
22/07/2025
บทวิเคราะห์เจาะลึก: ถอดรหัสกลยุทธ์ Chery Group ผ่าน Omoda & Jaecoo กับการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ในไทย และความแตกต่างในสมรภูมิอาเซียน
การประกาศขยายการลงทุนของ Omoda & Jaecoo ในไทยครั้งล่าสุด เป็นมากกว่าแค่การสร้างโรงงาน แต่คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในแผนยุทธศาสตร์ระดับโลกของบริษัทแม่ Chery Holding Group ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เพิ่งติดอันดับ Fortune Global 500 และครองตำแหน่งผู้ส่งออกรถยนต์อันดับ 1 ของจีนติดต่อกันถึง 22 ปี
Thailand Development Report จะพาไปเจาะลึกถึงเบื้องหลังการลงทุนครั้งนี้ ว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยอย่างไร และแตกต่างจากกลยุทธ์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซียโดยสิ้นเชิง
ภาพใหญ่: Chery Group มหาอำนาจยานยนต์โลก
ก่อนจะเข้าใจการลงทุนในไทย เราต้องเข้าใจพลังของบริษัทแม่ Chery ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน แต่เป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยียานยนต์ระดับโลก ที่มีรายได้มหาศาลจากการส่งออกรถยนต์กว่า 1.14 ล้านคันในปี 2024 ความแข็งแกร่งทางการเงินนี้เองที่ทำให้ Chery สามารถดำเนินกลยุทธ์ "เครือข่ายหลายศูนย์กลาง" (Multi-Hub Network) ในอาเซียนได้พร้อมกัน ซึ่งแต่ละประเทศมีบทบาทที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
วิเคราะห์ความแตกต่าง: ยุทธศาสตร์ 3 ศูนย์กลางในอาเซียน
Chery ไม่ได้ใช้พิมพ์เขียวเดียวในการลงทุน แต่ปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับบริบทของแต่ละประเทศอย่างชาญฉลาด:
ประเทศไทย: ศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้า (EV Nexus)
- รูปแบบการลงทุน: เป็นการลงทุนสร้างใหม่ทั้งหมด (Greenfield) มูลค่า 5 พันล้านบาทที่จังหวัดระยอง ซึ่งให้สิทธิ์ในการควบคุมเทคโนโลยีและการผลิตอย่างเต็มที่
- ภารกิจหลัก: ถูกวางให้เป็น ฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) โดยเฉพาะ สัดส่วนการผลิตคือ BEV 70% และ PHEV 30% ซึ่งออกแบบมาเพื่อรับประโยชน์สูงสุดจากนโยบาย EV 3.5 ของรัฐบาลไทยโดยตรง
- ความแตกต่าง: ไทยคือฐานที่เน้นเทคโนโลยี EV ขั้นสูงและเป็นหัวหอกในการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาไปยังอาเซียน ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง
ประเทศมาเลเซีย: ขุมกำลังรถยนต์พวงมาลัยขวา (RHD Powerhouse)
- รูปแบบการลงทุน: เป็นแบบผสมผสาน (Hybrid) คือ สร้างโรงงาน CKD ของตนเอง ที่เมืองชาห์อาลัม ควบคู่ไปกับการ จ้างบริษัทอื่นประกอบ (Contract Manufacturing) ที่โรงงาน Inokom เพื่อให้เข้าสู่ตลาดได้เร็ว
- ภารกิจหลัก: เป็นศูนย์กลางสำหรับรถยนต์พวงมาลัยขวา (RHD) ที่ มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สูงกว่าไทย ครอบคลุมทั้งรถยนต์สันดาป (ICE), PHEV และ BEV พร้อมทั้งมีศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ของตนเอง
- ความแตกต่าง: มาเลเซียเน้นความยืดหยุ่นและครอบคลุมรถยนต์ทุกประเภท ในขณะที่ไทยมุ่งเน้นไปที่ EV เป็นหลัก
ประเทศอินโดนีเซีย: หัวหาดทางยุทธศาสตร์ (Strategic Foothold)
- รูปแบบการลงทุน: เป็นแบบระมัดระวังที่สุด โดยเริ่มต้นจากการ เป็นพันธมิตรกับบริษัทท้องถิ่น (Handal Indonesia Motor) และใช้โรงงานประกอบร่วมกับแบรนด์อื่น เพื่อลดความเสี่ยงด้านการลงทุนในระยะแรก
- ภารกิจหลัก: สร้างตัวตนและเจาะตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่ไม่สูงนัก แต่มีแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในอนาคต
- ความแตกต่าง: เป็นกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดแบบค่อยเป็นค่อยไป ต่างจากไทยที่ทุ่มลงทุนครั้งใหญ่เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตทันที
ความหมายต่อการพัฒนาประเทศไทย
การที่ Chery เลือกไทยเป็นฐานการผลิต EV โดยเฉพาะ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของนโยบายภาครัฐ และส่งผลดีต่อประเทศในหลายมิติ:
ตอกย้ำสถานะ EV Hub: การลงทุนครั้งนี้เป็นการยืนยันว่าไทยคือหมุดหมายสำคัญของโลกในอุตสาหกรรม EV
การถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูง: การตั้งโรงงานผลิต BEV ที่มีสัดส่วนสูงถึง 70% จะนำมาซึ่งเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง
การสร้างซัพพลายเชนในประเทศที่แข็งแกร่ง: Chery ตั้งเป้าหมายการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) สูงถึง 70-80% ภายใน 5 ปี และได้เริ่มจับมือกับผู้ผลิตไทยกว่า 50 รายแล้ว ซึ่งจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลและยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย
โดยสรุป การลงทุนของ Omoda & Jaecoo ในไทยไม่ใช่แค่การสร้างโรงงาน แต่เป็นการวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญที่สุดในเครือข่ายระดับภูมิภาคของ Chery ซึ่งจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การแข่งขันและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน
#เศรษฐกิจไทย #การลงทุน #อุตสาหกรรมยานยนต์ #ฐานการผลิตEV #ซัพพลายเชน #อาเซียน