พยาบาลพี่โอ๋

พยาบาลพี่โอ๋ สุขภาพดีเริ่มต้นที่ตัวเราค่ะ

ปวดเข่า,เข่าเสื่อม
18/09/2025

ปวดเข่า,เข่าเสื่อม

ปวดเข่า เข่าเสื่อมระยะที่ 4 ไม่อยากผ่าตัด ทำอย่างไรได้บ้าง

“หมอคะ หนูปวดเข่ามาหลายปีแล้วค่ะ เดี๋ยวนี้เดินแทบไม่ได้ เวลาลุกนั่งก็เจ็บมาก หมอบอกว่าเป็นเข่าเสื่อมระยะที่ 4 แล้ว แต่หนูกลัวการผ่าตัดมาก ไม่อยากผ่าค่ะ”

นี่คือคำพูดของคุณสมพร อายุ 65 ปี ที่เดินกะเผลกเข้าห้องตรวจด้วยไม้เท้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล ซึ่งจริง ๆ แล้ว คนจำนวนไม่น้อยที่เป็นเข่าเสื่อมระยะสุดท้าย มักจะมีคำถามเดียวกันว่า “ไม่ผ่าตัดได้ไหม?”

หมออยากเล่าให้ฟังอย่างอบอุ่นและเข้าใจง่าย ว่าเข่าเสื่อมระยะที่ 4 แม้จะรุนแรง แต่ยังมีวิธีดูแลและบรรเทาได้หลายทางสำหรับคนที่ยังไม่พร้อมผ่าตัด

เข่าเสื่อมระยะที่ 4 คืออะไร?

ภายในข้อเข่าปกติจะมีกระดูกอ่อนทำหน้าที่เหมือนเบาะนุ่ม ๆ รองรับแรงกระแทก เวลาเดิน วิ่ง หรือนั่งลุก แต่เมื่ออายุมากขึ้น หรือใช้งานเข่าหนักเกินไป กระดูกอ่อนจะบางลงและสึกหรอ

เมื่อถึงระยะที่ 4 แปลว่า กระดูกอ่อนในเข่าแทบไม่เหลือแล้ว กระดูกชนกระดูก เวลาเดินจึงเจ็บปวดมาก เข่าผิดรูป เดินลำบาก บางรายมีเสียงดัง “กรอบแกรบ” ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว

อาการที่มักพบ

- ปวดเข่ามากเวลาเดินหรือลุกนั่ง
- เข่าตึง งอเข่าได้น้อย
- เข่าผิดรูป เดินกะเผลก
- มีเสียงดังในข้อเวลาเคลื่อนไหว
- ปวดแม้ตอนนั่งหรือนอน

ตรวจอย่างไรให้แน่ใจ

หมอจะเริ่มจากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และถ่ายเอกซเรย์ (X-ray) เพื่อดูช่องว่างระหว่างข้อเข่า หากแคบจนกระดูกแทบติดกัน แสดงว่าเป็นระยะที่ 4 แล้ว

บางรายอาจต้องตรวจ MRI ถ้ามีภาวะแทรก เช่น หมอนรองกระดูกหรือเอ็นฉีกขาด ส่วนการตรวจเลือด มักใช้เพื่อแยกโรคอื่น เช่น เก๊าท์ หรือข้ออักเสบรูมาตอยด์

ถ้าไม่อยากผ่าตัด ทำอะไรได้บ้าง?

แม้การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าจะเป็นทางเลือกที่ได้ผลมากที่สุดในระยะที่ 4 แต่ถ้ายังไม่พร้อมผ่าตัด ยังมีวิธีบรรเทาอาการ เช่น

1. ปรับพฤติกรรมการใช้เข่า
- ลดการขึ้นลงบันได
- เลี่ยงการนั่งยอง ๆ หรือนั่งพับเพียบ
- ใช้ไม้เท้าช่วยพยุง เพื่อลดน้ำหนักที่กดลงเข่า
2. ลดน้ำหนักตัว
ทุก ๆ 1 กิโลกรัมที่ลดได้ จะช่วยลดแรงกดบนข้อเข่าหลายกิโลกรัม เวลายืนหรือเดิน
3. กายภาพบำบัด
เน้นการเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบเข่า เช่น กล้ามเนื้อต้นขา เพื่อช่วยพยุงข้อให้มั่นคงขึ้น
4. การใช้ยา
ยาแก้ปวด หรือยาแก้อักเสบที่หมอสั่ง สามารถช่วยให้ใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกขึ้น แต่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อป้องกันผลข้างเคียง
5. ฉีดยาลดอักเสบในข้อ
ปัจจุบันนิยมใช้เครื่องอัลตราซาวด์ช่วยระบุตำแหน่ง เพื่อความแม่นยำในการฉีด ช่วยลดอาการปวดได้ชั่วคราว
6. ฉีดน้ำหล่อลื่นข้อเข่า (Hyaluronic acid)
ช่วยให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น บรรเทาอาการปวดในบางราย แม้ไม่หายขาด แต่ช่วยเลี่ยงการผ่าตัดได้ระยะหนึ่ง

พยากรณ์โรค

- เข่าเสื่อมระยะที่ 4 มักไม่หายขาดเอง
- หากไม่ผ่าตัด อาการอาจเรื้อรัง ต้องพึ่งไม้เท้า หรือรถเข็นในอนาคต
- แต่ถ้าปรับวิธีใช้ชีวิต กายภาพ และดูแลตัวเองดี ก็ยังใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยเลี่ยงการใช้งานหนัก

ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวัง

- ปวดเรื้อรัง ทำให้นอนไม่หลับ
- กล้ามเนื้อต้นขาลีบ เพราะไม่ค่อยได้ใช้งาน
- เสี่ยงหกล้มบ่อย จากการเดินไม่มั่นคง
- คุณภาพชีวิตลดลง ทำให้ซึมเศร้าได้

หมอสรุปให้ว่า…

เข่าเสื่อมระยะที่ 4 ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องรีบผ่าตัดทันที หากอาการยังพอทน และเรายังอยากลองวิธีอื่นก่อน ก็สามารถทำได้ แต่สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง และติดตามอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

หากอาการปวดมากขึ้นจนใช้ชีวิตไม่ได้ หรือเข่าผิดรูปมากจนเดินแทบไม่ไหว นั่นคือสัญญาณว่าการผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุดครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ

📱 Line ID: โทร 081-5303666

#ปวดเข่า #เข่าเสื่อม #ไม่อยากผ่าตัด #หมอเก่งกระดูกและข้อ #ดูแลผู้สูงอายุ

เธอเก่งที่สุดแล้ว ฉันขอบคุณตัวเธอมากที่ผ่านปัญหาต่างๆมาถึงวันนี้ได้
04/09/2025

เธอเก่งที่สุดแล้ว ฉันขอบคุณตัวเธอมากที่ผ่านปัญหาต่างๆมาถึงวันนี้ได้

พอให้หายคิดถึงเกาหลีได้นิดหน่อย
03/09/2025

พอให้หายคิดถึงเกาหลีได้นิดหน่อย

Aiทำถึงมากค่ะ
31/08/2025

Aiทำถึงมากค่ะ

6 สาเหตุ ที่ทำให้ ‘ยูริกสูง’ยูริก คือ ภัยเงียบคุกคามสุขภาพของเรา บางคนไม่คิดเลยว่า ยูริกจะอันตราย คิดว่าเป็นแค่ค่าๆ หนึ่...
30/08/2025

6 สาเหตุ ที่ทำให้ ‘ยูริกสูง’

ยูริก คือ ภัยเงียบคุกคามสุขภาพของเรา บางคนไม่คิดเลยว่า ยูริกจะอันตราย คิดว่าเป็นแค่ค่าๆ หนึ่ง ที่จริงแล้วยูริกเป็นตัวหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยบอกโรคต่างๆ ที่จะตามมาได้หากยูริกสูงหรือไม่ได้ดูแลยูริก ซึ่งยูริกสูงทำให้เกิดโรคโรคเกาต์ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ไตวายเรื้อรัง โรคอ้วนลงพุง วันนี้เราจึงพามารู้จักกับสาเหตุที่ทำให้ยูริกสูง เพื่อที่เราจะได้ดูแลยูริกได้อย่างใกล้ชิดและปลอดภัยกันนะคะ
1. เกิดจากอาหาร 50% ของยูริกที่สูงอยู่ในเลือดเกิดจากอาหาร เช่น เครื่องในสัตว์, เนื้อสัตว์, น้ำซุป น้ำแกง กุ้ง, หอย, ปลาซาร์ดีน, ปลาอินทรีย์, หน่อไม้, ดอกกะหล่ำ, ชะอม, เห็ด, ถั่วแดง, ถั่วเหลือง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ เป็นต้น
2. ร่างกายสร้างขึ้นเอง 50% ของยูริกสูงเกิดจากร่างกายเราสร้างขึ้นเอง เวลาที่เรากินเยอะก็จะมีอนุมูลอิสระเยอะ แล้วก็จะมียูริกออกมาเยอะด้วย ยูริกเปรียบเหมือนสารต้านอนุมูลอิสระของร่างกาย ปกติกระบวนการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายจะมียูริกออกมาด้วย ยิ่งกินเยอะมากเท่าไหร่ เวลาที่ร่างกายเผาผลาญอาหารเพื่อให้ได้พลังงานออกมาก็จะมีของเสียออกมาด้วย ของเสียเหล่านั้นเรียกว่า อนุมูลอิสระ เมื่อมีอนุมูลอิสระเยอะ ร่างกายจะต้องสร้างสารต้านอนุมูลอิสระขึ้นมา เวลาที่ร่างกายจะสร้างสารต้านอนุมูลอิสระขึ้นมาจะมียูริกออกมาด้วย
3. การขับออกได้น้อย เกิดจากการดื่มน้ำน้อย เพราะว่ายูริกขับออกทางไต ทางปัสสาวะ ถ้าเราดื่มน้ำเยอะ ยูริกก็ขับออกได้เยอะ อีกปัจจัยหนึ่ง คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ในผู้หญิงฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นตัวช่วยขับยูริกออก เพราะฉะนั้นถ้าเกิดคุณหมดประจำเดือนไปแล้วจะต้องระวัง เนื่องจากเมื่อหมดประจำเดือนแล้วฮอร์โมนเอสโตรเจนก็จะลดลง การขับกรดยูริกออกก็จะลดลงไปด้วย
4. ยา โดยเฉพาะยาขับปัสสาวะ ทำให้ยูริกสูงได้ ซึ่งกลุ่มยาขับปัสสาวะบางคนจะได้มาเพื่อช่วยลดความดัน ซึ่งไม่แนะนำให้มากนัก หากมียากลุ่มนี้ควรเปลี่ยนไปใช้ยากลุ่มอื่น
5. มะเร็ง มะเร็งบางชนิดสร้างยูริกขึ้นมา ทำให้กรดยูริกสูงมาก คนที่เป็นมะเร็งทุกคนควรจะเช็คดูยูริก เพราะว่าถ้าเกิดมียูริกสูงจากมะเร็ง แล้วยูริกก็สูงมากจะทำให้เกิดไตวายได้ก่อนที่จะได้รักษามะเร็ง
6. พิษตะกั่ว ในคนที่ตรวจหาแล้วไม่พบสาเหตุ มะเร็งก็ไม่ได้เป็น ยากลุ่มปัสสาวะก็ไม่ได้กิน หากเจอกรณีนี้แล้วควรไปตรวจหาพิษตะกั่ว หากมีสารพิษตะกั่วอยู่ในร่างกายจะทำให้ยูริกสูงได้
เมื่อเรารู้แล้วว่า ยูริก คือ ภัยร้ายแอบแฝง เราจึงควรใส่ใจเรื่องยูริกให้มากขึ้น ดูแลเรื่องอาหารการกินให้ดี ควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และควรตรวจยูริกด้วย เพื่อที่จะได้รู้ว่าเรามีโรคภัยอะไรแบแฝงในร่างกายเราอยู่หรือไม่ อย่างไรหันมาสนใจยูริกกันซักนิดก็จะทำให้สุขภาพเราแข็งแรง ห่างไกลโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ นะคะ : )

การไม่กินแป้งและน้ำตาลเป็นเวลา 14 วัน หรือที่เรียกว่า Low-Carb Diet ระยะเริ่มต้น จะช่วยให้น้ำหนักลดลงเร็วขึ้นอย่างเห็นได...
30/08/2025

การไม่กินแป้งและน้ำตาลเป็นเวลา 14 วัน หรือที่เรียกว่า Low-Carb Diet ระยะเริ่มต้น จะช่วยให้น้ำหนักลดลงเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากร่างกายจะเปลี่ยนไปใช้ไขมันเป็นพลังงานแทนแป้งและน้ำตาล นอกจากนี้ ยังส่งผลดีต่อสุขภาพหลายด้าน เช่น ผิวพรรณสดใสขึ้น สมองสดชื่นขึ้น การนอนหลับดีขึ้น และความอยากอาหารลดลง อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก ร่างกายอาจมีอาการหงุดหงิด อ่อนเพลีย หรือคลื่นไส้ได้

สิ่งที่ควรเน้นทาน:
โปรตีน:เน้นโปรตีนคุณภาพสูง เช่น เนื้อปลา, เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน, ไข่, เต้าหู้, ถั่วต่างๆ
ผัก:เน้นผักใบเขียว และผักที่ไม่ใช่แป้ง เช่น บล็อกโคลี, คะน้า, ผักกาด
ไขมันดี:เช่น อะโวคาโด, น้ำมันมะกอก, ถั่วเปลือกแข็ง
สิ่งที่ควรงด:
ข้าวและแป้ง:งด ข้าว, ขนมปัง, เส้นก๋วยเตี๋ยว
น้ำตาล:งด น้ำหวานทุกชนิด, น้ำอัดลม, ผลไม้ที่มีรสหวานจัด, ขนมหวานต่างๆ
เครื่องดื่ม:งดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล และแอลกอฮอล์

สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 14 วัน:
น้ำหนักลดลง:เป็นช่วงที่น้ำหนักลดได้มากและเร็วที่สุด
ความอยากอาหารลดลง:ร่างกายจะรู้สึกหิวน้อยลง และความอยากของหวานจะลดลง
การเผาผลาญดีขึ้น:ร่างกายจะปรับตัวให้เผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
สมองสดชื่น:ความจำดีขึ้นและรู้สึกตื่นตัว
ผิวพรรณดีขึ้น:ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นและมีความชุ่มชื้นมากขึ้น
นอนหลับสบายขึ้น:ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นและหลับสนิทมากขึ้น
ข้อควรระวัง:
อาการหงุดหงิด/อ่อนเพลีย:
ในช่วงแรก อาจรู้สึกหงุดหงิด อ่อนเพลีย หรือคลื่นไส้ได้ เนื่องจากร่างกายกำลังปรับตัว หากรู้สึกผิดปกติมาก ควรลดปริมาณโปรตีนให้น้อยลง หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ปรึกษาแพทย์:หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการควบคุมอาหารรูปแบบนี้

อะโวคาโด้ปีเตอร์แฮสสุก90%แล้วจ้า
30/08/2025

อะโวคาโด้ปีเตอร์แฮสสุก90%แล้วจ้า

ประกาศ!!!!!อบจ แพร่ เปิดรับสมัครบรรจุข้าราชการโดยไม่ต้องสอบแข่งขัน ดังนี้พยาบาล 57 อัตราแพทย์แผนไทย 15 อัตรานักกายภาพบำบ...
28/08/2025

ประกาศ!!!!!
อบจ แพร่ เปิดรับสมัครบรรจุข้าราชการโดยไม่ต้องสอบแข่งขัน ดังนี้
พยาบาล 57 อัตรา
แพทย์แผนไทย 15 อัตรา
นักกายภาพบำบัด 11 อัตรา

“โรคหลอดเลือดสมอง” โรคที่แสดงอาการเมื่อเส้นเลือดที่เลี้ยงสมองตีบตัน ทำให้อวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายทำงานไม่เป็นปกติและอาจ...
28/08/2025

“โรคหลอดเลือดสมอง” โรคที่แสดงอาการเมื่อเส้นเลือดที่เลี้ยงสมองตีบตัน ทำให้อวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายทำงานไม่เป็นปกติและอาจเป็นอัมพาตได้ เมื่อพบสัญญาณเหล่านี้ ควรรีบพาไปโรงพยาบาลภายใน 4.5 ชม.**
1. นึกคำพูดไม่ออก
2. พูดไม่ชัด เสียงอ้อแอ้
3. หน้าเบี้ยว มุมปากตก
4. มีอาการชา แขนขาอ่อนแรง

** 4.5 ชม.เป็นระยะปลอดภัยในการรักษาให้ยาสลายลิ่มเลือด
#เจ็บเมื่อไหร่ก็โทรมา
#1669

😵ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)ไขมันตัวร้ายที่มองไม่เห็น แต่กลับอันตรายที่สุด❗ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นภัยร้าย...
27/08/2025

😵ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)
ไขมันตัวร้ายที่มองไม่เห็น แต่กลับอันตรายที่สุด❗
ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เป็นภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะอ้วนหรือผอม หากไม่ดูแลการกินและการออกกำลังกาย ไขมันชนิดนี้สามารถนำพามาสู่โรคต่างๆ ได้มากมาย มาทำความรู้จักและเรียนรู้วิธีป้องกันไขมันในช่องท้องไปพร้อมๆ กันนะคะ!
🧠 ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) คืออะไร?
ไขมันในช่องท้อง หรือที่เรียกว่า Visceral Fat คือไขมันที่สะสมอยู่รอบๆ อวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ตับ ตับอ่อน และลำไส้ ซึ่งต่างจากไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ที่อยู่บริเวณผิวหนังที่เราสามารถจับหรือบีบได้ ไขมันในช่องท้องจะอยู่ลึกเข้าไปในร่างกาย และที่สำคัญคือเป็นตัวการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอันตราย เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และภาวะไขมันในเลือดสูง
Visceral Fat มักเป็นไขมันที่มองไม่เห็นจากภายนอก และสามารถสะสมได้ทั้งในคนที่ดูผอมและคนที่มีน้ำหนักเกิน ทำให้คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ตัวว่ามีความเสี่ยง ถึงแม้บางคนอาจดูผอม แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยง เช่น การกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพหรือการไม่ออกกำลังกาย ไขมันในช่องท้องก็สามารถสะสมได้เช่นกันนะคะ!
🚩 ปัจจัยที่ทำให้เกิดไขมันในช่องท้อง
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในช่องท้องมาจากพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตที่ไม่สมดุล มาดูกันว่ามีอะไรที่คุณควรระวังบ้าง:
1. อาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง 🍞🍬
อาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตแปรรูป เช่น ขนมปังขาว ขนมเค้ก หรืออาหารฟาสต์ฟู้ดที่ให้พลังงานสูงแต่ไม่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในช่องท้องได้ง่าย นอกจากนี้ การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม หรือกาแฟหวาน ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกันค่ะ
2. ไขมันทรานส์ (Trans Fat) 🍟
ไขมันทรานส์เป็นไขมันที่พบในอาหารแปรรูป เช่น ขนมอบสำเร็จรูป อาหารทอด และมาการีน ไขมันชนิดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการสะสมไขมันในช่องท้อง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจอีกด้วย! การบริโภคไขมันทรานส์เป็นประจำเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งค่ะ
3. แอลกอฮอล์ 🍺
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก นอกจากจะทำให้ร่างกายหยุดการเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่แล้ว ยังส่งผลให้เกิดการสะสมไขมันในช่องท้องเพิ่มขึ้นอีกด้วย เป็นที่มาของคำว่า "พุงเบียร์" (Beer Belly) นั่นเองค่ะ
4. การขาดการออกกำลังกาย 🏋️‍♂️
พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ชอบเคลื่อนไหว เช่น นั่งทำงานนานๆ หรือนั่งหน้าจอเป็นเวลานาน โดยไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้เกิดการสะสมไขมันในช่องท้องได้ง่าย การขาดการเผาผลาญพลังงานทำให้ไขมันที่รับเข้ามาไม่ได้ถูกนำไปใช้ และสะสมอยู่ในร่างกายค่ะ
⚠️ ไขมันในช่องท้องเสี่ยงต่อโรคอะไรบ้าง?
ไขมันในช่องท้อง เป็นตัวการสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอันตรายหลายชนิด ดังนี้ค่ะ:
1. โรคหัวใจ ❤️
ไขมันในช่องท้องเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการอักเสบและเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ค่ะ
2. โรคความดันโลหิตสูง 📈
การสะสมของไขมันในช่องท้องทำให้ร่างกายต้องใช้แรงดันเลือดมากขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ค่ะ
3. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 🍬
ไขมันในช่องท้องทำให้เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ค่ะ
4. โรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง 🩸
การมีไขมันในช่องท้องทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดไม่สมดุล เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง
5. โรคหลอดเลือดสมอง 🧠
ไขมันในช่องท้องเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองค่ะ
6. กลุ่มอาการเมตาบอลิซึม ⚖️
กลุ่มอาการเมตาบอลิซึมเป็นภาวะที่รวมการมีไขมันในช่องท้องมาก ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง และคอเลสเตอรอลผิดปกติ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังมากมาย
7. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ 💤
ไขมันสะสมในช่องท้องเพิ่มความดันในช่องท้องและปิดกั้นทางเดินหายใจ ส่งผลให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่ต้องระวังค่ะ
8. โรคอัลไซเมอร์ 🧓
การสะสมไขมันในช่องท้องสามารถเชื่อมโยงกับการเสื่อมสภาพของสมอง และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ได้ค่ะ
🔍 จะรู้ได้ยังไงว่าเรามีไขมันในช่องท้องมากแค่ไหน?
การตรวจสอบว่ามีไขมันในช่องท้องมากหรือไม่ อาจทำได้หลายวิธี ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้านหรือปรึกษาแพทย์เพื่อความชัดเจนค่ะ
1. วัดรอบเอว 👗👖
ถ้าคุณผู้หญิงมีรอบเอวเกิน 35 นิ้ว หรือ 40 นิ้ว สำหรับคุณผู้ชาย สันนิษฐานได้เลยค่ะว่าเรากำลังสะสมไขมันในช่องท้องจำนวนมากไว้อยู่
2. ตรวจร่างกาย 🏥
คนที่มีไขมันในช่องท้องแต่ดูผอมอาจจะดูได้ยากหน่อย วิธีที่แน่นอนคือการตรวจร่างกายค่ะ เช่น การใช้ MRI หรือ CT สแกน ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นยำในการตรวจสอบปริมาณไขมันในช่องท้อง
3. คำนวนด้วยการวัดรอบเอวต่อสะโพก 📏
อีกวิธีที่ช่วยประเมินได้คือการคำนวณสัดส่วนระหว่างรอบเอวและรอบสะโพก โดยใช้สูตร รอบเอว (ซม.) ÷ รอบสะโพก (ซม.) หากผู้หญิงได้ผลลัพธ์มากกว่า 0.80 และผู้ชายได้ค่ามากกว่า 0.95 ถือว่ามีไขมันในช่องท้องมากค่ะ
💪 แนวทางลดไขมันในช่องท้อง
แม้ว่าไขมันในช่องท้องจะเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ แต่ข่าวดีก็คือมันสามารถลดได้ง่ายกว่าไขมันใต้ผิวหนัง เพราะไขมันในช่องท้องตอบสนองต่ออาหารและการออกกำลังกายได้ดีกว่า โดยเราสามารถป้องกันและลดมันลงได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ค่ะ:
1. การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ 🏃‍♀️
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น วิ่ง เดินเร็ว ปั่นจักรยาน อย่างน้อยวันละ 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ เป็นวิธีที่ช่วยเผาผลาญพลังงานและลดการสะสมไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
2. การออกกำลังกายฝึกกล้ามเนื้อ 💪
ฝึกกล้ามเนื้ออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เช่น การยกน้ำหนักหรือออกกำลังกายแบบบอดี้เวท (Bodyweight exercises) จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายค่ะ
3. การควบคุมอาหาร 🍽️
โดยการรับประทานแคลอรี่น้อยกว่าที่คุณเผาผลาญในแต่ละวัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัว และน้ำตาลสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการแปรรูป ควรเน้นการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ด ที่ช่วยในการย่อยอาหารและลดการสะสมของไขมันค่ะ
4. การพักผ่อนที่เพียงพอ 🛌
การนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืนเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการนอนไม่เพียงพอทำให้ร่างกายเพิ่มการผลิตฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสะสมไขมันค่ะ
จะเห็นได้ว่า ไขมันในช่องท้องเป็นไขมันที่อันตรายมากๆ ถือเป็นภัยเงียบเนื่องจากเป็นไขมันที่ซ่อนอยู่ภายในและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด แต่ข่าวดีก็คือเราสามารถลดไขมันในช่องท้องได้ไม่ยากนัก ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย! เริ่มต้นวันนี้เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าในวันข้างหน้าค่ะ 😄💪
#อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ #ไขมันในช่องท้อง #โรคความดันโลหิตสูง #โรคหัวใจ

ที่อยู่

บ้านห้วยทราย หมู่5 ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง
Chom Thong
50240

เบอร์โทรศัพท์

+66616628926

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ พยาบาลพี่โอ๋ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง พยาบาลพี่โอ๋:

แชร์