Bestjob th ค้นหาตำแหน่งงานว่างและรวบรวมตำแหน?

Bestjobth เป็นเว็บไซต์จัดหางานลงงานในรูปแบบออนไลน์ พร้อมเป็นตัวกลางระหว่างผู้สมัครงานที่กำลังหางาน และบริษัทที่กำลังหาพนักงานเข้ามาทำงานในส่วนต่างๆ มีบริการครบวงจรด้านการจัดสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพ พร้อมช่วยเหลือทุกบริษัทในไทยให้ท่านได้หาพนักงานที่ใช่ตรงตามที่ต้องการ

🙏วันอาสาฬหบูชา🙏🕯️วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘🕯️เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา เป็นครั้งแรก โดยแสดงปฐมเทศนา อันได้แก่ "...
10/07/2025

🙏วันอาสาฬหบูชา🙏
🕯️วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘🕯️
เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา เป็นครั้งแรก โดยแสดงปฐมเทศนา อันได้แก่ "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร" และเกิดมีสาวกรูปแรกขึ้น ถือเป็นวันแรกที่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครบเป็นองค์พระรัตนตรัย

ใกล้กันจนดูแคลน เมื่อความคุ้นเคยกลายเป็นกับดักของความสัมพันธ์เคยไหมกับคนที่เคยให้ความสำคัญอย่างมากในช่วงแรก แต่เมื่อเวลา...
08/07/2025

ใกล้กันจนดูแคลน เมื่อความคุ้นเคยกลายเป็นกับดักของความสัมพันธ์
เคยไหมกับคนที่เคยให้ความสำคัญอย่างมากในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นว่าเราเริ่มละเลย หรือมองข้ามความดีของเขาไปโดยไม่รู้ตัว
ปรากฏการณ์นี้เรียกกันในภาษาพูดว่า “ใกล้กันจนดูแคลน” เป็นสภาวะที่คนสองคนอยู่ใกล้กันมากจนความคุ้นเคยบดบังคุณค่า และสุดท้ายอาจทำให้ความสัมพันธ์ค่อย ๆ จางหายไป โดยที่ไม่มีใครตั้งใจ

ความคุ้นเคยกลายเป็นดาบสองคม
ความใกล้ชิดเป็นพื้นฐานสำคัญของความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อนสนิท หรือครอบครัว เพราะมันช่วยให้เกิดความไว้ใจ สบายใจ และรู้สึกปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกันความคุ้นเคยนั้นก็สามารถกลายเป็น ดาบสองคม เพราะเมื่อเรารู้จักใครคนหนึ่งดีมากพอเราอาจเริ่มมองข้ามสิ่งดี ๆ ที่เขาเคยทำให้เรา หรือเริ่มคาดหวังให้เขา “เข้าใจโดยไม่ต้องพูด”

สัญญาณของ “ใกล้กันจนดูแคลน”
1. ไม่ใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ เหมือนก่อน จากที่เคยถามไถ่ พูดจาดี ๆ หรือให้ความสนใจ กลายเป็นคำพูดสั้น ๆ หรือการเมินเฉย
2. เปรียบเทียบกับคนอื่นโดยไม่รู้ตัว “คนอื่นยังทำได้เลย แล้วทำไมเธอถึงทำไม่ได้” ประโยคแบบนี้อาจดูเหมือนเรียบง่ายแต่ทำร้ายจิตใจได้มาก
3. ลืมขอบคุณและเห็นคุณค่ากัน สิ่งที่เคยทำให้กันอย่างเต็มใจ กลายเป็นสิ่งที่ถูกมองว่า “ก็ต้องทำอยู่แล้ว”
4. เริ่มโฟกัสแต่ข้อเสียมากกว่าข้อดี คนใกล้ตัวมักตกเป็นเป้าการวิจารณ์โดยไม่ตั้งใจ เพราะเราคิดว่าเขา “ควรจะรู้” หรือ “ควรจะเข้าใจ”

เพราะอะไรเราถึงเป็นแบบนั้น
1. กลไกของสมอง สมองมนุษย์มีแนวโน้มจะปรับตัวกับสิ่งที่พบเป็นประจำ เราจึงตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ และเริ่ม “ชินชา” กับสิ่งที่เคยมีค่ามากในอดีต
2. การคาดหวังที่สูงขึ้น ยิ่งรู้จักกันนาน ยิ่งคาดหวังมากขึ้น หากอีกฝ่ายทำไม่ได้ตามนั้นก็จะเกิดความผิดหวังและตัดสินเร็วขึ้น
3. ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ในบางความสัมพันธ์โดยเฉพาะในครอบครัวหรือชีวิตคู่ ความรับผิดชอบและความเครียดในชีวิตประจำวันอาจทำให้เราเผลอระบายใส่คนใกล้ตัว เพราะ "เขาน่าจะเข้าใจ"

จะรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้อย่างไร
1. ย้อนกลับมาชื่นชมในสิ่งเล็ก ๆ อีกครั้ง การขอบคุณแม้เป็นเรื่องเล็กน้อยจะช่วยรักษาน้ำใจได้อย่างมหาศาล
2. ให้เกียรติกันแม้ในเรื่องที่เคยชิน อย่าลืมว่าคนใกล้ตัวก็ยังต้องการความเคารพไม่แพ้คนภายนอก
3. พูดคุยเปิดใจไม่ใช่คาดหวังให้เข้าใจเอง ไม่มีใครอ่านใจอีกคนได้ 100% การสื่อสารตรงไปตรงมา ช่วยลดความคาดหวังผิด ๆ
4. ตั้งใจ "เห็นคุณค่า" ของกันและกันอีกครั้ง ลองมองคนใกล้ตัวเหมือนวันแรกที่คุณรู้สึกดีต่อเขา แล้วคุณอาจพบว่าเขายังมีสิ่งดี ๆ อีกมากที่คุณลืมไป

สรุป
“ใกล้กันจนดูแคลน” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกความสัมพันธ์ แต่สิ่งสำคัญคือการ “รู้ตัว” และ “ตั้งใจฟื้นฟู” ความสัมพันธ์นั้นกลับมา เพราะบางครั้งสิ่งที่มีค่านั้นอยู่ใกล้ตัวเราแค่เอื้อม แต่เรามองข้ามมันไปเพียงเพราะมัน “อยู่ตรงนั้นนานเกินไป” อย่าให้ความคุ้นเคยกลายเป็นเหตุผลในการละเลยใครสักคนที่รักและอยู่ข้างเรามาตลอด

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

เคยไหมกับคนที่เคยให้ความสำคัญอย่างมากในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นว่าเราเริ่มละเลย หรือมอง....

สิ่งที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับ Sociopathคำว่า Sociopath มักถูกพูดถึงในภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือบทความเชิงจิตวิทยาในลักษณะที่น่ากลั...
05/07/2025

สิ่งที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับ Sociopath
คำว่า Sociopath มักถูกพูดถึงในภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือบทความเชิงจิตวิทยาในลักษณะที่น่ากลัวหรือรุนแรง แต่ในความเป็นจริง คำนี้ยังมีหลายแง่มุมที่สังคมทั่วไปอาจ เข้าใจผิด หรือ ตีความเกินจริง ซึ่งอาจนำไปสู่การตีตราคนบางกลุ่มโดยไม่เป็นธรรม

Sociopath คืออะไร
Sociopath เป็นคำที่ใช้เรียกบุคคลที่มีลักษณะของ Antisocial Personality Disorder (ASPD) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มของความผิดปกติทางบุคลิกภาพ (Personality Disorders) ผู้ที่มีลักษณะของ Sociopath มักมีปัญหาเรื่องการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ของสังคม และมีแนวโน้มที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่เป็น Sociopath จะเป็นอาชญากรหรือทำร้ายผู้อื่น อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด

สิ่งที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Sociopath
1. ทุกคนที่เป็น Sociopath คือฆาตกรหรือคนร้าย คนมักเชื่อว่าคนที่เป็น Sociopath จะต้องทำเรื่องร้ายแรง เช่น ฆ่าคน หรือเป็นอาชญากร ความจริงคือ แม้บางรายจะมีพฤติกรรมรุนแรง แต่ไม่ใช่ทุกคน คนที่มีบุคลิกภาพแบบ Sociopath อาจเป็นเพียงคนที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ การเข้าสังคม หรือขาดความสำนึกผิดในบางสถานการณ์
2. Sociopath ไม่มีความรู้สึกเลย หลายคนคิดว่า Sociopath เป็นเหมือน “หุ่นยนต์” ที่ไม่มีอารมณ์ ความจริงคือ พวกเขามีอารมณ์แต่อาจแสดงออกหรือจัดการกับอารมณ์ได้ไม่เหมือนคนทั่วไป และมักขาดความสามารถในการเข้าใจหรือเชื่อมโยงกับอารมณ์ของผู้อื่น
3. สามารถมองออกว่าใครเป็น Sociopath ได้ง่ายๆ คิดว่าคนที่มีท่าทางเย็นชา หรือไม่เข้าสังคม ต้องเป็น Sociopath ความจริงคือ หลายคนที่เป็น Sociopath อาจดูเป็นมิตร มีเสน่ห์ และเข้ากับคนอื่นได้ดีภายนอก แต่มีรูปแบบความคิดและพฤติกรรมที่ผิดปกติอยู่ภายใน
4. Sociopath แก้ไขไม่ได้ เชื่อว่าเมื่อเป็นแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงหรือรักษาได้ ความจริงคือ แม้ว่า Antisocial Personality Disorder จะรักษาได้ยากและต้องการเวลา แต่ในบางกรณี การบำบัดอย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยปรับตัวและควบคุมพฤติกรรมได้ดีขึ้น

ทำไมเราต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ถูกต้อง
การเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Sociopath อาจนำไปสู่การตีตรา ละเลย หรือแม้กระทั่งปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไม่ยุติธรรม ซึ่งเป็นอันตรายทั้งต่อผู้มีอาการจริงๆ และสังคมโดยรวม การมีความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยให้เราสื่อสาร เข้าใจ และให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น

สรุป
Sociopath ไม่ได้หมายความว่า “คนเลว” หรือ “อาชญากร” อย่างที่ภาพลักษณ์ในสื่อมักจะสะท้อน ผู้ที่มีลักษณะบุคลิกภาพแบบนี้ยังสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ หากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม การทำความเข้าใจอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการลดอคติ และสร้างสังคมที่เปิดกว้างและเห็นอกเห็นใจมากยิ่งขึ้น

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

คำว่า Sociopath มักถูกพูดถึงในภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือบทความเชิงจิตวิทยาในลักษณะที่น่ากลัวหรือรุนแรง แต่ในความเป็....

Sociopath เมื่อเสน่ห์ภายนอกซ่อนความไร้สำนึกไว้ภายในคำว่า Sociopath เป็นคำที่เรามักได้ยินในหนัง ซีรีส์ หรือข่าวอาชญากรรมร...
03/07/2025

Sociopath เมื่อเสน่ห์ภายนอกซ่อนความไร้สำนึกไว้ภายใน
คำว่า Sociopath เป็นคำที่เรามักได้ยินในหนัง ซีรีส์ หรือข่าวอาชญากรรมรุนแรง แต่ในทางจิตวิทยา คำนี้ไม่ได้หมายถึง “คนบ้า” หรือ “คนอันตราย” แบบเหมารวมเสมอไป Sociopath คือบุคคลที่มีลักษณะบุคลิกภาพผิดปกติในกลุ่มของ Antisocial Personality Disorder (ASPD) ซึ่งมีความซับซ้อนและควรทำความเข้าใจให้ถ่องแท้

Sociopath คืออะไร
Sociopath (โซซิโอพาธ) คือบุคคลที่มีรูปแบบพฤติกรรมต่อต้านสังคม มีแนวโน้มละเมิดสิทธิของผู้อื่นโดยไม่รู้สึกผิดหรือสำนึกผิด พวกเขามักจะมีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์ที่จริงใจ ขาดความเห็นใจผู้อื่น และอาจใช้เล่ห์กลหรือเสน่ห์ส่วนตัวในการควบคุมคนรอบข้าง คำว่า “Sociopath” ไม่ใช่คำวินิจฉัยทางการแพทย์โดยตรง แต่เป็นคำที่ใช้กันทั่วไปเพื่ออธิบายผู้ที่มีลักษณะของ บุคลิกภาพแบบต่อต้านสังคม (ASPD)

ลักษณะเด่นของ Sociopath
1. ขาดความสำนึกผิดหรือสำนึกในสิ่งผิดชอบชั่วดี กระทำผิดแล้วไม่รู้สึกเสียใจ เช่น โกหก ขโมย หรือทำร้ายผู้อื่น
2. โกหกเก่งและชอบหลอกลวง ใช้เสน่ห์และคำพูดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
3. ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ (Empathy ต่ำ) ไม่สามารถเข้าใจหรือสนใจความรู้สึกของผู้อื่น
4. ก้าวร้าว หรือขาดการควบคุมอารมณ์ แสดงความโกรธหรือความรุนแรงได้ง่าย
5. ละเมิดกฎหรือบรรทัดฐานสังคม ไม่สนใจกฎหมาย หรือทำสิ่งที่ผิดโดยไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา
6. มีความสัมพันธ์ที่ตื้นเขินหรือฉาบฉวย สร้างความสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์ ไม่ใช่เพราะความรู้สึกแท้จริง

สาเหตุของการเป็น Sociopath
ยังไม่มีสาเหตุเดียวที่แน่ชัด แต่นักจิตวิทยาเชื่อว่าเกิดจากการผสมผสานของ
- พันธุกรรม (Genetics) มีหลักฐานว่าบางคนมีแนวโน้มทางชีววิทยาที่ทำให้ขาดการควบคุมอารมณ์
- สิ่งแวดล้อมในวัยเด็ก เช่น การถูกล่วงละเมิด ถูกทอดทิ้ง หรือเติบโตในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
- การเลี้ยงดูแบบขาดความรักหรือไม่มั่นคง

สรุป
Sociopath คือภาวะทางบุคลิกภาพที่ซับซ้อนและมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างมาก การเข้าใจลักษณะของ Sociopath ไม่ได้มีไว้เพื่อ “ตัดสิน” หรือ “ตีตรา” ใคร แต่เพื่อให้เรารู้เท่าทันพฤติกรรมบางอย่าง และสามารถดูแลตัวเองได้หากมีคนรอบข้างแสดงพฤติกรรมที่เข้าข่าย

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

Sociopath (โซซิโอพาธ) คือบุคคลที่มีรูปแบบพฤติกรรมต่อต้านสังคม มีแนวโน้มละเมิดสิทธิของผู้อื่นโดยไม่รู้สึกผิดหร....

Idealization การมองอะไรบางอย่างในแบบที่ดีเกินจริงในชีวิตประจำวันของเราไม่ว่าจะเป็นการมองตัวเอง คนรัก คนรอบข้าง หรือแม้แต...
01/07/2025

Idealization การมองอะไรบางอย่างในแบบที่ดีเกินจริง
ในชีวิตประจำวันของเราไม่ว่าจะเป็นการมองตัวเอง คนรัก คนรอบข้าง หรือแม้แต่ไอดอลและบุคคลสาธารณะ เรามักเผลอ "มองในมุมที่ดีเกินจริง" โดยไม่รู้ตัว พฤติกรรมนี้ในทางจิตวิทยาเรียกว่า “Idealization” หรือ การอุดมคติ ซึ่งสามารถส่งผลได้ทั้งในทางบวกและทางลบ

Idealization คืออะไร
Idealization (การอุดมคติ) คือกระบวนการทางจิตใจที่บุคคลหนึ่ง ยกระดับหรือมองใครบางคน สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือสถานการณ์หนึ่ง ให้ดูดีเกินความเป็นจริง โดยมักจะมองข้ามข้อเสียหรือด้านลบ พฤติกรรมนี้เกิดขึ้นได้ทั้งในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น การเห็นคู่รัก "สมบูรณ์แบบเกินจริง" หรือในมุมมองต่อตัวเอง เช่น การคิดว่าต้องเป็นคนที่ไม่มีที่ติจึงจะมีคุณค่า

ตัวอย่างของ Idealization ในชีวิตจริง
- ความรักในช่วงแรก ๆ หลายคนมองว่าคู่รักของตน "ไม่มีข้อเสีย" หรือ "ดีกว่าคนอื่นทุกคน" ทั้งที่ยังไม่รู้จักกันลึกพอ
- การติดตามไอดอลหรือบุคคลสาธารณะ มองว่าพวกเขาเพียบพร้อมโดยไม่ยอมรับว่าทุกคนล้วนมีข้อผิดพลาด
- การมองตนเองแบบสุดโต่ง คาดหวังว่าจะต้องประสบความสำเร็จทุกอย่าง หรือไม่มีสิทธิ์ทำผิดพลาดเลย

ทำไมเราถึงเกิด Idealization
1. กลไกป้องกันทางจิตใจ Idealization อาจเป็นวิธีที่จิตใจใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่มั่นคงหรือความเจ็บปวด
2. ความต้องการความรักหรือการยอมรับ เราอาจสร้างภาพของคนอื่นให้น่ารักหรือสมบูรณ์แบบเพื่อเติมเต็มความต้องการในใจเราเอง
3. วัฒนธรรมและสื่อ สื่อมักเสนอภาพชีวิตหรือบุคคลในอุดมคติทำให้เราซึมซับโดยไม่รู้ตัว

ผลกระทบของ Idealization
ในด้านบวก
- สร้างแรงบันดาลใจ เช่น การยกบุคคลต้นแบบให้เป็นแรงผลักดันในการพัฒนาตนเอง
- เสริมแรงจูงใจในการสร้างความสัมพันธ์หรือเป้าหมาย
ในด้านลบ
- ทำให้ผิดหวังง่ายเมื่อความจริงไม่ตรงกับภาพในใจ
- อาจละเลยพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้อื่น
- บั่นทอนความมั่นใจตนเองเมื่อตัวตนจริงไม่เป็นดั่งที่ "ควรจะเป็น"

จะรับมือกับ Idealization ได้อย่างไร
1. สังเกตตัวเอง ลองถามตัวเองว่า “เรามองสิ่งนี้ตามความจริง หรือแค่ตามความคาดหวัง”
2. แยกแยะระหว่างแรงบันดาลใจกับความหลงใหล การชื่นชมใครเป็นเรื่องดีแต่ต้องไม่ลืมว่าทุกคนมีข้อบกพร่อง
3. ฝึกมองแบบสมดุล เห็นทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวเองและผู้อื่นโดยไม่ตัดสิน
4. ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ ทั้งของตัวเองและของคนอื่น เพราะนั่นคือธรรมชาติของความเป็นมนุษย์

สรุป
Idealization คือกระบวนการที่เรายกย่องหรือมองบางสิ่งบางอย่างเกินความเป็นจริง แม้จะเป็นกลไกที่ช่วยให้เรารู้สึกดีในบางสถานการณ์ แต่หากมากเกินไปก็อาจนำไปสู่ความผิดหวัง ความกดดัน และความสัมพันธ์ที่ไม่ยั่งยืน การเรียนรู้ที่จะมองโลกและผู้คนในแบบที่ "สมดุลและเป็นจริง" จะช่วยให้เรามีชีวิตที่มั่นคง และสัมพันธ์ที่ดีขึ้นทั้งกับตนเองและผู้อื่น

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

ในชีวิตประจำวันของเราไม่ว่าจะเป็นการมองตัวเอง คนรัก คนรอบข้าง หรือแม้แต่ไอดอลและบุคคลสาธารณะ เรามักเผล.....

เทคนิคจัดการความคิดลบง่ายๆ ภายใน 3 ขั้นตอนทุกคนล้วนเคยมี “ความคิดลบ” ผุดขึ้นมาในหัว ไม่ว่าจะเป็นความกังวล ความไม่มั่นใจ ...
27/06/2025

เทคนิคจัดการความคิดลบง่ายๆ ภายใน 3 ขั้นตอน
ทุกคนล้วนเคยมี “ความคิดลบ” ผุดขึ้นมาในหัว ไม่ว่าจะเป็นความกังวล ความไม่มั่นใจ ความรู้สึกโทษตัวเอง หรือแม้แต่ความคิดที่บั่นทอนคุณค่าของตัวเอง หากปล่อยไว้นาน ความคิดเหล่านี้อาจสะสมและส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

ทำไมต้องจัดการ "ความคิดลบ"
เพราะความคิดมีผลต่ออารมณ์และพฤติกรรม ความคิดลบที่ไม่ถูกจัดการอาจกลายเป็นความเครียดเรื้อรัง วิตกกังวล หรือซึมเศร้า การรู้ทันความคิดคือก้าวแรกสู่การมีสติ และสุขภาพใจที่มั่นคง

เทคนิคจัดการความคิดลบใน 3 ขั้นตอน
1. สังเกตและตั้งชื่อความคิด เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่าง "ติดอยู่ในหัว" ให้หยุดและสังเกตว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ เช่น
- “ฉันไม่เก่งพอ”
- “คนอื่นต้องคิดว่าฉันแย่แน่”
- “ทุกอย่างมันแย่ไปหมด”
แล้วให้ตั้งชื่อความคิดนั้นอย่างกลาง ๆ เช่น
- “นี่คือความคิดว่าฉันไม่เก่ง”
- “นี่คือความคิดที่กลัวการถูกปฏิเสธ”
แค่การตั้งชื่อก็เท่ากับเราได้ “แยกตัวเองออกจากความคิดนั้นแล้ว” ซึ่งเป็นหลักของ mindfulness หรือ การมีสติรู้ตัว

2. ถามกลับด้วยคำถามง่าย ๆ ให้ลองถามตัวเองว่า
- "หลักฐานจริง ๆ ที่สนับสนุนความคิดนี้คืออะไร"
- "มีมุมมองอื่นที่เป็นไปได้ไหม"
- "ถ้าเพื่อนคิดแบบนี้ ฉันจะพูดกับเขาว่ายังไง"
คำถามเหล่านี้จะช่วยดึงเราออกจากการตีความแบบอัตโนมัติ และเปิดพื้นที่ให้มองโลกในมุมที่สมดุลขึ้น

3. เปลี่ยนโฟกัสไปที่ปัจจุบัน ด้วยการดึงสติกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เช่น
- หายใจเข้าลึก ๆ 3 ครั้งอย่างมีสติ
- มองรอบตัวแล้วบอกชื่อสิ่งของที่เห็น 5 อย่าง
- ขยับร่างกายเบา ๆ เช่น ยืดตัว หมุนไหล่
เทคนิคนี้ช่วยให้สมองหยุดวนซ้ำกับความคิดลบ และกลับมาเชื่อมโยงกับความจริงตรงหน้า

สรุป
ความคิดลบไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นเพียง "ข้อความอัตโนมัติ" ที่สมองส่งมา สิ่งสำคัญคือการรู้ทัน ไม่ตัดสิน และอยู่กับมันอย่างมีสติ เพียงแค่ 3 ขั้นตอนต่อครั้งก็เปลี่ยนทิศทางของวันทั้งวันได้


🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

ทุกคนล้วนเคยมี “ความคิดลบ” ผุดขึ้นมาในหัว ไม่ว่าจะเป็นความกังวล ความไม่มั่นใจ ความรู้สึกโทษตัวเอง หรือแม...

Projection เมื่อสิ่งที่เราไม่ยอมรับในตัวเองถูกสะท้อนผ่านผู้อื่นในชีวิตประจำวันเราทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์ "ไม่ชอบ" หรือ ...
25/06/2025

Projection เมื่อสิ่งที่เราไม่ยอมรับในตัวเองถูกสะท้อนผ่านผู้อื่น
ในชีวิตประจำวันเราทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์ "ไม่ชอบ" หรือ "รู้สึกไม่พอใจ" ใครบางคนแบบไม่มีเหตุผลชัดเจน เราอาจเคยรู้สึกว่าคน ๆ หนึ่ง น่ารำคาญ ขี้โม้ หรือ เห็นแก่ตัว ทั้งที่เพิ่งรู้จักเขาได้ไม่นาน แล้วเคยตั้งคำถามไหมว่าความรู้สึกนั้น มาจากเขาจริง ๆ หรือมาจากบางอย่างในตัวเราเอง

Projection คืออะไร
Projection (โปรเจกชัน) คือกลไกป้องกันตนเองทางจิตใจ (Defense Mechanism) ที่บุคคลผลักความรู้สึก ความคิด หรือแรงผลักดันที่ตนไม่ยอมรับในตัวเองไปสู่ผู้อื่นมักเกิดโดยไม่รู้ตัว และเป็นกระบวนการของ “จิตใต้สำนึก” กล่าวอีกแบบคือสิ่งที่เราไม่สามารถยอมรับว่าเป็น "ของเรา" เราจะมองเห็นว่าเป็น "ของคนอื่น"

ตัวอย่างของ Projection ในชีวิตจริง
- คนที่มีแนวโน้มจะโกหกอาจมักระแวงว่าคนอื่นกำลังโกหกเขา
- คนที่อิจฉาผู้อื่นแต่อยากแสดงออกว่าเป็นคนมีน้ำใจอาจกล่าวหาคนอื่นว่า “อิจฉาเขา”
- คนที่กลัวความล้มเหลวของตัวเองอาจพูดว่า “เขาคงทำไม่ได้หรอก” เพื่อผลักความกลัวนั้นออกไป

Projection กับความสัมพันธ์
Projection ส่งผลโดยตรงกับความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เช่น
- ทำให้เรา ตัดสินผู้อื่นโดยไม่เป็นธรรม
- ทำให้เรา โกรธหรือระแวงคนอื่น ทั้งที่พวกเขาอาจไม่ได้ทำอะไรผิด
- ส่งผลให้ ความขัดแย้งในความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น โดยไม่รู้ว่า “ต้นตอ” คือสิ่งที่อยู่ในตัวเราเอง

เราจะรู้เท่าทัน Projection ได้อย่างไร
การรู้ทัน Projection ไม่ใช่การโทษตัวเอง แต่คือการ สังเกตตัวเองอย่างอ่อนโยนและซื่อสัตย์ เมื่อรู้สึกแรง ๆ กับใครบางคน
คำถามชวนสำรวจ
- ฉันกำลังโกรธหรือหงุดหงิดใครอยู่
- พฤติกรรมของเขาสะท้อนอะไรที่ฉันไม่ชอบในตัวเองหรือเปล่า
- ความรู้สึกนี้เคยเกิดกับฉันมาก่อนหรือในบริบทอื่น ๆ ไหม

เมื่อเรากล้ายอมรับ "เงา" ของตัวเอง
- เราจะเลิกโทษคนอื่น และเริ่มเข้าใจว่าอารมณ์หลายอย่างมาจาก "ภายใน" ไม่ใช่ "ภายนอก"
- เราจะเติบโตทางอารมณ์ มีความเมตตาต่อทั้งตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น
- เราจะกลายเป็นคนที่เข้าใจความซับซ้อนของมนุษย์ และรับมือกับความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น

สรุป
สิ่งที่เราไม่ยอมรับในตัวเองมักปรากฏในคนอื่นให้เราเห็น Projection คือหน้าต่างที่เปิดเผยความรู้สึก ความคิด หรือด้านมืดที่เราพยายามซ่อน การเข้าใจมันไม่ใช่เพื่อตัดสินตัวเอง แต่เพื่อตระหนักรู้ และเปลี่ยนความโกรธ ความตัดสิน และความกลัว ให้กลายเป็นโอกาสในการเยียวยาและเติบโต

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

สิ่งที่เราไม่ยอมรับในตัวเองมักปรากฏในคนอื่นให้เราเห็น Projection คือหน้าต่างที่เปิดเผยความรู้สึก ความคิด หรือ....

Confirmation Bias เมื่อสมองเลือกเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อเคยไหม อ่านข่าวแล้วรู้สึกว่า “อันนี้แหละ ใช่เลย!” เพราะมันตรงกับค...
23/06/2025

Confirmation Bias เมื่อสมองเลือกเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ
เคยไหม อ่านข่าวแล้วรู้สึกว่า “อันนี้แหละ ใช่เลย!” เพราะมันตรงกับความเชื่อที่เรามีอยู่แล้ว เวลาค้นหาข้อมูลก็มักจะเลือกคลิกเฉพาะบทความที่เห็นด้วยกับมุมมองของตัวเอง พอฟังความเห็นที่ขัดแย้ง ก็รู้สึกหงุดหงิด หรือมองว่า “เขาไม่รู้จริง” ถ้าใช่คุณอาจกำลังตกอยู่ในกับดักทางความคิดที่เรียกว่า Confirmation Bias

Confirmation Bias คืออะไร
Confirmation Bias (อคติยืนยันความเชื่อเดิม) คือแนวโน้มที่มนุษย์มักจะเลือกรับข้อมูลที่ “สอดคล้องกับความเชื่อหรือความคิดเห็นของตัวเอง” มองข้าม หรือ ปฏิเสธข้อมูลที่ขัดแย้ง แม้ว่าข้อมูลนั้นจะมีเหตุผลหรือหลักฐานที่ดีกว่า พูดง่ายๆ คือสมองเราชอบสิ่งที่ “เห็นด้วยกับเรา” และไม่ชอบสิ่งที่ “ท้าทายความคิดของเรา”

ตัวอย่างของ Confirmation Bias ในชีวิตจริง
- การเมือง คนที่สนับสนุนพรรคหนึ่งมักจะเชื่อข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับพรรคนั้น และมองว่าข้อมูลลบเป็น "ข่าวปลอม"
- สุขภาพ ผู้ที่เชื่อในการรักษาแบบธรรมชาติอาจมองข้ามงานวิจัยทางการแพทย์ที่ขัดแย้งกับสิ่งที่ตนเชื่อ
- การลงทุน นักลงทุนที่ชอบหุ้นตัวหนึ่งมักหาข่าวดีเกี่ยวกับหุ้นนั้น และมองข้ามสัญญาณเตือนจากข้อมูลอื่น
- ความรัก เมื่อเราหลงใหลในใครสักคนเราอาจมองข้ามพฤติกรรมแย่ๆ เพราะ “ไม่อยากเชื่อ” ว่าเขาเป็นคนแบบนั้น

ทำไมสมองเราถึงมี Confirmation Bias
เพราะสมองมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ "ประหยัดพลังงาน" และ "ต้องการความแน่นอน" การยอมรับข้อมูลใหม่หรือข้อมูลที่ขัดแย้ง ทำให้เกิด ความไม่สบายใจทางจิตใจ (Cognitive Dissonance) ดังนั้น สมองจึงมักเลือก "หลีกเลี่ยง" ความไม่สบายนี้ ด้วยการปิดรับข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อเดิม

Confirmation Bias มีผลเสียอย่างไร
1. ทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดเพราะอิงกับข้อมูลด้านเดียว
2. ลดความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัว
3. สร้างความแตกแยกในสังคมเพราะแต่ละฝ่ายเชื่อในข้อมูลของตนโดยไม่ฟังกัน
4. ขัดขวางนวัตกรรมหรือแนวคิดใหม่เพราะเรายึดติดกับสิ่งเดิม

วิธีรับมือกับ Confirmation Bias
1. ตั้งคำถามกับความคิดของตัวเอง อย่าถามแค่ว่า “ข้อมูลนี้ยืนยันสิ่งที่เราคิดหรือไม่” แต่ให้ถามว่า “ข้อมูลนี้ถูกต้องหรือไม่”
2. เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่ต่าง ฟังคนที่คิดไม่เหมือนเราโดยไม่รีบปฏิเสธทันที
3. ค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่ง อย่าพึ่งแค่แหล่งข่าวเดียว หรือเฉพาะคนที่ “อยู่ฝั่งเดียวกัน”
4. ฝึกมองโลกแบบวิจารณ์ตนเอง (Critical Thinking) หมั่นฝึกคิดแบบมีเหตุผล ถามว่า “ถ้าฉันผิดล่ะ” “มีข้อมูลอะไรที่ฉันยังไม่เห็นบ้าง”

สรุป
Confirmation Bias เป็นอคติทางความคิดที่ทุกคนมีโดยไม่รู้ตัว แต่การรู้เท่าทันมันคือก้าวแรกของการคิดอย่างมีเหตุผล เปิดกว้าง และเติบโตในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลหลากหลาย ความเข้าใจที่แท้จริงไม่ได้มาจากการ “ฟังแต่สิ่งที่อยากฟัง” แต่เกิดจากการกล้ารับฟังในสิ่งที่ “ไม่อยากได้ยิน” ด้วย

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

เคยไหม อ่านข่าวแล้วรู้สึกว่า “อันนี้แหละ ใช่เลย!” เพราะมันตรงกับความเชื่อที่เรามีอยู่แล้ว ถ้าใช่คุณอาจกำ...

Time Switching Cost เวลาที่เสียไปจากการเปลี่ยนบริบทงานไปมาคุณเคยรู้สึกไหมว่าแม้จะทำงานทั้งวัน แต่กลับไม่สามารถจบงานสำคัญ...
20/06/2025

Time Switching Cost เวลาที่เสียไปจากการเปลี่ยนบริบทงานไปมา
คุณเคยรู้สึกไหมว่าแม้จะทำงานทั้งวัน แต่กลับไม่สามารถจบงานสำคัญได้ หนึ่งในต้นเหตุสำคัญของปัญหานี้อาจไม่ใช่ "การขาดเวลา" แต่เป็น “Time Switching Cost” หรือ ต้นทุนเวลาที่เสียไปจากการเปลี่ยนบริบทของงาน (Context Switching) นั่นเอง

Time Switching Cost คืออะไร
Time Switching Cost คือ เวลาที่สูญเสียไปในระหว่างที่เราสลับจากงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่องานนั้นต้องใช้ “สมาธิ” หรือ “กระบวนการคิด” ที่แตกต่างกัน เช่น
- สลับจากการเขียนรายงาน ไปตอบอีเมล
- สลับจากการคิดวางแผนกลยุทธ์ ไปเข้าประชุม
- การหยุดคิดงานสำคัญ เพื่ออ่านข้อความแชตสั้น ๆ
แม้การสลับงานจะดูเหมือนไม่เสียเวลา แต่งานวิจัยพบว่า สมองของเราต้องใช้เวลาเฉลี่ย 15–25 นาที เพื่อกลับเข้าสู่ “โฟกัสเต็มที่” หลังจากการสลับบริบทหนึ่งครั้ง

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
สมมติว่าคุณกำลังเขียนบทความเชิงลึก และมีอีเมลแจ้งเตือนเข้ามา คุณใช้เวลา 5 นาทีตอบกลับ แต่หลังจากนั้นกว่าจะกลับมา "คิดลื่น" และเขียนได้ต่อ คุณต้องเสียเวลาอีกราว 15 นาที — ซึ่งเท่ากับ 20 นาทีหายไปในพริบตา

ทำไม Time Switching Cost จึงเป็นเรื่องใหญ่
1. ลดประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม เพราะคุณใช้เวลาจำนวนมากไปกับการกลับมาโฟกัส แทนที่จะใช้เวลานั้นในการผลิตผลงานจริง
2. ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าความเป็นจริง สมองต้องใช้พลังงานมากในการเปลี่ยนโหมด ทำให้รู้สึกล้าโดยไม่รู้ตัว
3. คุณภาพของงานลดลง เมื่อไม่มีสมาธิเต็มที่ งานอาจเกิดข้อผิดพลาด หรือไม่ได้ลึกซึ้งเท่าที่ควร

วิธีลด Time Switching Cost
1. จัดกลุ่มงานที่คล้ายกันไว้ในช่วงเวลาเดียวกัน (Batching) เช่น ตอบอีเมลวันละ 2 รอบแทนที่จะตอบทั้งวัน หรือจัดเวลาสำหรับประชุมทั้งหมดไว้ในช่วงเช้า
2. ใช้เทคนิค Time Blocking แบ่งเวลาเป็นบล็อกเฉพาะกิจกรรม เช่น 9.00–10.30 สำหรับงานคิด, 11.00–12.00 สำหรับตอบข้อความ
3. ปิดการแจ้งเตือนระหว่างโฟกัส ไม่ว่าจะเป็นมือถือหรือคอมพิวเตอร์ การแจ้งเตือนที่ดูเหมือนเล็กน้อยก็รบกวนสมาธิได้มาก
4. สร้างพื้นที่ทำงานที่ไม่มีสิ่งรบกวน จัดโต๊ะ จอ หรือแอปฯ ให้เอื้อต่อการโฟกัส ไม่ใช่การสลับงานตลอดเวลา
5. ฝึกสมาธิ และสังเกตตัวเองรู้ว่าคุณหลุดโฟกัสจากอะไรบ่อยที่สุด แล้วหาทางแก้ เช่น ใช้แอปจับเวลา หรือเทคนิค Pomodoro

สรุป
Time Switching Cost คือ “ต้นทุนที่ซ่อนอยู่” ซึ่งหลายคนไม่รู้ว่ากำลังเสียเวลาโดยไม่รู้ตัว การทำงานแบบสลับไปมาบ่อย ๆ ทำให้เราช้าลง เหนื่อยขึ้น และผลงานด้อยลง ทั้งที่อาจคิดว่าเรากำลัง "ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน" อย่างมีประสิทธิภาพ

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

คุณเคยรู้สึกไหมว่าแม้จะทำงานทั้งวัน แต่กลับไม่สามารถจบงานสำคัญได้ หนึ่งในต้นเหตุสำคัญของปัญหานี้อาจไม....

Batching เทคนิคจัดการงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวนและงานที่ต้องทำตลอดเวลา การจัดการเวลาและพลังงา...
18/06/2025

Batching เทคนิคจัดการงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวนและงานที่ต้องทำตลอดเวลา การจัดการเวลาและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นคือ Batching หรือการรวมงานที่มีลักษณะคล้ายกันมาทำพร้อมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการเสียสมาธิ

Batching คืออะไร
Batching หมายถึง เทคนิคการจัดกลุ่มงานประเภทเดียวกันหรือที่ใช้กระบวนการคล้ายกันมาทำต่อเนื่องในช่วงเวลาเดียวกัน แทนที่จะกระจายทำไปเรื่อย ๆ ตลอดวัน แนวคิดนี้ได้รับความนิยมในหมู่นักวางแผน ผู้บริหาร และผู้ที่ต้องการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมันช่วยลด Time Switching Cost (เวลาที่เสียไปจากการเปลี่ยนบริบทงานไปมา) และเพิ่ม โฟกัส ให้กับการทำงาน

ตัวอย่างของการทำ Batching
- ตอบอีเมลวันละ 2 รอบ แทนที่จะเช็กทุก 10 นาที
- วางแผนทำคอนเทนต์ล่วงหน้าเป็นชุด เช่น ถ่ายวิดีโอ 5 ตอนในวันเดียว
- ทำบัญชีหรือเอกสารทางการเงินทุกสิ้นสัปดาห์ แทนที่จะทำวันละนิด
- เตรียมอาหารสำหรับทั้งสัปดาห์ในวันเดียว (Meal Prep)

ประโยชน์ของ Batching
1. ประหยัดเวลาและพลังงานสมอง ลดการเปลี่ยนงานไปมา ซึ่งแต่ละครั้งมี "ต้นทุนการสลับบริบท" ที่ทำให้สมองเหนื่อยโดยไม่รู้ตัว
2. เพิ่มสมาธิและคุณภาพของงาน เมื่อทำงานประเภทเดียวต่อเนื่อง สมองจะเข้าสู่ “โหมดโฟกัส” ได้ง่ายขึ้น ทำให้งานมีคุณภาพสูงขึ้น
3. ลดความเครียดจากการจัดการหลายสิ่งพร้อมกัน การแบ่งเวลาชัดเจนสำหรับแต่ละประเภทงาน ทำให้ไม่รู้สึกว่าทุกอย่างรุมเข้ามาพร้อมกัน
4. เหมาะกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น การเขียน การออกแบบ การถ่ายวิดีโอ ซึ่งต้องอาศัยสมาธิและอารมณ์ที่ต่อเนื่อง

ข้อควรระวังในการใช้ Batching
1. อย่าใช้ Batching กับงานเร่งด่วนหรืองานที่ต้องตอบสนองแบบเรียลไทม์ เช่น การตอบลูกค้าฉุกเฉิน
2. ต้องวางแผนล่วงหน้าให้ดี เช่น จัดเวลาอย่างชัดเจนในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์
3. ไม่ควร Batching งานไว้เยอะเกินไปจนล้นตารางหรือทำให้เกิดความเครียดสะสม

สรุป
Batching คือเครื่องมือจัดการเวลาอย่างชาญฉลาดที่สามารถเปลี่ยนวันวุ่นวายให้กลายเป็นวันมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เราโฟกัสมากขึ้น ลดความเหนื่อยล้า และทำงานได้ดีขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีงานหลากหลายประเภทในแต่ละวัน

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวนและงานที่ต้องทำตลอดเวลา การจัดการเวลาและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นส.....

Decision Fatigue เมื่อสมองล้าเพราะต้องตัดสินใจมากเกินไปคุณเคยรู้สึกไหมว่า พอตกเย็นกลับบ้าน ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว หรือบาง...
16/06/2025

Decision Fatigue เมื่อสมองล้าเพราะต้องตัดสินใจมากเกินไป
คุณเคยรู้สึกไหมว่า พอตกเย็นกลับบ้าน ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว หรือบางวันที่ต้องตัดสินใจหลายอย่าง กลับรู้สึกเหนื่อยล้าแบบไม่มีสาเหตุ นั่นอาจเป็นผลมาจาก "Decision Fatigue" หรือ ความล้าจากการตัดสินใจ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นจริง และส่งผลต่อทั้งประสิทธิภาพในการทำงานและคุณภาพชีวิตโดยรวม

Decision Fatigue คืออะไร
Decision Fatigue คือภาวะที่สมองรู้สึกเหนื่อยล้า เมื่อต้องใช้พลังในการ “ตัดสินใจ” ซ้ำ ๆ หลายครั้งตลอดวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ เช่น จะกินอะไรดี จะตอบอีเมลอันไหนก่อน จะซื้อสินค้าชิ้นไหน แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การตัดสินใจแต่ละครั้งใช้พลังงานทางจิตใจ และเมื่อมีมากเกินไปก็จะทำให้สมองล้าเกิดความเครียด และทำให้คุณภาพของการตัดสินใจลดลง

สัญญาณของ Decision Fatigue
1. รู้สึก “เบื่อ” ที่จะตัดสินใจแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ
2. เลือกอะไรไปแบบไม่คิด เพราะอยากให้มันจบ ๆ ไป
3. ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่กล้าตัดสินใจ
4. หงุดหงิดง่าย หรือหมดพลังงานทางอารมณ์
5. มีแนวโน้มเลือกสิ่งที่ง่าย สะดวก โดยไม่คิดถึงผลระยะยาว

ตัวอย่างที่น่าสนใจ
- ผู้พิพากษาในศาลมีแนวโน้ม “ไม่ให้ประกัน” มากขึ้นในช่วงบ่าย เพราะสมองล้าจากการตัดสินใจในตอนเช้า (จากการวิจัยที่มีชื่อเสียง)
- CEO หลายคนอย่าง Mark Zuckerberg หรือ Steve Jobs เลือกใส่เสื้อผ้าแบบเดิมทุกวัน เพื่อลดการตัดสินใจที่ไม่จำเป็น

วิธีรับมือกับ Decision Fatigue
1. วางแผนล่วงหน้า จัดตารางหรือเตรียมตัวล่วงหน้า เช่น เตรียมเสื้อผ้า อาหาร หรือ To-do list ตั้งแต่คืนก่อน
2. เริ่มจากเรื่องสำคัญก่อน ทำงานหรือตัดสินใจเรื่องสำคัญในช่วงเช้าสมองยังสดใหม่
3. ลดทางเลือกที่ไม่จำเป็น ใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น เมนูประจำวัน เสื้อผ้าเหมือนกัน หรือใช้เทมเพลตในการทำงาน
4. พักสมองระหว่างวัน พักสายตา เดินเล่น หรือดื่มน้ำ เพื่อรีเฟรชความคิด
5. อย่าโทษตัวเองเมื่อรู้สึกล้า ยอมรับว่าสมองของเราก็มี “พลังงานจำกัด” เหมือนร่างกาย

สรุป
Decision Fatigue คือปัญหาที่ซ่อนอยู่ในการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจกระทบต่อทั้งงาน ความสัมพันธ์ และสุขภาพจิตโดยไม่รู้ตัว การรู้เท่าทันและวางแผนจัดการอย่างมีสติจะช่วยให้คุณใช้พลังสมองอย่างมีประสิทธิภาพ และตัดสินใจได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

คุณเคยรู้สึกไหมว่า พอตกเย็นกลับบ้าน ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว หรือบางวันที่ต้องตัดสินใจหลายอย่าง กลับรู้สึ.....

Task Switching การสลับงานที่อาจทำให้เหนื่อยโดยไม่รู้ตัวในยุคที่ชีวิตและการทำงานเต็มไปด้วยสิ่งรบกวน ไม่ว่าจะเป็นแชตจากเพื...
13/06/2025

Task Switching การสลับงานที่อาจทำให้เหนื่อยโดยไม่รู้ตัว
ในยุคที่ชีวิตและการทำงานเต็มไปด้วยสิ่งรบกวน ไม่ว่าจะเป็นแชตจากเพื่อนร่วมงาน การแจ้งเตือนอีเมล หรือโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาทุก ๆ 10 นาที การ “สลับงาน” หรือ Task Switching กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแทบตลอดเวลา แต่รู้หรือไม่ว่า การทำแบบนี้อาจกำลังทำร้ายประสิทธิภาพของคุณอย่างเงียบ ๆ

Task Switching คืออะไร
Task Switching หมายถึง การเปลี่ยนโฟกัสจากงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่งแบบต่อเนื่อง เช่น
- เขียนรายงานอยู่ แล้วหยุดไปตอบแชตลูกค้า
- อ่านบทความอยู่ แล้วขัดจังหวะด้วยอีเมลแจ้งเตือน
- ทำงานออกแบบ แล้วต้องหยุดเพราะหัวหน้าชวนเข้าประชุม
แม้การสลับงานจะฟังดูเหมือน “การทำหลายอย่างได้พร้อมกัน” (Multitasking) แต่ในความเป็นจริง สมองของเราทำงานแบบลำดับ (Serial) ไม่ได้ทำหลายอย่างพร้อมกันจริง ๆ นั่นคือเรากำลังเปลี่ยนงานไปมา ไม่ได้ทำพร้อมกัน

ผลกระทบของ Task Switching
1. สูญเสียเวลา (Switching Cost) สมองต้องใช้เวลาในการกลับมา “ตั้งลำ” หรือเรียกคืนบริบทของงานก่อนหน้า นักวิจัยพบว่าแต่ละการสลับงาน อาจทำให้เสียเวลา 20–25 นาทีในการกลับมาโฟกัสเหมือนเดิม
2. เพิ่มความเครียดและความเหนื่อยล้า การเปลี่ยนสมาธิบ่อย ๆ ทำให้สมองทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้รู้สึกล้าเร็วขึ้น แม้ว่างานแต่ละอย่างจะไม่ยากก็ตาม
3. ประสิทธิภาพในการตัดสินใจลดลง เมื่อสลับงานบ่อย สมองจะเหนื่อยล้าแบบ Decision Fatigue ส่งผลให้ตัดสินใจผิดพลาดง่ายขึ้น
4. เพิ่มโอกาสเกิดข้อผิดพลาด งานที่ต้องใช้ความละเอียด เช่น เขียนโค้ด บริหารบัญชี หรือการเขียนรายงาน อาจผิดพลาดได้ง่ายขึ้นหากสมาธิถูกขัดจังหวะ

วิธีลด Task Switching เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
1. วางแผนล่วงหน้า กำหนดเวลาทำงานแต่ละประเภท เช่น 9:00–11:00 สำหรับทำงานลึก (Deep Work)
2. ปิดการแจ้งเตือน ปิดเสียงมือถือ ปิดแจ้งเตือนแอปแชต/อีเมลชั่วคราวขณะทำงาน
3. รวมงานที่คล้ายกันไว้ด้วยกัน (Batching) เช่น ตอบอีเมลทุกวันเวลา 11:00 แทนที่จะตอบทั้งวัน
4. ใช้เทคนิค Pomodoro ทำงาน 25 นาที พัก 5 นาที เพื่อควบคุมจังหวะการโฟกัส
5. แจ้งเพื่อนร่วมงานให้รู้ช่วงเวลาที่ไม่ควรรบกวน ใช้สถานะ “Do Not Disturb” หรือ “Focus Time” ในแอปสื่อสาร เช่น Microsoft Teams หรือ Slack

สรุป
แม้ Task Switching จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่หากเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็สามารถบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างมาก การลดการสลับงาน และเพิ่มช่วงเวลาโฟกัสที่ต่อเนื่อง (Focus Block) คือกุญแจสำคัญในการทำงานให้ “น้อยแต่ได้ผลมาก” และรักษาสุขภาพจิตไปพร้อมกัน

🔥 พิเศษ 🔥
โฆษณาตำแหน่งงานพร้อมโปรโมทฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทดลองใช้งานฟรีได้แล้ววันนี้
☎️ ติดต่อเราได้ที่
062-909-1110 (การตลาด)
043-000-898 (ออฟฟิศ)
Facebook: https://www.facebook.com/bestjobth
Email: [email protected]
#หางาน #สมัครงาน #รับสมัครงาน #งานในประเทศ #ประกาศหางาน #ลงประกาศหางาน

แม้ Task Switching จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่หากเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็สามารถบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างมาก

ที่อยู่

120/34-35 หมู่ 24 ต. ศิลา อ. เมือง Khon Kaen District
Khon Kaen
40000

เวลาทำการ

จันทร์ 08:30 - 17:30
อังคาร 08:30 - 17:30
พุธ 08:30 - 17:30
พฤหัสบดี 08:30 - 17:30
ศุกร์ 08:30 - 17:30
เสาร์ 08:30 - 17:30

เบอร์โทรศัพท์

+66629091110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Bestjob thผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Bestjob th:

แชร์