ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket

ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket, เว็บไซต์ข่าวและสื่อ, บริษัทเอไอไฟว์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (สำนักงานใหญ่) 157/1193 หมู่ที่ 6 ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง, Changwat Si Sa Ket.
(340)

꧁༺ บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน เริ่มจากแนวคิดลึก เปิดด้วยเหตุการณ์จริง นำพาเข้าสู่การตีความลึก แบบนักวิเคราะห์ข่าวกรอง นำเสนอมุมมองใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เล่าข่าว หรือเล่าเรื่องซ้ำ แต่ตีแผ่ประเด็นลึก ๆ ที่คนในแวดวง ไม่ค่อยกล้าพูดออกมา ༻꧂

สิ้นรัชกาลที่ 1 เขมรเขว ปันใจให้ญวน ตีตัวห่างสยาม หวังทวงคืน “พระตะบอง” 😱ในโลกของการเมืองระหว่างประเทศ ไม่มีมิตรแท้และศั...
25/06/2025

สิ้นรัชกาลที่ 1 เขมรเขว ปันใจให้ญวน ตีตัวห่างสยาม หวังทวงคืน “พระตะบอง” 😱

ในโลกของการเมืองระหว่างประเทศ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร มีเพียงผลประโยชน์ ที่เปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา... 🌏 คือสัจธรรม ที่ถูกตอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ในประวัติศาสตร์

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนต่ำ โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

แกะรอยปริศนา แห่งความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างสยาม เขมร และญวน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ของการเปลี่ยนผ่านราชบัลลังก์สยาม เมื่อ "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" รัชกาลที่ 1 เสด็จสวรรคต ปล่อยให้ลมหายใจสุดท้ายของรัชกาลแรก นำมาซึ่งลมหายใจแห่งความเปลี่ยนแปลง ในภูมิภาค โดยเฉพาะกับ “ราชสำนักกัมพูชา” ที่หมายทวงคืน “พระตะบอง” 🤫

ดิ่งลึกสู่บาดแผลแห่ง “ศักดินา” และ “ผลประโยชน์” เมื่อเขมรปันใจให้ญวน ในวันที่สยามสิ้นองค์ปฐมกษัตริย์ 💔 ย้อนกลับไปในห้วงเวลา ที่ฟ้าเพิ่งผลัดเปลี่ยนสี ราชบัลลังก์สยามเพิ่งส่งไม้ต่อจาก องค์ปฐมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ สู่ "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" รัชกาลที่ 2

นั่นคือห้วงเวลาที่ความตึงเครียด อันแผ่วเบา เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย ราวกับเมฆฝนที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นบนผืนฟ้า ⛈️ และศูนย์กลางของพายุลูกนี้คือ “สมเด็จพระอุทัยราชา” หรือนักองจันท์ ผู้ครองกัมพูชา ในเวลานั้น พฤติกรรมของพระองค์ เริ่มส่อเค้าถึงความผิดปกติ อย่างชัดเจน...

ใครจะคิดว่า เพียงแค่การไม่เสด็จมาถวายบังคม พระบรมศพของ "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" รัชกาลที่ 1 และการไม่เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 2 ตามราชประเพณี จะกลายเป็นชนวนสำคัญ ที่บ่งบอกถึงการ "เอาใจออกห่างจากสยาม" อย่างโจ่งแจ้ง 🚩

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของธรรมเนียมปฏิบัติ แต่คือการส่งสัญญาณทางการเมือง ที่ดังกระหึ่ม บอกให้โลกได้รับรู้ว่า... เขมรกำลังคิดไม่ซื่อกับสยาม!

แต่เบื้องหลังพฤติกรรมเยี่ยงนี้ แท้จริงแล้ว ซับซ้อนกว่าที่เราคิดนัก ใช่เพียงความขัดเคืองส่วนตัวของ "สมเด็จพระอุทัยราชา" ที่เคยถูกตำหนิ เมื่อครั้งเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 1 และความคับข้องใจที่ไม่อาจนำตัว “พระยาเดโช” (เม็ง) กลับไปลงโทษได้ หรือแม้แต่การที่สยาม ไม่อนุญาตให้นำ “นักองอี” และ “นักองเภา” กลับกัมพูชา

ปัจจัยเหล่านี้ เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง 🏔️ หากแต่ก้นบึ้งของความไม่ลงรอยนี้ มีสองปัจจัยหลักที่ซ่อนอยู่ คือรากเหง้าของปัญหา ที่กำลังจะนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ ในภูมิภาค!

ปัจจัยที่แรก การสิ้นอำนาจของ “เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน)” เกราะป้องกันแห่งพระตะบอง เริ่มร้าวพรุน 🛡️ ชื่อนี้ไม่ใช่เพียงแค่บุคคลสำคัญ แต่เป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งอำนาจของสยามเหนือเมืองพระตะบอง ดินแดนที่เคยเป็นหัวใจสำคัญ ทางยุทธศาสตร์ของกัมพูชา ซึ่งสยามได้ปกครอง มาอย่างมั่นคงยาวนาน นับตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) คือผู้ที่สยามไว้วางใจ ให้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ณ ดินแดนแห่งนี้ และก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมเสมอมา ตราบจนสิ้นชีวิตในปลายรัชกาลที่ 1

แต่ทันทีที่ลมหายใจสุดท้ายของ "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร" สิ้นลง อำนาจการปกครองเมืองพระตะบอง กลับตกทอดไปสู่บุตรชาย ซึ่งแม้จะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่การสืบทอดอำนาจในลักษณะนี้ อาจไม่ได้รับการยอมรับจาก "ราชสำนักกัมพูชา" อย่างเต็มที่นัก 👑

ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ ที่มรดกสำคัญ ถูกส่งต่อไปยังทายาท ผู้ไม่มีบารมีเท่าบรรพบุรุษ ย่อมเป็นช่องโหว่ ให้ผู้ที่เคยเป็นเจ้าของเดิม คิดอ่านที่จะทวงคืน สิ่งนี้เอง ที่ทำให้ราชสำนักกัมพูชา ภายใต้การนำของ "สมเด็จพระอุทัยราชา" เริ่มมองเห็น "โอกาส" ในการ "ทวงคืนดินแดน" ที่เคยเป็นของตน กลับคืนมา ✊

ประเด็นนี้ไม่ได้เป็นเพียง เรื่องของการแย่งชิงอำนาจ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อ "ศักดิ์ศรี" และ "อธิปไตย" ของรัฐชาติ การที่สยาม ปกครองพระตะบองมานาน ทำให้เขมรรู้สึกเหมือนถูกตัดแขนตัดขา

การเสียชีวิตของ "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร" (แบน) จึงเป็นเหมือนสัญญาณว่า... ได้เวลาแล้ว ที่จะทวงคืนสิ่งที่เคยเป็นของเรา! นี่คือแรงขับเคลื่อนสำคัญ ที่จุดประกายความไม่พอใจ และกระตุ้นให้ "สมเด็จพระอุทัยราชา" กล้าที่จะแข็งข้อต่อสยาม อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ปัจจัยต่อมา การฟื้นตัวของ “ญวน” เมื่อดาวดวงใหม่ฉายแสง สยามกำลังเผชิญทางเลือก อันน่าหนักใจ 🌟 ในขณะที่สยาม กำลังเผชิญหน้ากับ ความท้าทายภายในกัมพูชา อีกด้านหนึ่งของภูมิภาค “ญวน” ก็กำลังผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่ ที่น่าจับตา 🐉

การที่ "องเชียงสือ" สามารถรวมอาณาจักรญวน และตั้งตนเป็นประเทศอิสระได้อีกครั้ง ภายใต้การสนับสนุนของฝรั่งเศส แม้จะเพียงช่วงสั้น ๆนั้น ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ แต่เป็นการสั่นสะเทือนดุลอำนาจ ในภูมิภาคอย่างรุนแรง

การฟื้นตัวของญวน ภายใต้ "ราชวงศ์เหงียน" ซึ่งนำโดย "พระเจ้าเวียดนามยาลอง" ซึ่งก็คือ "องเชียงสือ" นั่นเอง ได้สร้าง "ทางเลือกใหม่" ให้กับกัมพูชา 🚪

หากก่อนหน้านี้ กัมพูชาเคยพึ่งพิงสยามเป็นหลัก เพื่อคานอำนาจจากญวน แต่เมื่อญวนแข็งแกร่งขึ้น และสามารถยืนหยัดเป็นเอกราช ได้ด้วยตนเอง การพึ่งพิงสยาม จึงอาจไม่ใช่ทางเลือกเดียวอีกต่อไป

มองในมุมของกัมพูชา การมี “มหาอำนาจทางใต้” ที่กำลังขยายอิทธิพลเข้ามา เป็นเหมือนการเปิดประตูบานใหม่ สำหรับประเทศ หากไม่พอใจสยาม ก็มีญวนเป็นตัวเลือกใ นการแสวงหาการคุ้มครอง หรือแม้แต่การ “เป็นพันธมิตร” เพื่อต่อรองกับสยาม 🤝

นี่คือ “เกมแห่งผลประโยชน์” ที่กัมพูชาเริ่มเล่นอย่างชาญฉลาด และญวนเองก็ไม่รอช้า ที่จะฉวยโอกาสนี้

แม้ "พระเจ้าเวียดนามยาลอง" จะยังคงแสดงออก ถึงความนับถือต่อ "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" รัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนพระองค์ในอดีต แต่ในโลกของการเมือง ไม่มีมิตรภาพใดคงอยู่ชั่วนิรันดร์ หากแต่เป็นเรื่องของ “ผลประโยชน์แห่งชาติ” ที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด 🤔

จึงเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่า ญวนเองก็วางแผนที่จะขยายอิทธิพล เข้าสู่กัมพูชาอย่างเต็มตัว หลังจากรัชกาลที่ 1 สิ้นสุดลงแล้ว การสิ้นพระชนม์ขององค์ปฐมกษัตริย์สยาม จึงเป็น “จังหวะทอง” ให้ญวนก้าวเข้ามาเติมเต็ม ช่องว่างทางอำนาจ ที่เกิดขึ้นในกัมพูชา

เมื่อ “เกม” ของเขมรเริ่มต้นขึ้น เบื้องหลังการยุยงปลุกปั่นของ “พระยาพระเขมร” 🗣️ ปัจจัยทั้งสองประการข้างต้น ไม่ได้ลอยขึ้นมาในอากาศ หากแต่ถูก "หยิบฉวย" และ "นำไปใช้" อย่างมีกลยุทธ์โดยกลุ่ม “พระยาพระเขมร” ที่ไม่พอใจสยาม

นี่คือกลุ่มคน ที่ไม่ต้องการอยู่ภายใต้อำนาจ ของสยามอีกต่อไป และเห็นโอกาสอันดี ที่จะปลุกปั่น "สมเด็จพระอุทัยราชา" ให้เอาใจออกห่างจากกรุงเทพฯ อย่างเปิดเผย 😈

กลุ่มพระยาพระเขมรเหล่านี้ อาจเป็นผู้ที่มีความคับแค้นใจ จากการที่สยาม เข้ามายึดครองดินแดนบางส่วน ของกัมพูชา หรืออาจเป็นผู้ที่ต้องการอำนาจ และผลประโยชน์ส่วนตน หากกัมพูชากลับมามีเอกราช และอำนาจเต็มที่อีกครั้ง

จึงทำหน้าที่เป็น "มันสมอง" และ "มือเท้า" ในการปลุกปั่น "สมเด็จพระอุทัยราชา" ให้เชื่อว่าการพึ่งพิงญวน คือทางออกที่ดีที่สุด สำหรับกัมพูชา และการแข็งข้อต่อสยาม คือหนทางที่จะนำไปสู่ การทวงคืนศักดิ์ศรีของอาณาจักร

ลองจินตนาการ ถึงบทสนทนาอันร้อนแรง ในราชสำนักกัมพูชา ที่กลุ่มพระยาพระเขมร พยายามหว่านล้อม สมเด็จพระอุทัยราชา

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ! สยามกำลังอ่อนแอลงแล้ว หลังการสิ้นพระชนม์ของรัชกาลที่ 1 อำนาจในพระตะบอง ก็ตกไปอยู่ในมือของคนอ่อนแอ นี่คือโอกาสที่เราจะทวงคืน! ญวนเองก็แข็งแกร่งขึ้นมาก พวกเขาสนับสนุนเราแน่นอน หากเราแสดงความจริงใจ”

นี่คือเสียงกระซิบ ที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความแตกแยก ในราชสำนักเขมร และท้ายที่สุด ก็งอกงามจนกลายเป็นความขัดแย้ง ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 💣

เปิดบาดแผลแห่งความจริง “กบฏ” ที่ไม่ใช่แค่กบฏ แต่คือการช่วงชิงอำนาจครั้งใหญ่ 🔥 เมื่อเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เรามักจะติดอยู่กับคำจำกัดความ ที่เรียบง่าย เช่น "กบฏ" หรือ "การแข็งข้อ"

แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในกัมพูชา ช่วงปลายรัชกาลที่ 1 ต่อต้นรัชกาลที่ 2 นั้น ไม่ใช่แค่การกบฏธรรมดา แต่คือ “การช่วงชิงอำนาจครั้งใหญ่” ระหว่างสามเส้า อันได้แก่สยาม ญวน และกัมพูชา โดยมี “พระตะบอง” เป็นเดิมพัน 🎲

ประเด็นสำคัญ ที่นักประวัติศาสตร์กระแสหลัก มักมองข้าม หรือเลือกที่จะไม่พูดถึง อย่างตรงไปตรงมาคือ “บทบาทของญวน” ในการสนับสนุนการแข็งข้อของกัมพูชา 🤫

แม้จะไม่มีหลักฐาน เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนว่า ญวนได้สั่งการ หรือยุยงอย่างเป็นทางการ แต่พฤติกรรมของญวน ที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้ไม่พอใจสยาม การแสดงออกถึงการเป็นมิตรกับกัมพูชา และการส่งสัญญาณถึงความพร้อม ที่จะขยายอิทธิพลทางใต้ ล้วนแต่เป็น "ใบอนุญาต" ให้สมเด็จพระอุทัยราชา กล้าที่จะเผชิญหน้ากับสยาม

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึง “ความสัมพันธ์แบบลูกพี่ลูกน้อง” ในการเมืองระหว่างประเทศ ของอุษาคเนย์ในอดีต เมื่อมหาอำนาจหนึ่งอ่อนแอลง อีกมหาอำนาจหนึ่ง ก็จะพยายามเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่เกิดขึ้น

และรัฐเล็กๆ ที่อยู่ตรงกลางอย่างกัมพูชา ก็จะพยายามหาประโยชน์สูงสุด จากการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจนี้ ด้วยการเลือกข้าง ที่ตนเองจะได้ประโยชน์มากที่สุด

การที่สมเด็จพระอุทัยราชา ไม่ยอมถวายบังคมพระบรมศพรัชกาลที่ 1 และไม่เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 2 จึงไม่ใช่เพียง การแสดงความไม่เคารพส่วนบุคคล

แต่คือ “การประกาศอิสรภาพทางการเมือง อย่างเป็นนัย ๆ” ต่อสายตาชาวโลก ว่ากัมพูชาจะไม่เป็นเบี้ยล่าง ของสยามอีกต่อไป 📢 และเบื้องหลังการประกาศนี้ คือการพึ่งพิงอำนาจใหม่ ที่กำลังผงาดขึ้นมา นั่นก็คือ “ญวน”

บทเรียนจากอดีต เมื่อ “ความจงรักภักดี” ถูกแลกด้วย “ผลประโยชน์” 💸 เรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างสยาม เขมร และญวนในยุคนี้ สอนบทเรียนอันลึกซึ้งให้เรามากมาย โดยเฉพาะเรื่องของ “ความจงรักภักดี” และ “ผลประโยชน์” ในบริบททางการเมือง 💔

ความจงรักภักดี ที่สยามคาดหวังจากกัมพูชา ไม่ได้มาจากความผูกพันทางสายเลือด หรือความรู้สึกซาบซึ้งใจในบุญคุณ หากแต่มาจากการ “ผูกมัดด้วยอำนาจ” และ “การควบคุมผลประโยชน์”

เมื่ออำนาจของสยามเริ่มสั่นคลอน จากการสิ้นพระชนม์ขององค์ปฐมกษัตริย์ และการที่พระตะบองเริ่มมีความไม่มั่นคง ในสายตาของกัมพูชา

ขณะเดียวกัน ญวนก็เริ่มแสดงพลังอำนาจ ที่ไม่อาจมองข้ามได้ ความจงรักภักดีของกัมพูชาที่มีต่อสยาม ก็เริ่มจางหายไป และถูกแทนที่ด้วย “การแสวงหาผลประโยชน์สูงสุด” เพื่อความอยู่รอดของอาณาจักร

นี่คือธรรมชาติของการเมืองระหว่างประเทศ ที่ไม่เคยมีอะไรแน่นอน ทุกรัฐต่างก็แสวงหาหนทางที่ดีที่สุด เพื่อความมั่นคง และเจริญรุ่งเรืองของตนเอง และในบางครั้ง “การหันหลังให้กับอดีต” ก็คือทางเลือกที่จำเป็น เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ✨

ปริศนาที่ยังคงค้างคาในประวัติศาสตร์ 🤯 เรื่องราวความตึงเครียด ระหว่างสยาม ญวน และเขมร ในช่วงรอยต่อของรัชสมัย ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อน และเต็มไปด้วยปริศนา ที่ยังคงรอการตีความ 🕵️‍♀️

ประเด็นเรื่องพระตะบอง การที่ "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร" (แบน) สิ้นชีวิต และอำนาจการปกครอง ตกทอดสู่บุตรชาย ทำให้กัมพูชาเห็นช่องโหว่ ในการทวงคืนดินแดนนี้กลับคืนมา ซึ่งเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ ที่ฝังรากลึกระหว่างสองชาติ

การฟื้นตัวของญวน บทบาทของญวน ที่ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางใต้ เป็นเหมือน "ตัวเลือก" ที่สำคัญสำหรับกัมพูชา ในการต่อรองกับสยาม และอาจเป็น "ผู้บงการ" ที่อยู่เบื้องหลังการแข็งข้อของ "สมเด็จพระอุทัยราชา" อย่างเงียบ ๆ

บทบาทของกลุ่มพระยาพระเขมร กลุ่มที่ไม่พอใจสยามเหล่านี้ ทำหน้าที่เป็น "ผู้ยุยงปลุกปั่น" ที่สำคัญ ในการทำให้สมเด็จพระอุทัยราชา ตัดสินใจเอาใจออกห่างจากกรุงเทพฯ และหันไปพึ่งพาญวนแทน

การสิ้นรัชกาลที่ 1 การสวรรคตของ "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" รัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นผู้ที่มีบารมีอย่างสูง ทำให้เกิด "สุญญากาศทางอำนาจ" และเป็น "จังหวะทอง" ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจ ในภูมิภาค

เรื่องราวเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่บันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ แต่เป็น “กระจกสะท้อน” ให้เห็นถึงธรรมชาติของการเมือง ที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี การหักเหลี่ยมเฉือนคม และการแสวงหาผลประโยชน์สูงสุด ของแต่ละฝ่าย 🧐

นี่คือเรื่องราว ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเล่าข่าวเก่าซ้ำ แต่เป็นการ “ตีแผ่” เบื้องลึก เบื้องหลัง ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์อันซับซ้อน ของสามอาณาจักรนี้ ในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์ 🤔

และท้ายที่สุด เราอาจต้องถามตัวเองว่า... ในโลกที่ผลประโยชน์ คือเดิมพันสูงสุด ใครกันแน่ที่เป็นผู้ชนะที่แท้จริง?

ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251655 มิ.ย. 2568

#สิ้นรัชกาลที่1 #เขมรเขว #ปันใจให้ญวน #ตีตัวห่างสยาม #กบฏ #หวังทวงคืน #พระตะบอง #การเมืองสามเส้า #ประวัติศาสตร์เขมร #สยาม #ญวน #ผลประโยชน์แห่งชาติ #พระราชพงศาวดารรัชกาลที่2

META ลบคลิป "น้องคิว" เรียบร้อย ขออภัยที่ไม่สามารถโพสต์ได้ 🤣
25/06/2025

META ลบคลิป "น้องคิว" เรียบร้อย ขออภัยที่ไม่สามารถโพสต์ได้ 🤣

พุทธเมตตาฯ ยืนยัน ไม่คิดฟ้อง “น้องวา” งัดคลิปโต้ ไม่สลบ! ตามพวกกระทืบ “น้องคิว” ทหารเจรจาชดใช้ 28 มิ.ย. นี้ ไม่ได้หนี แต...
25/06/2025

พุทธเมตตาฯ ยืนยัน ไม่คิดฟ้อง “น้องวา” งัดคลิปโต้ ไม่สลบ! ตามพวกกระทืบ “น้องคิว” ทหารเจรจาชดใช้ 28 มิ.ย. นี้ ไม่ได้หนี แต่ติดภารกิจแนวหน้า

เปิดใจฟังอีกมุม ความจริงที่แตกต่าง มิใช่สตอ ก็แค่พูดไม่หมด

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนต่ำ โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

ศึกศักดิ์ศรีที่ปลายคาง เมื่อโลกโซเชียลตัดสินความจริง อีกด้านถูกซ่อนเร้น 🤫

ณ โรงเรียนพุทธเมตตาวิทยา สังกัดวัดไชยมงคล อำเภอเมืองอุบลราชธานี เสียงครืนของสังคมโซเชียลมีเดีย ก็ประทุขึ้นอีกครั้ง ด้วยคลิปสั้น ๆ ที่สั่นสะเทือนอารมณ์ผู้คนทั่วประเทศ

คลิปนั้นบันทึกภาพ “น้องวา” ด.ช.วายุ อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ถูก “น้องคิว” ด.ช.ธนกร อายุ 13 ปี นักเรียนรุ่นน้อง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 ใช้เท้าขวาเตะเสยปลายคางอย่างจัง จนล้มทั้งยืน ภาพนั้นชัดเจน จนไม่ต้องตีความ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในรั้วโรงเรียน 🏫

คลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ไปทั่วอย่างรวดเร็ว ราวกับไฟป่าในฤดูแล้ง 🔥 พร้อมกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ที่ถาโถมเข้าใส่ “น้องคิว” และโรงเรียนพุทธเมตตาวิทยา อย่างหนักหน่วง เสียงประณาม เสียงตำหนิ เสียงเรียกร้องความรับผิดชอบดังกระหึ่ม

ทุกคนเห็น “น้องวา” เป็นเหยื่อ และ “น้องคิว” เป็นผู้กระทำที่ไร้ซึ่งความยั้งคิด ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ คือความจริงเพียงด้านเดียว ที่โลกเลือกที่จะรับรู้ แต่ในห้วงลึกของเรื่องราวที่เกิดขึ้น กลับมีความซับซ้อนมากกว่านั้นมากนัก…

เมื่อ “ความจริง” ถูกบิดเบือน ด้วยเลนส์ของโซเชียลมีเดีย ปมขัดแย้งที่ซ่อนเร้น 🎭 เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นก่อนหน้านั้น เพียงหนึ่งวัน ช่วงบ่ายวันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เวลา 15.00 น. ระหว่างเข้าแถวขึ้นรถกลับบ้าน

“น้องคิว” และ “น้องวา” ซึ่งแม้จะเรียนคนละชั้น แต่ก็เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน เกิดในปีเดียวกัน (2554) และกลับรถรับ-ส่งนักเรียนสายวารินฯ คันเดียวกัน ก็หยอกล้อกันตามประสาเด็กวัยรุ่น “น้องคิว” ตบศีรษะ “น้องวา” ก่อน

แต่ด้วยอะไรบางอย่าง ที่ยังไม่กระจ่างแจ้ง “น้องวา” กลับไม่เข้าใจว่า เป็นการหยอกล้อ และตบศีรษะ “น้องคิว” คืนอย่างแรง ต่อหน้าเพื่อน ๆ และคนจำนวนมาก 👥

จังหวะนั้นเอง ที่เมล็ดพันธุ์แห่งความไม่พอใจ ถูกเพาะบ่มในใจ “น้องคิว” นี่ไม่ใช่แค่การถูกตบ แต่เป็นการถูก “สั่งสอน” ในที่สาธารณะ ซึ่งในวัยนี้ เรื่องของศักดิ์ศรี และการยอมรับจากเพื่อนฝูง คือสิ่งสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด

การตบศีรษะกลับไปอย่างรุนแรง อาจทำให้น้องวารู้สึกว่า ตนเองเป็นผู้ใหญ่กว่า หรือต้องการสั่งสอน

แต่สำหรับน้องคิวแล้ว นี่คือการหยามเกียรติอย่างรุนแรง จุดเล็ก ๆ ที่คนภายนอก อาจมองข้ามไปนี้เอง คือปฐมบทของโศกนาฏกรรม ที่กำลังจะอุบัติขึ้น 💥

ปลายคางที่สั่นสะเทือน ฉากหน้าของความรุนแรง ที่ถูกจัดฉาก 🎥 ช่วงเที่ยงวันต่อมา วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 “น้องคิว” ได้นัด “น้องวา” ไปพบบริเวณหลังองค์พระใหญ่ ซึ่งเป็นมุมอับสายตา ที่นักเรียนมักใช้เป็นที่หลบเร้น เพื่อทำกิจกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต เช่น การสูบบุหรี่

“น้องวา” ไม่ได้ไปคนเดียว ได้ชวนเพื่อนร่วมชั้น ม.3/1 อีก 3 คน คือ "น้องเสือ" ด.ช.นที, "น้องเซเว่น" ด.ช.ธนวัฒน์ และ "น้องโน่" นายศักดิ์นรินทร์ ไปด้วยกัน และที่สำคัญที่สุดคือ น้องโน่ได้บันทึกคลิปเป็นหลักฐาน 📲

การตัดสินใจบันทึกคลิปนี้เอง ที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมด ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่สร้างความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง

เพราะเมื่อ “น้องคิว” ในเสื้อกีฬาสีแดง กางเกงขาสั้นสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบสีดำ เห็นว่า "น้องโน่" บันทึกภาพอยู่ ก็ตัดสินใจตอบโต้ โชว์ออฟต่อหน้ากล้อง ด้วยการยกเท้าขวาเตะเสยปลายคาง “น้องวา” อย่างรุนแรง ปากของน้องวาแตก ล้มตึงหงายหลัง ศีรษะกระแทกพื้นปูน แน่นิ่งไป 🤕

ภาพที่ “น้องคิว” รีบเข้าไปพยุง “น้องวา” ขึ้นมา ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของผู้ชม ลดลงแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของ “น้องคิว” ในฐานะผู้กระทำที่รุนแรง และขาดสติ

ภาพของ “น้องวา” ที่ฟื้นคืนสติในเวลาไม่นานนัก และเดินขึ้นห้องเรียนไปนั้น ถูกละเลยและไม่ถูกพูดถึง ในคลิปที่ถูกตัดต่อ และเผยแพร่ออกไป

นี่คือจุดที่ความจริงถูกหั่นย่อย และนำเสนอในแบบที่ต้องการให้สังคมเห็น ซึ่งแน่นอนว่า... สร้างอารมณ์ร่วมได้มากกว่า 😢

ความจริงที่ถูกซ่อนในเงามืด การล้างแค้นที่โหดร้ายกว่าที่คิด 👹 แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงแค่นั้น… ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ที่ปลายคาง เวลา 12.50 น. วันเดียวกัน เมื่อเพื่อน ๆ ของ “น้องวา” ทราบเรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้น ก็เริ่มต้นปฏิบัติการ “ตามล่า” “น้องคิว” ทั่วโรงเรียน 😠 การล้างแค้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

“น้องเฟิร์ส" นายธนภัทร และ “น้องเอก" นายกันตินันท์ เพื่อนร่วมชั้น 3/1 ของ “น้องวา” ตามเจอ “น้องคิว” และลากคอเข้าไปรุมกระทืบในห้องน้ำ ใกล้อาคารสุนีย์ ภาพที่เกิดขึ้นในห้องน้ำนั้น โหดร้ายไม่แพ้กัน แต่กลับไม่ปรากฏในคลิปไวรัลใด ๆ

“น้องคิว” ถูกรุมกระทืบจนสะบักสะบอม กองอยู่กับพื้นห้องน้ำ 😥 สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ “น้องวา” และเพื่อนนักเรียนกว่าสิบคน ยืนดูอยู่ด้านนอกห้องน้ำ โดยต่างแสดงท่าทีสะใจที่ “น้องคิว” ถูกซ้อมสั่งสอน

นี่คือภาพสะท้อนของ “ความยุติธรรมแบบศาลเตี้ย” ในสังคมโรงเรียน ที่บ่อยครั้งถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์โกรธแค้น และความต้องการแก้แค้น มากกว่าการพิจารณาไตร่ตรอง ถึงผลลัพธ์ที่ตามมา ⚖️

และอีกเพียง 10 นาทีต่อมา เวลา 13.00 น. "ครูพงษ์เทพ" ครูประจำชั้นน้องคิว และ “ครูสายใจ” ครูสอนวิทยาศาสตร์ ผู้รู้สึกเอะใจที่นักเรียนหายไป ไม่เข้าเรียนตามเวลา ก็ออกเดินตามหา จนกระทั่งพบน้องคิว นอนกองกับพื้นห้องน้ำ ในสภาพสะบักสะบอมไปทั่วร่าง จึงรีบตาม “ครูณัฐพงษ์” มาช่วยแยกนักเรียน และรายงานให้ ผอ.โรงเรียนทราบในทันที

การเข้าช่วยเหลือของครูสายใจ ในนาทีสุดท้าย ช่วยให้น้องคิว รอดพ้นจากอันตราย ที่ร้ายแรงกว่านั้น 🙏

เสียงจากอีกมุม โรงเรียนไม่ได้นิ่งดูดาย แต่สังคมโซเชียลไม่สนใจ 🗣️ เกือบ 1 เดือนต่อมา เช้าวันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เวลา 07.30 น. “พระครูจิตวิสุทธิญาณคุณ” เจ้าอาวาสวัดไชยมงคล ในฐานะผู้อำนวยการ โรงเรียนพุทธเมตตาวิทยา ได้ออกมายืนยันอย่างหนักแน่นว่า ทางโรงเรียนไม่เคยคิดที่จะฟ้องร้อง “ครอบครัวน้องวา” ที่ปล่อยคลิปเตะปลายคาง 🚫

พระครูระบุว่า “นั่นคือข้อเท็จจริงส่วนหนึ่ง ที่เถียงไม่ได้เลย” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับ ในสิ่งที่เกิดขึ้น

แต่ยังได้เปิดเผยถึง “ความจริงอีกด้าน” ที่สังคมไม่ได้รับรู้ นั่นคือคลิปเหตุการณ์ต่อเนื่อง ที่แสดงให้เห็นว่า “น้องวา” ไม่ได้สลบ และยังตามพวกลากคอ “น้องคิว” ไปรุมกระทืบในห้องน้ำจนสะบักสะบอม

นี่คือหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า เรื่องราวไม่ได้มีเพียงด้านเดียว อย่างที่ปรากฏในสื่อโซเชียลมีเดีย 📹

“นายกิตติพงษ์ สิงห์มุ้ย” ครูฝ่ายปกครอง ได้อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นฉาก ๆ อย่างชัดเจน เพื่อให้เห็นภาพรวมของเหตุการณ์ทั้งหมด ครูและบุคลากรของโรงเรียน ไม่ได้นิ่งดูดาย พยายามจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างเต็มที่ แต่ความเร็ว และอิทธิพลของโลกออนไลน์นั้น เกินกว่าที่ระบบจะตามทัน 💨

การชดใช้ที่ค้างคา เมื่อหน้าที่สำคัญกว่าสิ่งใด 🎖️ ในวันรุ่งขึ้น หลังเกิดเหตุการณ์เพียงวันเดียว วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ทางโรงเรียนได้นัดผู้ปกครองของทั้งสองฝ่าย มาตกลงกัน ณ โรงเรียน แม่ของ “น้องวา” มาตามนัด

แต่พ่อของ “น้องคิว” ซึ่งเป็นนายทหาร ติดราชการแนวหน้า ในเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่สามารถมาได้ มีเพียง “น้องคิว” มาเพียงลำพัง ทำให้การตกลงในวันนั้น ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ 😔

นี่คืออีกหนึ่งประเด็นที่มักถูกมองข้าม ภาระหน้าที่ ที่สำคัญกว่าเรื่องส่วนตัว พ่อของน้องคิวไม่ได้หลบหนีความรับผิดชอบ แต่ติดภารกิจอันสำคัญยิ่งของชาติ การที่ไม่สามารถมาตามนัดได้ ไม่ได้แปลว่าเขาละเลยหน้าที่พ่อ แต่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพื่อประเทศชาติ 🇹🇭

ในวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 พ่อของ “น้องคิว” ได้ลาราชการชายแดน เพื่อมาแก้ปัญหาให้ลูกชายที่โรงเรียน และได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังพ่อของ “น้องวา” เพื่อรับปากว่า จะนัดชดใช้ค่าเสียหายในวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่จะถึงนี้

นี่คือสัญญาณที่ดี ของการพยายามหาทางออกอย่างสันติ และมีความรับผิดชอบ 🤝

อย่างไรก็ตาม “น้องวา” ได้ยื่นหนังสือลาออกจากโรงเรียนทันที โดยให้เหตุผลว่า โรงเรียนไม่ปลอดภัย ไม่สามารถดูแลนักเรียนได้ ปัจจุบันครูประจำชั้น ได้เก็บหนังสือดังกล่าวไว้ โดยยังไม่ได้ส่งต่อให้ฝ่ายวิชาการ ซึ่งสะท้อนถึงความรู้สึกไม่ปลอดภัย และความไม่ไว้วางใจ ที่เกิดขึ้นในใจของนักเรียน 💔

บทบาทของโรงเรียน ระหว่างการปะทะ กับการประคับประคอง 🤝 สถานการณ์นี้ นำมาสู่คำถามสำคัญ เกี่ยวกับบทบาทของโรงเรียน ในการจัดการกับความขัดแย้ง และความรุนแรงในหมู่นักเรียน

โรงเรียนพุทธเมตตาวิทยา โดยฝ่ายบริหาร กำลังพยายามหาแนวทาง ที่จะช่วยเหลือให้ “น้องวา” กลับเข้ามาสู่การเรียนในระบบ โดยที่ไม่เสียโอกาสในการเรียน ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน 📝

นี่คือความท้าทายอย่างยิ่ง สำหรับทุกสถาบันการศึกษา เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น ไม่ใช่แค่การลงโทษผู้กระทำ แต่คือการเยียวยาผู้ถูกกระทำ และที่สำคัญกว่านั้นคือ การหาทางป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก

การที่นักเรียนรู้สึกว่า “โรงเรียนไม่ปลอดภัย” นั้นเป็นสัญญาณอันตราย ที่ผู้บริหารโรงเรียนต้องรับฟัง และแก้ไขอย่างเร่งด่วน 🚨

“น้องวา” เลือกที่จะลาออก สะท้อนให้เห็นถึงบาดแผลทางใจ ที่อาจลึกกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่จากเหตุการณ์ทำร้ายร่างกาย แต่จากความรู้สึกไม่มั่นคง ในสภาพแวดล้อมที่ควรจะเป็น พื้นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเด็ก ๆ

โรงเรียนมีหน้าที่ ในการสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และการเติบโตอย่างปลอดภัย ไม่ใช่เพียงแค่การจัดการ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น 🌳

ถอดรหัสความจริง ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง 🕵️‍♀️ วลีเด็ด “มิใช่สตอ ก็แค่พูดไม่หมด” คือหัวใจสำคัญ ของการวิเคราะห์เหตุการณ์นี้ นี่ไม่ใช่เรื่องของความจริง หรือการโกหกที่ขาวดำชัดเจน แต่คือเรื่องของ “ความจริงที่ถูกเลือกมานำเสนอ” และ “ความจริงที่ถูกปกปิด” ในยุคที่ข้อมูลไหลบ่า และถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว ราวสายฟ้าแลบ ⚡️

ความจริงคือสิ่งที่ต้องค้นหา ไม่ใช่สิ่งที่จะเชื่อตามกันไป 🔍
เหตุการณ์ “ศึกศักดิ์ศรีที่ปลายคาง” นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องราว การทะเลาะวิวาทของเด็กนักเรียน แต่คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึง ความเปราะบางของสังคมยุคดิจิทัล ที่พร้อมจะตัดสินคน จากข้อมูลเพียงเสี้ยวเดียว โดยไม่สนใจบริบท และความจริงทั้งหมด

นี่คือบทเรียนสำคัญ ที่สอนให้เราต้องรู้จัก “ตั้งคำถาม” กับทุกสิ่งที่เห็น และ “ค้นหาความจริง” ที่อาจถูกซ่อนไว้เบื้องหลังภาพลวงตา ที่โลกโซเชียลสร้างขึ้น เพราะบางครั้ง “ความจริงที่แตกต่าง” อาจจะ “มิใช่สตอ ก็แค่พูดไม่หมด” เท่านั้นเอง…

และนั่นคือหน้าที่ของเราทุกคน ในฐานะผู้บริโภคข่าวสาร ที่ต้องพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่ง ของการบิดเบือนความจริง โดยไม่ตั้งใจ 💡

ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251003 มิ.ย. 2568

#พุทธเมตตาฯ #ยืนยัน #ไม่คิดฟ้อง #น้องวา #งัดคลิปโต้ #ไม่สลบ #ตามพวก #รุมกระทืบ #น้องคิว #ทหารเจรจาชดใช้ #28มิยนี้ #ไม่ได้หนี #แต่ติดภารกิจแนวหน้า #เปิดใจฟังอีกมุม #ความจริงที่แตกต่าง #มิใช่สตอก็แค่พูดไม่หมด

ม.2 อุบลฯ ห้าว! เตะเสยคางพี่ ม.3 หลับทั้งยืน ครูไม่สน ปล่อยไป รพ.เอง เหยื่อไม่ทน ลาออกทันควัน มีผลทันที หนีไปใช้ชีวิต กล...
24/06/2025

ม.2 อุบลฯ ห้าว! เตะเสยคางพี่ ม.3 หลับทั้งยืน ครูไม่สน ปล่อยไป รพ.เอง เหยื่อไม่ทน ลาออกทันควัน มีผลทันที หนีไปใช้ชีวิต กลางท้องไร่ท้องนา

🥋💥 จุดแตกหัก “ศักดิ์ศรี” หรือ “ความรุนแรง”? 💔🏫

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ... ༻꧂

เมื่อม่านหมอกแห่งความคุ้นเคย ถูกพัดพาออกไป สิ่งที่เราได้เห็น อาจไม่ใช่แค่เพียง “ข่าว” ที่ดาษดื่นตามหน้าสื่อ แต่คือภาพสะท้อนที่ลึกซึ้งกว่านั้น นี่คือรอยร้าวในโครงสร้างสังคม ที่ซ่อนอยู่ในซอกหลืบ ของสถาบันที่ควรจะเป็น “บ้านหลังที่สอง” ของเด็ก ๆ อย่าง “โรงเรียน”

เหตุการณ์อันน่าตกตะลึงที่เกิดขึ้นกับ “น้องวา” ด.ช.วายุ เด็กหนุ่ม ม.3 ผู้เคราะห์ร้าย ชาวตำบลท่าคล้อ อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และ “น้องคิว” ด.ช.ธนกร รุ่นน้อง ม.2 ผู้ก่อเหตุ ชาวตำบลนาดี อำเภอนาเยีย จังหวัดอุบลราชธานี ไม่ใช่เพียงเรื่องราวความรุนแรง ระหว่างเด็กนักเรียน 2 คน

หากแต่เป็นกรณีศึกษา ที่ชี้ให้เห็นถึงความบกพร่อง ในหลายระดับชั้น ตั้งแต่รากฐานของครอบครัว ไปจนถึงระบบการจัดการของโรงเรียน และที่สำคัญที่สุดคือ “การตีความ” ของสังคมต่อคำว่า “ความรุนแรง” และ “การแก้ไขปัญหา”

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อช่วงเที่ยงวันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ณ อาคารสุนีย์ โรงเรียนพุทธเมตตาวิทยา ในสังกัดวัดไชยมงคล อำเภอเมืองอุบลราชธานี เสียงของความเป็นเด็ก ที่ควรจะเต็มไปด้วยความสดใส ความร่าเริง กลับถูกแทนที่ ด้วยเสียงของความรุนแรงที่ดังสนั่น

“น้องวา” ด.ช.วายุ วัย 14 ปี นักเรียนชั้น ม.3/1 กำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อนรุ่นน้อง อย่างไม่รู้ชะตากรรม ขณะที่ “น้องคิว” ด.ช.ธนกร วัย 13 ปี นักเรียนชั้น ม.2/2 ในชุดกีฬา เสื้อสีแดง กางเกงขาสั้นสีดำ หันมามองกล้องเพื่อให้สัญญาณ ก่อนจะยกเท้าขวา ที่สวมรองเท้าผ้าใบสีดำ เตะเสยเข้าที่ปลายคาง “น้องวา” อย่างจัง 🦵💥

ภาพที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ ที่เพื่อนนักเรียนบันทึกไว้ คือ “น้องวา” ล้มลงหลังกระแทกพื้นปูน อย่างรุนแรง นอนหงายหมดสติทันที ท่ามกลางสายตาของรุ่นน้องอีก 4 คน รวมถึงผู้ก่อเหตุและผู้บันทึกคลิป…

นี่ไม่ใช่การทะเลาะวิวาททั่วไป แต่คือ “การทำร้ายร่างกาย” ที่มีเจตนาชัดเจน และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ “พฤติกรรมหลังเกิดเหตุ” 🤫 “น้องคิว” ผู้ก่อเหตุ กลับเข้าไปพยุง ดึงแขนให้ “น้องวา” ลุกขึ้น ก่อนจะนำร่างไร้สติของ “น้องวา” ไปซุกไว้ในห้องเรียน แทนที่จะรีบแจ้งครู หรือนำส่งห้องพยาบาล

ความมืดบอดของการตัดสินใจ ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึง “ความตระหนัก” ในเรื่องความปลอดภัย และผลกระทบของความรุนแรง ที่ยังต่ำมากในหมู่นักเรียนกลุ่มนี้

และสิ่งที่น่าหดหู่ใจที่สุดคือ “ไม่มีครูคนใดทราบเรื่อง” 😳 จนกระทั่ง “น้องวา” ฟื้นคืนสติด้วยตัวเอง และแม้ครูจะทราบเรื่องแล้ว ก็ยังไม่มีการนำส่งโรงพยาบาล เพื่อตรวจเช็กสภาพร่างกาย ผู้เป็นแม่ต้องพาลูกไปโรงพยาบาลเอง เพราะ “น้องวา” มีอาการสับสน มึนงง จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แทบไม่ได้...

🎭 เบื้องลึกเบื้องหลัง แรงจูงใจที่ซับซ้อน หรือเพียง “แค้นส่วนตัว” ที่ถูกละเลย? ประเด็นที่น่าสนใจคือ “แรงจูงใจ” เบื้องหลังการกระทำที่รุนแรงนี้ “น้องคิว” ยอมรับว่า สาเหตุมาจากการที่เขาถูก “น้องวา” ตบศีรษะคืน หลังจากที่ไปตบศีรษะ “น้องวา” เพื่อหยอกล้อ เมื่อวันอังคารที่ 27 พฤษภาคม 2568 หรือ 1 วันก่อนเกิดเหตุ 🤷‍♀️

น้องคิวจึงผูกใจเจ็บ และต้องการเตะล้างอาย… คำอธิบายนี้อาจฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ในสายตาของผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กวัยกำลังสร้างตัวตนอย่าง “น้องคิว” “ศักดิ์ศรี” ที่ถูกท้าทายด้วยการ “ตบศีรษะคืน” อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ ที่รับไม่ได้ 😤

นี่คือจุดเริ่มต้นของ “วงจรความรุนแรง” ที่มักจะถูกละเลยในโรงเรียน นั่นคือ “การหยอกล้อ” ที่เลยเถิดไปสู่ “การคุกคาม” และกลายเป็น “ความรุนแรง” ในที่สุด

แต่คำถามที่ต้องพิจารณา ให้ลึกซึ้งกว่านั้นคือ “ทำไมการหยอกล้อ จึงบานปลายจนถึงขั้นทำร้ายร่างกาย?” การตอบโต้ด้วยการ “เตะเสยปลายคางจนสลบ” ไม่ใช่การตอบโต้ที่สมเหตุสมผล กับการถูก “ตบศีรษะคืน” หากไม่มี “ปัจจัยอื่น” มาเกี่ยวข้อง เช่น สภาพแวดล้อมทางสังคม อิทธิพลจากกลุ่มเพื่อน หรือแม้กระทั่งปัญหาทางจิตใจ ที่ถูกเก็บกด 🧐

การมองข้าม “ความบิดเบี้ยวทางความคิด” ของผู้ก่อเหตุ ที่ตีความการตอบโต้ธรรมดา เป็นการ “ล้างอาย” และเลือกใช้ความรุนแรง ในระดับที่อันตรายถึงชีวิต แสดงให้เห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่าง ที่ผิดปกติไปจากบรรทัดฐานปกติ ของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

🏛️ บทบาทของโรงเรียน สถาบันที่ “เพิกเฉย” หรือ “ไร้ซึ่งอำนาจ”? สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุด ในเหตุการณ์นี้คือ “บทบาทของโรงเรียน” ในฐานะสถาบันที่ควรจะเป็นผู้ปกป้อง ดูแลความปลอดภัยของนักเรียน 💔

การที่ไม่มีครูคนใด ทราบเรื่องตั้งแต่แรก และแม้ทราบเรื่องแล้ว ก็ยังไม่มีการนำส่งโรงพยาบาล สะท้อนให้เห็นถึง “ความหละหลวม” ในระบบการดูแลนักเรียน หรืออาจเป็น “ความเพิกเฉย” ที่ทำให้ปัญหาเล็กน้อย บานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ 😬

เมื่อเกิดเหตุความรุนแรงในโรงเรียน คำถามแรกที่ควรเกิดขึ้นคือ “มาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในโรงเรียน มีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่?”

จากกรณีนี้ คำตอบดูเหมือน จะชี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม การที่โรงเรียนเชิญผู้ปกครองทั้งสองฝ่าย มาเจรจาในวันรุ่งขึ้น คือวันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 แต่กลับปล่อยให้ “น้องคิว” มาเพียงลำพัง โดยที่นายทหารผู้เป็นพ่อ ติดราชการแนวหน้า สถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้ไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ 🤦‍♀️

นี่ไม่ใช่แค่ความผิดพลาดในการจัดการ แต่คือ “ความล้มเหลว” ในการสร้างกระบวนการยุติธรรมที่เท่าเทียม และมีประสิทธิภาพ

การที่ “น้องวา” ตัดสินใจ “ลาออกจากโรงเรียนทันที” เมื่อเห็นว่า โรงเรียนไม่มีมาตรการใด ๆ ที่จะคุ้มครองความปลอดภัย หรือยุติความรุนแรงในโรงเรียนได้เลย 😭

นี่คือ “คำพิพากษา” ที่เจ็บปวดที่สุดจากเหยื่อ ที่สะท้อนให้เห็นถึง “ความไม่เชื่อมั่น” ในระบบการดูแลของโรงเรียน เด็กนักเรียนรู้สึกไม่ปลอดภัย และเลือกที่จะถอนตัว ออกจากสถาบันที่ควรจะเป็นที่พึ่งพิง 😔

นี่คือ “สัญญาณอันตราย” ที่โรงเรียนทุกแห่งควรตระหนัก เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของ “น้องวา” แต่คือ “ความเชื่อมั่น” ของผู้ปกครองและนักเรียน ในระบบการศึกษาไทยโดยรวม

👨‍👩‍👧‍👦 "ครอบครัว" รากฐานที่สั่นคลอน หรือ “ช่องว่าง” ที่มองไม่เห็น? บทบาทของ “ครอบครัว” ในเหตุการณ์นี้ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่มองข้ามไม่ได้ 👨‍👩‍👧‍👦

การที่ “น้องคิว” ตีความการถูกตอบโต้ เป็นการ “ล้างอาย” และเลือกใช้ความรุนแรง ในระดับที่รุนแรงถึงขั้น ทำร้ายร่างกายจนหมดสติ สะท้อนให้เห็นถึง “ความบกพร่อง” ในการปลูกฝังเรื่อง “การควบคุมอารมณ์” และ “การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง” อย่างสร้างสรรค์ 😡

ในขณะเดียวกัน พ่อน้องวา นายสุรพล วัย 44 ปี ให้ข้อมูลว่า ทหารผู้เป็นพ่อน้องคิว ได้โทรมาแจ้งว่า จะเจรจาชดใช้ค่าเสียหาย แต่หลังจากนั้นผ่านไปนานนับเดือน ก็ไม่มีการติดต่อกลับมาอีกเลย 📞

นี่คือ “ความรับผิดชอบ” ที่ขาดหายไปจากฝั่งผู้ก่อเหตุ และยังสะท้อนให้เห็นถึง “ช่องว่าง” ที่เกิดขึ้นเมื่อการสื่อสาร และเจรจาต่อรอง ไม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง 😓

การปล่อยให้ปัญหาคาราคาซัง ยิ่งทำให้บาดแผลของเหยื่อ ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และยังเป็นการส่งสัญญาณว่า “การกระทำผิด อาจไม่ได้รับการลงโทษที่เหมาะสม” ซึ่งจะสร้างความกล้า ให้กับผู้กระทำผิดรายอื่น ๆ ในอนาคต

🌐 มิติทางสังคม จาก “การหยอกล้อ” สู่ “ความรุนแรงในโรงเรียน” ที่เป็นภัยเงียบ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่กรณีเดี่ยว ๆ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของ “ปัญหาสังคม” ที่ฝังรากลึก นั่นคือ “ความรุนแรงในโรงเรียน” ที่ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง 🙁

และบ่อยครั้ง มักเริ่มต้นจากการ “หยอกล้อ” หรือ “แกล้งกัน” ที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อไม่มีการจัดการที่เหมาะสม ก็สามารถบานปลาย กลายเป็น “อาชญากรรม” ได้ 🚨

สังคมไทยมักมีแนวโน้ม ที่จะมองข้ามความรุนแรงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในโรงเรียน โดยคิดว่าเป็นเรื่อง “เด็ก ๆ” หรือ “เรื่องปกติ” ที่เกิดขึ้น แต่กรณีของ “น้องวา” เป็นเครื่องเตือนใจว่า “ไม่มีความรุนแรงใด ที่เล็กน้อยเกินไปที่จะถูกละเลย” 🛑

การเตะเสยปลายคางจนหมดสติ คือ “ความพยายามฆ่า” หรืออย่างน้อยที่สุดคือ “การทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนได้รับอันตรายสาหัส” ตามประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่เรื่องของการ “หยอกล้อ” หรือ “ล้างอาย” อีกต่อไป

ประเด็นที่อยากจะตีแผ่คือ “วัฒนธรรม” ที่เอื้อให้เกิดความรุนแรงในโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วัฒนธรรมการจัดตั้งกลุ่มแก๊ง” หรือ “การใช้อำนาจ” ของนักเรียนรุ่นพี่ หรือรุ่นเดียวกัน 😠

การที่ผู้ก่อเหตุ มีเพื่อนร่วมเหตุการณ์หลายคน และมีการบันทึกวิดีโอ แสดงให้เห็นถึง “การรวมกลุ่ม” และ “การกระทำ” ที่อาจมีลักษณะของการ “รุมทำร้าย” หรือ “การข่มเหง” ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของ “การกลั่นแกล้ง” (Bullying) ที่รุนแรง และโรงเรียนควรมีมาตรการที่เข้มงวด ในการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้

💡 ปัจจุบัน “น้องวา” ได้หยุดพักการเรียน กลับมาอยู่ที่ตำบลท่าคล้อ ภูมิลำเนา ยังคงหวาดผวาในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในท้องไร่ท้องนา ที่ห่างไกลจากผู้คน 🌾🚶‍♂️

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวของเด็กคนหนึ่ง ที่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย แต่เป็นเรื่องราวของเด็กคนหนึ่ง ที่ได้รับบาดเจ็บทางจิตใจอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบต่ออนาคต ไปตลอดชีวิต 😥

การที่ “น้องวา” ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดผวา และต้องหลีกหนีผู้คน แสดงให้เห็นถึง “ความเสียหาย” ที่เกิดขึ้นกับ “สุขภาพจิต” ของเหยื่อ 🧠

นี่คือสิ่งที่สังคมมักมองข้ามไป การบาดเจ็บทางร่างกาย อาจจะหายได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่การบาดเจ็บทางใจนั้น อาจคงอยู่ตลอดไป และต้องการการดูแลเยียวยา อย่างจริงจัง

🎯 ความจริงที่ “เผ็ดร้อน” คำถามที่ยังค้างคา กรณีของ “น้องวา” ไม่ใช่แค่เรื่องราวความรุนแรงธรรมดา แต่คือ “บทเรียนที่เจ็บปวด” ที่สะท้อนให้เห็นถึง “ความเปราะบาง” ของระบบการศึกษา และสังคมไทย 💔

การที่เด็กคนหนึ่งต้อง “ลาออก” จากโรงเรียน เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย เป็น “สัญญาณอันตราย” ที่เราไม่อาจมองข้ามได้ เราต้องตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า “อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ในโรงเรียน?” คือ “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน” หรือ “ความปลอดภัยและสุขภาวะของนักเรียน”? 📚 ❤️

“น้องวา” ผู้ซึ่งกำลังหวาดผวา และใช้ชีวิตในท้องไร่ท้องนา อันห่างไกลผู้คน คือ “เหยื่อ” ที่ถูกระบบละเลย และนี่คือ “ความจริงที่เผ็ดร้อน” ที่คนในแวดวงไม่ค่อยพูดออกมา 🌶️

ว่าความรุนแรงในโรงเรียน ไม่ใช่แค่เรื่องของการ “แกล้งกัน” แต่คือ “อาชญากรรม” ที่มีผลกระทบต่อชีวิต และอนาคตของเด็กคนหนึ่ง 😢

เราต้องไม่ลืมว่า “เด็กทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย” และเป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคม ที่จะต้องร่วมกัน สร้างสภาพแวดล้อมนั้นขึ้นมา มิฉะนั้นแล้ว… “ท้องไร่ท้องนา” อาจกลายเป็น “บ้านหลังใหม่” ของเด็กอีกหลายคน ที่ถูกความรุนแรงในโรงเรียน บีบให้ต้องเดินออกมาจากระบบการศึกษา…

นี่คือเรื่องราวที่ไม่ได้จบลงแค่การลาออก แต่คือ “บาดแผลทางสังคม” ที่รอการเยียวยา… และคำถามสุดท้าย ที่ยังคงค้างคาคือ “จะมีอีกกี่ชีวิตที่ต้องถูกเตะเสยคาง… และถูกทิ้งไว้กลางทุ่งนา… เช่นเดียวกับน้องวา?” 🤔

ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241122 มิ.ย. 2568

#ม2อุบลฯห้าว #เตะเสยคางพี่ม3 #ครูไม่สนใจ #ปล่อยไปรพเอง #เหยื่อไม่ทน #ลาออกทันควัน

🇹🇭 93 ปี ปฏิวัติสยาม ยึดอำนาจพระปกเกล้า ร.7 จากสมบูรณายาสิทธิราชย์ สู่ราชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญ เบื้องลึก เบื้องหลัง ป...
24/06/2025

🇹🇭 93 ปี ปฏิวัติสยาม ยึดอำนาจพระปกเกล้า ร.7 จากสมบูรณายาสิทธิราชย์ สู่ราชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญ เบื้องลึก เบื้องหลัง ปริศนาหมุดคณะราษฎรที่หายไป! 🤫🔍

ย้อนกลับไปเมื่อ 93 ปีก่อน ณ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 วันศุกร์อันเป็นประวัติศาสตร์ ที่คณะราษฎร ได้ก่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ภายใต้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สู่ราชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญ และระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

นี่ไม่ใช่แค่ การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองธรรมดา แต่คือการสั่นสะเทือนรากฐานของสังคม และวัฒนธรรมสยาม ที่หล่อหลอมกันมานานหลายศตวรรษ

การปฏิวัติครั้งนี้ มีชื่อเรียกหลากหลาย บ้างก็เรียกว่า "การปฏิวัติสยาม" บ้างก็ว่า "การอภิวัฒน์สยาม" ไม่ว่าชื่อไหน ต่างก็สะท้อนถึง การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ ที่ก่อให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ และที่สำคัญคือ ได้จุดประกายความคิดเรื่อง "อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎร" ขึ้นมาในจิตสำนึกของคนไทย 🇹🇭✨

แต่วันนี้ เราจะมาเจาะลึกยิ่งกว่าแค่ การเล่าเรื่องตามหน้าประวัติศาสตร์ เราจะมาแกะรอยเบื้องหลัง แรงขับเคลื่อน และผลลัพธ์ที่ซ่อนเร้น ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยรู้ หรือไม่เคยพูดถึง พร้อมกับตั้งคำถามสำคัญถึง "หมุดคณะราษฎร" ที่หายไปอย่างปริศนา 📌🤔

💡 แรงปะทุใต้เถ้าถ่าน ปัจจัยสู่การปฏิวัติ ที่ไม่มีใครมองข้ามได้ การปฏิวัติ 2475 ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หากแต่เป็นผลพวง จากการสั่งสมของแรงกดดันภายใน และภายนอกประเทศมาอย่างยาวนาน ลองมาดูกันว่า ปัจจัยเหล่านั้นมีอะไรบ้าง

🌍 "โลกที่กำลังเปลี่ยนไป" กระแสประชาธิปไตย และทุนนิยมจากโลกตะวันตก ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โลกกำลังอยู่ในห้วงของ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แนวคิดเรื่องประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ และสิทธิเสรีภาพของประชาชน แพร่หลายไปทั่วโลก

หลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 การปฏิรูปทางการเมืองในหลายประเทศ ทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เริ่มถูกตั้งคำถาม สยามเองก็หนีไม่พ้นอิทธิพลของกระแสนี้

นักเรียนไทยที่ถูกส่งไปศึกษา ยังต่างประเทศ ทั้งในยุโรปและอเมริกา ได้ซึมซับแนวคิดเหล่านี้กลับมา อยากเห็นความก้าวหน้าของประเทศ ที่ปกครองด้วยระบอบรัฐธรรมนูญ และเริ่มเปรียบเทียบกับ สภาพการณ์ของบ้านเกิด ที่ยังคงยึดมั่นในระบอบเก่า 📚✈️

🐢 "การปฏิรูปที่เชื่องช้า" จุดเริ่มต้นของความไม่พอใจ ในราชสำนัก "พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ 6 ทรงพยายามปฏิรูปประเทศ ให้ทันสมัยในหลายด้าน แต่การปฏิรูปรัฐธรรมนูญ กลับเป็นไปอย่างล่าช้า ซึ่งสร้างความไม่พอใจ ในหมู่ผู้ที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม "หัวก้าวหน้า" และ "เสรีนิยม" ในขณะนั้น

ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2455 เหตุการณ์ "กบฏ ร.ศ. 130" ที่นำโดยคณะนายทหารหนุ่ม ถือเป็นสัญญาณแรกของการปะทุ เป้าหมายคือ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง ไปสู่ระบบรัฐธรรมนูญแบบตะวันตก

นักวิชาการบางท่านยังตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีความพยายาม ที่จะเปลี่ยนแปลงรัชทายาทด้วยซ้ำ แม้กบฏครั้งนี้จะล้มเหลว และผู้ก่อการถูกจำคุก แต่สำหรับคณะราษฎรแล้ว คือแรงขับดันที่สำคัญ

"หลวงประดิษฐ์มนูธรรม" หรือ "ปรีดี พนมยงค์" ถึงกับกล่าวว่า "พวกผมถือว่าการปฏิวัติครั้งนี้ เป็นการกระทำต่อเนื่อง จากการกระทำเมื่อ ร.ศ. 130" นั่นแสดงให้เห็นว่า แนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองนั้น หยั่งรากลึกมานานแล้ว 🌳🔥

👑 ก้าวแรกของรัชกาลที่ 7 อภิรัฐมนตรีสภา เผชิญหน้ากับวิกฤต เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐา พระองค์ทรงตระหนักถึงปัญหา ที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ จึงได้ทรงจัดตั้ง "อภิรัฐมนตรีสภา" ขึ้นมาเป็นองค์กรหลักในการปกครองรัฐ

สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นเจ้านายอาวุโสผู้ทรงประสบการณ์ แต่การตัดสินใจหลายอย่างของสภา รวมถึงการเปลี่ยนตัวสามัญชน ในตำแหน่งราชการที่รัชกาลที่ 6 ทรงแต่งตั้ง ไปแทนที่ด้วยคนของพวกตน สร้างความไม่พอใจ และช่องว่างระหว่างชนชั้นมากขึ้น

ที่สำคัญคือ อภิรัฐมนตรีสภาถูกครอบงำโดย "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต" ผู้ทรงเป็นรัชทายาทลำดับต้น ๆ การผูกขาดอำนาจของเจ้านายอาวุโส ทำให้กลุ่มคนหนุ่มสาว ที่ไปศึกษาต่างประเทศกลับมาแล้ว ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือ จึงยิ่งเห็นความล้าหลัง และความยึดติดของระบอบเดิมชัดเจนขึ้น 😔🚧

📉 "เศรษฐกิจถดถอย" วิกฤตการณ์ที่บีบให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงปี พ.ศ. 2473 วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ ที่เริ่มต้นจากการล่มสลาย ของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท (The Great Depression) ก็ส่งผลกระทบมาถึงสยามอย่างรุนแรง ประเทศต้องเผชิญกับภาวะฝืดเคือง การค้าชะลอตัว ผู้คนเดือดร้อนแสนสาหัส

"พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" ทรงพยายามหาทางแก้ไข ทรงเสนอให้จัดเก็บภาษีรายได้ทั่วไป และภาษีอสังหาริมทรัพย์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน แต่ข้อเสนอนี้ กลับถูกอภิรัฐมนตรีสภา ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ด้วยความเกรงว่า ทรัพย์สินของพวกตนจะลดลง

ซึ่งเลือกที่จะลดค่าตอบแทนข้าราชการพลเรือน และงบประมาณทางทหารแทน ซึ่งยิ่งสร้างความไม่พอใจ ในหมู่ชนชั้นอภิชนผู้มีการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายทหาร ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง 😠💸

"พระองค์เจ้าบวรเดช" เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ถึงกับลาออกในปี พ.ศ. 2474 ด้วยความไม่ลงรอย เรื่องการตัดงบประมาณทางทหาร แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียด ภายในรัฐบาลเอง

📜 "รัฐธรรมนูญที่ถูกปัดตก" ฟางเส้นสุดท้ายที่หักหลังความหวัง แม้จะต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ และแรงต้านจากอภิรัฐมนตรีสภา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ยังทรงมุ่งมั่นที่จะมอบรัฐธรรมนูญ ให้แก่ปวงชนชาวสยามเป็นครั้งแรก

พระองค์ทรงใช้ความพยายามอย่างมาก ในการร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้านายบางพระองค์ และที่ปรึกษาชาวอเมริกัน แม้จะมีการทัดทานว่า ประชาชนสยามยังไม่พร้อม แต่พระองค์ยังทรงตั้งพระทัย ที่จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ก่อนงานเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปี ราชวงศ์จักรีในปี พ.ศ. 2475

แต่แล้ว ความหวังนั้นก็พังทลายลง เมื่อเอกสารร่างรัฐธรรมนูญ ถูกเจ้านายในอภิรัฐมนตรีสภา ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง การกระทำนี้ไม่เพียงแต่ บ่อนเซาะพระราชอำนาจของพระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็นการดับฝัน และความหวังของคนจำนวนมาก ที่ปรารถนาจะเห็นสยาม ก้าวไปสู่การปกครอง ในระบอบที่ทันสมัยขึ้น 💔📖

🤫 "แผนการล้มราชบัลลังก์" เบื้องหลังการเตรียมการของคณะราษฎร ขณะที่ความไม่พอใจ สะสมอยู่ในทุกภาคส่วนของสังคม คณะราษฎร กลุ่มนายทหาร และพลเรือนหัวก้าวหน้า ก็ได้เริ่มวางแผนการอย่างลับ ๆ

การเตรียมการดำเนินไปอย่างรัดกุม โดยมีบุคคลสำคัญอย่าง พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา, พันเอกพระยาทรงสุรเดช, พระยาฤทธิ์อัคเนย์ และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นแกนนำ

ปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จแปรพระราชฐาน ไปประทับที่วังไกลกังวล หัวหิน โดยทรงมอบให้ "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต" เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นี่คือโอกาสทองที่คณะราษฎรเล็งเห็น

📞 คืนก่อนวันปฏิวัติ เมื่อข่าวรั่วแต่โอกาสยังเข้าข้าง เย็นวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แผนการได้รั่วไหลไปถึงตำรวจ อธิบดีตำรวจได้โทรศัพท์ถึง "กรมพระนครสวรรค์วรพินิต" กราบทูลขออำนาจในการจับกุมผู้เกี่ยวข้อง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ที่ไม่อาจทราบได้แน่ชัด อาจเป็นเพราะผู้ก่อการหลายคน มีอิทธิพลมาก หรืออาจเป็นเพราะทรงคิดว่า สถานการณ์ยังไม่รุนแรง

"กรมพระนครสวรรค์วรพินิต" ทรงตัดสินพระทัย เลื่อนการออกคำสั่งจับกุม ออกไปเป็นวันรุ่งขึ้น การตัดสินใจเพียงชั่วขณะนี้เอง ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อชะตากรรมของการปฏิวัติ! หากคำสั่งจับกุมถูกออกในคืนนั้น ประวัติศาสตร์สยาม อาจจะไม่ได้เป็นเช่น ที่เราทราบกันในวันนี้ ⏳🤫

🌅 รุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลง ปฏิบัติการฟ้าแลบ ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และเป็นระบบ

กองทัพเรือเข้ายึดพื้นที่ "หลวงสินธุสงครามชัย" ได้นำเรือปืนเข้าจอดเทียบท่า และเล็งปืนเข้าใส่พระราชวังของ "กรมพระนครสวรรค์วรพินิต" ในกรุงเทพฯ พร้อมกับนำกำลังพลทหารเรือ 500 นาย เข้ายึดพระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญ

"ตัดขาดการสื่อสาร" ร้อยโทประยูร ภมรมนตรี และหลวงโกวิทอภัยวงศ์ นำกำลังเข้ายึดที่ทำการไปรษณีย์ และโทรเลขทั่วกรุงเทพฯ ทำให้การสื่อสารระหว่างพระบรมวงศานุวงศ์ และฝ่ายบริหารถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง บ้านพักของบุคคลสำคัญ ถูกเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

"ยึดกรมทหารม้า" พันเอกพระยาทรงสุรเดช พร้อมพวก เดินทางไปยังกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นที่เก็บยานยนต์หุ้มเกราะ ส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ โดยใช้อุบาย กล่าวตำหนิผู้รับผิดชอบค่าย ที่หลับยามในขณะที่เกิดการลุกฮือของชาวจีน ซึ่งเป็นเรื่องที่กุขึ้น ทำให้สามารถเปิดประตูค่าย และระดมทหารได้สำเร็จ

"พระประศาสน์พิทยายุทธ" เข้าจับกุมผู้บัญชาการกรมทหาร ส่วนหลวงพิบูลสงคราม รับหน้าที่เฝ้านักโทษ ยานยนต์หุ้มเกราะจำนวนหนึ่งถูกเกณฑ์ และมุ่งหน้าสู่พระที่นั่ง

"ระดมพลทหารราบ" พระยาฤทธิ์อัคเนย์ เมื่อทราบความสำเร็จของพระยาทรงสุรเดช ก็ได้เดินทางไปกรมทหารราบที่ 1 และระดมกำลังพลมุ่งหน้าสู่พระที่นั่งเช่นกัน ทหารจากหน่วยใกล้เคียงกรุงเทพฯ ก็ถูกเกณฑ์เข้ามาโดยเข้าใจว่า เป็นการฝึกซ้อม ⚔️💥

📢 ประกาศคณะราษฎร ถ้อยแถลงสะเทือนบัลลังก์
เมื่อทหารราบและทหารม้า มาถึงลานพระราชวังดุสิต หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ในเวลาประมาณ 6.00 น. ผู้คนจำนวนมาก ที่มารวมตัวกันด้วยความสับสน และไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง ต่างเฝ้าดูเหตุการณ์

จากนั้น "พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา" ได้ขึ้นไปบนยอดรถหุ้มเกราะ และอ่าน "ประกาศคณะราษฎร" ซึ่งถือเป็นถ้อยแถลงประวัติศาสตร์ ที่ประกาศถึงจุดสิ้นสุดของ "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" และการสถาปนารัฐธรรมนูญ ขึ้นในสยาม

ในใจความของประกาศนั้น มีการวิพากษ์วิจารณ์ พระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง ถึงการใช้อำนาจเหนือกฎหมาย การแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอ การปล่อยให้ข้าราชการทุจริต การผลาญเงินประเทศ การกดขี่ข่มเหงราษฎร และการปกครองโดยขาดหลักวิชา จนทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ

ประกาศยังย้ำว่า "ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่เป็นของกษัตริย์ ตามที่เขาหลอกลวง" และเสนอให้มีการปกครองโดยมีสภา เพื่อแก้ไขความชั่วร้ายเหล่านี้ พร้อมทั้งเชิญให้พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงตำแหน่งต่อไป ภายใต้กฎหมายธรรมนูญ

หากทรงปฏิเสธ ก็จะถือว่าทรยศต่อชาติ และจำเป็นต้องมีการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยมีประมุขของประเทศเป็นบุคคลสามัญ ที่สภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งขึ้นมา

เมื่อสิ้นเสียงประกาศ ผู้ก่อการต่างเปล่งเสียงด้วยความยินดี ตามมาด้วยเหล่าทหาร แม้ว่านักวิชาการบางคนจะเชื่อว่า เป็นการคล้อยตามมากกว่าความเข้าใจ ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ตาม 🤔📢

🤝 การยอมจำนนของพระมหากษัตริย์ เลือดที่ไม่หลั่งในวันปฏิวัติ ความสำเร็จของการปฏิวัติ ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงการประกาศแถลงการณ์เท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับการจับกุมบุคคลสำคัญในรัฐบาล และพระบรมวงศานุวงศ์

"พระประศาสน์พิทยายุทธ" ได้รับคำสั่งให้ไปจับกุม "กรมพระนครสวรรค์วรพินิต" และสมาชิกระดับสูงคนอื่น ๆ ในรัฐบาล และพระบรมวงศานุวงศ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงถูกจับกุม ในขณะที่ทรงฉลองพระองค์บรรทม ไม่มีผู้ใดต่อสู้ขัดขืนมากนัก

ยกเว้นผู้บัญชาการเหล่าทหารบกที่หนึ่ง ซึ่งได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ถือเป็นบุคคลเพียงคนเดียว ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิวัติครั้งนี้

เจ้าหน้าที่ทางการเกือบ 40 คน ถูกจับกุม และถูกกักขังไว้ในพระที่นั่งอนันตสมาคม ยกเว้น "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน" ผู้ทรงหลบหนีไปทางหัวรถจักร เพื่อไปกราบบังคมทูล เตือนพระมหากษัตริย์ที่หัวหิน เมื่อถึงเวลา 8.00 น. ปฏิบัติการยึดอำนาจก็เสร็จสิ้น และประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ 🥳✅

🕊️ พระราชดำรัสที่ทำให้โลกตะลึง "ข้าพเจ้าไม่สามารถนั่งอยู่ บนบัลลังก์ที่เปื้อนเลือดได้" แม้ก่อนที่โทรเลข จากคณะราษฎรจะมาถึง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงทราบข่าวการเปลี่ยนแปลงในกรุงเทพฯ แล้ว

พระองค์กำลังทรงกีฬากอล์ฟ อยู่ที่วังไกลกังวล พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ เมื่อข้อความด่วนมาถึง ⛳️ข่าวจากกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทำให้พระองค์ทรงทราบสถานการณ์ ที่เกิดขึ้น

พระองค์ทรงปรึกษาหารือ กับเจ้านายอีก 2 พระองค์ ถึงทางเลือกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสด็จลี้ภัยไปต่างประเทศ การจัดรัฐประหารซ้อน หรือการยอมจำนน แต่เมื่อโทรเลขจากคณะราษฎร มาถึงอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีใจความว่า

หากไม่ทรงปรารถนา ที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ คณะราษฎรก็พร้อมที่จะถอดถอน และแทนที่ด้วยพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น แต่ก็มีการขู่ด้วยถ้อยคำแข็งกร้าวว่า หากสมาชิกคณะราษฎรคนใดได้รับบาดเจ็บ พระบรมวงศานุวงศ์ที่ถูกคุมขัง ก็จะทรงทรมานไปด้วย

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตัดสินพระทัยอย่างรวดเร็วว่า จะทรงอยู่ในราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังที่พระองค์ทรงสนับสนุนมาโดยตลอด พระองค์ทรงอธิบาย การตัดสินพระทัยนี้ในภายหลังว่า

"...ข้าพเจ้าไม่สามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์ ที่เปื้อนเลือดได้" นี่คือพระราชดำรัส ที่สะท้อนถึงพระราชหฤทัย ที่ทรงห่วงใยพสกนิกร และต้องการหลีกเลี่ยงการนองเลือด

แม้คณะราษฎรจะส่งเรือปืนมารับเสด็จ แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ และเสด็จกลับกรุงเทพฯ ด้วยรถไฟหลวง เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระองค์มิได้เป็นเชลยของคณะราษฎร 🚆👑

🤝 ปรองดองเบื้องต้น และให้อภัยโทษ เมื่อเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเรียกผู้ก่อการเข้าพบ ทรงลุกขึ้นประทับยืน และตรัสทักทายว่า

"ข้าพเจ้ายืนขึ้น เพื่อเป็นเกียรติแก่คณะราษฎร" ซึ่งเป็นพระราชอิริยาบถที่สำคัญยิ่ง เนื่องจากในวัฒนธรรมสยาม พระมหากษัตริย์จะประทับนั่งเสมอ และประชาชนจะถวายบังคม การกระทำนี้ แสดงถึงการยอมรับสถานะใหม่ และเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลง

"ปรีดี พนมยงค์" ได้กราบทูลขอพระกรุณา ที่ได้หมิ่นพระเกียรติ ในประกาศคณะราษฎร และได้มีการเก็บประกาศดังกล่าวทั้งหมด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประทับตรา บนเอกสารพระราชทานอภัยโทษ แก่สมาชิกคณะราษฎรทุกคน จากการปฏิวัติครั้งนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นการทำงานร่วมกัน ภายใต้ระบอบใหม่ 🤝🙏

คณะราษฎรได้ปล่อยตัวประกันทั้งหมด ยกเว้น "กรมพระนครสวรรค์วรพินิต" ผู้ซึ่งคณะราษฎรพิจารณาว่า มีพระราชอำนาจมากเกินไป และขอให้เสด็จออกนอกประเทศ ไปประทับที่เกาะชวา ไม่เคยเสด็จกลับมายังประเทศอีกเลย ส่วนเจ้านายพระองค์อื่น ๆ ก็เสด็จออกนอกประเทศโดยสมัครใจ ไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุโรป

📈 "เศรษฐกิจการค้า" ตัวแปรที่ถูกมองข้าม ในการปฏิวัติ 2475 มักจะมีการมองว่าการปฏิวัติ 2475 ไม่มีคนชั้นกลางนอกระบบราชการ เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง แต่หากเรามองลึกลงไป ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเมือง เราจะพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ที่อาจมีอิทธิพลต่อความคิดของคนในวงกว้าง โดยเฉพาะในกลุ่มพ่อค้าและผู้ลงทุน

กิจการค้าที่สำคัญในสยามเวลานั้น อยู่ในการควบคุมของบริษัทการค้าตะวันตก เกือบทั้งหมด บริษัทเหล่านี้ ดำเนินธุรกิจหลากหลาย ตั้งแต่การขายสินค้า การเดินเรือ การธนาคาร การประกันภัย โรงสี และโรงเลื่อย โดยใช้ระบบทุน และระบบจัดการสมัยใหม่ รวมถึงอิทธิพลของที่ปรึกษาชาวต่างประเทศ ในระบบราชการ 💰🌐

แต่มีข้อยกเว้นที่น่าสนใจคือ "การค้าข้าว" ซึ่งเป็นกิจการหลักของประเทศ พ่อค้าจากภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พ่อค้าจีน" กลับสามารถเข้ามาดำเนินธุรกิจ และประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการนี้ ตั้งแต่ทศวรรษ 2450 เป็นต้นมา

โรงสีข้าวที่เคยเป็นของชาวตะวันตก และเจ้านาย ได้เปลี่ยนมือมาเป็นของพ่อค้าจีน และกลุ่มผู้นำการค้าข้าว ก็เปลี่ยนจากฝรั่งและ "นายทุนขุนนาง" มาเป็นพ่อค้าจีนแท้ ๆ ที่ยังไม่มีบรรดาศักดิ์ใด ๆ เลย

นักวิชาการได้อธิบายปรากฏการณ์นี้ ด้วยเหตุผล 3 ประการหลัก

"ช่องทางการค้าภายในที่ดีกว่า" พ่อค้าจีนมีเครือข่าย และความสัมพันธ์ที่ดีกว่า ในการซื้อขายข้าวภายในประเทศ ซึ่งอาศัย "ความไว้เนื้อเชื่อใจ" เป็นสำคัญ พวกเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ กับนายหน้าและคนกลาง ในระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นแขนขาสำคัญ ในการรวบรวมข้าวจากชนบท สู่โรงสี

"ความสัมพันธ์กับชนชั้นสูง ในระยะแรก" พ่อค้าจีนรุ่นแรก ๆ ที่มีภูมิหลังเป็นเจ้าภาษีนายอากร มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชนชั้นสูง สามารถเช่าโรงสี กู้ยืมและจำนำทรัพย์สิน ต่อพระคลังข้างที่ได้ และเป็นผู้บุกเบิกขจัดอิทธิพลทางการค้า ของบริษัทตะวันตก ออกไปจากวงการค้าข้าว ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยพ่อค้าจีนรุ่นใหม่ ที่มีระบบจัดการ และช่องทางการค้าระหว่างประเทศที่ดีกว่า

"ความเข้าใจตลาดเอเชีย และการปรับตัว" ระบบการค้าที่ผันผวนในช่วงนั้น ต้องการความรู้ด้านการตลาด การค้าระหว่างประเทศ และข่าวสาร พ่อค้าจีนได้เปรียบ เพราะข้าวจากสยามส่วนใหญ่ ส่งออกไปยังตลาดเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดข้าวสาร ในขณะที่ชาวตะวันตก สนใจข้าวกล้องเป็นหลัก

นอกจากนี้ เทคโนโลยีการสีข้าว ก็ไม่ได้ซับซ้อนและราคาแพง ทำให้พ่อค้าจีนสามารถเรียนรู้ และแข่งขันจนมีสถานะ เหนือบริษัทการค้าระหว่างประเทศได้ 🍚💹

เมื่อมาถึงทศวรรษ 2470 พ่อค้าข้าวชาวจีนรุ่นแรก ๆ หลายรายที่เคยรุ่งเรือง เช่น พระยาโชฎีกราชเศรษฐี และพระโสภณเพ็ชรรัตน์ กลับประสบภาวะขาดทุน และเลิกกิจการ ทำให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลว่า "เส้นเลือดใหญ่ของสยาม" กำลังวิกฤต การล้มละลายของพระโสภณเพ็ชรรัตน์เ ป็นตัวอย่างสำคัญ ที่สร้างความหวาดวิตกนี้

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง สถานการณ์เศรษฐกิจ การค้าข้าวของสยามกำลังฟื้นตัวขึ้น และเป็นการฟื้นตัว ภายใต้ผู้นำเศรษฐกิจกลุ่มใหม่ นั่นคือการขึ้นมามีบทบาทของตระกูลดัง ๆ อย่าง หวังหลี, ล่ำซำ, มูลสูข, มูลกุล, และเอี่ยมสุรี ซึ่งรวมกันแล้ว สามารถควบคุมการค้าข้าว ได้ถึงครึ่งหนึ่งของประเทศ

นี่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างทางเศรษฐกิจ และบทบาทของชนชั้นกลาง ที่กำลังเติบโต ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้เกิดความรู้สึกอยากเห็น การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ 💼🌍

📜 กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรก ประชาธิปไตยแบบ "ค่อยเป็นค่อยไป" หลังจากที่คณะราษฎรยึดอำนาจสำเร็จ ก็เริ่มต้นดำเนินการ เพื่อให้สยามมีรัฐธรรมนูญฉบับแร กในประวัติศาสตร์

📝 ธรรมนูญชั่วคราว บทแรกของประชาธิปไตย พระราชบัญญัติธรรมนูญ การปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ได้รับการลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เวลา 5.00 น. เอกสารฉบับนี้ ร่างขึ้นล่วงหน้าโดย "ปรีดี พนมยงค์" ถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของสยาม แม้จะเป็นฉบับชั่วคราวก็ตาม

ใจความสำคัญของธรรมนูญฉบับนี้ คือมาตรา 1 ที่ประกาศก้องว่า "อำนาจสูงสุดของประเทศนั้น เป็นของราษฎรทั้งหลาย" นับเป็นการเปลี่ยนแปลง รากฐานอำนาจครั้งใหญ่ จากพระมหากษัตริย์มาสู่ประชาชน

ธรรมนูญฉบับนี้จำกัดพระราชอำนาจ ของพระมหากษัตริย์อย่างมาก โดยยกเลิกพระราชอำนาจเดิม เช่น การยับยั้งกฎหมาย การพระราชทานอภัยโทษ และสิทธิในการยืนยันผู้สืบราชสมบัติ กล่าวคือ จำกัดอำนาจทั้งหมดของพระมหากษัตริย์ โดยที่ยังมิได้ยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ ⚖️👑

ธรรมนูญยังได้จัดตั้ง "คณะกรรมการราษฎร" เป็นฝ่ายบริหาร และ "สภาผู้แทนราษฎร" ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 70 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งทั้งหมด

🪜 ประชาธิปไตยแบบสามช่วง ก้าวเล็ก ๆ ที่คาดหวังจะเติบโต
"ประชาธิปไตย" สำหรับสยามในเวลานั้น ถูกนำเสนอในรูปแบบของการผ่อนปรน แบ่งออกเป็นสามช่วง

ช่วงแรก สมาชิกรัฐสภาทั้งหมด 70 คน จะถูกแต่งตั้งโดย 4 ทหารเสือ ของคณะราษฎร โดยทำหน้าที่แทนประชาชน มีวาระ 6 เดือน

ช่วงที่สอง เมื่อประชากรส่วนใหญ่ เริ่มมีความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยมากขึ้น สภาจะประกอบด้วยสมาชิก ที่ได้รับการแต่งตั้งครึ่งหนึ่ง และได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมอีกครึ่งหนึ่ง แต่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง จะต้องผ่านการตรวจสอบจากคณะราษฎรก่อน

ช่วงที่สามและสุดท้าย การเป็นตัวแทนประชาธิปไตยเต็มตัวในรัฐสภา จะบรรลุได้ก็ต่อเมื่อผ่านไปแล้ว 10 ปี หรือเมื่อประชากรมากกว่าครึ่ง สำเร็จการศึกษาเกินกว่าระดับประถมศึกษา แล้วแต่ว่า อย่างไหนจะเกิดขึ้นก่อน 📚🗳️

สภาผู้แทนราษฎรเปิดประชุมครั้งแรก ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475

อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติธรรมนูญชั่วคราวฉบับนี้ มีอายุไม่นานนัก เมื่อถึงปลายปี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ซึ่งเป็นฉบับถาวร และมีความเป็นสายกลางมากขึ้น ก็ได้มีผลใช้บังคับแทนในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ คืนพระราชอำนาจบางประการ ให้แก่พระมหากษัตริย์ โดยกลับมาระบุว่า พระมหากษัตริย์นั้น "ศักดิ์สิทธิ์และจะล่วงละเมิดมิได้" สภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 156 คน โดย 76 คน มาจากการเลือกตั้ง และอีก 76 คนได้รับการแต่งตั้ง

การจำกัดประชาธิปไตยแบบเดิม ถูกยกเลิก และรัฐบาลมีกำหนดจัดการเลือกตั้งครั้งแรก ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476

⚖️ ความขัดแย้งภายใน สละราชสมบัติ จุดจบของรัชสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง แม้ว่า "ปรีดี พนมยงค์" จะมีอุดมการณ์สูงส่งและได้รับการศึกษาแบบตะวันตก แต่รูปแบบประชาธิปไตยที่นำเสนอ ต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกับที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเผชิญ นั่นคือ "สยาม" โดยเฉพาะประชากรในชนบท ยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย อย่างแท้จริง 🏞️

ในไม่กี่วันหลังการปฏิวัติ คณะราษฎรได้เปลี่ยนสยาม ให้กลายเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียว ด้วยสถาบันที่มีชื่อคล้ายคอมมิวนิสต์ เช่น "สภาประชาชน" และตำแหน่ง "ประธานคณะกรรมการราษฎร"

อย่างไรก็ตาม คณะราษฎรแสดงออกถึงความเป็น 2 พรรค เมื่อเสนอแต่งตั้ง พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ทนายความและองคมนตรี ให้เป็นประธานคณะกรรมการราษฎรคนแรก หรือนายกรัฐมนตรีคนแรกของสยาม ซึ่งอาจเป็นไปได้ ด้วยความเฉลียวฉลาดทางการเมือง มากกว่าเจตนาอันบริสุทธิ์

แต่ความขัดแย้งภายในระหว่างรัฐบาล และการกระทำของนายกรัฐมนตรีอนุรักษนิยม ได้นำไปสู่รัฐประหารอีกครั้ง ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2476 ซึ่งส่งผลให้ "พระยาพหลพลพยุหเสนา" ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 2 ของสยาม

👑 ผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จุดสิ้นสุดของรัชกาล
การปฏิวัติ 2475 มีผลกระทบใหญ่หลวง ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย "พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" ทรงถูกจำกัดพระราชอำนาจ และเอกสิทธิ์ที่มีมาแต่โบราณ

แม้จะได้รับถ้อยคำที่อบอุ่น และเป็นมิตร แต่พระองค์ก็ยังทรงอยู่ในความหวาดกลัว และทรงวิตกว่า การเผชิญหน้าระหว่างพระองค์ กับคณะราษฎรในอนาคต จะทำให้พระองค์ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงได้รับอันตราย

พระองค์ทรงเคยมีลายพระหัตถ์ ถึงพระนัดดาว่า "...เราทั้งหมดต่างก็ค่อนข้างรู้ดีว่า เราอาจกำลังจะตาย" สะท้อนถึงความรู้สึกไม่มั่นคง และถูกคุกคาม 😥

บทบาทที่ไม่มั่นคงของพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ และความไม่พอใจต่อการยึดอำนาจของ "พระยาพหลพลพยุหเสนา" นำไปสู่การเคลื่อนไหวของกลุ่มนิยมเจ้า ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476 ที่เรียกว่า "กบฏบวรเดช" นำโดย "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช" และเจ้านายอีกหลายพระองค์ ที่สูญเสียอิทธิพล และตำแหน่งไปอย่างถาวร เนื่องจากการปฏิวัติ

กบฏครั้งนี้ล้มเหลว และแม้จะไม่มีหลักฐานว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าแทรกแซงโดยตรง แต่การวางพระองค์เป็นกลาง และการตัดสินพระทัยที่ไม่เด็ดขาด ระหว่างความขัดแย้งช่วงสั้น ๆ นี้ ทำให้พระองค์สูญเสียความเชื่อมั่น และบารมีลงไปมาก

3 ปี หลังการปฏิวัติ พระองค์ทรงสละราชสมบัติ และเสด็จออกนอกประเทศ โดยไม่เคยเสด็จกลับมาอีกเลย ถือเป็นการสิ้นสุดรัชสมัย ที่เต็มไปด้วยความผันผวน และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ไทย 💔

🧐 ปริศนาหมุดคณะราษฎรที่หายไป ความจริงที่ถูกกลบฝัง?
เพื่อเป็นที่ระลึกถึงจุดที่ "พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร" ได้ประกาศเปลี่ยนระบบการปกครอง จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย และอ่าน "ประกาศคณะราษฎร" ฉบับแรก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475

ได้มีการนำ "หมุดคณะราษฎร" กลมสีทองเหลือง ฝังลงบนพื้นกลางถนน ระหว่างฐานของพระบรมรูปทรงม้า และประตูทางเข้า อดีตเป็นกองบัญชาการทหารสูงสุด

หมุดทองเหลืองนี้จารึกข้อความว่า "24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง ณ ที่นี้ คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ"

นี่คือสัญลักษณ์ที่สำคัญยิ่งของการปฏิวัติ เป็นเครื่องเตือนใจ ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการก่อกำเนิดของระบอบรัฐธรรมนูญในสยาม ตั้งตระหง่านอยู่ ณ จุดนั้นมานานหลายทศวรรษ เป็นเสมือนพยานเงียบ ที่เฝ้ามองประวัติศาสตร์ไทยดำเนินไป 🤫📌

จนกระทั่งเมื่อช่วงวันที่ 1-8 เมษายน พ.ศ. 2560 หมุดคณะราษฎรก็ได้ "หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ" ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า หายไปอยู่ที่ใด หรือถูกทำลายไปแล้วหรือไม่ การหายไปของหมุดคณะราษฎร สร้างความตกตะลึง และคำถามมากมายในสังคมไทย เป็นการตอกย้ำถึงความพยายาม ที่จะลบเลือนประวัติศาสตร์บางส่วน ออกไปหรือไม่?

🇹🇭 93 ปีผ่านไป... อะไรที่เราได้เรียนรู้? หลังการปฏิวัติสยาม 2475 ประเทศไทยได้ผ่านร้อนผ่านหนาว มามากมาย มีรัฐธรรมนูญหลายฉบับ มีการรัฐประหารหลายครั้ง และมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่ซับซ้อนอย่างต่อเนื่อง

ปฏิวัติ 2475 ไม่ใช่แค่เรื่องราว การยึดอำนาจทางการเมืองธรรมดา แต่คือการรวมตัวของปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่สั่งสมมานาน คือการปะทะกัน ระหว่างแนวคิดเก่าและใหม่ การต่อสู้เพื่ออำนาจและอุดมการณ์ และการค้นหาตัวตนของชาติไทย ในบริบทของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป อย่างรวดเร็ว

การหายไปของหมุดคณะราษฎร และปรากฏการณ์ "หมุดหน้าใส" เป็นเครื่องเตือนใจว่า ประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราว ที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ แต่เป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นการต่อสู้เพื่อการตีความ และความหมายอย่างต่อเนื่อง

การศึกษาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง รอบด้าน และกล้าที่จะตั้งคำถาม คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจ รากเหง้าของสังคมไทยในปัจจุบัน และนำไปสู่การสร้างอนาคต ที่เราปรารถนาได้อย่างแท้จริง 💡✨

ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 240807 มิ.ย. 2568

#93ปีปฏิวัติสยาม #ยึดอำนาจพระปกเกล้า #ร7 #สมบูรณายาสิทธิราชย์ #ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ #หมุดคณะราษฎร #ประวัติศาสตร์ไทย #การอภิวัฒน์สยาม #คณะราษฎร

ที่อยู่

บริษัทเอไอไฟว์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (สำนักงานใหญ่) 157/1193 หมู่ที่ 6 ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง
Changwat Si Sa Ket
33000

เบอร์โทรศัพท์

+66830030110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaketผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket:

แชร์

เรื่องราวของเรา

นำเสนอประเด็นสำคัญ ละเว้นเนื้อหาอันเยิ่นเย้อ