
14/05/2025
Actor's Toolkit
#10 Radiate / Receive (RR)
Radiate (การแผ่) และ Receive (การรับ) เป็นคอนเซปต์ของ ไมเคิล เชคอฟ อัจฉริยทางการแสดงที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยของเขา คอนเซปต์อีกอันที่เป็นชื่อเสียงของเขาคือ “ไซคอลอจิคัล เจสเช่อะ” (Psychological Gesture) แปลไทยแบบเว่อ ๆ ตามสไตล์ผมคือ “อิริยาบททางจิต” ที่คงมีโอกาสได้เล่าให้ฟังต่อไป ซึ่งคอนเซปต์นั้น (Psy..Ge.. - PG) ก็มีความเชื่อมโยงกับ RR นี้ดวย ในแง่ที่เป็นกิจกรรมทางใจผสมผสานกับกายเหมือนกัน
เมื่อพูดถึงการแผ่ radiate ของอะไรก็ตาม ลักษณะอาการของมันอาจถูกทำให้เป็นภาพพจน์ที่ชัดเจน ด้วยอุปมาการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ ที่ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนว่าเป็นกิริยาของ วัตถุบางอย่าง (ดวงอาทิตย์) และมีสิ่งที่กำลังเดินทางออกมาจากตำแหน่งของมัน (พลังงานความร้อน - แสง)
Mala Powers อธิบายไว้ใน On the Technique of Acting (1991 : xli) ว่า “การแผ่คือการกระทำของเจตจำนง” (Radiating is an activity of your will) — … เป็นความสามารถในการส่งออก “สารัตถะที่ไร้รูป” (invisible essence) ออกมา เช่น อารมณ์ หรือ ความคิดปรารถนาอะไรบางอย่าง ในแง่นี้ทำให้เห็นว่านักแสดงสามารถกระทำการแผ่ด้วยการอยู่กับความจำนงอะไรบางอย่างบนเวทีอย่างต่อเนื่อง เช่น นางมามีเจตจำนงอยากเข้ามากอดนายมี แม้กายหยาบนางมาจะม่ได้ทำบิสสิเนสอย่างที่เจตจำนงกำลังคิด เช่น ชงกาแฟหรือนั่งอ่านหนังสืออยู่ แต่การอยากของตัวละครสามารถแผ่ออกมาในกาลอวกาศ (space-time) ได้
ตัวอย่างที่คุ้นเคยกันดีในชีวิตประจำวันคือ “รังสีอำมหิต” ที่ใคร ๆ ก็แผ่ได้ 555 อย่างไรก็ตาม รังสีเหล่านี้มันก็อาจเป็นสิ่งที่รับได้จากการสังเกต เป็นเพียงแค่กิริยาท่าทางภายนอกบวกกับการรับรู้ของอีกฝ่ายตีความพฤติกรรมตามธรรมชาติ (เงียบ ตาแข็ง เคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติ)
หากมองพูดในทางพุทธศาสนา การแผ่ที่เป็นกิริยาของเจตจำนง ก็คือ “ มโนกรรม” นั่นเอง หากมองในแง่นี้ไม่ว่ามันจะมีแสง รังสี หรือความร้อนอะไรแผ่ออกมาจริง ๆ ไหม แต่การหวังให้ใครสักคนร้อนรนอยู่ไม่ได้ ตัวมโนกรรมที่มองไม่เห็นนี้ก็ได้ลากเส้นและวางเงื่อนไข (conditioning) ในความสัมพันธ์ที่จะนำไปสู่พรฤติกรรมของเราในอนาคตไว้เรียบร้อย
ตรงข้ามกับการแผ่ เราก็สามารถรู้สึก (รับ-recieve) ถึงเจตนาของใครสักคนในบาสถานการณ์ได้ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้พูดบอกตรง ๆ
ในอีกมุมหนึ่งบรรดาผู้ศึกษาเชคอฟรุ่นหลังมีข้อสังเกตเพิ่มเติม เกี่ยวกับการแผ่และการรับว่าเป็นความพยายามที่จะแปลงคุณลักษณะที่อิงแอบกับการเรียกชื่ออารมณ์ตรง ๆ เช่น สุข เศร้า ปลิ้ม รำคาญ ฯลฯ เป็นคุณลักษณะทางกายภาพแทน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าหากเราพูดถึงอารมณ์หรือความรู้สึกต่อสิ่งใดโดยการใช้ภาษาเรียกชื่อมันตรง ๆ นั้น จะมีทัศนะคติ (attitude) ในดีกรีที่เป็น บวก หรือ ลบ ติดมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ฉะนั้นเมื่อเราใช้การทำ “ให้เป็นภาพ” (visualize) แทนการ “นิยาม” (definition) มันก็ยังมีพื้นที่ว่างของการเป็น “แค่ภาพอันนั้น” หรือ “เป็นเช่นนั้น” อยู่นั่นเอง
สำหรับการแผ่และรับ ลองพิจารณาจาก 3 ประเด็นนี้เพิ่มในการฝึกก็ได้ครับ
1. แผ่นามธรรมอะไร -- เช่น พลังงาน ความนึกคิด อารมณ์ ความรู้สึก ความรัก ความปรารถนาดี ความแค้น ความเหงา ฯลฯ
2. แผ่ให้ใคร -- ตัวละครใดตัวละครหนึ่งโดยเฉพาะ ที่อยู่ร่วมพื้นที่ หรืออาจไม่ได้อยู่ในที่เดียวกัน หรืออาจแผ่ให้สัตว์ สิ่งของ ในทางตรงกันข้าม คน สัตว์ สิ่งของก็อาจจะ radiate อะไรออกมาถึงเราอยู่ ลองเปิดใจรับสิ่เหล่านั้น
3. ตัวกลางคืออะไร -- การพิจารณาตัวกลางจะช่่วยสร้างรายละเอียดในอีกประเด็นคือการรู้สึกถึง “บรรยากาศ” (Atmosphere) นั่นเอง รวมถึงระยะห่างระหว่างเรากับวัตถุที่แผ่ / ตัวกลางคืออะไร เป็นตัวกลางที่ดี ที่เฉย ๆ หรือขัดขวาง
การแผ่นี้จริง ๆ ในสังคมไทยเราคุ้นเคยอยู่แล้วครับ “สัพเพสัตตา สัต์ทั้งหลาย …” ก่อนเลิกเรียนทุกวันนั่นเอง ซึ่งเพื่อคนไหนที่แผ่เมตตาจริง ๆ หรือแผ่ความง่วงออกมา เราก็รู้สึกได้นะ :)
อ้างอิง
Michael Chekhov (1993) On the Technique of Acting. HarperCollins.