
25/06/2025
สิ้นรัชกาลที่ 1 เขมรเขว ปันใจให้ญวน ตีตัวห่างสยาม หวังทวงคืน “พระตะบอง” 😱
ในโลกของการเมืองระหว่างประเทศ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร มีเพียงผลประโยชน์ ที่เปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา... 🌏 คือสัจธรรม ที่ถูกตอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ในประวัติศาสตร์
꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนต่ำ โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂
แกะรอยปริศนา แห่งความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างสยาม เขมร และญวน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ของการเปลี่ยนผ่านราชบัลลังก์สยาม เมื่อ "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" รัชกาลที่ 1 เสด็จสวรรคต ปล่อยให้ลมหายใจสุดท้ายของรัชกาลแรก นำมาซึ่งลมหายใจแห่งความเปลี่ยนแปลง ในภูมิภาค โดยเฉพาะกับ “ราชสำนักกัมพูชา” ที่หมายทวงคืน “พระตะบอง” 🤫
ดิ่งลึกสู่บาดแผลแห่ง “ศักดินา” และ “ผลประโยชน์” เมื่อเขมรปันใจให้ญวน ในวันที่สยามสิ้นองค์ปฐมกษัตริย์ 💔 ย้อนกลับไปในห้วงเวลา ที่ฟ้าเพิ่งผลัดเปลี่ยนสี ราชบัลลังก์สยามเพิ่งส่งไม้ต่อจาก องค์ปฐมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ สู่ "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" รัชกาลที่ 2
นั่นคือห้วงเวลาที่ความตึงเครียด อันแผ่วเบา เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย ราวกับเมฆฝนที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นบนผืนฟ้า ⛈️ และศูนย์กลางของพายุลูกนี้คือ “สมเด็จพระอุทัยราชา” หรือนักองจันท์ ผู้ครองกัมพูชา ในเวลานั้น พฤติกรรมของพระองค์ เริ่มส่อเค้าถึงความผิดปกติ อย่างชัดเจน...
ใครจะคิดว่า เพียงแค่การไม่เสด็จมาถวายบังคม พระบรมศพของ "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" รัชกาลที่ 1 และการไม่เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 2 ตามราชประเพณี จะกลายเป็นชนวนสำคัญ ที่บ่งบอกถึงการ "เอาใจออกห่างจากสยาม" อย่างโจ่งแจ้ง 🚩
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของธรรมเนียมปฏิบัติ แต่คือการส่งสัญญาณทางการเมือง ที่ดังกระหึ่ม บอกให้โลกได้รับรู้ว่า... เขมรกำลังคิดไม่ซื่อกับสยาม!
แต่เบื้องหลังพฤติกรรมเยี่ยงนี้ แท้จริงแล้ว ซับซ้อนกว่าที่เราคิดนัก ใช่เพียงความขัดเคืองส่วนตัวของ "สมเด็จพระอุทัยราชา" ที่เคยถูกตำหนิ เมื่อครั้งเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 1 และความคับข้องใจที่ไม่อาจนำตัว “พระยาเดโช” (เม็ง) กลับไปลงโทษได้ หรือแม้แต่การที่สยาม ไม่อนุญาตให้นำ “นักองอี” และ “นักองเภา” กลับกัมพูชา
ปัจจัยเหล่านี้ เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง 🏔️ หากแต่ก้นบึ้งของความไม่ลงรอยนี้ มีสองปัจจัยหลักที่ซ่อนอยู่ คือรากเหง้าของปัญหา ที่กำลังจะนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ ในภูมิภาค!
ปัจจัยที่แรก การสิ้นอำนาจของ “เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน)” เกราะป้องกันแห่งพระตะบอง เริ่มร้าวพรุน 🛡️ ชื่อนี้ไม่ใช่เพียงแค่บุคคลสำคัญ แต่เป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งอำนาจของสยามเหนือเมืองพระตะบอง ดินแดนที่เคยเป็นหัวใจสำคัญ ทางยุทธศาสตร์ของกัมพูชา ซึ่งสยามได้ปกครอง มาอย่างมั่นคงยาวนาน นับตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) คือผู้ที่สยามไว้วางใจ ให้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ณ ดินแดนแห่งนี้ และก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมเสมอมา ตราบจนสิ้นชีวิตในปลายรัชกาลที่ 1
แต่ทันทีที่ลมหายใจสุดท้ายของ "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร" สิ้นลง อำนาจการปกครองเมืองพระตะบอง กลับตกทอดไปสู่บุตรชาย ซึ่งแม้จะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่การสืบทอดอำนาจในลักษณะนี้ อาจไม่ได้รับการยอมรับจาก "ราชสำนักกัมพูชา" อย่างเต็มที่นัก 👑
ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ ที่มรดกสำคัญ ถูกส่งต่อไปยังทายาท ผู้ไม่มีบารมีเท่าบรรพบุรุษ ย่อมเป็นช่องโหว่ ให้ผู้ที่เคยเป็นเจ้าของเดิม คิดอ่านที่จะทวงคืน สิ่งนี้เอง ที่ทำให้ราชสำนักกัมพูชา ภายใต้การนำของ "สมเด็จพระอุทัยราชา" เริ่มมองเห็น "โอกาส" ในการ "ทวงคืนดินแดน" ที่เคยเป็นของตน กลับคืนมา ✊
ประเด็นนี้ไม่ได้เป็นเพียง เรื่องของการแย่งชิงอำนาจ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อ "ศักดิ์ศรี" และ "อธิปไตย" ของรัฐชาติ การที่สยาม ปกครองพระตะบองมานาน ทำให้เขมรรู้สึกเหมือนถูกตัดแขนตัดขา
การเสียชีวิตของ "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร" (แบน) จึงเป็นเหมือนสัญญาณว่า... ได้เวลาแล้ว ที่จะทวงคืนสิ่งที่เคยเป็นของเรา! นี่คือแรงขับเคลื่อนสำคัญ ที่จุดประกายความไม่พอใจ และกระตุ้นให้ "สมเด็จพระอุทัยราชา" กล้าที่จะแข็งข้อต่อสยาม อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ปัจจัยต่อมา การฟื้นตัวของ “ญวน” เมื่อดาวดวงใหม่ฉายแสง สยามกำลังเผชิญทางเลือก อันน่าหนักใจ 🌟 ในขณะที่สยาม กำลังเผชิญหน้ากับ ความท้าทายภายในกัมพูชา อีกด้านหนึ่งของภูมิภาค “ญวน” ก็กำลังผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่ ที่น่าจับตา 🐉
การที่ "องเชียงสือ" สามารถรวมอาณาจักรญวน และตั้งตนเป็นประเทศอิสระได้อีกครั้ง ภายใต้การสนับสนุนของฝรั่งเศส แม้จะเพียงช่วงสั้น ๆนั้น ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ แต่เป็นการสั่นสะเทือนดุลอำนาจ ในภูมิภาคอย่างรุนแรง
การฟื้นตัวของญวน ภายใต้ "ราชวงศ์เหงียน" ซึ่งนำโดย "พระเจ้าเวียดนามยาลอง" ซึ่งก็คือ "องเชียงสือ" นั่นเอง ได้สร้าง "ทางเลือกใหม่" ให้กับกัมพูชา 🚪
หากก่อนหน้านี้ กัมพูชาเคยพึ่งพิงสยามเป็นหลัก เพื่อคานอำนาจจากญวน แต่เมื่อญวนแข็งแกร่งขึ้น และสามารถยืนหยัดเป็นเอกราช ได้ด้วยตนเอง การพึ่งพิงสยาม จึงอาจไม่ใช่ทางเลือกเดียวอีกต่อไป
มองในมุมของกัมพูชา การมี “มหาอำนาจทางใต้” ที่กำลังขยายอิทธิพลเข้ามา เป็นเหมือนการเปิดประตูบานใหม่ สำหรับประเทศ หากไม่พอใจสยาม ก็มีญวนเป็นตัวเลือกใ นการแสวงหาการคุ้มครอง หรือแม้แต่การ “เป็นพันธมิตร” เพื่อต่อรองกับสยาม 🤝
นี่คือ “เกมแห่งผลประโยชน์” ที่กัมพูชาเริ่มเล่นอย่างชาญฉลาด และญวนเองก็ไม่รอช้า ที่จะฉวยโอกาสนี้
แม้ "พระเจ้าเวียดนามยาลอง" จะยังคงแสดงออก ถึงความนับถือต่อ "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" รัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนพระองค์ในอดีต แต่ในโลกของการเมือง ไม่มีมิตรภาพใดคงอยู่ชั่วนิรันดร์ หากแต่เป็นเรื่องของ “ผลประโยชน์แห่งชาติ” ที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด 🤔
จึงเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่า ญวนเองก็วางแผนที่จะขยายอิทธิพล เข้าสู่กัมพูชาอย่างเต็มตัว หลังจากรัชกาลที่ 1 สิ้นสุดลงแล้ว การสิ้นพระชนม์ขององค์ปฐมกษัตริย์สยาม จึงเป็น “จังหวะทอง” ให้ญวนก้าวเข้ามาเติมเต็ม ช่องว่างทางอำนาจ ที่เกิดขึ้นในกัมพูชา
เมื่อ “เกม” ของเขมรเริ่มต้นขึ้น เบื้องหลังการยุยงปลุกปั่นของ “พระยาพระเขมร” 🗣️ ปัจจัยทั้งสองประการข้างต้น ไม่ได้ลอยขึ้นมาในอากาศ หากแต่ถูก "หยิบฉวย" และ "นำไปใช้" อย่างมีกลยุทธ์โดยกลุ่ม “พระยาพระเขมร” ที่ไม่พอใจสยาม
นี่คือกลุ่มคน ที่ไม่ต้องการอยู่ภายใต้อำนาจ ของสยามอีกต่อไป และเห็นโอกาสอันดี ที่จะปลุกปั่น "สมเด็จพระอุทัยราชา" ให้เอาใจออกห่างจากกรุงเทพฯ อย่างเปิดเผย 😈
กลุ่มพระยาพระเขมรเหล่านี้ อาจเป็นผู้ที่มีความคับแค้นใจ จากการที่สยาม เข้ามายึดครองดินแดนบางส่วน ของกัมพูชา หรืออาจเป็นผู้ที่ต้องการอำนาจ และผลประโยชน์ส่วนตน หากกัมพูชากลับมามีเอกราช และอำนาจเต็มที่อีกครั้ง
จึงทำหน้าที่เป็น "มันสมอง" และ "มือเท้า" ในการปลุกปั่น "สมเด็จพระอุทัยราชา" ให้เชื่อว่าการพึ่งพิงญวน คือทางออกที่ดีที่สุด สำหรับกัมพูชา และการแข็งข้อต่อสยาม คือหนทางที่จะนำไปสู่ การทวงคืนศักดิ์ศรีของอาณาจักร
ลองจินตนาการ ถึงบทสนทนาอันร้อนแรง ในราชสำนักกัมพูชา ที่กลุ่มพระยาพระเขมร พยายามหว่านล้อม สมเด็จพระอุทัยราชา
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ! สยามกำลังอ่อนแอลงแล้ว หลังการสิ้นพระชนม์ของรัชกาลที่ 1 อำนาจในพระตะบอง ก็ตกไปอยู่ในมือของคนอ่อนแอ นี่คือโอกาสที่เราจะทวงคืน! ญวนเองก็แข็งแกร่งขึ้นมาก พวกเขาสนับสนุนเราแน่นอน หากเราแสดงความจริงใจ”
นี่คือเสียงกระซิบ ที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความแตกแยก ในราชสำนักเขมร และท้ายที่สุด ก็งอกงามจนกลายเป็นความขัดแย้ง ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 💣
เปิดบาดแผลแห่งความจริง “กบฏ” ที่ไม่ใช่แค่กบฏ แต่คือการช่วงชิงอำนาจครั้งใหญ่ 🔥 เมื่อเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เรามักจะติดอยู่กับคำจำกัดความ ที่เรียบง่าย เช่น "กบฏ" หรือ "การแข็งข้อ"
แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในกัมพูชา ช่วงปลายรัชกาลที่ 1 ต่อต้นรัชกาลที่ 2 นั้น ไม่ใช่แค่การกบฏธรรมดา แต่คือ “การช่วงชิงอำนาจครั้งใหญ่” ระหว่างสามเส้า อันได้แก่สยาม ญวน และกัมพูชา โดยมี “พระตะบอง” เป็นเดิมพัน 🎲
ประเด็นสำคัญ ที่นักประวัติศาสตร์กระแสหลัก มักมองข้าม หรือเลือกที่จะไม่พูดถึง อย่างตรงไปตรงมาคือ “บทบาทของญวน” ในการสนับสนุนการแข็งข้อของกัมพูชา 🤫
แม้จะไม่มีหลักฐาน เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนว่า ญวนได้สั่งการ หรือยุยงอย่างเป็นทางการ แต่พฤติกรรมของญวน ที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้ไม่พอใจสยาม การแสดงออกถึงการเป็นมิตรกับกัมพูชา และการส่งสัญญาณถึงความพร้อม ที่จะขยายอิทธิพลทางใต้ ล้วนแต่เป็น "ใบอนุญาต" ให้สมเด็จพระอุทัยราชา กล้าที่จะเผชิญหน้ากับสยาม
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึง “ความสัมพันธ์แบบลูกพี่ลูกน้อง” ในการเมืองระหว่างประเทศ ของอุษาคเนย์ในอดีต เมื่อมหาอำนาจหนึ่งอ่อนแอลง อีกมหาอำนาจหนึ่ง ก็จะพยายามเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่เกิดขึ้น
และรัฐเล็กๆ ที่อยู่ตรงกลางอย่างกัมพูชา ก็จะพยายามหาประโยชน์สูงสุด จากการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจนี้ ด้วยการเลือกข้าง ที่ตนเองจะได้ประโยชน์มากที่สุด
การที่สมเด็จพระอุทัยราชา ไม่ยอมถวายบังคมพระบรมศพรัชกาลที่ 1 และไม่เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 2 จึงไม่ใช่เพียง การแสดงความไม่เคารพส่วนบุคคล
แต่คือ “การประกาศอิสรภาพทางการเมือง อย่างเป็นนัย ๆ” ต่อสายตาชาวโลก ว่ากัมพูชาจะไม่เป็นเบี้ยล่าง ของสยามอีกต่อไป 📢 และเบื้องหลังการประกาศนี้ คือการพึ่งพิงอำนาจใหม่ ที่กำลังผงาดขึ้นมา นั่นก็คือ “ญวน”
บทเรียนจากอดีต เมื่อ “ความจงรักภักดี” ถูกแลกด้วย “ผลประโยชน์” 💸 เรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างสยาม เขมร และญวนในยุคนี้ สอนบทเรียนอันลึกซึ้งให้เรามากมาย โดยเฉพาะเรื่องของ “ความจงรักภักดี” และ “ผลประโยชน์” ในบริบททางการเมือง 💔
ความจงรักภักดี ที่สยามคาดหวังจากกัมพูชา ไม่ได้มาจากความผูกพันทางสายเลือด หรือความรู้สึกซาบซึ้งใจในบุญคุณ หากแต่มาจากการ “ผูกมัดด้วยอำนาจ” และ “การควบคุมผลประโยชน์”
เมื่ออำนาจของสยามเริ่มสั่นคลอน จากการสิ้นพระชนม์ขององค์ปฐมกษัตริย์ และการที่พระตะบองเริ่มมีความไม่มั่นคง ในสายตาของกัมพูชา
ขณะเดียวกัน ญวนก็เริ่มแสดงพลังอำนาจ ที่ไม่อาจมองข้ามได้ ความจงรักภักดีของกัมพูชาที่มีต่อสยาม ก็เริ่มจางหายไป และถูกแทนที่ด้วย “การแสวงหาผลประโยชน์สูงสุด” เพื่อความอยู่รอดของอาณาจักร
นี่คือธรรมชาติของการเมืองระหว่างประเทศ ที่ไม่เคยมีอะไรแน่นอน ทุกรัฐต่างก็แสวงหาหนทางที่ดีที่สุด เพื่อความมั่นคง และเจริญรุ่งเรืองของตนเอง และในบางครั้ง “การหันหลังให้กับอดีต” ก็คือทางเลือกที่จำเป็น เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ✨
ปริศนาที่ยังคงค้างคาในประวัติศาสตร์ 🤯 เรื่องราวความตึงเครียด ระหว่างสยาม ญวน และเขมร ในช่วงรอยต่อของรัชสมัย ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อน และเต็มไปด้วยปริศนา ที่ยังคงรอการตีความ 🕵️♀️
ประเด็นเรื่องพระตะบอง การที่ "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร" (แบน) สิ้นชีวิต และอำนาจการปกครอง ตกทอดสู่บุตรชาย ทำให้กัมพูชาเห็นช่องโหว่ ในการทวงคืนดินแดนนี้กลับคืนมา ซึ่งเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ ที่ฝังรากลึกระหว่างสองชาติ
การฟื้นตัวของญวน บทบาทของญวน ที่ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางใต้ เป็นเหมือน "ตัวเลือก" ที่สำคัญสำหรับกัมพูชา ในการต่อรองกับสยาม และอาจเป็น "ผู้บงการ" ที่อยู่เบื้องหลังการแข็งข้อของ "สมเด็จพระอุทัยราชา" อย่างเงียบ ๆ
บทบาทของกลุ่มพระยาพระเขมร กลุ่มที่ไม่พอใจสยามเหล่านี้ ทำหน้าที่เป็น "ผู้ยุยงปลุกปั่น" ที่สำคัญ ในการทำให้สมเด็จพระอุทัยราชา ตัดสินใจเอาใจออกห่างจากกรุงเทพฯ และหันไปพึ่งพาญวนแทน
การสิ้นรัชกาลที่ 1 การสวรรคตของ "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" รัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นผู้ที่มีบารมีอย่างสูง ทำให้เกิด "สุญญากาศทางอำนาจ" และเป็น "จังหวะทอง" ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจ ในภูมิภาค
เรื่องราวเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่บันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ แต่เป็น “กระจกสะท้อน” ให้เห็นถึงธรรมชาติของการเมือง ที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี การหักเหลี่ยมเฉือนคม และการแสวงหาผลประโยชน์สูงสุด ของแต่ละฝ่าย 🧐
นี่คือเรื่องราว ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเล่าข่าวเก่าซ้ำ แต่เป็นการ “ตีแผ่” เบื้องลึก เบื้องหลัง ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์อันซับซ้อน ของสามอาณาจักรนี้ ในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์ 🤔
และท้ายที่สุด เราอาจต้องถามตัวเองว่า... ในโลกที่ผลประโยชน์ คือเดิมพันสูงสุด ใครกันแน่ที่เป็นผู้ชนะที่แท้จริง?
ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251655 มิ.ย. 2568
#สิ้นรัชกาลที่1 #เขมรเขว #ปันใจให้ญวน #ตีตัวห่างสยาม #กบฏ #หวังทวงคืน #พระตะบอง #การเมืองสามเส้า #ประวัติศาสตร์เขมร #สยาม #ญวน #ผลประโยชน์แห่งชาติ #พระราชพงศาวดารรัชกาลที่2