Bestjob th ค้นหาตำแหน่งงานว่างและรวบรวมตำแหน?

Bestjobth เป็นเว็บไซต์จัดหางานลงงานในรูปแบบออนไลน์ พร้อมเป็นตัวกลางระหว่างผู้สมัครงานที่กำลังหางาน และบริษัทที่กำลังหาพนักงานเข้ามาทำงานในส่วนต่างๆ มีบริการครบวงจรด้านการจัดสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพ พร้อมช่วยเหลือทุกบริษัทในไทยให้ท่านได้หาพนักงานที่ใช่ตรงตามที่ต้องการ

ใช้ชีวิตให้เหมือนว่าพรุ่งนี้โลกจะแตกเคยไหมที่เราผัดวันประกันพรุ่งคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยทำ วันหลังค่อยพูด หรือไว้พร้อมค่อยเริ...
29/08/2025

ใช้ชีวิตให้เหมือนว่าพรุ่งนี้โลกจะแตก
เคยไหมที่เราผัดวันประกันพรุ่งคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยทำ วันหลังค่อยพูด หรือไว้พร้อมค่อยเริ่ม แต่ถ้าวันพรุ่งนี้ไม่มีอยู่จริงล่ะ
แนวคิด “ใช้ชีวิตให้เหมือนว่าพรุ่งนี้โลกจะแตก” (Live like the world ends tomorrow) ไม่ได้หมายถึงการใช้ชีวิตแบบประมาทหรือไร้แผน แต่เป็นการเตือนให้เราตระหนักถึงคุณค่าของ “ปัจจุบัน” ว่าเป็นสิ่งเดียวที่เราควบคุมได้จริง และอาจเป็น “โอกาสสุดท้าย” ของบางสิ่งในชีวิต

แนวคิดนี้คืออะไร
แนวคิดนี้คือการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายในทุกวันราวกับว่าวันพรุ่งนี้อาจไม่มีอีกแล้ว เช่น
- พูดในสิ่งที่ควรพูด
- ทำในสิ่งที่อยากทำ
- ให้อภัยในสิ่งที่ควรปล่อยวาง
- กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ติดค้างใจมานาน
ไม่ใช่เพราะกลัวตายแต่เพราะไม่อยากเสียใจที่ไม่เคย “ได้ใช้ชีวิตจริง ๆ”

ประโยชน์ของการใช้ชีวิตในแนวทางนี้
1. มีสติกับปัจจุบันมากขึ้น หยุดคิดวนเรื่องอดีต หยุดกังวลเรื่องอนาคต
2. กล้าทำสิ่งที่เคยลังเล เช่น การสารภาพรัก, เริ่มธุรกิจ, หรือเดินทางคนเดียว
3. รู้คุณค่าของคนและสิ่งรอบตัว ไม่ผลักคนที่รักเราออกไปเพราะคิดว่าจะมี “เวลาอีกเยอะ”
4. ลดความกลัวความล้มเหลว ถ้าพรุ่งนี้โลกแตก คุณจะยังกลัวอะไรอยู่
5. ไม่ผัดวันทำสิ่งสำคัญ เช่น การบอกรักพ่อแม่ หรือดูแลสุขภาพที่ปล่อยทิ้งไว้

สิ่งที่ควรระวังอย่าเข้าใจผิด
แนวคิดนี้ไม่ใช่การใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ใช้เงินหมดบัญชี ตัดสินใจแบบไม่รับผิดชอบ ทำอะไรตามใจโดยไม่คิดถึงผลกระทบ แนวทางนี้คือ “การมีสติ + ความกล้า + ความชัดเจน” ไม่ใช่ “การหนีปัญหา + ทำอะไรก็ได้ก่อนตาย”

แนวทางฝึกใช้แนวคิดนี้ในชีวิตประจำวัน
1. ตื่นมาทุกเช้าแล้วถามตัวเองว่า “ถ้าวันนี้คือวันสุดท้ายเราจะทำอะไร”
2. เขียนจดหมายถึงคนที่คุณรัก แม้ไม่ส่งแต่อย่างน้อยคุณจะรู้ว่ารู้สึกอะไร
3. หยุดเลื่อนแผนสำคัญไปเรื่อย ๆ ถามตัวเองว่า “สิ่งนี้รอได้อีกกี่วัน” จริงไหม
4. หยุดเสียเวลากับสิ่งที่ไม่มีคุณค่าเช่น ดราม่าในโซเชียล หรือความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางไปต่อ

สรุป
การใช้ชีวิตให้เหมือนว่าพรุ่งนี้โลกจะแตกไม่ใช่เรื่องเศร้าแต่คือการมีสติ ไม่ใช่เรื่องหวาดกลัวแต่คือการมีเป้าหมาย ไม่ใช่เรื่องสุดโต่งแต่คือการใช้ชีวิตให้เต็มที่กับวันนี้ เพราะบางครั้ง “พรุ่งนี้” อาจไม่มาตามสัญญา “จงใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่ดำรงอยู่” — Don’t just exist. Live.

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

เคยไหมที่เราผัดวันประกันพรุ่งคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยทำ วันหลังค่อยพูด หรือไว้พร้อมค่อยเริ่ม แต่ถ้าวันพรุ่งน...

สิ่งที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าโรคซึมเศร้า (Depression) ไม่ใช่แค่ความเศร้าใจทั่วไป แต่เป็นภาวะทางจิตใจที่ซับซ้...
27/08/2025

สิ่งที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า (Depression) ไม่ใช่แค่ความเศร้าใจทั่วไป แต่เป็นภาวะทางจิตใจที่ซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางสมองและจิตวิทยา หลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้ ส่งผลให้เกิดอคติและปัญหาในการรับมือกับผู้ป่วย บทความนี้จะช่วยชี้แจงข้อผิดพลาดทั่วไปในมุมมองทางจิตวิทยา

1. ซึมเศร้าคือแค่ “ความรู้สึกเศร้า” ที่ไม่สามารถควบคุมได้
ในทางจิตวิทยา ความเศร้าคืออารมณ์ปกติที่เกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่เจ็บปวดหรือสูญเสีย แต่โรคซึมเศร้าคือภาวะที่อารมณ์เศร้าลึกและยาวนานเกินกว่าปกติ และยังมาพร้อมกับความคิดเชิงลบอย่างรุนแรง เช่น ความรู้สึกหมดหวังและไร้ค่า ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ด้วยความตั้งใจหรือความพยายามเพียงอย่างเดียว

2. การซึมเศร้าเกิดจากความอ่อนแอทางจิตใจหรือ “ขี้เกียจ”
จิตวิทยายืนยันว่าโรคซึมเศร้าเป็นภาวะที่เกิดจากความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง และกระบวนการทางความคิดที่ผิดปกติ เช่น การคิดลบซ้ำๆ (rumination) ที่ทำให้ผู้ป่วยจมอยู่กับความคิดลบอย่างไม่สิ้นสุด โรคนี้ไม่ใช่เรื่องของความตั้งใจหรือความเข้มแข็งทางจิตใจ แต่เป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษา

3. ผู้ป่วยซึมเศร้าคือคนที่เลือก “ยอมแพ้” กับชีวิต
ในทางจิตวิทยา การซึมเศร้าเกี่ยวข้องกับการขาดแรงจูงใจ ความรู้สึกหมดพลัง และการมองโลกในแง่ลบ ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสมองและกระบวนการคิดที่ผิดปกติ ไม่ใช่การตัดสินใจหรือความล้มเหลวส่วนตัว การมองว่าผู้ป่วย “ยอมแพ้” หรือ “ขี้เกียจ” เป็นการเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง

4. คำพูดให้กำลังใจ “คิดบวก” ช่วยได้เสมอ
แม้ว่าการสนับสนุนทางอารมณ์และคำพูดให้กำลังใจจะช่วยได้บางส่วน แต่ผู้ป่วยซึมเศร้ามักจะมีความคิดลบซ้ำๆ ที่คุมความรู้สึกและการตัดสินใจของตัวเอง จึงต้องได้รับการบำบัดทางจิตวิทยาที่ถูกต้อง เช่น การบำบัดพฤติกรรมทางความคิด (Cognitive Behavioral Therapy - CBT) ที่ช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบความคิดลบและพฤติกรรมที่ไม่ช่วยเหลือ

5. โรคซึมเศร้าเป็นเรื่องของ “อารมณ์” เท่านั้น
จิตวิทยามองโรคซึมเศร้าว่าเป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ความคิด พฤติกรรม และร่างกายอย่างเชื่อมโยงกัน ผู้ป่วยอาจมีอาการ เช่น ความเหนื่อยล้า การเปลี่ยนแปลงของการนอน การรับประทานอาหาร และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทำให้โรคนี้ต้องได้รับการรักษาอย่างครอบคลุมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

6. การรักษาโรคซึมเศร้าคือแค่การใช้ยา
ในมุมมองจิตวิทยา การใช้ยารักษาเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการรักษา ผู้ป่วยมักต้องได้รับการบำบัดทางจิตวิทยาร่วมด้วย เช่น การบำบัดพฤติกรรมทางความคิด (CBT), การบำบัดด้วยการพูดคุย (psychotherapy) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีจัดการกับความคิดและอารมณ์อย่างเหมาะสม

สรุป
โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตวิทยาที่ซับซ้อนและต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ความเศร้าหรืออ่อนแอทางจิตใจ การลดความเข้าใจผิดและเปิดใจรับฟังจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนและรักษาอย่างถูกต้อง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

โรคซึมเศร้า (Depression) ไม่ใช่แค่ความเศร้าใจทั่วไป แต่เป็นภาวะทางจิตใจที่ซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการทา.....

เมื่อความกลัวตกกระแสกลายเป็นความกดดันทางสังคมในยุคที่ผู้คนเช็กโทรศัพท์วันละหลายสิบครั้ง เลื่อนดูฟีดโซเชียลมีเดียแทบทั้งว...
25/08/2025

เมื่อความกลัวตกกระแสกลายเป็นความกดดันทางสังคม
ในยุคที่ผู้คนเช็กโทรศัพท์วันละหลายสิบครั้ง เลื่อนดูฟีดโซเชียลมีเดียแทบทั้งวัน เราอาจรู้สึกว่าทุกคนกำลังทำอะไรสนุก ๆ กันอยู่ แต่ฉันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งเลย ความรู้สึกแบบนี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า FOMO

FOMO คืออะไร
FOMO ย่อมาจาก Fear of Missing Out แปลตรงตัวคือความกลัวที่จะพลาดอะไรบางอย่าง ซึ่งในบริบทปัจจุบัน หมายถึงความรู้สึกกังวล ไม่สบายใจ หรือกระวนกระวายใจ เมื่อตนเองไม่ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรม โอกาส หรือประสบการณ์ที่ผู้อื่นกำลังพูดถึงหรือแชร์บนสื่อสังคมออนไลน์

ลักษณะของคนที่มีอาการ FOMO
1. รู้สึกอิจฉาหรือเปรียบเทียบชีวิตกับผู้อื่น
2. ไม่อยากพลาดเทรนด์ หรือกิจกรรมที่คนอื่นกำลังพูดถึง
3. เช็กโซเชียลมีเดียบ่อยมาก กลัวตกข่าว
4. มักรีบตัดสินใจเพราะกลัวพลาด เช่น รีบซื้อของที่กำลังลดราคา หรือรีบเข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่คิดให้รอบคอบ
5. ใช้ชีวิตตามสิ่งที่คนอื่นทำมากกว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ผลกระทบของ FOMO
1. ด้านจิตใจ
- เครียด วิตกกังวล
- มีความรู้สึกไม่พอใจในตัวเอง
- รู้สึกโดดเดี่ยว แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนในโลกออนไลน์
2. ด้านพฤติกรรม
- เสพติดการใช้งานโซเชียล
- ตัดสินใจผิดพลาดจากแรงกระตุ้น
- ไม่สามารถโฟกัสกับชีวิตจริงตรงหน้า
3. ด้านการเงิน
- ใช้เงินเกินตัว เพื่อไม่พลาดสินค้า เทรนด์ หรือประสบการณ์
- สมัครเข้าร่วมกิจกรรมหรือซื้อของเพียงเพราะคนอื่นก็ทำ

วิธีรับมือกับ FOMO อย่างมีสติ
1. จำไว้ว่าทุกคนมีด้านที่ไม่ได้โพสต์ สิ่งที่คุณเห็นในโซเชียลคือเพียงส่วนเล็ก ๆ ของชีวิตคนอื่น ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด
2. ฝึกอยู่กับปัจจุบัน (Mindfulness) ลองตั้งเวลาไม่เล่นโซเชียลสักช่วงหนึ่งในแต่ละวัน และให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
3. ตั้งเป้าหมายของตัวเองให้ชัด เมื่อรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจริง ๆ คุณจะไม่สั่นคลอนง่ายเมื่อเห็นคนอื่นทำสิ่งที่ต่างจากคุณ
4. พิจารณาอย่างมีเหตุผลก่อนตัดสินใจ ถามตัวเองว่าฉันอยากทำสิ่งนี้เพราะอะไร ฉันจะเสียอะไรถ้าไม่ทำ

สรุป
FOMO คือความกลัวที่เกิดจากโลกที่หมุนเร็ว และเต็มไปด้วยการเปรียบเทียบ แต่เมื่อเราสามารถหยุดพักหันกลับมาอยู่กับตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างมีสติ FOMO ก็จะไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นตัวเตือนที่ทำให้เรากลับมาทบทวนว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

ในยุคที่ผู้คนเช็กโทรศัพท์วันละหลายสิบครั้ง เลื่อนดูฟีดโซเชียลมีเดียแทบทั้งวัน เราอาจรู้สึกว่าทุกคนกำล....

จะทำอย่างไรหากต้องการปฏิเสธคนอื่นแบบสุภาพในสังคมไทยการปฏิเสธคนอื่นมักเป็นเรื่องที่ยาก เพราะเราไม่อยากทำให้คนอื่นรู้สึกเส...
22/08/2025

จะทำอย่างไรหากต้องการปฏิเสธคนอื่นแบบสุภาพ
ในสังคมไทยการปฏิเสธคนอื่นมักเป็นเรื่องที่ยาก เพราะเราไม่อยากทำให้คนอื่นรู้สึกเสียหน้า ผิดหวัง หรือคิดว่าเราไม่มีน้ำใจ แต่ในบางครั้งเราอาจไม่มีเวลาพอ ไม่สะดวก หรือไม่สามารถทำตามคำขอได้จริง ๆ แล้วจะทำอย่างไรดี
คำตอบคือเราสามารถปฏิเสธได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด หากรู้จักพูดอย่างสุภาพ และจริงใจ บทความนี้จะพาคุณไปดูเทคนิค และตัวอย่างที่ใช้ได้จริงในการปฏิเสธแบบรักษาน้ำใจ

ทำไมต้องปฏิเสธให้เป็น
1. เพื่อรักษาขอบเขตของตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องรับทุกอย่าง เพราะการฝืนใจอาจทำให้รู้สึกอึดอัด หรือเสียสมดุลชีวิต
2. เพื่อไม่เสียความสัมพันธ์ การพูด "ไม่" ที่ถูกวิธีจะไม่ทำให้ความสัมพันธ์เสียหาย
3. เพื่อความชัดเจนและสบายใจของทั้งสองฝ่าย ดีกว่ารับไว้แล้วทำไม่ได้ หรือทำแบบไม่เต็มใจ

เทคนิคการปฏิเสธอย่างสุภาพ
1. เริ่มต้นด้วยการแสดงความขอบคุณ แสดงให้เห็นว่าเราซาบซึ้งที่เขานึกถึงเรา เช่น ขอบคุณที่คิดถึงเรานะ เราดีใจมากเลยที่เธอนึกถึงเราให้ช่วย
2. ใช้ถ้อยคำสุภาพ ไม่แข็งจนเกินไป แทนที่จะพูดว่า ไม่เอา, ไม่ทำ, ให้ใช้คำว่าอาจจะยังไม่สะดวกช่วงนี้ หรือ เราคงยังไม่สามารถรับไว้ได้ตอนนี้
3. ให้เหตุผลอย่างจริงใจ (แต่ไม่ต้องละเอียดเกินไป) เช่น ช่วงนี้เรามีภาระที่ต้องโฟกัสอยู่หลายเรื่อง หรือ เรากลัวว่าจะช่วยได้ไม่เต็มที่เลยอยากให้เธอได้คนที่สะดวกกว่านี้
4. เสนอทางเลือกอื่น (ถ้าเป็นไปได้) เช่น เราทำไม่ได้ตอนนี้ แต่เราแนะนำให้ลองคุยกับคุณบีนะ เขาเชี่ยวชาญด้านนี้มากเลย หรือ ตอนนี้เราไม่ว่าง แต่ถ้าเป็นอาทิตย์หน้าเราอาจช่วยดูได้นิดหน่อย
5. ปิดท้ายด้วยท่าทีเป็นมิตร เช่น ไว้มีโอกาสหน้าอย่าลืมชวนเราอีกนะ หรือ ยังไงก็ขอให้โชคดีกับโปรเจกต์นี้นะเราเป็นกำลังใจให้

ตัวอย่างสถานการณ์ & วิธีปฏิเสธ
- เพื่อนขอยืมเงิน “เราขอโทษจริง ๆ นะ ช่วงนี้เราต้องจัดการค่าใช้จ่ายบางอย่าง เลยยังไม่สะดวกเลย”
- ถูกชวนไปงานเลี้ยง “ขอบคุณมากเลยที่ชวนแต่น่าเสียดายที่เราติดธุระพอดีไว้คราวหน้าไม่พลาดแน่นอน
- ถูกขอความช่วยเหลือเรื่องงาน “เราอยากช่วยมากเลยนะแต่ตอนนี้มีงานค้างเยอะมากกลัวจะไม่สามารถทำให้ได้ดี”
- คนขายพยายามเสนอขายของ “ขอบคุณค่ะขอเก็บไว้พิจารณาก่อนนะคะถ้าสนใจจะติดต่อกลับไปค่ะ”

ข้อควรหลีกเลี่ยง
1. พูดปฏิเสธแบบห้วน ๆ เช่น ไม่ว่าง, ไม่เอา
2. ตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญ หรือแสดงอารมณ์ลบ
3. โกหกแบบเกินจริง เพราะอาจทำให้ถูกจับได้ภายหลัง

สรุป
การปฏิเสธไม่ใช่เรื่องผิด แต่คือทักษะที่ต้องใช้ความเข้าใจ ความอ่อนโยน และความกล้าพอสมควร หากคุณสามารถปฏิเสธด้วยความจริงใจและให้เกียรติผู้อื่น ความสัมพันธ์ก็ยังดำเนินต่อไปได้อย่างดี และคุณเองก็จะไม่รู้สึกผิดกับการยืนหยัดในขอบเขตของตัวเองด้วย

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

การปฏิเสธไม่ใช่เรื่องผิด แต่คือทักษะที่ต้องใช้ความเข้าใจ ความอ่อนโยน และความกล้าพอสมควร หากคุณสามารถปฏ.....

มาทำความรู้จักกับการใช้ชีวิตแบบนับถอยหลังชีวิตแบบนับถอยหลัง คือการใช้ชีวิตไปวัน ๆ โดย ไม่อิน ไม่ตื่นเต้น และไม่รู้สึกเชื...
20/08/2025

มาทำความรู้จักกับการใช้ชีวิตแบบนับถอยหลัง
ชีวิตแบบนับถอยหลัง คือการใช้ชีวิตไปวัน ๆ โดย ไม่อิน ไม่ตื่นเต้น และไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ คนที่อยู่ในโหมดนี้มักมีพฤติกรรมหรือความคิดแบบนี้
- รอให้เลิกงานทุกวัน
- รอวันหยุดสุดสัปดาห์เสมอ
- ตื่นเช้ามาแล้วถอนหายใจทุกวันจันทร์
- ทำงานแบบ “อยู่รอด” ไม่ได้ “เติบโต”
- รู้สึกว่าเวลาในแต่ละวันช้าและไร้ความหมาย

ทำไมเราถึงตกอยู่ในโหมดนับถอยหลัง
1. ขาดเป้าหมายหรือความหมายในชีวิต หากไม่มีอะไรที่เรารู้สึกว่า “กำลังเดินไปหา” เราจะรู้สึกว่าวัน ๆ หนึ่งก็แค่ผ่านไปเท่านั้น
2. งานหรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะ เมื่อทำในสิ่งที่ไม่ใช่ หรืออยู่ในที่ที่ไม่เหมาะกับตัวเองความสุขในการใช้ชีวิตก็จะหายไป เหลือเพียงการ "อยู่ให้รอดวันต่อวัน"
3. ภาวะหมดไฟ (Burnout) เหนื่อยสะสมจนไม่เหลือแรงใจให้กับสิ่งใด แม้แต่สิ่งที่เคยชอบก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นอีกแล้ว
4. รู้สึกไม่มีอิสระหรือควบคุมชีวิตตัวเองไม่ได้ ต้องทำตามระบบ หรือติดอยู่ในวงจรซ้ำเดิมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

สัญญาณว่าคุณกำลังใช้ชีวิตแบบนับถอยหลัง
1. เช็กเวลาบ่อย ๆ ว่าเมื่อไหร่จะเลิกงาน
2. เบื่อทุกเช้า รู้สึกแย่โดยไม่มีเหตุผล
3. ไม่คาดหวังอะไรจากวันพรุ่งนี้
4. ไม่มีพลังแม้แต่จะเริ่มทำสิ่งเล็ก ๆ
5. ใช้ชีวิตเหมือนกำลังรอ "อะไรสักอย่าง" ที่ไม่เคยมาถึง

จะเปลี่ยนจากนับถอยหลังมาเป็นใช้ชีวิตให้เต็มที่ได้อย่างไร
1. หยุดแล้วถามตัวเองว่า “เราต้องการอะไรจริง ๆ” เริ่มจากการตั้งคำถามง่าย ๆ ว่าอะไรทำให้เรามีไฟ หรือชีวิตแบบไหนที่เราอยากมีในอีก 1 ปีข้างหน้า
2. เริ่มวันด้วยกิจกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจ แม้จะเล็กน้อย เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือเดินเล่นตอนเช้า สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สมองเริ่มต้นวันในโหมดที่สดชื่นขึ้น
3. สร้าง “จุดเล็ก ๆ” ของความหมายในแต่ละวัน อาจเป็นการเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ, เขียนบันทึก, คุยกับคนที่สร้างแรงบันดาลใจ หรือแม้แต่การช่วยเหลือผู้อื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ
4. กล้าทบทวนและปรับเส้นทาง หากงาน สภาพแวดล้อม หรือวิถีชีวิตเดิมไม่ตอบโจทย์ ลองค่อย ๆ สำรวจเส้นทางใหม่ อาจเริ่มจากงานอดิเรก ทักษะใหม่ หรือเป้าหมายเล็ก ๆ ที่ทำได้จริง

สรุป
ชีวิตไม่ควรเป็นแค่การรอวันศุกร์ หรือวันหยุดยาว แต่ควรเป็นการ “ใช้ทุกวัน” อย่างมีเป้าหมาย แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังมีพลัง ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในโหมด “นับถอยหลัง” อย่ารอให้หมดแรงไปมากกว่านี้ ลองหยุดฟังตัวเองซักนิดบางทีคุณอาจแค่ต้อง “หันพวงมาลัย” ชีวิตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

ชีวิตไม่ควรเป็นแค่การรอวันศุกร์ หรือวันหยุดยาว แต่ควรเป็นการ “ใช้ทุกวัน” อย่างมีเป้าหมาย แม้เพียงเล็กน้....

ไม่ยากถ้าอยากเข้าสังคมเก่งไม่ว่าเราจะทำงาน เรียน หรือใช้ชีวิตประจำวัน ทักษะการเข้าสังคม (Social Skills) ถือเป็นเครื่องมื...
18/08/2025

ไม่ยากถ้าอยากเข้าสังคมเก่ง
ไม่ว่าเราจะทำงาน เรียน หรือใช้ชีวิตประจำวัน ทักษะการเข้าสังคม (Social Skills) ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตราบรื่นขึ้นหลายเท่า บางคนอาจมองว่าตัวเองไม่ถนัดเข้าสังคม หรือไม่รู้จะเริ่มยังไง แต่ความจริงแล้วทักษะนี้สามารถฝึกฝนได้ไม่ต่างจากการเรียนภาษาใหม่

Social Skills คืออะไร
Social Skills (ทักษะทางสังคม) คือชุดของพฤติกรรม การสื่อสาร และการปฏิสัมพันธ์ที่ช่วยให้เราสื่อสารกับคนรอบตัวได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการฟัง การพูด การแสดงออก การเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น หรือการทำงานร่วมกับผู้อื่นล้วนเป็นส่วนหนึ่งของทักษะนี้

ตัวอย่าง Social Skills ที่สำคัญ
1. การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) ไม่ใช่แค่ได้ยิน แต่คือการฟังด้วยความเข้าใจ พร้อมแสดงออกว่าสนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
2. การสื่อสารอย่างชัดเจน (Clear Communication) พูดตรงประเด็น เข้าใจง่าย และสุภาพ
3. ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) เข้าใจความรู้สึกและมุมมองของผู้อื่น ไม่ตัดสินก่อนฟังให้ครบ
4. การปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ (Adaptability) รู้จักกาลเทศะ และปรับวิธีการพูด/พฤติกรรมให้เหมาะกับบริบท
5. การทำงานร่วมกับผู้อื่น (Teamwork) มีความร่วมมือ เคารพความเห็นต่าง และพร้อมสนับสนุนผู้อื่น

ทำไม Social Skills ถึงสำคัญ
1. ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หรือคนรอบตัว
2. เพิ่มโอกาสทางอาชีพ คนที่มีทักษะการสื่อสารมักได้รับความไว้วางใจและเลื่อนตำแหน่งได้เร็ว
3. ลดความขัดแย้งเพราะรู้วิธีจัดการสถานการณ์และอารมณ์อย่างเหมาะสม
4. ส่งเสริมความมั่นใจในตนเอง เมื่อติดต่อกับคนอื่นได้ดีเราก็กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำมากขึ้น

เทคนิคง่าย ๆ ที่ทำให้คุณเข้าสังคมเก่งขึ้น
1. เริ่มจากการฟังให้มากขึ้น ฟังเพื่อเข้าใจไม่ใช่แค่รอจะพูดกลับ
2. ฝึกพูดหน้ากระจกหรืออัดเสียงตัวเองช่วยให้รู้ว่าการสื่อสารของเราชัดเจนหรือไม่
3. เข้าสังคมในแบบที่สบายใจ ไม่จำเป็นต้องฝืนเข้ากลุ่มใหญ่ แค่เริ่มจากบทสนทนาเล็ก ๆ ก็เพียงพอ
4. สังเกตคนที่มี Social Skills ดี ๆ แล้วลองทำตาม เช่น วิธีพูด น้ำเสียง หรือท่าทางการแสดงออก
5. เปิดใจรับ Feedback ถ้าเพื่อนหรือคนรอบข้างแนะนำ ลองฟังและนำมาพัฒนาตนเอง

สรุป
Social Skills เป็นทักษะที่ทุกคนเรียนรู้และพัฒนาได้ไม่ว่าคุณจะเป็นคนพูดเก่งหรือไม่ก็ตาม เริ่มต้นจากการตั้งใจฟัง พูดอย่างเคารพ และเปิดใจต่อผู้อื่น แล้วคุณจะค้นพบว่าความสัมพันธ์ที่ดี และความสำเร็จในชีวิตเริ่มต้นจากการสื่อสารที่เข้าใจคนจริง ๆ เพราะการเป็นคนเก่งไม่เพียงพอ หากคุณสื่อสารกับคนอื่นไม่เป็น

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับคนที่อยากเปิดใจเข้าหา และเป็นที่จดจำในสังคม

จริงหรือไม่ Attention Span ของคนยุคใหม่สั้นลงในยุคที่วิดีโอสั้นไม่เกิน 15 วินาทีครองพื้นที่โซเชียลมีเดีย ผู้คนเปลี่ยนจาก...
15/08/2025

จริงหรือไม่ Attention Span ของคนยุคใหม่สั้นลง
ในยุคที่วิดีโอสั้นไม่เกิน 15 วินาทีครองพื้นที่โซเชียลมีเดีย ผู้คนเปลี่ยนจากการอ่านบทความยาวเป็นการไถฟีดผ่านสายตาเพียงไม่กี่วินาที มีคำกล่าวหนึ่งที่ถูกพูดบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ว่า Attention Span ของคนยุคใหม่สั้นกว่าปลาทอง!

Attention Span คืออะไร
Attention Span หรือช่วงความสนใจ หมายถึงระยะเวลาที่สมองของเราสามารถโฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้โดยไม่ถูกรบกวนหรือไขว้เขว ยิ่ง Attention Span ยาว เราจะสามารถทำสิ่งนั้นได้ลึกและมีคุณภาพมากขึ้น เช่น อ่านหนังสือยาว ๆ ได้จนจบ ทำงานได้โดยไม่เสียสมาธิ หรือสนทนาได้อย่างตั้งใจ

แล้วทำไมถึงบอกว่าสั้นลง
หนึ่งในการศึกษาที่ถูกพูดถึงบ่อยมากคือของ Microsoft Canada ปี 2015 ที่ระบุว่าคนยุคดิจิทัลมี Attention Span เฉลี่ยเหลือเพียง 8 วินาที น้อยกว่าปลาทองซึ่งอยู่ที่ 9 วินาที
แม้งานวิจัยดังกล่าวจะได้รับความนิยมและถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวาง แต่ก็มีนักวิชาการจำนวนไม่น้อยที่ตั้งข้อสงสัยในความน่าเชื่อถือของตัวเลขนี้ โดยให้เหตุผลว่า
- ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าปลาทองมี Attention Span 9 วินาทีจริง
- งานวิจัยนั้นไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการอย่างเป็นทางการ
- Attention Span ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำไม่ใช่เฉลี่ยตายตัวสำหรับทุกอย่าง
ตัวเลข 8 วินาทีอาจไม่แม่นยำ แต่แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมความสนใจมีอยู่จริง

สิ่งที่เปลี่ยนไปจริง ๆ คือพฤติกรรมการใช้ความสนใจ
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ พฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี เช่น
- เลื่อนฟีดอย่างรวดเร็วหากไม่โดนใจก็ไม่หยุดดู
- ชอบคอนเทนต์ที่สั้น กระชับ เข้าใจทันที
- มีนิสัยเปิดหลายหน้าจอ (multitasking) จนยากจะโฟกัสกับสิ่งเดียว
ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความสามารถในการจดจ่อ แต่หมายถึงสมองเราคุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และปรับตัวตามพฤติกรรมการใช้งานดิจิทัล

นักวิจัยว่าอย่างไร
งานวิจัยหลายฉบับในด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์แสดงว่าการรับข้อมูลจำนวนมากจากหลายแหล่งพร้อมกันทำให้สมองเหนื่อยเร็วขึ้น สมองของคนไม่ได้สมาธิสั้นลง แต่เปลี่ยนรูปแบบการโฟกัส ความสามารถในการจดจ่อยังมีอยู่ หากมีเงื่อนไขที่เหมาะสม เช่น สภาพแวดล้อมเงียบ ขาดสิ่งรบกวน ฯลฯ

แล้วเราควรทำอย่างไร
1. ฝึกสมาธิวันละ 5-10 นาที เช่น สังเกตลมหายใจหรือนั่งนิ่ง ๆ โดยไม่ใช้มือถือ
2. จัดตารางทำงานแบบมีช่วงเวลา (เช่น เทคนิค Pomodoro)
3. ปิดการแจ้งเตือนบนมือถือ หรือใช้โหมดโฟกัสเมื่อทำงาน
4. ลดพฤติกรรม multitasking แล้วเลือกทำสิ่งเดียวให้เสร็จก่อน
5. หมั่นอ่านหนังสือหรือบทความยาว ๆ เพื่อฝึกสมองให้ทนต่อข้อมูลที่ต้องใช้ความเข้าใจมากขึ้น

สรุป
Attention Span ของคนยุคใหม่อาจไม่ได้สั้นลงจริง ๆ ในเชิงโครงสร้างสมอง แต่พฤติกรรม และสภาพแวดล้อมกำลังทำให้เราจดจ่อกับสิ่งใดได้น้อยลงกว่าเดิม ดังนั้นแทนที่จะกังวลว่าตัวเองสมาธิสั้น ลองมองว่าเราอยู่ในยุคที่มีสิ่งรบกวนมากขึ้น และต้องเรียนรู้วิธีควบคุมความสนใจแทนที่จะปล่อยให้มันไหลไปตามอัลกอริทึม

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

ในยุคที่วิดีโอสั้นไม่เกิน 15 วินาทีครองพื้นที่โซเชียลมีเดีย ผู้คนเปลี่ยนจากการอ่านบทความยาวเป็นการไถฟีด....

Life Consultant ผู้ช่วยนำทางชีวิตในวันที่คุณรู้สึกไม่แน่ใจนักให้คำปรึกษาในการใช้ชีวิต (Life Coach หรือ Life Consultant) ...
13/08/2025

Life Consultant ผู้ช่วยนำทางชีวิตในวันที่คุณรู้สึกไม่แน่ใจ
นักให้คำปรึกษาในการใช้ชีวิต (Life Coach หรือ Life Consultant) คือผู้ที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ และสนับสนุนผู้คนในการค้นหาตัวเอง ตั้งเป้าหมาย และพัฒนาศักยภาพ เพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความหมาย สมดุล และตรงกับคุณค่าที่ตัวเองต้องการ
ต่างจากการ “ชี้ทาง” หรือ “ตัดสินใจแทน” นักให้คำปรึกษาจะเน้น การตั้งคำถาม สะท้อนความคิด และฟังอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้คุณกลับมาเข้าใจตนเอง และกล้าตัดสินใจในทางที่เหมาะกับชีวิตคุณเอง

นักให้คำปรึกษาในการใช้ชีวิตช่วยอะไรได้บ้าง
1. ช่วยค้นหาตัวตนและเป้าหมายชีวิต เช่น คุณอยากรู้ว่า "ชีวิตที่ใช่" สำหรับคุณคืออะไร อยากทำอะไรในอนาคต และควรเริ่มต้นอย่างไร
2. สร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน เหมาะกับคนที่รู้สึกเหนื่อยง่าย เครียด หรือจัดการเวลาชีวิตไม่ได้
3. เปลี่ยนพฤติกรรมและแนวคิดที่เป็นอุปสรรค เช่น ผัดวันประกันพรุ่ง ขาดความมั่นใจ กลัวการเริ่มต้นใหม่
4. เป็นผู้ฟังที่ไม่ตัดสิน ช่วยให้คุณได้ระบาย คิดทบทวน และหาทางออก โดยมีคนอยู่ข้างๆ คอยสนับสนุน
5. พัฒนาทักษะชีวิตและการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การสร้างแรงจูงใจ หรือการจัดการอารมณ์

นักให้คำปรึกษาในการใช้ชีวิตเหมาะกับใคร
1. คนที่กำลังสับสนหรือรู้สึกติดอยู่กับชีวิต
2. คนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
3. คนที่ต้องการมีเป้าหมายที่ชัดเจน
4. คนที่ต้องการคนรับฟังอย่างเข้าใจ
5. คนที่ต้องการพัฒนาทักษะด้านความมั่นใจ การตัดสินใจ หรือการจัดการชีวิต

นักให้คำปรึกษาชีวิตทำงานอย่างไร
1. แบบตัวต่อตัว (Online / In-person)
2. แบบกลุ่ม (Group Coaching)
3. รายครั้ง หรือเป็นโปรแกรมรายเดือน
4. ใช้แบบฝึกหัด คำถามเชิงลึก การสะท้อนแนวคิด และแผนการพัฒนา

สรุป
นักให้คำปรึกษาในการใช้ชีวิตไม่ใช่ผู้ที่มีคำตอบให้คุณทุกเรื่อง แต่คือผู้ที่พร้อมจะเดินข้างๆ คุณ พูดคุย สะท้อน และช่วยให้คุณเห็นคำตอบที่อยู่ในตัวคุณเองชัดขึ้น หากคุณกำลังสับสน เหนื่อยล้า หรืออยากพัฒนาตัวเอง การได้พูดคุยกับนักให้คำปรึกษาอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ดีในชีวิตคุณ

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

นักให้คำปรึกษาในการใช้ชีวิต (Life Coach หรือ Life Consultant) คือผู้ที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ และสนับสนุนผู้คนในการ...

๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๘เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงขอพระองค...
12/08/2025

๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๘

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทรเจ้าเพจ Bestjob th

Psychologist ผู้เชี่ยวชาญด้านใจที่ไม่ควรมองข้ามในยุคที่ผู้คนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของ “สุขภาพจิต” มากขึ้น อาชีพหนึ่งที...
09/08/2025

Psychologist ผู้เชี่ยวชาญด้านใจที่ไม่ควรมองข้าม
ในยุคที่ผู้คนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของ “สุขภาพจิต” มากขึ้น อาชีพหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากขึ้นตามไปด้วยก็คือ นักจิตวิทยา (Psychologist) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือให้ผู้คนเข้าใจตนเอง จัดการกับความเครียด ปัญหาชีวิต หรือพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต

นักจิตวิทยาคือใคร
นักจิตวิทยา (Psychologist) คือผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาพฤติกรรม ความคิด อารมณ์ และกระบวนการทางจิตใจของมนุษย์ โดยใช้หลักวิชาทางจิตวิทยาเพื่อ
- ประเมิน ปัญหาทางจิตใจหรือพฤติกรรม
- วิเคราะห์ สาเหตุเบื้องลึกของปัญหา
- บำบัด หรือให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาสุขภาพจิตและการใช้ชีวิต

หน้าที่ของนักจิตวิทยา
1. นักจิตวิทยาคลินิก ให้คำปรึกษาและบำบัดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ
2. นักจิตวิทยาการศึกษา ทำงานร่วมกับโรงเรียน เพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหาด้านพฤติกรรม การเรียน หรือการปรับตัว
3. นักจิตวิทยาองค์กร ทำงานร่วมกับบริษัทเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของพนักงาน พัฒนาทักษะการทำงาน และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี
4. นักจิตวิทยาการกีฬา / พัฒนาศักยภาพบุคคล ให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มแรงจูงใจ โฟกัส และความมั่นใจแก่ผู้เล่นหรือบุคคลทั่วไป

ต้องเรียนอะไรถึงจะเป็นนักจิตวิทยา
1. จบปริญญาตรีสาขาจิตวิทยา (หรือสาขาอื่นแล้วต่อโทด้านจิตวิทยา)
2. ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทหรือเอกในแขนงที่สนใจ เช่น จิตวิทยาคลินิก จิตวิทยาอุตสาหกรรม ฯลฯ
3. ฝึกงานและสอบขึ้นทะเบียนรับใบประกอบวิชาชีพ (ในกรณีจิตวิทยาคลินิก)

ทักษะที่จำเป็นสำหรับนักจิตวิทยา
1. การฟังอย่างลึกซึ้งและไม่ตัดสิน
2. ความเข้าใจในความหลากหลายของมนุษย์
3. ความอดทนและเอาใจใส่
4. คิดวิเคราะห์ และตั้งคำถามอย่างมีเหตุผล
4. รักษาความลับและจรรยาบรรณ

นักจิตวิทยาทำงานที่ไหนได้บ้าง
1. โรงพยาบาล คลินิกสุขภาพจิต
2. โรงเรียน มหาวิทยาลัย
3. บริษัทเอกชนหรือองค์กรรัฐ
4. สถานพินิจ สถานกักกัน ศูนย์ฟื้นฟู
5. หรือเปิดคลินิกส่วนตัว / เป็นนักจิตวิทยาอิสระ

สรุป
ในโลกที่เต็มไปด้วยความกดดันและความซับซ้อนทางอารมณ์ นักจิตวิทยาคือผู้ที่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น พร้อมช่วยสนับสนุนให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล มีความสุข และมีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

นักจิตวิทยา (Psychologist) คือผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาพฤติกรรม ความคิด อารมณ์ และกระบวนการทางจิตใจของมนุษย์ โดยใช้หลั....

แนวทางวางแผนการเงินในวัยเกษียณเมื่อพูดถึง "วัยเกษียณ" หลายคนอาจนึกถึงช่วงเวลาของการพักผ่อน ใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ต้องทำงาน...
07/08/2025

แนวทางวางแผนการเงินในวัยเกษียณ
เมื่อพูดถึง "วัยเกษียณ" หลายคนอาจนึกถึงช่วงเวลาของการพักผ่อน ใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ต้องทำงานอีกต่อไป แต่เบื้องหลังของการมีชีวิตวัยเกษียณที่มีความสุขคือการมีแผนทางการเงินที่ดีที่วางไว้ล่วงหน้า

วัยเกษียณคืออะไร
วัยเกษียณ คือช่วงเวลาที่เราหยุดทำงานประจำหรือเลิกประกอบอาชีพ เพื่อใช้เวลาที่เหลือไปกับครอบครัว งานอดิเรก หรือพักผ่อน แต่ในขณะเดียวกัน รายได้หลักจากงานก็จะหยุดลงด้วย ดังนั้น "เงินออม" หรือ "เงินลงทุน" ที่เตรียมไว้ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

ทำไมต้องวางแผนทางการเงินสำหรับวัยเกษียณ
1. เพื่อให้มีรายได้ใช้หลังเกษียณ เมื่อไม่มีรายได้ประจำสิ่งที่รองรับเราคือเงินออม เงินลงทุน หรือเงินบำนาญที่ได้เตรียมไว้
2. รองรับค่าใช้จ่ายระยะยาว เช่น ค่าครองชีพ ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายไม่คาดฝันอื่น ๆ
3. ลดภาระครอบครัว หากวางแผนดีเราจะไม่ต้องพึ่งพาลูกหลานในยามชรา
4. ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและมีความสุข ไม่ต้องกังวลเรื่องการเงินทำให้สามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้เต็มที่

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการวางแผนเกษียณ
1. อายุเกษียณที่คาดหวัง คุณอยากเกษียณตอนอายุเท่าไหร่ 55, 60 หรือ 65 ปี
2. อายุขัยโดยประมาณ โดยทั่วไป ควรวางแผนให้มีเงินใช้ถึงอายุ 80–90 ปีขึ้นไป
3. ค่าใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณ คุณต้องการใช้ชีวิตแบบไหน เรียบง่าย หรือเดินทางท่องเที่ยว ควรคำนวณค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน
4. แหล่งรายได้หลังเกษียณ เช่น เงินออม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวม LTF/SSF เงินบำนาญ เงินประกันชีวิต ฯลฯ

แนวทางวางแผนการเงินในวัยเกษียณ
1. เริ่มต้นให้เร็วที่สุด ยิ่งเริ่มเก็บเงินเร็วเท่าไหร่ ยิ่งมีเวลาให้เงินเติบโตด้วยดอกเบี้ยทบต้น
2. ตั้งเป้าหมายการเกษียณให้ชัดเจน เช่น ต้องการเงินใช้เดือนละ 20,000 บาท เป็นเวลา 25 ปี เท่ากับต้องมีเงินประมาณ 6 ล้านบาท
3. กระจายการลงทุน เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น กองทุนรวม หุ้น ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่อง
4. ประเมินและปรับแผนอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบแผนเกษียณทุกปีเพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ ค่าใช้จ่าย และสถานการณ์เศรษฐกิจ
5. เตรียมแผนประกันสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาลเป็นค่าใช้จ่ายที่สำคัญมากในวัยเกษียณ การมีประกันจะช่วยลดภาระตรงนี้ได้

เครื่องมือช่วยวางแผนเกษียณ
- เครื่องคำนวณเงินออมเพื่อเกษียณ (Retirement Calculator)
- แอปพลิเคชันวางแผนการเงินส่วนบุคคล
- คำปรึกษาจากนักวางแผนการเงิน (Financial Planner)

สรุป
การวางแผนทางการเงินในวัยเกษียณไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เรื่องที่ควรผลัดวันไปเรื่อย ๆ เพราะยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งเตรียมได้ดี ชีวิตหลังเกษียณก็จะยิ่งมั่นคงและมีอิสระมากขึ้น ใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร จำไว้ว่า "เกษียณอย่างมั่นคง ไม่ใช่โชคดี แต่เป็นผลจากการวางแผนที่ดี"

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

เมื่อพูดถึง "วัยเกษียณ" หลายคนอาจนึกถึงช่วงเวลาของการพักผ่อน ใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ต้องทำงานอีกต่อไป แต่เบ.....

How to แก่แบบมีคุณภาพเมื่อพูดถึง “ความแก่” หรือ “วัยสูงอายุ” หลายคนอาจนึกถึงภาพของความอ่อนแอ เจ็บป่วย หรือการใช้ชีวิตอย่...
05/08/2025

How to แก่แบบมีคุณภาพ
เมื่อพูดถึง “ความแก่” หรือ “วัยสูงอายุ” หลายคนอาจนึกถึงภาพของความอ่อนแอ เจ็บป่วย หรือการใช้ชีวิตอย่างจำกัด แต่แท้จริงแล้ววัยเกษียณหรือวัยสูงอายุสามารถเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตได้ หากเราเตรียมตัวและเข้าใจวิธี แก่แบบมีคุณภาพไม่ใช่แค่ “อายุยืน” แต่ต้อง “มีคุณภาพชีวิตที่ดี” ไปพร้อมกัน

แก่แบบมีคุณภาพคืออะไร
การ “แก่แบบมีคุณภาพ” (Aging Gracefully or Active Aging) หมายถึง การใช้ชีวิตในวัยสูงอายุอย่างมี สุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี มีความสุข มีคุณค่า และสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยไม่กลายเป็นภาระของผู้อื่น สิ่งสำคัญคือไม่ใช่แค่อยู่นาน แต่ต้องอยู่อย่างมีความหมาย

เทคนิคและแนวทางสู่การแก่แบบมีคุณภาพ
1. ดูแลสุขภาพกายอย่างสม่ำเสมอ
- หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี
- รับประทานอาหารที่เหมาะสมกับวัย
- ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ เช่น เดินเร็ว โยคะ ไทชิ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
2. ฝึกสุขภาพใจให้แข็งแรง
- รักษาอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เก็บความเครียด
- ทำกิจกรรมที่ตนเองรัก เช่น ปลูกต้นไม้ วาดภาพ อ่านหนังสือ
- ฝึกสมาธิ สวดมนต์ หรือเจริญสติ เพื่อความสงบในจิตใจ
3. มีความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม
- พูดคุยกับครอบครัว ลูกหลาน หรือเพื่อนฝูงอย่างสม่ำเสมอ
- เข้าร่วมกิจกรรมในชุมชนหรือกลุ่มอาสาสมัคร
- ไม่เก็บตัวอยู่คนเดียว เพราะการมีปฏิสัมพันธ์ช่วยลดโอกาสเสี่ยงภาวะซึมเศร้า
4. หางานอดิเรกหรือเป้าหมายใหม่
- บางคนอาจเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ เช่น เรียนภาษา เรียนคอมพิวเตอร์ ทำขนม
- การมีเป้าหมายเล็กๆ ในแต่ละวัน ช่วยให้มีแรงจูงใจในการใช้ชีวิต
5. วางแผนทางการเงินให้มั่นคง
- มีเงินออมเพื่อใช้จ่ายในวัยเกษียณ
- วางแผนเรื่องประกันสุขภาพหรือค่าใช้จ่ายระยะยาว
- ใช้เงินอย่างพอดี และมีวินัยในการใช้จ่าย

ตัวอย่างคนแก่แบบมีคุณภาพ
- คุณยายอายุ 75 ปี ที่ยังวิ่งออกกำลังกายทุกเช้า และเขียนบล็อกแบ่งปันความรู้
- คุณตาอายุ 80 ปี ที่ทำเกษตรอินทรีย์ในสวนหลังบ้าน และขายผลผลิตผ่าน Facebook
- หรือแม้แต่ผู้สูงวัยที่อุทิศตนทำงานอาสา ช่วยเหลือเด็กยากไร้

สรุป
แก่ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวถ้าเราเตรียมตัวให้พร้อม การแก่แบบมีคุณภาพเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ ไม่จำเป็นต้องรอให้เข้าสู่วัยเกษียณแล้วค่อยคิดเปลี่ยนแปลง ทุกการดูแลตัวเองในวันนี้ จะกลายเป็นผลลัพธ์ที่ดีในอนาคต

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

วัยเกษียณหรือวัยสูงอายุสามารถเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตได้ หากเราเตรียมตัวและเข้าใจวิธี แก่แบบมี....

ที่อยู่

120/34-35 หมู่ 24 ต. ศิลา อ. เมือง Khon Kaen District
Khon Kaen
40000

เวลาทำการ

จันทร์ 08:30 - 17:30
อังคาร 08:30 - 17:30
พุธ 08:30 - 17:30
พฤหัสบดี 08:30 - 17:30
ศุกร์ 08:30 - 17:30
เสาร์ 08:30 - 17:30

เบอร์โทรศัพท์

+66629091110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Bestjob thผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Bestjob th:

แชร์