ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket

ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket, เว็บไซต์ข่าวและสื่อ, บริษัทเอไอไฟว์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (สำนักงานใหญ่) 157/1193 หมู่ที่ 6 ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง, Changwat Si Sa Ket.
(340)

꧁༺ บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน เริ่มจากแนวคิดลึก เปิดด้วยเหตุการณ์จริง นำพาเข้าสู่การตีความลึก แบบนักวิเคราะห์ข่าวกรอง นำเสนอมุมมองใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เล่าข่าว หรือเล่าเรื่องซ้ำ แต่ตีแผ่ประเด็นลึก ๆ ที่คนในแวดวง ไม่ค่อยกล้าพูดออกมา ༻꧂

กรุงไทยดีบัก New e-LAAS  เสร็จสิ้น เริ่มใช้ได้ 3 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เทงบล้านกว่าบาท จ้...
03/10/2025

กรุงไทยดีบัก New e-LAAS เสร็จสิ้น เริ่มใช้ได้ 3 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เทงบล้านกว่าบาท จ้างทีมเดิมแก้ไข

มหากาพย์ e-LAAS 'ดราม่าล้านกว่า' ปริศนาที่ไม่ถูกไข? เมื่อระบบล่มซ้ำซาก ข้อมูลหายวับ แต่คนรับผิดชอบยังลอยนวล 🚨
💬

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

ในวันพรุ่งนี้ 3 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ ท่ามกลางความหวังอันริบหรี่ ของเจ้าหน้าที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ เรื่องด่วนที่สุดจาก 'กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น' (สถ.)

ได้ถูกส่งไปถึงมือทุกคน พร้อมข่าวดีที่ว่า “ระบบ New e-LAAS ที่เป็นปัญหาคาราคาซังมานานนับปี ได้รับการแก้ไข และกลับมาใช้งานได้แล้ว” ข่าวนี้มาพร้อมกับข้อมูลอันน่าตกใจว่า 'กรมฯ เทงบประมาณกว่าหนึ่งล้านบาท จ้างทีมงานเดิมดีบัก (Debugging) หรือแก้ไขความบกพร่องของระบบ'

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขเงิน หรือรายการข้อผิดพลาด 21 รายการ ที่ได้รับการแก้ไข แต่คือ 'บาดแผลอันลึกล้ำ' ที่เจาะลงไปถึงรากฐาน ของความเชื่อมั่นในระบบราชการไทย และเป็นภาพสะท้อนของ 'วัฏจักรแห่งความล้มเหลว' ที่วนเวียนซ้ำซาก ในโครงการภาครัฐขนาดใหญ่

แผลเก่าที่ยังไม่หาย รอยด่างบน 'เรือนร่าง' ของรัฐดิจิทัล ย้อนกลับไปไม่นานก่อนหน้านี้ ความเดือดดาลของชาวท้องถิ่น เคยปะทุขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง จากเหตุการณ์ที่ระบบ 'e-LAAS' เดิม 'ล่มไม่เป็นท่า'

ข้อมูลการคลังอันเป็นหัวใจสำคัญของการทำงาน หายวับไปกับตา ไร้การสำรองข้อมูล (backup) ที่เป็นมาตรฐานสากล ทำให้เจ้าหน้าที่คลัง ต้องกลับไปนั่งคีย์ข้อมูลย้อนหลังกว่า 6 เดือนด้วยมือ

ข้อมูลที่หายไปนั้นไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือ 'ชีวิต' และ 'ความรับผิดชอบ' ที่ต้องใช้เวลา ความทุ่มเท และงบประมาณมหาศาลเพื่อกู้คืน

เหตุการณ์ในครั้งนั้น ยังไร้การชี้แจงที่ชัดเจน ไร้การตั้งกรรมการสอบสวน ไร้การแสดงความรับผิดชอบอย่างเป็นทางการ จากหน่วยงานต้นสังกัด และผู้รับจ้าง ดูเหมือนว่า 'ความเสียหาย' ที่เกิดขึ้น จะถูกปัดเป่าให้หายไปในสายลม

ไม่ต่างอะไรกับข้อมูลที่หายไปจากระบบ ในขณะที่ความทุกข์ระทม จากการทำงานหนักของเจ้าหน้าที่ อปท. ยังคงประทับแน่นอยู่ในความทรงจำ

และแล้ว ระบบใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาก็คือ 'New e-LAAS' ด้วยงบประมาณกว่า 82 ล้านบาท เพื่อ 'ปรับปรุงประสิทธิภาพให้ทันสมัย และรองรับการเชื่อมโยงระบบ GFMIS Thai'

แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็น 'ระบบที่ใช้งานไม่ได้' ตั้งแต่แรกเริ่ม ทำใบสรุปไม่ได้ ตัดจ่ายเช็คไม่ได้ ต้องกลับไปใช้ 'ระบบมือ' อีกครั้ง ราวกับว่าเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยนี้ กลับพาเราย้อนกลับไปสู่ยุคอดีตกาล

ความผิดพลาดซ้ำซากนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือ 'บทสรุป' ของความบกพร่องเชิงโครงสร้าง ที่ฝังรากลึกในวงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การเริ่มต้นจากความไม่พร้อม การวางแผนที่ไม่รอบคอบ

การเลือกผู้รับจ้าง ที่ถูกตั้งคำถามถึงศักยภาพ และการขาดการกำกับดูแลที่เข้มงวด ทำให้โครงการขนาดใหญ่ที่ควรเป็น 'ความหวัง' กลับกลายเป็น 'ความอัปยศ' ที่สร้างภาระให้กับผู้ใช้งานปลายทาง

ปริศนาแห่ง 'ดราม่าล้านกว่า' เมื่อเงินถูกเทลงไปใน 'บ่อเดิม' มาถึงเรื่องล่าสุด การแก้ไขดีบัก 21 รายการ ที่ใช้เงินงบประมาณกว่าหนึ่งล้านบาท และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ การที่ 'กรมฯ จ้างทีมงานเดิม' ซึ่งก็คือ บมจ.ธนาคารกรุงไทย ให้มาแก้ไข ในสิ่งที่ควรจะทำได้ตั้งแต่แรก

นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่คือการตั้งคำถามถึง 'ความโปร่งใส' และ 'ธรรมาภิบาล' ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ลองพิจารณาจากข้อเท็จจริง ที่เปิดเผยในวงการ

โครงการปรับปรุง 'New e-LAAS' (2565) งบ 82.3 ล้านบาท โดย บมจ.ธนาคารกรุงไทย

โครงการเชื่อมโยง 'GFMIS-eLAAS' (2566) งบ 289.2 ล้านบาท โดย บมจ.ธนาคารกรุงไทย

โครงการจ้างบำรุงรักษา 'e-LAAS เดิม' (2566) งบ 9.1 ล้านบาท โดย บริษัทโปรเฟสชั่นนอล ไอที เซอร์วิส จำกัด

ข้อมูลเหล่านี้ ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่าง 'ผู้ว่าจ้าง' (กรมฯ) และ 'ผู้รับจ้าง' (บมจ.ธนาคารกรุงไทย) ที่เป็นเสมือน 'คู่ค้าหลัก' ของโครงการระบบบัญชีท้องถิ่นมาโดยตลอด แต่เมื่อเกิดปัญหา "ใครควรเป็นผู้รับผิดชอบ?”

การจ้างทีมเดิมมาแก้ไขในราคาล้านกว่าบาท ยิ่งตอกย้ำความสงสัยที่ว่า 'เงินภาษี' ของประชาชน ถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่าหรือไม่? ทำไมข้อผิดพลาด ที่ควรจะถูกแก้ไขภายใต้สัญญาเดิม กลับกลายเป็น 'รายการที่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติม?'

นี่คือ 'คำถาม' ที่ผู้รับผิดชอบโครงการ และผู้มีอำนาจต้องตอบอย่างตรงไปตรงมา ชาวท้องถิ่นตั้งข้อสังเกตอย่างเผ็ดร้อนว่า

“การที่ระบบล่มแล้ว ต้องมาคีย์ย้อนหลัง แถมต้องมาแก้ไขปัญหา ที่บริษัทเดิมทำไว้ แล้วต้องเสียเงินเพิ่มอีก สะท้อนให้เห็นถึงอะไร? มาตรฐานความรับผิดชอบของบริษัท ที่ทำงานให้ภาครัฐอยู่ตรงไหน? ทำไมถึงแตกต่างจากเอกชนรายอื่น ๆ ที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น?”

บทเรียนที่ต้องเรียนรู้ เมื่อ 'ตัวแปร' ทางการเมืองและเศรษฐกิจ อยู่เบื้องหลัง เมื่อมองในมุมมองที่ลึกกว่าการเล่าเรื่อง จะพบว่าโครงการเหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นใน 'สูญญากาศ' แต่มีปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การที่รัฐบาลมุ่งเน้นการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการดิจิทัลขนาดใหญ่ อาจทำให้เกิด 'ความรีบเร่ง' ในการดำเนินโครงการ จนละเลยรายละเอียดที่สำคัญ

และอาจเปิดช่องให้เกิด 'การล็อกสเปก' หรือ 'การได้เปรียบโดยไม่มีเหตุผล' ในการประมูลงาน ซึ่งเป็น 'บาดแผลเรื้อรัง' ที่กัดกินงบประมาณแผ่นดิน มาอย่างยาวนาน

ในขณะเดียวกัน 'กลไกการตรวจสอบ' ของหน่วยงานภาครัฐ ก็ดูเหมือนจะ 'อ่อนแอ' เกินกว่าที่จะรับมือกับความซับซ้อน ของโครงการด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ได้

เมื่อเกิดปัญหาขึ้น การขาดการชี้แจงที่โปร่งใส การไม่กล้าตั้งคณะกรรมการสอบสวน และการปัดความรับผิดชอบ ล้วนเป็นอาการของ 'องค์กรที่ป่วย' คำถามที่ต้องถามตัวเองคือ

'เงินภาษี' กว่าร้อยล้านบาท ที่ใช้ไปกับระบบ 'e-LAAS/New e-LAAS' ให้ 'ผลลัพธ์' ที่คุ้มค่ากับเม็ดเงินหรือไม่?

ทำไมการบริหารโครงการของภาครัฐในยุคดิจิทัล จึงยังคง 'ล้มเหลวซ้ำซาก'?

ใครคือ 'ผู้รับผิดชอบ' ที่แท้จริง ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งในแง่ของข้อมูลที่หายไป และความเชื่อมั่นที่ลดลง?

นี่คือประเด็นที่คนในแวดวงการคลังท้องถิ่นรู้ดี แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดออกมา อย่างตรงไปตรงมา เพราะการพูดความจริง อาจนำมาซึ่ง 'ความไม่สบายใจ' และ 'ความขัดแย้ง' ในระบบราชการที่ซับซ้อน

แต่ยังต้องกล้าที่จะ 'ชำแหละ' ความจริง และนำเสนอ 'มุมมองใหม่' ที่ไม่ใช่แค่การตำหนิ แต่เป็นการค้นหา 'ทางออก' ที่ยั่งยืนสำหรับอนาคต

บทสรุปที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับระบบ 'e-LAAS' และ 'New e-LAAS' เป็นมากกว่าแค่เรื่องของ 'เทคโนโลยี' แต่คือเรื่องของ 'ความซื่อสัตย์' และ 'ความรับผิดชอบ' ต่อภาษีประชาชน

การที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในฐานะผู้ว่าจ้าง ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลโครงการ กลับไม่สามารถชี้แจง หรือแสดงความรับผิดชอบ ได้อย่างเป็นรูปธรรม เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึก 'สิ้นหวัง' กับการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ

การที่ผู้รับจ้างรายใหญ่ ที่ได้รับงานอย่างต่อเนื่อง มีส่วนทำให้เกิดปัญหาจนระบบล่ม ข้อมูลหาย แต่กลับไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจน และยังได้รับงานแก้ไขเพิ่มเติม ยิ่งสร้าง 'คำถามตัวโต ๆ' ถึงธรรมาภิบาล และการบริหารจัดการโครงการภาครัฐ

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของระบบ 'e-LAAS' แต่เป็นเรื่องของ 'ภาพรวม' ของการบริหารงานภาครัฐในยุคดิจิทัล ที่ยังคงเต็มไปด้วย 'ช่องโหว่' และ 'ความไม่โปร่งใส' ที่กัดกินเม็ดเงินภาษีของประชาชน ไปอย่างน่าเสียดาย

สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ไม่ใช่แค่การประกาศว่า ระบบกลับมาใช้งานได้แล้ว แต่ต้องมีการ 'ชำระสะสาง' ความรับผิดชอบที่ค้างคา มีการตั้งกรรมการสอบสวนอย่างเป็นธรรม และโปร่งใส และนำบทเรียนที่เกิดขึ้นไปเป็น 'เกราะป้องกัน' ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต

เพราะหากยังปล่อยให้ 'วัฏจักรแห่งความล้มเหลว' นี้ ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ในทุกโครงการ ทุกกระทรวง ทบวง กรม แล้วไซร้ ในที่สุด 'ความเชื่อมั่น' ของประชาชนต่อรัฐบาล ก็จะ 'พังทลาย' ลงอย่างสิ้นเชิง

และนั่นคือความเสียหายที่ยิ่งใหญ่กว่า 'เงินล้าน' หรือ 'ข้อมูลที่หายไป' อย่างแน่นอน!
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----

⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉

✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 031444 ต.ค. 2568

#กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น #ระบบล่ม #กรุงไทย #การคลังท้องถิ่น #บทความเชิงวิเคราะห์ #ความโปร่งใส #การคลังดิจิทัล #ธรรมาภิบาล #ข้อคิดสะท้อนสังคม

สำหรับจำนวนผู้ประสบภัยการสู้รบไทย-กัมพูชา ที่เหลือ ปภ. จะทยอยนำส่งรายชื่อให้ธนาคารออมสิน และโอนเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือ...
03/10/2025

สำหรับจำนวนผู้ประสบภัยการสู้รบไทย-กัมพูชา ที่เหลือ ปภ. จะทยอยนำส่งรายชื่อให้ธนาคารออมสิน และโอนเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2568 ผู้ประสบภัยสามารถตรวจสอบสถานะ “การรับเงินช่วยเหลือ” ได้ทาง https://relief68.disaster.go.th/Dashboard/BoardHelpRegister

6-7 ตุลานี้ ศรีสะเกษรับเงินเยียวยา ผลกระทบสู้รบกัมพูชา ลอตแรก 7 จังหวัด 315,476 ครัวเรือน ปภ. จ่ายผ่านธนาคารออมสิน  รับม...
03/10/2025

6-7 ตุลานี้ ศรีสะเกษรับเงินเยียวยา ผลกระทบสู้รบกัมพูชา ลอตแรก 7 จังหวัด 315,476 ครัวเรือน ปภ. จ่ายผ่านธนาคารออมสิน

รับมือกับวิกฤตชายแดน เบื้องหลังการเยียวยาที่ไม่ใช่แค่ 'ตัวเลข' แต่คือ 'ชีวิต' 🇹🇭🇰🇭

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

เมื่อปฏิทินพลิกเข้าสู่เดือนตุลาคม 2568 ท่ามกลางกระแสข่าวที่ผันผวน และเหตุการณ์ร้อนแรงที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ข่าวที่เข้ามาเบียดแทรกความตึงเครียดคือ การประกาศจ่ายเงินเยียวยา ให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 6-7 ตุลาคม ที่เงินลอตใหญ่ กำลังจะเข้าบัญชีชาวศรีสะเกษ

ข่าวนี้ดูเหมือน จะเป็นเพียงข่าวเชิงนโยบายปกติทั่วไป แต่หากถอยห่างออกมาสักก้าว แล้วมองลงไปในรายละเอียดอย่างเจาะลึก จะพบว่า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ 'ตัวเลข' หรือ 'เงิน' ที่ถูกโอนย้าย แต่เป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก

เป็นภาพสะท้อนของ 'จิตวิญญาณ' การบริหารจัดการประเทศ การเยียวยาที่ไม่ใช่แค่การ 'ให้' แต่คือการ 'ฟื้นฟู' และนี่คือการเปิดโปงเบื้องหลัง ที่คนในวงการไม่ค่อยพูดถึง

เมื่อ 'อนุทิน' สั่งการ มากกว่าแค่การ 'แก้ปัญหา' แต่คือการ 'สร้างความเชื่อมั่น' เริ่มต้นจากคำสั่งของ 'นายอนุทิน ชาญวีรกูล' ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่สั่งการให้เร่งรัดการจ่ายเงินเยียวยา อย่างเร่งด่วน

หลายคนอาจมองว่า เป็นเรื่องปกติที่ผู้นำประเทศต้องทำ แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้ง คำสั่งนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและ 'ความเข้าใจ' ในวิกฤตอย่างแท้จริง

นายกฯ อนุทินไม่ได้มองว่า การเยียวยาเป็นเพียงการตอบสนองเชิงรุก เพื่อลดกระแสต่อต้าน หรือแค่การทำตามขั้นตอนทางราชการ แต่คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า 'รัฐบาลนี้เอาจริง และให้ความสำคัญกับประชาชนเหนือสิ่งอื่นใด'

การตัดสินใจที่รวดเร็วนี้ มีนัยสำคัญทางจิตวิทยาอย่างยิ่ง เมื่อประชาชนที่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน ความหวาดกลัว และความสูญเสีย ได้รับสัญญาณเชิงบวกที่จับต้องได้จากภาครัฐ

ไม่ใช่แค่เงิน ที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน แต่คือ 'กำลังใจ' ยิ่งใหญ่ ที่บอกว่า 'คุณไม่ได้อยู่คนเดียว'

การสั่งการให้ 'กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย' (ปภ.) เร่งส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสิน เพื่อโอนเงินให้ผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นถึงกลไกการทำงานของรัฐ ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนโหยหามาโดยตลอด ในช่วงเวลาแห่งวิกฤต

การประสานงานระหว่างหน่วยงานราชการอย่าง ปภ. และสถาบันการเงินอย่างธนาคารออมสิน อย่างราบรื่นนี้ แสดงให้เห็นถึงการทำงานแบบบูรณาการ ที่แข็งขันและไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ความซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ใน 'ตัวเลข' เมื่อเจาะลึกเข้าไปในข้อมูลการจ่ายเงินเยียวยา ที่ถูกเปิดเผยออกมา จะพบความซับซ้อนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ข้อมูลที่ว่า

'กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสิน เพื่อดำเนินการโอนเงินให้ผู้ประสบภัย จำนวน 238,053 ครัวเรือน แล้วแบ่งเป็น 2 กลุ่ม'

ไม่ใช่แค่การแบ่งกลุ่มธรรมดา แต่นี่คือการบริหารจัดการข้อมูล และการจัดลำดับความสำคัญอย่างชาญฉลาด

กลุ่มที่ 1 จังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และสุรินทร์ จำนวน 147,370 ครัวเรือน ได้รับเงินเยียวยาก่อน ในวันที่ 6 ตุลาคม 2568

กลุ่มที่ 2 จังหวัดศรีสะเกษ อุบลราชธานี สระแก้ว และตราด จำนวน 90,683 ครัวเรือน ได้รับเงินเยียวยาในวันที่ 7 ตุลาคม 2568

คำถามที่ต้องถามคือ "ทำไมต้องแบ่งเป็น 2 กลุ่ม? และทำไมศรีสะเกษถึงมีชื่ออยู่ในทั้งสองกลุ่ม?" คำตอบไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด แต่คือการสะท้อนถึง หลักการบริหารจัดการทรัพยากร และการจัดการความเสี่ยงอย่างมีระบบ

การแบ่งกลุ่มนี้ อาจเป็นไปเพื่อลดภาระของระบบธนาคาร ในการโอนเงินจำนวนมหาศาล พร้อมกันในวันเดียว เพื่อป้องกันความผิดพลาดทางเทคนิค ที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้แน่ใจว่า การโอนเงินจะสำเร็จอย่างราบรื่นที่สุด

นอกจากนี้ การที่ 'ศรีสะเกษ' มีชื่ออยู่ในทั้งสองกลุ่ม แสดงให้เห็นว่าจังหวัดนี้เป็นพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและเป็นวงกว้าง จนต้องมีการจัดสรรการจ่ายเงินเป็น 2 ลอตใหญ่

ซึ่งสะท้อนถึงจำนวนผู้ประสบภัย ที่มหาศาลในพื้นที่นี้ และเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องจับตามองสถานการณ์ในจังหวัดศรีสะเกษ เป็นพิเศษ

หลักเกณฑ์เยียวยา เมื่อชีวิตมี 'ราคา' และความเสียสละถูก 'ประเมินค่า' การอนุมัติมาตรการเยียวยาจากที่ประชุม ครม. ในวันที่ 5 สิงหาคม 2568 และการกำหนดกรอบอัตราการจ่ายเงินเยียวยา เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียด

การกำหนดวงเงินเยียวยาสำหรับ 'ประชาชน' และ 'เจ้าหน้าที่รัฐ' ที่ได้รับผลกระทบนั้น สะท้อนให้เห็นถึง 'หลักการ' ที่รัฐบาลยึดถือในการประเมินความสูญเสีย

ประชาชนเสียชีวิตและทุพพลภาพ ได้รับ 8 ล้านบาท บาดเจ็บสาหัส 8 แสนบาท บาดเจ็บมาก 4 แสนบาท

เจ้าหน้าที่รัฐเสียชีวิตและทุพพลภาพ ได้รับ 10 ล้านบาท รวมค่าเสี่ยงภัย บาดเจ็บสาหัส 1 ล้านบาท บาดเจ็บมาก 5 แสนบาท

การกำหนดวงเงินที่แตกต่างกัน ระหว่างประชาชนทั่วไป และเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ใช่เรื่องแปลกในเชิงบริหารจัดการ แต่เป็นเรื่องของ 'การประเมินค่าความเสี่ยง'

เจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ทหาร ตำรวจ หรือ ตชด. ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสี่ยง ที่สูงกว่าประชาชนทั่วไป การเพิ่มวงเงินเยียวยาในส่วนของ 'ค่าเสี่ยงภัย' สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับ และให้เกียรติในความเสียสละ ที่ยอมเอาชีวิตไปแลกเพื่อปกป้องประเทศ

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน และมักจะถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงในสังคมว่า "ชีวิตคนมีค่าเท่ากันหรือไม่?" ซึ่งในเชิงปฏิบัติ การประเมินค่าความเสี่ยง และภารกิจที่แตกต่างกัน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในระบบการบริหารจัดการ ที่มีเหตุผลรองรับ

นอกจากนี้ การอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ 404.60 ล้านบาท สำหรับเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2568 และการดึงเงินจาก 'งบกลาง' และ 'กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย'

แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น และความพร้อมของภาครัฐ ในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า รัฐบาลมีกลไกทางการเงินที่เพียงพอ ในการดูแลประชาชนยามวิกฤต

ความห่วงใยที่มองข้ามไป เบื้องหลังของ 'หลักเกณฑ์' ที่ไม่ครอบคลุม ประเด็นที่น่าสนใจและเป็น 'ความจริงที่เผ็ดร้อน' ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือเรื่องของ 'หลักเกณฑ์' การจ่ายเงินเยียวยา ที่ไม่ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด

นายกฯ อนุทินเอง ยังมีความกังวลถึง 'กลุ่มคนที่ไม่เข้าเกณฑ์ อาทิ ประชาชนที่รักษาพื้นที่ ไม่ได้อพยพออกมา' และได้สั่งการให้ ปภ. พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์ใหม่ นี่คือประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่ง และสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทาย ในโลกแห่งความเป็นจริง

หลักเกณฑ์เดิมระบุชัดเจนว่า ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจะต้องเป็น 'ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ที่ประกาศเป็นเขตให้ความช่วยเหลือ และได้อพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวหรือพื้นที่ปลอดภัย'

ในทางปฏิบัติ หลักเกณฑ์นี้มองข้ามกลุ่มคนที่มีความกล้าหาญ หรือมีความจำเป็นบางอย่าง ที่ต้อง 'อยู่ต่อ' เพื่อปกป้องทรัพย์สินของตนเอง หรือด้วยเหตุผลอื่น ๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ได้อพยพ แต่ก็ได้รับผลกระทบทางจิตใจ และทรัพย์สินไม่แพ้กัน

การที่รัฐบาลเล็งเห็นถึงช่องโหว่นี้ และสั่งการให้มีการทบทวน เป็นสัญญาณที่ดี ที่แสดงให้เห็นว่า ภาครัฐไม่ได้ยึดติดกับกฎระเบียบ ที่เข้มงวดจนเกินไป แต่พร้อมที่จะปรับเปลี่ยน เพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง

การทบทวนหลักเกณฑ์ใหม่นี้ จะนำไปสู่คำถามที่ใหญ่กว่านั้น "การเยียวยาที่ 'ครอบคลุม' ควรมีนิยามอย่างไร?" ควรพิจารณาจากแค่การอพยพหรือไม่? หรือควรพิจารณาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ และจิตใจที่เกิดขึ้น?

นี่คือความท้าทายที่รัฐบาลต้องหาคำตอบ และสร้างกลไกที่ยืดหยุ่นเพียงพอ ที่จะดูแลคนทุกคนที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ตาม

นอกจากมาตรการจ่ายเงินสดแล้ว การประชุม ครม. ของรัฐบาลก่อนหน้านี้ ยังได้อนุมัติมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายาม ในการเยียวยาแบบองค์รวม ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยกย่อง และนำเสนอในมุมมองเชิงลึก

มาตรการด้านประกันชีวิต และประกันวินาศภัย (คปภ.) ขยายเวลาผ่อนผันการชำระเบี้ยประกันภัย และการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ทำประกัน แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกัน ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการบรรเทาภาระทางการเงินของประชาชน ในช่วงวิกฤต

มาตรการทางภาษี กรมสรรพากร ให้สิทธิ์หักลดหย่อน ค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและยานพาหนะ รวมถึงการเลื่อนเวลาการยื่นแบบ และการชำระภาษี เป็นมาตรการที่ช่วยลดภาระทางการเงิน และฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจในระดับครัวเรือน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มาตรการจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พักชำระหนี้ สินเชื่อพิเศษดอกเบี้ยต่ำ และสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูที่อยู่อาศัย เป็นการเติมเต็มการเยียวยาในระยะยาว ช่วยให้ประชาชนสามารถเริ่มต้นใหม่ และฟื้นตัวจากวิกฤตได้เร็วขึ้น

มาตรการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไม่ได้มองแค่การ 'จบ' ปัญหา ด้วยการจ่ายเงินก้อนเดียว แต่กำลังวางรากฐานสำหรับการฟื้นฟูที่ยั่งยืน การเยียวยาแบบองค์รวมเช่นนี้ คือหัวใจสำคัญ ของการบริหารจัดการวิกฤตที่แท้จริง

เป็นการเปลี่ยนจาก 'การดับไฟ' ไปสู่ 'การสร้างภูมิคุ้มกัน' ให้กับประชาชนในระยะยาว และนี่คือสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ ทำได้อย่างน่าสนใจ

ความหวังที่ซ่อนอยู่ในวิกฤต การเมืองที่ควรถูกพูดถึง การจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชาชน ในวันที่ 6-7 ตุลาคม 2568 ไม่ใช่แค่ข่าวธรรมดา แต่เป็นข่าวที่เต็มไปด้วยนัยสำคัญ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง

คือภาพสะท้อนของ 'การเมืองภาคประชาชน' ที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างแท้จริง การตัดสินใจที่รวดเร็ว การทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ และการพิจารณาถึงช่องโหว่ของหลักเกณฑ์ เพื่อแก้ไขอย่างยืดหยุ่น ล้วนเป็นสัญญาณที่ดี ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังเดินมาถูกทาง ในการรับมือกับวิกฤต

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนี้ยังเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับอนาคต การเยียวยาที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู การจะทำให้ชีวิตของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ กลับมาเป็นปกติได้นั้น ต้องใช้เวลา ความเข้าใจ และการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จากทุกภาคส่วน

เรื่องราวของชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้จบลงแค่การจ่ายเงินเยียวยา แต่จะเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญว่า รัฐบาลนี้จะสามารถ 'นำพา' ประเทศ ผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างไร

นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องจับตามอง และร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ของการสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่านี้ ไปด้วยกัน

สำหรับจำนวนผู้ประสบภัยที่เหลือ ปภ. จะทยอยนำส่งรายชื่อให้ธนาคารออมสินและโอนให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ผู้ประสบภัยสามารถตรวจสอบสถานะ “การรับเงินช่วยเหลือ” ได้ทาง https://relief68.disaster.go.th/Dashboard/BoardHelpRegister
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----

⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉

✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 030840 ต.ค. 2568

#เยียวยาชายแดน #ศรีสะเกษ #อนุทิน #รัฐบาล #เรื่องจริงเบื้องหลัง #วิกฤตชายแดน #ไทยกัมพูชา #การเมือง #เศรษฐกิจ #ชีวิตจริง #เงินเยียวยา #ปภ #ธนาคารออมสิน

ปลัดแคทมาแล้ว รายงานตัว ปลัดอำเภอป้ายแดง เมืองศรีสะเกษ เรื่องลาออก แล้วแต่จะพิจารณา ผู้ว่าฯ แนะลองเปิดใจ ศรีสะเกษน่าอยู่...
02/10/2025

ปลัดแคทมาแล้ว รายงานตัว ปลัดอำเภอป้ายแดง เมืองศรีสะเกษ เรื่องลาออก แล้วแต่จะพิจารณา ผู้ว่าฯ แนะลองเปิดใจ ศรีสะเกษน่าอยู่

เมื่อ 'ปลัดแคท' เข้ารายงานตัว ถอดรหัส ‘เกมอำนาจ’ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องลาออก ⚡️💥

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

'ปลัดแคท' รายงานตัวแล้วที่จังหวัดศรีสะเกษ! 'ม่ใช่แค่การรายงานตัวตามปกติ ของข้าราชการคนหนึ่ง แต่นี่คือจุดจบของมหากาพย์ ที่สังคมจับตามานาน

เรื่องราวที่เริ่มต้นจาก 'แคท' หญิงสาวชาวบ้าน ผู้มากความสามารถจากเวทีประกวดนางงาม สู่ตำแหน่ง 'ผู้กอง' แห่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพลิกผันมาเป็น 'ปลัดอำเภอ' ป้ายแดงที่จังหวัดศรีสะเกษ

แต่ยังไม่ทันได้ลงพื้นที่ทำงาน กลับมีกระแสข่าวขอลาออก จากการรับราชการ เพื่อไปประกอบอาชีพอื่น เรื่องราวเหมือนจะจบลง ด้วยการตัดสินใจส่วนตัว

แต่สุดท้ายทุกอย่างก็กลับตาลปัตร เมื่อปลัดแคทปรากฏตัวในชุดข้าราชการเต็มยศ เข้าห้องทำงานผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ อย่างเป็นทางการ

ภาพข่าวที่เผยแพร่ออกมามีชายฉกรรจ์ 2 คน เดินประกบ ปลัดแคทไม่ให้สัมภาษณ์ใด ๆ เรื่องการยื่นหนังสือลาออกจากราชการ ก่อนหน้านี้ มีเพียงคำพูดสั้น ๆ ว่า “แล้วแต่ผู้บังคับบัญชา จะพิจารณา”

กับวลีเด็ดจาก 'นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์' ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ว่า “ศรีสะเกษน่าอยู่ ลองเปิดใจดู” ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องส่วนตัวของคน คนหนึ่ง แต่หากมองอีกมุม นี่คือภาพสะท้อนที่ฉายให้เห็นถึง รอยร้าวของกลไกรัฐ และเกมอำนาจที่ซับซ้อนยิ่งกว่าที่ใครคิด

ไม่ใช่แค่เรื่องการลาออก แต่คือการต่อสู้เบื้องหลังระหว่าง 'คน' กับ 'ระบบ' และ 'กระแสสังคม' ที่เข้าไปแทรกแซงกลไก ที่เคยทำงานแบบเงียบ ๆ มาตลอด

แกะรอย 'ปลัดแคท' จากเวทีนางงาม สู่ห้องราชการ เมื่อทุกย่างก้าวคือเกมการเมือง เรื่องของ 'ร้อยตำรวจเอกหญิง อาทิติยา เบ็ญจะปัก' หรือ 'ผู้กองแคท' ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญที่คนดังคนหนึ่ง จะเข้ามาในแวดวงราชการ ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้

ก่อนหน้านี้ปลัดแคทคือ 'มิสแกรนด์ศรีสะเกษ 2018' ซึ่งทำให้มีความผูกพันกับจังหวัดนี้ มาตั้งแต่ต้น แต่นั่นเป็นแค่ฉากหน้า ฉากหลังที่คนนอกไม่เคยเห็นคือ 'แรงผลัก' ที่ทรงอิทธิพลจากหลายขั้วอำนาจ

การที่คน คนหนึ่ง จะสามารถโยกย้ายตำแหน่งข้ามสังกัด จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มาสู่กรมการปกครอง (ปค.) ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะระบบราชการไทยเต็มไปด้วยขั้นตอน และระเบียบที่เข้มงวด

การที่ได้รับแต่งตั้งเป็น 'ปลัดอำเภอ' ในจังหวัดที่มีความผูกพัน จึงดูสมเหตุสมผลในแง่ของ 'แรงหนุน' แต่เมื่อเรื่องถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ ความปกติก็กลายเป็นความไม่ปกติ ขึ้นมาทันที

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนคือ การที่มีหนังสือขอตัวปลัดแคท ไปช่วยราชการที่ 'สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร'ทันทีหลังจากรับตำแหน่ง แต่ถูกกรมการปกครอง 'ไม่อนุมัติ'

การไม่อนุมัติครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การปฏิเสธคำขอปกติ แต่คือการ 'ส่งสัญญาณ' จากผู้มีอำนาจในกรมการปกครองว่า 'เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง' และเป็นการแสดงออกถึง การไม่ยอมรับการแทรกแซงจาก 'แรงผลัก' ภายนอก

เมื่อการขอตัวถูกปฏิเสธ ปลัดแคทจึงเลือกใช้ 'ไพ่ใบสุดท้าย' นั่นคือการยื่นหนังสือขอลาออก จากการเป็นข้าราชการ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว การลาออกของข้าราชการพลเรือน ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนตามที่ 'นายสมชัย ศรีสุทธิยากร' อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ให้ข้อมูลไว้

การลาออกเป็นสิทธิส่วนบุคคล ที่สามารถทำได้ หากเป็นไปตามระเบียบ แต่การลาออก ในจังหวะที่กำลังเป็นประเด็นร้อน ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย และสุดท้าย ก็ลงเอยด้วยการกลับมารายงานตัวเพื่อ 'รับใช้ชาติ' ตามเดิม อย่างน่าแปลกใจ

คำถามที่ต้องขุดลึกลงไปคือ ทำไมปลัดแคทถึงกลับมา? นี่คือจุดที่ต้องเจาะลึกเข้าไปใน 'เบื้องหลัง' ที่น้อยคนจะรู้ เมื่อ 'การลาออก' คือการต่อรอง และ 'การรายงานตัว' คือการยอมจำนน

การยื่นหนังสือลาออกของปลัดแคท ไม่ใช่แค่การตัดสินใจส่วนตัว แบบที่ข่าวทั่วไปนำเสนอ แต่สำหรับนักวิเคราะห์การเมืองและรัฐศาสตร์ นี่คือ 'ยุทธศาสตร์การต่อรอง' ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ในหลาย ๆ วงการ ♟️

ลองนึกภาพตาม เมื่อเป้าหมายเดิม คือการขอตัวไปช่วยราชการไม่สำเร็จ แรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลัง ก็ต้องหาทางออกใหม่ เพื่อไม่ให้เสียหน้า การยื่นใบลาออก จึงเป็นเหมือน 'การขู่' หรือ 'การกดดัน' ไปที่กรมการปกครองและกระทรวงมหาดไทยว่า

'ถ้าไม่ยอมให้ไป เราก็จะไม่ทำงานในตำแหน่งนี้' เป็นการใช้กระแสสังคมและความดังของตัวบุคคล มาเป็นเครื่องมือต่อรอง กับอำนาจรัฐแบบเดิม ๆ

แต่ระบบราชการไทยไม่เหมือนธุรกิจเอกชน ที่สามารถลาออกกันได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องถูกสื่อสารออกไปสู่สาธารณะแล้ว การลาออกในลักษณะนี้ จะสร้าง 'บรรทัดฐาน' ที่ไม่ดี ให้กับระบบราชการโดยรวม

นั่นคือการเปิดช่องให้ข้าราชการ สามารถใช้ 'ความไม่พอใจ' หรือ 'ความต้องการส่วนตัว' เป็นเหตุผลในการลาออกได้ โดยไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวด ซึ่งจะทำให้กลไกการทำงานของรัฐ ล้มเหลวในอนาคต

ดังนั้น การที่กรมการปกครอง 'ยังไม่อนุมัติ' การลาออกของปลัดแคท และในที่สุด ก็ต้องกลับมารายงานตัวที่จังหวัดศรีสะเกษ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ นี่คือการ 'รักษาระเบียบวินัย และเกียรติภูมิของระบบ'

เป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า 'ไม่มีใครใหญ่กว่าระบบ' ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน หรือมีแรงหนุนมากแค่ไหนก็ตาม การกลับมารายงานตัว จึงไม่ใช่แค่การกลับมาทำงาน แต่คือการ 'ยอมจำนน' ต่ออำนาจที่แท้จริง ของระบบราชการไทย

'ศรีสะเกษน่าอยู่' หรือ 'ศรีสะเกษที่ต้องอยู่' ? คำพูดของผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ ที่ว่า “ศรีสะเกษน่าอยู่ อยากให้ลองเปิดใจดู” ฟังดูเหมือนเป็นคำแนะนำที่จริงใจ และอบอุ่น แต่ถ้าตีความตามบริบทของสถานการณ์แล้ว มีนัยที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก

คำว่า 'น่าอยู่' ในบริบทนี้ อาจไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามของเมือง หรือการต้อนรับที่อบอุ่น แต่คือการบอกว่า “นี่คือพื้นที่ของคุณ นี่คือตำแหน่งที่คุณต้องทำงาน” และคำว่า “ลองเปิดใจ” คือการบอกให้ 'ยอมรับ' ความจริงที่เกิดขึ้น และ 'ก้มหน้าก้มตา' ทำงานตามระเบียบของกรมการปกครอง

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การตัดสินใจของปลัดแคทคนเดียว แต่เป็น 'การเคลื่อนไหว' ของ 'แรงหนุน' ที่อยู่เบื้องหลังด้วยเช่นกัน เมื่อการต่อรองด้วยการลาออก ไม่เป็นผล ทางออกที่ดีที่สุดคือการ 'ถอย' กลับมาสู่จุดตั้งต้น เพื่อไม่ให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้ และรอโอกาสใหม่ในอนาคต

การกลับมารายงานตัวที่จังหวัดศรีสะเกษ จึงเป็นเพียง 'การพักรบ' ชั่วคราว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการ 'รบครั้งใหม่' ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต หากมีจังหวะ และโอกาสที่เหมาะสม

รอยร้าวในระบบราชการไทย เมื่อคน 'เก่ง' ไม่เท่าคน 'มีเส้น' เรื่องราวของปลัดแคท คือกระจกสะท้อนให้เห็นถึง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ของระบบราชการไทย ที่เรื้อรังมานาน นั่นคือ 'ระบบอุปถัมภ์' หรือที่ภาษาปากเรียกว่า 'มีเส้น'

แม้ว่าจะมีข้าราชการน้ำดีมากมาย ที่ตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติ แต่ระบบที่ยังคงทำงานด้วย 'แรงหนุน' หรือ 'การฝากฝัง' ก็ยังคงมีอยู่และฝังรากลึก การโยกย้ายตำแหน่งข้ามสังกัดในระดับสูง ไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่การที่เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่โต และมีการต่อสู้กันอย่างเปิดเผย สะท้อนให้เห็นว่า 'ความไม่พอใจในระบบอุปถัมภ์' กำลังปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง ทั้งจากข้าราชการด้วยกันเอง และจากประชาชน ที่มองเห็นความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น

ข้อความของนายสมชัย ที่โพสต์เตือนเกี่ยวกับระเบียบการลาออก ของข้าราชการ ไม่ใช่แค่การให้ความรู้ แต่เป็นการ 'ตอกย้ำ' ไปถึงคนที่มีอำนาจว่า 'ระเบียบมีไว้เพื่อทุกคน' ไม่ว่าจะมีอำนาจ หรือมีเส้นสายมากแค่ไหนก็ตาม

การทำตามกฎหมายและระเบียบ คือสิ่งสำคัญที่สุด ในการรักษาระบบการปกครองที่ดี

หากเรื่องนี้จบลงด้วยการที่ปลัดแคท ลาออกได้สำเร็จอย่างง่ายดาย โดยไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผล ระบบราชการไทยก็จะยิ่งอ่อนแอลงไปอีก แต่การที่กรมการปกครองเลือกที่จะ 'ยืนหยัด' และบังคับใช้ระเบียบอย่างเคร่งครัด

สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะ 'ปฎิรูป' ระบบจากภายใน ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นการต่อสู้ ที่ยากลำบากก็ตาม

อนาคตของการปกครองไทย เรื่องของปลัดแคท ไม่ใช่แค่ดราม่าในวงการราชการ แต่เป็น 'กรณีศึกษา' ที่น่าสนใจสำหรับทุกคน ที่สนใจเรื่องการเมืองการปกครอง และสังคมไทย

ความสำคัญของ 'ระบบ' เหนือ 'บุคคล' ระบบราชการที่ดี ต้องมีกฎระเบียบที่ชัดเจน และสามารถบังคับใช้กับทุกคน ได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคน คน นั้น จะทรงอิทธิพลเพียงใดก็ตาม หากปล่อยให้ 'บุคคล' มีอำนาจเหนือ 'ระบบ' ประเทศชาติก็จะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้

พลังของ 'การสื่อสาร' และ 'กระแสสังคม' การที่เรื่องราวของปลัดแคท กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียล มีส่วนสำคัญที่ทำให้ 'แรงหนุน' เบื้องหลัง ไม่สามารถใช้อำนาจได้ตามใจชอบอีกต่อไป เพราะทุกสายตาของประชาชน กำลังจับจ้องอยู่

นี่คือบทพิสูจน์ว่า ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสาร ไปถึงทุกคนอย่างรวดเร็ว 'ความโปร่งใส' คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

อนาคตของข้าราชการรุ่นใหม่ เรื่องนี้เป็นบทเรียน สำหรับข้าราชการรุ่นใหม่ทุกคนว่า 'การรับราชการ' ไม่ใช่แค่การทำงานตามหน้าที่ แต่คือการ 'เป็นส่วนหนึ่ง' ของระบบที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง

และหากต้องการที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง เต้องเข้าใจ 'เกม' ที่กำลังเล่นอยู่ และใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด แทนที่จะต่อต้านอย่างตรงไปตรงมา จนเกิดความเสียหาย

การที่ปลัดแคท กลับมารายงานตัวที่จังหวัดศรีสะเกษในวันนี้ คือจุดจบของเรื่องราวทั้งหมดแล้วจริงหรือ? หรือเป็นเพียงการเปิดฉาก 'เกมใหม่' ที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเงียบ ๆ ในห้องทำงานของผู้มีอำนาจ?

คงต้องติดตามกันต่อไป เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนนี้ ไม่มีอะไรแน่นอน

และสิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่ทั้งหมดของความจริงเสมอไป
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----

⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉

✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021345 ต.ค. 2568

#ปลัดแคทรายงานตัว #ปลัดอำเภอ #ศรีสะเกษ #กัปตันอนาคต #ดราม่าการเมือง #เบื้องหลังการปกครอง #ชีวิตข้าราชการ #รัฐศาสตร์ชีวิตจริง #มหาดไทย #ศรีสะเกษ #ปลัดแคท #การเมือง #วิเคราะห์ข่าว #เบื้องหลัง #ราชการไทย #ข่าวปลัดแคท #ดราม่า

รมว.ดีอี สั่งสอบตัวเอง ปมสินบนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 40 ล้าน อดีตรัฐมนตรีงง เป็นไปได้ไง? ยังไม่ได้ทำงาน มีผู้เสนอส่วยให้รัฐมนต...
02/10/2025

รมว.ดีอี สั่งสอบตัวเอง ปมสินบนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 40 ล้าน อดีตรัฐมนตรีงง เป็นไปได้ไง? ยังไม่ได้ทำงาน มีผู้เสนอส่วยให้

รัฐมนตรีต้นทุนต่ำ สู่มหากาพย์เงิน 40 ล้าน เมื่อภาพลักษณ์สร้าง 'ทางด่วน' ให้มิจฉาชีพ? 🤑

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

ท่ามกลางห้วงเวลาที่การเมืองไทย กำลังก่อร่างสร้างตัวขึ้นใหม่ สวนทางกับความหวังของผู้คน ที่ไม่ว่าจะเลือกตั้งกี่ครั้ง ปัญหาเดิม ๆ ก็ยังคงวนเวียนกลับมาให้เห็นอีกครั้ง อย่างไม่จบสิ้น

โดยเฉพาะในยุคที่โลกดิจิทัลกลายเป็น 'ทางด่วน' ให้เหล่าอาชญากรไซเบอร์ ใช้เป็นเครื่องมือหลอกลวงผู้คน ทว่าเรื่องนี้กลับไม่เป็นเพียงแค่ การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

แต่กลับเป็น 'หมาก' ที่ถูกวางซับซ้อนกว่าที่คิด และเรื่องราวที่กำลังจะถูกเล่าต่อไปนี้ คือการตีความที่ลึกลงไปในรอยต่อของภาพลักษณ์ การเมือง และขบวนการทุจริต ที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้พรม

เรื่องราวเริ่มต้นจาก 'ความประหลาดใจ' ของอดีตเจ้ากระทรวงที่ชื่อ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ผู้เป็นด่านแรกในการสกัดกั้นภัยไซเบอร์ มาตลอด 2 ปีเต็ม

ซึ่งประกาศอย่างชัดเจนว่า ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ไม่เคยมีใครกล้ามาเสนอสินบนให้ เพื่อแลกกับการละเว้น การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และนั่นคือสิ่งที่ตอกย้ำ ถึงภาพลักษณ์ความ 'จริงจัง' และ 'เด็ดขาด' ในการทำงาน

แต่แล้วเมื่อเกิดการเปลี่ยนผ่านอำนาจ สู่มือของ 'นก' หรือ 'นายไชยชนก ชิดชอบ' รัฐมนตรีคนใหม่ ผู้ที่แทบจะยังไม่ทันได้นั่งเก้าอี้ให้เต็มก้น เรื่องราวกลับพลิกผันอย่างน่าตกใจ

เมื่อจู่ๆ นกก็ออกมาเปิดเผยกลางสภาว่า มีคนติดต่อมาเสนอเงินสินบน สูงถึงเดือนละ 40 ล้านบาท เพื่อแลกกับการ งผ่อนปรนง ให้เหล่ามิจฉาชีพ ยังคงเดินหน้าหลอกลวงคนไทย ต่อไปได้

หากมองเผิน ๆ นี่เป็นแค่เรื่องของ 'คนดี' ที่กำลังเผชิญหน้ากับ 'คนชั่ว' และพร้อมที่จะเอาจริงเอาจัง ในการปราบปราม แต่เมื่อมองอีกมุมแล้ว นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการเปิดโปงการทุจริต แต่เป็นการเปิดเผย 'ความจริง' ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น

นั่นคือ ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น? อะไรคือ 'ช่องว่าง' ที่ทำให้มิจฉาชีพมองเห็นโอกาสในการเข้าถึง และเสนอเงินมหาศาลเช่นนี้? และที่สำคัญกว่านั้นคือ คำพูดที่ว่า 'ยังไม่ได้ทำงาน' ของรัฐมนตรีคนใหม่นั้น สะท้อนให้เห็นถึงอะไรกันแน่?

ความเงียบคือคำตอบ เมื่อการเมืองสร้าง 'ทางด่วน' ให้มิจฉาชีพ? การที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์กล้าติดต่อเข้ามา เพื่อเสนอเงินจำนวนมหาศาลอย่าง 40 ล้านบาทต่อเดือนนั้น

ไม่ใช่แค่เรื่องของความ 'กล้าได้กล้าเสีย' แต่เป็นการคำนวณจาก 'ต้นทุน' และ 'ผลลัพธ์' ที่จะได้รับ ลองคิดดูว่า การที่ต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ ย่อมหมายความว่า ผลกำไรที่ได้จากการหลอกลวงคนไทยนั้น จะต้องมหาศาลยิ่งกว่า

และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ต้องมั่นใจว่า 'ทางด่วน' ที่กำลังจะสร้างขึ้นนั้น จะคุ้มค่ากับการลงทุน

คำพูดของอดีตรัฐมนตรีที่ว่า “ผมแปลกใจที่รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลฯคนใหม่ ยังไม่ทันได้ทำหน้าที่ แต่มีคนมาเสนอมอบเงินผลประโยชน์ ถึงเดือนละ 40 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ผมเข้าใจว่า ที่เขากล้าเสนอเรื่องผิดกฎหมายเช่นนี้ อาจเป็นเพราะภาพลักษณ์ของท่าน ที่ทำให้เหล่ามิจฉาชีพเข้าใจได้ว่า มีช่องทางในการพูดคุยเรื่องดังกล่าว” นั้น

ไม่ใช่แค่การตั้งคำถาม แต่เป็นการ 'ฉายภาพ' ที่คมชัดถึงประเด็นสำคัญ ที่ไม่ควรมองข้าม นั่นคือ 'ภาพลักษณ์'

ภาพลักษณ์ทางการเมือง ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพียงแค่จากคำพูด หรือนโยบายที่แถลงในสภา แต่ถูกประกอบสร้างขึ้นจากทุกองค์ประกอบ ของบุคคลผู้นั้น ตั้งแต่ประวัติส่วนตัว เส้นทางการเมือง และที่สำคัญคือ 'สายสัมพันธ์' ที่ถูกมองเห็นโดยสาธารณะ

ในกรณีของรัฐมนตรีคนใหม่ ผู้เป็นบุตรชายคนโตของ “เนวิน ชิดชอบ” ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งพรรคภูมิใจไทย และมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น กับผู้มีอำนาจหลายต่อหลายคน ในรัฐบาลชุดปัจจุบัน

รวมถึงผู้มีอิทธิพลในต่างแดนอย่าง 'ฮุน เซน' ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างหนักหน่วง

สิ่งเหล่านี้อาจถูกตีความได้ว่า 'ภาพลักษณ์' ที่ถูกฉายออกมานั้น ไม่ได้แสดงถึงความ 'เด็ดขาด' ในการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ แต่กลับเป็นภาพของ 'ความยืดหยุ่น' ที่อาจมี 'ช่องทาง' ในการเจรจาได้

ดังนั้น การที่มิจฉาชีพกล้าเข้ามาเสนอเงิน จำนวนมหาศาลนี้ ไม่ใช่เรื่องของ 'ความกล้าบ้าบิ่น' แต่เป็นเรื่องของ 'ความมั่นใจ' ที่เชื่อว่า 'ช่องทาง' ที่มองเห็นนั้น มีอยู่จริง

และการลงทุนด้วยเงิน 40 ล้านบาทต่อเดือนนั้น เป็นเพียง 'ค่าผ่านทาง' ที่คุ้มค่า เพื่อให้สามารถดำเนินการหลอกลวงผู้คนต่อไปได้อย่าง 'ไร้รอยต่อ' ภายใต้การดูแลของรัฐบาลใหม่

'รัฐมนตรีต้นทุนต่ำ' หรือ 'รัฐมนตรีไร้ต้นทุน'? คำว่า 'รัฐมนตรีต้นทุนต่ำ' ที่อดีตรัฐมนตรีคนเก่า ได้กล่าวไว้นั้น มีนัยที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะมองข้ามได้ ต้นทุนในการเป็นรัฐมนตรีนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ต้นทุนทางเศรษฐกิจ แต่ยังมี 'ต้นทุนทางสังคม' และ 'ต้นทุนทางการเมือง' ที่สำคัญยิ่งกว่า

ต้นทุนทางสังคมหมายถึง 'ความน่าเชื่อถือ' และ 'ความไว้วางใจ' ที่ประชาชนมีให้ ในฐานะนักการเมือง ที่เข้ามาทำหน้าที่รับใช้ประชาชน การสร้างต้นทุนทางสังคมให้สูงนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และความพยายามอย่างมาก

อดีตรัฐมนตรี 'ประเสริฐ จันทรรวงทอง' ใช้เวลา 2 ปีเต็ม ในการพิสูจน์ตัวเอง ด้วยผลงานที่จับต้องได้ ทั้งการทำให้มูลค่าความเสียหาย จากอาชญากรรมออนไลน์ ลดลงกว่าครึ่ง และได้รับรางวัลระดับโลกอย่าง WSIS Prizes 2025

สิ่งเหล่านี้คือ 'ต้นทุนทางสังคม' ที่สร้างขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง จนทำใหh 'มิจฉาชีพ' ไม่กล้าเข้ามา แม้แต่จะเสนอผลประโยชน์

แต่ในทางกลับกัน 'รัฐมนตรีคนใหม่' ที่ยังไม่ทันได้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ 'ต้นทุนทางสังคม' จึงยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมจึงถูกมองว่าเป็น 'รัฐมนตรีต้นทุนต่ำ' ในแง่ของผลงาน ที่ยังไม่ถูกพิสูจน์

แต่เมื่อมองในมุมกลับกัน คำว่า 'ต้นทุนต่ำ' มีความหมายที่ลึกกว่านั้น อาจหมายถึงการเป็น 'รัฐมนตรีไร้ต้นทุน' ในแง่ที่ว่า ไม่จำเป็นต้องสร้างผลงานใด ๆ เพื่อพิสูจน์ตัวเอง

เพราะเได้มาซึ่งตำแหน่งนี้ด้วย 'ต้นทุนทางการเมือง' ที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วอย่างแข็งแกร่งจากบิดา และเครือข่ายทางการเมือง ของพรรคภูมิใจไทย

และนี่คือประเด็นที่น่าสนใจยิ่งกว่า เมื่อตำแหน่งไม่ได้มาจากการพิสูจน์ผลงาน แต่มาจากสายสัมพันธ์ทางการเมือง แล้วการทำงานเพื่อประชาชน จะมีความจริงจังมากน้อยเพียงใด?

เมื่อไม่มีต้นทุนที่ต้องรักษา ในแง่ของผลงาน และศรัทธาจากประชาชน การตัดสินใจต่าง ๆ ก็ถูกพิจารณาจากปัจจัยอื่นนอกเหนือจาก 'ผลประโยชน์ของชาติ'

และการที่รัฐมนตรีคนใหม่ รีบออกมาสั่งให้ปลัดกระทรวง ทำการ 'สอบสวนตัวเอง' นั้น ก็เป็นเพียงแค่การแสดงออกเพื่อ 'สร้างภาพลักษณ์' ให้ดูเหมือนว่า กำลังจริงจังกับปัญหา

แต่ในความเป็นจริงแล้ว กระบวนการสอบสวนที่เกิดขึ้นนั้น จะนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิดตัวจริงไ ด้หรือไม่? หรือเป็นเพียงแค่ 'ละครฉากใหญ่' เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ที่กำลังเฝ้ารอคอยคำตอบ?

เมื่อ 'ดีแต่พูด' และ 'การกระทำ' ไม่เคยเดินไปด้วยกัน คำพูดของ 'รังสิมันต์ โรม' ที่ว่า "นายไชยชนกไม่ควรเงียบ เพราะการเงียบ เป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่เอาจริงเอาจริง กับการปราบปรามแก็งคอลเซ็นเตอร์” นั้น

คือการตอกย้ำให้เห็นถึง 'ความรับผิดชอบ' ในฐานะผู้นำ ซึ่งไม่ควรจำกัดอยู่แค่ การแถลงในสภา แต่ต้องแสดงออกถึงการกระทำที่เด็ดขาด และจับต้องได้

การสั่งให้ปลัดกระทรวง 'สอบสวนตัวเอง' นั้น ไม่ใช่การกระทำที่ 'ถึงที่สุด' อย่างที่กล่าวอ้าง การกระทำที่ถึงที่สุดจริง ๆ คือการทำงานร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อ 'ขุดรากถอนโคน' ขบวนการที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด

และที่สำคัญคือ ต้องกล้าที่จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ อย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะการตามหา 'ตัวกลาง' ที่ทำหน้าที่เป็น 'นายหน้า' เสนอเงินสินบน และหา 'เส้นทางการเงิน' ที่นำไปสู่ 'หัวขบวน' ตัวจริง

หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง อย่างที่รัฐมนตรีกล่าวอ้าง การนิ่งเงียบหรือไม่แสดงความคืบหน้าใด ๆ ในการจับกุมผู้กระทำผิด จะเป็นการ 'ส่งสัญญาณ' ที่อันตรายอย่างยิ่ง ต่อประชาชน

นั่นคือสัญญาณที่บอกว่า 'รัฐบาลไม่เอาจริง' กับการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก เพราะมิจฉาชีพจะยิ่งได้ใจ และประชาชนก็จะไม่ไว้วางใจ ในการทำงานของภาครัฐอีกต่อไป

สิ่งที่ประชาชนต้องการ ไม่ใช่แค่การแถลงข่าว หรือการสั่งให้มีการสอบสวน แต่คือ 'ผลลัพธ์' ที่จับต้องได้ การที่รัฐมนตรีกล้าออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ในสภา ถือเป็นเรื่องที่ดี

แต่ความท้าทายที่แท้จริงคือ หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น? ผู้กระทำผิดจะถูกนำตัวมาลงโทษ อย่างสาสมหรือไม่? หรือเรื่องนี้จะเงียบหายไปเ หมือนเรื่องราวอื่น ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในวงการเมืองไทย?

ความจริงที่ถูกซ่อน เมื่อประวัติศาสตร์การศึกษา ไม่ได้สะท้อน 'ความจริง' ทั้งหมด นอกเหนือจากเรื่องของเงินสินบน 40 ล้านบาทแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน และสะท้อนให้เห็นถึง 'ภาพลักษณ์' ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างซับซ้อน นั่นคือเรื่องราวของ 'ประวัติการศึกษา' ของรัฐมนตรีคนใหม่

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลบ่าดั่งสายน้ำ การตรวจสอบข้อมูลพื้นฐานของนักการเมือง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง และในกรณีของ 'ไชยชนก ชิดชอบ' ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการศึกษา กลับเป็นสิ่งที่คลุมเครือ และไม่ชัดเจนมาโดยตลอด

สื่อหลายสำนักรายงานอย่างกว้าง ๆ ว่า “ศึกษาที่อังกฤษยาวนานถึง 17 ปี” หรือ “จบการศึกษาจากอังกฤษ” ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน มาเป็นเวลานาน

แต่เมื่อมีการตรวจสอบอย่างละเอียดลึกซึ้ง กลับพบว่าความจริงนั้น ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ถูกนำเสนอ จากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าตัว และการตรวจสอบจากมหาวิทยาลัยโดยตรง

พบว่านกเดินทางไปศึกษาที่อังกฤษจริง แต่ 'ไม่ได้จบการศึกษา ระดับปริญญาตรี' จากที่นั่น โดยได้กลับมาสมัครเรียน และสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา บุรีรัมย์ แทน

ประเด็นนี้ไม่ได้ต้องการจะกล่าวว่า การจบการศึกษาจากสถาบันใด ดีกว่าหรือแย่กว่า แต่ประเด็นสำคัญคือ "ทำไมจึงต้องสร้างภาพลักษณ์ ที่คลุมเครือเช่นนี้?”

การไม่ให้ข้อมูลที่ชัดเจน และการปล่อยให้สื่อนำเสนอข้อมูล ที่สร้างความเข้าใจผิดไปนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะ 'สร้างความน่าเชื่อถือ' ที่อาจจะขาดไป ในส่วนของประวัติการศึกษา

ในโลกของการเมือง ภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และการที่นักการเมืองคนหนึ่ง พยายามที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดู 'โก้หรู' หรือดู 'เหนือกว่า' ในเรื่องของพื้นฐานการศึกษา อาจเป็นเพราะเชื่อว่า สิ่งนี้จะช่วยเพิ่ม 'ต้นทุนทางสังคม' และ 'ความน่าเชื่อถือ' ในสายตาของประชาชนได้

แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่ข้อมูลไม่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ อาจนำไปสู่ 'ต้นทุน' ที่สูงกว่าในระยะยาว นั่นคือ 'ต้นทุนของความน่าเชื่อถือ' ที่จะถูกทำลายลงในที่สุด เมื่อความจริงถูกเปิดเผย

และนี่คือความเชื่อมโยงที่น่าสนใจ ภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้น อย่างไม่ตรงไปตรงมา ในเรื่องของประวัติการศึกษา ได้กลายเป็น 'จิ๊กซอว์' ตัวหนึ่ง ที่ทำให้มิจฉาชีพมองเห็น 'ช่องว่าง' หรือ 'ความยืดหยุ่น' ที่มีอยู่ในตัวของรัฐมนตรีคนนี้

เพราะเมื่อนักการเมืองไม่สามารถตรงไปตรงมา ในเรื่องพื้นฐานของตนเองได้ แล้วจะสามารถเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า จะจริงจังและเด็ดขาด ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ 'ผลประโยชน์' ที่มีมูลค่าสูงอย่าง 40 ล้านบาทต่อเดือน?

ถึงเวลาที่ต้อง 'ล้างไพ่' หรือแค่ 'จัดฉาก' เพื่อลวงตา? เรื่องราวของ 'สินบน 40 ล้าน' และ 'ประวัติการศึกษาที่คลุมเครือ' ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวสองเรื่อง ที่บังเอิญเกิดขึ้นพร้อมกัน

แต่คือ 'ภาพสะท้อน' ที่เชื่อมโยงกันอย่างแนบเนียน ในห้วงเวลาที่การเมืองไทย กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่

การที่รัฐมนตรีคนใหม่ กล้าออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ในสภา ถือเป็นเรื่องที่ดี และเป็นก้าวแรกที่น่าชื่นชม แต่คำถามที่สำคัญยิ่งกว่าคือ “ก้าวต่อไปคืออะไร?”

การสั่งให้สอบสวนตัวเองนั้น จะเป็นเพียงแค่ “'การออกตัว' เพื่อให้ตัวเองดูดี หรือเป็นการปูทางไปสู่การ 'ล้างไพ่' ครั้งใหญ่ เพื่อขุดรากถอนโคนขบวนการทุจริต ที่เกาะกินสังคมไทยมานาน?

ถ้าหากเรื่องนี้เป็นเพียงแค่ 'การจัดฉาก' เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ที่กำลังหมดหวัง การกระทำนี้ก็ถือเป็น 'ความผิดพลาด' ที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง เพราะจะยิ่งทำให้ประชาชน หมดศรัทธาในนักการเมือง และในระบอบการเมือง ของประเทศนี้ไปอีกครั้ง

แต่ถ้าหากนี่คือ 'จุดเริ่มต้น' ของการเอาจริงเอาจังใ นการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ และการทุจริตที่อยู่เบื้องหลัง การกระทำที่ตามมาหลังจากนี้ จะต้องมีความเด็ดขาดและจับต้องได้ ไม่ใช่แค่การ 'ดีแต่พูด' แต่ต้อง 'กล้าที่จะทำ' ให้เห็นเป็นประจักษ์

และนั่นคือสิ่งที่ประชาชนกำลังเฝ้ารอคอย และเป็นสิ่งที่รัฐมนตรีคนใหม่ ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า 'ภาพลักษณ์' ที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น ไม่ใช่ 'ทางด่วน' สำหรับมิจฉาชีพ แต่คือ 'กำแพง' ที่จะปกป้องประชาชนอย่างแท้จริง

สุดท้ายแล้ว หากรัฐมนตรีคนนี้ทำได้สำเร็จ จะไม่เพียงแค่ได้มาซึ่ง 'ตำแหน่ง' และ 'อำนาจ' แต่จะได้มาซึ่ง 'ความน่าเชื่อถือ' และ 'ศรัทธา' ที่แท้จริงจากประชาชน

ซึ่งเป็น 'ต้นทุน' ที่สูงค่ากว่าเงินสินบน 40 ล้านบาท หลายเท่านัก
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----

⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉

✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021242 ต.ค. 2568

#เงิน40ล้าน #ดีอี #ไชยชนกชิดชอบ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #รัฐมนตรีต้นทุนต่ำ #การเมืองไทย #เบื้องหลังการเมือง

ที่อยู่

บริษัทเอไอไฟว์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (สำนักงานใหญ่) 157/1193 หมู่ที่ 6 ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง
Changwat Si Sa Ket
33000

เบอร์โทรศัพท์

+66830030110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaketผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket:

แชร์

เรื่องราวของเรา

นำเสนอประเด็นสำคัญ ละเว้นเนื้อหาอันเยิ่นเย้อ