Salika พื้นที่ของความรู้และความคิดสร้างสรรค์เพื่อการ
เปลี่ยนแปลง จากการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาศักยภาพของผู้คน สังคม และธุรกิจ

สำนักข่าวซินหัว รายงาน เมื่อวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) องค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีนรายงานการทดสอบลงจอดและขึ้นบิน...
09/08/2025

สำนักข่าวซินหัว รายงาน เมื่อวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) องค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีนรายงานการทดสอบลงจอดและขึ้นบินแบบครบวงจรของยานลงจอดบนดวงจันทร์ที่มีมนุษย์ควบคุมในอำเภอหวยไหล มณฑลเหอเป่ยทางตอนเหนือของจีน
การทดสอบข้างต้นเมื่อวันพุธ (6 ส.ค.) ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงการสำรวจดวงจันทร์แบบมีมนุษย์ควบคุมของจีน และนับเป็นครั้งแรกที่จีนดำเนินการทดสอบขีดความสามารถลงจอดและขึ้นบินนอกชั้นบรรยากาศโลกของยานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุม
รายงานระบุว่ายานลงจอดบนดวงจันทร์ “หล่านเย่ว์” (Lanyue – โอบกอดดวงจันทร์) ประกอบด้วยโมดูลลงจอดและโมดูลขับเคลื่อน จัดเป็นยานอวกาศพัฒนาใหม่ที่ถูกออกแบบมาสนับสนุนภารกิจเดินทางไปและกลับจากดวงจันทร์แบบมีมนุษย์ควบคุม
อนึ่ง จีนตั้งเป้าหมายส่งนักบินอวกาศสู่ดวงจันทร์ก่อนปี 2030 เพื่อทำการเดินทางสำรวจทางวิทยาศาสตร์ โดยภารกิจลงจอดบนดวงจันทร์ที่มีมนุษย์ควบคุมมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง การทดลองต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับจรวดขนส่งและยานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมได้เสร็จสิ้นหลายรายการแล้ว
https://www.salika.co/2025/08/08/salika-news-vol-220-6/
Knowledge Sharing Space | www.salika.co

การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดการณ์ ในปี 2569 มูลค่าการใช้จ่ายของผู้ใช้ปลายทางสำหรับบริการสื่อสารดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbi...
09/08/2025

การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดการณ์ ในปี 2569 มูลค่าการใช้จ่ายของผู้ใช้ปลายทางสำหรับบริการสื่อสารดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit หรือ LEO) ทั่วโลก จะมีมูลค่าแตะ 14.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 24.5% จากปี 2568
Khurram Shahzad ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ดาวเทียม LEO ส่วนใหญ่ให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกลที่เครือข่ายแบบเดิมไม่สามารถเข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม ยูสเคสการใช้งานใหม่ๆ ในกลุ่มผู้บริโภคและกลุ่มธุรกิจเริ่มเกิดมากขึ้น ส่งผลทำให้ผู้ให้บริการสื่อสาร (CSPs) ขยายตลาดมากยิ่งขึ้น ทำให้ดาวเทียมวงโคจรต่ำกลายเป็นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงหลักในระดับองค์กร”
ดาวเทียม LEO โคจรใกล้โลกมากกว่าเทคโนโลยีดาวเทียมเดิม ให้การเชื่อมต่อที่รวดเร็วกว่าและมีความหน่วงต่ำกว่า ช่วยให้สามารถส่งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและเสริมเครือข่ายภาคพื้นดินแบบเดิม โดยตลาดนี้กำลังเข้าสู่ช่วงขยายตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยผู้ให้บริการดาวเทียม LEO ที่มีอยู่มากกว่า 20 ราย และคาดว่าจะมีดาวเทียมมากกว่า 40,000 ดวง ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
“เมื่อยูสเคสการใช้งานยังคงเติบโต บริษัทและผู้บริโภคสามารถคาดหวังการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่มีความสม่ำเสมอและรับรู้ทุกสิ่งที่เชื่อมต่อผ่านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตออฟติงส์ (IoT) ได้จากทุกที่ โดยไม่จำกัดสถานที่ แม้แต่เครื่องบิน เรือ และแพลตฟอร์มนอกชายฝั่ง (Sea Platform) ล้วนได้รับประโยชน์จากวิธีการใหม่ที่มีความยืดหยุ่นของเครือข่ายและอินเทอร์เน็ตที่แพร่หลาย”
ในปี 2569 การเติบโตที่ใหญ่ที่สุดของบริการสื่อสารดาวเทียม LEO จะมาจากกลุ่มธุรกิจ (Business) และกลุ่มผู้บริโภค (Consumer) ในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีตัวเลือกการเชื่อมต่ออื่น โดยคาดว่ายอดการใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นถึง 40.2% และ 36.4% ตามลำดับ ตามด้วยบริการ LEO สำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตออฟติงส์ (IoT) (32%) การเดินเรือและการบิน (13.8%) และการปรับปรุงความยืดหยุ่นของเครือข่าย (7.7%)
สำหรับยูสเคสการใช้งานที่เกิดขึ้นใหม่สำหรับบริการสื่อสารดาวเทียมวงโคจรต่ำ สามารถจัดหมวดหมู่ออกเป็น 4 หมวดแตกต่างกัน ดังนี้
1. บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบคงที่และเคลื่อนที่ (Fixed and Mobile Broadband Service)
การใช้งานหลักๆ ของบริการดาวเทียม LEO ในช่วงแรก คือ ใช้สำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบคงที่และเคลื่อนที่ โดยเฉพาะสำหรับไซต์ห่างไกล และใช้เพื่อเสริมการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีอยู่ โดยบริการเหล่านี้รองรับยูสเคสการใช้งานต่างๆ เช่น การเชื่อมต่อในพื้นที่ที่ไม่มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สถานที่ชั่วคราว อาทิ ไซต์ก่อสร้าง หรือบนเรือและเครื่องบิน นอกจากนี้ยังใช้เพื่อการสื่อสารในระหว่างการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน หรือเพื่อปรับปรุงความยืดหยุ่นเป็นการเชื่อมต่อสำรองหรือการแบ็คอัพอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบดั้งเดิม
ตัวอย่างเช่น โดรนที่เชื่อมต่อดาวเทียม LEO ที่ถูกใช้ในออสเตรเลียผ่านการเชื่อมต่อมือถือ 4G/5G ในระหว่างเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือสายการบินของสหรัฐฯ บางแห่งที่เริ่มเสนอบริการอินเทอร์เน็ต Wi-Fi ความเร็วสูงฟรีให้กับผู้โดยสารโดยใช้บริการสื่อสารดาวเทียม LEO
2. การเชื่อมต่อ IoT ทั่วโลก (Global IoT Connectivity)
ดาวเทียม LEO IoT เข้ามาเสริมหรือแม้แต่มาแทนที่เครือข่าย IoT แบบดั้งเดิม สำหรับการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ต้องการการครอบคลุมทั่วทั้งโลก โดยใช้แบนด์วิดท์และความหน่วงที่จำกัด เทคโนโลยีดาวเทียมนี้สามารถใช้สำหรับการติดตามทรัพย์สินได้ทั่วโลก ครอบคลุมภาคเกษตรกรรม น้ำมันและก๊าซ ทรัพยากรธรรมชาติ การขนส่งและโลจิสติกส์ รวมถึงการรับรู้ทางทหาร (Military Sensing) และการตรวจสอบความปลอดภัย
ตัวอย่างเช่น การเชื่อมต่อ IoT ทั่วโลกกำลังถูกนำไปใช้สำหรับทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศโดยใช้ดาวเทียม LEO อย่างเช่นในประเทศจีนผู้ผลิตรถยนต์ได้เปิดตัวดาวเทียม LEO 20 ดวง เพื่อปรับปรุงการนำทางสำหรับยานยนต์อัตโนมัติ และวางแผนที่จะมีกลุ่มดาวเทียมถึง 240 ดวง
3. การเสริมบริการอินเทอร์เน็ตมือถือ (Supplementing Mobile Broadband Services)
บริการสื่อสารดาวเทียม LEO สามารถเสริมประสิทธิภาพอินเทอร์เน็ตมือถือ โดยให้ความครอบคลุมสัญญาณที่ไร้รอยต่อและเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ผ่านการเชื่อมต่อโดยตรงกับอุปกรณ์ (Direct-to-Direct หรือ D2D) และการผสานรวมเข้ากับเครือข่าย 5G เหนือพื้นโลก (5G Non-Terrestrial Networks)
ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการสื่อสารของนิวซีแลนด์ที่เปิดตัวบริการดาวเทียม D2D LEO ช่วยให้ลูกค้าสามารถส่งและรับข้อความในพื้นที่ 40% ของประเทศที่อยู่นอกเขตจากเสาส่งสัญญาณมือถือ โดยผู้อยู่อาศัยในหมู่เกาะคุก (Cook Islands) สามารถส่งข้อความผ่านดาวเทียมมาได้เกือบสองปีแล้ว
4. การเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานแบ็คฮอล (Infrastructure Backhaul)
ทั้งผู้ให้บริการสื่อสารและองค์กรที่มีการดำเนินงานอยู่กระจัดกระจายตามภูมิศาสตร์ สามารถใช้ประโยชน์จากดาวเทียม LEO เพื่อเชื่อมต่อกับสัญญาณที่มีความเสถียรและมีแบนด์วิดท์สูง รองรับแอปพลิเคชัน การถ่ายโอนข้อมูล และความต้องการการสื่อสารที่มีความสำคัญ โดยไม่ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดภาคพื้นดินแบบเดิม
ตัวอย่างเช่น ดาวเทียม LEO สามารถให้การเชื่อมต่อที่จำเป็นเพื่อการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐบาลและองค์กรป้องกันประเทศ ซึ่งมักต้องการลิงก์การสื่อสารที่มีความปลอดภัยและเสถียรในสภาพแวดล้อมที่ห่างไกลหรืออยู่ในเขตแดนข้าศึก
“แม้จะมียูสเคสใช้งานเหล่านี้ที่ขยายตัวมากขึ้น แต่ว่าอุตสาหกรรมนี้ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีข้อจำกัดต่างๆ รวมถึงมีอุปสรรคด้านกฎระเบียบในบางประเทศ และข้อจำกัดด้านความจุเครือข่ายในพื้นที่บางแห่ง โดยบริการ LEO ยังสามารถประสบปัญหากับข้อจำกัดของการโรมมิ่ง ขาดการทำงานร่วมกัน และไม่ได้รับการรับรองสำหรับความต้องการทางทะเลที่สำคัญต่อภารกิจทั้งหมด จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้ให้บริการสื่อสารต้องประเมินกลยุทธ์บนพื้นฐานของยูสเคสที่จำเป็นในการใช้งาน” Shahzad กล่าวเพิ่มเติม.............................................................................................
https://www.salika.co/2025/08/08/low-earth-orbit/
Knowledge Sharing Space | www.salika.co
#การ์ทเนอร์ #ดาวเทียมวงโคจรต่ำ #อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

ดร.อภิชาต ทองอยู่ ประธานคณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC HDC) กล่าวว่า ยามบ้านเมืองเผ...
09/08/2025

ดร.อภิชาต ทองอยู่ ประธานคณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC HDC) กล่าวว่า ยามบ้านเมืองเผชิญศึกหนักชายแดนที่ยังอึมครึมกับอนาคตการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนบ้าน และสภาพการเมืองที่มุ่งห้ำหั่นแก้แค้นช่วงชิงประโยชน์ที่ยังมองไม่เห็นอนาคตความก้าวหน้าต่อบ้านเมืองกับความตกต่ำทางเศรษฐกิจ สังคม และความสิ้นหวังตกต่ำของการบริหารประเทศ ฯลฯ ผลรวมที่เกิดขึ้นส่งผลให้ผู้คนต่างรู้สึกท้อแท้ สับสน หมดศรัทธาในสิ่งที่พบเจอ อีกทั้งได้ยินเสียงตะโกนของความแตกแยกดังขึ้นไปทั่ว…ในท่ามกลางความวุ่นวายสับสนอึมครึมนี้สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยสูญหายไปจากหัวใจของคนไทยคือ “ศรัทธาในแผ่นดินเกิด”
ไทยเป็นชาติที่ผ่านวิกฤตการณ์ความท้าทายนานัปการมาหลายครั้ง ทั้งสงคราม ภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงระบอบ วิกฤตเศรษฐกิจ ฯ แต่ก็ผ่านมาได้ทุกครั้งด้วยพลังความร่วมแรงร่วมใจ และหัวใจที่ยังคงเชื่อมั่นว่า “แผ่นดินของเรายังมีวันใหม่ที่ดีได้เสมอ”
แม้วันนี้ที่เราเผชิญภัยจากเพื่อนบ้านขณะที่ดำรงอยู่ท่ามกลางศึกภายในจากการเมืองที่พึ่งพาไม่ได้ แต่เบื้องลึกของทุกความปรารถนาคือ “อยากเห็นบ้านเมืองดีขึ้น มีความสงบสุข อยากให้ลูกหลานเติบโตในสังคมที่ดีกว่าเดิม” มันเป็นความคิดหวังของทุกคนที่หล่อเลี้ยงความเคลื่อนไหวของผู้คนและสังคม
สิ่งที่ประเทศไทยต้องการตอนนี้ไม่ใช่แค่ผู้นำที่เฉลียวฉลาด แต่คือ “ผู้นำที่มีหัวใจเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง” และ “พลเมืองที่กล้ายืนหยัดด้วยสติปัญญาและความรับผิดชอบ” เพราะประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงระบบ แต่คือวัฒนธรรมที่ต้องสร้างร่วมกันด้วยความเคารพและเมตตาต่อกัน
เราจำเป็นต้องฟื้นฟูความหวังที่ไม่ใช่ด้วยถ้อยคำสวยหรู แต่ด้วยการกระทำที่ต่อเนื่อง การพูดความจริง, การฟังอย่างเข้าใจ, การสร้างสรรค์แทนการทำลาย และการเห็นคุณค่าในกันและกัน
ประเทศไทยคือบ้านของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือความขัดแย้งที่ชายแดน เราต้องไม่ยอมให้ “บ้านของเรา” พังลงด้วยความเกลียดชังหรือความสิ้นหวัง
ขอให้เราทุกคนอดทนเข้มแข็ง ร่วมจุดแสงแห่งความเชื่อมั่นให้ลุกโชนกลายเป็นแสงอรุณของชาติที่กำลังรอวันใหม่อีกครั้ง แผ่นดินนี้ยังไม่เคยสิ้นคนดี…อนาคตอยู่ในมือของเราทุกคน เป็นกำลังใจให้ไทยทุกคน
https://www.salika.co/2025/08/08/salika-news-vol-220-6/
Knowledge Sharing Space | www.salika.co

การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เป็นประธาน ได้อนุ...
09/08/2025

การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน บริษัท ซิง ต๋า สตีล คอร์ด (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตลวดเหล็กทนแรงดึงสูง (Ultimate Tensile Strength) วัตถุดิบสำหรับยางล้อรถยนต์เท่านั้น ซึ่งบริษัทแม่ Xingda เป็นผู้ผลิตลวดเสริมยางล้อ อันดับ 5 ของโลก ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดชลบุรี มูลค่าลงทุน 13,017 ล้านบาท มีแผนจ้างแรงงานไทยกว่า 1,400 คน
นอกจากนี้ยังมีอีก 3 โครงการที่ได้รับการอนุมัติ คือ
1. บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น อาหารแมว ภายใต้แบรนด์สมาร์ทฮาร์ทและมี-โอ ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมของบริษัท เอ็ม. ไทย เอสเตท จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ มูลค่าลงทุน 3,536 ล้านบาท
2. บริษัท วายุ เพาเวอร์ จำกัด ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ตั้งอยู่ที่จังหวัดชัยภูมิ มูลค่าลงทุน 3,834 ล้านบาท โดยจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ขนาด 78 เมกะวัตต์
3. บริษัท อีสานพลังงานสะอาด จำกัด ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ตั้งอยู่ที่จังหวัดมุกดาหาร มูลค่าลงทุน 6,504 ล้านบาท โดยจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ขนาด 90 เมกะวัตต์
รวม 4 โครงการใหญ่ มูลค่าลงทุนรวม 26,891 ล้านบาท
https://www.salika.co/2025/08/08/salika-news-vol-220-6/
Knowledge Sharing Space | www.salika.co

หัวเหวย (Huawei) ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน ประกาศเปิดระบบนิเวศซอฟต์แวร์ชิปแอสเซนด์ (Ascend) แบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ เ...
08/08/2025

หัวเหวย (Huawei) ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน ประกาศเปิดระบบนิเวศซอฟต์แวร์ชิปแอสเซนด์ (Ascend) แบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ใช้งานสามารถสำรวจศักยภาพล้ำลึกของซอฟต์แวร์ชิปและดำเนินการพัฒนาตามความต้องการเฉพาะได้อย่างอิสระ
ซอฟต์แวร์นี้มีชื่อว่าแคนน์ (CANN) หรือสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์สำหรับเครือข่ายประสาท ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างกรอบงานการฝึกอบรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระดับสูงและชิปแอสเซนด์ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงพลังการประมวลผลได้โดยไม่ต้องจัดการกับความซับซ้อนในระดับชิป
ประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างการประชุมสุดยอดอุตสาหกรรมการประมวลผลแอสเซนด์ ซึ่งจัดขึ้นในกรุงปักกิ่งเมื่อวันอังคาร (5 ส.ค.) โดยตัวแทนจากบริษัทปัญญาประดิษฐ์ชั้นนำ มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และพันธมิตรของหัวเหวย ได้ร่วมกันเปิดตัวโครงการริเริ่มพัฒนาระบบนิเวศแบบโอเพนซอร์สของแคนน์ มีเป้าหมายเพื่อรวมพลังของภาคอุตสาหกรรม สำรวจขอบเขตของปัญญาประดิษฐ์ และสร้างระบบนิเวศของชิปที่เติบโต
การเปิดตัวแคนน์ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวล่าสุดของหัวเหวยในการแบ่งปันเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเองสู่สาธารณะ โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้เปิดระบบปฏิบัติการฮาร์โมนีโอเอส (HarmonyOS) และกรอบงานเอไออย่างมายด์สปอร์ (MindSpore) เป็นแบบโอเพนซอร์สแล้ว (ที่มา : ซินหัว)
https://www.xinhuathai.com/china/527625_20250807
https://www.salika.co/2025/08/07/salika-news-vol-219-6/
Knowledge Sharing Space | www.salika.co

ผู้แทนเครือข่ายเด็กและเยาวชนได้นำเสนอนโยบาย 7 ข้อกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร...
08/08/2025

ผู้แทนเครือข่ายเด็กและเยาวชนได้นำเสนอนโยบาย 7 ข้อกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เพื่อการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับโลกยุคใหม่คือ
1. เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ในฝันของเยาวชน / เติมทุน – หนุนการมีส่วนร่วมของเยาวชน
2. สร้างครูให้เสมือน “นักจิตวิทยา” ในโรงเรียน
3. สภาเมืองคนรุ่นใหม่ : บริการสุขภาพสำหรับคนไร้บ้าน / การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในระบบการแพทย์ 4.0
4. มูลนิธินวัตกรรมสร้างสรรค์สังคม : การพัฒนาประเมินประสิทธิภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
5. โครงการพัฒนาสหประชาติ : การมีส่วนร่วมของเยาวชนในการทำนโยบาย
6. ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง : เสียงเยาวชนชาติพันธุ์ในการออกแบบนโยบายที่ครอบคลุมและยั่งยืน
7. กองทุนเพื่อความเสมอภาค โดยหวังให้รัฐบาลเข้ามามีส่วนร่วม และเปิดพื้นที่เพื่อร่วมกันพัฒนานโยบาย เป็นพื้นที่ให้เยาวชนได้มีส่วนร่วมอย่างปลอดภัย มีผู้ใหญ่ที่เข้าใจเยาวชนมาร่วมกันทำงาน เชื่อว่าจะช่วยให้สังคมไทยดีกว่าเดิม
https://www.salika.co/2025/08/07/salika-news-vol-219-6/
Knowledge Sharing Space | www.salika.co

หากกล่าวว่า หมอลำ คือ ตัวแทนสื่อถึง “อัตลักษณ์ของอีสาน” เชื่อว่าคำกล่าวนี้ไม่เกินจริงและไม่ใช่แค่ชาวอีสานแต่ชาวไทยทุกคนจ...
08/08/2025

หากกล่าวว่า หมอลำ คือ ตัวแทนสื่อถึง “อัตลักษณ์ของอีสาน” เชื่อว่าคำกล่าวนี้ไม่เกินจริงและไม่ใช่แค่ชาวอีสานแต่ชาวไทยทุกคนจะเห็นด้วย เพราะศิลปะการแสดงหมอลำ แม้จะมีถิ่นกำเนิดเกิดจากแดนดินถิ่นอีสาน แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่าน หมอลำ ได้พัฒนาเป็นเพลงและการแสดงที่คนไทยทั้งประเทศต่างชื่นชอบ จนได้รับยกย่องว่าเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ไทย ที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกก็ว่าได้
ด้วยเหตุนี้ หมอลำ จึงมีศักยภาพในการผลักดันให้เป็นทั้ง Soft Power ที่สื่อถึง “ความเป็นอีสาน” และความรุ่มรวยของวัฒนธรรมไทยที่มีความแตกต่าง หลากหลาย ไปในแต่ละภูมิภาค นอกจากนั้น เมื่อศึกษาลึกลงไป ก็จะพบว่า ในปัจจุบันการแสดงหมอลำ ได้ขยายและเติบโตเป็น “อุตสาหกรรมหมอลำ” ที่มีอีโคซิสเต็มเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพ ให้กับประชาชนได้มหาศาล โดยจากการสำรวจล่าสุด อุตสาหกรรมหมอลำ สามารถสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจถึง 6,600 ล้านบาทต่อปี จ้างแรงงานมากกว่า 40,000 คน
ดังนั้น เพื่อส่งเสริม รักษาและสืบทอดศิลปะการแสดงหมอลำ ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่ในสังคมไทย พร้อมกระตุ้นให้เยาวชนและนิสิต นักศึกษา ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของศิลปะพื้นบ้านและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ตลอดจนในมิติของการสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยการเชื่อมโยงศิลปะการแสดงหมอลำกับกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับชุมชน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) มหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่า “ตักศิลาของอีสาน” และยังเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เปิดการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับดนตรีพื้นบ้าน หมอลำ การแสดง และศิลปะวัฒนธรรมอีสานหลากหลายสาขาวิชา จึงได้ดำเนินโครงการยกระดับอุตสาหกรรมหมอลำสู่สากลและโครงการมหาหมอลำเฟสติวัล ซึ่งทั้งสองโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนทุนจาก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ภายใต้โครงการ “Art and Creative Industrial Accelerator”
และเพื่อให้ประชาชนทั่วไปรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ คุณค่า และแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถให้กับ อุตสาหกรรมหมอลำ ของไทย บพข. ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดทั้งการแสดงหมอลำวงใหญ่เต็มวง และเวทีเสวนาที่ให้ความรู้เพิ่มเติมในหัวข้อ “โครงการยกระดับหมอลำสู่สากลและโครงการมหาหมอลำเฟสติวัล” ซึ่งจะจัดขึ้น ณ งาน อว.แฟร์ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2568 เวลา 14.00 – 16.00 น. Main stage ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มาร่วม “ม่วนซื่นโฮแซว” กับการแสดงหมอลำเต็มวงและซึมซับคุณค่าการแสดงหมอลำของไทยได้พร้อมเพรียงกันที่งาน อว.แฟร์ ปีนี้.............................................................................................
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.salika.co/2025/08/07/rising-of-morlum-industry-from-art-and-creative-industrial-accelerator-pmuc/
Knowledge Sharing Space | www.salika.co
#ซอฟพาวเวอร์ #บพข #มมส #มหาวิทยาลัยมหาสารคาม #หมอลำ ์

การประชุมหารือระหว่างผู้นำรัฐบาลกับผู้บริหารบริษัทชั้นนำระดับโลก ภายใต้ชื่องาน “Prime Minister Meets Investors: Confiden...
08/08/2025

การประชุมหารือระหว่างผู้นำรัฐบาลกับผู้บริหารบริษัทชั้นนำระดับโลก ภายใต้ชื่องาน “Prime Minister Meets Investors: Confidence in Thailand’s Future” ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ผู้บริหารจากบริษัทระดับโลกเข้าร่วม 30 บริษัท จากสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และสิงคโปร์
บริษัทชั้นนำทั้ง 30 รายส่วนใหญ่เป็นบริษัทรายใหม่ที่ได้ตัดสินใจเข้ามาขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีมูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 550,000 ล้านบาท และได้ช่วยสร้างงานให้บุคลากรไทยกว่า 53,000 ตำแหน่ง อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 4 สาขาหลัก ได้แก่
1. เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น Infineon, Analog Devices, Sony Technology, Haier, Foxsemicon
2. ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ เช่น Changan, BYD, Sunwoda, Continental
3. ดิจิทัล เช่น Google, Tiktok
4. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพและอาหาร เช่น Mead Johnson, Nestle เป็นต้น
การหารือดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ภายหลังจากความสำเร็จของทีมไทยแลนด์ในการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา โดยรัฐบาลไทยต้องการสื่อสารให้นักลงทุนต่างชาติได้ทราบถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางความท้าทายจากภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน
https://www.salika.co/2025/08/07/salika-news-vol-219-6/
Knowledge Sharing Space | www.salika.co

ทุกครั้งที่กัมพูชาอยากประกาศความภาคภูมิใจของชาติ สิ่งที่ถูกหยิบขึ้นมาเสมอคือ “นครวัด” ไม่ว่าเรื่องใดก็เอะอะอ้างถึงนครวัด...
08/08/2025

ทุกครั้งที่กัมพูชาอยากประกาศความภาคภูมิใจของชาติ สิ่งที่ถูกหยิบขึ้นมาเสมอคือ “นครวัด” ไม่ว่าเรื่องใดก็เอะอะอ้างถึงนครวัด จะพูดเรื่องวัฒนธรรม ก็นครวัด จะปลุกกระแสรักชาติก็นครวัด จะตอบโต้ชาติอื่นก็นครวัด แต่คำถามคือ…ใจคอกัมพูชาจะมีแค่ “นครวัด” ไว้โอ้อวดอย่างเดียวกระนั้นหรือ การยึดติดอยู่กับปราสาทหินไม่ได้ทำให้ปัจจุบันดีขึ้น และที่น่าห่วงกว่าคือการอวดอดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไร้ความสามารถจะสร้างสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้โลกจดจำ นั่นไม่ใช่ความภูมิใจ แต่คือสภาวะจมปลักทางความคิด
ในขณะที่ประเทศอื่นใช้มรดกทางวัฒนธรรมเป็นฐานในการต่อยอดและพัฒนาแบรนด์ กัมพูชากลับใช้มรดกเป็นเครื่องมืออ้างอิงโดยไม่เคยต่อยอดให้กลายเป็นสิ่งร่วมสมัย ไม่มีแบรนด์ ไม่มีเรื่องเล่าใหม่ๆ ไม่มีการสร้างคุณค่าเชิงเศรษฐกิจจากรากเหง้าของวัฒนธรรมเลยแม้แต่น้อย แม้ “นครวัด” ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในดินแดนสยาม จะเป็นอารยธรรมอันทรงคุณค่า แต่ “ประเทศกัมพูชา” กลับไม่อาจยกระดับตนเองให้เป็นผู้สืบทอดอารยธรรมนั้นได้.............................................................................................
:: “Made in Cambodia” ที่ไร้น้ำหนัก ::
ป้ายเล็กๆ ที่เย็บติดเสื้อผ้าส่งออกจำนวนมากของกัมพูชาบ่งบอกเพียงว่า “ผลิตที่นี่” แต่ไม่เคยทำให้ผู้บริโภครู้สึก “เชื่อมั่น” ไม่เคยทำให้พวกเขารู้สึกว่าสินค้านี้ดีเพราะเป็นของกัมพูชา ต่างจากคำว่า “Made in Japan” ที่สื่อถึงคุณภาพประณีต “Made in Italy” ที่แปลว่าหรูหราและศิลปะ รวมถึง “Made in Thailand” ที่บ่งบอกถึงรสนิยม ความสร้างสรรค์ และความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิต แล้วเหตุใด “แบรนด์เขมร” จึงไม่อาจสร้างเอกลักษณ์ให้โลกจดจำได้?.............................................................................................
:: กัมพูชา…ประเทศที่ผลิตได้ แต่สร้างคุณค่าไม่ได้ ::
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา กัมพูชามีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานโลกในฐานะ “โรงงานแรงงานราคาถูก” โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้า บริษัทต่างชาติมาลงทุนเพราะต้นทุนต่ำ ไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นในนวัตกรรม ทักษะ หรือวัตถุดิบท้องถิ่น การพึ่งพาการรับจ้างผลิต (OEM) อย่างเดียวโดยไม่ยกระดับสู่อุตสาหกรรมที่สร้างแบรนด์ (OBM) ทำให้ประเทศที่แร้นแค้นนี้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวมูลค่าเพิ่มได้เลย กัมพูชาผลิตแค่สิ่งของ แต่ไม่ได้ผลิต “ความหมาย” ซึ่งในโลกยุคใหม่ การที่ประเทศใดจะยืนหยัดอย่างเฉิดฉายบนเวทีโลกได้ ลำพังแค่รับจ้างผลิตสินค้าไม่พอ ต้องมีเรื่องเล่าและอัตลักษณ์จากแบรนด์ที่ตัวเองปลุกปั้นเองด้วย
ปัจจุบันแบรนด์แฟชั่นระดับโลกจำนวนมากมีสายการผลิตหรือทำงานร่วมกับโรงงานเสื้อผ้าในกัมพูชา โดยเฉพาะแบรนด์ชื่อดังอย่าง H&M, Zara, Levi’s และ UNIQLO ซึ่งต่างมีความสัมพันธ์ด้านการผลิตกับโรงงานในประเทศนี้ เช่น SRP Apparel ผู้ผลิตรายใหญ่ที่จัดส่งสินค้าให้ทั้ง H&M, Zara และ Levi’s ขณะที่ UNIQLO ภายใต้กลุ่ม Fast Retailing ก็มีโรงงานคู่สัญญาเฉพาะในกัมพูชา พร้อมทั้งมีการตรวจสอบสภาพแวดล้อมการทำงานอย่างใกล้ชิด
โรงงานผู้ผลิตในกัมพูชาที่รองรับแบรนด์ระดับโลกเหล่านี้ ได้แก่ SRP Apparel (ผลิตให้ H&M, Zara, Levi’s) Pactics (เน้นสปอร์ตแวร์รักษ์โลก) Naga Industries (ผลิตเสื้อผ้าหลากหลายประเภท)Westline (เชี่ยวชาญด้านเดนิม) Denim Co (เดนิมและสปอร์ตแวร์) Starlight (ยูนิฟอร์มและชุดทำงาน) Signal Sportswear (แอคทีฟแวร์ยืดหยุ่นสูง) และHigh Hope (ผลิตเสื้อผ้าถักและทอให้แบรนด์ใหญ่)
ในภาพรวม กัมพูชามีโรงงานเสื้อผ้ากว่า 600 แห่ง ที่ผลิตสินค้าให้กับแบรนด์นานาชาติกว่า 200 แบรนด์ ทำให้ประเทศนี้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตแฟชั่นที่สำคัญของโลก โดยมีตั้งแต่โรงงานขนาดใหญ่ที่ครบวงจร ไปจนถึงผู้ผลิตรายเล็กที่เน้นความรับผิดชอบต่อสังคมและความยั่งยืน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อแบรนด์เหล่านี้ ไม่ใช่เพราะป้าย “Made in Cambodia” แต่เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในชื่อเสียง คุณภาพ และมาตรฐานของแบรนด์ระดับโลกที่อยู่บนฉลากต่างหาก
------------------------------------------------------
“Made in Cambodia” จะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อกัมพูชากล้าที่จะนิยามมันขึ้นมาใหม่ ด้วยมือของตัวเอง ไม่ใช่วิ่งตามรอยเท้าใคร
------------------------------------------------------
:: อุปสรรคใหญ่ของ “Made in Cambodia” กับเส้นทางสู่แบรนด์ระดับโลก ::
“Made in Cambodia” ยังคงดิ้นรนเพื่อให้ก้าวขึ้นสู่เวทีเดียวกับประเทศที่สร้างแบรนด์ระดับชาติได้สำเร็จ ด้วยเหตุผลซับซ้อนที่เชื่อมโยงกันหลายประการ ดังต่อไปนี้
1. ภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ยังเป็นอุปสรรค
หนึ่งในอุปสรรคหลักที่ฉุดรั้งแบรนด์ “Made in Cambodia” ไม่ให้เติบโตในเวทีโลก คือภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะ “ฐานการผลิตต้นทุนต่ำ” ที่เน้นการใช้แรงงานเข้มข้น มากกว่าจะถูกมองว่าเป็นแหล่งกำเนิดของสินค้าเชิงนวัตกรรม หรือสินค้าคุณภาพระดับสากล อุตสาหกรรมหลักของกัมพูชา เช่น สิ่งทอ เสื้อผ้า และรองเท้า ล้วนตั้งอยู่บนโครงสร้างของแรงงานราคาถูก บริษัทต่างชาติเข้าไปตั้งโรงงานเพื่อใช้ประโยชน์จากค่าแรงขั้นต่ำที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทยหรือเวียดนาม สินค้าที่ผลิตในกัมพูชาจึงมักถูกตีตราทางจิตวิทยาว่าราคาถูกและผลิตแบบเร่งรีบมากกว่าพรีเมียมหรือ ใส่ใจในรายละเอียด ไม่เพียงเท่านั้น รายงานจำนวนมากจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและสื่อระดับโลกยังสะท้อนสภาพการทำงานที่ยากลำบากของแรงงานกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นชั่วโมงทำงานที่ยาวนานเกินมาตรฐาน ค่าจ้างที่น้อยนิดไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมในโรงงานที่เป็นอันตรายเสี่ยงต่อสุขภาพและอันตรายต่อชีวิต เช่น การขาดระบบระบายอากาศ เครื่องจักรไม่มีมาตรฐานความปลอดภัย หรือโรงงานขนาดใหญ่ที่ไม่มีมาตรการป้องกันอัคคีภัยที่ดีเพียงพอ
ขณะที่ข่าวคราวการนัดหยุดงานประท้วง การถูกไล่ออกโดยไม่เป็นธรรม และกรณีที่แรงงานหญิงตั้งครรภ์ถูกละเมิดสิทธิ ล้วนปรากฏในสื่อระดับโลกอยู่บ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้กัดกร่อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในและนอกประเทศว่า “Made in Cambodia” อาจหมายถึงผลิตจากความทุกข์ทรมานและยากลำบากของคนทำงาน มากกว่าจะเป็นแบรนด์ที่ผลิตด้วยจริยธรรม
ในยุคที่ผู้บริโภคทั่วโลกตื่นตัวเรื่องแรงงานที่เป็นธรรม (Fair Labor) และการบริโภคอย่างมีจริยธรรม (Ethical Consumption) ชื่อเสียงด้านลบเกี่ยวกับสภาพแรงงานจึงกลายเป็น “ภาระทางภาพลักษณ์” ที่กัมพูชาจำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน หากหวังจะยกระดับแบรนด์ประเทศให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก
2. การสร้างมูลค่าและประสบการณ์ด้านแบรนด์ที่ยังจำกัด
หนึ่งในข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้แบรนด์ “Made in Cambodia” ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่เวทีโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ คือการขาดมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทาน และประสบการณ์ด้านการสร้างแบรนด์ในระดับประเทศและระดับสากล
แม้กัมพูชาจะมีกำลังการผลิตจำนวนมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และรองเท้า แต่กระบวนการผลิตส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในขั้นตอนการประกอบชิ้นส่วนขั้นสุดท้าย (Final Assembly) หรือที่เรียกว่า “Cut-Make-Trim” (CMT) ซึ่งเป็นรูปแบบการผลิตที่มูลค่าเพิ่มน้อยมาก เพราะการออกแบบผลิตภัณฑ์ การเลือกวัตถุดิบ ไปจนถึงการวางแผนการตลาด มักดำเนินการโดยบริษัทแม่ในต่างประเทศ เช่น แบรนด์ระดับโลกออกแบบเสื้อผ้าในนิวยอร์ก ปารีส หรือโตเกียว แล้วส่งแบบมาที่โรงงานในพนมเปญให้ “ตัด-เย็บ-ส่ง” ตามคำสั่ง โดยที่แรงงานในกัมพูชาไม่มีส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรมหรือบ่มเพาะอัตลักษณ์ของสินค้าเลย
การที่บริษัทท้องถิ่นในกัมพูชายังรับบทเป็น “ผู้รับจ้างผลิต (OEM/ODM)” มากกว่า “เจ้าของแบรนด์” ทำให้ไม่สามารถควบคุมภาพลักษณ์สินค้า คุณภาพ หรือช่องทางจัดจำหน่ายได้เอง อีกทั้งยังไม่มีอำนาจต่อรองในตลาด และขาดโอกาสสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพูดถึงเรื่อง “การสร้างแบรนด์” (Brand Building) บริษัทกัมพูชาจำนวนมากยังขาดประสบการณ์เชิงลึก ไม่ว่าจะเป็นการวางกลยุทธ์ การทำวิจัยตลาด การสื่อสารจุดขาย หรือแม้แต่การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดต่างประเทศ หลายแบรนด์ทำการตลาดแบบกระจัดกระจาย มีโลโก้แต่ไม่มีเรื่องราว มีสินค้าแต่ขาด “คุณค่า” ที่ผูกโยงกับจิตใจของผู้บริโภค
อีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การขาดการรวมพลังในระดับประเทศ ขณะที่ประเทศอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือแม้แต่เวียดนาม มีการผลักดันให้แบรนด์ท้องถิ่นกลายเป็น “ตัวแทนของชาติ” ผ่านแคมเปญระดับชาติเช่น “Cool Japan” หรือ “Vietnam Value” กัมพูชายังไม่มีกรอบยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการส่งเสริมภาพลักษณ์ร่วมระดับประเทศ บริษัทแต่ละรายจึงต่างคนต่างทำ ไม่มี Storytelling หรือ Identity ที่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว
ในยุคที่แบรนด์คือทรัพย์สินและคุณค่าที่จับต้องไม่ได้ กลายเป็นข้อได้เปรียบเชิงแข่งขันระดับโลก การที่กัมพูชายังติดอยู่กับโมเดลการผลิตเพื่อคนอื่น ย่อมทำให้ประเทศนี้ยังไม่สามารถปลุกพลังของแบรนด์ขึ้นมาเป็นสมบัติร่วมของชาติได้
3. ปัญหาสินค้าลอกเลียนแบบและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่ยังอ่อนแอ
อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือของแบรนด์ Made in Cambodia คือปัญหาสินค้าลอกเลียนแบบ (Counterfeit Goods) ที่แพร่หลายทั้งในตลาดภายในประเทศและในสินค้าส่งออก โดยมีรากฐานจากการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่อ่อนแอ และการบ่มเพาะวัฒนธรรมการบริโภคที่ให้ความสำคัญกับราคาถูก มากกว่าคุณค่าของของแท้
ภาพที่เห็นได้ชัดในชีวิตประจำวันของชาวกัมพูชา คือการเดินเข้าไปในตลาดท้องถิ่น หรือตลาดชายแดน แล้วพบกับสินค้าที่มีโลโก้ใกล้เคียงกับแบรนด์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าแบรนด์เนมหรู รองเท้ากีฬาชื่อดัง หรือเสื้อยืดที่ติดโลโก้แบรนด์แฟชั่นต่างๆ ที่จำหน่ายในราคาต่ำกว่าของแท้หลายเท่า ต่อให้ผู้บริโภคจำนวนมากรู้ว่าเป็นของปลอม แต่ยังซื้อเพราะราคาถูกและมองว่าก็ใช้ได้เหมือนกัน
เมื่อพฤติกรรมนี้กลายเป็นเรื่องปกติ สินค้าของแท้ที่ผลิตในประเทศเดียวกันก็ยากที่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตลาด ไม่ว่าจะภายในหรือในสายตาผู้บริโภคต่างประเทศ เพราะไม่มีหลักประกันว่าแบรนด์ที่วางจำหน่ายจะปลอดจากการถูกลอกเลียนแบบ
ในมุมของนักลงทุนและเจ้าของแบรนด์ต่างชาติ ปัญหานี้คือความเสี่ยงที่มองเห็นได้ชัด เพราะการเลือกตั้งโรงงานผลิตในประเทศที่ไม่สามารถควบคุมการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ ย่อมทำให้แบรนด์หลักของตนมีโอกาสถูกก็อปปี้หรือนำไปจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เพียงแต่เสียรายได้ แต่ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์และความไว้วางใจจากผู้บริโภค
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในกัมพูชายังไม่มีความเข้มงวดเพียงพอ แม้จะมีกฎหมายรองรับในระดับพื้นฐาน เช่น กฎหมายสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ และเครื่องหมายการค้า แต่ในทางปฏิบัติกลับมีการบังคับใช้น้อยมาก และกระบวนการยุติธรรมยังช้า ล่าช้า และไม่โปร่งใส ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ถูกละเมิดเลือกที่จะปล่อยผ่าน แทนที่จะดำเนินคดี เพราะมองว่าเสียเวลาโดยใช่เหตุ
ผลที่ตามมาคือภาพลักษณ์ของ Made in Cambodia จึงขาดความน่าเชื่อถือ ไม่มั่นใจในคุณภาพ ผู้บริโภคไม่กล้าตัดสินใจซื้อสินค้าแบรนด์จากกัมพูชา เพราะไม่แน่ใจว่าสินค้าที่วางอยู่ตรงหน้าคือ “ของแท้” หรือ “ของเลียนแบบ” กันแน่
4. โครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่ยังเป็นข้อจำกัด
หนึ่งในอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งการเติบโตของแบรนด์ Made in Cambodia คือข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่ยังไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจในระดับสากล แม้กัมพูชาจะตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีแรงงานต้นทุนต่ำที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ปัจจัยพื้นฐานหลายประการกลับยังตามไม่ทันความต้องการของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่
ตั้งแต่ระบบถนนที่ยังไม่เชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ควรเป็นฐานการผลิตหลัก ถนนหลายสายยังคงเป็นลูกรังหรือผิวแอสฟัลต์คุณภาพต่ำ ทำให้การขนส่งล่าช้าและเพิ่มต้นทุนโลจิสติกส์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่ท่าเรือสำคัญ เช่น ท่าเรือสีหนุวิลล์ แม้จะเป็นประตูการค้าหลักของประเทศ แต่ก็ยังไม่สามารถรองรับปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ได้มากนัก อีกทั้งระบบการจัดการยังไม่ทันสมัยเพียงพอ ทำให้การหมุนเวียนของสินค้าในระบบโลจิสติกส์ยังติดขัด
ระบบไฟฟ้าซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตอุตสาหกรรม ก็ยังไม่มีเสถียรภาพ โรงงานหลายแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลจากศูนย์กลางเมืองใหญ่ ต้องพึ่งพาเครื่องปั่นไฟสำรองอยู่เป็นประจำจากปัญหาไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง ส่งผลให้กระบวนการผลิตหยุดชะงัก และอาจกระทบต่อคุณภาพสินค้าโดยตรง เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารหรือสิ่งทอที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำ มีกรณีของโรงงานผลิตเสื้อผ้าแห่งหนึ่งในเขตพิเศษใกล้พนมเปญที่ต้องหยุดสายการผลิตวันละหนึ่งถึงสองชั่วโมงเนื่องจากไฟตกหรือไฟดับ ส่งผลให้สูญเสียต้นทุนหลายหมื่นดอลลาร์ต่อเดือน และยังทำให้ไม่สามารถจัดส่งสินค้าให้ทันตามกำหนดของลูกค้าแบรนด์ต่างประเทศ
นอกจากข้อจำกัดด้านกายภาพแล้ว ระบบกฎระเบียบและการบริหารราชการของกัมพูชายังเป็นอีกหนึ่งแรงเสียดทานที่ทำให้หลายบริษัท โดยเฉพาะนักลงทุนจากต่างชาติ ต้องลังเลก่อนตัดสินใจเข้ามาลงทุน แม้จะมีกฎหมายที่ประกาศส่งเสริมการลงทุนอย่างเป็นทางการ แต่ในทางปฏิบัติ กลับเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ตั้งแต่กฎหมายที่ยังตีความได้หลายทาง กระบวนการขอใบอนุญาตที่ล่าช้า ไม่โปร่งใส ไปจนถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งล้วนเพิ่มต้นทุนแฝงให้กับการดำเนินธุรกิจในระดับที่ผู้ประกอบการไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ นักลงทุนต่างชาติบางรายใช้เวลากว่า 6 เดือนในการขออนุญาตก่อสร้างโรงงาน ทั้งที่ยื่นเอกสารครบตั้งแต่ช่วงต้น เพราะเปลี่ยนผู้บริหารระดับท้องถิ่น และไม่มีระบบส่งต่องานอย่างเป็นระบบ สิ่งนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบราชการ ที่แม้เพียงการเปลี่ยนเจ้าหน้าที่หนึ่งคน ก็สามารถทำให้กระบวนการล่าช้าแบบไร้เหตุผล
เมื่อรวมปัจจัยเหล่านี้เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นถนนที่ยังไม่พร้อม ท่าเรือที่คับแคบ ไฟฟ้าที่ไม่เสถียร และกฎระเบียบที่แปรเปลี่ยนตามบุคคล ระบบทั้งหมดนี้ส่งผลโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ Made in Cambodia เพราะในยุคที่ผู้บริโภคและนักลงทุนต้องการความแน่นอน ความน่าเชื่อถือ และการส่งมอบตรงเวลา การที่แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ย่อมต้องตั้งอยู่บนระบบโครงสร้างที่ไว้วางใจได้ก่อนเป็นอันดับแรก
แม้รัฐบาลกัมพูชาตั้งเป้าไว้อย่างทะเยอทะยานว่า ภายในปี 2573 จะสามารถปรับปรุงถนนในพื้นที่ชนบทให้เป็นถนนคอนกรีตและยางมะตอยได้ถึง 75% ของทั้งหมด คิดเป็นระยะทางราว 50,000 กิโลเมตร จากถนนชนบททั้งหมดในประเทศกว่า 67,000 กิโลเมตร โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ความมั่นคงทางสังคม และรายได้ของประชาชนในชนบทให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
เป้าหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “เพนตากอน” (Pentagon Strategy) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศระยะยาวที่รัฐบาลกัมพูชาประกาศใช้ภายหลังการเลือกตั้งปี 2566 โดยมีโครงสร้างคล้ายกับรูปดาวห้าแฉก ซึ่งประกอบด้วยห้าด้านหลัก ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรมนุษย์ การปฏิรูประบบราชการ และความยุติธรรม โดยถนนในชนบทถือเป็นหัวใจสำคัญของ “แฉกแรก” คือการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างรากฐานสู่การพัฒนาในด้านอื่น
อย่างไรก็ตาม แม้เป้าหมายนี้จะฟังดูทะเยอทะยานและน่าชื่นชมในแง่เจตนารมณ์ แต่ในทางปฏิบัติกลับเต็มไปด้วยข้อจำกัดที่ยากจะมองข้าม โดยเฉพาะในเรื่องของงบประมาณและศักยภาพด้านบริหารจัดการ
ในปีงบประมาณล่าสุด กระทรวงพัฒนาชนบทได้รับการจัดสรรงบประมาณเพียง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,430 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงเองก็ยอมรับว่า “ไม่เพียงพอ” แม้แต่สำหรับการซ่อมแซมถนนเดิม และยิ่งไม่ครอบคลุมความต้องการในการก่อสร้างถนนใหม่อีกนับหมื่นกิโลเมตรภายในเวลาไม่ถึง 6 ปี
แม้กระทรวงฯ จะได้รับการสนับสนุนจากธนาคารระหว่างประเทศ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB), ธนาคารโลก (World Bank), ธนาคารพัฒนาเคเอฟดับเบิลยู (KfW) ของเยอรมนี และธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) แต่การพึ่งพาทุนสนับสนุนจากภายนอกเช่นนี้ก็มีข้อจำกัดในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณ เงื่อนไขทางเทคนิคที่ซับซ้อน หรือข้อกำหนดด้านความโปร่งใสในการประมูลและจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ระบบราชการกัมพูชายังมีปัญหาเรื้อรังอยู่ไม่น้อย
ขณะเดียวกัน โจทย์เรื่องความยั่งยืนหลังการก่อสร้างก็ยังไม่ชัดเจน เพราะถนนคอนกรีตหรือถนนลาดยางต้องการงบประมาณบำรุงรักษาระยะยาว ซึ่งหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เคยเร่งสร้างถนนอย่างรวดเร็ว ล้วนเผชิญกับปัญหาถนนเสื่อมสภาพก่อนเวลา เมื่อไม่มีงบสนับสนุนต่อเนื่อง
ไม่เพียงเท่านี้ ปัจจัยทางภูมิประเทศและฤดูกาลของกัมพูชายังซ้ำเติมต้นทุนก่อสร้าง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ถนนลูกรังหลายสายกลายเป็นดินโคลนและไม่สามารถสัญจรได้ ทำให้การขนส่งวัสดุก่อสร้างต้องใช้เวลาและงบประมาณสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งการติดตั้งระบบระบายน้ำในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากก็ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับแต่ละโครงการ
เมื่อประเมินจากข้อเท็จจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณที่จำกัด ศักยภาพบริหารจัดการที่ยังเปราะบาง ความไม่แน่นอนของระบบราชการ และอุปสรรคจากภูมิประเทศ เป้าหมายของรัฐบาลฮุน มาเน็ต ที่ต้องการเปลี่ยนถนนลูกรังทั่วประเทศให้กลายเป็นโครงข่ายคมนาคมที่ทนทานและทันสมัยภายในปี 2573 จึงดูเป็น “ความฝันที่ยังห่างไกลจากความเป็นจริง” เว้นแต่จะมีการปฏิรูประบบอย่างจริงจังในทุกระดับ และเปลี่ยนวิธีคิดจากการ “เร่งสร้าง” มาเป็นการ “สร้างอย่างยั่งยืน”
5. ขาดแนวคิดเชิงระบบ ขาดการผลักดันจากรัฐ
ประเทศที่สร้างแบรนด์ให้มีชื่อเสียงได้ ล้วนมีนโยบายเชิงรุกจากภาครัฐ ทั้งการลงทุนในนวัตกรรม การสนับสนุนเอสเอ็มอี การสร้างสิ่งแวดล้อมให้แบรนด์เติบโต เช่น ญี่ปุ่นมี JETRO เกาหลีใต้มี KOTRA และนโยบาย Creative Korea ไทยมี BOI, OTOP, และ Thai SELECT เป็นต้น แต่กัมพูชากลับไม่มีโครงสร้างสนับสนุนเช่นนั้น รัฐเน้นการดึงดูดทุนต่างชาติแบบสั้นๆ แต่ไม่มีนโยบายระยะยาวที่จะสร้างแบรนด์ท้องถิ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ปัญหาที่แท้จริงของกัมพูชาคือการคิดแบบเหยื่อ และมองโลกแบบจอมปลอม สิ่งที่น่าห่วงที่สุดไม่ใช่แค่การไม่มีแบรนด์ แต่คือวิธีคิดที่วนอยู่กับการโทษคนอื่นมากกว่าพัฒนาตนเอง มัวแต่ สร้าง Fake News เพื่อปั่นคนในชาติให้ระรานประเทศอื่น แทนที่จะปลูกปัญญา มัวแต่ หลงอดีต แต่ไม่เคยเรียนรู้จากโลกปัจจุบัน นี่คือความน่าเวทนาของกัมพูชาที่มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการปลุกกระแสชาตินิยมในโซเชียลมีเดีย กล่าวหาชาติอื่นว่าขโมยวัฒนธรรม แต่แท้จริงแล้วตัวเองต่างหากที่พยายามอ้างสิทธิเหนือสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้สร้างหรือไม่ได้อยู่ในดินแดนของตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่การสร้างแบรนด์ เพราะมันคือการสร้างม่านควัน บดบังความอ่อนแอของตัวเอง
6. การมีส่วนร่วมในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ยังต่ำ
เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย เวียดนามหรือแม้แต่ลาว บริษัทในกัมพูชายังแสดงบทบาทด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ได้น้อยมาก ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ กิจกรรม CSR ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การบริจาค หรือจัดกิจกรรมเพื่อการกุศลเป็นครั้งคราว โดยขาดกรอบแนวคิดที่เชื่อมโยง CSR เข้ากับกลยุทธ์ของแบรนด์ในระยะยาว เช่น การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน การลดคาร์บอนฟุตพรินต์ หรือการกำหนดจรรยาบรรณในห่วงโซ่อุปทาน
ในขณะที่ผู้บริโภคทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดพรีเมียมและประเทศพัฒนาแล้ว ให้ความสำคัญกับจริยธรรม ความโปร่งใส และการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อยๆ แบรนด์จากกัมพูชากลับยังไม่มีการสื่อสาร หรือระบบรองรับเพื่อแสดงความตั้งใจในประเด็นเหล่านี้อย่างจริงจัง จึงขาดความน่าเชื่อถือในสายตาต่างชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น บางอุตสาหกรรม เช่น สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นหัวใจของการส่งออกกัมพูชา ยังถูกจับตามองจากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องค่าจ้างแรงงานต่ำ การละเมิดสิทธิแรงงาน และสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะสม แต่กลับมีบริษัทน้อยรายที่ลุกขึ้นมาสื่อสารหรือแสดงจุดยืนในเชิงจริยธรรมเพื่อลดแรงต้านจากผู้บริโภค
การไม่สามารถยืนอยู่ในฐานะแบรนด์ที่ “ใส่ใจ” ต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และแรงงาน คือจุดอ่อนสำคัญที่ฉุดรั้งแบรนด์กัมพูชาไม่ให้เติบโตในตลาดโลก โดยเฉพาะในยุคที่ “การเลือกซื้อ” สินค้าของผู้บริโภคมาพร้อม “การเลือกคุณค่า” ที่แบรนด์นั้นยึดถือ
หากไม่เร่งพัฒนาหลักคิด CSR ให้ลึกและจริงจังกว่านี้ แบรนด์กัมพูชาก็จะติดกับดักของการเป็นเพียง “แบรนด์ราคาถูก” ที่ไม่มีตัวตนทางจริยธรรมให้จับต้อง — และยากที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มหรือภาพลักษณ์เชิงบวกในระยะยาว
7. การแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในเอเชียที่แข็งแกร่งกว่า
ในเวทีการค้าและการลงทุนระดับภูมิภาค กัมพูชาต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากประเทศเพื่อนบ้านที่ล้ำหน้าไปไกลกว่ามากทั้งในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน ระบบกฎหมาย ห่วงโซ่อุปทาน เทคโนโลยี และภาพลักษณ์ของสินค้า
ไทย แม้ค่าจ้างแรงงานจะสูงกว่า แต่ได้เปรียบอย่างมหาศาลในเรื่องความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีแรงงานทักษะสูง ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมอาหาร การเกษตรแปรรูป ยานยนต์ หรือสุขภาพและความงาม รวมถึงศิลปะวัฒนธรรม พร้อมทั้งมีมาตรฐานรับรองระดับสากลและภาพลักษณ์เชิงบวกที่สะสมมายาวนาน
เวียดนาม กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลก ด้วยเครือข่ายซัพพลายเชนที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ข้ามชาติอย่าง Samsung, Apple และ Nike มีท่าเรือขนาดใหญ่ ระบบโลจิสติกส์คล่องตัว และแรงงานที่มีทักษะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สร้างความเชื่อมั่นทั้งในแง่คุณภาพและประสิทธิภาพ
จีน นอกจากจะเป็นโรงงานของโลกแล้ว ยังควบคุมต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำของการผลิตได้อย่างครบวงจร มีเทคโนโลยีล้ำหน้า ระบบโลจิสติกส์ทรงประสิทธิภาพ และสามารถแข่งขันทั้งในเรื่องคุณภาพและปริมาณ
เมื่อเทียบกับสามประเทศนี้ กัมพูชาดูด้อยกว่าอย่างชัดเจนในแทบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งที่ยังพึ่งพาเพียงไม่กี่เส้นทางหลัก แรงงานที่ขาดทักษะเฉพาะด้าน ภาคการผลิตที่ยังอยู่ในระดับ OEM และการขาดระบบรับรองคุณภาพที่น่าเชื่อถือในสายตาตลาดโลก
สิ่งที่ยิ่งตอกย้ำจุดอ่อนคือ การที่แบรนด์ “Made in Cambodia” ยังไม่สามารถแสดง “มูลค่าเฉพาะตัว” (Unique Value) ได้ชัดเจน ไม่ว่าจะในเรื่องคุณภาพฝีมือ นวัตกรรม หรือความรับผิดชอบต่อสังคม ผู้บริโภคจำนวนมากยังคงมองกัมพูชาในฐานะแหล่งผลิตที่เน้นต้นทุนต่ำ มากกว่าจะเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าที่มีมาตรฐานและจิตวิญญาณของแบรนด์ที่แข็งแรง นอกจากนี้ การละเมิดลิขสิทธิ์ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง ระบบกฎหมายอ่อนแอ การสื่อสารในระดับสากลไม่ชัดเจน การไม่มีแรงผลักดันจากภาครัฐในเชิงยุทธศาสตร์ ทำให้กัมพูชาแม้ลงแข่งในสนามเดียวกันกับเพื่อนบ้าน แต่ไม่มีอาวุธที่ดีพอจะสู้ได้
ดังนั้น เมื่อเวทีเดียวกันถูกยึดครองด้วยผู้เล่นที่แข็งแกร่งกว่า มีต้นทุนด้านโครงสร้างดีกว่า มีทักษะแรงงานสูงกว่า และมีความเชื่อมั่นระดับโลกมากกว่า ความพยายามของกัมพูชาจะยิ่งดูเล็กลง เว้นแต่ว่าจะสร้างแนวรบใหม่ที่ต่างออกไป ไม่ใช่เดินตามแต่เพียงรูปแบบเดิมของคู่แข่งที่ล้ำหน้าไปไกลแล้ว.............................................................................................
:: ทำไมข้าวกัมพูชาสู้ไทยไม่ได้? ::
แม้กัมพูชาจะปลูกข้าวพันธุ์ดีจำนวนมาก โดยเฉพาะข้าวหอมกำปอตและข้าวหอมพนมเปญที่เคยคว้ารางวัลระดับโลกมาแล้ว แต่ในเชิงภาพลักษณ์ “ข้าวไทย” ยังคงครองใจผู้บริโภคทั่วโลกแบบไร้ข้อกังขา
สิ่งที่สะท้อนปัญหาได้ชัดเจนคือการที่ข้าวกัมพูชาบางยี่ห้อเลือกใช้ “ภาษาไทย” และ “สัญลักษณ์คล้ายธงชาติไทย” บนบรรจุภัณฑ์ที่วางขายในตลาดจีน โดยหวังให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าเป็นข้าวหอมมะลิไทยแท้ การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างความสับสนในหมู่ผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความอ่อนแอของแบรนด์ “Made in Cambodia” ที่ไม่สามารถยืนด้วยตัวเองได้ จนต้องแอบอิงชื่อเสียงของไทยเพื่อขายสินค้าในตลาดต่างประเทศ
ข้อนี้สะท้อนประเด็นเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Infringement) ที่กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาแบรนด์และภาพลักษณ์สินค้าไทยในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่กฎหมายคุ้มครอง IP ยังไม่เข้มแข็ง เช่น ในกัมพูชาเอง การบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า หรือสิทธิบัตร ยังมีข้อจำกัด ทำให้ผู้ประกอบการบางรายเลือกใช้วิธี “ลอกเลียน” หรือแอบอ้างซึ่งกันและกันเพื่อสร้างยอดขายในระยะสั้น ทั้งที่ในระยะยาวเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของทั้งสองฝ่าย
อีกมิติที่สำคัญคือเรื่องของ Soft Power หรืออิทธิพลทางวัฒนธรรมและภาพลักษณ์ที่ประเทศสามารถสร้างขึ้นได้ ประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างสูงในการใช้ Soft Power ผ่านการส่งออกวัฒนธรรมอาหาร ข้าวหอมมะลิเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่ทำให้ไทยมีภาพลักษณ์เป็นแหล่งผลิตข้าวคุณภาพสูงในใจผู้บริโภคทั่วโลก ขณะที่กัมพูชายังขาดการพัฒนา Soft Power ในระดับนี้อย่างเป็นระบบ ทำให้แม้ผลิตภัณฑ์จะมีคุณภาพดี แต่ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ทางใจหรือจุดเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งพอในการแข่งขันกับไทย
ประเทศไทยมีการวางกลยุทธ์ที่ชัดเจน ทั้งการส่งเสริม GI (Geographical Indication) ควบคุมคุณภาพแหล่งปลูก ตลอดจนการทำตลาดระดับโลกที่สื่อสารเรื่องราวคุณค่าของข้าวไทยอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ขณะที่กัมพูชายังไม่มีโครงสร้างสนับสนุนในลักษณะเดียวกัน
ดังนั้น แทนที่ข้าวกัมพูชาจะถูกจดจำในฐานะสินค้าที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว กลับกลายเป็นเพียง “ของเลียนแบบ” ที่ไม่เพียงลดคุณค่าของตัวสินค้า แต่ยังสะท้อนความล้มเหลวในการสร้างแบรนด์ประเทศและใช้ประโยชน์จาก Soft Power อย่างเต็มศักยภาพ.............................................................................................
ที่มา :
https://vnembassy-thehague.mofa.gov.vn/en-us/News/News/Pages/Vietnam-Value%E2%80%93-A-quality-commitment-to-the-world-market-.aspx
https://www.cao.go.jp/cool_japan/english/index-e.html
https://kpl.gov.la/EN/detail.aspx?id=83296
https://brandexsourcing.com/top-10-clothing-and-apparel-manufacturers-in-cambodia/
https://www.salika.co/2025/08/07/why-cambodian-brands-fail-to-shine-globally/
Knowledge Sharing Space | www.salika.co
#กัมพูชา #เขมร #แบรนด์กัมพูชา

ที่อยู่

Dusit

เบอร์โทรศัพท์

+66610123210

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Salikaผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Salika:

แชร์