ฟีลดีออนไลน์นิวส์

ฟีลดีออนไลน์นิวส์ ข่าวดี สุขภาพดี อารมณ์ดี

🤫 มาเงียบๆ แต่ก๊วนเพียบนะครับ! ⛳️ มันส์ทุกก๊วน ม่วนทุกแก๊ง! กับการแข่งขันกอล์ฟการกุศล สมาคมผู้สื่อข่าวเชียงใหม่ (CM Repo...
18/10/2025

🤫 มาเงียบๆ แต่ก๊วนเพียบนะครับ! ⛳️ มันส์ทุกก๊วน ม่วนทุกแก๊ง! กับการแข่งขันกอล์ฟการกุศล สมาคมผู้สื่อข่าวเชียงใหม่ (CM Reporter Assoc. Golf Charity 2025 Vol.2)

มาร่วมทำบุญและลุ้นถ้วยเกียรติยศจากผู้ใหญ่ในจังหวัดกัน!

📍 สนาม: กัซซัน เลกาซี กอล์ฟ คลับ จ.ลำพูน 🗓 วัน/เวลา: Shot gun start เวลา 12.30 น. วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม 2568

🏆 ถ้วยเกียรติยศสุดยิ่งใหญ่!
Over All Low Gross (OALG):

ถ้วยเกียรติยศ พลโท วรเทพ บุญญะ แม่ทัพภาคที่ 3

🏅 Flight A (ถ้วยเกียรติยศ...):

ชนะเลิศ: ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ (นายทศพล เผื่อนอุดม)

รองฯ 1: นายชัยณรงค์ นันตาสาย ปลัดจังหวัดเชียงใหม่
รองฯ 2: นายอัศนี บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่
🏅 Flight B (ถ้วยเกียรติยศ...):

ชนะเลิศ: พลโทชายแดน กฤษณสุวรรณ แม่ทัพน้อยที่ 3

รองฯ 1: พลตรี ธำรงศักดิ์ บุญทักษ์ ผู้บัญชาการมณฑลหารบกที่ 33

รองฯ 2: นายธันวา ผุดผ่อง ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ส. ภาค 5

🏅 Flight C (ถ้วยเกียรติยศ...):

ชนะเลิศ: พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5

รองฯ 1: พล.ต.ต.ยุทธนา แก่นจันทร์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่

รองฯ 2: พ.ต.อ.สุรชัย เอี่ยมผึ้ง ผู้กำกับการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเชียงใหม่

🏅 Flight D (ถ้วยเกียรติยศ...):

ชนะเลิศ: นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่
รองฯ 1: นายอัฏฐวิชย์ นาควัชระ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 1
รองฯ 2: สมาคมผู้สื่อข่าวเชียงใหม่

💖 Flight Lady (ถ้วยเกียรติยศ...):

ชนะเลิศ: นายวัชรายุธ์ กัววงศ์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่

รองฯ 1: นางสาวพรฤดี พุทธิศรี ประธานสภาเทศบาลนครเชียงใหม่

🎁 รางวัลบู้บี้: ถ้วยรางวัลจาก Singha Corporation

มาร่วมสร้างสีสันและทำบุญไปกับพวกเรานะ! แล้วเจอกันที่สนาม!

#กอล์ฟการกุศล #กอล์ฟเชียงใหม่ #สมาคมผู้สื่อข่าวเชียงใหม่ #กัซซันเลกาซี

"สุนทราภรณ์ 𝗢𝗻 𝗦𝗰𝗿𝗲𝗲𝗻" 🎞️ปรากฎการณ์ความสุขจะกลับมาอีกครั้ง!ครั้งแรกของภาพยนตร์คอนเสิร์ตสุนทราภรณ์.. "สุนทราภรณ์ On Scree...
16/10/2025

"สุนทราภรณ์ 𝗢𝗻 𝗦𝗰𝗿𝗲𝗲𝗻"

🎞️ปรากฎการณ์ความสุขจะกลับมาอีกครั้ง!
ครั้งแรกของภาพยนตร์คอนเสิร์ตสุนทราภรณ์.. "สุนทราภรณ์ On Screen" ภาพยนตร์คอนเสิร์ตสืบสานเพลงสุนทราภรณ์ 2 ที่บทเพลงของสุนทราภรณ์จะมาโลดแล่นอยู่บนจอยักษ์สุดตระการตา รวมถึงฉากที่อาจไม่มีโอกาสได้เห็นที่ไหนมาก่อน
" สัมผัสความสุขในมิติใหม่ ร้อยเรียงเรื่องราวความประทับใจด้วยเทคโนโลยี Remaster บันทึกการแสดงสดผ่านระบบ Digital Cinema Package ความคมชัดในการรับชม พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง และ คำบรรยายภาษาไทยสามารถอ่าน หรือ ร้องตามได้ "
พูดคุยอย่างใกล้ชิดกับ 4 ศิลปินรับเชิญทั้ง “กัน-นภัทร อินทร์ใจเอื้อ” , “นุ-อนุกูล โกมลอุปถัมภ์” , “เตวิชญ์-ชัยธัช ศรีทองใบ” (เตวิชญ์ เพลงเอก) และ “เอิงเอย-ปภาวริญจ์ กำจรเกียรติสกุล” (เอิงเอย เพลงเอก)
พบกันครั้งแรกที่.. จ.เชียงใหม่

📆 วันเสาร์ที่ 𝟮𝟱 ตุลาคม 𝟮𝟱𝟲𝟴
⏱️ รอบฉาย 𝟭𝟰.𝟬𝟬 น.
📍 ณ โรงภาพยนตร์เมเจอร์ เซนทรัลเชียงใหม่แอร์พอร์ต จ.เชียงใหม่
กำหนดรอบฉายเดียวเท่านั้น!


#เล่าขานตำนานเพลงปฐมบท
#เปี่ยมสุขอนุรักษ์เพลงเก่า #สุนทราภรณ์OnScreen #ภาพยนตร์คอนเสิร์ตสุนทราภรณ์
#เมเจอร์เซ็นทรัลเชียงใหม่แอร์พอร์ต #เชียงใหม่

จากมื้ออาหารสู่การรักษ์โลก: ความมั่นคงทางอาหารจากสองมือและหนึ่งจานของทุกคนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงทั...
16/10/2025

จากมื้ออาหารสู่การรักษ์โลก: ความมั่นคงทางอาหารจากสองมือและหนึ่งจานของทุกคน

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงทั่วโลก ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ จากปัจจัยทั้งสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนในเขตร้อนชื้น และความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติที่ยังมีไม่มาก จึงทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะยังไม่มีภัยพิบัติจากธรรมชาติครั้งใหญ่ แต่ประเทศไทยก็ยังประสบกับความร้อนสูง ภูมิอากาศแปรปรวน ฝุ่น PM 2.5 น้ำท่วม โรคและแมลงศัตรูพืช ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ผลผลิตทางการเกษตร และลุกลามสู่วิถีชีวิตของผู้คนโดยไม่รู้ตัว

นอกเหนือจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจัยหนึ่งที่เร่งให้ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมรุนแรงขึ้น คืออุตสาหกรรมต่างๆ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก และย้อนกลับมาทำลายวิถีชีวิตมนุษย์ หนึ่งในนั้นคืออุตสาหกรรมปศุสัตว์ขนาดใหญ่

“โปรตีนจากพืช” วิถีดั้งเดิมเพื่อรับมือโลกร้อน
เมื่อกล่าวถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คนทั่วไปมักจะนึกถึงปัจจัยอย่างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น พลังงานฟอสซิล ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ประมาณ 70% ในสัดส่วนของโลก ขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับที่ 20 ของโลก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรามักจะมองข้ามไป คือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ได้เกิดจากสัดส่วนของภาคพลังงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีระบบเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะการปลูกพืชเพื่อป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าสัดส่วนใหญ่ของการผลิตอาหารมักจะเป็นการปลูกพืชเพื่อให้เป็นอาหารสัตว์ และเราก็บริโภคเนื้อสัตว์เหล่านั้นอีกทอดหนึ่ง โดยไม่เพียงแต่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น การปลูกพืชเพื่อเลี้ยงสัตว์ยังใช้ทั้งพื้นที่และทรัพยากรมากมายตลอดห่วงโซ่การผลิต

กฤษฎา บุญชัย ผู้ประสานงานสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา และ Thai Climate Justice for all กล่าวว่า 1 ใน 3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาจากระบบอาหาร และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในส่วนที่มาจากอาหารมาจากการผลิตโปรตีนสัตว์ ก็ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก

“ถ้าเราเจาะไปที่ภาคเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นอาหารที่เราบริโภคกัน กระบวนการผลิตเนื้อสัตว์เชิงอุตสาหกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 15% ของทั้งโลก และไม่ใช่แค่การเกิดก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น พื้นที่ป่าส่วนมากของโลกสูญเสียไปเพราะอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ เราเสียน้ำไปเยอะ เราต้องเปลี่ยนผืนดินที่มีระบบนิเวศ มีความหลากหลายทางชีวภาพ ความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งไม่ใช่แค่ระบบนิเวศอย่างเดียว ยังรวมถึงเศรษฐกิจของเกษตรกร และสุขภาพของผู้บริโภคด้วย ดังนั้น ปัญหาเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่โยงเป็นลูกโซ่”

นอกจากนี้ กฤษฎายังกล่าวอีกว่า อีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนไทย นั่นคือ PM 2.5 ซึ่งตัวการหนึ่งคือการเผาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ท่ามกลางภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อระบบนิเวศอย่างรุนแรง แนวทางหนึ่งที่กฤษฎามองว่าจะช่วยชะลอผลกระทบต่างๆ และอาจนำไปสู่การฟื้นฟูโลกได้ คือการย้อนกลับไปสู่วิถีดั้งเดิมของมนุษย์ อย่างการบริโภคโปรตีนจากพืช หรือแพลนต์เบสโปรตีน (Plant-based protein)
“ถ้าเป็นโปรตีนจากพืช พืชใช้ที่ดินน้อยกว่ามาก เพราะไม่ต้องปลูกหลายขั้นใช่ไหมครับ ปลูกถั่วเราก็ได้กินถั่ว ปลูกพืชผักเราก็ได้กินผัก ไม่ต้องเอาถั่วหรือพืชผักไปให้หมูให้ไก่กินอีกที ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรอีกเยอะ”

“จะเห็นได้ว่า นอกจากลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรายังประหยัดพื้นที่ในการปลูกพืชได้เยอะมาก มีที่ให้เกษตรกร ให้ประชาชนมีที่ทำกินได้มากขึ้น จะประหยัดได้ขนาดไหนครับ เท่ากับจังหวัดนครราชสีมาทั้งจังหวัด ให้ประชาชนได้มีพื้นที่ให้กับความมั่นคงทางอาหาร ที่ดินทำกิน และมีการปรับตัวกับภูมิอากาศได้อย่างมั่นคง”
นอกจากนี้ ในระดับโลกยังมีความสนใจโปรตีนจากพืชมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง ซึ่งกฤษฎาได้ยกตัวอย่างว่า

“ลอสแองเจลิส นิวยอร์ก มีนโยบายจัดซื้ออาหารพืชเพื่อลดคาร์บอน ภาคประชาสังคมในอังกฤษก็รณรงค์เปิดสภาท้องถิ่นผลักดันนโยบายเรื่องแพลนต์เบส เยอรมนี ฝรั่งเศส ก็มีนโยบายที่ชัดเจน” กฤษฎากล่าว

“เกษตรยั่งยืน” แนวทางเปลี่ยนผ่านสู่โปรตีนจากพืช
ขณะที่กฤษฎามองการเปลี่ยนผ่านจากโปรตีนจากเนื้อสัตว์สู่โปรตีนจากพืชเป็นหนึ่งแนวทางในการรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ พลูเพ็ชร สีเหลืองอ่อน ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก จ.ฉะเชิงเทรา มองว่าโปรตีนจากพืชยังเป็นทางออกสำหรับปัญหาด้านเศรษฐกิจของเกษตรกรไทย เนื่องจากในอดีต ระบบการผลิตขนาดใหญ่บีบให้เกษตรกรต้องพึ่งพาปัจจัยจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เทคโนโลยีการเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก ทว่าสิ่งที่ตามมาคือต้นทุนที่สูง และนำไปสู่ภาระหนี้สิน ตามด้วยการสูญเสียที่ดินทำกิน

“ก่อนหน้านี้เราลงทุนสูง ขายได้ราคาต่ำ แล้วก็ก่อปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนทั้งหมด แต่พอเราหันมาปรับวิถีเกษตรกรรมทางเลือกหรือเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจครัวเรือนและระบบนิเวศ ระบบเกษตรแบบยั่งยืน และฟื้นฟูสุขภาพด้วย อันนี้พิสูจน์ด้วยวิถีการปรับเปลี่ยนของเกษตรกรเอง”

ในฐานะเกษตรกรที่ทำการเกษตรบนวิถีแห่งความยั่งยืน พลูเพ็ชรมองว่าระบบเกษตรยั่งยืนความสอดคล้องกับแนวทางการเปลี่ยนผ่านโปรตีน เพราะไม่เพียงแต่การหันมาปลูกพืชโปรตีน เช่น พืชตระกูลถั่ว เพื่อบริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นวิถีการเกษตรที่ช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย
“ระบบการผลิตแบบนี้จะมีความยืดหยุ่น คือเกษตรกรกังวลมากเกี่ยวกับการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ถ้าเราทำเกษตรยั่งยืนในระบบที่ฟื้นฟูระบบนิเวศ ปลูกพืชผักหลากหลาย เลี้ยงสัตว์ในระบบ และอาศัยลักษณะธรรมชาติดั้งเดิมเป็นตัวตั้งในการผลิต ก็จะทำให้เกิดความยืดหยุ่น สามารถลดความเสี่ยงในการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อม จะเกิดน้ำท่วม ฝนแล้ง อะไรก็ตาม ถ้ามีความหลากหลายหรือสอดคล้องกับระบบนิเวศ มันก็จะได้รับผลกระทบน้อยลง”

นอกจากนี้ พลูเพ็ชรยังเสริมอีกว่า ระบบเกษตรยั่งยืนเป็นการปลูกพืชที่อาศัยระบบนิเวศดั้งเดิม ซึ่งเป็นการปลูกพืชครั้งเดียวแต่ให้ผลผลิตนาน การดูแลไม่ยุ่งยาก ทำให้ประหยัดต้นทุนและแรงงาน ในขณะที่การปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมต้องอาศัยต้นทุนในการผลิตมากกว่าและบ่อยครั้งกว่า อีกทั้งยังไม่ต้องใช้วิธีการเผา จึงไม่ก่อให้เกิดมลพิษ

“สรุปได้ว่า ถ้าเราจะพูดถึงสมดุลโปรตีน นั่นหมายความว่ามันเป็นเรื่องเดียวกับสมดุลสิ่งแวดล้อม คือหันมาให้ความสำคัญกับการบริโภคที่หลากหลาย ตอนหลังเราก็เริ่มรณรงค์ให้กินพืชผักให้มากขึ้น กินเนื้อสัตว์ให้น้อยลงในจานข้าว อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านโปรตีนจำเป็นต้องอาศัยพลังของผู้บริโภคในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง” พลูเพ็ชรกล่าว

บริโภคโปรตีนจากพืชอย่างไรให้ดีต่อร่างกายและดีต่อโลก

แต่ไหนแต่ไรมา เมื่อพูดถึงการบริโภคโปรตีน เรามักจะถูกปลูกฝังว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดี ทั้งยังเต็มไปด้วยธาตุเหล็ก และยังเป็นโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้มากถึง 90 - 100% ขณะที่โปรตีนจากพืชมักจะถูกมองว่าเป็นโปรตีนที่ร่างกายดูดซึมได้ไม่ดีเท่าเนื้อสัตว์ รวมทั้งหลายคนยังมีทัศนคติที่ว่าการบริโภคเนื้อสัตว์นั้นคุ้มค่ากว่าบริโภคพืชผัก จึงทำให้โปรตีนจากพืชไม่ได้รับความนิยมมากนัก

สมิทธิ โชติศรีลือชา นักกำหนดอาหารวิชาชีพ สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในระยะหลังมีการศึกษาจำนวนมากที่ค้นพบว่าว่าการบริโภคโปรตีนจากสัตว์มากเกินไป ทั้งกลุ่มของเนื้อสัตว์แปรรูปและเนื้อแดง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคเบาหวาน อีกทั้งอุตสาหกรรมปศุสัตว์ยังเป็นสาเหตุหนึ่งของการก่อมลพิษ ดังนั้น ปัจจุบันจึงมีคำแนะนำในการจัดอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของแต่ละคน โดยที่ได้จุดคุ้มทุนทางสิ่งแวดล้อม กล่าวคือ เป็นการจัดอาหารที่คำนวณให้คนเราได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ขณะเดียวกันก็ลดการใช้สารเคมีในการเกษตรหรือปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย ข้อแนะนำดังกล่าวนี้เรียกว่า Planetary Diet for Earth and Health โดยกลุ่มการศึกษาชื่อ Eat Lancet

“หลักการของ Planetary Health Diet ก็คือกินอาหารที่หลากหลาย ทุกคนคงเคยได้ยินเลข 2:1:1 ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน เนื้อสัตว์ 1 ส่วน อันนี้คือจานสุขภาพดี แต่ Eat Lancet เขาพัฒนาไปมากกว่านั้น ก็คือว่า ในผักครึ่งจานควรจะเป็นผักที่หลากหลาย และควรจะเป็นผักท้องถิ่น อีกหนึ่งส่วนเป็นธัญพืช ก็เน้นความหลากหลายของท้องถิ่น ซึ่งประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้มากนัก เพราะว่าเรามีแหล่งธัญพืชค่อนข้างมาก”

“แต่ปัญหาต่อมาคือแหล่งของโปรตีน ใน Eat Lancet บอกว่าควรกินโปรตีนจากสัตว์ต่อโปรตีนจากพืชอยู่ที่ประมาณ 50:50 คือโปรตีนจากสัตว์ 50% โปรตีนจากพืช 50% หรือขยับเพิ่มขึ้นไปจนถึงโปรตีนจากสัตว์เพียง 40% และโปรตีนจากพืช 60% ได้ อันนี้เป็นตัวเลขการคำนวณความต้องการโปรตีนที่ช่วยให้ทุกท่านได้โปรตีนที่เพียงพอต่อสุขภาพ ไม่ทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร แล้วก็ไม่ได้ผลเสียจากการกินโปรตีนจากพืชมากเกินไป ผมมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่เหมาะสมสำหรับการบริโภคโปรตีนในปัจจุบัน”

สำหรับสมิทธิ การบริโภคโปรตีนจากพืชไม่จำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบราคาแพงจากต่างประเทศ แต่สามารถบริโภคถั่วเปลือกแห้ง ถั่วเปลือกแข็ง เต้าหู้ เมล็ดธัญพืช ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในประเทศไทย และสามารถให้โปรตีนได้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
“ผมมองว่าอาหารที่ดีควรจะต้องส่งเสริมความยั่งยืนของสุขภาพ คือหนึ่ง คุณกินอาหารแบบนั้นแล้ว ในระยะยาวคุณไม่เป็นโรค ทั้งโรคขาดสารอาหารและโรคจากการได้รับสารอาหารมากเกินไป ขณะที่ทางออกที่สำคัญที่จะส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารได้ มันต้องมีสมดุลสัดส่วนของอาหารที่ดี โปรตีนจากสัตว์ประมาณ 50% โปรตีนจากพืชประมาณ 50 - 60% จะเป็นจุดคุ้มทุนในแง่ของการส่งเสริมเชิงสุขภาพ”

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักโภชนาการ สมิทธิมองว่าการเปลี่ยนผ่านสู่การบริโภคโปรตีนจากพืชยังคงมีความท้าทายให้ขบคิดกันต่อ นั่นคือประเด็นเรื่องราคาวัตถุดิบที่อาจสูงขึ้นเมื่อความนิยมในการบริโภคมีมากขึ้น เช่นกรณีศึกษาเกี่ยวกับผักวูลฟ์เฟีย ที่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี เต็มไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ จนได้รับการผลักดันให้เป็นอาหารแห่งอนาคต แต่ก็ทำให้ราคาของผักชนิดนี้พุ่งขึ้น 3 - 4 เท่าทีเดียว ซึ่งสมิทธิให้ความเห็นต่อกรณีนี้ว่า
“แน่นอนว่ามันขายได้ในเชิงการตลาด เชิงการตลาดทำสำเร็จ เชิงนวัตกรรม ทำสำเร็จ อาหารแห่งอนาคต ทำสำเร็จ คำถามของผมก็คือว่า มันจะช่วยแก้ปัญหาประชาชนเข้าถึงสารอาหารจริงไหม ถ้าเราต้องการให้ผู้ที่มีปัญหาการเข้าถึงสารอาหารสามารถเข้าถึงอาหารที่ดีได้ในราคาที่ถูก การไปเล่นกับเทรนด์การตลาดหรืออาหารแห่งอนาคต คุณควรเอาไปขายคนที่เขาซื้อได้มากกว่า”

“เพราะฉะนั้น มันต้องบาลานซ์ให้ดีว่าเรากำลังจะแก้ปัญหาเรื่องอะไร กับใคร เราจะผลักดันอาหารแห่งอนาคตหรืออาหารนวัตกรรม ผมไม่ขัด เพราะมันทำประโยชน์ ทำรายได้ได้ หรือว่าคุณจะไปกระแสแพลนต์เบส หรือผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปที่ยังคงดีต่อสุขภาพอยู่บ้าง อันนี้โอเค ในขณะเดียวกัน เราก็ยังต้องบาลานซ์การแก้ปัญหาของการเข้าถึงสารอาหารของกลุ่มประชาชนทั่วไปด้วยในเวลาเดียวกัน” สมิทธิกล่าว

โอกาสในการเปลี่ยนผ่านสู่โปรตีนจากพืช
การเปลี่ยนผ่านสู่โปรตีนจากพืชไม่เพียงแต่จะสร้างประโยชน์ให้กับปัจเจกบุคคล ทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสทางด้านธุรกิจที่น่าสนใจด้วย โดยล่าสุด องค์กรสิ่งแวดล้อม Madre Brava ซึ่งเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนเรื่องการเปลี่ยนผ่านการบริโภคจากโปรตีนจากสัตว์สู่โปรตีนจากพืช ได้วิเคราะห์ข้อมูลจาก Euromonitor International และพบว่าปัจจุบัน ตลาดของเนื้อสัตว์และอาหารทะเลแบบแพลนต์เบส หรือการใช้วัตถุดิบจากพืชหรือสาหร่ายมาผลิตอาหารให้มีรสสัมผัสและรสชาติคล้ายกับเนื้อสัตว์และอาหารทะเล กำลังเติบโตขึ้น

วิชญะภัทร์ ภิรมย์ศานต์ ผู้อำนวยการประเทศไทย องค์กรสิ่งแวดล้อม Madre Brava อธิบายว่า “ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดนี้เติบโตขึ้น 30% และทาง Euromonitor ก็ได้คาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดนี้ก็จะเติบโตพุ่งไปอีก 43% Madre Brava จึงมองว่านี่เป็นโอกาสของผู้ผลิตเนื้อสัตว์รายใหญ่ที่จะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ไม่ติดอยู่กับการผลิตโปรตีนที่มาจากเนื้อสัตว์แบบดั้งเดิมแล้ว แต่เป็นโอกาสให้ขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่ผลิตภัณฑ์จากโปรตีนจากพืชด้วย”

วิชญะภัทร์กล่าวอีกว่า ขณะนี้ในทวีปยุโรปเริ่มเห็นความสำคัญของโปรตีนแพลนต์เบส เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลกระทบด้านสุขภาพจากการบริโภคเนื้อสัตว์ และอีกส่วนหนึ่งก็มาจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่ประกาศเจตนารมณ์ว่าจะเพิ่มอัตราส่วนในการจำหน่ายโปรตีนจากพืชมากขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น

“ส่วนหนึ่งที่เขาประกาศเจตนารมณ์นี้ก็เพราะว่าเขาอยากจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่มาจากผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าของซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมด เขามีเจตนารมณ์อย่างนี้ค่ะ ผู้บริโภคในยุโรปก็สนใจ ประเทศไทยก็ส่งเนื้อไก่ไปยุโรปอยู่แล้ว มันมีความเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว ก็สามารถส่งออกโปรตีนจากพืชไปยุโรปแทนได้ไหม ตลาดนั้นกำลังเติบโต น่าจะฉวยเอาไว้ เพื่อที่จะสร้างกำไร และช่วยประเทศไทยบรรลุเป้าหมายเรื่องสภาพภูมิอากาศด้วย” วิชญะภัทร์กล่าว

ก่อนหน้านี้ Madre Brava ได้ร่วมมือกับ Asia Research Engagement ทำการวิจัยเพื่อศึกษาถึงประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านด้านโปรตีน โดยผลการศึกษาพบว่า หากประเทศไทยประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านด้านโปรตีน ให้มีโปรตีนจากพืชมาทดแทนโปรตีนจากสัตว์ ในอัตรา 50% ประเทศไทยอาจจะมีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 1.3 ล้านล้านบาทในปี 2050 นอกจากนี้ก็ยังจะสามารถสร้างงาน สร้างตำแหน่งงานเพิ่มในสายงานการผลิตโปรตีนจากพืช การปลูกพืชโปรตีนสูง ถึง 1.15 ล้านตำแหน่ง ส่วนในด้านสิ่งแวดล้อม จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 35.5 ล้านเมตริกตัน ภายในปี 2050 แล้วก็ประหยัดพื้นที่ปลูกพืชเพื่อนำมาเลี้ยงสัตว์ประมาณ 21,000 ตารางกิโลเมตร ถือเป็นขนาดพื้นที่เทียบเท่าจังหวัดนครราชสีมา

เมื่ออาหารในจานของเราทุกคนไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายของเราเท่านั้น แต่ยังหมายถึงสุขภาพของโลกด้วย การเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี และวิถีชีวิตที่ยั่งยืน จึงน่าจะเริ่มต้นได้ง่ายๆ จากจานอาหารของเราเอง บวกกับความร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เชื่อแน่ว่าโอกาสในการสร้างสรรค์โลกที่ดีกว่าคงไม่เกินความจริงอย่างแน่นอน

ชวนดู LET'S DANCE : The Movie ภาพยนต์เพื่อคนรักการเต้น สถาบันสอนเต้นDANCEZONE THAILAND นำโดยครูเหน่ง ปริญญา  จิตตะวงค์  ...
13/10/2025

ชวนดู LET'S DANCE : The Movie ภาพยนต์เพื่อคนรักการเต้น

สถาบันสอนเต้นDANCEZONE THAILAND นำโดยครูเหน่ง ปริญญา จิตตะวงค์ จัดสร้างภาพยนตร์ถ่ายทอดชีวิตเยาวชนที่มีหัวใจรักการเต้น เรื่อง LET'S DANCE : The Movie โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการเสริมสร้างองค์ความรู้และประสบการณ์อันทรงคุณค่าให้แก่เยาวชน ผ่านการเรียนรู้และฝึกอบรมจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดง การละคร และภาพยนตร์ในระดับประเทศ LET'S DANCE : The Movie ยังนับเป็น ภาพยนตร์เต้นเรื่องแรกของจังหวัดเชียงใหม่ ที่ผลิตโดยบุคลากรและนักแสดงเยาวชนเชียงใหม่ทั้งหมด โดยจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นภายใต้ โครงการนักเรียนการแสดง สถาบันสอนเต้น DANCEZONE รุ่นที่ 1 ซึ่งมีเยาวชนอายุระหว่าง 10–16 ปี ที่ผ่านการเรียนในหลักสูตรการแสดงและการเต้นจากสถาบัน จำนวน 15 คน และนักแสดงรับเชิญร่วม 20 คน เข้าร่วมแสดง โดยใช้ระยะเวลาร่วม 1 ปี สำหรับการถ่ายทำ และตัดต่อซึ่งตอนนี้พร้อมสำหรับการฉายแล้ว

มาร่วมเป็นกำลังใจให้เยาวชนและทีมงานจังหวัดเชียงใหม่ กับการถ่ายทอดเรื่องราวของกลุ่มคนที่รักการเต้น และการแสดง ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจเล็ก ๆ ที่สามารถจุดประกายวงการเต้นและวงการสร้างภาพยนต์ในจังหวัดเชียงใหม่ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น พบกับ LET'S DANCE : The Movie รอบพิเศษในวันที่ 18 ตุลาคม 2568 รอบเวลา 19.00 น. ณ โรงภาพยนตร์ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงใหม่ (เซ็นเฟส)
ตัวอย่างภาพยนตร์
https://www.facebook.com/reel/1130160149217135
https://www.facebook.com/reel/1494690548233390

ททท.เชียงใหม่ นำเสนอทิศทางการตลาดท่องเที่ยว ปี 2569 ภายใต้แนวคิด “Chiang Mai: The City of Life, Wellness and Festival”กา...
11/10/2025

ททท.เชียงใหม่ นำเสนอทิศทางการตลาดท่องเที่ยว ปี 2569 ภายใต้แนวคิด “Chiang Mai: The City of Life, Wellness and Festival”

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงใหม่ จัดกิจกรรมนำเสนอทิศทางการตลาดท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ประจำปี 2569 ภายใต้แนวคิด “Chiang Mai: The City of Life, Wellness and Festival” โดยมีผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตรด้านการท่องเที่ยวเข้าร่วมอย่างคับคั่ง เพื่อร่วมรับฟังแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเชียงใหม่ในปีหน้า

นายวัชรายุธ์ กัววงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า

“ปี 2569 จะเป็นปีแห่งการสร้างพลังใหม่ของการท่องเที่ยวเชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด Chiang Mai: The City of Life, Wellness and Festival ที่มุ่งยกระดับเชียงใหม่ให้เป็นเมืองแห่งชีวิตชีวา เมืองแห่งสุขภาพ และเมืองแห่งเทศกาล โดย ททท.เชียงใหม่ จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อเสริมสร้างคุณค่า เชื่อมโยงเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และยกระดับสู่การเป็น Global Destination อย่างแท้จริง”

4 โครงการหลัก ขับเคลื่อนการตลาดท่องเที่ยวเชียงใหม่ ปี 2569

ททท. สำนักเชียงใหม่ กำหนดดำเนินงาน 4 โครงการเด่น ภายใต้ 2 กลยุทธ์หลัก คือ การขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ และ การรักษาการเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่
1. Chiang Mai Hideaway – เพิ่มความถี่ในการเดินทางของกลุ่ม Gen Y ผ่านการนำเสนอเส้นทาง Road Trip แบบแปลกใหม่ที่เน้นความรับผิดชอบและยั่งยืน ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์คุณค่า
2. Chiang Mai Beyond Workation – กระตุ้นการเดินทางในวันธรรมดา ผ่านแพ็คเกจท่องเที่ยวและโปรโมชั่นพิเศษ โดยร่วมมือกับพันธมิตรในพื้นที่ เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายและยืดการพำนักของนักท่องเที่ยว
3. Chiang Mai Sensory Retreat – เติมเต็ม “รางวัลชีวิต” ให้ผู้ที่ต้องการพักผ่อนและฟื้นฟูสุขภาพกายใจ ด้วยกิจกรรมที่เชื่อมโยงธรรมชาติ ภูมิปัญญาล้านนา และวิถีสุขภาพแบบองค์รวม
4. Chiang Mai Festive Journey – ถ่ายทอดเรื่องราวอัตลักษณ์ล้านนา วิถีชีวิต อาหาร และธรรมชาติ ผ่าน Soft Power ของเชียงใหม่ เพื่อเชิญชวนกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่พำนักในไทย ออกมาสัมผัส “Meaningful Travel”

ไฮไลท์การดำเนินงาน ปี 2569

ผลักดันเชียงใหม่สู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการท่องเที่ยวสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้สูง (High – End) เชื่อมโยงกับภูมิภาคภาคเหนือตอนบน

สร้างความคึกคักด้วยเทศกาลระดับนานาชาติ เช่น เทศกาลไม้ดอกไม้ประดับ ประจำปี 2569, ปี๋ใหม่เมืองเจียงใหม่ (สงกรานต์), ประเพณียี่เป็ง, Chiang Mai Pride ฯลฯ

นำเสนอสินค้าและกิจกรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนา ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ และความร่วมมือกับ Influencers/KOLs ระดับนานาชาติ เพื่อขยายฐานตลาดกลุ่มคุณภาพ

ในส่วนของพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว อาทิ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ และ Skål International Chiang Mai ได้ร่วมแบ่งปันข้อมูลและแนวทางการบูรณาการความร่วมมือ เพื่อผลักดันเชียงใหม่ให้เป็น เมืองแห่งเทศกาล เมืองแห่งสุขภาพ และเมืองแห่งโอกาสทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม

นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกล่าวสรุปในประเด็น “ภาพรวมแนวทางการขับเคลื่อนด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ ประจำปี 2569” โดยได้เน้นย้ำถึงการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน ในการพัฒนาเชียงใหม่ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวคุณภาพระดับนานาชาติ ที่เติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างรายได้หมุนเวียนสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม

จังหวัดเชียงใหม่มุ่งมั่นเดินหน้าขับเคลื่อนแนวคิด “12 เดือน 12 เทศกาล” ” อย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี โดยมุ่งเน้นการจัดเทศกาลหรือกิจกรรมในแต่ละเดือนที่สะท้อนเอกลักษณ์ล้านนา และยกระดับให้เป็นงานอีเวนต์ระดับนานาชาติ อาทิ ประเพณียี่เป็ง เทศกาลไม้ดอกไม้ประดับ ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองเจียงใหม่ รวมถึง Chiang Mai Pride ซึ่งนอกจากจะช่วยขยายรายได้สู่ทุกพื้นที่แล้ว ยังมีส่วนในการสร้างความคึกคักและเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับจังหวัดเชียงใหม่ทั้งปี


นักวิจัยองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ร่วมพัฒนาแอปพลิเคชัน "แมลงศัตรูพืชต้นชา" เพื่อยกระดับเกษตรกรรมในภูมิภาคเอเชียโดย ดร.กัลยกร ...
11/10/2025

นักวิจัยองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ร่วมพัฒนาแอปพลิเคชัน "แมลงศัตรูพืชต้นชา" เพื่อยกระดับเกษตรกรรมในภูมิภาคเอเชีย

โดย ดร.กัลยกร พิราอรอภิชา นักกีฏวิทยา สำนักวิจัยและอนุรักษ์ ร่วมกับศาสตราจารย์ Wei Wei จาก Guangxi Academy of Forestry Sciences สาธารณรัฐประชาชนจีน พัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับตรวจสอบและระบุแมลงที่เป็นอันตรายต่อต้นชาเพื่อนี้ช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ปลูกชาในภูมิภาคเอเชีย ให้สามารถบริหารจัดการศัตรูพืชและโรคพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

โดยแอปพลิเคชันนี้สามารถให้ข้อมูลที่ละเอียดเกี่ยวกับการจำแนกประเภทของแมลงที่ก่อโรคและโรคที่เกิดขึ้นกับพืช รวมถึงการแนะนำวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม

นวัตกรรมทางเทคโนโลยีนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดปัญหาความเสียหายที่เกิดขึ้นในกระบวนการเพาะปลูก และสนับสนุนการผลิตชาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากชาเป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจสำหรับหลาย ๆ ประเทศในทวีปเอเชีย ซึ่งแอปพลิเคชันนี้ยังอยู่ในระยะการทดสอบการใช้งาน และทีมงานมีแผนการที่จะปรับปรุงและพัฒนาต่อไปเพื่อให้มีประสิทธิภาพและความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

การสร้างเครื่องมือดิจิทัลนี้ถือว่าเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคเกษตรกรรม และส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระดับชุมชน การทำงานร่วมกันครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถของนักวิจัยไทยในการมีส่วนร่วมในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นแบบอย่างของการผสมผสานความรู้จากหลายประเทศเพื่อสนับสนุนการเกษตรที่ยั่งยืน

เริ่มแล้ว งาน “กินเหนือ” เทศกาลอาหารและดนตรี ครั้งที่ 5งาน "กินเหนือ" ครั้งที่ 5 เหนื้อ เหนือ เริ่มขึ้นแล้ว โดยมี นายวีร...
09/10/2025

เริ่มแล้ว งาน “กินเหนือ” เทศกาลอาหารและดนตรี ครั้งที่ 5

งาน "กินเหนือ" ครั้งที่ 5 เหนื้อ เหนือ เริ่มขึ้นแล้ว โดยมี นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดงาน

งานนี้รวมความอร่อยบันเทิงและความสุขสนุกสนาน ครบถ้วน จัดระหว่างในวันที่ 8 – 13 ตุลาคม 2568 ณ ลานกิจกรรมด้านหน้า เซ็นทรัล เชียงใหม่ (เซ็นเฟสฯ) เข้าฟรี!!! ชมฟรี!!! ทั้ง 6 วัน ไม่มีค่าบัตรผ่านประตู ตั้งแต่เวลา 16.00 – 23.00 น.

ลิ้มชิมรสอาหารจากร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในจังหวัดเชียงใหม่ อาหารหลากหลายประเภทจากร้านอาหารชื่อดัง และ Food Truck รวมกว่า 100 ร้าน

สนุกสนานกับ ฟรีคอนเสิร์ต จากศิลปินชื่อดัง
8 ตค. เดอะเพอะ
9 ตค. โอ๊ต ปราโมทย์
10 ตค. SL MUSIC
11 ตค. มนัสวีร์
12 ตค. มาลีฮวนน่า
13 ตค. จ๊ะ นงผณี

พร้อมสวนสนุก และมหกรรมธงฟ้าในงาน มาแอ่วกั๋นเน้อครับ

โอกาสทองของผลิตภัณฑ์แพลนต์เบสไทย! ตลาดยุโรป-ไทยเร่งหาโปรตีนทางเลือก อาหารแพลนต์เบสโตพุ่ง 43% ภายในปี 2572 ข้อมูลล่าสุดจา...
07/10/2025

โอกาสทองของผลิตภัณฑ์แพลนต์เบสไทย! ตลาดยุโรป-ไทยเร่งหาโปรตีนทางเลือก อาหารแพลนต์เบสโตพุ่ง 43% ภายในปี 2572

ข้อมูลล่าสุดจากMadre Brava องค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อสิ่งแวดล้อมและการผลิตอาหาร เผยแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดเนื้อสัตว์และอาหารทะเลที่ทำจากพืช (แพลนต์เบส) ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปซึ่งกำลังกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจขนาดใหญ่สำหรับผู้ผลิตโปรตีนทางเลือกในประเทศไทย

จากข้อมูลของEuromonitor International บริษัทวิจัยการตลาดระดับโลก พบว่า ยอดขายของผลิตภัณฑ์แพลนต์เบสเพิ่มขึ้นเกือบ 30% ตั้งแต่ปี 2564 และคาดว่าจะเติบโตอีก 43% ระหว่างปี 2568 – 2572 ขณะที่ต้นทุนการผลิตโปรตีนจากพืชเริ่มลดลง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับสากล

วิชญะภัทร์ภิรมย์ศานต์ ผู้อำนวยการประเทศไทยของ Madre Brava กล่าวว่า นี่คือจังหวะสำคัญที่ผู้ผลิตโปรตีนเนื้อสัตว์ในประเทศไทยควรใช้เป็นโอกาสเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตอาหารที่ยั่งยืน ซึ่งจะตอบสนองทั้งความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ และสนับสนุนเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของไทยตามข้อตกลงปารีส

“ผลิตภัณฑ์แพลนต์เบสยังแสดงศักยภาพสูงในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าเนื้อหมูถึง 88% และต่ำกว่าเนื้อไก่ 67% พร้อมลดการใช้น้ำได้มากกว่า 94% นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของมลพิษทางอากาศในประเทศด้วย”

นอกจากนี้อุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยยังเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับสองรองจากการปลูกข้าว โดยหากรวมถึงกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ จะมีการปล่อยก๊าซมากถึง 39 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งสูงกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการปลูกข้าว

“การเปลี่ยนผ่านไปสู่โปรตีนจากพืชในระดับประเทศจะช่วยลดการปล่อยก๊าซจากภาคเกษตรได้มหาศาล และยังเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคในระยะยาวอีกด้วย”

ในยุคที่การบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไปกลายเป็นภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยจึงควรเร่งปรับวิถีการบริโภคไปสู่อาหารจากพืชเป็นหลัก โดยเน้นโปรตีนทางเลือกที่ให้คุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่าเนื้อสัตว์ พร้อมมอบประสบการณ์การกินที่ใกล้เคียง ทั้งในด้านรสชาติ เนื้อสัมผัส และความสะดวกสบาย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ยังนิยมบริโภคผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป

ทั้งนี้ด้วยราคาวัตถุดิบเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผู้ผลิตโปรตีนชั้นนำของไทยควรขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกเพื่อให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่ “อร่อย สะดวก และยั่งยืน” พร้อมทั้งผลักดันให้ราคาของผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืชมีความสามารถในการแข่งขันกับเนื้อสัตว์ได้อย่างแท้จริง

ซูเปอร์มาร์เก็ตยุโรปส่งสัญญาณต้องการผลิตภัณฑ์แพลนต์เบสทดแทนเนื้อและอาหารทะเล ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในยุโรป เช่น Lidl และ Ahold Delhaize กำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความต้องการผลิตภัณฑ์จากพืช โดย Lidl ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์จากพืช 20% ภายในปี 2573 ครอบคลุม 31 ประเทศ ขณะที่ Ahold Delhaize วางเป้าให้สัดส่วนโปรตีนจากพืชและสัตว์เป็น 50:50 ภายในปีเดียวกัน

ประเทศไทยซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะ“ครัวของโลก” และยังมีผู้ผลิตโปรตีนรายใหญ่หลายราย อีกทั้งยังมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิตและความเชี่ยวชาญด้านอาหาร จึงมีโอกาสสูงในการเข้าสู่ตลาดโปรตีนทางเลือกในยุโรป

“เจตนารมณ์ของผู้ค้าปลีกยุโรปรายใหญ่ ทำให้ภูมิภาคนี้เป็นตลาดส่งออกที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง สำหรับผู้ผลิตไทยที่ต้องการขยายตลาด และยกระดับธุรกิจสู่ความยั่งยืน พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน” วิชญะภัทร์กล่าวทิ้งท้าย

SUN ตอกย้ำแบรนด์ไทยสู่ระดับโลก ในงาน Anuga 2025 ศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารโลกบริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ผู้ผลิต...
06/10/2025

SUN ตอกย้ำแบรนด์ไทยสู่ระดับโลก ในงาน Anuga 2025 ศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารโลก

บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวโพดหวานและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปชั้นนำของไทย ภายใต้แบรนด์ “KC” พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพมาตรฐานสากล เข้าร่วมออกบูธในงาน Anuga 2025 มหกรรมแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้น ณ ศูนย์แสดงสินค้า Koelnmesse เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี ระหว่างวันที่ 3–8 ตุลาคม 2568

นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “การเข้าร่วมงาน Anuga 2025 ถือเป็นโอกาสสำคัญในการแสดงศักยภาพสินค้าเกษตรแปรรูปของไทยสู่เวทีโลก โดยเฉพาะข้าวโพดหวานและสินค้าพร้อมรับประทานภายใต้แบรนด์ KC ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง งานครั้งนี้ไม่เพียงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าและผู้บริโภคในยุโรป แต่ยังเป็นเวทีสำคัญในการขยายตลาดใหม่ ๆ ตามกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งมั่นจะนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพสูง สะดวก และสอดคล้องกับกระแสความยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปที่ตอบโจทย์ทั้งด้านรสชาติ คุณค่าโภชนาการ และมาตรฐานความปลอดภัยอาหารระดับสากลอย่างแท้จริง”

SUN จัดแสดงสินค้า ณ บูธ Stand no. I-008, Hall 01.2 สะท้อนวิสัยทัศน์ของ SUN ในการเป็น “World Leading Provider of Sweet Corn Products” ตอกย้ำความเชื่อมั่นจากลูกค้าทั่วโลกถึงมาตรฐานการผลิตที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

🔥 ที่สุดของความหลอน ที่สุดของความคุ้มค่า! เริ่มแล้ววันนี้ กับ  #ธี่หยด3 ใน IMAX 🔥🗓️ รอบฉายวันที่ 6 - 8 ต.ค. 68 (3 วันสุด...
06/10/2025

🔥 ที่สุดของความหลอน ที่สุดของความคุ้มค่า! เริ่มแล้ววันนี้ กับ #ธี่หยด3 ใน IMAX 🔥
🗓️ รอบฉายวันที่ 6 - 8 ต.ค. 68 (3 วันสุดท้ายในไอแมกซ์)
💳 บัตร M GEN Next Student
💺 ที่นั่งปกติ (Normal) เริ่มต้น 139.- ต่อที่นั่ง
(พารากอน ซีนีเพล็กซ์, ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต และไอคอน ซีเนคอนิค เริ่มต้น 159.- ต่อที่นั่ง)

💳 บัตร M GEN Next
💺 ที่นั่งปกติ (Normal) เริ่มต้น 179.- ต่อที่นั่ง
(พารากอน ซีนีเพล็กซ์, ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต และไอคอน ซีเนคอนิค เริ่มต้น 230.- ต่อที่นั่ง)
👤 ลูกค้าทั่วไป
💺 ที่นั่งปกติ (Normal) เริ่มต้น 199.- ต่อที่นั่ง
(พารากอน ซีนีเพล็กซ์, ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต และไอคอน ซีเนคอนิค เริ่มต้น 250.- ต่อที่นั่ง)
ซื้อตั๋วผ่าน Major App 📱 คลิกเลย https://majorcineplex.app.link/C0kJjpHOeXb (ราคาขึ้นโชว์ วันที่ 6 - 8 ต.ค. 68 หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดตรวจสอบที่จุดจำหน่ายบัตร)
⚠️ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
⚠️ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
⚠️ ราคาดังกล่าวสำหรับรอบฉายภ.ธี่หยด 3 วันที่ 6 - 8 ต.ค. 68 เท่านั้น
⚠️ ส่วนต่างอัปเกรดที่นั่งเป็นไปตามปกติ
⚠️ ที่นั่งโซฟา Opera และบัตร M Pass ราคาเป็นไปตามรอบ IMAX ปกติ
⚠️ ไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดและโปรโมชันอื่น ๆ ได้

"ยูนนานคัพ เชียงใหม่ 2025" ครั้งที่ 4 ชิงเงินรางวัลกว่า ครึ่งล้าน เตรียมระเบิดศึกบาสฯ ฉลอง 50 ปี ไทย-จีน🏀เชียงใหม่ - เมื...
03/10/2025

"ยูนนานคัพ เชียงใหม่ 2025" ครั้งที่ 4 ชิงเงินรางวัลกว่า ครึ่งล้าน
เตรียมระเบิดศึกบาสฯ ฉลอง 50 ปี ไทย-จีน🏀

เชียงใหม่ - เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรมสมายล์ล้านนา จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการแถลงข่าวจัดการแข่งขันบาสเกตบอลรายการยิ่งใหญ่แห่งภาคเหนือ "ยูนนานคัพ เชียงใหม่ 2025" ครั้งที่ 4 โดยมีผู้แทนจากกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดเชียงใหม่ คุณ กู่ จิงจิง ร่วมกับนายสุนทร ยามศิริ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่, นาง ศิโรรัตน์ ชัยศิริ นายกสมาคมชาวเชียงใหม่เชื้อสายยูนนาน และ นาย สุพจน์ เจ้าวัฒนพงษ์ ประธานจัดการแข่งขัน ร่วมกันประกาศความพร้อม
การแข่งขันครั้งนี้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 26 ตุลาคม 2568 ณ โรงยิมเนเซี่ยม 3 สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อร่วม ฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวไทยเชื้อสายยูนนาน รวมถึงส่งเสริมการเล่นกีฬาบาสเกตบอลและเปิดโอกาสให้นักกีฬาเยาวชนได้พัฒนาทักษะ
การแข่งขันแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ เยาวชนชาย U15 (เฉพาะหมู่บ้าน), เยาวชนชาย U18 OPEN, ประชาชนชาย (เฉพาะหมู่บ้าน), ประชาชนชายทั่วไป (OPEN) และ อาวุโสชาย 45 ปีขึ้นไป รวมจำนวนทีมเข้าร่วมกว่า 50 ทีม ซึ่งจะใช้กติกาการแข่งขันของ FIBA ที่สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยประกาศใช้อยู่ในปัจจุบัน
รายการนี้มีถ้วยเกียรติยศและ เงินรางวัลรวมกว่าครึ่งล้านบาท โดยเฉพาะประเภท ประชาชนชายทั่วไป (OPEN) ที่ทีมชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัลสูงสุดถึง 200,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ และมีรางวัลสำหรับรองชนะเลิศ, ผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) และผู้ฝึกสอนดีเด่นในทุกประเภท
ขอเชิญชวนชาวจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงร่วมชมและเชียร์การแข่งขันครั้งนี้ พิธีเปิด จะมีขึ้นในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 น. และ พิธีปิด ในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 เวลา 18.30 น. ณ โรงยิมเนเซี่ยม 3 สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่

“กินเหนือ” เทศกาลอาหารและดนตรี Food Soft Power ครั้งที่ 5  งาน “กินเหนือ” เทศกาลอาหารและดนตรี Food Soft Power ครั้งที่ 5...
25/09/2025

“กินเหนือ” เทศกาลอาหารและดนตรี Food Soft Power ครั้งที่ 5

งาน “กินเหนือ” เทศกาลอาหารและดนตรี Food Soft Power ครั้งที่ 5 งานรวมความอร่อย บันเทิง และความสุขสนุกสนาน กลับมาพบกันอีกครั้งในวันที่ 8 – 13 ตุลาคม 2568 ณ ลานกิจกรรมด้านหน้า เซ็นทรัล เชียงใหม่ (เซ็นเฟสฯ) เข้าฟรี!!!ชมฟรี!!! ทั้ง 6 วัน ไม่มีค่าบัตรผ่านประตู จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสมาคมร้านอาหารและสถานบันเทิงเชียงใหม่ และชมรมภัตตาคารและร้านอาหารจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีการจัดแถลงข่าวขึ้นในวันที่ 24 กันยายน 2568 ณ ร้านอาหารเดอะวิวออลเดย์

มีนายวัชรายุธ์ กัววงศ์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวถึง การให้การสนับสนุนการจัดงาน และ การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางด้านอาหาร

นายนพดล ศรีโพธิ์ทอง ผู้จัดการส่วนกิจกรรมพิเศษ 1 บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือ และการให้การสนับสนุน ในการจัดงาน

นายพรเทพ อรรถกิจไพศาล ผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการสาขาภาคเหนือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง ความพร้อมของสถานที่ ในการจัดงาน

นางสาวนบชุลี ทองเหลืองดี ประธานการจัดงาน กินเหนือ เทศกาลอาหารและดนตรี ครั้งที่ 5 กล่าวถึง รายละเอียดของการจัดงานกินเหนือ ครั้งที่ 5

และนางสาวสุปรียา ปัญญารักษา ผู้แทนพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึง กิจกรรมธงฟ้าราคาประหยัด

การจัดงานกินเหนือในปีนี้ มีแนวคิดการจัด คือ “กินเหนือ เหนื้อ เหนือ” ซึ่งไม่ได้มีแค่อาหารทั่วไป แต่จะมีการคัดสรรอาหารในรูปแบบพิเศษที่เหนือกว่า ยกระดับประสบการณ์การกินให้กลายเป็นงานเทศกาลที่ "เหนือ" ความคาดหมาย จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 8-13 ตุลาคม 2568 (จำนวน 6 วัน) ตั้งแต่เวลา 16.00 – 23.00 น. ณ ลานกิจกรรม หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการบริโภคและการท่องเที่ยวในประเทศ โดยใช้พลังของอาหารเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้สู่ผู้ประกอบการ และชุมชนในพื้นที่ ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และร่วมขับเคลื่อนการดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วย Soft Power วัฒนธรรมด้านอาหารไทย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นเมืองน่าเที่ยว สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก / เพื่อสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว และผู้ร่วมงาน ในการได้ลิ้มชิมรสอาหารจากร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยอาหารหลากหลายประเภท เนื่องจากผู้จัดงานได้เชิญร้านอาหารชื่อดัง และ Food Truck รวมกว่า 100 ร้าน ครบเครื่องทั้งอาหารคาว หวาน ของทานเล่น และเครื่องดื่มเย็นๆ พร้อมความสนุกสนานกับ ฟรีคอนเสิร์ต จากศิลปินชื่อดัง เช่น วันที่ 8 ตค. เดอะเพอะ / 9 ตค. โอ๊ต ปราโมทย์ / 10 ตค. SL MUSIC / 11 ตค. มนัสวีร์ / 12 ตค. มาลีฮวนน่า และ 13 ตค. จ๊ะ นงผณี พร้อมกันนี้ในแต่ละคืนจะมีความบันเทิงจากวงดนตรีชื่อดังในเชียงใหม่ที่มาจากสถานบันเทิงต่างๆอีกหลายวง พร้อมทั้งสวนสนุกขนาดใหญ่ เพื่อให้ครอบครัว และเด็กๆได้สนุกกันอย่างเต็มที่

พิเศษสำหรับในปีนี้ ผู้จัดงานได้ร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ จัดกิจกรรมธงฟ้าราคาประหยัดขึ้นภายในงาน เพื่อเป็นการลดภาระของผู้บริโภคและร่วมกันขับเคลื่อน นโยบาย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย ของกระทรวงพาณิชย์ ในการให้ความสำคัญกับการบริโภคสินค้าของไทย สร้างรายได้ให้เกษตรกร แก้ปัญหาปากท้องประชาชน พร้อมส่งเสริมมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอีกทางหนึ่ง

สนใจมาร่วมงานกันได้ “กินเหนือ เหนื้อ เหนือ” เทศกาลอาหารและดนตรี Food Soft Power ครั้งที่ 5 8-13 ตุลาคม 2568 ณ ลานกิจกรรมด้านหน้า เซ็นทรัล เชียงใหม่ (เซ็นเฟสฯ) เข้าฟรีชมฟรีไม่มีค่าบัตรผ่านประตู

ที่อยู่

Chiang Mai
50000

เบอร์โทรศัพท์

+66869112358

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ฟีลดีออนไลน์นิวส์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ฟีลดีออนไลน์นิวส์:

แชร์