Mind Area Services : บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยา

Mind Area Services : บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยา ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Mind Area Services : บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยา, Chiang Mai.

15/05/2021

ฟังย้อนหลังได้นะครับ

22/03/2021

Trauma บาดแผลทางใจ EP. 2

22/03/2021

Trauma หรือบาดแผลทางใจ EP. 1 นะครับ

คืนนี้นักจิตวิทยาของเราเปิดห้องสำหรับพูดคุยในหัวข้อ “เรื่องนี้ดีต่อใจ by นักจิตฯ” เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนพูดคุยเรื่องที่ด...
05/03/2021

คืนนี้นักจิตวิทยาของเราเปิดห้องสำหรับพูดคุยในหัวข้อ “เรื่องนี้ดีต่อใจ by นักจิตฯ” เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนพูดคุยเรื่องที่ดีต่อใจที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของแต่ละคนหากผู้ติดตามท่านใดสนใจ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนได้เวลา 23.00 น. นะครับ

Link- https://www.joinclubhouse.com/event/xna23LqR

Friday, March 5 at 11:00pm +07 with Pop Up, Boonyavee K., Gain Counselor. มาแลกเปลี่ยนเรื่องราวดีต่อใจซึ่งกันและกัน

หัวข้อ Toxic parenting โดยนักจิตวิทยาของเพจเรานะครับ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ด้วยกันได้ครับ
20/02/2021

หัวข้อ Toxic parenting โดยนักจิตวิทยาของเพจเรานะครับ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ด้วยกันได้ครับ

“RMUTL Counselors Talk” รายการวิทยุที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ผ่านมุมมองของนักจิตวิทยาการปรึกษา ออ...

ข้อคิดดีๆจากหนังครับ มี spoil นะครับ
19/12/2020

ข้อคิดดีๆจากหนังครับ มี spoil นะครับ

เมื่อเรารู้วิธีอยู่กับความเป็นจริงของชีวิต
เราจะเป็นอิสระจากสิ่งที่ครั้งหนึ่งเราเคยไม่ยอมรับ
อยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลง ความพ่ายแพ้ และความสูญเสีย
“อยู่กับความจริงด้วยใจที่มั่นคง”


Wonder Woman 1984 (2020)
เล่าเรื่องราวชีวิตของ “ไดอาน่า ปริ๊นซ์” หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก 66 ปี
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ไดอาน่า ปรับตัวเข้ากับยุคสมัยใหม่ได้อย่างกลมกลืนแล้ว
และเธอยังคงออกช่วยเหลือผู้คนด้วยพลังพิเศษของเธอเสมอ
แต่แล้วภัยร้ายกลับก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ
เมื่อมนุษย์ยุคใหม่มีจุดอ่อนและจุดเปราะบางในใจ
นั่นคือ “ความปรารถนา...ที่อยากได้ไม่สิ้นสุด”
ศัตรูตัวฉกาจคนใหม่จึงหมายเอาจุดเปราะบางนี้มาเล่นงาน
ไดอาน่า ปริ๊นซ์ จะรับมือกับศึกครั้งนี้อย่างไร
และเธอจะกล้าเผชิญกับความเปราะบางในใจตนเองแค่ไหน
“นี่คือเรื่องราวที่เราจะได้รับชม”


จุดสำคัญที่ผมประทับใจในภาพยนตร์เรื่องนี้
เริ่มตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องเลยครับ
ย้อนเหตุการณ์ตั้งแต่ไดอาน่ายังเป็นเด็กน้อย
เธอได้เข้าร่วมการแข่งขันอย่างหนึ่งของบ้านเกิด
ร่วมกับพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์
ที่แต่ละคนล้วนโตเป็นสาวกันหมด
มีเพียงไดอาน่าที่ยังอยู่ในวัยเด็ก
“ต้องฝ่าอุปสรรค...ยิงธนูเก็บแต้ม...ปาหอกให้เข้าเป้าเป็นคนแรกเพื่อชัยชนะ”
ซึ่งเต็มไปด้วยด่านสุดหิน
ที่ท้าทายขีดกำกัดทางร่างกาย
ทั้งพละกำลัง การเคลื่อนไหว การขี่ม้า และความแม่นยำ
เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น
ไดอาน่าสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน
เมื่อเธอขึ้นนำแซงรุ่นพี่ทุกคน เรียกว่านำโด่งไปเลย
แต่ด้วยความเป็นเด็ก ที่ยังขาดความรอบคอบ
ทำให้เธอมัวแต่สนุกกับการหันไปมองคนที่ตามหลังเธอ
“ดีใจเกินไป...จนประมาท”
พอหันมาอีกทีเธอก็ชนเข้ากับต้นไม้จนร่วงตกม้า
ทำให้โดนคนอื่นแซง
และเสียโอกาสในการเก็บแต้มไปหนึ่งจุด
แต่เธอก็พบทางลัดซึ่งทำให้กลับมาขึ้นนำได้อีกครั้ง
จนมาถึงด่านสุดท้าย
“การพุ่งหอกให้เข้าเป้า” เพื่อเป็นผู้ชนะ
ในขณะที่เธอกำลังจะขว้างหอกออกจากมือเพื่อคว้าชัยชนะ
“เกือบจะชนะอยู่แล้ว!!!”
เธอก็ถูกคว้าตัวเอาไว้ พร้อมได้รับบทเรียนสำคัญว่า
“เธอขี้โกง...เธอใช้ทางลัด”
“ชัยชนะที่มาพร้อมกับการหลอกลวง”
“เหตุที่เธอปราชัย...ก็เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะชนะ”
เล่นเอาไดอาน่าผิดหวังอย่างแรง
และงอแงตามประสาเด็กน้อย
ผมชอบฉากนี้มากครับ
(จนแอบรู้สึกว่า นี่คือฉากที่โคตรดีที่สุดของหนังเรื่องนี้เลย 555)
ส่วนเรื่องราวอื่น ๆ ก็ได้ชวนให้เรากลับมาถามตัวเองว่า
“เราหนีความจริงอยู่หรือไม่...เราหลอกตัวเองอยู่หรือไม่”
ซึ่งคำถามเหล่านี้ในวิชาชีพนักจิตฯอย่างผม
เป็นจุดสำคัญในการพาผู้รับบริการกลับมาเผชิญความจริงครับ
เพื่อเติบโตขึ้นจากบาดแผล และเป็นอิสระจากอดีตที่คอยฉุดรั้งครับ ^^


ข้อคิดจากหนัง
“เมื่อเรารู้วิธีอยู่กับความเป็นจริงของชีวิต...เราจะเป็นอิสระจากสิ่งที่ครั้งหนึ่งเราเคยไม่ยอมรับ”


ตัวละครสำคัญในเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นตัวของไดอาน่า
หรือว่าจะเป็นตัวร้าย
“ล้วนมีเงื่อนปมในใจ...ที่ตนเองยังไม่กล้าเผชิญ”
ไม่ว่าจะเป็นความสูญเสีย
ความพ่ายแพ้
ความล้มเหลว
หรือแม้กระทั่งความตาย
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความจริงอย่างหนึ่งของชีวิต
ที่ไม่มีใครสามารถหนีพ้นไปได้
“เป็นความจริงของชีวิต”
หากเราต้อนรับความจริงของชีวิตด้วยการหนี
หากเราต้อนรับฤดูกาลใหม่ของชีวิตด้วยการปฏิเสธ
ผลที่ตามมาย่อมเป็นความกดดัน ไม่พอใจ ผิดหวัง เบื่อหน่าย เศร้าซึม
ปรากฏการณ์ทางใจที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนเหล่านี้
ล้วนแสดงให้เราได้เห็นว่า
“ความจริงไม่ใช่ปัญหา...แต่ปัญหามาจากการไม่ยอมรับความจริง”
เช่น
-ความตายเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว แต่เราไม่อยากให้เค้าตาย
-ความพลัดพรากจากคนรัก แต่เราไม่อยากจากลา
-ความผิดพลาดจากการงาน แต่เราไม่อยากล้มเหลว
“คำว่า...ไม่อยาก”
จึงเป็นตัวแทนของการหลบหนีและปฏิเสธความจริง
“ความจริง เกิดขึ้น เมื่อปัจจัยทุกอย่างพอเหมาะ”
ความจริงจึงไม่เคยสนใจว่า เราพร้อมจะรับเพียงใด
และไม่สนใจว่า เราเตรียมตัวมาดีแค่ไหน
“เกิด เมื่อเกิด... เจอ เมื่อเจอ...จาก เมื่อจาก”
ความจริงจึงเป็นสิ่งที่ชัดเจนและซื่อตรงอย่างยิ่ง
หน้าที่ของเราจึงไม่ใช่การต่อต้าน
“แต่เป็นการรู้จักต้อนรับ เปิดใจ และหาทางปรับตัวให้เข้ากับความจริง”


#รีวิวหนัง
#ข้อคิดจากหนัง

เพราะโลกนี้ไม่ได้ต้องการแค่คนเก่ง จากการดำเนินชีวิตในสังคม มนุษย์ถูกบ่มเพาะให้กลายเป็นคนที่เก่งขึ้นและเก่งขึ้น ไม่ว่าจะเ...
18/11/2020

เพราะโลกนี้ไม่ได้ต้องการแค่คนเก่ง
จากการดำเนินชีวิตในสังคม มนุษย์ถูกบ่มเพาะให้กลายเป็นคนที่เก่งขึ้นและเก่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถูกสอนโดยตรงหรือถูกสอนโดยอ้อม โดยการเรียนรู้ทางตรงหมายถึง การเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง เช่น การโดนน้ำร้อนลวก การโดนครูตี ส่วนการเรียนรู้ทางอ้อมหมายถึง การเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตนเอง เช่น การเห็นเพื่อนทำพฤติกรรมบางอย่างแล้วถูกครูตี การดูจากข่าว Facebook Twitter Youtube หนังสือ ประสบการณ์ที่คนอื่นพูดให้ฟัง หากเป็นบริบทในห้องเรียน เด็กที่เก่งจะเป็นเด็กที่มักจะได้รางวัลอะไรบางอย่างและเด็กที่ไม่เก่งจะถูกลงโทษ เด็กที่เก่งมักจะมีทางเลือกมากกว่าเด็กที่ไม่เก่ง และระบบการศึกษาของเราจะมีกระบวนการแบ่งแยกนักเรียนสองกลุ่มนี้ด้วยคะแนนสอบ ซึ่งคะแนนสอบหรือเกรดเฉลี่ยนี้เองก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะกำหนดอนาคตของชีวิตเด็กคนนั้นได้

แต่ในชีวิตจริงของมนุษย์คนหนึ่งประกอบไปด้วยหลากหลายมิติ เช่น ความฉลาดทางด้านอารมณ์(EQ) ความฉลาดทางด้านจริยธรรม(MQ) ความฉลาดทางด้านสุขภาพ(HQ) ความฉลาดทางสังคม(SQ) ฯลฯ เราไม่จำเป็นจะต้องเรียนเก่งแต่เราก็สามารถที่จะเอาชีวิตรอดในสังคมนี้ได้ เราสามารถมีทางเลือกในการดำเนินชีวิตได้มากกว่านั้น สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือแม้ว่าเราจะไม่เก่งเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ใช่คนเก่งด้านอื่น และการที่คนอื่นเก่งกว่าเราไม่ได้แปลว่าเราไม่เก่ง

ประเด็นที่ผมจะพูดถึงวันนี้ก็คือ เรื่อง The Too-Much-Talent Effect เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจที่ถูกตีพิมพ์ในปี 2014 โดยวารสาร Psychological Science ซึ่งความน่าสนใจของงานวิจัยชิ้นนี้ก็คือ ได้ไปสำรวจทีมนักกีฬาเบสบอลโดยสำรวจผลระหว่างความสามารถของผู้เล่นกับความสามารถของทีม ซึ่งการใส่จำนวนคนเก่งเข้าไปในทีมจนถึงจุดหนึ่งจะทำให้ทีมมีประสิทธิภาพการเล่นที่ลดลง และยิ่งใส่คนเก่งเข้าไปมากขึ้นทีมก็ยิ่งมีผลงานที่แย่งลง ผลการศึกษามีความขัดแย้งกับความเชื่อที่เป็นสามัญสำนึกโดยทั่วไป เช่น การเอาคนเก่งคนมีความสามารถมารวมตัวกันเพื่อสร้างทีมที่เก่ง การทำงานก็จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็น่าจะออกมาดี

ตัวอย่างเช่น หากผมให้ท่านผู้อ่านใช้จินตนาการสร้างทีมอะไรก็ได้ขึ้นมาหนึ่งทีม ให้เป็นทีมที่ดีที่สุด โดยที่คุณจะเลือกใครก็ได้ให้เข้ามาร่วมทีม คุณจะเลือกใครบ้าง? เพราะอะไร? ผมอยากให้ลองคิดดูเล่น ๆ ก่อนนะครับ เพื่อความสนุกสนานแบบไม่ต้องจริงจังมาก

สิ่งที่ผมเดาก็คือ ถ้าคุณจะสร้างทีมฟุตบอล คุณก็จะเอานักฟุตบอลแนวหน้าจากสโมสรต่าง ๆ มารวมกัน หรือถ้าคุณอยากจะสร้างทีมอะไร คุณก็จะเอาบุคคลที่เป็นดาวเด่นของวงการนั้นมารวมกันเพื่อรวมให้กลายเป็นทีมที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตามงานวิจัยชิ้นนี้ได้บอกกับเราว่า ถ้าคุณเอาคนเก่งหลายคนมาอยู่ในทีมเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานจะแทบไม่ต่างกับทีมที่ให้คนปรกติมารวมกัน หรือเผลอ ๆ ผลลัพธ์ที่ออกมาได้อาจจะแย่กว่าเดิม

มีอีกงานวิจัยหนึ่งของ Anita Williams Woolley และ Thomas Malone ได้ทำการทดลองวัด IQ แบบกลุ่ม ได้สุ่มแบ่งคนออกเป็นหลายกลุ่มและให้แต่ละกลุ่มได้แก้โจทย์ปัญหา ที่ต้องเชาว์ปัญญา การตัดสินใจ และเป็นโจทย์ปัญหาที่ซับซ้อน แต่สิ่งที่พบก็คือ กลุ่มที่สมาชิกแต่ละคนมี IQ เฉลี่ยมากกว่าคนทั่วไปแก้โจทย์ปัญหาได้ไม่มีประสิทธิภาพมากเท่าที่คิด ดังนั้นความฉลาดของบุคคล(individual intelligence) กับความฉลาดของทีม(group intelligence) จึงเป็นคนละเรื่องกัน

ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของทีมมีดังนี้ 1) ทีมจะทำได้ดีหากมีสมาชิกคนหนึ่งของทีมมีความสามารถในการสังเกตอารมณ์(emotional cue) หรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของสมาชิกคนอื่นในทีม การเห็นอกเห็นใจเพื่อนในทีม(empathy) มีบทบาทที่สำคัญมาก 2) กลุ่มที่มีความสามารถในการสื่อสาร แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างอิสระ ทิศทางการสนทนาไม่ถูกกำหนดโดยสมาชิกไม่กี่คนของกลุ่ม เพราะจะทำให้เกิดบทสนทนาที่มีประสิทธิภาพทั้งในการพูด การรับฟัง นั่งจะก่อให้เกิดความหลากหลายทางความคิดเกิดขึ้น 3) กลุ่มที่มีผู้หญิงมากกว่าจะมี IQ โดยรวมมากกว่า

สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อสารออกมาในบทความนี้ก็คือ สำหรับคนที่รู้สึกหรือรับรู้ว่าตนเองไม่เก่งนั้น จริง ๆ แล้วความไม่เก่งของคุณมีคุณค่ามากกว่าที่คุณคิด หลาย ๆ ปัญหาอาจจะถูกแก้ไขได้ด้วยวิธีการเรียบง่าย เพราะบางเรื่องเป็นเรื่องที่คนเก่งก็ไม่ตระหนักหรือเข้าใจมุมมองเหล่านี้ จงภูมิใจในสิ่งที่ตนเองเป็น ไม่สำคัญว่าใครจะเห็นความสามารถของเราหรือป่าวแต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เราเห็นหรือป่าวว่าเรามีความสามารถอะไรบ้างที่คนอื่นไม่เห็น และในความธรรมดาก็มีความพิเศษในตัวมันเองซ่อนอยู่เช่นกัน หากใครหรือองค์กรใดต้องการผู้เชี่ยวชาญในการค้นหา หรือเพิ่มพูนศักยภาพของแต่ละบุคคลสามารถติดต่อมาทางเพจเราได้เช่นกัน เรามีบริการทั้งการให้คำปรึกษารายบุคคล และการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคคลในด้านต่างๆ

กอปกฤษฏิ์ ทรายเขียว
นักจิตวิทยา Mind Area Service

อ้างอิง
Swaab, R. I., Schaerer, M., Anicich, E. M., Ronay, R., & Galinsky, A. D., (2014). The too-much-talent effect: Team interdependence determines when more talent is too much versus not enough - Coauthor(s): Psychological Science
https://www.researchgate.net/publication/51453001_What_makes_a_team_smarter_More_women
Barabasi, A. (2018). Formula: The Universal Laws of Success. Little Brown & Company.

ขอบคุณภาพจาก befitglitz.com

มีบริการดีๆมาฝากลูกเพจทุกคนนะครับ หากใครสนใจติดต่อที่ลิงค์ https://sanjai.ichurch.cc ได้เลยครับ ไม่เสียค่าบริการ
18/11/2020

มีบริการดีๆมาฝากลูกเพจทุกคนนะครับ หากใครสนใจติดต่อที่ลิงค์ https://sanjai.ichurch.cc ได้เลยครับ ไม่เสียค่าบริการ

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสได้พูดคุยเกี่ยวกับความฝันกับเพื่อนคนหนึ่ง ในวันนี้ผมจึงขออนุญาตนำเรื่องของเขามาแบ่งปันให้กับ...
15/10/2020

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสได้พูดคุยเกี่ยวกับความฝันกับเพื่อนคนหนึ่ง ในวันนี้ผมจึงขออนุญาตนำเรื่องของเขามาแบ่งปันให้กับทุกท่านได้อ่าน ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับความฝันสักหน่อย ความฝันเป็นพื้นที่เสมือนกระเพาะอาหารของจิตใจ หนึ่งในหน้าที่สำคัญของการฝันคือการ “ย่อย” ประสบการณ์ทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน วันนี้ Mind area service จะชวนผู้อ่านทุกท่านมาสำรวจประสบการณ์แห่งความฝันไปด้วยกัน
​**หมายเหตุ ขออนุญาตเปลี่ยนคำว่า “กู” ในบทสนทนาเป็นคำว่า “ผม” เพื่อความสุภาพ

เจ้าของความฝันเล่าว่า “ฝันนี้เป็นฝันที่จำได้และตั้งใจมากที่จะจำมาเล่าให้ฟัง ในความฝัน ผมเห็นภาพตัวเอง (เป็นมุมมองเหมือนคนดูหนังที่มีตัวเองเป็นตัวละคร : Third person point of view: มุมมองบุคคลที่สาม) กำลังอยู่ในสถานการณ์เหมือนกับว่ามีเอเลี่ยนมาบุก หรืออะไรสักอย่างที่แปลกประหลาดมาบุกโลก โดยพวกมันจะทำการล้างสมองโดยการฉีดเลือดของพวกมันให้กับผู้อื่น ใครที่ถูกฉีดเลือดเข้าไปก็จะกลายเป็นพวกมัน แต่คนที่ถูกฉีดเลือดเข้าไปเขาดูเข้ากันได้ดี ตะโกนเฮฮา”

​“แล้วยังไงต่อ” ผมถามด้วยท่าทีที่แสดงความสนใจ

เจ้าของความฝันเล่าต่อว่า “ผมเห็นตัวเองกำลังถูกเอเลี่ยนเอาเข็มฉีดยามาฉีดใส่สมองผมทางด้านหน้า ตรงกลางหน้าผาก แล้วเหมือนผมกำลังจะเคลิ้มเปลี่ยนไปตามพวกมัน แต่ก็รู้ตัวว่าผมไม่อยากเป็นแบบนั้น แล้วก็รู้สึกคลื่นไส้ เลยไปอ้วกออกมา อ้วกเป็นเลือด หลังจากนั้นก็ตื่นจากความฝัน”

เมื่อได้ฟังเนื้อหาของการฝันทำให้ผมนึกถึงการวิเคราะห์ความฝันตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ซึ่งนักจิตวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Sigmund Freud และ Carl Jung มักใช้การวิเคราะห์ความฝันร่วมกับการทำความเข้าใจโลกแห่งจิตไร้สำนึกของผู้รับบริการ ดังคำกล่าวของ Sigmund Freud ที่ว่า Dream are the royal road to Unconscious ซึ่งจากฝันนี้ผมมีความเห็นว่า “เอเลี่ยนน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งแปลกปลอม และเมื่อพูดถึงการฉีดยาโดยทั่วไปแล้วจะนึกถึงการรักษาเยียวยาที่รวดเร็วและได้ผลมากกว่าการกินยา ดังนั้นการถูกฉีดยาบริเวณกลางหน้าผากเข้าไปในสมองอาจเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิด ทัศนคติ อย่างทันทีทันใด หรือเป็นสัญลักษณ์ของการหยั่งรู้ (Intuition) และการอาเจียนอาจเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิเสธ หรือความไม่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป”

​“ก่อนหน้านั้นมีรุ่นพี่คนนึงที่ไม่ได้คุยกันมานานมาก 4-5 ปี ได้โทรมาหา” เจ้าของความฝันพูดขึ้นมาเหมือนรู้ว่าผมจะถามอะไรต่อไป

​“เขาดูเป็นนักปรัชญาหน่อยๆ พี่เขาโทรมาถามผมเกี่ยวกับเรื่องการวางแผนการมีครอบครัว พี่คนนั้นก็บอกผมว่าถ้าจะเลือกก็เลือกให้ดี ถ้าไม่โอเคก็คงต้องปล่อยไป เพราะถ้าปล่อยไปตอนนี้จะมีคนเสียใจแค่ 1 คน แต่ถ้าแต่งงานกันแล้วไปไม่รอด คนที่เสียจะเพิ่มมาอีกกลุ่มนึงคือคนในครอบครัวของเค้า(ครอบครัวฝ่ายหญิง) ยิ่งมีลูกยิ่งหนักเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพี่เค้าโทรมาคุยเรื่องนี้ตอนนี้ พี่เขามาถูกเวลาในตอนที่ผมกำลังคิดไม่ตกกับเรื่องการวางแผนการมีครอบครัวของตัวเอง”

​“รู้สึกอย่างไรบ้างกับสิ่งที่ได้ยินจากพี่คนนั้น” ผมถามต่อ

​“คำพูดของพี่เค้าทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ(มากขึ้น) กับสถานการณ์ชีวิตของตัวเองในตอนนี้ เพราะเหมือนมันเป็นเรื่องที่ผมคิดถึงมันอยู่ตลอดในช่วงนี้ แต่ไม่ได้มีเวลาได้คิดอย่างละเอียดกับมันเลย หลังจากคุยกับพี่คนนั้นเสร็จผมรู้สึกว่าความคิดบางอย่างของผมเปลี่ยนไป พอคุยกับพี่เค้าเสร็จก็ฝันเลย”

​“เมื่อนำเรื่องราวประกอบกับเนื้อหาของการฝันจะเห็นได้ว่าเอเลี่ยนอาจหมายถึง รุ่นพี่ที่ไม่ได้คุยกันมานาน 4-5 ปี โทรมาหาแล้วพูดคุยเรื่องที่เจ้าของฝันกำลังกังวลใจอยู่ การถูกฉีดยาจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ หรือความคิดอย่างรวดเร็ว(เหมือนจะเร็วเกินไปจนตั้งตัวไม่ทัน) ดังนั้นเป็นไปได้ว่าการอาเจียนในฝันคือการพยายามจัดการกับความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง” ผมสะท้อนความคิดเห็นนี้ไปแล้วถามว่า “คุณคิดอย่างไรบ้าง”

​“สงสัยผมคงต้องทำอะไรบางอย่างกับเรื่องนี้” เจ้าของความฝันถอนหายใจ และพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมสีหน้าที่ดูกังวล

ผมจึงตอบกลับไปว่า “หรือบางทีสำหรับเรื่องนี้ คุณควรทำอะไรบางอย่างมาตั้งนานแล้ว คุณคิดว่าอย่างไร”

​“ก็จริง....... ควรทำอะไรซักอย่างมาตั้งนานแล้ว” เขาตอบ​

สัญลักษณ์ในความฝันมีหลากหลายความหมายไม่มีการวิเคราะห์ฝันใดที่ถูกต้อง 100% โดยทั่วไปแล้วนักจิตวิทยาจะวิเคราะห์ความฝัน หรือสัญลักษณ์ต่างๆโดยอิงบริบท หรือประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ฝัน และผู้ที่วิเคราะห์ความฝันได้อย่างแม่นยำที่สุดคือเจ้าของความฝันเองไม่ใช่นักจิตวิทยา ส่วนความคิดเห็นหรือการวิเคราะห์จากนักจิตวิทยาเป็นเพียงอีกทางเลือกหนึ่งในการทำความเข้าใจของฝันของบุคคลนั้นๆ และเป็นเครื่องมือที่จะนำผู้รับบริการไปสู่การเปลี่ยนแปลง

หากใครมีความฝันที่จำได้และอยากเล่าให้เราฟังสามารถ Comment หรือส่งข้อความมาใน Inbox ของเพจได้เลยนะครับ เพราะความฝันอาจกำลังส่งข้อความเพื่อบอกอะไรบางอย่างจากจิตไร้สำนึกของคุณ หรือหากต้องการรับบริการปรึกษาจากนักจิตวิทยาก็ติดต่อมาได้ใน Inbox ของเพจเช่นกันครับ

กัมพล ใหม่จันทร์ดี นักจิตวิทยา Mind Area Service

ขอบคุณรูปภาพจาก https://fractalenlightenment.com

ขอบคุณภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้เชิญนักจิตวิทยาจาก Mind Area Service ไปบรรยายพิเศษในวิชาเด็กที่มีความต้...
13/10/2020

ขอบคุณภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้เชิญนักจิตวิทยาจาก Mind Area Service ไปบรรยายพิเศษในวิชาเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หัวข้อ Childhood Trauma and Case Formulation ให้กับนักศึกษาจิตวิทยาคลินิค ชั้นปีที่ 4 ในวันที่ 10 ตุลาคม 2563

Mind Area Services ของเราจะเปิดให้บริการอย่างเป็นการทางแล้วนะครับวันที่ 22 กันยายน 2563 ที่จะถึงนี้ครับสำหรับท่านใดที่ยั...
19/09/2020

Mind Area Services ของเราจะเปิดให้บริการอย่างเป็นการทางแล้วนะครับ
วันที่ 22 กันยายน 2563 ที่จะถึงนี้ครับ

สำหรับท่านใดที่ยังไม่รู้จักเพจของเรา
เพจของเราเป็นเพจให้บริการทางด้านการดูแลจิตใจโดยนักจิตวิทยา
ดังนั้นท่านจึงมั่นใจได้ว่าบริการของเราจะมีมาตรฐาน
โดยตั้งอยู่บนหลักจรรยาบรรณวิชาชีพนักจิตวิทยา

โดยเพจของเรามีบริการของดังนี้
-การให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบเจอหน้า (เชียงใหม่เท่านั้น)
-การให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบออนไลน์
การให้การปรึกษาจะคิดอัตราค่าบริการแบบเป็นรายครั้ง
ซึ่งจะให้เวลาครั้งละประมาณ 50 นาที ถึง 90 นาที

โดยมีอัตราค่าบริการดังนี้
การปรึกษาแบบรายบุคคลจะคิดค่าบริการ 800฿/ ครั้ง
การให้การปรึกษาแบบคู่รัก/ครอบครัว ค่าบริการจะอยู่ที่ 1200 ฿/ครั้ง
**ทั้งแบบเจอตัวและออนไลน์จะคิดค่าบริการอัตราเดียวกัน

นอกจากนี้ Mind Area Services ยังมีบริการการจัดอบรมเชิงจิตวิทยา
ตามหลักสูตรของเราเอง และตามรูปแบบที่องค์กรต้องการ
โดยวิทยากรที่มีความสามารถและมีประสบการณ์การจัดอบรม

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยครับ :)

ขอบคุณวิทยาลัยเทคโนโลยีและสหวิทยาการดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ที่ให้เกียรติเชิญวิทยากรจาก Mind Area Service ไปทำกิจกรรม...
17/08/2020

ขอบคุณวิทยาลัยเทคโนโลยีและสหวิทยาการดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ที่ให้เกียรติเชิญวิทยากรจาก Mind Area Service ไปทำกิจกรรมร่วมกับน้องๆนักศึกษา ปวช. ชั้นปีที่ 1 วันที่ผ่านมาถือเป็นวันที่ดีของทีมงาน และหวังว่าน้องๆจะได้สิ่งดีๆจากกิจกรรมของพวกเราครับ

วันนี้มีบทความมาฝากจากหนึ่งในนักจิตวิทยาของ Mind Area Service เชิญผู้อ่านทุกท่านมาเรียนรู้และเเลกเปลี่ยนกันนะครับ เมื่อ ...
03/08/2020

วันนี้มีบทความมาฝากจากหนึ่งในนักจิตวิทยาของ Mind Area Service เชิญผู้อ่านทุกท่านมาเรียนรู้และเเลกเปลี่ยนกันนะครับ

เมื่อ “ความกลัว ปิดกั้น ความรัก”

“ความสัมพันธ์”เป็นสภาวะของการเชื่อมโยง เกื้อกูล และดูแล คล้ายกับการเป็นที่ว่างให้แก่กันและกัน เอื้อเฟื้อให้เกิดการเติบโต “สร้างความสุข”

“ความขัดแย้ง” เป็นสภาวะของสายสัมพันธ์ที่แปรเปลี่ยนไป ซึ่งถูกเจือปนด้วยความคาดหวัง บีบคั้นอีกฝ่ายให้เป็นไปตามความปรารถนาส่วนตัว “ละเลยชีวิตผู้อื่น” ผ่านการปิดกั้น ก้าวก่าย และครอบงำ

เมื่อสายสัมพันธ์เกิดรอยร้าว “จากการไม่เข้าใจกันและกัน” ทั้งการเผลอเข้าไปก้าวก่าย หรือแม้แต่ควบคุมบงการอีกฝ่าย จนส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง ห่างเหินและไม่กล้าเชื่อมโยงกันดังเดิม “ย่อมสร้างจุดเริ่มต้นของการไม่เข้าใจ”

แล้วจะเป็นอย่างไรหากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น “ถูกความกลัวปิดกั้นไว้” จนไม่สามารถสื่อสารกันได้อย่างตรงไปตรงมา ทั้งการปรับความเข้าใจ มอบความห่วงใย หรือแม้แต่การให้อภัยซึ่งกันและกัน

เมื่อขาดความเข้าใจกันและกันอย่างถูกต้องเสียแล้ว แต่ละคนจึงปรับตัวเข้าหากันอย่างฝืดฝืน “ไม่เป็นตัวเอง” ผ่านท่าทีของความกล้า ๆ กลัว ๆ “ซึ่งปิดกั้นสายสัมพันธ์”เพื่อเป็นการปกป้องความรู้สึกของตนเองและคนที่รัก

ทำให้เกิดการคาดเดาเอาเองล่วงหน้ามากมาย เช่น กลัวสร้างความเจ็บปวดให้อีกฝ่ายหากพูดความจริงออกไป กังวลว่าจะถูกตอกย้ำรอยบาดแผลเดิม

เมื่อเป็นเช่นนี้ แต่ละคนจึงเลือกที่จะเก็บซ่อนความในใจเอาไว้ และใช้ชีวิตต่อไปโดยหวังว่า “คนที่เรารักอาจจะเข้าใจและเป็นฝ่ายกลับมาคืนดีกันในสักวัน”

แต่แล้วผลสะท้อนกลับแสดงออกมาในทางตรงกันข้าม ยิ่งฝืน ยิ่งเฝ้ารอ กลับยิ่งไม่เข้าใจกันมากขึ้น และยิ่งสร้างระยะห่างกันมากกว่าเดิม

การถูกความกลัวครอบงำ “บดบังความรักที่แท้จริง” จึงทำให้ต่างฝ่ายไม่สามารถสื่อสาร มอบความเข้าใจ และแสดงความรักต่อกันได้อย่างเต็มที่

“ความกลัว” จึงคล้ายกับกรงขังขนาดใหญ่ที่กักขังหัวใจเอาไว้ ส่งผลให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและเต็มศักยภาพ

การที่จะเป็นอิสระจากความกลัวได้ ล้วนเริ่มมาจากการยอมรับตนเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เต็มใจสบตากับความกลัวอย่างอ่อนโยนโดยไม่หลีกหนี ละเลย หรือต่อต้าน

จิตใจจะมีพื้นที่ว่างมากขึ้น “เมื่อไม่ต้องคอยหลบหนีละเลย และต่อต้านความกลัว” ส่งผลให้สามารถกลับมาเท่าทันตัวเองมากขึ้น มองเห็นสิ่งที่คาดเดาเอาเอง ความคิดที่ปิดกั้นความจริง รวมทั้งพลังแห่งรักซึ่งถูกความกลัวบดบังไว้

เมื่อจิตใจไม่ถูกสิ่งใดมาขวางกั้น “ย่อมทำงานได้อย่างยืดหยุ่นและเป็นอิสระ” ช่วยให้สัมผัสถึงความรัก มอบสายตาแห่งปัจจุบัน สร้างการปรับตัวที่สอดคล้องกับสิ่งสำคัญในชีวิต“ความกลัวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต…ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต”

เกน (พงศ์อำมาตย์ อุเทนสุต)
นักจิตวิทยาการปรึกษา

#ความกลัวปิดกั้นความรัก
#บทเรียนชีวิตจากนักจิตวิทยาการปรึกษา

ขอบคุณภาพจาก pexels.com

ขอขอบคุณภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ไว้วางใจให้นักจิตวิทยาจาก Mind Area services เข้าบรรยายและแลกเปลี่ยนความ...
12/07/2020

ขอขอบคุณภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ไว้วางใจให้นักจิตวิทยาจาก Mind Area services เข้าบรรยายและแลกเปลี่ยนความรู้ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ในหัวข้อ Case Formulation ให้กับนักศึกษาปริญญาโท สาขาจิตวิทยาการปรึกษา และนักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 สาขาจิตวิทยาคลินิค

09/07/2020

Mind Area Talk ep.2
----------
Podcast นี้จะชวนทุกคนมาเรียนรู้บทเรียนจากภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Philosopher's Stone) ผ่านมุมมองของนักจิตวิทยา โดยเราจะมุ่งเน้นการทำความเข้าใจสถานการณ์ที่มีผลกับตัวละครในเรื่อง ทั้งในแง่มุมของความรู้สึกนึกคิด สายสัมพันธ์ บทเรียนที่เกิดขึ้น และการเติบโตของตัวละคร


18/06/2020

Mind Area Talk ep. 1
------------
ขอเริ่มต้นด้วย podcast ของพวกเรา ที่อยากชวนทุกคนมาเรียนรู้บทเรียนจากภาพยนตร์เรื่อง บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้) ผ่านมุมมองของนักจิตวิทยา ผ่านการทำความเข้าใจประสบการณ์ ความรู้สึก ความหมายของพฤติกรรม บทบาทของสมาชิกในครอบครัว และกลไกการป้องกันตัวเองของตัวละครในเรื่อง


แนะนำกลุ่มผู้ก่อตั้งโครงการ Mind Area
12/06/2020

แนะนำกลุ่มผู้ก่อตั้งโครงการ Mind Area

ที่อยู่

Chiang Mai
50300

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Mind Area Services : บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Mind Area Services

Mind Area Services เป็นบริการให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยา โดยเกิดจากการรวมกลุ่มของนักจิตวิทยาการปรึกษา ที่มีความหลากหลายทางวิสัยทัศน์และแนวคิดการทำงาน โดยพวกเรามีเป้าหมายในการเป็นพื้นที่สำหรับให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยา ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์จิตวิทยา และบริการจัดอบรมเชิงจิตวิทยา