Pete Thitiwatt A Person Living with HIV

Pete Thitiwatt A Person Living with HIV Pete Thitiwatt Sirasejtakorn is independently advocating as a person living with HIV. He disclosed his personal story about Life with HIV since 2018.

He has been interviewed on TV programmes, News, Documentary for more 20+ interviews.

HAPPY 35th BIRTHDAY TO ME 🎂“ในยามที่สว่างที่สุดของวัน คือ ใกล้มืด และยามที่มืดที่สุด คือ เริ่มจะสว่าง“เข้าใจแล้วว่า ทำไม...
28/06/2025

HAPPY 35th BIRTHDAY TO ME 🎂

“ในยามที่สว่างที่สุดของวัน คือ ใกล้มืด และยามที่มืดที่สุด คือ เริ่มจะสว่าง“

เข้าใจแล้วว่า ทำไมเราถึงไม่ควรดูหมิ่น หรือ ประมาณปัญหาในชีวิตของใครๆ ว่า ”เรื่องง่ายๆ แค่นี้ ทำไมทำไม่ได้ ทำไมไม่ทำ ไม่มัวแต่กลัว มัวแต่กังวลแต่ไม่ทำอะไรซักที“

ซึ้งแล้วว่า.. ทุกคนมีปัญหาของตนๆ และทุกปัญหาไม่มีเล็กหรือใหญ่ ยากหรือง่าย มีแต่สิ่งที่เราต้องเจอ และต้องผ่านไปให้ได้ บนเส้นทางชีวิตของตนๆ !

ที่เรามองว่า ปัญหาของตัวเอง ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่นๆนั่นก็เพราะ ”มึงเห็นปัญหาคนอื่น ที่ไม่ใช่ปัญหาของมึง แต่ปัญหาของมึงที่ไม่มีใครรู้ ใครเห็น มึงก็สาระวนอยุ่ในแยบของมึง จนลืมไปว่า .. ขณะที่คนอื่นมีปัญหาที่มึงไม่มี และคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครมีปัญหากับตัวเอง ก็ว่าวุ่นวายละ ยังมีปัญหากับปัญหาคนอื่นอีก !! เจริญพวง

@แฟนตัวยง

12/06/2025

กลุ่มคนทำงานดูแลผู้ใช้สารเสพติดจังหวัดสงขลา (Care Team) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓๐๐๘) พ.ศ. ๒๕๖๘ ประเภท หน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านบริการเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในชุมชน ผู้มีอำนาจลงนามโดย นางสาวซูฮายนงค์ สมาเฮาะ ผู้อำนวยการ Care Team ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘ เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ในนามตัวแทนกลุ่มฯ ขอขอบคุณผู้ให้หนุนเสริม สนับสนุน ทุกท่าน เป็นอย่างสูง มา ณ โอกาสนี้🙏🥰

✨ Today marks a very special 4-year anniversary ✨The day I first connected with someone who changed my life forever — Br...
04/06/2025

✨ Today marks a very special 4-year anniversary ✨

The day I first connected with someone who changed my life forever — Bruce Richman, Co-Founder and Executive Director of Prevention Access Campaign, and the visionary behind the life-saving message: U=U — Undetectable = Untransmittable.

Back in 2018, at the IAS - International AIDS Society International AIDS Conference, I learned about U=U for the first time. I didn’t just learn it— I felt it. It was the moment everything changed.

Before U=U, I lived in the shadows of fear, shame, and internalized stigma — not knowing that someone living with HIV who is undetectable cannot transmit the virus through s*x.

But when I understood the science, the truth, and the freedom behind U=U, it was as if someone had switched the lights on in a dark room I had been trapped in for too long.

That was the moment I found not just knowledge — but purpose.
That was the moment I became an advocate.

Not long after, I had the honor of sharing a virtual stage with Bruce as fellow panelists at a conference. It was the first time we met — and though it was through a screen, the connection was real. His passion, his compassion, and his unwavering belief in the dignity of people living with HIV has never stopped inspiring me.

🌟 , thank you for turning a message into a movement — and for making space for people like me to find our voice, our pride, and our power.

You didn’t just start a campaign. You helped restore humanity for millions of us.
And for me… you helped turn my silence into strength.

With all my heart — thank you.
Here’s to the power of truth, and to many more years of U=U saving and transforming lives. 💙





✨ วันนี้เป็นวันครบรอบ 4 ปีที่มีความหมายกับหัวใจของผมอย่างลึกซึ้ง ✨

วันที่ผมได้รู้จักกับบุคคลผู้เปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล — Bruce Richman ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการของ Access Campaign และผู้ที่อยู่เบื้องหลังข้อความอันทรงพลัง “U=U” หรือ Undetectable = Untransmittable

ผมรู้จัก U=U ครั้งแรกเมื่อปี 2018 ในการประชุม IAS Conference และนั่นไม่ใช่แค่การเรียนรู้ แต่เป็น การปลดปล่อย จากความกลัว ความอับอาย และความตีตราที่ผมเคยแบกไว้ในใจโดยไม่รู้ตัว

ก่อนหน้านั้น ผมไม่รู้เลยว่า คนที่มี HIV ซึ่งรักษาจนตรวจไม่พบเชื้อ จะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้

แต่เมื่อผมเข้าใจทั้งวิทยาศาสตร์ ความจริง และเสรีภาพที่อยู่เบื้องหลัง U=U — มันเหมือนมีคนมาเปิดไฟให้ผมในห้องมืดที่ผมติดอยู่มานาน

นั่นคือจุดเปลี่ยน ที่ผมกลายเป็น นักรณรงค์

ไม่นานหลังจากนั้น ผมได้รับเกียรติให้ร่วมเวทีเสวนาในงานสัมมนาออนไลน์ที่ Bruce ก็เข้าร่วมในฐานะผู้ร่วมเสวนาเช่นกัน — นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน แม้จะเป็นการพบกันผ่านหน้าจอ แต่ผมรู้สึกได้ถึงพลัง ความเมตตา และความตั้งใจแน่วแน่ของเขาในการยืนหยัดเคียงข้างผู้มีเชื้อ HIV ทั่วโลก

🌟 Bruce, ขอบคุณที่เปลี่ยนประโยคหนึ่งให้กลายเป็น ขบวนการเปลี่ยนชีวิต
คุณไม่ได้แค่เริ่มต้นแคมเปญ แต่คุณช่วยฟื้นคืน “ความเป็นมนุษย์” ให้กับผู้คนอีกนับล้าน
และกับผม… คุณช่วยให้เสียงเงียบของผม กลายเป็นพลัง

ขอบคุณจากหัวใจ
และขอให้พลังของ “U=U” ยังคงเปลี่ยนชีวิตของผู้คนได้ต่อไปอีกนานแสนนาน 💙

#ขอบคุณBruce

UNAIDS UNAIDS Asia Pacific

03/06/2025

ปีนี้ 35 แล้ว

Once, an unforgettable moment happened in the early days of April this year. I received messages from someone who sent D...
02/06/2025

Once, an unforgettable moment happened in the early days of April this year.

I received messages from someone who sent DMs to me on various platforms.

She said she was trying to reach out to me, but her messages weren’t much different from those of many others asking about HIV concerns. So, I didn’t respond, even though I saw her messages.

Many days later, after countless unanswered DMs piled up—totaling over 999 messages across platforms—it finally felt like time to clear things up.

I chose to answer her first. After greeting her politely, she read and responded immediately, asking for a brief phone call. She said she was from Sweden, currently on vacation in Thailand, and determined to meet me no matter what.

At the time, she was in Chiang Mai, a province in northern Thailand. I was at home in Hat Yai, Songkhla, in southern Thailand.

It was unbelievable that this moment was real. I decided to meet her in Bangkok, 1,000 kilometers from home. But she had come even farther, all the way from Sweden.

“There are so many people out there you could meet. Why do you want to see me no matter what?” I asked. She replied, “I’ve been searching for someone living with HIV who has a powerful story reflecting real-life experiences, but I couldn’t find anyone until I found you online.”

That day, I clearly remember the mental health struggles I had been carrying for so long. But she helped me through them, and that support has meant so much to me ever since. I’m so grateful to know you, Alexandra

Thitiwatt with Alexandra ใน Bangkok, Thailand

22/05/2025
22/05/2025

เข้าใจอย่างยิ่งว่าการด่าให้สะใจบางทีก็ต้องใช้คำให้แรงที่สุด และยิ่งเมื่อโกรธมากๆ หลายๆ คำด่าก็พรั่งพรูออกมาโดยอัตโนมัติอย่างยากจะควบคุม แต่ในปี 2025 นี้แล้ว บางคำด่าก็อาจจะไม่เข้ากับยุคสมัยไปสักหน่อย เพราะมันแฝงไปด้วยการเหยียดอะไรบางอย่างไม่ว่าจะเป็นผู้คน ชุมชน เพศสภาพ หรือเชื้อชาติ
และแม้หลายคนจะใช้คำด่าเหล่านี้โดยไม่ได้ตั้งใจจะเหยียดใครนอกจากอยากพุ่งเป้าไปยังคนที่เราด่าโดยตรง แต่เราอาจต้องไม่ลืมว่าภาษามีอำนาจของมัน การใช้คำด่าเหล่านี้ซ้ำๆ และทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดา มีส่วนอย่างยิ่งในการส่งต่อภาพจำลบๆ ให้ยังคงติดอยู่กับสิ่งที่ถูกหยิบมาใช้เป็นคำด่า และทำให้ผู้คนหรือสิ่งในคำด่าเหล่านี้ถูกด้อยค่าไปโดยปริยาย
ดังนั้น เนื่องในโอกาสที่คำด่าจากมัมพลอยยังแซ่บสะใจทุกคนอยู่ แถมเรื่องราวก็ยังดูมีอะไรให้ติดตาม เราเลยอยากชวนมาอัปเดตแพทช์กันสักหน่อย ว่าคำด่าไหนบ้างที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะไม่ใช้ เพราะสุดท้าย อาจมีคนที่เจ็บปวดจากการถูกกระทบไปด้วยโดยที่เราไม่รู้ตัว
หน้าหี : คำด่าสุดคลาสสิกที่ ‘หน้าxวย’ ไม่อาจเทียบติด และแน่นอนว่ากดทับอวัยวะเพศหญิงว่าเป็นของต่ำตมหรือเป็นเพียงพื้นที่ให้เพศชายเข้ามาหมกมุ่น
กะหรี่ : ขณะที่การให้บริการทางเพศเป็นอาชีพที่เลี้ยงชีวิตผู้คนมากมาย และในไทยเองก็กำลังมีการเรียกร้องกฎหมายที่คุ้มครองเหล่าคนทำงาน การยังหยิบคำว่ากะหรี่เป็นคำด่าจึงไม่ต่างจากการดูถูกศักดิ์ศรีคนทำงานและดึงรั้งให้การลดอคติที่คนไทยมีต่ออาชีพนี้ช้าลงกว่าเดิม
HIV : ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ต้องเผชิญอคติมากมายในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา และไม่ว่าพวกเขาจะติดเชื้อจากสาเหตุใดก็ไม่ควรถูกเหยียดหยามหรือกีดกันให้เป็นอื่น การใช้ HIV เป็นคำด่าจึงมีแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้พวกเขาเพิ่ม และไม่นำมาซึ่งความเข้าใจใดๆ
หน้าตัวเมีย / ตุ๊ดว่ะ : อีกคำด่าที่อิงจากเพศสภาพ ที่นับเป็นการตีตราว่าเพศหญิงหรือ LGBTQ นั้นอ่อนแอ ไม่กล้าสู้แบบตรงไปตรงมา หรือไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ซึ่งการไล่ให้ไปใส่กระโปรงหรือด่าว่า ‘ไม่แมน’ ก็เช่นกัน ดังนั้น เลิกได้เลิก
เจ๊ก / ลาว : คำด่าแบบเหยียดเชื้อชาติที่แฝงมากับการดูถูกหรือเกลียดชังคนชาตินั้นๆ ลองนึกภาพว่าเราโดนคนประเทศอื่นด่าว่า “ไทยมาก” โดยสื่อถึงรูปร่างหน้าตาหรือพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เราก็คงไม่สบายใจ และไม่อยากถูกเหมารวมเช่นกัน
บ้านนอก / ลาบ : คำด่าที่เหยียดกันในเชิงภูมิศาสตร์ที่ยังนิยมอยู่มากในไทย และแม้หลายคนจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่ก็ยังคงมีคนที่เจ็บปวดจากการถูกเหยียดแบบนี้อยู่ ทั้งที่จริงไม่ว่าบ้านเกิดใครจะอยู่ที่ไหนหรือท้องถิ่นไหนจะนิยมอาหารแบบใดก็ไม่ใช่เรื่องที่ต่ำต้อยกว่าคนในพื้นที่อื่นๆ การด่าโดยเหมารวมแบบนี้ก็ไม่ต่างจากการทำให้การมองคนไม่เท่ากันยิ่งฝังลึกในใจคนไทย
และสำหรับใครที่อึดอัดหรือรำคาญใจ กลัวจะไม่มีคำสะใจๆ เอาไว้ด่า เราก็เชื่ออย่างยิ่งว่าการหาคำด่าแบบใหม่ๆ แบบ alternative และ creative นั้นไม่เกินความสามารถคนไทยแน่ๆ

21/05/2025

“HIV” ไม่ใช่คำด่า: หยุดใช้คำนี้เป็นอาวุธทำร้ายใจคนอื่น

ช่วงนี้หลายคนอาจได้เห็นดราม่าบางอย่างบนโลกออนไลน์ที่มีการพูดถึงคำว่า HIV ในเชิงลบ ซึ่งอยากให้ทุกคนลองหยุดคิดสักนิดว่า…คำพูดเหล่านี้ส่งผลต่อคนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่กับ HIV อย่างไร?

1. “HIV” ไม่ใช่คำด่า และไม่ควรเป็น

การใช้คำว่า HIV เพื่อเหยียดหรือล้อเลียนใครสักคน มันเจ็บเหมือนเอาโรคร้ายอย่าง มะเร็ง หรือ เบาหวาน มาใช้เป็นมุกตลก นอกจากจะไม่ make sense แล้ว ยังสร้างบาดแผลทางใจให้คนที่ต้องอยู่กับโรคนี้อีกด้วย

2. พูดเล่นแค่ไหน แต่ผลมันจริง

ยิ่งคำว่า “HIV” ถูกใช้ในบริบทแย่ๆ มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งตอกย้ำ stigma หรืออคติที่ทำให้หลายคนไม่กล้าไปตรวจเลือด ไม่กล้าเข้ารับการรักษา ทั้งที่ HIV ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวแบบที่คนเคยเชื่อในอดีต และสามารถควบคุมได้ด้วยยาที่มีในปัจจุบัน

3. แล้วถ้าเป็นคนที่คุณรักล่ะ?

ลองคิดดูว่าถ้าคนที่คุณรัก คนในครอบครัว หรือเพื่อนของคุณเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับ HIV คุณอยากให้เขาได้ยินคำนี้ถูกใช้เป็นเรื่องตลกหรือคำเหยียดมั้ย?

4. มองเห็นคนที่พยายามอยู่บ้าง

ทุกวันนี้มีทั้งนักเคลื่อนไหว บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่อยู่กับเชื้อ HIV ที่ลุกขึ้นมาทำงานหนักมาก เพื่อให้คนเข้าใจมากขึ้น ลดอคติ และสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยให้ทุกคนได้เข้าถึงการดูแลสุขภาพ การใช้คำว่า HIV เป็นคำด่า เท่ากับคุณกำลังเหยียบความพยายามเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว

มิ.ย. 2568 นี้เข้าสู่ปีที่ 10
20/05/2025

มิ.ย. 2568 นี้เข้าสู่ปีที่ 10

วันที่ 2 มิถุนายน 2562 ที่จะถึงนี้ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ในการอยู่กับ HIV และเข้าสู่ปีที่ 2 ที่อยู่กับ HIV อย่างเปิดเผย .. วันที่ 12 มิถุนายน 2562 วันครบรอบ 1 ปีของการเปิดเผยผลเลือดต่อสังคมและการเป็นนักรณรงค์ด้าน HIV #พีทคนเลือดบวก

ที่อยู่

Klong Toey

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Pete Thitiwatt A Person Living with HIVผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์