ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket

ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket, เว็บไซต์ข่าวและสื่อ, บริษัทเอไอไฟว์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (สำนักงานใหญ่) 157/1193 หมู่ที่ 6 ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง, Changwat Si Sa Ket.
(340)

꧁༺ บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน เริ่มจากแนวคิดลึก เปิดด้วยเหตุการณ์จริง นำพาเข้าสู่การตีความลึก แบบนักวิเคราะห์ข่าวกรอง นำเสนอมุมมองใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เล่าข่าว หรือเล่าเรื่องซ้ำ แต่ตีแผ่ประเด็นลึก ๆ ที่คนในแวดวง ไม่ค่อยกล้าพูดออกมา ༻꧂

ศรีสะเกษอพยพกลับ ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่เติมขวัญ เร่งกู้ระเบิดตกค้าง แนะจดจำ ห้ามจับ รีบแจ้งแดนดงลำดวน ในเปลวเพลิงสงคราม เมื่อ...
10/08/2025

ศรีสะเกษอพยพกลับ ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่เติมขวัญ เร่งกู้ระเบิดตกค้าง แนะจดจำ ห้ามจับ รีบแจ้ง

แดนดงลำดวน ในเปลวเพลิงสงคราม เมื่อ 'อำนาจ' ถูกส่งต่อ 'ชีวิต' ของประชาชน ยังคงเป็นระเบิดเวลา! 🚨💥

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดศรีสะเกษ... เส้นแบ่งที่เคยเป็นเพียงแค่ภาพในแผนที่ วันนี้กลับกลายเป็น "บาดแผลฉกรรจ์" ที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณ ของคนชายขอบ

เหตุการณ์ปะทะกันด้วยอาวุธสงคราม เมื่อวันที่ 24-28 กรกฎาคม2568 ที่ผ่านมานี้ ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความหวาดกลัว และซากปรักหักพังไว้เบื้องหลัง ไม่ใช่แค่บ้านเรือนที่ถูกทำลาย แต่รวมถึงความเชื่อมั่นใน 'รัฐ' และ 'ผู้นำ' ที่กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรง

ขณะที่ชาวบ้านจำนวนมาก ต้องอพยพออกจากบ้านเกิด เพื่อเอาชีวิตรอดจากห่ากระสุนปืนใหญ่ และลูกระเบิด ที่สาดเข้ามาไม่ขาดสาย

ภาพที่ควรจะได้เห็นคือ การเข้าช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน การแสดงความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งจาก "ผู้ว่าราชการจังหวัด" ผู้ซึ่งเปรียบเสมือน 'พ่อเมือง' ที่ต้องปกป้องดูแลลูกบ้านของตัวเอง อย่างสุดความสามารถ

แต่สิ่งที่ปรากฏ กลับสร้างความกังขา และสะท้อนภาพอันน่าเศร้า ของระบบราชการไทย... เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นก่อนหน้า เหตุการณ์สู้รบจะบานปลาย

เมื่อผลการสอบคัดเลือก "สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน" (อส.) ของจังหวัดศรีสะเกษ ถูกประกาศออกมา ด้วยความผิดพลาดใหญ่หลวง

นำมาซึ่งคำถามมากมายจากสาธารณชน แต่คำอธิบายที่ตามมานั้น กลับยิ่งตอกย้ำถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง "เป็นความขัดข้องในการประมวลผล ของระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่ความผิดพลาดของตัวบุคคล"

เป็นคำอ้าง ที่ดูราวกับนิยายวิทยาศาสตร์ ที่เอาไว้ปัดความรับผิดชอบ... หากคอมพิวเตอร์ผิดพลาด แล้วใครเป็นคนสั่งการ? ใครคือผู้รับผิดชอบระบบ?

คำถามเหล่านี้ ยังคงลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ โดยไม่มีใครกล้าหาญพอ ที่จะยอมรับความจริง

ผลพวงจากความผิดพลาดนั้น ก็มาปรากฏชัดในยามวิกฤต เมื่อ "อนุพงศ์ สุขสมนิตย์" ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เริ่มมีท่าทีเก็บตัว และระมัดระวัง ในการลงนามในคำสั่งต่าง ๆ อย่างผิดสังเกต

งานสำคัญ ที่ต้องอาศัยการตัดสินใจที่เด็ดขาด ในช่วงเวลาคับขัน จึงตกไปอยู่กับ "รองผู้ว่าราชการจังหวัด" ที่ต้องรับหน้าเสื่อแทนทั้งหมด...

ภาพของ "รองผู้ว่าฯ" ที่ต้องคอยรับมือกับสถานการณ์หน้างาน คอยสั่งการประสานหน่วยงานต่าง ๆ ท่ามกลางความเดือดร้อนของชาวบ้าน

โดย "พ่อเมือง" เลือกที่จะแบ่งงาน ลงพื้นที่เดินสายเติมขวัญกำลังใจ ให้กับชาวบ้านในศูนย์อพยพแทบทุกวัน กลายเป็นภาพซ้ำที่ชินตา

สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสังคมไทย หากแต่เป็นรูปแบบที่คุ้นชินของระบบราชการ ที่เน้นการรักษาระบบ มากกว่าการดูแลประชาชน

ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร ที่จะแบ่งงานกันแบบนั้น เพราะกลยุทธ์ในการรับมือวิกฤต ที่ผู้นำแต่ละคนเลือกใช้ ย่อมไม่เหมือนกัน ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เผชิญ

เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น ผู้นำหลายคนมักจะใช้วิธีการ "ลอยตัว" หรือ "สลายตัว" เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางกฎหมาย และการเมือง

ขณะที่ "ผู้ใต้บังคับบัญชา" หรือ "ลูกน้อง" ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นเกมการเมืองที่ซับซ้อน และไร้ซึ่งคุณธรรม ที่คนเล็กคนน้อย ต้องเป็นผู้แบกรับภาระหนักอึ้ง เอาไว้เพียงลำพัง

ระเบิดที่มองไม่เห็น เมื่อ 'บ้าน' กลายเป็น 'กับระเบิด' เมื่อสถานการณ์สู้รบเริ่มคลี่คลายลง ผู้คนในพื้นที่เสี่ยงภัย เริ่มได้รับอนุญาต ให้เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาของตนเองได้... ในเช้าวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2568

เสียงประกาศนี้อาจฟังดูเป็นข่าวดี เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นใหม่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือการส่งประชาชนกลับไปสู่ "สงครามเงียบ" ที่อันตรายไม่แพ้สงคราม ที่เพิ่งจะสงบลงไป

กระสุนปืนใหญ่ และวัตถุระเบิดจำนวนมหาศาล ที่ถูกยิงเข้ามาในพื้นที่ ได้ทิ้งร่องรอยมรณะไว้ตามหมู่บ้าน และพื้นที่เกษตรกรรมต่าง ๆ ในหลายตำบล ทั้งภูผาหมอก, เสาธงชัย, รุง, ละลาย, โนนสำราญ, บึงมะลู, ชำ, เมือง, เวียงเหนือ และทุ่งใหญ่...

เหล่าวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิดเหล่านี้ เปรียบเสมือน "ระเบิดเวลา" ที่กำลังนับถอยหลังอยู่ในทุก ๆ ตารางนิ้ว ของผืนแผ่นดิน ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ทำกิน และที่พักพิง

คำเตือนที่ตามมานั้น ฟังดูเรียบง่ายและเป็นทางการ "โปรดใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ" "ห้ามเข้าไปบริเวณพื้นที่กระสุนตก ที่ยังไม่ระเบิด" และ "หากพบเห็นให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่"...

คำเตือนเหล่านี้ แม้จะมีความหวังดี แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ความหมาย เมื่อเทียบกับความเป็นจริง อันโหดร้ายของชาวบ้าน ที่กำลังกลับสู่บ้าน ที่อาจกลายเป็นสนามรบได้ทุกเมื่อ

ชาวบ้านต้องเดินอย่างระมัดระวังในพื้นที่ ที่เคยวิ่งเล่นอย่างอิสระ ต้องหวาดระแวงทุกย่างก้าวที่เดินเข้าสู่ไร่นา ที่เคยเป็นแหล่งทำมาหากิน และต้องอยู่อาศัยในบ้านที่อาจมีลูกระเบิด ที่พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา

การเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ตกค้าง ในพื้นที่ยังไม่แล้วเสร็จ... ประโยคนี้ คือการยอมรับถึงความจริง อันน่าสะเทือนใจที่ว่า "รัฐ" ยังไม่สามารถคุ้มครอง ความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ให้กับประชาชนของตนเอง ได้อย่างเต็มที่

การอนุญาตให้กลับบ้านในช่วงเวลาเช่นนี้ จึงไม่ใช่แค่การให้ความหวัง แต่เหมือนกับการผลักประชาชน ให้กลับไปเผชิญหน้ากับอันตราย ด้วยตนเองอีกครั้ง

รัฐในฐานะ 'ผู้ทิ้ง' และประชาชนในฐานะ 'ผู้รับ' ประเด็นของศรีสะเกษในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของการสู้รบ ตามแนวชายแดน หรือการบริหารจัดการ ของเจ้าหน้าที่ในภาวะวิกฤต

หากแต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจน ของความสัมพันธ์ระหว่าง "รัฐ" กับ "ประชาชน" ในสังคมไทย ที่ถูกละเลย และมองข้ามมาโดยตลอด

"อำนาจที่ไม่รับผิดชอบ" การที่ผู้ว่าฯ ลอยตัว และปล่อยให้รองผู้ว่าฯ รับหน้าเสื่อในสถานการณ์วิกฤต สะท้อนถึงวัฒนธรรมการเมืองแบบ "หนีปัญหา" และ "เอาตัวรอด" ที่ฝังรากลึกอยู่ในระบบราชการไทย

การเมืองแบบนี้ ไม่สนใจผลกระทบต่อประชาชน แต่ให้ความสำคัญ กับการรักษาตำแหน่ง และความอยู่รอดของตัวเองเป็นหลัก

ผู้ว่าฯ อาจจะคำนึงถึงผลกระทบทางการเมือง ที่อาจเกิดขึ้น จากการเซ็นคำสั่งสำคัญในภาวะฉุกเฉิน และเลือกที่จะ "เก็บตัว" เพื่อให้ตัวเองปลอดภัยที่สุด... ในขณะที่ความปลอดภัยของประชาชน ถูกผลักไปไว้เป็นเรื่องรอง

ประชาชนในฐานะ 'เหยื่อ' ของนโยบาย การอนุญาตให้ชาวบ้านกลับบ้าน ท่ามกลางสถานการณ์ ที่ยังมีวัตถุระเบิดตกค้าง อยู่เป็นจำนวนมาก

สะท้อนให้เห็นถึงการมองประชาชน เป็นเพียง 'ตัวเลข' ในสถิติ หรือ 'เบี้ย' ตัวหนึ่งในเกมการเมือง และเกมการบริหารจัดการภาครัฐ

การที่ประชาชนต้องกลับบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงภาระค่าใช้จ่าย ในการดูแลศูนย์อพยพ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐรีบเร่ง ประกาศให้ประชาชนกลับสู่ภูมิลำเนา... โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของชาวบ้าน อย่างแท้จริง

สื่อสารที่ขาดความจริงใจ คำเตือนที่ให้ประชาชนระมัดระวัง หรือห้ามเข้าพื้นที่อันตรายนั้น ดูเหมือนจะเป็นเพียงพิธีกรรมทางราชการ เพื่อแสดงให้เห็นว่า "รัฐได้เตือนแล้ว"

แต่ในความเป็นจริง เป็นคำเตือนที่ไร้ซึ่งพลัง และขาดการปฏิบัติที่จริงจัง หากรัฐมีความจริงใจ ในการดูแลประชาชนอย่างแท้จริง

การเก็บกู้วัตถุระเบิด ควรจะเป็นภารกิจอันดับหนึ่ง ที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น ก่อนที่จะอนุญาตให้ประชาชนกลับเข้าพื้นที่ ไม่ใช่การปล่อยให้ประชาชน กลับไปเสี่ยงชีวิตเอง แล้วบอกให้ "ใช้ความระมัดระวัง"

เมื่อ 'ข่าว' เป็นแค่ 'เปลือก' และ 'ความจริง' ถูกซุกซ่อนไว้ใต้พรม ในวงการราชการท้องถิ่น มีเรื่องราวมากมาย ที่สื่อกระแสหลัก ไม่ได้นำเสนออย่างเจาะลึก

เพราะคือโลกที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ การเมือง และความสัมพันธ์อันซับซ้อน ที่ยากจะอธิบายได้ด้วยข่าวสั้น ๆ แค่ไม่กี่บรรทัด

ความผิดพลาดในการประกาศผลสอบ อส. ไม่ใช่แค่ความผิดพลาด ของระบบคอมพิวเตอร์อย่างที่กล่าวอ้าง หากแต่เป็นการส่งสัญญาณบางอย่างที่บอกว่า "มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ"

การที่ผู้ว่าฯ ต้องเก็บตัว และให้รองผู้ว่าฯ รับหน้าเสื่อแทน นับแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่ใช่แค่เรื่องของความระมัดระวัง แต่เป็นเรื่องของความกลัว...

กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับความจริง กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกลัวที่จะต้องรับผิดชอบ ในสิ่งที่ตัวเองอาจจะไม่ได้ทำ หรือทำไปแล้ว โดยที่ไม่อยากให้ใครรู้

ในแวดวงข้าราชการด้วยกันเอง เรื่องราวเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะทุกคนรู้ดีว่า "ผู้ว่าฯ" ที่เป็นใหญ่ที่สุดในจังหวัด คือผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่ล่อแหลมที่สุด

หากมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น ผู้ว่าฯ คือคนแรก ที่จะถูกโยนความผิดให้ แต่ในบางครั้ง ก็มีเกมการเมืองที่ถูกจัดฉากขึ้น เพื่อปกป้องคนบางกลุ่ม และใช้คนบางคนเป็นเครื่องมือ ในการรับผิดชอบแทน

ชาวบ้านต้องเผชิญกับ "ระเบิดตกค้าง" ตามหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่เรื่องของความล่าช้าในการเก็บกู้ แต่เป็นเรื่องของความลำบากใจ ในการจัดสรรงบประมาณและบุคลากร ในภาวะที่ยังไม่แน่นอน...

"รัฐ" อาจจะมองว่า การดูแลประชาชนในศูนย์อพยพ มีค่าใช้จ่ายสูง จึงต้องรีบเร่งให้กลับบ้าน แต่ไม่ได้คำนึงถึง "ต้นทุน" ของชีวิตประชาชน ที่อาจจะต้องสูญเสียไป จากการกลับไปเผชิญหน้า กับอันตรายเหล่านั้น

เรื่องราวของศรีสะเกษในครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าข่าวการสู้รบ เป็นมากกว่าข่าวการบริหารจัดการที่ผิดพลาด แต่เป็นเรื่องราวที่บอกเล่าถึง...

ความเปราะบางของชีวิตคนชายขอบ ที่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจที่ไม่มั่นคง และต้องเผชิญหน้ากับความจริง ที่เจ็บปวดที่ว่า... ในบางครั้ง 'ผู้นำ' ก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างเราเสมอไป

ท้ายที่สุดแล้ว... สำหรับชาวศรีสะเกษ ที่กำลังกลับสู่ภูมิลำเนาในขณะนี้ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ การดูแลตัวเอง และคนในครอบครัวให้ปลอดภัยที่สุด เท่าที่จะทำได้

ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ คือ "ห้ามจับ รีบแจ้ง" และสิ่งที่ควรจะจดจำเอาไว้ตลอดไปคือ... เหตุการณ์นี้ได้ทิ้งบาดแผล และบทเรียนอันยิ่งใหญ่ ไว้ให้เราได้เรียนรู้ว่า... ความปลอดภัยของประชาชน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดูแลของรัฐ เพียงอย่างเดียว

หากแต่ขึ้นอยู่กับความระมัดระวัง และการลุกขึ้นมาส่งเสียง ของตัวเราเองด้วย

และสำหรับนักการเมือง และข้าราชการในทุกระดับชั้น... หากยังคงใช้วิธีการ "ลอยตัว" และ "เอาตัวรอด" ในยามวิกฤตเช่นนี้อยู่เรื่อยไป

ในอนาคตข้างหน้า เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นอีกครั้ง... สิ่งที่อาจจะสูญเสียไป อาจไม่ใช่แค่ความเชื่อมั่น

แต่คือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เคยสร้างมาอย่างยากลำบาก ก็เป็นได้...
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----

⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉

✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 100919 ส.ค. 2568

#ศรีสะเกษ #ผู้ว่า #ความขัดแย้งชายแดน #การเมืองท้องถิ่น #ระเบิดเวลา #สงคราม #ความจริงที่ต้องพูด #ประเทศไทย

ล้างฐานเขมรภูมะเขือ พบทุ่นระเบิดสังหาร 18 ทุ่น ทหารช่างพังฐานทิ้ง ยึดเครื่องยิงลูกระเบิด คลังกระสุนสงครามที่ไม่มีวันสิ้น...
09/08/2025

ล้างฐานเขมรภูมะเขือ พบทุ่นระเบิดสังหาร 18 ทุ่น ทหารช่างพังฐานทิ้ง ยึดเครื่องยิงลูกระเบิด คลังกระสุน

สงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด จากภูมะเขือถึงสมรภูมิความจริง ที่ซ่อนเร้น 💣💥

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ข่าวจากโฆษกกองทัพบก "พลตรีวินธัย สุวารี" ได้จุดประกายประเด็นร้อนขึ้นอีกครั้ง ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

เมื่อมีการรายงาน การค้นพบอาวุธสงครามร้ายแรงจำนวนมากที่ "ภูมะเขือ" ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่เคยเป็นที่มั่นของทหารกัมพูชา

การค้นพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 จำนวน 18 ทุ่น และกระสุน RPG จำนวนมหาศาล ไม่ได้เป็นเพียงแค่การรายงานข่าวตามหน้าที่

แต่เป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยที่น่าตกใจ และเป็นตัวจุดชนวนให้เรา ต้องกลับมาตั้งคำถามถึง “สันติภาพ” ที่เราเข้าใจมาโดยตลอด

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ "การล้างฐาน" ตามที่พาดหัวข่าวบอก แต่เป็นการขุดคุ้ยความจริง ที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนดิน ความจริงที่ว่า แม้จะมีการตกลงหยุดยิง และเจรจาสันติภาพกันมาอย่างยาวนาน

แต่ภายใต้หน้ากากของมิตรภาพ และความร่วมมือ ยังคงมี “ทุ่นระเบิด” ที่พร้อมจะระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

นี่คือการเปิดโปงความขัดแย้ง ที่ยังคงคุโชนอยู่ข้างใน เป็นเหมือนแผลเก่าที่ยังไม่หายดี รอเพียงแค่มีอะไรมาสะกิดเบา ๆ ก็พร้อมจะปริแตก และเลือดไหลออกมาอีกครั้ง

สมรภูมิแห่งความทรงจำ รอยแผลที่ลึกเกินกว่าจะรักษา "ภูมะเขือ" เป็นพื้นที่พิพาท ที่เต็มไปด้วยเลือดและน้ำตา เป็นพยานของความรุนแรง ที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศ

เพื่อนบ้านที่ดูเหมือนจะใกล้ชิดกัน ทางวัฒนธรรม แต่กลับมีพรมแดน ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง

ข่าวการค้นพบทุ่นระเบิดครั้งนี้ ทำให้เราต้องย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์ ของพื้นที่แห่งนี้อีกครั้ง ทุ่นระเบิด PMN-2 ที่ถูกพบถึง 18 ทุ่น โดยมี 2 ทุ่น ที่ถูกฝังอย่างเร่งรับ พร้อมใช้งานทันที เครื่องยิงลูกระเบิด และกระสุน RPG อีกจำนวนมาก

คือหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “ความขัดแย้งยังไม่จบลง” คือการกระทำที่จงใจซ่อนเร้น และรอคอยเวลาที่เหมาะสม ในการปะทุขึ้นมาใหม่

เมื่อมองให้ลึกกว่า แค่การค้นพบอาวุธสงคราม การกระทำเช่นนี้ เป็นการบ่งชี้ถึงความไม่จริงใจ ในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี เป็นการตอกย้ำว่า บางฝ่ายยังคงใช้วิธีการแบบเดิม ๆ

คือการสร้างความได้เปรียบทางทหาร ในพื้นที่พิพาท แทนที่จะใช้การเจรจาทางการทูต อย่างแท้จริง การซุกซ่อนอาวุธเหล่านี้ ไว้ในพื้นที่ ที่เคยเป็นสมรภูมิเก่า ไม่ใช่แค่การทิ้งร่องรอยเอาไว้ แต่คือการสร้างกับดักสำหรับอนาคต

เป็นเหมือนการวางหมากตัวสำคัญ ในกระดานหมากรุกแห่งสงคราม เพื่อรอเวลาที่จะใช้โจมตีอีกฝ่าย อย่างไม่ทันตั้งตัว

ทุ่นระเบิดที่มองไม่เห็น สงครามในมิติใหม่ ในยุคปัจจุบัน ที่เราพูดถึงสงครามไซเบอร์ สงครามข้อมูล และสงครามเศรษฐกิจ แต่การค้นพบในครั้งนี้ ทำให้เราต้องยอมรับว่า สงครามในมิติเดิม ๆ ที่ใช้กำลังและอาวุธ ยังคงเป็นความจริงที่ดำรงอยู่

และถูกซุกซ่อนอย่างแยบยล ภายใต้ฉากหน้าของ "ความสงบสุข" ทุ่นระเบิด PMN-2 ที่ถูกออกแบบมา เพื่อสังหารบุคคล และกระสุน RPG ที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง คือเครื่องมือที่ทำให้การสู้รบในมิติเดิม ๆ ยังคงมีชีวิตอยู่

สิ่งที่น่ากลัวกว่าตัวอาวุธ คือ เจตนาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังอาวุธเหล่านั้น การค้นพบทุ่นระเบิด ที่พร้อมใช้งาน 2 ทุ่น ชี้ให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่เพียงแค่การทิ้งอาวุธ ที่จนย้ายออกไปไม่ทัน

แต่เป็นการวางกับดักอย่างตั้งใจ เพื่อหวังผลให้เกิดความสูญเสีย หากมีคนมาพบเจอ หรือหากสถานการณ์ กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง

เป็นการส่งสัญญาณที่ไม่เป็นมิตร อย่างชัดเจน และเป็นการกระทำที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่น ระหว่างสองประเทศ

หลายคนอาจมองว่า นี่เป็นเพียง "การละเมิดข้อตกลง" เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คือรอยร้าวที่ลึก และกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

เป็นการแสดงให้เห็นถึง "สองมาตรฐาน" ของการดำเนินนโยบาย ที่ฝ่ายหนึ่งแสดงออกถึงความประสงค์ดี ในการเจรจา แต่ในทางปฏิบัติกลับยังคงสร้างความเสี่ยง และความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง

ในแวดวงการทูตและความมั่นคง เรามักจะได้ยินแต่คำพูดที่สวยหรู เกี่ยวกับ "สันติภาพ" "ความร่วมมือ" และ "การแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี"

แต่ข่าวการค้นพบอาวุธสงครามครั้งนี้ ทำให้เราเห็นว่า คำพูดเหล่านั้น เป็นเพียงฉากบังหน้าของความจริง ที่โหดร้ายกว่ามาก

ความจริงที่ว่า กัมพูชามีลักษณะเป็นฝ่ายริเริ่ม ใช้อาวุธก่อนมาโดยตลอด ตามคำกล่าวของโฆษกกองทัพบก ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนในแวดวง แต่เป็นความจริง ที่มักจะถูกทำให้เงียบลงเพื่อรักษา "บรรยากาศที่ดี" ของการเจรจา

การเปิดเผยข้อมูลเชิงประจักษ์ในครั้งนี้ จึงเป็นเหมือนการฉีกหน้ากาก ของความพยายามที่จะ "ประนีประนอม" ที่บางครั้งอาจจะมากเกินไป จนกลายเป็น "การยอม" ในประเด็นที่สำคัญ

ประเด็นที่คนในแวดวง ไม่ค่อยกล้าพูดถึงอย่างตรงไปตรงมา คือ "ความไม่เท่าเทียม" ในการเจรจา บางครั้งการเจรจาสันติภาพ ก็ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมเสมอไป

การที่ฝ่ายหนึ่ง ยังคงใช้วิธีการที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่น อย่างต่อเนื่อง ก็เป็นตัวบ่งชี้ว่า เชื่อมั่นว่าตนเองมีอำนาจต่อรอง ที่สูงกว่า และอีกฝ่ายอาจจะต้องยอมถอย เพื่อรักษาความสัมพันธ์

ซึ่งในระยะยาวแล้ว นี่คือสูตรสำเร็จ ของการสร้างความขัดแย้ง ที่ไม่มีวันจบสิ้น

เราต้องกล้าที่จะตั้งคำถาม และวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาว่า การกระทำเช่นนี้ของฝ่ายตรงข้าม เป็นการทดสอบขีดจำกัด ของฝ่ายเราหรือไม่?

เป็นการลองใจว่า เราจะยอมรับ และนิ่งเฉยต่อการละเมิดข้อตกล งได้มากน้อยแค่ไหน? และหากเรายังคงเงียบเฉยอยู่เรื่อยไป การกระทำเช่นนี้ ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต อย่างแน่นอน

ถึงเวลาที่ต้องหยุดสงครามแห่งการซ่อนเร้น การค้นพบอาวุธสงครามที่ภูมะเขือ เป็นเหมือนแสงสปอตไลท์ ที่ส่องไปที่รอยร้าวที่ซ่อนอยู่ใต้พรม

ไม่ใช่แค่เรื่องของทุ่นระเบิด 18 ทุ่น แต่คือเรื่องของความไว้ใจ ที่ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง

สันติภาพที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการเซ็นสัญญาหยุดยิง หรือการยิ้มให้กล้องระหว่างผู้นำ แต่มาจากการกระทำที่จริงใจ และการเคารพซึ่งกันและกัน อย่างแท้จริง

ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องหยุดสงครามแห่งการซ่อนเร้น ที่ทั้งสองฝ่ายต่าง ก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในเมื่อหลักฐานเชิงประจักษ์ ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว

การกระทำในครั้งนี้ของกองทัพไทย ที่เข้าไปจัดการพื้นที่ และยึดอาวุธสงคราม จึงเป็นขั้นตอนที่จำเป็น และสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า เราจะไม่ยอมให้มีการกระทำ ที่บ่อนทำลายความมั่นคงเช่นนี้ เกิดขึ้นอีก

บทเรียนจากภูมะเขือ คือการเตือนใจว่า สันติภาพไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ แต่ต้องมาจากการรักษา และปกป้องอย่างต่อเนื่อง

หากเราปล่อยปละละเลยความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้น การกระทำที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่นเหล่านี้ ก็จะสะสมและกลายเป็น สงครามที่ร้ายแรงขึ้น ในที่สุด
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----

⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉

✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091452 ส.ค. 2568

#ภูมะเขือ #ชายแดนไทยกัมพูชา #สงครามที่ไม่มีวันจบ #สันติภาพที่ถูกซ่อน #ความจริงที่ต้องพูด #กับระเบิดPMN2 #ความมั่นคงของชาติ #นักวิเคราะห์การเมือง

ทหารไทย ร้อย ร.111 เหยียบกับระเบิดที่ศรีสะเกษ เจ็บ 3 นาย จ่าเท้าซ้ายขาด รอยต่อโดนเอาว์-กฤษณาความเงียบที่ชายแดน... เสียงส...
09/08/2025

ทหารไทย ร้อย ร.111 เหยียบกับระเบิดที่ศรีสะเกษ เจ็บ 3 นาย จ่าเท้าซ้ายขาด รอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา

ความเงียบที่ชายแดน... เสียงสะท้อนจาก "ระเบิดเวลา" ที่กำลังถูกลืม? 💔

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

สายลมยามเช้าของวันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ณ ชายแดนอันสงบเงียบแห่งเขาพระวิหาร พื้นที่รอยต่อ โดนเอาว์-กฤษณา อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ และไร่นาที่กำลังตั้งท้อง ไม่มีความตึงเครียด ไม่มีการปะทะกันด้วยอาวุธสงคราม อย่างที่โลกเคยจดจำ

และ ณ เวลา 10.00 น. วันนี้นั้น... ก็ไม่มีใครคาดคิดว่า "สันติภาพ" ที่เราเคยชื่นชม และประกาศก้องไปทั่วโลก จะต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อ และอวัยวะของชายชาติทหารไทยนายหนึ่ง

"จ่าสิบเอกธานี พาหา" ผู้บังคับหมู่ปืนกล หมวดปืนเล็กที่ 2 วัย 37 ปี และพลทหารอีกสองนาย ในชุดกองร้อยลาดตระเวน กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 111 (ร้อย.ร.111)

ได้ออกปฏิบัติภารกิจตามปกติ คือการตรวจสอบเส้นทาง เพื่อวางลวดหนามป้องกันพื้นที่ เสียงกรวดหินที่กระทบรองเท้าคอมแบต เป็นเสียงเดียวที่ดัง อยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด

จวบจนกระทั่งวินาทีที่ข้อเท้าซ้าย เหยียบลงบนสิ่งที่อารยะประเทศทั่วโลก เคยพยายามจะ "ฝัง" ไว้ใต้ดิน และ "ลืม" ไปให้หมดสิ้น จากความทรงจำของมนุษย์...

เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว ดับความเงียบสงบในพื้นที่ลงทันที ตามมาด้วยเสียงแห่งความเจ็บปวด และเสียงตะโกนเรียกขานชื่อกันและกัน

แรงระเบิดทำให้ "จ่าธานี" ผู้เป็นหัวหน้าชุด สูญเสียข้อเท้าซ้ายท่อนล่างไปในพริบตา ลูกชุดพลทหารอีกสองนาย คือ "พลฯ ภาคภูมิ ไชยสุระ" และ "พลฯ ธนันชัย ไกรวงค์" ก็ได้รับบาดเจ็บจากแรงอัด

พลฯ ภาคภูมิ บาดเจ็บที่แขน และด้านหลัง ส่วนพลฯ ธนันชัย โดนแรงอัด และเจ็บแก้วหู

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึง ความจริงที่โหดร้าย และไม่เคยจางหายไป จากพื้นที่ชายแดนแห่งนี้ นั่นคือ "ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล" ที่ถูกฝังไว้เมื่อการสู้รบที่ผ่านมาไม่นาน และยังคงรอเวลาที่จะคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ต่อไป อย่างไม่มีกำหนด...

มุมมองที่ถูกละเลย "สันติภาพ" บน "ทุ่นระเบิด" ทันทีที่ข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ในระดับของข่าวสารทั่วไป ก็ถูกจัดวางอยู่ในหมวด "เหตุการณ์ประจำวัน" เหมือนกับข่าวอุบัติเหตุทั่วไป ที่ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากนัก

ข่าวจากศูนย์ปฏิบัติการ กองทัพภาคที่ 2 ออกมาอย่างกระชับและเป็นทางการ รองโฆษกกองทัพบก ออกมาให้ข้อมูลสั้น ๆ ว่า "อยู่ระหว่างการตรวจสอบ"

รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาแสดงความเสียใจ พร้อมกับสั่งการให้ "กระทรวงการต่างประเทศ" ยื่นเรื่องไปยังกัมพูชา โดยอ้างถึง "อนุสัญญาออตตาวา" ซึ่งเป็นสนธิสัญญา ที่ห้ามใช้กับระเบิดสังหารบุคคล

การกล่าวอ้างถึง "อนุสัญญาออตตาวา" (Ottawa Treaty) ซึ่งไทยและกัมพูชา ต่างเป็นภาคีทั้งคู่ กลายเป็นคำตอบสำเร็จรูป ที่ถูกใช้ทุกครั้ง ที่มีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้น

แต่จะแก้ปัญหาจริง ๆ ได้แค่ไหน? อนุสัญญานี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2542 เรียกร้องให้ประเทศภาคี ต้องทำลายทุ่นระเบิดในคลังแสง และกวาดล้างทุ่นระเบิด ที่ถูกฝังอยู่ในพื้นที่ภายใน 10 ปี

แต่เอาเข้าจริงแล้ว... พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงเต็มไปด้วย "ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล" จำนวนมหาศาล ที่ถูกวางไว้ใหม่ เมื่อไม่นานมานี้

คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมอนุสัญญาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อ "ยุติ" การใช้กับระเบิด ถึงไม่สามารถปกป้องทหารไทยได้? อาจไม่ใช่เพราะ "ความผิดพลาด" ในการทำงานของหน่วยเก็บกู้ระเบิด

แต่คือความจริงที่ว่า การกวาดล้าง "ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล" นั้น ซับซ้อนกว่าที่คิดมาก พื้นที่บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา คือพื้นที่ ที่การปะทะกันด้วยอาวุธสงคราม เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

การฝังกับระเบิดในพื้นที่ดังกล่าวคือ "สงครามเงียบ" ที่ไม่มีใครสามารถระบุพิกัดที่แน่นอนได้เลย ด้วยเหตุนี้ ทหารหาญของทั้งสองฝ่ายจึง ยังคงต้องเผชิญหน้ากับ "ระเบิดเวลา" ที่ถูกฝังไว้

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่การบาดเจ็บ ของทหาร 3 นาย แต่คือ "สัญญาณ" ที่บ่งบอกว่า "สันติภาพ" ที่เราประกาศก้องนั้น เป็นเพียงเปลือกนอกที่เปราะบาง

ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ดูเหมือนจะราบรื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว "กับระเบิด" ยังคงทำหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ... และไม่ได้แบ่งแยกสัญชาติ ของผู้ที่เหยียบลงไปเลย

คำถามที่อยากจะชวนคิดคือ ถ้าหากเหตุการณ์นี้ ทำให้เกิดการปะทะกันขึ้นอีกครั้ง เราจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร? คำตอบอาจไม่ใช่แค่ การแสดงความเสียใจ และการยื่นเรื่องไปยังกัมพูชา

แต่เราอาจจะต้องกลับมาทบทวนอย่างจริงจังว่า "นโยบาย" และ "ยุทธศาสตร์" ในการจัดการกับปัญหาชายแดน ที่ยังมีทุ่นระเบิดหลงเหลืออยู่นั้น มีประสิทธิภาพเพียงพอแล้วหรือยัง?

ชีวิตที่ขาดวิ่น กับความทรงจำที่ไม่เคยจางหาย "ทุ่นระเบิดสังหาร" ไม่ได้ส่งเสียงเตือนล่วงหน้า ไม่มีกลิ่น ไม่มีความร้อน ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน รอเวลาอย่างเงียบงัน...

จ่าธานีต้องสูญเสียข้อเท้าซ้ายไปหนึ่งข้าง ซึ่งไม่ใช่แค่การสูญเสียทางกายภาพ

แต่เป็นการสูญเสีย "อาชีพ" ในฐานะทหารหาญ และเป็นการสูญเสีย "อนาคต" ในหลาย ๆ ด้าน ที่เคยวาดฝันไว้ และนี่ไม่ใช่กรณีแรก ที่เกิดขึ้นกับทหารไทย

เกมการเมืองบนพื้นที่ "สีแดง" การที่ "ภูมิธรรม เวชยชัย" รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงความเสียใจ และสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ ยื่นเรื่องไปยังกัมพูชานั้น

ถือเป็น "ปฏิบัติการ" ทางการเมือง ที่จำเป็นต้องทำ ในฐานะผู้นำประเทศ แต่ก็เป็นเพียง "ปลายเหตุ" ของปัญหาเท่านั้น

เราต้องยอมรับความจริงว่า "พื้นที่ชายแดน" คือพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์มหาศาล ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง

การลาดตระเวนเพื่อ "วางลวดหนามป้องกัน" ที่ทหารชุดนี้กำลังทำอยู่นั้น ไม่ใช่แค่การป้องกันการรุกล้ำอธิปไตย เพียงอย่างเดียว

แต่คือการ "ตอกย้ำ" เส้นแบ่งเขตแดน ที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน มาอย่างยาวนาน

ในขณะที่นักการเมืองต่างชาติ กำลังเจรจาผลประโยชน์กันอย่างเงียบ ๆ อยู่บนโต๊ะทำงานปรับอากาศเย็นฉ่ำ แต่ในพื้นที่จริง... ลูกหลานชาวนาชาวสวน ที่สวมเครื่องแบบทหาร กำลังทำหน้าที่รักษาผืนแผ่นดินไทย ด้วยเลือดเนื้อและชีวิต

ทหารเหล่านี้นี่เอง คือผู้ที่ต้องแบกรับ "ภาระ" จากความขัดแย้ง ที่ดูเหมือนจะยุติลงไปแล้ว แต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ในพื้นที่

ไม่ได้ต้องการโจมตีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่อยากจะชี้ให้เห็นว่า "การเมือง" และ "ความเป็นจริง" ในพื้นที่ชายแดนนั้น เป็นคนละเรื่องกันสิ้นเชิง

ตราบใดที่ปัญหา "กับระเบิด" ยังไม่ถูกจัดการอย่างจริงจัง ก็จะยังคงมีทหารไทย ต้องสูญเสียอวัยวะและชีวิตต่อไป อย่างไม่มีกำหนด...

ในขณะที่เรากำลังใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ในเมืองใหญ่ โปรดอย่าลืมว่า มีชายชาติทหารอีกหลายนาย ที่กำลังทำหน้าที่ของตนเองอย่างเงียบงัน

ณ ชายแดนอันห่างไกล ไม่ใช่ "ตัวละคร" ในข่าวรายวัน แต่คือ "มนุษย์" ที่มีเลือดเนื้อ มีครอบครัวที่เฝ้ารอคอย และมีความฝันที่อาจต้องจบลงเพราะ "ทุ่นระเบิด" ที่ถูกลืม

เพราะตราบใดที่ "ทุ่นระเบิดสังหาร" ยังคงถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ชายแดนอย่างที่เรามองไม่เห็น...

สันติภาพที่แท้จริง ก็เป็นเพียงภาพลวงตา ที่เราหลอกตัวเองมาโดยตลอด
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----

⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉

✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091343 ส.ค. 2568

#ทหารไทย #เหยียบกับระเบิด #ศรีสะเกษ #ชายแดนไทยกัมพูชา #วีรบุรุษชายแดน #ความเงียบที่ชายแดน #กวาดล้างกับระเบิด #เรื่องจริงที่เจ็บปวด #สังคมที่ไม่ควรลืม

106 ปี พิพาทเขากระโดง กรมที่ดินทำสับสนอลเวง  รถไฟเวนคืน 5,063 ไร่ ไร้หลักฐานซื้อขายที่ดินไม่ใช่แค่เรื่องที่ดิน แต่คือชนว...
09/08/2025

106 ปี พิพาทเขากระโดง กรมที่ดินทำสับสนอลเวง รถไฟเวนคืน 5,063 ไร่ ไร้หลักฐานซื้อขายที่ดิน

ไม่ใช่แค่เรื่องที่ดิน แต่คือชนวนระเบิดอำนาจรัฐ… มรดกแห่งความขัดแย้ง ที่รัฐไทยไม่อาจซ่อนได้อีกต่อไป 💥💣🔥

꧁༺ นี่คือ… บทความวิเคราะห์ข่าว สารคดีข่าวสืบสวนสอบสวน ยาวหลายหน้า ใช้เวลาอ่านนานหลายนาที ข้อมูลค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อน แตกต่างจากรายงานข่าวทั่วไป ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความอดทนน้อย อาจหงุดหงิดได้ง่าย ประมาณว่า... ร่ายยาวไรนักหนา ข้ามไปอ่านสรุปสั้น ๆ ในคอมเมนต์ได้เลย! โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ! เตรียมขนมขบเคี้ยวให้พร้อม ก่อนตัดสินใจอ่านต่อ… ༻꧂

เรื่องราวของ “เขากระโดง” ไม่ใช่แค่ข้อพิพาทเรื่องที่ดินธรรมดา ๆ ที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัด แต่คือกระจกสะท้อนความเหลื่อมล้ำ และปัญหาระบบรัฐ ที่ฝังรากลึกในสังคมไทย มาอย่างยาวนานกว่าศตวรรษ

เป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ย้อนไปเมื่อ 106 ปี ที่ผ่านมา ในปี พ.ศ. 2462 สมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อรัฐบาลมีความจำเป็นต้องสร้างทางรถไฟ เพื่อเชื่อมโยงภาคอีสานตอนล่าง

และใช้กฎหมายเวนคืนที่ดิน เพื่อเข้าครอบครองพื้นที่กว่า 5,083 ไร่ ในตำบลอิสานและตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์

แต่จากนั้นเป็นต้นมา เรื่องราวที่ควรจะจบลง ด้วยความเรียบร้อยตามกฎหมาย กลับกลายเป็นมหากาพย์แห่งความสับสน ที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น จนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ว่า “ใครคือเจ้าของที่ดินที่แท้จริง”

มหากาพย์นี้ ไม่ได้มีแค่ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นตัวละครหลัก แต่ยังเต็มไปด้วย “เงาอำนาจ” ของตระกูลการเมือง ที่ทรงอิทธิพลอย่าง “ชิดชอบ”

ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เรื่องราว จากข้อพิพาททางกฎหมาย กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่อ่อนไหว และไม่เคยถูกจัดการอย่างตรงไปตรงมา

การที่ประชาชนกลุ่มเล็ก ๆ ต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐ ที่ดูเหมือนจะไร้ทิศทาง และเต็มไปด้วยแรงกดดันทางการเมือง ทำให้ต้องย้อนกลับมาตั้งคำถามว่า… “ความชอบธรรม” ของรัฐไทยในยุคปัจจุบัน อยู่ที่ไหนกันแน่

จุดเริ่มต้นที่ “ไร้หลักฐาน” สัญญาณแห่งความสับสนที่ตามมา
ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2462 รัฐบาลออก พ.ร.ฎ. เพื่อกำหนดเขตสร้างทางรถไฟ

แต่ พ.ร.ฎ. ที่ว่านี้ กลับไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน และไม่มีแผนที่แนบท้าย ระบุขอบเขตอย่างเป็นทางการ ทำให้กระบวนการเวนคืนที่ดิน ในปี พ.ศ. 2464 เป็นไปอย่างคลุมเครือ

รฟท. อ้างว่าได้เวนคืนที่ดินไปทั้งหมด 5,083 ไร่ แต่กลับไม่มี หลักฐานการซื้อขาย และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีรายชื่อเจ้าของที่ดิน ที่ถูกเวนคืนปรากฏใน พ.ร.ฎ. ฉบับนั้นเลย!

นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหา ที่ยากจะแก้ไข เพราะการเวนคืนที่ดินตามกฎหมาย จะต้องมีหลักฐานชัดเจน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 100 ปี หลักฐานที่ขาดหายไปนี้ ได้กลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ ที่เปิดให้เกิดการตีความที่แตกต่างกันไป ในแต่ละยุคสมัย

ในขณะที่ประชาชนบางส่วน ทยอยเข้ามาอยู่อาศัย และทำมาหากินในพื้นที่อย่างสุจริต โดยไม่รู้ว่าที่ดินที่ตนเองถือครองนั้น แท้จริงแล้วมีเจ้าของอยู่แล้ว นั่นก็คือ… "รฟท." หรือการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามที่หน่วยงานรัฐอ้าง

คำถามที่ตามมาคือ ทำไมตลอดระยะเวลาหลายสิบปี รฟท. จึงละเลยการดูแลรักษาที่ดินผืนนี้? ทำไมถึงปล่อยให้ประชาชนเข้ามาอยู่อาศัย และออกเอกสารสิทธิกันอย่างแพร่หลาย?

การปล่อยปละละเลยนี้เอง ที่ทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงจุดที่ยากจะแก้ไข และกลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่ร้อนแรง อย่างในปัจจุบัน

“คำพิพากษาศาล” ที่ไม่ผูกพันใคร ความงงงวยของกรมที่ดิน หลายคนอาจคิดว่า เมื่อมีคำพิพากษาศาลแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็ควรจะจบลง แต่สำหรับเขากระโดงแล้ว... ไม่ใช่เลย

ในช่วงปี พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบัน มีคดีความเกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง เกิดขึ้นถึง 4 คดีหลัก ๆ ซึ่งล้วนมีคำพิพากษาของศาลฎีกา และศาลอุทธรณ์ยืนยันว่า ที่ดินพิพาทเป็นของ รฟท. ทั้งสิ้น

แต่ในมุมมองของกรมที่ดิน กลับมองว่าคำพิพากษาเหล่านั้น มีผลเฉพาะ "คู่ความในคดี" เท่านั้น และไม่สามารถนำมาใช้ "เพิกถอนเอกสารสิทธิ" ของประชาชนคนอื่น ๆ ได้ทั้งหมด

"พรพจน์ เพ็ญพาส" อดีตอธิบดีกรมที่ดิน ได้ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจนว่า การจะเพิกถอนโฉนดที่ดิน จะต้องทำเป็นรายแปลง ไม่สามารถใช้คำสั่งศาลคดีหนึ่ง ไปเพิกถอนโฉนดอีกหลายพันแปลง ได้ทั้งหมด

เพราะโฉนดแต่ละฉบับมีที่มา และหลักฐานการครอบครอง ที่แตกต่างกัน ซึ่งการกระทำดังกล่าว อาจเป็นการละเลยหลักการ “ความชอบด้วยกฎหมาย” ที่กรมที่ดินต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด

ในมุมมองของกรมที่ดิน การที่ รฟท. ไม่สามารถแสดง "แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา" หรือหลักฐานการซื้อขายที่ดิน ที่ชัดเจน ทำให้กรมที่ดินไม่สามารถฟันธงได้ว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของใครกันแน่

จึงจำเป็นต้องให้ กระบวนการของศาลยุติธรรม เป็นผู้ดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์ เป็นรายแปลงไป

แต่ในทางกลับกัน การที่กรมที่ดิน ในฐานะหน่วยงานของรัฐ กลับไม่สามารถให้ความช่วยเหลือ หน่วยงานของรัฐด้วยกันอย่าง รฟท. ได้อย่างเต็มที่

ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่สร้างความกังขาให้กับสังคม และนำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์ ถึงความไม่เป็นเอกภาพ ในการทำงานของภาครัฐ

เกมการเมืองที่ “พลิกผัน” ชะตาชีวิตประชาชนที่ “แขวนอยู่บนเส้นด้าย” เรื่องราวของเขากระโดง กลับมาเป็นประเด็นร้อนแรงอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2568

เมื่อ "ภูมิธรรม เวชยชัย" แกนนำพรรคเพื่อไทย เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีอำนาจกำกับดูแลกรมที่ดิน และสั่งให้มีการตรวจสอบคดีเขากระโดง อีกครั้งอย่างเร่งด่วน

การเปลี่ยนมือรัฐมนตรีครั้งนี้ถูกมองว่า เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง ทิศทางการแก้ไขปัญหา ซึ่งก่อนหน้านี้ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ "อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

ภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ คณะกรรมการชุดใหม่ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบกรณีนี้ ก็มีมติอย่างรวดเร็วว่า ที่ดินเขากระโดงเป็นของรัฐ และประกาศ "เพิกถอนโฉนดที่ดิน" ทั้งหมด

ซึ่งคำสั่งนี้สร้างความประหลาดใจ และตกใจให้กับหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชน "ผู้ถือครองที่ดิน" ที่เชื่อว่าตนเองมีสิทธิโดยชอบธรรม

การที่คำสั่งของ คณะกรรมการชุดใหม่ที่ตั้งขึ้นมา นอกเหนือจากกระบวนการปกติ และใช้เวลาพิจารณาเพียง 8 วัน กลับสามารถลบล้างมติ ของคณะกรรมการชุดก่อนหน้า ที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งศาลปกครอง

และดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดิน อย่างกะทันหัน ทำให้เกิดคำถามใหญ่ตามมาว่า… การตัดสินใจครั้งนี้ อยู่บนพื้นฐานของ "กฎหมาย" หรือ "การเมือง" กันแน่?

การออกมาแถลงของภูมิธรรม ที่อ้างถึงคำพิพากษาศาล และแผนที่ ที่ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อยืนยันว่า ที่ดินเป็นของรัฐโดยชอบธรรม ดูเหมือนจะเป็นการปิดฉากข้อพิพาทนี้ อย่างเด็ดขาด

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายประชาชนผู้ถือครองที่ดิน ก็ออกมาตอบโต้ทันที โดยทนายความของประชาชนชี้แจงว่า ไม่มีพระราชกฤษฎีกา หรือแผนที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ที่รับรองกรรมสิทธิ์ของ รฟท. อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

และหลักฐานที่ รฟท. นำมาอ้างก็เป็นเพียง "แผนที่สำรวจชั่วคราว" เท่านั้น ไม่ใช่แผนที่ ที่ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย อย่างเป็นทางการ

ประเด็นนี้ ทำให้เห็นความขัดแย้งที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ระหว่างประชาชนกับรัฐ แต่ยังเป็นการขัดแย้งระหว่าง "หลักฐานทางกฎหมาย" ที่แต่ละฝ่ายใช้ยืนยันสิทธิของตนเอง

ที่น่าเศร้าที่สุดคือ ประชาชนตัวเล็ก ๆ ที่เคยเชื่อมั่นในกระบวนการของรัฐ กลับต้องตกเป็นเหยื่อของเกมอำนาจ ที่มองไม่เห็น

ผู้คนจำนวนมาก ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มานานกว่าครึ่งศตวรรษ ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในชีวิต และไม่รู้ว่าวันข้างหน้า จะย้ายไปอยู่ที่ไหน ถ้าที่ดินที่เป็นเหมือนบ้านและที่ทำกิน ถูกรัฐยึดคืนไป

ทางออกที่ “ไร้คำตอบ” วิกฤตศรัทธาในรัฐไทย เรื่องราวของเขากระโดง มาถึงจุดที่สังคม ต้องตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า…

“บทบาทของรัฐ ในการดูแลประชาชนอยู่ที่ไหน?” เมื่อหน่วยงานรัฐอย่างกรมที่ดินและ รฟท. มีความขัดแย้งกันเอง ในเรื่องหลักฐานและข้อกฎหมาย จนไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ และปล่อยให้ประชาชนต้องรับผลกระทบ จากความสับสนเหล่านั้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การที่กรมที่ดิน ซึ่งควรจะเป็นหน่วยงานที่สร้างความมั่นคง ในสิทธิที่ดินให้กับประชาชน กลับกลายเป็นต้นตอของความสับสน และเป็นเครื่องมือทางการเมืองในท้ายที่สุด ทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชน ที่มีต่อระบบราชการ ลดลงอย่างน่าใจหาย

คำถามที่สำคัญกว่าการหาว่า "ใครถูกใครผิด" คือ “ทางออกที่ชอบธรรม และเป็นธรรมที่สุดคืออะไร?” การเพิกถอนโฉนดที่ดินของประชาชนกว่า 900 ครัวเรือน ในทันที อาจเป็นการแก้ไขปัญหาที่รวดเร็วสำหรับรัฐ

แต่เป็นการทำลายชีวิต ของคนจำนวนมากที่บริสุทธิ์ และถือครองที่ดินอย่างสุจริตมาตลอดชีวิต

การกระทำเช่นนี้ สอดคล้องกับหลักการของ "รัฐที่เป็นธรรม" จริงหรือ? หรือเพียงแค่เป็นการใช้อำนาจ เพื่อแก้ไขปัญหาตามที่รัฐต้องการ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน?

เรื่องราวของเขากระโดง จึงไม่ใช่แค่บทอวสาน ของข้อพิพาทเรื่องที่ดิน หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตศรัทธา ที่ฝังลึกและขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ

ผู้คนเริ่มตั้งคำถาม ถึงความชอบธรรมของกฎหมาย ที่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้ได้ เมื่อหลักฐานของรัฐขาดความน่าเชื่อถือ และเมื่ออำนาจทางการเมือง เข้ามามีบทบาทเหนืออำนาจทางกฎหมายแล้ว… แล้วประชาชนอย่างเรา จะเหลืออะไร?

นี่คือสิ่งที่รัฐบาล ต้องกลับมาทบทวนอย่างจริงจัง เพราะการแก้ไขปัญหาเขากระโดง อย่างไม่เป็นธรรม อาจเป็นการจุดชนวนระเบิดลูกใหม่ ที่สร้างความแตกร้าวในสังคมไทย ให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต…
- .. ..... -....- -.... ....- ----- .----

⠙⠗⠲⠏⠕⠍⠀⠊⠎⠕⠉

✍️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091150 ส.ค. 2568

ที่ดินเขากระโดง # เขากระโดง # รฟท # กรมที่ดิน # บุรีรัมย์ # การเมือง # ข้อพิพาทที่ดิน # รัฐไทย # รัฐบาลเพื่อไทย # สิทธิประชาชน

ที่อยู่

บริษัทเอไอไฟว์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (สำนักงานใหญ่) 157/1193 หมู่ที่ 6 ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง
Changwat Si Sa Ket
33000

เบอร์โทรศัพท์

+66830030110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaketผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ข่าวศรีสะเกษ - Khaosisaket:

แชร์

เรื่องราวของเรา

นำเสนอประเด็นสำคัญ ละเว้นเนื้อหาอันเยิ่นเย้อ