Bestjob th ค้นหาตำแหน่งงานว่างและรวบรวมตำแหน?

Bestjobth เป็นเว็บไซต์จัดหางานลงงานในรูปแบบออนไลน์ พร้อมเป็นตัวกลางระหว่างผู้สมัครงานที่กำลังหางาน และบริษัทที่กำลังหาพนักงานเข้ามาทำงานในส่วนต่างๆ มีบริการครบวงจรด้านการจัดสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพ พร้อมช่วยเหลือทุกบริษัทในไทยให้ท่านได้หาพนักงานที่ใช่ตรงตามที่ต้องการ

วิธีพักใจให้สมองเลิกคิดซ้ำถึงเรื่องแย่เคยไหมที่มีบางเรื่องในชีวิตวนเวียนอยู่ในหัวไม่ยอมหาย แม้จะผ่านมาแล้วหลายวัน หลายเด...
23/09/2025

วิธีพักใจให้สมองเลิกคิดซ้ำถึงเรื่องแย่
เคยไหมที่มีบางเรื่องในชีวิตวนเวียนอยู่ในหัวไม่ยอมหาย แม้จะผ่านมาแล้วหลายวัน หลายเดือน หรือแม้แต่หลายปี แต่แค่มีสิ่งกระตุ้นเพียงนิดเดียว ความคิดและความรู้สึกเดิม ๆ ก็กลับมาอีกครั้งเหมือนกดรีเพลย์ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ภาวะนี้เรียกว่าการคิดซ้ำ หรือ Rumination เป็นอาการที่สมองหมุนวนอยู่กับเรื่องเดิม ๆ โดยเฉพาะเรื่องลบ ความเสียใจ ความผิดพลาด หรือคำพูดที่ฝังใจ ซึ่งหากปล่อยไว้นานอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า และหมดแรงใจในชีวิตประจำวัน

ทำไมเราถึงคิดซ้ำกับเรื่องแย่ๆ
ก่อนจะจัดการกับความคิด เราต้องเข้าใจมันก่อน สมองมนุษย์มีแนวโน้มจดจำเรื่องลบมากกว่าเรื่องดี (เรียกว่า Negative Bias) เพราะในอดีต มันเป็นกลไกเพื่อความอยู่รอดสมองจึงพยายามเตือนให้เราระวังความผิดพลาดเดิม การคิดซ้ำทำให้รู้สึกว่าเราควบคุมบางอย่างได้ แม้ว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้จริง แต่ปัญหาคือยิ่งคิดซ้ำ ยิ่งเจ็บ ยิ่งเครียด และไม่พาไปสู่การแก้ไขอะไรเลย

วิธีพักใจเพื่อหยุดวงจรคิดซ้ำ
1. รู้ตัวว่าเรากำลังคิดซ้ำ
ก้าวแรกของการพักใจคือ สังเกตตัวเอง ถามตัวเองว่าความคิดนี้เราคิดมาแล้วกี่รอบ เรากำลังแก้ปัญหา หรือแค่ขุดมันขึ้นมาทำร้ายตัวเองอีกครั้ง การรู้ตัวคือจุดเริ่มต้นของการหยุดวงจร

2. เปลี่ยนจากการคิดเป็นการทำ
เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังคิดซ้ำลองหันไปทำกิจกรรมง่าย ๆ เพื่อเบี่ยงเบนสมอง เช่น
- เดินเล่น หายใจลึก ๆ
- ฟังเพลงโปรด
- ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน
- เขียนสิ่งที่คิดลงกระดาษ (แล้วฉีกทิ้งได้เลย!)
การเปลี่ยนจากคิดเป็นกระทำจะช่วยให้สมองมีจุดโฟกัสใหม่

3. ฝึกอยู่กับปัจจุบัน (Mindfulness)
ลองหยุดทุกอย่างสักครู่แล้วถามตัวเองว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน เราได้ยินอะไร เรารู้สึกยังไง ฝึกหายใจเข้า-ออกอย่างมีสติ ใช้เวลาเพียง 1-2 นาที ก็สามารถเรียกสติกลับมาและตัดวงจรความคิดได้

4. พูดคุยกับตัวเองอย่างเข้าใจ ไม่ใช่ตำหนิ
เปลี่ยนจากคำพูดในหัวแบบฉันมันโง่ ฉันผิดเองเป็นคำพูดแบบตอนนั้นฉันทำดีที่สุดแล้ว ใคร ๆ ก็เคยพลาด มันคือบทเรียนไม่ใช่บทลงโทษ คำพูดของตัวเราเองมีพลังมากอย่าปล่อยให้มันทำร้ายใจเรา

5. ให้เวลา แล้วปล่อยวาง
บางความรู้สึกอาจไม่หายไปในวันเดียว แต่นั่นไม่เป็นไรให้เวลาตัวเองแล้วค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง เหมือนการแบกหินก้อนหนึ่งไว้ พอเมื่อยมากพอวันหนึ่งเราจะยอมวางมันลงเอง

สรุป
การคิดซ้ำถึงเรื่องแย่ไม่ใช่ความผิดของใครมันคือธรรมชาติของสมอง แต่เราสามารถฝึกให้พักใจได้ โดยการรู้เท่าทันความคิด เปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ และพูดกับตัวเองด้วยความเข้าใจ แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายในวันแรก แต่อย่าลืมว่าเรามีสิทธิ์ที่จะพักใจ ไม่ต้องคิดซ้ำ ไม่ต้องโทษตัวเอง และมีชีวิตที่เบาสบายมากขึ้น

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

เคยไหมที่มีบางเรื่องในชีวิตวนเวียนอยู่ในหัวไม่ยอมหาย แม้จะผ่านมาแล้วหลายวัน หลายเดือน หรือแม้แต่หลายปี...

Eustress ความเครียดเชิงบวกเมื่อพูดถึงคำว่า “ความเครียด” หลายคนมักจะนึกถึงความรู้สึกไม่สบายใจ ความกดดัน หรือความทุกข์ทางอ...
20/09/2025

Eustress ความเครียดเชิงบวก
เมื่อพูดถึงคำว่า “ความเครียด” หลายคนมักจะนึกถึงความรู้สึกไม่สบายใจ ความกดดัน หรือความทุกข์ทางอารมณ์ แต่ในทางจิตวิทยาความเครียด (Stress) ไม่ได้มีแค่ด้านลบเสมอไป ยังมีความเครียดอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็น พลังบวก และสามารถผลักดันให้ชีวิตของเราพัฒนาได้ซึ่งเรียกว่า Eustress (ยูสเตรส)

Eustress คืออะไร
Eustress หมายถึง “ความเครียดที่ดี” หรือ “ความเครียดเชิงบวก” ซึ่งเกิดจากสถานการณ์ที่ กระตุ้นให้เราตื่นตัว มีแรงบันดาลใจ และพร้อมที่จะเผชิญความท้าทาย ต่างจากความเครียดในเชิงลบ (Distress) ที่ทำให้รู้สึกท้อแท้ หมดพลัง หรือส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต

ตัวอย่างของ Eustress
- การเริ่มงานใหม่ที่เราตื่นเต้นและอยากเรียนรู้
- ความเครียดก่อนสอบที่ทำให้เราขยันอ่านหนังสือ
- การแข่งขันกีฬาที่ทำให้เราฝึกซ้อมอย่างเต็มที่
- การพูดในที่สาธารณะที่กระตุ้นให้เราพัฒนาเรื่องการสื่อสาร
- การออกเดินทางท่องเที่ยวที่เราวางแผนอย่างละเอียด
ในแต่ละตัวอย่างเราอาจรู้สึกตื่นเต้น กังวล หรือมีแรงกดดันอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำร้ายเรากลับทำให้เราขยันมากขึ้น กล้าขึ้น และเติบโตขึ้น

ประโยชน์ของ Eustress
1. ช่วยกระตุ้นศักยภาพแฝงในตัวเรา
2. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการเรียน
3. สร้างแรงจูงใจและพลังใจ
4. ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และทักษะชีวิต
5. ทำให้เราพร้อมเติบโต และเผชิญกับโลกใบนี้ด้วยทัศนคติเชิงบวก

วิธีสร้าง Eustress ให้กับตัวเอง
1. ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่เป็นไปได้
2. บริหารเวลาให้ดีเพื่อไม่ให้เครียดเกินขอบเขต
3. มองความเครียดเป็นโอกาสไม่ใช่อุปสรรค
4. สร้างเครือข่ายสนับสนุน เช่น เพื่อน ครอบครัว หรือทีมงาน
5. ฝึกการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ การทำสมาธิ

สรุป
Eustress คือความเครียดที่ดี และจำเป็นต่อการพัฒนาชีวิต เป็นพลังงานเชิงบวกที่ช่วยให้เราเติบโตทั้งในด้านความคิด จิตใจ และทักษะชีวิต การเข้าใจและรู้จักใช้ Eustress อย่างเหมาะสมจะช่วยให้เราจัดการกับความเครียดได้อย่างชาญฉลาด และใช้มันเป็นแรงขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่เราฝันไว้

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

ในทางจิตวิทยาความเครียด (Stress) ไม่ได้มีแค่ด้านลบเสมอไป ยังมีความเครียดอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็น พลังบวก และสาม.....

EQ สามารถพัฒนาได้หรือไม่ในโลกยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดมักไม่ใช่แค่คนที่เก่งวิชาการห...
18/09/2025

EQ สามารถพัฒนาได้หรือไม่
ในโลกยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดมักไม่ใช่แค่คนที่เก่งวิชาการหรือมี IQ สูง แต่คือคนที่เข้าใจตัวเองและผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนั่นคือคุณสมบัติของคนที่มี EQ สูง แต่คำถามสำคัญคือ EQ เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หรือสามารถพัฒนาได้ คำตอบคือ EQ พัฒนาได้!

EQ คืออะไร
EQ (Emotional Quotient) หรือ ความฉลาดทางอารมณ์ คือความสามารถในการ
- รู้จักและเข้าใจอารมณ์ของตนเอง
- ควบคุมอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม
- เข้าใจและเห็นใจความรู้สึกของผู้อื่น (Empathy)
- สื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ดี
- มีแรงจูงใจในตนเอง และสามารถจัดการกับความเครียดหรือความล้มเหลวได้

EQ พัฒนาได้หรือไม่
ได้แน่นอน! EQ ไม่ได้ถูกกำหนดตายตัวตั้งแต่เกิด แต่สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ด้วยการ
- ฝึกสติ และการรู้เท่าทันอารมณ์
- หัดฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening)
- ฝึกคิดก่อนพูด
- พยายามมองโลกจากมุมของคนอื่น
- หมั่นทบทวนตัวเอง และเรียนรู้จากประสบการณ์

ตัวอย่างการพัฒนา EQ ในชีวิตจริง
- คนที่เคยโมโหง่าย เรียนรู้ที่จะนับ 1–10 ก่อนพูด
- คนที่เคยกลัวความขัดแย้ง เรียนรู้ที่จะพูดตรง ๆ อย่างสุภาพ
- คนที่ไม่เคยฟังใคร ลองฝึกเงียบให้มากขึ้น และฟังให้เข้าใจ

ประโยชน์ของการมี EQ สูง
- มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
- จัดการกับความเครียดและความกดดันได้ดี
- เป็นผู้นำที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจ
- มีความมั่นคงทางอารมณ์มากขึ้น
- มีความสุขในชีวิตมากขึ้น

สรุป
EQ พัฒนาได้ด้วยความตั้งใจและการฝึกฝน เพราะ EQ ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่คือทักษะที่ใครก็ฝึกได้ การรู้จักใจตัวเอง คือจุดเริ่มต้นของการเข้าใจโลก หากคุณเริ่มสังเกตอารมณ์ ฝึกควบคุมตัวเอง และตั้งใจฟังคนอื่น คุณก็กำลังอยู่บนเส้นทางของคนที่ EQ สูง และนั่นจะเปลี่ยนชีวิตคุณอย่างเงียบ ๆ แต่ลึกซึ้ง

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

ในโลกยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดมักไม่ใช่แค่คนที่เก่งวิชาการหรือม.....

IQ สูงเกินไป ส่งผลต่อการเรียนรู้จริงหรือIQ (Intelligence Quotient) หรือ ระดับสติปัญญา คือค่าที่ใช้วัดความสามารถทางเชาวน์...
11/09/2025

IQ สูงเกินไป ส่งผลต่อการเรียนรู้จริงหรือ
IQ (Intelligence Quotient) หรือ ระดับสติปัญญา คือค่าที่ใช้วัดความสามารถทางเชาวน์ปัญญา เช่น การคิดวิเคราะห์ ความจำ การใช้เหตุผล การคำนวณ และการเรียนรู้ในเชิงตรรกะ
ค่าเฉลี่ยของ IQ มักอยู่ที่ 90–110 หากมีคะแนนสูงกว่า 130 จะถือว่าอยู่ในกลุ่ม “พรสวรรค์” (Gifted) และหากสูงเกิน 145+ ก็อาจจัดอยู่ในระดับ "อัจฉริยะ" (Genius Level)

IQ สูงเกินไปจะส่งผลต่อการเรียนรู้จริงหรือ
คำตอบคือ ส่งผลได้ทั้งในทางบวกและลบ แม้ว่า IQ สูงจะช่วยให้เรียนรู้ได้เร็วกว่า วิเคราะห์ลึกกว่า และเข้าใจสิ่งซับซ้อนได้ง่ายกว่า แต่ในบางกรณีก็อาจเกิดปัญหาที่ซ่อนอยู่ ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ และการปรับตัวในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ทั่วไป

ด้านดีของการมี IQ สูง
- เรียนรู้เร็ว สามารถเข้าใจเนื้อหาซับซ้อนได้ในเวลาสั้น ๆ โดยไม่ต้องอธิบายซ้ำหลายครั้ง
- คิดวิเคราะห์ลึก เข้าใจประเด็นในระดับนามธรรม (abstract thinking) ได้ดี เช่น คณิตศาสตร์ ทฤษฎี หรือปรัชญา
- มีความจำดี สามารถเก็บรายละเอียดได้แม่นยำและเชื่อมโยงข้อมูลได้เร็ว
- สร้างสรรค์และคิดนอกกรอบ มักมีความสามารถในการมองเห็นวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างจากคนทั่วไป

IQ สูงเกินไปก็ส่งผลต่อการเรียนรู้
- รู้สึกเบื่อกับบทเรียนทั่วไป เนื่องจากเข้าใจเร็ว จึงรู้สึกว่าเนื้อหาช้าเกินไปหรือไม่น่าสนใจ ทำให้ขาดแรงจูงใจในการเรียน
- มีแนวโน้มตั้งคำถามกับระบบการสอน อาจรู้สึกว่ากฎเกณฑ์หรือวิธีการเรียนรู้แบบเดิม ๆ ไม่ตอบโจทย์ จึงดูเหมือนไม่เชื่อฟังหรือไม่ให้ความร่วมมือ
- คิดซับซ้อนเกินไปในบางบริบท บางครั้งการคิดลึกเกินไปอาจทำให้ยากต่อการตัดสินใจ หรือทำให้สื่อสารกับผู้อื่นได้ยาก
- รู้สึกไม่เข้าใจหรือ “ไม่เหมือน” คนรอบตัว โดยเฉพาะเด็กที่ IQ สูงมาก อาจรู้สึกแปลกแยก ไม่เข้ากับเพื่อน ส่งผลต่อพัฒนาการทางสังคมหรือ EQ
- คนที่มี IQ สูงมักถูกคาดหวังว่าจะต้อง “เก่งทุกอย่าง” ซึ่งกดดันและส่งผลต่อสภาพจิตใจได้

ตัวอย่างจากงานวิจัย
- มีงานวิจัยในกลุ่มเด็ก "Gifted" (IQ สูงกว่า 130) พบว่า เด็กบางคนมี ผลการเรียนเฉลี่ย หรือแม้แต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ไม่ใช่เพราะขาดความสามารถ แต่เพราะ ขาดความท้าทาย, เบื่อ, หรือ มีปัญหาด้านสังคม
- บางคนแม้ IQ สูง แต่ขาดทักษะการบริหารจัดการเวลา หรือแรงจูงใจในการเรียนจึงไม่ประสบความสำเร็จทางการศึกษา

สรุป
การมี IQ สูงไม่ใช่อุปสรรคต่อการเรียนรู้ แต่หากไม่ได้รับการส่งเสริมหรือสนับสนุนที่เหมาะสม อาจกลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลลบได้ การเข้าใจและยอมรับว่า “ความฉลาด” มีหลายมิติ ไม่ได้วัดกันแค่คะแนน IQ หรือเกรดเท่านั้น แต่รวมถึงความสามารถในการปรับตัว เรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องด้วย

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

การมี IQ สูงไม่ใช่อุปสรรคต่อการเรียนรู้ แต่หากไม่ได้รับการส่งเสริมหรือสนับสนุนที่เหมาะสม อาจกลายเป็นปัจจ...

คนที่ฟังคำอธิบายอย่างไรก็ไม่เข้าใจสักทีไม่ใช่คนโง่เสมอไปคุณเคยรู้สึกมั้ยว่าบางคนอธิบายไปเป็นชั่วโมงก็ยังดูงง ๆ  แต่พอหยิ...
09/09/2025

คนที่ฟังคำอธิบายอย่างไรก็ไม่เข้าใจสักทีไม่ใช่คนโง่เสมอไป
คุณเคยรู้สึกมั้ยว่าบางคนอธิบายไปเป็นชั่วโมงก็ยังดูงง ๆ แต่พอหยิบกระดาษมาวาดให้ดู หรือแสดงให้เห็นจริง ๆ กลับเข้าใจในทันที นั่นอาจเป็นเพราะเขาเป็นคนประเภทที่ "เรียนรู้ผ่านภาพ" หรือ "เข้าใจด้วยตา" มากกว่าด้วยคำพูด" ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก และพบได้ทั่วไปในการสื่อสารระหว่างบุคคล

คนแต่ละคนเข้าใจไม่เหมือนกัน
มนุษย์มีสไตล์การเรียนรู้และรับรู้ข้อมูลที่ต่างกัน เช่น
- Visual Learner (ผู้เรียนรู้ผ่านการมองเห็น) ต้องเห็นภาพ แผนภูมิ ตัวอย่าง หรือสถานการณ์จริง ถึงจะเข้าใจ
- Auditory Learner (ผู้เรียนรู้ผ่านการฟัง) ฟังคำอธิบายหรือการเล่าเรื่องแล้วเข้าใจทันที
- Kinesthetic Learner (ผู้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ) ต้องได้ลองเองจึงจะเข้าใจและจดจำได้ดี

ตัวอย่างสถานการณ์
- อธิบายแผนการตลาดด้วยคำพูด ไม่เข้าใจ แต่พอเอาแผนภาพมาโชว์ยอดขายเข้าใจทันที
- พูดถึงการจัดวางบ้านใหม่ งง แต่พอวาดแปลนบ้านคร่าว ๆ เข้าใจทุกอย่าง
- บอกให้แก้โค้ด งง แต่พอเปิดหน้าจอแล้วชี้ให้ดูรู้เลยว่าต้องทำอะไร

แล้วแบบนี้คือเข้าใจยากไหม
ไม่ใช่คนเข้าใจยากแค่เป็นคนที่มี “สไตล์การรับรู้ต่างจากคนอื่น” ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์อย่างหนึ่ง ไม่ได้ผิดหรือแปลกแต่อย่างใด

วิธีสื่อสารกับคนที่ต้องเห็นภาพถึงเข้าใจ
1. ใช้ภาพประกอบ ไม่ว่าจะเป็นแผนภาพ, infographic, สไลด์ หรือภาพตัวอย่างจริง จะช่วยให้เข้าใจเร็วขึ้น
2. วาดสิ่งที่พูดอยู่ แม้จะวาดไม่เก่ง ก็แค่ร่างโครงง่าย ๆ ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรให้ดูเลย
3. เปิดให้ดูของจริง / ทำเดโม การพาไปดูหน้างานหรือแสดงขั้นตอนจริงจะทำให้เขาเข้าใจมากกว่าการบรรยาย
4. ใช้คำง่าย ๆ ร่วมกับตัวอย่าง บางทีคำอธิบายยาว ๆ ทำให้เขาหลงทาง แต่ถ้าใช้คำเรียบง่ายควบคู่กับภาพจะช่วยเชื่อมโยงได้ดีขึ้น
5. อย่าหงุดหงิดเวลาพูดแล้วไม่เข้าใจทันที เพราะเขาอาจแค่ "ยังไม่เห็นภาพ" ไม่ใช่ไม่ตั้งใจฟัง

สรุป
ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจได้ด้วยคำพูด บางคนต้องเห็นก่อนถึงจะเข้าใจ การรู้จักรูปแบบการสื่อสารของคนรอบข้างไม่ได้ทำให้เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด แต่ช่วยให้เราสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คนเรามีวิธีเรียนรู้ต่างกัน การเข้าใจเรื่องนี้คือกุญแจสำคัญของความเข้าใจกัน

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

คุณเคยรู้สึกมั้ยว่าบางคนอธิบายไปเป็นชั่วโมงก็ยังดูงง ๆ แต่พอหยิบกระดาษมาวาดให้ดู หรือแสดงให้เห็นจริง ๆ ....

AI จะมาแทนที่คนจริงหรือในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ได้เข้ามามีบทบาทอ...
06/09/2025

AI จะมาแทนที่คนจริงหรือ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ได้เข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวางในชีวิตประจำวันของเรา ตั้งแต่ระบบแนะนำในแอปพลิเคชันไปจนถึง Chatbot และระบบอัตโนมัติในโรงงาน จนทำให้เกิดคำถามยอดฮิตว่า AI จะมาแทนที่มนุษย์จริงหรือ

ประเภทของ AI
1. Narrow AI (หรือ Weak AI) ใช้ทำงานเฉพาะด้าน เช่น ระบบแปลภาษา ระบบจดจำใบหน้า
2. General AI สามารถคิดวิเคราะห์หรือเรียนรู้ได้หลากหลายแบบเหมือนมนุษย์ (ยังอยู่ในขั้นวิจัย)
3. Super AI เก่งกว่ามนุษย์ในทุกด้าน (ยังไม่มีจริง)

AI ทำอะไรได้บ้างในปัจจุบัน
1. ธุรกิจ ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า, คาดการณ์ยอดขาย, ทำการตลาดแบบเจาะจง
2. อุตสาหกรรม ควบคุมหุ่นยนต์, ตรวจสอบคุณภาพสินค้า, เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
3. สุขภาพ วิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์, คัดกรองโรคเบื้องต้น
4. การศึกษา แพลตฟอร์มเรียนรู้แบบปรับตามผู้เรียน
5. บันเทิง AI สร้างเพลง วาดภาพ หรือเขียนบทความ

AI จะมาแทนคนจริงหรือไม่
คำตอบคือบางส่วน และขึ้นอยู่กับประเภทของงาน
งานที่ AI มีแนวโน้มแทนที่ได้
- งานที่ ซ้ำ ๆ และมีรูปแบบตายตัว เช่น การคีย์ข้อมูล, ตรวจสอบเอกสาร, งานในสายการผลิต
- งานที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากอย่างการวิเคราะห์การเงิน หรือประมวลผลทางสถิติ
- งานบริการลูกค้าขั้นพื้นฐาน เช่น Chatbot ตอบคำถามทั่วไป
งานที่ AI ยังแทนที่ได้ยาก
- งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ระดับสูง เช่น นักออกแบบ, นักเขียน, นักประดิษฐ์
- งานที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความเข้าใจมนุษย์ เช่น ครู, นักจิตวิทยา, ผู้ให้คำปรึกษา
- งานที่ต้องใช้วิจารณญาณและจริยธรรม เช่น ผู้พิพากษา, แพทย์ผ่าตัดในเคสซับซ้อน

ข้อควรระวังและมุมมองที่ควรมีต่อ AI
1. AI ไม่มีเจตจำนงของตัวเอง มันทำงานตามที่เราสอนหรือสั่งให้ทำ
2. ความแม่นยำขึ้นอยู่กับข้อมูล หากข้อมูลผิดพลาด ผลลัพธ์ก็ผิดพลาด
3. ไม่ใช่ทุกองค์กรจำเป็นต้องใช้ AI ควรประเมินให้ดีว่าเหมาะกับบริบทธุรกิจหรือไม่
4. ต้องพัฒนาทักษะแห่งอนาคต เช่น Critical Thinking, การแก้ปัญหา, การสื่อสาร และความเข้าใจเทคโนโลยี

สรุป
AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลกและวิธีทำงานของเราอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมาแทนที่มนุษย์ทั้งหมด สิ่งที่เราควรทำคือเรียนรู้และเข้าใจ AI มอง AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ภัยคุกคาม พัฒนาทักษะที่เครื่องจักรเลียนแบบไม่ได้ สุดท้ายแล้วอนาคตของการทำงานจะไม่ใช่การแข่งกับ AI แต่เป็นการร่วมมือกับ AI เพื่อสร้างงานที่มีคุณภาพมากกว่าเดิม

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลกและวิธีทำงานของเราอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมาแทนที่มนุษย์ทั้งหมด สิ่งที....

ภาษาคู่รัก  ภาษาแห่งความรักที่มีแค่เราสองคนความรักไม่ใช่แค่เรื่องของหัวใจ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสื่อสารอย่างลึกซึ้ง คู่ร...
04/09/2025

ภาษาคู่รัก ภาษาแห่งความรักที่มีแค่เราสองคน
ความรักไม่ใช่แค่เรื่องของหัวใจ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสื่อสารอย่างลึกซึ้ง คู่รักทุกคู่ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมักจะมีภาษาคู่รักที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง คำพูด มุก หรือสำนวนที่คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่สำหรับคนสองคนนั่นคือความหมายของความผูกพัน

ภาษาคู่รักคืออะไร
ภาษาคู่รัก (Couple’s Language) คือรูปแบบการสื่อสารที่เกิดขึ้นเฉพาะภายในความสัมพันธ์ของคนรัก มันอาจไม่ใช่ภาษาตามหลักไวยากรณ์ แต่เป็นภาษาใจที่เกิดจากการใช้เวลาและความเข้าใจร่วมกัน
ภาษานี้อาจประกอบด้วย
- คำเรียกแทนตัวสุดพิเศษ เช่น "หมูอ้วน" "พ่อหนู" "ที่รัก"
- การพูดคำธรรมดาให้กลายเป็นคำเฉพาะ เช่น “งับ แทน กิน” หรือ “ตุ่บ แทน นอน”
- มุกหรือเรื่องตลกภายในที่คนอื่นฟังแล้วงง
- เสียงหรือคำผวนที่เข้าใจกันแค่สองคน

ทำไมภาษาคู่รักถึงสำคัญ
1. สร้างสายใยความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น เมื่อมีคำพูดเฉพาะมันเหมือนมีโลกส่วนตัวที่เราแชร์ร่วมกัน
2. เป็นการแสดงความรักในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติ บางคนไม่ถนัดพูดว่ารักนะแต่ใช้คำเฉพาะแทน เช่น “จุ๊บตะหนู” หรือ “เกี๊ยวของเค้า”
3. ช่วยให้สื่อสารอารมณ์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องพูดยาว คำแค่คำเดียวอาจสื่อถึงความห่วงใยหรือการง้อได้ทันที
4. สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและความพิเศษ เหมือนมีรหัสลับเฉพาะที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้

ตัวอย่างภาษาคู่รักที่หลายคู่ใช้
- งับ กิน / หม่ำ / เคี้ยว
- อ้วง / หมูตุ้ย คำเรียกแฟนแบบน่ารัก ๆ
- คิดถึงเค้าเปล่า ใช้ทักแทนคำว่า สวัสดี
- กอดหนึ่งหน่วย ขอความรักด่วน!
- งอนแล้วงับ สื่ออารมณ์น้อยใจแบบไม่ต้องดราม่า

แนวทางสร้างภาษาคู่รัก
1. เริ่มจากความธรรมดาในทุกวัน มุกประจำที่เล่นบ่อย ๆ หรือคำที่เผลอพูดผิดแล้วกลายเป็นคำติดปาก
2. ใส่อารมณ์ความรู้สึกในคำพูด ให้คำพูดธรรมดามีความหมายพิเศษ เช่น นอนดี ๆ นะ ที่สื่อถึงความห่วงใย
3. เก็บทุกช่วงเวลามาเป็นภาษาของเรา แม้กระทั่งชื่อสถานที่ เวลา หรือของกิน ก็สามารถกลายเป็นรหัสลับแห่งความทรงจำได้

สรุป
ภาษาคู่รักไม่ใช่ภาษาที่เรียนจากหนังสือ หรือมีหลักไวยากรณ์ชัดเจน แต่มันคือ “ภาษาหัวใจ” ที่สื่อสารด้วยความเข้าใจ ความใกล้ชิด และความรัก มันอาจไม่ต้องโรแมนติกเสมอไป บางทีมันแค่น่ารัก ขำ ๆ หรือเขิน ๆ แต่แค่ได้ยินก็ทำให้รู้สึกว่าเรายังเป็นคนพิเศษของกันและกันเสมอ

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

ความรักไม่ใช่แค่เรื่องของหัวใจ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสื่อสารอย่างลึกซึ้ง คู่รักทุกคู่ที่มีความสัมพันธ....

ระวังอย่าเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กติดจอในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน คำว่า “เด็กติดจอ” กลายเป็นคำที่...
02/09/2025

ระวังอย่าเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กติดจอ
ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน คำว่า “เด็กติดจอ” กลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงบ่อยในวงการเลี้ยงดูเด็ก พ่อแม่หลายคนอาจไม่ทันระวังว่าการให้ลูกดูโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์บ่อย ๆ ตั้งแต่อายุน้อยอาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการระยะยาวของเด็กอย่างมาก

เด็กติดจอคืออะไร
เด็กติดจอ คือเด็กที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือโทรทัศน์ โดยมักจะใช้เวลาเหล่านี้เพียงลำพัง ขาดการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เช่น พ่อแม่ หรือเพื่อนร่วมวัย พฤติกรรมนี้อาจเริ่มตั้งแต่เด็กอายุไม่กี่เดือน ซึ่งพ่อแม่บางคนอาจใช้หน้าจอช่วยเลี้ยงลูก เช่น เปิดยูทูบกล่อมนอน หรือเปิดการ์ตูนเพื่อให้เด็กหยุดร้อง

ทำไมเด็กติดจอจึงน่าเป็นห่วง
1. พัฒนาการด้านภาษาช้า เด็กติดจอจำนวนมากพูดช้ากว่าเกณฑ์ หรือพูดไม่เป็นประโยค เพราะหน้าจอเป็นการสื่อสารทางเดียว เด็กไม่ได้ฝึกพูดหรือโต้ตอบจริงกับมนุษย์
2. ขาดทักษะทางสังคม เด็กอาจไม่สบตา ไม่สนใจคนรอบข้าง หรือไม่รู้จักการเล่นกับเด็กคนอื่น เพราะไม่ได้เรียนรู้ผ่านการปฏิสัมพันธ์จริง
3. สมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย การเสพสื่อไว ๆ จากหน้าจอ เช่น คลิปเปลี่ยนฉากเร็ว เพลงกระตุ้นสูง จะทำให้สมองของเด็กเคยชินกับการกระตุ้นแบบเร็ว ส่งผลให้เด็กไม่มีความอดทน ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดได้นาน
4. เสี่ยงภาวะออทิสติกเทียม เด็กบางคนอาจแสดงพฤติกรรมคล้ายออทิสติก เช่น ไม่สบตา ไม่โต้ตอบ ไม่พูด ซึ่งไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของสมอง แต่เกิดจากการขาดประสบการณ์ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในวัยสำคัญ

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
องค์การอนามัยโลก (WHO) และสมาคมกุมารแพทย์หลายแห่งมีข้อแนะนำเรื่องหน้าจอสำหรับเด็กไว้ดังนี้
- ต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรให้ใช้เลย
- 2-5 ปี ไม่เกิน 1 ชั่วโมง/วัน และต้องมีผู้ปกครองร่วมดู
- 6 ปีขึ้นไป จำกัดเวลาอย่างเหมาะสม และเน้นกิจกรรมทางกายและสังคมร่วมด้วย

แล้วจะเลี้ยงลูกอย่างไรถ้าไม่ให้ใช้จอ
จริง ๆ แล้วเด็กไม่ได้ต้องการหน้าจอในการเรียนรู้ เด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านการเล่นและการปฏิสัมพันธ์กับคน อย่างกิจกรรมที่ช่วยเสริมพัฒนาการโดยไม่ต้องพึ่งหน้าจอ เช่น
- เล่นของเล่นแบบจับต้องได้ เช่น ตัวต่อ บล็อกไม้
- อ่านหนังสือนิทานร่วมกับพ่อแม่
- เล่นบทบาทสมมติ เช่น เล่นขายของ เล่นบ้าน
- ฟังเพลงและเต้นตาม
- ชวนลูกคุย สบตา และตั้งคำถามให้ลูกตอบ

สรุป
เด็กติดจอ คือเด็กที่ขาดการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อพัฒนาการด้านภาษา สังคม สมาธิ และอารมณ์ พ่อแม่ควรตระหนักว่าหน้าจอไม่ใช่พี่เลี้ยงที่ปลอดภัยสำหรับเด็กเล็ก และทางเลือกที่ดีที่สุดในการส่งเสริมพัฒนาการของลูกคือ เวลา ความใส่ใจ และการเล่นร่วมกันอย่างมีคุณภาพ

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

พ่อแม่หลายคนอาจไม่ทันระวังว่าการให้ลูกดูโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์บ่อย ๆ ตั้งแต่อายุน้อยอาจส.....

ใช้ชีวิตให้เหมือนว่าพรุ่งนี้โลกจะแตกเคยไหมที่เราผัดวันประกันพรุ่งคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยทำ วันหลังค่อยพูด หรือไว้พร้อมค่อยเริ...
29/08/2025

ใช้ชีวิตให้เหมือนว่าพรุ่งนี้โลกจะแตก
เคยไหมที่เราผัดวันประกันพรุ่งคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยทำ วันหลังค่อยพูด หรือไว้พร้อมค่อยเริ่ม แต่ถ้าวันพรุ่งนี้ไม่มีอยู่จริงล่ะ
แนวคิด “ใช้ชีวิตให้เหมือนว่าพรุ่งนี้โลกจะแตก” (Live like the world ends tomorrow) ไม่ได้หมายถึงการใช้ชีวิตแบบประมาทหรือไร้แผน แต่เป็นการเตือนให้เราตระหนักถึงคุณค่าของ “ปัจจุบัน” ว่าเป็นสิ่งเดียวที่เราควบคุมได้จริง และอาจเป็น “โอกาสสุดท้าย” ของบางสิ่งในชีวิต

แนวคิดนี้คืออะไร
แนวคิดนี้คือการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายในทุกวันราวกับว่าวันพรุ่งนี้อาจไม่มีอีกแล้ว เช่น
- พูดในสิ่งที่ควรพูด
- ทำในสิ่งที่อยากทำ
- ให้อภัยในสิ่งที่ควรปล่อยวาง
- กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ติดค้างใจมานาน
ไม่ใช่เพราะกลัวตายแต่เพราะไม่อยากเสียใจที่ไม่เคย “ได้ใช้ชีวิตจริง ๆ”

ประโยชน์ของการใช้ชีวิตในแนวทางนี้
1. มีสติกับปัจจุบันมากขึ้น หยุดคิดวนเรื่องอดีต หยุดกังวลเรื่องอนาคต
2. กล้าทำสิ่งที่เคยลังเล เช่น การสารภาพรัก, เริ่มธุรกิจ, หรือเดินทางคนเดียว
3. รู้คุณค่าของคนและสิ่งรอบตัว ไม่ผลักคนที่รักเราออกไปเพราะคิดว่าจะมี “เวลาอีกเยอะ”
4. ลดความกลัวความล้มเหลว ถ้าพรุ่งนี้โลกแตก คุณจะยังกลัวอะไรอยู่
5. ไม่ผัดวันทำสิ่งสำคัญ เช่น การบอกรักพ่อแม่ หรือดูแลสุขภาพที่ปล่อยทิ้งไว้

สิ่งที่ควรระวังอย่าเข้าใจผิด
แนวคิดนี้ไม่ใช่การใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ใช้เงินหมดบัญชี ตัดสินใจแบบไม่รับผิดชอบ ทำอะไรตามใจโดยไม่คิดถึงผลกระทบ แนวทางนี้คือ “การมีสติ + ความกล้า + ความชัดเจน” ไม่ใช่ “การหนีปัญหา + ทำอะไรก็ได้ก่อนตาย”

แนวทางฝึกใช้แนวคิดนี้ในชีวิตประจำวัน
1. ตื่นมาทุกเช้าแล้วถามตัวเองว่า “ถ้าวันนี้คือวันสุดท้ายเราจะทำอะไร”
2. เขียนจดหมายถึงคนที่คุณรัก แม้ไม่ส่งแต่อย่างน้อยคุณจะรู้ว่ารู้สึกอะไร
3. หยุดเลื่อนแผนสำคัญไปเรื่อย ๆ ถามตัวเองว่า “สิ่งนี้รอได้อีกกี่วัน” จริงไหม
4. หยุดเสียเวลากับสิ่งที่ไม่มีคุณค่าเช่น ดราม่าในโซเชียล หรือความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางไปต่อ

สรุป
การใช้ชีวิตให้เหมือนว่าพรุ่งนี้โลกจะแตกไม่ใช่เรื่องเศร้าแต่คือการมีสติ ไม่ใช่เรื่องหวาดกลัวแต่คือการมีเป้าหมาย ไม่ใช่เรื่องสุดโต่งแต่คือการใช้ชีวิตให้เต็มที่กับวันนี้ เพราะบางครั้ง “พรุ่งนี้” อาจไม่มาตามสัญญา “จงใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่ดำรงอยู่” — Don’t just exist. Live.

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

เคยไหมที่เราผัดวันประกันพรุ่งคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยทำ วันหลังค่อยพูด หรือไว้พร้อมค่อยเริ่ม แต่ถ้าวันพรุ่งน...

สิ่งที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าโรคซึมเศร้า (Depression) ไม่ใช่แค่ความเศร้าใจทั่วไป แต่เป็นภาวะทางจิตใจที่ซับซ้...
27/08/2025

สิ่งที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า (Depression) ไม่ใช่แค่ความเศร้าใจทั่วไป แต่เป็นภาวะทางจิตใจที่ซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางสมองและจิตวิทยา หลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้ ส่งผลให้เกิดอคติและปัญหาในการรับมือกับผู้ป่วย บทความนี้จะช่วยชี้แจงข้อผิดพลาดทั่วไปในมุมมองทางจิตวิทยา

1. ซึมเศร้าคือแค่ “ความรู้สึกเศร้า” ที่ไม่สามารถควบคุมได้
ในทางจิตวิทยา ความเศร้าคืออารมณ์ปกติที่เกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่เจ็บปวดหรือสูญเสีย แต่โรคซึมเศร้าคือภาวะที่อารมณ์เศร้าลึกและยาวนานเกินกว่าปกติ และยังมาพร้อมกับความคิดเชิงลบอย่างรุนแรง เช่น ความรู้สึกหมดหวังและไร้ค่า ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ด้วยความตั้งใจหรือความพยายามเพียงอย่างเดียว

2. การซึมเศร้าเกิดจากความอ่อนแอทางจิตใจหรือ “ขี้เกียจ”
จิตวิทยายืนยันว่าโรคซึมเศร้าเป็นภาวะที่เกิดจากความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง และกระบวนการทางความคิดที่ผิดปกติ เช่น การคิดลบซ้ำๆ (rumination) ที่ทำให้ผู้ป่วยจมอยู่กับความคิดลบอย่างไม่สิ้นสุด โรคนี้ไม่ใช่เรื่องของความตั้งใจหรือความเข้มแข็งทางจิตใจ แต่เป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษา

3. ผู้ป่วยซึมเศร้าคือคนที่เลือก “ยอมแพ้” กับชีวิต
ในทางจิตวิทยา การซึมเศร้าเกี่ยวข้องกับการขาดแรงจูงใจ ความรู้สึกหมดพลัง และการมองโลกในแง่ลบ ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสมองและกระบวนการคิดที่ผิดปกติ ไม่ใช่การตัดสินใจหรือความล้มเหลวส่วนตัว การมองว่าผู้ป่วย “ยอมแพ้” หรือ “ขี้เกียจ” เป็นการเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง

4. คำพูดให้กำลังใจ “คิดบวก” ช่วยได้เสมอ
แม้ว่าการสนับสนุนทางอารมณ์และคำพูดให้กำลังใจจะช่วยได้บางส่วน แต่ผู้ป่วยซึมเศร้ามักจะมีความคิดลบซ้ำๆ ที่คุมความรู้สึกและการตัดสินใจของตัวเอง จึงต้องได้รับการบำบัดทางจิตวิทยาที่ถูกต้อง เช่น การบำบัดพฤติกรรมทางความคิด (Cognitive Behavioral Therapy - CBT) ที่ช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบความคิดลบและพฤติกรรมที่ไม่ช่วยเหลือ

5. โรคซึมเศร้าเป็นเรื่องของ “อารมณ์” เท่านั้น
จิตวิทยามองโรคซึมเศร้าว่าเป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ความคิด พฤติกรรม และร่างกายอย่างเชื่อมโยงกัน ผู้ป่วยอาจมีอาการ เช่น ความเหนื่อยล้า การเปลี่ยนแปลงของการนอน การรับประทานอาหาร และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทำให้โรคนี้ต้องได้รับการรักษาอย่างครอบคลุมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

6. การรักษาโรคซึมเศร้าคือแค่การใช้ยา
ในมุมมองจิตวิทยา การใช้ยารักษาเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการรักษา ผู้ป่วยมักต้องได้รับการบำบัดทางจิตวิทยาร่วมด้วย เช่น การบำบัดพฤติกรรมทางความคิด (CBT), การบำบัดด้วยการพูดคุย (psychotherapy) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีจัดการกับความคิดและอารมณ์อย่างเหมาะสม

สรุป
โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตวิทยาที่ซับซ้อนและต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ความเศร้าหรืออ่อนแอทางจิตใจ การลดความเข้าใจผิดและเปิดใจรับฟังจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนและรักษาอย่างถูกต้อง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

โรคซึมเศร้า (Depression) ไม่ใช่แค่ความเศร้าใจทั่วไป แต่เป็นภาวะทางจิตใจที่ซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการทา.....

เมื่อความกลัวตกกระแสกลายเป็นความกดดันทางสังคมในยุคที่ผู้คนเช็กโทรศัพท์วันละหลายสิบครั้ง เลื่อนดูฟีดโซเชียลมีเดียแทบทั้งว...
25/08/2025

เมื่อความกลัวตกกระแสกลายเป็นความกดดันทางสังคม
ในยุคที่ผู้คนเช็กโทรศัพท์วันละหลายสิบครั้ง เลื่อนดูฟีดโซเชียลมีเดียแทบทั้งวัน เราอาจรู้สึกว่าทุกคนกำลังทำอะไรสนุก ๆ กันอยู่ แต่ฉันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งเลย ความรู้สึกแบบนี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า FOMO

FOMO คืออะไร
FOMO ย่อมาจาก Fear of Missing Out แปลตรงตัวคือความกลัวที่จะพลาดอะไรบางอย่าง ซึ่งในบริบทปัจจุบัน หมายถึงความรู้สึกกังวล ไม่สบายใจ หรือกระวนกระวายใจ เมื่อตนเองไม่ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรม โอกาส หรือประสบการณ์ที่ผู้อื่นกำลังพูดถึงหรือแชร์บนสื่อสังคมออนไลน์

ลักษณะของคนที่มีอาการ FOMO
1. รู้สึกอิจฉาหรือเปรียบเทียบชีวิตกับผู้อื่น
2. ไม่อยากพลาดเทรนด์ หรือกิจกรรมที่คนอื่นกำลังพูดถึง
3. เช็กโซเชียลมีเดียบ่อยมาก กลัวตกข่าว
4. มักรีบตัดสินใจเพราะกลัวพลาด เช่น รีบซื้อของที่กำลังลดราคา หรือรีบเข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่คิดให้รอบคอบ
5. ใช้ชีวิตตามสิ่งที่คนอื่นทำมากกว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ผลกระทบของ FOMO
1. ด้านจิตใจ
- เครียด วิตกกังวล
- มีความรู้สึกไม่พอใจในตัวเอง
- รู้สึกโดดเดี่ยว แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนในโลกออนไลน์
2. ด้านพฤติกรรม
- เสพติดการใช้งานโซเชียล
- ตัดสินใจผิดพลาดจากแรงกระตุ้น
- ไม่สามารถโฟกัสกับชีวิตจริงตรงหน้า
3. ด้านการเงิน
- ใช้เงินเกินตัว เพื่อไม่พลาดสินค้า เทรนด์ หรือประสบการณ์
- สมัครเข้าร่วมกิจกรรมหรือซื้อของเพียงเพราะคนอื่นก็ทำ

วิธีรับมือกับ FOMO อย่างมีสติ
1. จำไว้ว่าทุกคนมีด้านที่ไม่ได้โพสต์ สิ่งที่คุณเห็นในโซเชียลคือเพียงส่วนเล็ก ๆ ของชีวิตคนอื่น ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด
2. ฝึกอยู่กับปัจจุบัน (Mindfulness) ลองตั้งเวลาไม่เล่นโซเชียลสักช่วงหนึ่งในแต่ละวัน และให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
3. ตั้งเป้าหมายของตัวเองให้ชัด เมื่อรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจริง ๆ คุณจะไม่สั่นคลอนง่ายเมื่อเห็นคนอื่นทำสิ่งที่ต่างจากคุณ
4. พิจารณาอย่างมีเหตุผลก่อนตัดสินใจ ถามตัวเองว่าฉันอยากทำสิ่งนี้เพราะอะไร ฉันจะเสียอะไรถ้าไม่ทำ

สรุป
FOMO คือความกลัวที่เกิดจากโลกที่หมุนเร็ว และเต็มไปด้วยการเปรียบเทียบ แต่เมื่อเราสามารถหยุดพักหันกลับมาอยู่กับตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างมีสติ FOMO ก็จะไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นตัวเตือนที่ทำให้เรากลับมาทบทวนว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

ในยุคที่ผู้คนเช็กโทรศัพท์วันละหลายสิบครั้ง เลื่อนดูฟีดโซเชียลมีเดียแทบทั้งวัน เราอาจรู้สึกว่าทุกคนกำล....

จะทำอย่างไรหากต้องการปฏิเสธคนอื่นแบบสุภาพในสังคมไทยการปฏิเสธคนอื่นมักเป็นเรื่องที่ยาก เพราะเราไม่อยากทำให้คนอื่นรู้สึกเส...
22/08/2025

จะทำอย่างไรหากต้องการปฏิเสธคนอื่นแบบสุภาพ
ในสังคมไทยการปฏิเสธคนอื่นมักเป็นเรื่องที่ยาก เพราะเราไม่อยากทำให้คนอื่นรู้สึกเสียหน้า ผิดหวัง หรือคิดว่าเราไม่มีน้ำใจ แต่ในบางครั้งเราอาจไม่มีเวลาพอ ไม่สะดวก หรือไม่สามารถทำตามคำขอได้จริง ๆ แล้วจะทำอย่างไรดี
คำตอบคือเราสามารถปฏิเสธได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด หากรู้จักพูดอย่างสุภาพ และจริงใจ บทความนี้จะพาคุณไปดูเทคนิค และตัวอย่างที่ใช้ได้จริงในการปฏิเสธแบบรักษาน้ำใจ

ทำไมต้องปฏิเสธให้เป็น
1. เพื่อรักษาขอบเขตของตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องรับทุกอย่าง เพราะการฝืนใจอาจทำให้รู้สึกอึดอัด หรือเสียสมดุลชีวิต
2. เพื่อไม่เสียความสัมพันธ์ การพูด "ไม่" ที่ถูกวิธีจะไม่ทำให้ความสัมพันธ์เสียหาย
3. เพื่อความชัดเจนและสบายใจของทั้งสองฝ่าย ดีกว่ารับไว้แล้วทำไม่ได้ หรือทำแบบไม่เต็มใจ

เทคนิคการปฏิเสธอย่างสุภาพ
1. เริ่มต้นด้วยการแสดงความขอบคุณ แสดงให้เห็นว่าเราซาบซึ้งที่เขานึกถึงเรา เช่น ขอบคุณที่คิดถึงเรานะ เราดีใจมากเลยที่เธอนึกถึงเราให้ช่วย
2. ใช้ถ้อยคำสุภาพ ไม่แข็งจนเกินไป แทนที่จะพูดว่า ไม่เอา, ไม่ทำ, ให้ใช้คำว่าอาจจะยังไม่สะดวกช่วงนี้ หรือ เราคงยังไม่สามารถรับไว้ได้ตอนนี้
3. ให้เหตุผลอย่างจริงใจ (แต่ไม่ต้องละเอียดเกินไป) เช่น ช่วงนี้เรามีภาระที่ต้องโฟกัสอยู่หลายเรื่อง หรือ เรากลัวว่าจะช่วยได้ไม่เต็มที่เลยอยากให้เธอได้คนที่สะดวกกว่านี้
4. เสนอทางเลือกอื่น (ถ้าเป็นไปได้) เช่น เราทำไม่ได้ตอนนี้ แต่เราแนะนำให้ลองคุยกับคุณบีนะ เขาเชี่ยวชาญด้านนี้มากเลย หรือ ตอนนี้เราไม่ว่าง แต่ถ้าเป็นอาทิตย์หน้าเราอาจช่วยดูได้นิดหน่อย
5. ปิดท้ายด้วยท่าทีเป็นมิตร เช่น ไว้มีโอกาสหน้าอย่าลืมชวนเราอีกนะ หรือ ยังไงก็ขอให้โชคดีกับโปรเจกต์นี้นะเราเป็นกำลังใจให้

ตัวอย่างสถานการณ์ & วิธีปฏิเสธ
- เพื่อนขอยืมเงิน “เราขอโทษจริง ๆ นะ ช่วงนี้เราต้องจัดการค่าใช้จ่ายบางอย่าง เลยยังไม่สะดวกเลย”
- ถูกชวนไปงานเลี้ยง “ขอบคุณมากเลยที่ชวนแต่น่าเสียดายที่เราติดธุระพอดีไว้คราวหน้าไม่พลาดแน่นอน
- ถูกขอความช่วยเหลือเรื่องงาน “เราอยากช่วยมากเลยนะแต่ตอนนี้มีงานค้างเยอะมากกลัวจะไม่สามารถทำให้ได้ดี”
- คนขายพยายามเสนอขายของ “ขอบคุณค่ะขอเก็บไว้พิจารณาก่อนนะคะถ้าสนใจจะติดต่อกลับไปค่ะ”

ข้อควรหลีกเลี่ยง
1. พูดปฏิเสธแบบห้วน ๆ เช่น ไม่ว่าง, ไม่เอา
2. ตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญ หรือแสดงอารมณ์ลบ
3. โกหกแบบเกินจริง เพราะอาจทำให้ถูกจับได้ภายหลัง

สรุป
การปฏิเสธไม่ใช่เรื่องผิด แต่คือทักษะที่ต้องใช้ความเข้าใจ ความอ่อนโยน และความกล้าพอสมควร หากคุณสามารถปฏิเสธด้วยความจริงใจและให้เกียรติผู้อื่น ความสัมพันธ์ก็ยังดำเนินต่อไปได้อย่างดี และคุณเองก็จะไม่รู้สึกผิดกับการยืนหยัดในขอบเขตของตัวเองด้วย

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

การปฏิเสธไม่ใช่เรื่องผิด แต่คือทักษะที่ต้องใช้ความเข้าใจ ความอ่อนโยน และความกล้าพอสมควร หากคุณสามารถปฏ.....

ที่อยู่

120/34-35 หมู่ 24 ต. ศิลา อ. เมือง Khon Kaen District
Khon Kaen
40000

เวลาทำการ

จันทร์ 08:30 - 17:30
อังคาร 08:30 - 17:30
พุธ 08:30 - 17:30
พฤหัสบดี 08:30 - 17:30
ศุกร์ 08:30 - 17:30
เสาร์ 08:30 - 17:30

เบอร์โทรศัพท์

+66629091110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Bestjob thผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Bestjob th:

แชร์