Dokkoon News ข่าวสาร

 #สวนสัตว์ขอนแก่น เพาะขยายพันธุ์ “นกฟลามิงโก้ใหญ่” สำเร็จเป็นครั้งแรก!! โปรยข่าว : สวนสัตว์ขอนแก่น ประสบความสำเร็จเป็นคร...
05/09/2025

#สวนสัตว์ขอนแก่น เพาะขยายพันธุ์ “นกฟลามิงโก้ใหญ่” สำเร็จเป็นครั้งแรก!!

โปรยข่าว : สวนสัตว์ขอนแก่น ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในการเพาะขยายพันธุ์ นกฟลามิงโก้ใหญ่ หลังจากแม่พันธุ์นกฟลามิงโก้ใหญ่ 6 ตัว ทำรังวางไข่พร้อมกัน จำนวน 6 ฟอง เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา และได้ฟักลูกนกฟลามิงโก้ใหญ่ จำนวน 1 ตัว ถือเป็นตัวแรกของสวนสัตว์ขอนแก่น เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568

เนื้อข่าว : สวนสัตว์ขอนแก่น สังกัดองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการเพาะขยายพันธุ์นกฟลามิงโก้ใหญ่ (Greater Flamingo) หลังจากแม่พันธุ์นกฟลามิงโก้ใหญ่ จำนวน 6 ตัว ในสวนสัตว์ขอนแก่น ทำรังวางไข่พร้อมกัน 6 ฟอง เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 และล่าสุดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีลูกนกฟลามิงโก้ใหญ่ตัวแรกฟักออกจากไข่อย่างสมบูรณ์ และยังเหลือไข่อีก 5 ฟอง ที่อยู่ระหว่างการฟักไข่ ซึ่งถือว่าเป็นการเพาะขยายพันธุ์ลูกนกฟลามิงโก้ใหญ่ตัวแรก โดยปัจจุบันสวนสัตว์ขอนแก่น มีนกฟลามิงโก้ใหญ่ รวมทั้งสิ้น 21 ตัว แบ่งเป็นเพศผู้ 10 ตัว และเพศเมีย 11 ตัว ซึ่งการขยายพันธุ์ครั้งนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มจำนวนประชากร แต่ยังเป็นการแสดงถึงความพร้อมด้านการจัดการสัตว์ตามมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์สากล (Animal Welfare) โดยมีการดูแลด้านอาหาร พื้นที่อยู่อาศัย และการจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

นางทิพาวดี กิตติคุณ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ขอนแก่น กล่าวว่า “ความสำเร็จครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของสวนสัตว์ขอนแก่น ที่สามารถเพาะขยายพันธุ์นกฟลามิงโก้ใหญ่ได้สำเร็จ ซึ่งเกิดจากการดูแลอย่างใกล้ชิดของทีมเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ และนายสัตวแพทย์ ที่คอยเฝ้าติดตามพฤติกรรมและสุขภาพของนกฟลามิงโก้ใหญ่อย่างต่อเนื่อง การที่ลูกนกฟักออกจากไข่ได้สำเร็จสะท้อนถึงความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมและการจัดการที่อาศัยถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของสวนสัตว์ขอนแก่นในการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และการอนุรักษ์เพาะขยายพันธุ์สัตว์ป่า”

พฤติกรรมการทำรังและวางไข่ของนกฟลามิงโก้ใหญ่ โดยจะสร้างรังจากดินทรายผสมดินเหนียว ก่อขึ้นเป็นแท่นรูปกรวยตัดสูงราว 30–50 เซนติเมตร กว้างประมาณ 30–40 เซนติเมตร และมีแอ่งเล็ก ๆ บนยอดสำหรับวางไข่ โดยพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการทำรังแบบอาณานิคม (colony nesting) รังจำนวนมากมักกระจุกตัวใกล้กันเพื่อสร้างความปลอดภัยและกระตุ้นพฤติกรรมการสืบพันธุ์ร่วมกัน แต่ละฤดูผสมพันธุ์นกฟลามิงโก้ใหญ่ มักวางไข่เพียง 1 ฟอง ใช้เวลาฟักประมาณ 28–32 วัน โดยพ่อและแม่ผลัดกันฟักไข่และเฝ้ารังอย่างใกล้ชิด

ลักษณะ นกฟลามิงโก้ใหญ่มีน้ำหนักตัวเฉลี่ย 2–4 กิโลกรัม เพศผู้มีรูปร่างใหญ่กว่าเพศเมียอย่างเห็นได้ชัด ลักษณะเด่นคือคอและขายาว จะงอยปากสีชมพูปลายดำ ขนลำตัวและคอสีขาวเหลือบชมพู ขนคลุมปีกสีแดง และขนปีกบินสีดำ มีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 30 ปี อาหารหลัก ได้แก่ ลูกกุ้ง แพลงก์ตอน และสาหร่ายบางชนิด ถิ่นกระจายพันธุ์ของนกฟลามิงโก้ใหญ่ พบได้ในแถบแอฟริกาใต้ แองโกลา แทนซาเนีย มาดากัสการ์ อินเดีย และอินโดนีเซีย โดยในธรรมชาติจะเริ่มสืบพันธุ์เมื่อมีอายุราว 6 ปี มักผสมพันธุ์ในช่วงฤดูหนาว และเลือกพื้นที่ชายน้ำหรือแอ่งน้ำตื้นที่มีโคลนมากเพียงพอในการสร้างรัง
สวนสัตว์ขอนแก่นจึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวและครอบครัวมาเยี่ยมชมความน่ารักของลูกนกฟลามิงโก้ใหญ่ตัวแรก พร้อมสัมผัสกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมและชีววิทยาของนกฟลามิงโก้ใหญ่ ซึ่งเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น.
News.

 #"กขป.เขต 7" ประชุมครั้งแรก เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพสาธารณะคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) เขตพื้นที่ 7 เป...
02/09/2025

#"กขป.เขต 7" ประชุมครั้งแรก เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพสาธารณะ

คณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) เขตพื้นที่ 7 เปิดประชุมครั้งแรก ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน แก้ปัญหาสุขภาพในพื้นที่ “ร้อยแก่นสารสินธุ์” โดยมี นพ.วรัญญู สัตยวงศ์ทิพย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธาน
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 2 กันยายน 2568 ที่ ห้องมงกุฎเงิน ชั้น 2 โรงแรมโฆษะ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น คณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) ชุดที่ 3 เขตพื้นที่ 7 จัดประชุมครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายแพทย์วรัญญู สัตยวงศ์ทิพย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการ กขป. เขต 7 เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
ที่ประชุมได้พิจารณาระเบียบวาระสำคัญ อาทิ การรับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ กขป. ชุดที่ 3 การนำเสนอทิศทางนโยบายการดำเนินงานของ กขป. และองค์กรเลขาร่วม (สธ. สปสช. สสส.) รวมถึงการขับเคลื่อนระบบข้อมูลสนับสนุนด้านนโยบายสาธารณะ (SHARE) โดยผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) นอกจากนี้ ยังมีการเลือกประธานและรองประธาน กขป. เขต 7 พร้อมทั้งรับฟังสรุปผลการดำเนินงานของ กขป. ชุดที่ 2 และข้อเสนอแนะเพื่อการดำเนินงานในชุดที่ 3
นพ.วรัญญู กล่าวในที่ประชุมว่า เขตสุขภาพเพื่อประชาชน เขต 7 ครอบคลุมพื้นที่ “ร้อยแก่นสารสินธุ์” ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด ขอนแก่น มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ ซึ่งเผชิญปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่ต้องการการวางระบบดูแลผู้สูงวัยอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านบุคลากร งบประมาณ และกระบวนการสนับสนุนต่าง ๆ
คณะกรรมการ กขป. ชุดนี้จะเป็นพลังสำคัญของภาคประชาชนในการทำงานร่วมกับภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ เพื่อเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และร่วมกันกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสุขภาพในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ.

News.

 #เมื่อบุหรี่ไฟฟ้าอาละวาดในสถานศึกษา ถึงเวลาช่วยกันหยุดยั้งปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ทุกวันนี้บุหรี่ไฟฟ้าได้แพร่กระจายสู่ส...
02/09/2025

#เมื่อบุหรี่ไฟฟ้าอาละวาดในสถานศึกษา ถึงเวลาช่วยกันหยุดยั้ง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ทุกวันนี้บุหรี่ไฟฟ้าได้แพร่กระจายสู่สังคมวงกว้าง เกิดเป็นแฟชั่นสมัยใหม่ที่ทำลายพัฒนาการของเยาวชนของชาติ ไม่เว้นแม้แต่ในสถานศึกษา ซึ่งภัยบุหรี่ไฟฟ้าได้ครอบงำกลุ่มนักเรียนโดยหารู้ไม่ว่าเป็นภัยร้ายแรงที่พร้อมจะบั่นทอนสุขภาพของพวกเขา และที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้นคือการเมินเฉยของผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง ที่ขาดการใส่ใจบุตรหลานของตัวเองต่อการสูบบุหรี่ไฟฟ้า
ในเวทีสมัชชาสุขภาพเมืองพัทยา ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2568 BETTER PATTAYA: HAPPY CITY สุขภาวะดี มีความสุข ณ โรงแรมไบรท์ตัน แกรนด์ พัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ เมืองพัทยา และหน่วยงานภาคีเครือข่าย เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 68 ภาคีเครือข่ายสมัชชาสุขภาพสากลเมืองพัทยาได้มีการวางมาตรการป้องกันเด็กและเยาวชนห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้า โดยได้มีการส่งมอบมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น การปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ให้กับเมืองพัทยา พร้อมทั้งมีเวทีห้องย่อยสำหรับหารือถึงปัญหาดังกล่าวนี้

บุหรี่ไฟฟ้า ภัย (ไม่) เงียบในโรงเรียน !
นายอนุศักดิ์ เปรมเปราะ รองผู้อำนวยการสถานศึกษา (โรงเรียนเมืองพัทยา 3) ในฐานะกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อเดือนที่ผ่านมาได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สช. เมืองพัทยา,โรงเรียนในสังกัดเมืองพัทยา ตลอดจนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 21 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการป้องกันเด็กและเยาวชนห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นภัยเสี่ยงอย่างมากที่เด็กและเยาวชนในยุคปัจจุบันกำลังเผชิญอยู่
“ ปัญหาในยุคอดีตเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว คือการที่นักเรียนแอบสูบบุหรี่มวนในห้องน้ำ เมื่อครูพบเห็นก็มีการลงโทษตามขั้นตอนต่างๆ แต่มาในยุคปัจจุบันที่กลายเป็นบุหรี่ไฟฟ้าพบว่ามีตัวยามากมายที่ส่งผลเสียต่อร่างกายมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีโทษในทางกฎหมาย ซึ่งมาตรการที่โรงเรียนดำเนินในช่วงที่ผ่านมา เมื่อพบเคสนักเรียนสูบบุหรี่ไฟฟ้า ก็ได้มีการเชิญสารวัตรมาพูดคุยกับเด็กนักเรียนรวมถึงผู้ปกครอง เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับโทษภัย ขณะเดียวกันก็จะต้องมีการทำข้อตกลงร่วมกัน เพื่อรับทราบและเข้าสู่กระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะหากไม่ตกลงก็จะต้องมีการส่งตำรวจเพื่อดำเนินคดีต่อไป” นายอนุศักดิ์ กล่าว

ตร.ฮึ่ม !! เตือนผู้ปกครอง ระวังโทษสนับสนุนเด็กสูบบุหรี่ไฟฟ้า
ทางด้าน ร.ต.ท.ทองอินทร์ ปัญญานาม รอง สวป.สภ.เมืองพัทยา ได้ชี้แจงถึงประเด็นนี้ว่า เนื่องจากในปัจจุบันนี้บุหรี่ไฟฟ้าได้แฝงมาในรูปแบบและกลิ่นต่างๆหลากหลายรูปแบบ ที่นำพาให้ล่อตาล่อใจเด็กและเยาวชน ซึ่งล้วนแต่เต็มไปด้วยอันตรายจากน้ำยาสารเคมีที่ซ่อนอยู่ภายใน สำนักบังคับคดีและกดหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้หารือกับสถานีตำรวจภูธรทั่วประเทศ มีทิศชี้นำว่าถ้าหากสามารถจับบุหรี่ไฟฟ้าพร้อมน้ำยาได้จะต้องส่งไปให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อที่จะพิสูจน์ทราบว่าในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้านั้นเป็นสารเสพติดประเภทที่ 2
“ ถ้าผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี ผู้ปกครองก็จะได้รับความเดือดร้อนจากบุตรหลานด้วย เพราะว่าการสนับสนุนหรือไม่ห้ามปรามบุตรหลาน ท่านก็จะมีความผิดในฐานสนับสนุนให้เด็กกระทำความผิดได้ ” ร.ต.ท.ทองอินทร์ กล่าว
พร้อมเดียวกันนี้ ร.ต.ท.ทองอินทร์ ยังได้ฝากไปถึงผู้อำนวยการสถานศึกษาต่างๆในเมืองพัทยาด้วยว่า เมื่อถึงวันประชุมผุ้ปกครองนักเรียน ให้แจ้งผู้ปกครองด้วยว่าอย่าทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชน ยกตัวอย่างจากการที่ได้ติดตามสภาพตัวจริงพบว่าพ่อแม่บางคนได้ซื้อบุหรี่ไฟฟ้าให้ลูกของตัวเอง เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน ซึ่งพ่อแม่สามารถประสานงานกับทางโรงเรียนและเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อร่วมมือกันป้องกันปัญหานี้ได้

บุหรี่ไฟฟ้ามักถูกโฆษณาว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา ทั้งที่จริงๆแล้วยังมีอันตรายต่อร่างกายและสังคมในหลายด้าน ดังนี้

1. อันตรายต่อสุขภาพ
นิโคตินสูง บุหรี่ไฟฟ้ามีปริมาณนิโคตินสูง ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เสพติดได้ง่าย นอกจากนี้ยังส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
สารเคมีอันตราย ไอระเหยจากบุหรี่ไฟฟ้าประกอบด้วยสารเคมีที่เป็นอันตรายหลายชนิด เช่น โลหะหนัก อย่างตะกั่วและนิกเกิล รวมถึง สารก่อมะเร็ง และสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ
ปอดอักเสบเฉียบพลัน (EVALI) มีรายงานผู้ป่วยปอดอักเสบเฉียบพลันจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
ผลระยะยาว งานวิจัยเริ่มชี้ให้เห็นว่า การใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคปอดเรื้อรัง มะเร็ง และโรคหัวใจ

2. ผลกระทบต่อวัยรุ่น
บุหรี่ไฟฟ้ามักมีกลิ่นและรสชาติที่หลากหลาย เช่น ผลไม้ ขนม หรือหมากฝรั่ง ทำให้เยาวชนเข้าถึงได้ง่ายและรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่าลอง งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า วัยรุ่นที่เริ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะหันไปสูบบุหรี่มวนในอนาคต นอกจากนี้สารนิโคตินยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการสมองส่วนหน้าในวัยรุ่น ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการตัดสินใจและการเรียนรู้

3. ความเข้าใจผิดในสังคม
คนส่วนใหญ่เชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน ทั้งที่ความจริงแล้วยังคงมีสารพิษและอันตรายต่อร่างกายไม่ต่างกัน อีกทั้งมีการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ ทำให้ยากต่อการควบคุม และยังทำให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย

4. กฎหมายและมาตรการในประเทศไทย
บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย ปัจจุบัน การนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย โดยผู้นำเข้ามีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนผู้ครอบครอง จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้าหรือทั้งจำทั้งปรับ
ดังนั้นการตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้า จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าถึงผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เพราะนอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพแล้ว ยังผิดกฎหมายอีกด้วย
News.

 #ขอนแก่นเดินหน้ารถไฟฟ้ารางเบา “ขอนแก่นโมเดล” คณะกรรมาธิการฯ ลงพื้นที่หารือทุกภาคส่วนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิ...
01/09/2025

#ขอนแก่นเดินหน้ารถไฟฟ้ารางเบา “ขอนแก่นโมเดล” คณะกรรมาธิการฯ ลงพื้นที่หารือทุกภาคส่วน

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น เปิดบ้านโชว์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมระบบราง TRAM รุ่น Hiroden–907 รถไฟ LRT รถบัส EV และศูนย์ทดสอบระบบราง คณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ลงพื้นที่ประชุมหารือร่วมทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเมืองขอนแก่น
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2568 ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.อีสาน) วิทยาเขตขอนแก่น นายสุรเชษฐ ประวีณวงศ์วุฒิ ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการ เดินทางลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อประชุมหารือเกี่ยวกับการบริหารงบประมาณและการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้ารางเบา “ขอนแก่นโมเดล” โดยมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรท้องถิ่นเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

การประชุมจัดขึ้น ณ ห้องประชุมไพศาลห์ ลีระเมียร มทร.อีสาน วิทยาเขตขอนแก่น โดยมีนายพันธ์เทพ เสาโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ พร้อมด้วยรองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต ศรีภูธร นำคณะผู้บริหาร คณาจารย์ และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเข้าร่วมประชุม ขณะเดียวกัน อธิการบดี มทร.อีสาน ได้นำเสนอข้อมูลนโยบายการพัฒนาด้านยุทธศาสตร์ระบบราง ทั้งในด้านการศึกษา การวิจัย และแผนการดำเนินงานในอนาคต
จากนั้น ผศ.ดร.ศุภฤกษ์ ชามงคลประดิษฐ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ และ ผศ.ดร.ไพวรรณ เกิดตรวจ หัวหน้าโครงการวิจัย ได้นำเสนอผลการดำเนินงานโครงการวิจัยระบบขนส่งทางรางของมหาวิทยาลัย รวมถึง พลตรีชาติชาย ประดิษฐ์พงษ์ กรรมการบริษัท ขอนแก่นทรานซิท ซิสเต็ม (KKTS) จำกัด ที่รายงานความเป็นมาและแผนการดำเนินงานรถไฟฟ้ารางเบา พร้อมระบุปัญหาและอุปสรรคที่ต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติม
ด้านนายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง (KKTT) จำกัด ได้นำเสนอแนวคิด “ขอนแก่นโมเดล” ในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน พร้อมสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อการขับเคลื่อนเมืองอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ยังได้เปิดเวทีระดมความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้สอบถามและรับฟังปัญหาอุปสรรค เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะไปสู่การวางแผนงบประมาณและการดำเนินงานในขั้นตอนต่อไป
โอกาสนี้ คณะกรรมาธิการฯ ยังได้เยี่ยมชมผลงานวิจัยและนวัตกรรมระบบรางของ มทร.อีสาน อาทิ รถราง TRAM รุ่น Hiroden–907 ที่ได้รับมอบจากเทศบาลนครฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น รถไฟต้นแบบ LRT รถบัสพลังงานไฟฟ้า (EV) รถ London Taxi ศูนย์ซ่อมบำรุงและโรงจอดรถ (DEPOT) ศูนย์ทดสอบหมอนคอนกรีต และเส้นทางรางทดสอบภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งแสดงถึงความพร้อมและศักยภาพด้านวิชาการ วิจัย และเทคโนโลยีระบบรางที่สามารถต่อยอดสู่การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของประเทศในอนาคต.

การประชุมครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อผลักดัน “ขอนแก่นโมเดล” ให้เป็นต้นแบบการพัฒนาระบบรางและระบบขนส่งมวลชนสมัยใหม่ ที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน.
News.

 #เยาวชน อีสาน แห่!“เปรียบมวย-ประกบคู่” เวทีต้นกล้ามวยไทย มุ่งต่อยอดสู่เวทีโลกชมรมอนุรักษ์มวยไทยจังหวัดขอนแก่น ผนึกกำลัง...
30/08/2025

#เยาวชน อีสาน แห่!“เปรียบมวย-ประกบคู่” เวทีต้นกล้ามวยไทย มุ่งต่อยอดสู่เวทีโลก

ชมรมอนุรักษ์มวยไทยจังหวัดขอนแก่น ผนึกกำลังเครือข่ายค่ายมวยในภาคอีสาน จัดกิจกรรมเปรียบมวยและประกบคู่กว่า 100 คู่ เพื่อคัดเลือกนักมวยเยาวชนทั้งชายและหญิงเข้าร่วมแข่งขัน “ต้นกล้ามวยไทย” มุ่งผลักดันเยาวชนก้าวสู่เวทีอาชีพและเวทีมวยโลกในอนาคต
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 30 สิงหาคม 2568 ที่สวนน้ำไดโนปาร์ค ศูนย์การค้าประตูน้ำ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ชมรมอนุรักษ์มวยไทยจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยเครือข่ายค่ายมวยจากหลายจังหวัดในภาคอีสาน ร่วมจัดกิจกรรม “เปรียบมวย-ประกบคู่” เพื่อคัดเลือกนักมวยเยาวชนชายและหญิง เข้าร่วมแข่งขันในรายการ “ต้นกล้ามวยไทย” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 27 กันยายน 2568 ที่ สวนน้ำไดโนปาร์ค โดยมีคู่มวยเข้าร่วมมากกว่า 100 คู่ เพื่อเป็นการต่อยอดและพัฒนามวยไทยสู่เวทีโลก
นายสุพร ศักดิ์ทองยืน เลขาธิการชมรมอนุรักษ์มวยไทยจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า กิจกรรมวันนี้เป็นการประกบคู่มวยเพื่อคัดเลือกเยาวชนจากค่ายต่าง ๆ ในภาคอีสาน เข้าสู่เวที “ต้นกล้ามวยไทย” ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เยาวชนสนใจกีฬามวยไทย ใช้การออกกำลังกายสร้างสุขภาพที่แข็งแรง พร้อมทั้งเป็นการสร้างรายได้ในอนาคตเมื่อเข้าสู่วงการมวยอาชีพ อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดผลักดันนักมวยเยาวชนก้าวสู่เวทีระดับโลก โดยผู้ชนะในแต่ละรุ่นจะได้รับเงินรางวัล 3,500 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศและเข็มขัดแชมป์
ด้านเยาวชนนักมวย นายอนุรักษ์ (เติ้ล) เรียน การศึกษานอกโรงเรียน ที่อำเภอกระนวนจังหวัดขอนแก่น ผู้เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวว่า ตนเลือกเส้นทางมวยไทยเพราะต้องการเป็นเสาหลักให้ครอบครัว และมีแรงบันดาลใจจากนักมวยแชมป์โลกหลายคนที่เป็นไอดอล จึงอยากสานต่อความฝันในการก้าวขึ้นสู่การเป็นนักมวยอาชีพและสร้างชื่อเสียงบนเวทีโลก พร้อมฝากถึงเพื่อนเยาวชนทุกคนว่า หากมีความใฝ่ฝันและความมุ่งมั่น ก็ต้องพยายามเดินตามฝันให้สำเร็จ
ทั้งนี้ การจัดรายการมวยไทย “ต้นกล้า” ถือเป็นการจัดขึ้นครั้งแรกในจังหวัดขอนแก่น โดยหากได้รับเสียงตอบรับที่ดี คณะผู้จัดเตรียมแผนผลักดันให้เป็นเวทีจัดแข่งขันอย่างต่อเนื่อง เพื่อคัดเลือกและบ่มเพาะเพชรเม็ดงามในวงการมวยไทยของภาคอีสาน สู่เส้นทางมวยไทยอาชีพ และก้าวไกลสู่การเป็นแชมป์โลกในอนาคต.

News.

 #สช.จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ.คณะทำงานสื่อสุขภาวะ เขต 7–8 มุ่งสร้างการรับรู้ ลดเสี่ยงพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีสำนักง...
29/08/2025

#สช.จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ.คณะทำงานสื่อสุขภาวะ เขต 7–8 มุ่งสร้างการรับรู้ ลดเสี่ยงพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเครือข่ายสื่อสุขภาวะ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเขตสุขภาพที่ 7 และ 8 ระหว่างวันที่ 28–29 สิงหาคม 2568 ที่จังหวัดขอนแก่น มุ่งยกระดับพลังการสื่อสารสาธารณะ รณรงค์ “ประเทศไทยปลอดพยาธิใบไม้ตับ ไม่ตายจากมะเร็งท่อน้ำดี”
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 ที่ห้องกรีน A ชั้น 1 โรงแรมโฆษะ เขตเทศบาลนครขอนแก่น สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการคณะทำงานสื่อสุขภาวะ เขตสุขภาพที่ 7 และ 8 ภายใต้โครงการสร้างการรับรู้เรื่องการกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งเป็นโรคสำคัญที่พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีคณะทำงานสื่อสุขภาวะ เขต 7 และ 8 เข้าร่วมกว่า 40 คน

พิธีเปิดการประชุมได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.วัชรินทร์ ลอยลม รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ “สถานการณ์โรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี กับแผนมุ่งเป้า ประเทศไทยปลอดโรคพยาธิใบไม้ตับ ไม่ตายจากมะเร็งท่อน้ำดี” โดยชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงของโรคที่คร่าชีวิตประชาชนจำนวนมากในแต่ละปี และย้ำถึงความสำคัญของการทำงานแบบบูรณาการ ทั้งด้านวิชาการ การแพทย์ การรณรงค์ และการสร้างการรับรู้แก่ชุมชน
ในช่วงต่อมา น.ส.ยุวลักษณ์ เหมะวิบูลย์ หัวหน้ากลุ่มงานสื่อสารสังคม สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สช. ได้บรรยายถึงบทบาท หน้าที่ และเครื่องมือที่สำนักงานฯ พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการสร้างการสื่อสารสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแนะนำแนวทางการทำงานเชิงรุกของเครือข่ายสื่อสุขภาวะในพื้นที่ ขณะที่กิจกรรม “รู้จักเพื่อน ภาคีสื่อสุขภาวะ” โดย นายชูชาติ ตรีรัถยานนท์ และ น.ส.แคทรียา การาม ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมอย่างอบอุ่น สร้างบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการเชื่อมโยงเครือข่ายที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
รศ.ดร.วัชรินทร์ ลอยลม รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่อการดำเนินงานตามแผนวิจัยมุ่งเป้าในการแก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ถือเป็นทั้งปัญหาสำคัญของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งรัดแก้ไขอย่างจริงจัง เนื่องจากโรคดังกล่าวเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยจำนวนมากต่อปี โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่ยังคงมีพฤติกรรมการบริโภคปลาน้ำจืดดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ อันเป็นต้นเหตุสำคัญของการติดเชื้อ
รศ.ดร.วัชรินทร์ กล่าวถึงสถานการณ์พยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีว่า พยาธิใบไม้ตับเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งท่อน้ำดี โดยเฉพาะภาคอีสานพบว่าเป็นพื้นที่ที่มีมะเร็งท่อน้ำดีมากที่สุดในโลก ซึ่งพบคนไข้ใหม่ประมาณ 20,000 รายต่อปี ในนั้นมากกว่า 10,000 รายเป็นคนอีสาน ถ้าไม่ได้เข้าระบบการรักษาก็จะเสียชีวิตภายใน 1 ปี โดยทุกปีก็จะมีผู้เสียชีวิตประมาณ 20,000 รายไปเรื่อยๆ สำหรับการเกิดมะเร็งท่อน้ำดีมากจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ จากการรับประทานปลาเกร็งขาวน้ำจืดวงศ์ปลาตะเพียนแบบสุกๆ ดิบๆ ซึ่งเมนูหลักที่คนอีสานกินเป็นปลาร้าที่เป็นปลาร้าปลอม, ปลาส้ม, ปลาจ่อมและปลาร้าบองต่างๆ
รศ.ดร.วัชรินทร์ กล่าวด้วยว่าสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้พัฒนาชุดตรวจพยาธิใบไม้ตับ OVATK ผ่านการตรวจสารคัดหลั่งหรือหรือปัสสาวะ พอเราเอาไปสุ่มตรวจประชากรในอีสานเกือบ 1 ล้านคนในเวลา 10 กว่าปี พบว่าเฉลี่ยในอีสานตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 25% ถือว่าดีขึ้นกว่าในอดีตมากๆ พอมีชุดตรวจอันนี้ขึ้นมาเราก็นำเรื่องนี้เข้าไปกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แล้วก็มีกองทุนที่ให้ทุนเรื่องนี้ เรียกว่าแผนมุ่งเป้าประเทศไทยปลอดโรงพยาธิใบไม้ตับมะเร็งท่อน้ำดี
รศ.ดร.วัชรินทร์ กล่าวว่า แผนวิจัยมุ่งเป้านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างแนวทางการทำงานที่เข้มข้น ครอบคลุม และมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ทั้งในมิติการป้องกัน การรักษา การวิจัยพัฒนานวัตกรรม และที่สำคัญคือการสร้างการรับรู้ในระดับชุมชน เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงภัยของโรค และหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร รวมถึงการเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
รศ.ดร.วัชรินทร์ ย้ำว่า การตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ถือเป็นหัวใจสำคัญของแผนมุ่งเป้า เพราะจะทำให้สามารถค้นหาผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงหรือผู้ป่วยตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งมีโอกาสรักษาให้หายหรือควบคุมโรคได้ดีกว่า การปล่อยให้โรคลุกลามจนเข้าสู่ระยะรุนแรงที่มักรักษาได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง โดยในอนาคต สถาบันฯ มีแผนจัดกิจกรรมมหกรรมคัดกรองเชิงรุกครอบคลุมพื้นที่ในเขตสุขภาพที่ 7 และ 8 เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ง่ายและทั่วถึง
รศ.ดร.วัชรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จของแผนนี้ไม่เพียงขึ้นอยู่กับภาคการแพทย์หรือการวิจัยเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยพลังจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเครือข่ายสื่อสุขภาวะที่มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารเชิงรุก ถ่ายทอดข้อมูลที่ถูกต้องไปสู่สังคมอย่างกว้างขวาง เพื่อสร้างความตื่นตัวและกระแสการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง อันจะนำไปสู่เป้าหมายสำคัญของประเทศ คือ “ประเทศไทยปลอดโรคพยาธิใบไม้ตับ ไม่ตายจากมะเร็งท่อน้ำดี” อย่างแท้จริง
ทางด้านนางสาวยุวลักษณ์ เหมะวิบูลย์ หัวหน้ากลุ่มงานสื่อสารสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวถึงบทบาทของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติว่า สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้เน้นงานในเรื่องระบบสุขภาพมีในเรื่องวิชาการ, พลังรักและพลังสังคม ส่วนเครื่องมือในการขับเคลื่อนของเรามี 4+1 ประกอบด้วยธรรมนูญสุขภาพ, สมัชชาสุขภาพ, HIA, สิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพ และโปรแกรมอื่นๆ และกรอบในการดำเนินการนโยบายยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพของประเทศ จะเน้นในเรื่องข้อมูลร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นธรรมนูญสุขภาพตำบล, ธรรมนูญหมู่บ้าน
สำหรับการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ ก็เพื่อสร้างการรับรู้แก่สื่อสุขภาวะในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 7 และ 8 เพื่อร่วมกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์พยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ตลอดจนการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์สำหรับสื่อสุขภาวะที่เข้าร่วม เพื่อเชื่อมพลังเครือข่ายด้านสุขภาวะให้เข้มแข็งต่อไป และร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สำคัญ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่เป้าหมาย “ปลอดโรคพยาธิใบไม้ตับ และลดการเสียชีวิตจากมะเร็งท่อน้ำดี” ได้อย่างยั่งยืน.
News.

 #สทนช. หนุน ‘ภาค ปชช.’ ร่วมจัดการน้ำจี้แก้ กม. ตั้ง ‘องค์กรผู้ใช้น้ำ’ ให้ง่ายขึ้นวงถกเห็นพ้องต้องใช้การมีส่วนร่วมทุกระด...
28/08/2025

#สทนช. หนุน ‘ภาค ปชช.’ ร่วมจัดการน้ำ
จี้แก้ กม. ตั้ง ‘องค์กรผู้ใช้น้ำ’ ให้ง่ายขึ้น
วงถกเห็นพ้องต้องใช้การมีส่วนร่วมทุกระดับ.

สช. สานพลังภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่กลางสกัดข้อมูล “การจัดการน้ำชุมชน” รองเลขาฯ สทนช. ระบุ ต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ผ่อนปรนการจดทะเบียนองค์กรผู้ใช้น้ำให้ง่ายขึ้น ช่วยเกิดการรับรู้ความเสี่ยงและพร้อมรับมือภัยพิบัติ ด้านผู้แทน อบจ.แพร่ บอกเล่าความสำเร็จกลไกการมีส่วนร่วม ตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการน้ำจังหวัดแพร่” บูรณาการข้อมูลจัดการน้ำ-ช่วยเตือนภัยประชาชน ขณะที่ ผอ.หน่วยภารกิจยุทธศาสตร์ ววน. ย้ำปัจจุบันมีงานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการน้ำ 300 โครงการ เชิญหน่วยงานนำไปประยุกต์ใช้ ขณะที่ “รองเลขาธิการ คสช.” ลุยขยายโมเดลการเรียนรู้สู่พื้นที่อื่นๆ ในอนาคต

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่ายจัดเวทีแลกเปลี่ยนสถานการณ์การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2568 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล สถานการณ์ และบทเรียนจากภาคส่วนต่างๆ จัดทำเป็นข้อเสนอต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด และองค์กรผู้ใช้น้ำ ตลอดจนนำเข้าสู่งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 27-28 พ.ย. นี้ ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี

นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า แม้ว่าภายใต้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ได้กำหนดให้มีการจัดตั้ง สทนช. มีคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) มีคณะกรรมการลุ่มน้ำ มีองค์กรผู้ใช้น้ำ และมีการกำหนดแผนป้องกันแก้ไขภาวะน้ำท่วม แต่พบว่าที่ผ่านมายังไม่ได้คำนึงถึงการเปิดให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างที่ควรจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ระบุไว้ในกฎหมาย ส่วนตัวมองว่าหลังจากนี้จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับภาคประชาชนอย่างจริงจัง
ทั้งนี้เมื่อมองย้อนหลังกลับไป นอกเหนือจากสิ่งที่รัฐดำเนินการเรื่องโปรเจกต์ขนาดใหญ่แล้ว สิ่งที่ยังต้องเพิ่มเติมคือการจัดการน้ำเชิงพื้นที่ ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 โดยสิ่งที่เป็นจุดอ่อนสำหรับประเทศไทยคือ 1. การรับรู้ความเสี่ยง 2. ความสามารถในการรับมือ ซึ่งสะท้อนจากความเสียหายจากอุทกภัย เช่น จ.น่าน ที่เพิ่งเจอพายุวิภาซึ่งมีมวลน้ำปริมาณกว่า 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เกิดความเสียหายมากกว่า 5,000 ล้านบาท ยังไม่ทันฟื้นตัวได้ดี กลับโดนซ้ำเติมความเสียหายอีกครั้งจากพายุคาจิกิในขณะนี้
“สิ่งเหล่านี้คือความสำคัญของภาคประชาชนหรือองค์กรผู้ใช้น้ำในการเข้าไปบริหารจัดการ เพราะภาครัฐไม่อาจเข้าใจบริบทและสถานการณ์ได้รวดเร็วเท่ากับคนที่อยู่ในพื้นที่ จึงเป็นบทบาทของ สทนช. และ กนช. จะต้องเข้าไปหนุนเสริมให้เกิดการจัดตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในพื้นที่ให้มากขึ้น ดังนั้น กลไกหรือกฎกระทรวงควรจะต้องผ่อนปรนขั้นตอนการจดทะเบียนให้ง่ายขึ้น และทำให้การคงอยู่ขององค์กรผู้ใช้น้ำดำเนินไปอย่างเคารพภูมิปัญญาของภาคประชาชนในพื้นที่” นายไพฑูรย์ กล่าว

นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 16 พ.ศ. 2566 ได้ฉันทมติเห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่ 16.2 เรื่องการส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่อย่างมีส่วนร่วมในลักษณะหุ้นส่วนของภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และกลุ่มเครือข่าย โดยมีแผนบูรณาการกับคณะกรรมการลุ่มน้ำ คณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด องค์กรผู้ใช้น้ำ ซึ่งหลังจากมีการขับเคลื่อนมติดังกล่าวแล้ว สิ่งสำคัญคือการทำให้เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรมว่ามีการยกระดับและขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ รวมถึงเชื่อมโยงไปทั้งในระดับพื้นที่จนถึงกลไกแห่งชาติอย่างไร
“สิ่งที่ต้องการจากการสรุปแลกเปลี่ยนบทเรียนในวันนี้ คือข้อเสนอหรือนวัตกรรมใหม่ที่พบในระหว่างทางหรือจากกระบวนการในการขับเคลื่อนที่ผ่านมา เพื่อจะนำไปบูรณาการ เชื่อมโยง ในกลไกขององค์กรที่มีอยู่แล้วทั้งองค์กรระดับกระทรวง ระดับพื้นที่ และเครือข่ายต่างๆ เพื่อให้เกิดการยกระดับการพัฒนามากขึ้น และขยายไปสู่พื้นที่อื่นๆ ในอนาคต”นายสุทธิพงษ์ กล่าว
นายวีฤทธิ์ กวยะปาณิก เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ กล่าวว่า จ.แพร่ ได้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำจังหวัดแพร่ขึ้น ภายใต้ความร่วมมือของ อบจ.แพร่ และจังหวัด เพื่อบริหารจัดการน้ำในจังหวัดอย่างเป็นทิศทางเดียวกัน โดยได้ประสานงานกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. เพื่อขอให้สนับสนุนข้อมูลสารสนเทศมาใช้ในการวางแผน ตลอดจนรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงานที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วจังหวัด โดยอ้างอิงจากข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) แล้วนำมาบูรณาการรวมไว้ที่ศูนย์ฯ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลาง ในการบริหารจัดการ
นายวีฤทธิ์ กล่าวว่า แม้ จ.แพร่ จะเผชิญปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำหลากเป็นประจำทุกปี แต่หลังจากมีการจัดตั้งศูนย์ฯ ทำให้สามารถแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าได้ โดยอาศัยข้อมูลจากหน่วยงานราชการ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา ผสานกับเครือข่ายน้ำชุมชนในพื้นที่ เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนเผยแพร่ พร้อมทั้งใช้คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติและแพลตฟอร์ม “HelpT น้ำท่วมช่วยด้วย” ในการบริหารจัดการน้ำและแจ้งเตือนภัย
นายวีฤทธิ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ในระดับพื้นที่ ศูนย์ดังกล่าวใช้โรงเรียนเป็นกลไกสำคัญในการจัดการน้ำชุมชน โดยประยุกต์แนวคิดจากคู่มือการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน ตามแนวพระราชดำริ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สสน. เข้ากับภูมิประเทศและวิถีชีวิตของชุมชน เนื่องจากข้อมูลทางการอาจมีจำนวนข้อมูลเส้นทางน้ำไม่ครบถ้วน ศูนย์ฯ จึงแก้ปัญหาด้วยการให้ชาวบ้านร่วมกันทำผังมือเพื่อสะท้อนข้อมูลจริงในพื้นที่และช่วยกันคิดแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม
“หัวหน้าส่วนราชการมาแล้วก็ไป แต่คนที่อยู่กับพื้นที่จริงๆ คือท้องถิ่นและชุมชน หากมีกลไกท้องถิ่นหรือ อบจ. ที่เข้มแข็ง ก็จะสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นคำตอบของการจัดการพื้นที่คือประชาชน” นายวีฤทธิ์ กล่าว

รศ. ดร.นิรมล สุธรรมกิจ ผู้อำนวยการหน่วยภารกิจยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563-2568 สกสว. ได้สนับสนุนทุนให้เกิดงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ ทั้งสิ้น 300 โครงการ ใช้งบประมาณไปทั้งหมด 474 ล้านบาท แบ่งเป็นทุนสนับสนุนงานเชิงกลยุทธ์ (Strategic Fund: SF) จำนวน109 โครงการ และทุนสนับสนุนงานมูลฐาน (Fundamental Fund: FF) จำนวน 191 โครงการ โดยลักษณะโครงการวิจัยทั้ง 2 ประเภท มุ่งเน้นไปสู่การคิดค้นองค์ความรู้และนวัตกรรมการจัดการภาวะน้ำท่วมและภาวะน้ำแล้งเป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาภายใต้การสนับสนุนทุนในการวิจัย ได้ก่อให้เกิดเทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ด้านการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำมากมาย ทั้งในมิติการจัดการน้ำเพื่อการเกษตร การบริหารจัดการเพื่อความมั่นคง มิติน้ำต้นทุนและความต้องการใช้น้ำ การจัดการภาวะน้ำท่วมน้ำแล้ง และการแจ้งเตือนภัย
“สิ่งที่อยากจะมาสะท้อนในวันนี้คือเรามีงานวิจัยอยู่มากมาย ให้หน่วยงานและองค์กรทุกระดับที่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ สามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้งานได้ และหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ทาง สกสว. ยินดีที่จะสนับสนุน” รศ. ดร.นิรมล กล่าว

////////
News.

 #ขอนแก่น จัดหน่วยแพทย์ พอ.สว. ร่วมโครงการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ ปชช.อ.เวียงเก่ารองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก...
28/08/2025

#ขอนแก่น จัดหน่วยแพทย์ พอ.สว. ร่วมโครงการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ ปชช.อ.เวียงเก่า

รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานเปิดโครงการ โครงการหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ร่วมกับ โครงการหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพและบริการภาครัฐถึงมือประชาชนในพื้นที่ชนบท
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่น รายงานว่า ที่โรงเรียนบ้านเมืองเก่า ตำบลเมืองเก่าพัฒนา อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น นายยุทธพร พิรุณสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานเปิด โครงการหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ร่วมกับ โครงการหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัด สมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทย ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนชาวเวียงเก่าเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

นายยุทธพร พิรุณสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า การจัดโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างครอบคลุมถึงประชาชนในพื้นที่ห่างไกลและผู้ด้อยโอกาส โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น โรงพยาบาลขอนแก่น โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ โรงพยาบาลเวียงเก่า โรงพยาบาลเอกชน หน่วยงานด้านสาธารณสุข วิทยาลัยพยาบาล และองค์กรในจังหวัดขอนแก่น
นายยุทธพร กล่าวอีกว่า กิจกรรมสำคัญในโครงการ ประกอบด้วย การตรวจรักษาโรคทั่วไป ตรวจวัดสายตาโดยจักษุแพทย์ ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม บริการด้านทันตกรรมและถอนฟัน การทำกายภาพบำบัด การเยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียง รวมถึงบริการแพทย์แผนไทยและการจัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีการมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งบริการประชาชนจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกและบรรเทาความเดือดร้อนในด้านต่าง ๆ

"ทั้งนี้ การจัดโครงการหน่วยแพทย์ พอ.สว. และหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่สะท้อนถึงความห่วงใยของภาครัฐที่มีต่อประชาชน โดยไม่เพียงช่วยดูแลสุขภาพ แต่ยังสร้างขวัญกำลังใจและความอบอุ่นใจแก่ชาวอำเภอเวียงเก่าอย่างแท้จริง"นายยุทธพร กล่าว.
News.

📣 ประกาศวาระสุขภาวะพัทยาโฟกัสคุณภาพชีวิต ‘แรงงานกลางคืน’เพิ่มมาตรฐานช่างสัก-ต้านบุหรี่ไฟฟ้า ภาคีเครือข่ายกว่า 500 ชีวิตเ...
27/08/2025

📣 ประกาศวาระสุขภาวะพัทยา
โฟกัสคุณภาพชีวิต ‘แรงงานกลางคืน’
เพิ่มมาตรฐานช่างสัก-ต้านบุหรี่ไฟฟ้า

ภาคีเครือข่ายกว่า 500 ชีวิตเข้าร่วมเวที “สมัชชาสุขภาพเมืองพัทยา ครั้งที่ 3” ร่วมพิจารณา-เคาะฉันทมติ 3 วาระ มุ่งกำหนดกรอบทิศทางนโยบายสุขภาพเพื่อ “แรงงานกลางคืน” คุ้มครองสิทธิแรงงาน-สวัสดิการ-บริการสุขภาพ พร้อมประกาศใช้ธรรมนูญกลุ่มอาชีพ “ช่างสัก เมืองพัทยา” กำหนดกติกาการให้บริการบนมาตรฐาน-จรรยาบรรณ จับมือประกาศเจตนารมณ์ป้องกันเด็ก-เยาวชนพัทยาห่างไกลจาก “บุหรี่ไฟฟ้า”

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ เมืองพัทยา และหน่วยงานภาคีเครือข่าย จัดเวที สมัชชาสุขภาพเมืองพัทยา ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2568 BETTER PATTAYA: HAPPY CITY สุขภาวะดี มีความสุข ณ โรงแรมไบรท์ตัน แกรนด์ พัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม ที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกำหนดแนวทางการพัฒนาเมืองพัทยา อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนเมืองท่องเที่ยวสุขภาวะ โดยมีภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม เข้าร่วมเวทีมากกว่า 500 คน

ทั้งนี้ ภาคีเครือข่ายสมัชชาสุขภาพสากลเมืองพัทยา ได้ร่วมกันพิจารณาระเบียบวาระและรับรองฉันทมติ จำนวน 3 มติ ประกอบด้วย
1. นโยบายสุขภาพเพื่อแรงงานกลางคืน
2. ธรรมนูญกลุ่มอาชีพ “ช่างสัก เมืองพัทยา
3. มาตรการป้องกันเด็กและเยาวชนห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้า โดยได้มีการส่งมอบมติสมัชชาสุขภาพฯ ให้กับเมืองพัทยา ขณะเดียวกันก็ได้มีการประกาศใช้ “ธรรมนูญกลุ่มอาชีพ ช่างสัก เมืองพัทยา” พร้อมทั้งร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ “ป้องกันเด็กและเยาวชนห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้า”

นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา ในฐานะประธานคณะกรรมการสนับสนุนการจัดและขับเคลื่อนสมัชชาสุขภาพเมืองพัทยา (คจ.สพ.) เปิดเผยว่า สมัชชาสุขภาพเมืองพัทยา ซึ่งเดินทางมาถึงครั้งที่ 3 ในปีนี้ เป็นเวทีที่สำคัญในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และร่วมกันกำหนดแนวทางการพัฒนาเมือง ให้ก้าวสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวสุขภาวะ จึงเป็นเวทีที่ทรงคุณค่า เพราะเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้มาร่วมกันแสดงความคิดเห็น เสนอแนวทาง และร่วมกันหาฉันทมติในประเด็นสำคัญด้านสุขภาพของเมือง
“ทุกประเด็นล้วนสะท้อนถึงความห่วงใยต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเมืองพัทยาให้ดียิ่งขึ้น ในนามของเมืองพัทยา และ คจ.สพ. จึงต้องขอขอบคุณที่ทุกท่านร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยน เสนอแนะ เพื่อเป็นข้อเสนอแก่เมืองพัทยา และนำไปสู่การขับเคลื่อนให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม สร้างเมืองพัทยาที่มีสุขภาวะดี มีความสุข และเป็นมรดกที่ยั่งยืนแก่คนรุ่นต่อไป” นายปรเมศวร์ กล่าว

สำหรับมติ นโยบายสุขภาพเพื่อแรงงานกลางคืน ที่ประชุมได้เห็นชอบกรอบทิศทางนโยบายในการดูแลสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มแรงงานกลางคืน (Night workers) ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มคนทำงานที่มีความเสี่ยงในการเข้าถึงสวัสดิการและสิทธิในการดูแลสุขภาพ โดยจะดำเนินการด้านการคุ้มครองสิทธิแรงงาน สวัสดิการ บริการสุขภาพ พร้อมทั้งการสร้างเครือข่ายสุขภาพและลดการตีตราในสังคม เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีในกลุ่มแรงงานกลางคืนและประชาชนทั่วไป ภายใต้การมุ่งขับเคลื่อนไปที่เจ้าของสถานประกอบการ (Owner) และกลุ่มคนทำงานแรงงาน (Workers)

ขณะที่ ธรรมนูญกลุ่มอาชีพ “ช่างสัก เมืองพัทยา” จะเป็นเสมือนกติกาหรือข้อตกลงร่วมกันเพื่อยกระดับการจัดการอาชีพช่างสัก ให้สอดคล้องกับบริบทของเศรษฐกิจสร้างสรรค์และสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย โดยมีเนื้อหาสาระรวม 7 หมวด เช่น มาตรฐานในการให้บริการ, จรรยาบรรณผู้ประกอบการ, รูปแบบการสัก, การซื้ออุปกรณ์สำหรับการสัก ฯลฯ โดยเมืองพัทยา จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและประกาศใช้ธรรมนูญฯ พร้อมกับจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญฯ เพื่อติดตามการดำเนินงานต่อไป
ในด้านของ มาตรการป้องกันเด็กและเยาวชนห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้า ที่ประชุมได้เห็นพ้องร่วมกันถึงการเดินหน้า 5 มาตรการ ที่สอดคล้องตามมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น “การปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า” ซึ่งทางสำนักสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เมืองพัทยา ได้จัดทำร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
1. สร้างเมืองพัทยาให้เป็นพื้นที่ปลอดบุหรี่ไฟฟ้าในทุกมิติ ทั้งในสถานศึกษาชุมชนและสถานที่ท่องเที่ยว 2. ลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า ป้องกันการเกิดนักสูบหน้าใหม่ในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน 3. ส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความตระหนักรู้แก่เยาวชน ประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับอันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า 4. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุม ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า 5. สร้างต้นแบบพื้นที่สาธารณะ สถานศึกษา และสถานที่ท่องเที่ยวปลอดบุหรี่ไฟฟ้า

ดร.ศิวัช บุญเกิด รองปลัดเมืองพัทยา และประธานอนุวิชาการสมัชชาสุขภาพเมืองพัทยา กล่าวว่า เมืองพัทยาได้มีการจัดเวทีสมัชชาสุขภาพ ครั้งแรกเมื่อปี 2565 เป็นหนึ่งในกลไกสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่เมืองพัทยาให้ความสำคัญ เนื่องจากในหลายปัญหาอาจไม่สามารถแก้ไขได้ผ่านกระบวนการทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องมีการศึกษาวิเคราะห์ แลกเปลี่ยน รับฟังความคิดเห็น โดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน พร้อมกำหนดประเด็นและพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะ โดยมีภาควิชาการอย่างมหาวิทยาลัยบูรพา เข้ามาเป็นหนึ่งในกลไก

ดร.ศิวัช กล่าวว่า ในเวทีสมัชชาสุขภาพครั้งแรก ได้มีการพัฒนาธรรมนูญสุขภาพเมืองพัทยาออกมาเป็นข้อตกลงร่วม หรือเสมือนเป็นกรอบทิศทางในการเดินหน้าสู่เมืองสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับทุกคน พร้อมมุ่งแก้อีกหนึ่งปัญหาสำคัญนั่นคือประเด็นด้านเศรษฐกิจ จึงมีการพูดคุยกันถึงเรื่องของพื้นที่สาธารณะ ก่อนที่เวทีสมัชชาสุขภาพครั้งถัดมา จะมีการหารือถึงการจัดระเบียบกลุ่มอาชีพต่างๆ ที่มีความสำคัญและถือเป็นทุนทางวัฒนธรรมของพื้นที่ อย่างนวดแผนไทยและร่มเตียงชายหาด ให้มีกลไกในการดูแลคุณภาพมาตรฐานที่ดีทั้งต่อผู้ให้บริการและผู้รับบริการ เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่มีการพัฒนาต่อในกลุ่มอาชีพช่างสัก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ของพื้นที่

ด้าน นพ.อภิชาติ รอดสม รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า กลไกสมัชชาสุขภาพ ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือภายใต้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาโยบายสาธารณะให้เกิดความยั่งยืน แก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะซึ่งมีความครอบคลุมในหลายมิติ จึงต้องอาศัยหลายภาคส่วนเข้ามาพูดคุยกัน โดยเฉพาะบริบทของเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาที่มีความหลากหลาย และปัจจุบันมีทิศทางการพัฒนาที่น่าสนใจมากมาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากหลายมุมมอง

นพ.อภิชาติ กล่าวว่า นอกจากการพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะแล้ว สิ่งสำคัญยังเป็นการนำไปปฏิบัติและกำกับติดตามเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นทั้ง 3 มติที่มีการรับรองร่วมกันในวันนี้ ก็จะมีการติดตามต่อไปด้วย ส่วนกระบวนการในระดับประเทศหลังจากนี้ก็กำลังจะมีการจัดเวที สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 ขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ภายใต้ประเด็นหลัก (Theme) “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” ซึ่งจะมีการพิจารณาระเบียบวาระที่เป็นประเด็นปัญหาสำคัญของประเทศด้วยเช่นกัน

//////////
News.

ที่อยู่

มิต
Khon Kaen
40000

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Dokkoon Newsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Dokkoon News:

แชร์