26/08/2025
ความโชคดีของประเทศไทย ทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในการเกษตรกรรม
ถ้ามองแผนที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสมือน “สนามพลังงานของลมฟ้าอากาศ” ไทยอยู่ในตำแหน่งที่พอดีอย่างน่าทึ่ง—รับความชุ่มชื้นมาก แต่หลบคมลมพายุได้บ่อยครั้ง นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือผลรวมของภูมิศาสตร์ ภูเขา และทะเลที่จัดวางกันอย่างลงตัว
พายุเกิดอย่างไร และพาอะไรติดตัวมา
พายุหมุนเขตร้อน (ดีเปรสชัน–พายุโซนร้อน–ไต้ฝุ่น) ใช้ “เชื้อเพลิง” จากน้ำทะเลอุ่นจัด (ราว 26.5°C ขึ้นไป) ไอน้ำที่ยกตัวกลายเป็นฝนปล่อยพลังงานความร้อนแฝงให้ระบบยิ่งแรงขึ้น เส้นทางหลักของพายุในภูมิภาคเราคือเกิดแถวมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก เคลื่อนตัวมาทางตะวันตก–ตะวันตกเฉียงเหนือ ขึ้นฝั่ง ฟิลิปปินส์ เป็นด่านแรก แล้วลงสู่ ทะเลจีนใต้ สะสมกำลังต่อ ก่อนเล็งขึ้นฝั่ง เวียดนาม หรือ จีนตอนใต้
กฎเหล็กง่ายๆ: พายุรักทะเลอุ่นและเกลียดผืนดิน—โดยเฉพาะดินที่เป็นภูเขาสูงชัน
“กำแพงอันนัม” ตัวหักแรงพายุ
แนว เทือกเขาอันนัม (Truong Son/Annamite Range) พาดยาวราว 1,100 กม. ตามแนวชายแดนเวียดนาม–ลาว–กัมพูชาตอนเหนือ มียอดสูงจำนวนมาก โดยจุดสูงสุดคือ ภูเบี้ย (Phou Bia) สูง ~2,819 ม. เมื่อพายุจากทะเลจีนใต้ขึ้นฝั่งเวียดนามและปะทะเทือกเขาอันนัม จะเกิด 3 อย่างพร้อมกัน:
- พลังงานขาดตอน – หลุดจากทะเลอุ่น จึงหยุดดูดเชื้อเพลิง
- แรงเสียดทานเพิ่มขึ้น – โครงสร้างลมหมุนแตกฟองสูญเสียความเป็นระเบียบ
- ยกตัว–เทฝนฝั่งตะวันออก – ลมถูกยกตัวบนไหล่เขา ทำให้ฝนตกหนักฝั่งเวียดนาม ขณะมาถึงสปป.ลาว/กัมพูชา–ไทย กำลังลมจึงอ่อนลงมาก
ผลลัพธ์คือ พายุส่วนใหญ่ ลดระดับเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ/ดีเปรสชัน ก่อนถึงไทย ทำให้ไทยอยู่ “หลังเขา” ได้รับ ฝนชุ่มฉ่ำ มากกว่าความเร็วลมทำลายล้าง—นับเป็นโบนัสทางภูมิศาสตร์อย่างแท้จริง
ทำไมไทยจึงมัก “ปลอดลม แต่ได้ฝน”
ด้านลมอ่อนลง: โครงสร้างพายุแตกเมื่อข้ามภูเขา จึงเหลือเพียงลมกระโชกเป็นหย่อมๆ
ด้านน้ำเด่นขึ้น: ไอน้ำจำนวนมากยังคงอยู่ เมื่อไหลบ่าผ่านที่ราบไทยจะเทฝนต่อเนื่อง หล่อเลี้ยง ร่องมรสุม และแหล่งเกษตรกรรม ตั้งแต่โคราช–อีสานล่าง จนถึงลุ่มเจ้าพระยา
บริหารน้ำได้เปรียบ: หากเก็บกักได้ทันท่วงที ฝนพายุคือ “ทุนความชุ่มชื้น” ของทั้งปี
แบ่งโซนผลกระทบแบบเข้าใจง่าย
อีสาน–เหนือ: เจอบ่อยสุดในรูป “ซากพายุ” = ฝนชุก หลายวัน ลมไม่แรงจัด
ภาคกลาง–เจ้าพระยา: รับอิทธิพลผ่านร่องมรสุมและหย่อมความกดต่ำ—ฝนกว้างพื้นที่ เสี่ยงน้ำท่วมขังในเมือง
ภาคตะวันออก: รับฝนจัดเมื่อแนวร่องมรสุมวางตัวทแยง และมีลมทะเลหนุน
ภาคใต้: เป็นกรณีพิเศษ—อิทธิพลมรสุมและพายุจาก อ่าวไทย/อันดามัน ทำให้ยังมีโอกาสเจอ “พายุขึ้นตรง” ได้ โดยเฉพาะ ปลายปี–ต้นปี (เช่นพายุที่เกิดในอ่าวไทยเอง หรือระบบจากอันดามันข้ามคาบสมุทร)
ข้อยกเว้นที่ควรรู้ (เพื่อไม่ประมาท)
แม้กำแพงอันนัมจะหักแรงลมได้มาก แต่ ไทยยังมีความเสี่ยง จากสถานการณ์ต่อไปนี้:
พายุเกิดเองในอ่าวไทย: ไม่ต้องปีนข้ามภูเขา จึงขึ้นฝั่งภาคใต้หรือชายฝั่งตะวันออกได้โดยตรง
พายุฝั่งอันดามัน/อ่าวเบงกอล: หากเส้นทางพาดผ่านคาบสมุทรไทย อาจนำลมแรง–คลื่นสูง–ฝนหนักเข้าภาคใต้ตอนกลาง–ล่าง
พายุช้า–อิ่มน้ำ: แม้ลมไม่แรง แต่ฝน “ตกนาน” ทำให้เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันหรือน้ำหลากได้
ทำเลไทย = บัฟเฟอร์ธรรมชาติ + ห้องเก็บน้ำฟ้า
ภูเขาเป็นโล่ลม (ลดความเร็วลมร้าย)
ที่ราบเป็นอ่างรองรับ (เพิ่มโอกาสเก็บกักน้ำเพื่อเกษตรและอุปโภคบริโภค)
ชายฝั่งยาวสองทะเล (รับความชื้นจากมรสุม ช่วยคงสมดุลน้ำฝน)
กล่าวอีกแบบ ไทยอยู่ใน “โซนชุ่มแต่ไม่ช้ำ” ของภูมิอากาศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหาได้ยาก
อนาคตภายใต้ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
โล่ภูเขายังอยู่ แต่โลกอุ่นขึ้นทำให้ ฝนตกหนักแบบกะจุกกะจิก–สั้นแต่แรง พบถี่ขึ้น เราจึงควรลงทุนใน 4 เรื่องควบคู่ไปกับโชคทางภูมิศาสตร์:
อ่างเก็บน้ำ–แก้มลิงอัจฉริยะ เชื่อมข้อมูลเรดาร์ฝน–คาดการณ์ล่วงหน้า
ผังเมืองซึมน้ำ เพิ่มพื้นที่สีเขียว–คลองระบายน้ำ
เตือนภัยชุมชน ให้เข้าใจความเสี่ยงเฉพาะพื้นที่
เกษตรปรับตัว เลือกพันธุ์พืช–ปฏิทินเพาะปลูกที่สอดคล้องสภาพฝนยุคใหม่
ท้ายที่สุด ในเชิงภูมิศาสตร์ เรา “ดวงดี” เพราะมีทะเลอุ่นให้ความชุ่มชื้น มีภูเขาใหญ่เป็นกำแพงกันลม และมีที่ราบให้กักเก็บน้ำฝน แต่ความโชคดีจะยั่งยืนก็ต่อเมื่อเรา “บริหารจัดการน้ำและความเสี่ยงอย่างรู้เท่าทัน”
ขอขอบคุณบรรพบุรุษไทย ที่เลือก–รักษา–ปกป้องผืนดินอันเหมาะสมนี้ไว้ให้ลูกหลานได้อยู่อย่างปลอดภัยและอุดมสมบูรณ์ และถึงเวลาที่รุ่นเราจะต่อยอดความโชคดีนั้นด้วยวิทยาศาสตร์ การวางผังเมือง และการจัดการน้ำอย่างชาญฉลาดครับ.