดังนั้นการเคลื่อนไหว จึงไม่จำเป็นต้องใช้ม็อบอย่างเดียว ยิ่งผลการเลือกตั้งออกมาก็เห็นชัดเจนแล้วว่า คนไม่เอาแนวม็อบใหญ่ปิดถนนแล้ว ต้องหาวิธีอื่น เราบุกเดี่ยว ให้เป็นประเด็นข่าว แฟลชม็อบ สั้น ๆ เนื้อ ๆ แล้วกลับบ้าน ใช้ทุนก็น้อย เหมาะกับฉัน"

แนวคิดที่เฉียบคมและน่าสนใจนี้ คือการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ที่การสื่อสารและโซเชียลมีเดีย เป็นเครื่องมือสำคัญ การเคลื่อนไหวของเอกชัย จึงไม่ได้มุ่งเน้นที่จำนวนคน

แต่เน้นที่การสร้าง "ประเด็นข่าว" ที่ทรงพลัง เพื่อให้สังคมหันมาสนใจปัญหา ที่ต้องการสื่อสาร ซึ่งในมุมหนึ่ง ก็คือการใช้ "อารมณ์" เป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อนำไปสู่ "เหตุผล" ในการถกเถียง และเปลี่ยนแปลงในที่สุด

แต่การต่อสู้แบบลุยเดี่ยวนั้น ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดทางกายและใจ เอกชัยถูกทำร้ายร่างกายและทรัพย์สิน มาแล้วเกือบ 10 ครั้ง รถยนต์ส่วนตัวถูกเผา และต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบคนปกติได้

เอกชัยกล่าวว่า "คนส่วนใหญ่พอเคลื่อนไหว โดนอะไรนิดหน่อยหายหมด เรารู้สึกว่า ต้องสู้สิวะ ถึงเวลา โดนขู่นิดเดียว โดนเยี่ยมบ้าน ไม่เคลื่อนไหวอีกเลย... ถ้าคิดจะทำ ก็ควรเคลื่อนให้มันสุดไปเลย อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด"

นี่ไม่ใช่แค่คำพูด แต่เป็นวิถีปฏิบัติที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เอกชัยเป็นนักสู้ตัวจริง ในสายตาของนักสังเกตการณ์ทางการเมือง

บทเรียนจากคดี 112 ความดื้อรั้นที่ไม่มีวันยอมแพ้ ก่อนหน้าคดีประทุษร้าย ต่อเสรีภาพของพระราชินีฯ เอกชัยเคยต้องโทษจำคุกในคดีมาตรา 112 มาแล้ว จากการแจกซีดีสารคดีการเมืองไทย ของสำนักข่าว ABC และเอกสารวิกิลีกส์ในปี 2554 ซึ่งเป็นช่วงที่ความขัดแย้งทางการเมืองไทยรุ นแรงถึงขีดสุด

สิ่งที่น่าสนใจในคดีนั้นคือ ในขณะที่จำเลยคนอื่น ๆ เลือกที่จะยอมรับสารภาพ เพื่อขอให้ได้รับการลดโทษ และออกจากคุกเร็วที่สุด เอกชัยกลับเลือกที่จะ "ไม่รับสารภาพ" และต่อสู้คดีอย่างถึงที่สุด

เอกชัยติดคุกไปสู้คดีไป จากศาลชั้นต้น สู่ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา โทษที่เคยถูกตัดสิน 3 ปี 4 เดือน สุดท้ายเหลือ 2 ปี 8 เดือน แต่สิ่งสำคัญที่น่าจดจำคือ เหตุผลที่เลือกที่จะสู้ "เราสู้ เพราะเราคิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด"

ประโยคสั้น ๆ นี้ คือหัวใจของความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ และหลักการ เอกชัยไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อยืนยันว่า สิ่งที่ทำนั้น ไม่ได้ผิดหลักการใด ๆ

และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้แตกต่าง และโดดเด่นจากนักเคลื่อนไหวคนอื่น ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง และความไม่ยอมจำนนต่ออำนาจที่ไม่ชอบธรรม คือเชื้อเพลิงที่หล่อเลี้ยงชีวิตนักสู้ของเอกชัย มาโดยตลอด

จาก “คนขายหวย” สู่ “จำเลยคดีประทุษร้ายฯ” กับคำถามที่ไม่มีคำตอบ การที่คนขายหวยธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ต้องผันตัวเองมาเป็นนักกิจกรรมทางการเมือง

และถูกตัดสินจำคุกด้วยโทษที่รุนแรงถึง 21 ปี 4 เดือน ในคดีที่ศาลชั้นต้นเคยยกฟ้อง เป็นเรื่องที่สังคมต้องหันมาตั้งคำถาม อย่างจริงจังว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้เอกชัยต้องเจอชะตากรรมเช่นนี้

หากพิจารณาถึงข้อต่อสู้ของจำเลย ในคดีมาตรา 110 คือการที่ไม่ได้ยินเสียงประกาศจากขบวนเสด็จ และเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงเข้าใจผิดว่า เป็นการเตรียมสลายการชุมนุม

แต่ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย และเห็นว่าจำเลยมีเจตนาแน่ชัด จากการชู 3 นิ้ว และตะโกนบอกผู้ชุมนุมคนอื่น ๆ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ข้อต่อสู้ของเอกชัยในคดี 112 ก็เป็นเช่นเดียวกัน คือการที่เอกชัยเพียงแค่ต้องการให้สังคม ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากมุมมองที่เป็นกลาง จากสื่อต่างชาติ แต่ก็ถูกตัดสินว่า มีความผิดในที่สุด

ความจริงที่เผ็ดร้อนจากเหตุการณ์ทั้งหมด คือการที่ชีวิตคนหนึ่ง ถูกตัดสินด้วยข้อหาที่รุนแรง จากการกระทำที่ผู้กระทำอ้างว่า ทำไปโดยบริสุทธิ์ใจ แต่การตีความเจตนาของผู้กระทำนั้น เป็นเรื่องที่ซับซ้อน และมีหลากหลายแง่มุม

ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ในวันนี้ "เอกชัย หงส์กังวาน" ได้เดินทางมาไกลจากจุดที่เคยเป็น "คนขายหวย" อย่างที่เคยบอกว่า "เป้าหมายเหรอ แค่ได้รัฐบาลพลเรือน จะเป็นใครก็ได้ ที่ไม่ใช่ประยุทธ์ และ คสช. สืบทอดอำนาจไม่ได้ พอแล้ว คงเลิกประท้วงแล้ว"

เป้าหมายที่ดูเหมือนจะเรียบง่ายแ ต่กลับต้องแลกมาด้วยการสูญเสียครั้งใหญ่ เส้นทางของเอกชัย ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย แต่เป็นเรื่องราวที่สะท้อนประวัติศาสตร์ บาดแผลที่ไม่มีวันจบสิ้นของประเทศนี้

ชะตากรรมของเเอกชัย อาจเป็นคำสาปของใครหลายคนที่ตื่นรู้ทางการเมืองแล้ว ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรอันขมขื่นได้อีกเลย การต่อสู้ของเอกชัย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งการถูกทำร้ายร่างกาย ถูกเผารถยนต์ และ ถูกดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง คือบทพิสูจน์ที่เจ็บปวดว่า การลุกขึ้นมาต่อสู้นั้น ไม่ง่ายเลย

ประโยคที่เอกชัยกล่าวไว้ว่า "ตัวเองก็ไม่มั่นใจ บอกไม่ได้หรอกว่าจะไม่แรงไปกว่านี้ เชื่อแน่ ๆ ว่ามีอีก แต่จะโดนอะไรอีกเท่านั้นเอง" คือคำทำนายที่กลายเป็นจริง และคำถามสำคัญที่ยังคงค้างอยู่ในใจของสังคมไทยคือ... เส้นทางเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับใครอีก? และจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่?

ชะตากรรมของเอกชัย เป็นเพียงบทเรียนที่ต้องจดจำ หรือเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่สังคมต้องช่วยกันแก้ไข?
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----

⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉

✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 051537 ก.ย. 2568

#เอกชัยหงส์กังวาน #คดีมาตรา110 #ประวัติศาสตร์บาดแผล #นักเคลื่อนไหว #การเมืองไทย #บทความลึกๆ #เสรีภาพในการแสดงออก #การเมืองไทย #ยุติธรรม #สังคม #วิเคราะห์ข่าว #กระแสสังคม #คำถามสำคัญ #เจ็บปวด

พท.-ภท. แย่งกันยุบสภา ต่างทำตนเป็นคนดี อ้างมีเป้าเดียวกัน ภูมิธรรมยังไม่ทูลเกล้าฯ  ชิงอำนาจสุดซอย เป็นปุ๊บ ยุบปั๊บรบกันก...
05/09/2025

พท.-ภท. แย่งกันยุบสภา ต่างทำตนเป็นคนดี อ้างมีเป้าเดียวกัน ภูมิธรรมยังไม่ทูลเกล้าฯ ชิงอำนาจสุดซอย เป็นปุ๊บ ยุบปั๊บ

รบกันกันยุบสภา ใครดี? ใครร้าย? เบื้องลึกเกมชิงอำนาจ 'เพื่อไทย-ภูมิใจไทย' ที่ต้องรู้ ⚔️🤫

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

ความร้อนแรงที่ซ่อนไว้ในความนิ่งของ "ภูมิธรรม" ในห้วงเวลาที่การเมืองไทยกำลังเดือดระอุ ไม่ต่างจากหม้อซุปที่กำลังเดือดปุด ๆ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่บุคคลหนึ่ งซึ่งไม่ได้เป็นที่สนใจในวันปกติ

นั่นคือ "นายภูมิธรรม เวชยชัย" รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ซึ่งจำต้องรับหน้าที่แบกหน้าเสื่อ รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี แบบเสียมิได้ แต่กลับมีอำนาจในการชี้เป็นชี้ตาย อนาคตของรัฐบาล และประเทศชาติอยู่ในมือ

เหตุการณ์เริ่มต้นด้วยแถลงการณ์ ที่ดูเหมือนจะไร้เดียงสาจากพรรคประชาชน ที่ออกมาทวงถามความชัดเจนจากภูมิธรรมว่า "กระบวนการยุบสภาสิ้นสุดแล้วหรือยัง?"

คำถามนี้ไม่ใช่แค่คำถามทางเทคนิค แต่เป็นเหมือนลูกระเบิด ที่ถูกโยนเข้ามากลางสภา เป็นการกดดันอย่างตรงไปตรงมา ชนิดที่ว่า "ถ้าไม่ยุบสภา ก็ต้องเดินหน้าโหวตนายกฯ" 💣

แล้วจู่ ๆ ภูมิธรรมก็ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก 2 ฉบับติด ๆ กัน ประหนึ่งเป็นจดหมายเปิดผนึกถึงประชาชน ฉบับแรกบอกว่า "ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภา ได้ส่งให้องคมนตรีพิจารณาแล้ว แต่มีข้อโต้แย้งทางกฎหมาย จึงยังไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ"

นี่คือการโยนลูกกลับไปให้ทางองคมนตรี และอ้างว่าติดขัดทางกฎหมาย ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ฟังดูดี แต่แฝงไว้ด้วยนัยที่ลึกซึ้ง

ฉบับที่สองซึ่งตามมาติด ๆ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก "พรรคเพื่อไทยพร้อมเสนอชื่อ "ศาสตราจารย์ชัยพิเศษเกษม นิติสิริ" เป็นนายกรัฐมนตรี และหากได้รับเสียงสนับสนุน จะยุบสภาทันที"

นี่คือการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ เป็นการบอกให้พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยรู้ว่า "ไม่ได้ยอมให้เล่นอยู่คนเดียว เพื่อไทยก็มีไพ่ในมือเหมือนกัน"

เมื่อ “ดีล” สู่ “ดราม่า” เบื้องหลังเกมลับที่ไม่มีใครยอมใคร บทบาทของภูมิธรรมในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การทำหน้าที่รักษาการฯ แต่เป็นการแสดงบทบาท "นักการทูตในเงามืด" ที่กำลังเจรจาต่อรองกับทุกฝ่ายไปพร้อม ๆ กัน

การที่ภูมิธรรมโพสต์ข้อความดังกล่าว มีเป้าหมายที่ซับซ้อนมากกว่าแค่การให้ข้อมูล

เป้าหมายแรก "ซื้อเวลา" การอ้างข้อขัดแย้งทางกฎหมาย เป็นกลยุทธ์ที่ฉลาด เพื่อยืดเวลาออกไปให้นานที่สุด เพื่อให้พรรคเพื่อไทยสามารถประเมินสถานการณ์ และหาทางออกที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการหาเสียงสนับสนุนเพิ่มเติม หรือการเจรจากับพรรคอื่น ๆ

เป้าหมายต่อมา "สร้างความชอบธรรม" การประกาศว่า "เราพร้อมคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด" และ "จะยุบสภาทันทีหากได้เป็นรัฐบาล" เป็นการสร้างภาพลักษณ์ว่า

พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายที่ต้องการ ให้ประเทศเดินหน้าอย่างแท้จริง เป็นการตีความการกระทำของตัวเองในแง่บวก เพื่อให้ประชาชนมองว่าเป็น "คนดี" ในเกมนี้

เป้าหมายที่ 3 "โยนความกดดันกลับไปที่คู่แข่ง" การที่พรรคประชาชนออกแถลงการณ์ ทวงถามความชัดเจนนั้น เหมือนเป็นการเอา "ปืน" ไปจ่อหัวภูมิธรรม

แต่การตอบกลับของภูมิธรรม ก็เหมือนเป็นการ "ยื่นระเบิดเวลา" กลับไปให้พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบว่า จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร

เกมนี้ไม่ใช่แค่การแย่งเก้าอี้นายกฯ แต่เป็นการแย่ง "อำนาจ" ในการยุบสภา ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการกำหนดอนาคตทางการเมือง

หากเพื่อไทยยุบสภาได้ ก็สามารถกำหนดวันเลือกตั้ง และควบคุมเกมได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ถ้าพรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาล ก็จะเป็นผู้กุมอำนาจนั้นไว้เอง

“ณัฐพงษ์” กับ “ภูมิธรรม” ใครกันแน่ที่ "ไม่จริงใจ"? ในขณะที่ภูมิธรรมกำลังทำเกมอยู่เบื้องหน้า อีกฝ่ายหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างมีนัยคือ "นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ" หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน

การออกมาแถลงการณ์ของพรรคประชาชน ไม่ได้มีแค่การทวงถามความชัดเจน แต่เป็นการแสดง "จุดยืนที่หนักแน่น" สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่ณัฐพงษ์ปฏิเสธข้อเสนอ ของพรรคเพื่อไทยที่บอกว่า "หากเราได้เป็นรัฐบาล จะยุบสภาทันที"

ณัฐพงษ์กล่าวอย่างชัดเจนว่า "หากเป็นข้อเสนอก่อนที่พรรคประชาชน จะตัดสินใจแถลงออกมาอย่างเป็นทางการ ตนเองและ สส. ในพรรคจะรับไว้พิจารณา" แต่วันนี้ "การให้ข่าวกลับไปกลับมา จากพรรคเพื่อไทย ยิ่งแสดงให้เห็นว่า เราไม่สามารถเชื่อคำพูดที่กลับไปกลับมาแบบนี้ได้"

นี่คือการโจมตีที่เจ็บแสบที่สุด เป็นการเปิดโปงว่า "ดีล" ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างสองพรรคนั้น ได้ล้มเหลวลงแล้ว และความไม่น่าเชื่อถือของพรรคเพื่อไทย คือสาเหตุหลัก

การที่ณัฐพงษ์และพรรคประชาชน ตัดสินใจเดินหน้าโหวตให้พรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่เพราะอยากร่วมรัฐบาล แต่เพราะเชื่อว่า นี่คือ "ทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ" ในสถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทย ไม่สามารถรักษาสัญญาได้

"นิติสงคราม" กับ "นิติธรรม" สงครามศักดิ์สิทธิ์ หรือแค่ละครโรงใหญ่? ประเด็นที่ร้อนแรงยิ่งกว่าเกมการเมืองคือ เรื่องของ "นิติสงคราม" ที่นักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตยหลายคน เตือนพรรคประชาชนว่า...

การโหวตให้พรรคภูมิใจไทยเท่ากับ "สนับสนุนกลุ่มที่ทำลายกระบวนการนิติรัฐ นิติธรรม และทำนิติสงคราม"

แต่ทว่า... ณัฐพงษ์ตอบโต้ประเด็นนี้อย่างชาญฉลาดว่า "เรายืนยันในเรื่องเดิมว่าเรายังทำหน้าที่ฝ่ายค้าน การโหวตให้นายอนุทิน เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่มีหน้าที่ยุบสภา และเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่"

นี่คือการนำเสนอ "ความจริง" ในมุมที่แตกต่างออกไป พรรคประชาชนไม่ได้มองว่า การโหวตครั้งนี้คือการ "ร่วมมือกับปีศาจ" แต่เป็นการ "ใช้ปีศาจกำจัดปีศาจ" เป็นการใช้เสียงของตนเอง เพื่อควบคุมทิศทางของรัฐบาลในระยะสั้น เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในระยะยาว

การกระทำของพรรคประชาชน จึงไม่ใช่การ "ดีล" เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เป็นการ "ดีล" เพื่อผลประโยชน์ของประเทศ เป็นการเดินหมากที่กล้าหาญและเสี่ยงภัย ที่อาจจะได้รับการประณามจากคนบางกลุ่ม แต่ก็อาจจะได้รับการชื่นชม จากคนอีกกลุ่มหนึ่ง

“ทักษิณ” ออกนอกประเทศ จุดชนวนที่เผ็ดร้อนที่สุด ในขณะที่การเมืองในสภาฯ กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น ประเด็นที่จุดไฟเผาผลาญความรู้สึกของประชาชน ได้รุนแรงที่สุดก็คือ...

การที่ "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เจ้าของพรรคเพื่อไทย ออกเดินทางแบบเร่งด่วน ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ไปต่างประเทศเพื่อตรวจสุขภาพที่ "นครดูไบ" สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา

การโพสต์ข้อความของทักษิณ ทางแอปพลิเคชัน X ดูเหมือนจะเป็นการชี้แจงเหตุผลส่วนตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว คือการส่งสารทางการเมือง ที่มีนัยแฝงอยู่มากมาย

นัยแรก "ท้าทายอำนาจรัฐ" การที่ทักษิณกล่าวว่า "ตม.ที่ไทย ถ่วงเวลาผมไว้เกือบ 2 ชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่ผมได้ชนะคดี" เป็นการบอกให้ประชาชนรู้ว่า ทักษิณมีสิทธิที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ได้เหมือนคนไทยทั่วไป และการกระทำของ ตม. เป็นการ "กลั่นแกล้ง" ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นัยต่อมา "สร้างความน่าเห็นใจ" การเล่าถึงการที่เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ต้องเปลี่ยนเส้นทางไปลงที่นครดูไบ เพราะไม่สามารถลงที่สิงคโปร์ได้ทันเวลา เป็นการสร้างภาพลักษณ์ของ "เหยื่อ" ที่ถูกกระทำจากอำนาจรัฐ คือการดึงความรู้สึกร่วมจากประชาชนที่เคยชื่นชม ในฐานะอดีตผู้นำที่ถูกกระทำ

นัยสุดท้าย แสดงถึงการ "มีอยู่จริง" ในอำนาจ การที่ทักษิณสามารถเดินทางออกนอกประเทศ ได้อย่างง่ายดาย และหากกลับมาตามกำหนดเวลาที่โพสต์ไว้ จะเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายรู้ว่า "ยังคงมีอำนาจ และอิทธิพลอยู่" การกระทำของเทักษิณ ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล อย่างที่หลายคนเข้าใจ

ไม่ได้ต้องการแค่เล่าเรื่องการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง แต่ต้องการตีแผ่ความจริง ที่ซ่อนอยู่ภายใต้พรมแห่งการเมืองไทย

ความจริงแรก การเมืองไม่ใช่แค่เรื่องของ "พรรค" แต่เป็นเรื่องของ "บุคคล" การกระทำของภูมิธรรม ณัฐพงษ์ หรือแม้แต่ทักษิณ ไม่ได้เป็นเพียงการทำตามมติพรรค แต่เป็นการแสดงออกถึงความเชื่อส่วนตัว และผลประโยชน์ที่ซับซ้อน ที่อยู่เหนือผลประโยชน์ของพรรคการเมือง

ความจริงต่อมา "ความดี" เป็นแค่ "เครื่องมือ" ในเกมการเมือง ทุกฝ่ายต่างอ้างว่าทำเพื่อ "ประชาชน" และเพื่อ "ประเทศชาติ" แต่การกระทำเบื้องหลังนั้น มักจะซ่อนเร้นไว้ด้วยการช่วงชิงอำนาจ และผลประโยชน์ส่วนตัว

การยุบสภาอาจจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าถูกใช้เป็นเครื่องมือในการ "ชิงอำนาจสุดซอย" ก็เป็นเพียงแค่ละครโรงใหญ่ ที่ใช้ประชาชนเป็นฉากหลัง

ความจริงท้ายสุด ประชาชนถูกใช้เป็น "ตัวประกัน" การเมืองที่ซับซ้อน ทำให้ประชาชนตกอยู่ในภาวะที่สับสน และไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดี ความน่าเชื่อถือของนักการเมืองลดลงทุกวัน และเมื่อความเชื่อมั่นหายไป ประชาธิปไตยก็จะเริ่มสั่นคลอน

จึงเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อน ให้เห็นถึงความจริงอันน่ารำคาญ ของการเมืองไทย ที่เต็มไปด้วยการโกหก การหลอกลวง และการหักหลัง และ

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือ "อำนาจ" ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ในมือของประชาชนอีกต่อไป แต่กลับอยู่ในมือของกลุ่มคนที่เล่นเกม "ชิงอำนาจสุดซอย เป็นปุ๊บ ยุบปั๊บ" เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และรับชมข่าวสารการเมือง แล้วคุณล่ะ... คิดว่าใครคือ "คนดี" ในเกมนี้?
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----

⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉

✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 050739 ก.ย. 2568

#การเมืองไทย #ยุบสภา #เพื่อไทย #ภูมิใจไทย #อนุทิน #ภูมิธรรม #ณัฐพงษ์ #ทักษิณ #สงครามการเมือง #ชิงอำนาจ #เลือกตั้งใหม่" #การเมืองไทย #ยุบสภา #เพื่อไทย #ภูมิใจไทย #อนุทิน #ภูมิธรรม #ณัฐพงษ์ #ทักษิณ #สงครามการเมือง #ชิงอำนาจ #เลือกตั้งใหม่ #ประชาธิปไตย #นิติสงคราม #นักการเมือง #เบื้องหลังการเมือง

ที่อยู่

บริษัทเอไอไฟว์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (สำนักงานใหญ่) 157/1193 หมู่ที่ 6 ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง
Changwat Si Sa Ket
33000

เบอร์โทรศัพท์

+66830030110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaketผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket:

แชร์

เรื่องราวของเรา

นำเสนอประเด็นสำคัญ ละเว้นเนื้อหาอันเยิ่นเย้อ