นั่งเทียนนิวส์

นั่งเทียนนิวส์ สื่อสารทุกเรื่องที่เป็นเรื่องจริง

25/08/2025

📰 ขอเชิญอ่าน จดหมายข่าวผู้ตรวจการแผ่นดิน : ปีที่ 15 ฉบับที่ 137 ประจำเดือน สิงหาคม 2568

📌 ในรูปแบบ E-Book ได้ที่ https://online.fliphtml5.com/jmwxp/kwsx/

📌 และอ่านฉบับย้อนหลังได้ที่ https://www.ombudsman.go.th/new/ombudsman_newsletter/

จังหวัดกระบี่พร้อมจัดงาน “สไบ กะบาย่า ปาเต๊ะ” Andaman Retro 2025@Krabi สานสัมพันธ์ไทย จีน มลายู ณ เกาะลันตา ชูเอกลักษณ์ว...
22/08/2025

จังหวัดกระบี่พร้อมจัดงาน “สไบ กะบาย่า ปาเต๊ะ” Andaman Retro 2025@Krabi สานสัมพันธ์ไทย จีน มลายู ณ เกาะลันตา ชูเอกลักษณ์วัฒนธรรมคู่ทะเลอันดามัน
วันที่ 22 สิงหาคม 2568 — จังหวัดกระบี่ จัดแถลงข่าวการจัดงาน โครงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสานสัมพันธ์ไทย จีน มลายู “สไบ กะบาย่า ปาเต๊ะ” Andaman Retro 2025 กิจกรรม Andaman Retro 2025 อย่างเป็นทางการ ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ชุมชนศรีรายา ตำบลเกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เพื่อเชิญชวนผู้มาเยือนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติร่วมสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรมริมฝั่งอันดามันที่สืบทอดมายาวนานการแถลงข่าวในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้ร่วมแถลงข่าว 4 ท่าน ได้แก่
นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่
นางณัฐธยาน์ ผาสุก นายอำเภอเกาะลันตา
นายวิภุช วิเศษสิงห์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่
นายวิชิต ยะลา นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวอำเภอเกาะลันตา
โครงการนี้มีจุดประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ชุมชนเมืองเก่า ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวและบริการ รวมถึงสร้างจุดขายใหม่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการตลาด โดยหยิบยก “สไบ กะบาย่า ปาเต๊ะ” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์การแต่งกายและวัฒนธรรมร่วมของคนไทย จีน และมลายู มานำเสนอผ่านกิจกรรมย้อนยุค การแสดงศิลปวัฒนธรรม ขบวนแฟชั่น งานชิมอาหารพื้นถิ่น และงานแสดงหัตถกรรมจากฝีมือคนในชุมชน
นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า จังหวัดกระบี่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลกที่มีทั้งธรรมชาติอันงดงามและวัฒนธรรมท้องถิ่นอันทรงคุณค่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพอย่างยั่งยืน และเป็นโอกาสให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสเสน่ห์ของเมืองเก่าและผู้คนในชุมชน พร้อมเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาร่วมสร้างความทรงจำที่งดงามร่วมกัน
นางณัฐธยาน์ ผาสุก นายอำเภอเกาะลันตา กล่าวถึงความพร้อมของพื้นที่ว่า เกาะลันตาเป็นชุมชนที่มีทั้งความงดงามทางธรรมชาติและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิม และชาวจีนดั้งเดิมที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน การต้อนรับนักท่องเที่ยวครั้งนี้ได้เตรียมความพร้อมทั้งด้านสถานที่ บริการ และมาตรการดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้มาเยือนได้รับทั้งความสุขและความอุ่นใจ
นายวิภุช วิเศษสิงห์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ เปิดเผยว่า ที่มาของโครงการนี้มาจากแนวคิด “Nostalgic Tourism” หรือการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแบบถวิลหาอดีต ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในระดับสากล โดยนำเอาเอกลักษณ์ด้านการแต่งกาย อาหาร และศิลปะการแสดงของไทย จีน มลายู มาผสมผสานกับเสน่ห์ของเมืองเก่าและบรรยากาศริมฝั่งอันดามัน เพื่อสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีคุณค่าและแตกต่าง

นายวิชิต ยะลา นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวอำเภอเกาะลันตา กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานครั้งนี้จะช่วยสร้างรายได้หมุนเวียนในพื้นที่ ทั้งจากการเข้าพัก การใช้บริการร้านอาหาร การจับจ่ายสินค้า และการใช้บริการนำเที่ยว ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ขณะเดียวกันยังช่วยสร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนในชุมชน และกระตุ้นการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไป
จังหวัดกระบี่ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก มาร่วมสัมผัสบรรยากาศย้อนยุคและวัฒนธรรมที่ผสมผสานอย่างงดงามในงานโครงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสานสัมพันธ์ไทย จีน มลายู “สไบ กะบาย่า ปาเต๊ะ” Andaman Retro 2025 ระหว่างวันที่ 29 – 31 สิงหาคม 2568 ณ ลานหน้าพิพิธภัณฑ์ชุมชนเกาะลันตา อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ สำหรับกิจกรรมภายในงานจะแบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ๆ ได้แก่
โซนเวทีกลาง จะมีพิธีเปิดในค่ำคืนวันที่ 29 สิงหาคม 2568 โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่เป็นประธานในพิธีเปิด และไฮไลท์ของค่ำคืนพิธีเปิดคือ จะมีแฟชั่นโชว์เครื่องแต่งกายวัฒนธรรม ไทย จีน มลายู อัญมณีผ้าไทย สไบ กะบาย่า ปาเต๊ะ มนต์เสน่ห์แห่งอันดามัน นำโดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่พร้อมภริยา พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดกระบี่ หัวหน้าส่วนราชการในอำเภอเกาะลันตา ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ร่วมในการเดินแฟชั่นโชว์ ทุกค่ำคืน จะมีวงดนตรีชื่อดังของจังหวัดกระบี่ วงคีมูจี แบนด์ มีรำวงเวียนครกทุกค่ำคืนโดยจะมีวงรำวงเวียนครกชื่อดังของภาคใต้มาไม่ว่าจะเป็น วงราชสีห์คนคอน วงวานรนครศรี วงสำราญ และ พิเศษสุดในคืนวันที่ 31 สิงหาคม 2568 จะมีศิลปินราชาเพลงภาคใต้ เอกชัย ศรีวิชัย มาแสดงเต็มวง
โซนนิทรรศการ จะมีการเสวนาเสวนา เรื่องเล่าย้อนรอยประวัติความเป็นมาของชุมชนเมืองเก่าเกาะลันตา โดย นักปราชญ์ท้องถิ่น ทั้ง 3 วัน มีนิทรรศการภาพถ่ายเล่าเรื่องเมืองเก่า มีการแสดง Amazing Lanta : Mini Light & Sounds Show “ จากอดีต สู่ปัจจุบันมหัศจรรย์ แสงสี ที่ลันตา” ณ ลานหน้าพิพิธภัณฑ์ชุมชนเกาะลันตา วันที่ 29 สิงหาคม 2568 มีการสาธิตการทำอาหาร โดย อินฟลูเอนเซอร์ เอ โพดำ
โซนตลาด 3 วัฒนธรรม มีการเนรมิตพื้นที่ให้เป็นตลาด 3 วัฒนธรรม ไทย จีน มลายู โดยจะมีแม่ค้าที่เป็นแม่ค้าพื้นถิ่นนำสินค้ามาจำหน่ายแต่งกายด้วยชุด 3 วัฒนธรรม
นอกจากนี้ภายในงานทุกๆ ค่ำคืนจะมีการฉายหนังกลางแปลง ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มีการถ่ายภาพด้วยกล้องโพลารอยด์ เพียงแค่ท่านแต่งกายด้วยชุดบ่าหบ๋า ย่าหย๋า หรือ ชุดพื้นถิ่นก็สามารถไปถ่ายภาพได้ พร้อมเปิดประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่อื่น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมคู่ทะเลอันดามัน

สำเร็จงานสร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 14 พร้อมส่งต่อสร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 15 ที่เมืองลุง ปี 2570งาน “สร้างสุขภาคใต้” ครั้งท...
21/08/2025

สำเร็จงานสร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 14 พร้อมส่งต่อสร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 15 ที่เมืองลุง ปี 2570

งาน “สร้างสุขภาคใต้” ครั้งที่ 14 ภายใต้แนวคิด 20 ปี ปลุกพลังวิถีถิ่นใต้ สู่สุขภาวะแห่งอนาคต ณ ศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง จ.ตรัง ได้ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการ

กิจกรรมสำคัญ สู่การแถลงข้อเสนอเชิงนโยบายสู่เป้าหมายภาคใต้แห่งความสุข 4 ประเด็น ได้แก่ (1) ประเด็นความมั่นคงทางสุขภาพ (2) ประเด็นความมั่นคงทางมนุษย์ (3) ประเด็นความมั่นคงทางอาหาร และ (4) ประเด็นความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เวทีอภิปราย ร่วมกําหนดทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายสู่ “ภาคใต้แห่งความสุข” และมีการส่งมอบธงเจ้าภาพงาน “สร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 15” ให้แก่จังหวัดพัทลุงเพื่อเป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ.2570
นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้ร่วมเวทีอภิปรายกับหน่วยงานกำหนดนโยบาย ได้เน้นย้ำว่างานสร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 14 เป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญที่ได้เปิดพื้นที่สาธารณะให้พี่น้อง 14 จังหวัดภาคใต้ ได้นำเสนอ และแลกเปลี่ยนผลการดำเนินงานเพื่อสร้างสุขในภาคใต้ ที่จะนำไปสู่กระบวนการวิเคราะห์เพื่อพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะ และนอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงกลไกระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในภาคใต้เพื่อบูรณาการการทำงาน บูรณาการความร่วมมือให้เกิดการขับเคลื่อนทั้งเชิงประเด็น และพื้นที่
“ ...ตลอดระยะเวลาจัดงานทั้ง 3 วันที่ผ่านมา เราพบว่ามีองค์ความรู้ที่น่าสนใจหลายเรื่อง รวมทั้งมีกลไกความร่วมมือ สะท้อนให้เห็นการก้าวข้ามพรมแดน ข้ามภาคส่วน ที่นำไปสู่การทำงานร่วมกัน กระบวนการเหล่านี้ทำให้เกิดการพัฒนา และบูรณาการเข้าสู่ระบบกลไกของหน่วยงานต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกัน ... งานสร้างสุขภาคใต้ครั้งนี้ ทาง คสช. จะนำข้อเสนอในประเด็นต่างๆ ไปวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่กระบวนการพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะในระดับชาติต่อไป…”

ด้าน นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายก องค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า “จังหวัดพัทลุงมีความพร้อม และมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพงานสร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 15 ซึ่งจังหวัดพัทลุงจะได้ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพงานสร้างสุขภาคใต้เป็นครั้งแรก ในโอกาสนี้พวกเราได้เห็นการจัดงานที่จังหวัดตรัง ซึ่งจัดงานได้ดีมาก ดังนั้นพวกเราจะต้องกลับไปเตรียมงานร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายในการเป็นเจ้าภาพหลักในปี 2570 ให้ดียิ่งขึ้น”
สำหรับการจัดงานสร้างสุขภาคใต้ครั้งที่ 15 ในปี พ.ศ. 2570 นั้นจะเน้นถึงปัจจัยสำคัญของความมั่นคงทางสุขภาพ ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาและบูรณาการภายใต้งานสร้างสุขภาคใต้ เพื่อคนใต้ต่อไป

………………………………………………..

สช.จับมือ สสส. และภาคียุทธศาสตร์สุขภาพร่วมเปิดงานสร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 14 พร้อมขับเคลื่อนสุขภาวะ 4 มิติ วันที่ 19 ส.ค....
20/08/2025

สช.จับมือ สสส. และภาคียุทธศาสตร์สุขภาพ
ร่วมเปิดงานสร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 14 พร้อมขับเคลื่อนสุขภาวะ 4 มิติ


วันที่ 19 ส.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) , สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.), องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง, สมัชชาสุขภาพจังหวัดตรัง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และภาคีเครือข่ายภาคใต้ ร่วมพิธีเปิดงาน “สร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 14” ภายใต้แนวคิด 20 ปี ปลุกพลังวิถีถิ่นใต้ สู่สุขภาวะแห่งอนาคต ณ ศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง จ.ตรัง

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เน้นย้ำถึงเป้าหมายร่วมที่ประชาชนในพื้นที่มี คือการมีสุขภาพที่ดี (well-being) ซึ่งเครือข่ายภาคใต้ได้ร่วมพัฒนาประเด็น ทั้งประเด็นความมั่นคงทางอาหาร ประเด็นความมั่นคงทางมนุษย์ ประเด็นความมั่นคงทางสุขภาพ และประเด็นความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยในส่วนของ สช.ได้มีส่วนร่วมกับภาคีเครือข่ายในการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ทั้งส่วนที่ทำในระดับภาคใต้ขยายผลไปสู่พื้นที่ชุมชน และเป็นต้นแบบสำหรับภาคอื่นๆ

“ ต้องขอบคุณทุกภาคีเครือข่าย และพี่น้องภาคใต้ทุกคนที่เรามีเป้าหมายเดียวกัน และเราก็จะก้าวเดินไปด้วยกัน เพื่อให้เกิดความสุขเพื่อคนใต้ทั้งมวล ” นพ.สุเทพ กล่าว

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวว่า 20 ปี ในการขับเคลื่อนงานนโยบายสาธารณะในภาคใต้เพื่อความสุขของคนใต้ โดยอาศัยพลังวิถีถิ่นใต้ ในการเป็นพลังเพื่อไปสู่สุขภาวะแห่งอนาคต แม้ว่าวันนี้เราจะมีสุขแล้ว แต่เราจะอยากให้สุขนั้นเผื่อแผ่ไปกับคนที่มากขึ้นในภาคใต้ และใช้พลังของคนใต้ที่มีพหุวัฒนธรรมในการขับเคลื่อนร่วมกัน ทั้งเรื่องความมั่นคงทางอาหาร, ความมั่นคงทางสุขภาพ, ความมั่นคงทางมนุษย์ และความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ในขณะที่ นายทรงกลด สว่างวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กล่าวว่า จ.ตรังได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานสร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 14 ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดตรังในฐานะเมืองแห่งความสุขและความหลากหลายทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม รวมถึงมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า จ.ตรังพร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนงานสุขภาวะในทุกมิติ ทั้งงบประมาณ กลไกความร่วมมือ และการอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกัน และร่วมขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบายที่ได้ในงานสร้างสุขภาคใต้ เพื่อผลักดันสู่แผนพัฒนาภาคใต้ งานสร้างสุขภาคใต้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ทุกภาคส่วนในจังหวัดตรังจะได้รวมพลังเพื่ออนาคตของภาคใต้

ทางด้าน นายไมตรี จงไกรจักร์ ตัวแทนเครือข่ายสร้างสุขภาคใต้ และคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เขตพื้นที่ 11 กล่าวว่า ปัจจุบันมีเครือข่ายย่อยกระจายกว่า 137 เครือข่ายใน 14 จังหวัดภาคใต้ มีผลลัพธ์รูปธรรมจากขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะอย่างต่อเนื่องในประเด็นต่างๆ เช่น (1) ประเด็นความมั่นคงทางอาหาร มีการพัฒนาขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนและวนเกษตร เช่น ชุมชนสีเขียว 5 รูปแบบในพื้นที่นำร่อง 21 พื้นที่ทั่วภาคใต้ (2) ประเด็นความมั่นคงทางสุขภาพ ที่ก่อให้เกิดกองทุนส่งเสริมสุขภาวะระดับจังหวัด และคณะกรรมการสุขภาวะระดับจังหวัด เพื่อบูรณาการการแก้ปัญหาปัจจัยเสี่ยง (3) ประเด็นความมั่นคงทางมนุษย์ มีการเตรียมรับมือสังคมสูงวัย ครอบคลุมทุกช่วงวัย โดยมีแผนรองรับ 5 ด้าน ได้แก่ สุขภาพ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม และเทคโนโลยี และ (4) ประเด็นความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยได้ผลักดันพื้นที่พิเศษท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อการอนุรักษ์ เช่น ศาลาด่านโมเดล จ.กระบี่ และ โครงการมะรุ่ยแห่งความสุข จ.พังงา รวมถึงข้อเสนอการจัดการภัยพิบัติ

พร้อมกันนี้ นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ยังเป็นผู้แทนนำกล่าว “ประกาศเจตนารมณ์ปลุกพลังเครือข่ายร่วมขับเคลื่อน สู่สุขภาวะแห่งอนาคต สานพลังภาคีเครือข่ายเพื่อภาคใต้แห่งความสุข” เพื่อร่วมประกาศเจตนารมณ์ร่วมสานพลังความร่วมมือ ระหว่างภาครัฐ องค์กรปกครองท้องถิ่น ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายและปฏิบัติการที่มุ่งสู่สุขภาวะของคนใต้โดยใช้กระบวนการขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพ ร่วมกับการใช้เครื่องมือทางนโยบายในการกำหนดทิศทาง วางแผนการพัฒนา และติดตามผลการขับเคลื่อนข้อเสนอนโยบายของภาคเครือข่ายคนใต้สร้างสุข เชื่อมร้อยและยกระดับข้อเสนอจากพื้นที่ให้เป็นนโยบายสาธารณะ โดยใช้ยุทธศาสตร์ไตรพลังบนฐานความรู้ วิชาการ และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ ความมั่นคงทางมนุษย์ ความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายภาคใต้แห่งความสุข และขับเคลื่อนสังคมแห่งความสุขอย่างยั่งยืน



/////////////////////////////////////


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
กลุ่มงานสื่อสารสังคม สช.
โทร. 02-8329141

🌴🦖 ททท.กระบี่ ชวนเที่ยวตามรอยภาพยนต์ “Jurassic World Rebirth” เปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่กระบี่! 🦖 🌴 โดยจัดกิจกรรมพิเศษพาส...
15/08/2025

🌴🦖 ททท.กระบี่ ชวนเที่ยวตามรอยภาพยนต์ “Jurassic World Rebirth” เปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่กระบี่! 🦖 🌴

โดยจัดกิจกรรมพิเศษพาสื่อมวลชนและผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ ร่วมทดสอบเส้นทาง “ตามรอยภาพยนตร์ฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์ Jurassic World Rebirth”! 🎬✨

📍 นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวไฮไลต์ 3 จุดจาก 9 สถานที่ถ่ายทำในกระบี่
🚣‍♀️ คลองหรูด-น้ำใส – พายคายัคชมวิวธรรมชาติท่ามกลางภูเขาสวยเอกลักษณ์
🏛 Private Gallery Jurassic World Rebirth – ชมคอลเลกชัน & Props จากหนัง พร้อมเล่าเรื่องฉากถ่ายทำเทียบช็อตต่อช็อต
🪨 ถ้ำโต๊ะหลวง – จุดถ่ายทำสุดโดดเด่นที่ขึ้นปกนิตยสาร อสท. เดือนกรกฎาคม
🌟 กิจกรรมนี้ไม่เพียงโปรโมทเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ แต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ และกระจายนักท่องเที่ยวจากแหล่งหลักสู่แหล่งรองในช่วง Green Season 🍃

📸 เตรียมกล้องให้พร้อม แล้วออกไปตามรอย JURASSIC ในสไตล์คุณ!
#ตามรอยภาพยนตร์ #ตามรอยจูราสิคกระบี่

🌴🦖 TAT Krabi invites you to explore the Hollywood filming trail of “Jurassic World Rebirth”! 🎬✨

📍 Featuring 3 highlight spots from 9 stunning filming locations in Krabi:
🚣‍♀️ Khlong Root – Nam Sai – Kayak through crystal-clear water surrounded by uniquely beautiful mountain scenery.
🏛 Private Gallery: Jurassic World Rebirth – Discover exclusive collections & props from the movie, with behind-the-scenes stories and shot-by-shot scene comparison.
🪨 Tham To Luang Cave – A striking filming site featured on the cover of Osotho Magazine (July issue).

📸 Get your camera ready and create your own Jurassic adventure in Krabi!

กระบวนการ ‘HIA’ ภายใต้กฎหมายใหม่ภาคปชช.มุ่งดัน ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ’หวังใช้นวัตกรรมแก้ปัญหาถึงรากฐานเวที “HIA Forum 2025” ...
15/08/2025

กระบวนการ ‘HIA’ ภายใต้กฎหมายใหม่
ภาคปชช.มุ่งดัน ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ’
หวังใช้นวัตกรรมแก้ปัญหาถึงรากฐาน

เวที “HIA Forum 2025” จัดเสวนาอัปเดตสถานการณ์ฝุ่นควันพิษ PM2.5 พร้อมความคืบหน้าการผลักดัน “ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ” ชี้กฎหมายฉบับภาคประชาชนมุ่งใช้นวัตกรรมแก้ไขปัญหาถึงฐานราก แตกต่างจากฉบับอื่นที่อาจไม่กล้าออกจากกรอบ พร้อมเชื่อมโยงเครื่องมือการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ “HIA” ให้สิทธิประชาชนมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาอย่างมีความหมาย

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และหน่วยงานภาคีเครือข่าย ร่วมจัดเสวนาหัวข้อ “การแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างยั่งยืน: มาตรการด้านกฎหมายและการปกป้องสุขภาพระดับท้องถิ่นและระดับชาติ และ พ.ร.บ.อากาศสะอาด” ภายในเวทีการประชุมวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ พ.ศ. 2568 (HIA FORUM 2025) เพื่อเป็นการอัปเดตสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 รวมทั้งความคืบหน้าในการขับเคลื่อนร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ไปจนถึงความสอดรับกับเครื่องมือการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ (HIA) ตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550

รศ. ดร.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนายกสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ และรองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... คนที่หนึ่ง เปิดเผยว่า ทางสมาคมฯ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันทำงานของกลุ่มจิตอาสา สื่อ ภาคประชาสังคม รวมทั้งนักวิชาการหลากสาขา ที่รู้สึกไม่ยอมทนกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังและภาครัฐจัดการได้อย่างไม่ทันท่วงที จึงเดินหน้าทำงานด้านวิชาการ โดยยกร่างกฎหมายฉบับประชาชน พร้อมสร้างความตื่นรู้ด้านสิทธิ และขับเคลื่อนทางสังคม เพื่อเสนอทางออก โดยมุ่งเน้นการยกระดับจากการจัดการมลพิษทางอากาศ (Air Pollution) ไปสู่การจัดการอากาศสะอาด (Clean Air)
รศ. ดร.คนึงนิจ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่พยายามสะท้อนคือปัญหามลพิษทางอากาศนั้น เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีเรื่องอีกมากมายอยู่ภายใต้ก้อนภูเขาน้ำแข็ง แต่ที่ผ่านมาภาครัฐมักแก้ไขในเชิงสถานการณ์ แต่ไม่ได้แก้ไปถึงฐานราก ซึ่งกฎหมายฉบับภาคประชาชนนี้เป็นการนำเอาความรู้มาขับเคลื่อนสังคม โดยออกแบบนวัตกรรมการจัดการไว้มากมาย ทั้งประเด็นของ HIA การมีดัชนีอากาศเพื่อสุขภาพ (AQHI) การกำหนดศักยภาพการรองรับของพื้นที่ (Carrying capacity) ระบบพลเมืองเฝ้าระวังและแจ้งเตือน (Citizen monitoring) การแบ่งพื้นที่เขตเฝ้าระวังมลพิษ เขตประสบมลพิษทางอากาศ รวมถึงการจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด เพื่อทำให้ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายได้อย่างแท้จริง เป็นต้น
“เราเดินทางมาไกลตั้งแต่ปี 2563 แต่เมื่อยื่นเสนอไปทางสภาฯ ชี้ว่าเป็นกฎหมายการเงิน จึงต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลก่อน ปรากฏว่ากฎหมายถูกดองอยู่นานมาก มีการเปลี่ยนตัวนายกฯ ยุบสภา แต่สุดท้ายเมื่อเลือกตั้งมีรัฐบาลใหม่เข้ามา ก็ต้องขอบคุณที่มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ โดยปัจจุบันรวมอยู่ในการพิจารณาเป็น 1 ใน 7 ฉบับ ซึ่งแต่ละฉบับก็มีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะฉบับของเราที่มีนวัตกรรมเยอะ เพราะต้องไปแก้ในหลาย Pain Point แต่หลายคนที่ยังไม่กล้าออกจาก Comfort Zone ก็อาจไม่ชอบ อยากใช้กฎหมายเดิมๆ มากกว่า” รศ. ดร.คนึงนิจ กล่าว

นายไพสิฐ พาณิชย์กุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวว่า หาก ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. ผ่านออกเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ได้ จะทำให้เกิดผลอย่างสำคัญต่อกระบวนการ HIA ได้แก่ 1. การทำให้เกิดระบบนิเวศใหม่ (Ecosystem) ที่เหมาะและเอื้อต่อการสนับสนุนกระบวนการ HIA ผ่านการสถาปนาสิทธิในอากาศสะอาด พร้อมกำหนดหน้าที่ของรัฐและประชาชนในการปกป้อง คุ้มครอง และป้องกันอากาศที่มีคุณภาพดี และให้หน่วยงานรัฐต้องแก้ปัญหามลพิษที่แหล่งกำเนิดด้วย
นายไพสิฐ กล่าวว่า ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังจะมีการทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบจัดการมลพิษทางอากาศใหม่ รวมถึงจะมีการสร้างเครื่องมือที่จะเข้าไปรับรองการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของภาคประชาชนอย่างมีความหมาย ไม่ใช่ให้เกิดเป็นพิธีการเหมือนที่ผ่านมา และสุดท้ายซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก และเป็นหัวใจของกฎหมายฉบับนี้ด้วยก็คือ การทำให้เกิดระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ
2. ร่างกฎหมายฉบับนี้มีการนำกระบวนการ HIA เข้าไปสู่กระบวนการในการแก้ไขมลพิษทางอากาศ ทั้งการบรรจุเป็นองค์ประกอบสำคัญในการบริหารจัดการมลพิษทางอากาศ กำหนดให้ประชาชนเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานอากาศสะอาด ซึ่งจะมีบทบาทในการเฝ้าระวัง ติดตาม และริเริ่มในเข้าไปตรวจสอบได้ อีกทั้งจะมีสิทธิในการฟ้องร้องทางคดีด้วย อันเป็นการทำให้ผู้ที่ทำกระบวนการ HIA เข้าไปอยู่ในระบบกฎหมาย มากไปกว่านั้น ยังมีการเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ และกำหนดมาตรฐานคุณภาพทางอากาศ และดัชนีอีกหลายเรื่อง โดยแยกตามความละเอียดของแต่ละพื้นที่ตามแหล่งมลพิษที่เกิดขึ้น รวมถึงมีการจำแนกมลพิษทางอากาศ
“ที่สำคัญอีกส่วนยังมีการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการในการจัดการมลพิษทางอากาศตั้งแต่ระดับชาติไปจนถึงระดับท้องถิ่น ตลอดจนกำหนดให้มีระบบเฝ้าระวัง ติดตาม และแจ้งเตือน รับเรื่องร้องเรียน พร้อมกับประกาศเขตเฝ้าระวัง/เขตมลพิษ และสุดท้ายคือการให้สิทธิทางศาลสำหรับผู้ก่อมลพิษด้วย เหล่านี้คือหลักการของกระบวนการ HIA ที่ไปเชื่อมโยงกับร่างกฎหมายฉบับใหม่” นายไพสิฐ กล่าว

น.ส.กาญจนา สวยสม ผู้อำนวยการส่วนคุณภาพอากาศ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า บทบาทหลักของ คพ. คือ การเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ เช่น คุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศ ฯลฯ รวมถึงการจัดทำมาตรการและแผนเพื่อควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ อย่างล่าสุด คือ แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเรื่องการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568 – 2570 ที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งมีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2568
ทั้งนี้ การกำหนดมาตรการควบคุมที่สำคัญ ทาง คพ. จะมุ่งเน้นไปที่การควบคุมที่แหล่งกำเนิดมลพิษ เพื่อป้องกัน มากกว่าแก้ไขที่ปลายเหตุ ดังนั้นในแต่ละช่วงปีจะมีมาตรการเฉพาะให้เหมาะสมกับปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละปี ทว่าก็ยังทำได้ค่อนข้างยาก เพราะรัฐไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง โดยต้องมีการขับเคลื่อนร่วมกันทั้งองคาพยพ ผ่านการประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ กระทรวงต่างๆ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ
“คพ. ยังเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ผ่านการยกร่าง พ.ร.บ. ฉบับของภาครัฐ ที่เป็นการผสมผสานทุกร่างเอามารวมกัน ซึ่งก็เสนอเข้า ครม. ไปแล้ว โดยถ้าร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ผ่านออกมา คพ. จะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยอีกสักระยะอาจไม่มีชื่อกรมควบคุมมลพิษ แต่จะมีชื่อใหม่เกิดขึ้นคือ สำนักงานบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด” ผอ.ส่วนคุณภาพอากาศ คพ. กล่าว
น.ส.กาญจนา กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ล่าสุดในปี 2568 นี้ ช่วงที่เกิดวิกฤต PM2.5 ซึ่งประเทศไทยมักเจอในช่วงปลายปีจนถึงต้นปี จากผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศ 74 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่าไทยมีฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยทั้งประเทศคือ 28 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งแม้จะดูเหมือนค่าเฉลี่ยจะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน 24 ชั่วโมง แต่ถ้าไปดูลึกๆ ค่าเฉลี่ยรายวันยังมีวันที่เกินมาตรฐานอยู่ อย่างกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีจำนวนวันที่เกินมาตรฐาน 183 วัน ส่วนภาคเหนือ 163 วัน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากหลายส่วน ทั้งคมนาคม ไฟป่า พื้นที่เผาไหม้

ด้าน นายสนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ กล่าวว่า ฝุ่นควันพิษนั้นมีหลายประเภท ตั้งแต่ขนาด PM10 ซึ่งเป็นฝุ่นควันจากการก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ จะเข้าไปได้ถึงบริเวณขั้วปอด ส่วนขนาด PM2.5 ซึ่งเป็นฝุ่นควันจากการเผาไหม้ จะเริ่มมีขนาดเล็กจนทะลุเข้าไปในถุงลมปอด แต่หากเล็กลงไปถึง PM0.1 จะสามารถทะลุทะลวงเข้าเส้นเลือดได้ เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจหรือมะเร็ง ซึ่งฝุ่นเล็กขนาดนี้พบว่าส่วนใหญ่มีที่มาจากไอเสียรถยนต์เครื่องดีเซล
นายสนธิ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศตั้งแต่ปี 2555 ว่าไอเสียจากรถยนต์ดีเซลเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 ที่ทำให้มนุษย์เป็นมะเร็ง ซึ่งสารในไอเสีย เช่น เขม่า ละอองฝุ่น ละอองโลหะ ฯลฯ เมื่อออกมาสู่อากาศที่เย็นกว่าจะรวมตัวเป็นละอองควันสีดำ โดยในองค์ประกอบของควันดำที่ปล่อยออกมาจากไอเสียของเครื่องยนต์ดีเซลเกือบทั้งหมดหรือ 92% คือฝุ่นขนาด PM0.1 หรือที่เรียกว่า Ultrafine particles ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีการตรวจวัดเป็นการเฉพาะ ยังวัดได้เพียงฝุ่นขนาด PM2.5 เท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนต้องตระหนักทุกครั้งเมื่อเดินริมถนนล้อมรอบด้วยตึกสูง การจราจรติดขัด แล้วสูดดมควันจากรถยนต์เข้าไป กำลังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

////////////////////////

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
กลุ่มงานสื่อสารสังคม สช.
โทร. 02-8329141

📌เปิดฉาก ‘HIA Forum 2025’ชูบทบาท ‘ท้องถิ่น’ สร้างสุขภาวะด้วยกลไกประเมินผลกระทบสุขภาพ เวที “HIA Forum 2025” เปิดฉากวันแรก...
14/08/2025

📌เปิดฉาก ‘HIA Forum 2025’
ชูบทบาท ‘ท้องถิ่น’ สร้างสุขภาวะ
ด้วยกลไกประเมินผลกระทบสุขภาพ

เวที “HIA Forum 2025” เปิดฉากวันแรกคึกคัก “ม.ธรรมศาสตร์” เป็นเจ้าภาพหลัก ชูประเด็นเน้นบทบาท “ท้องถิ่น” พัฒนาพื้นที่บนการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม-สุขภาวะดี ด้าน สช. พร้อมหน่วยงานภาคี ระดมพลังกว่า 800 ชีวิตร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เปิดประสบการณ์-มุมมองต่อกระบวนการเครื่องมือ “ประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ” ภายใต้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติฯ

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และหน่วยงานภาคีเครือข่าย ร่วมจัดการประชุมวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ พ.ศ. 2568 (HIA FORUM 2025) “HIA กับการพัฒนาท้องถิ่นเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะที่ยั่งยืน” ระหว่างวันที่ 14-15 ส.ค. 2568 ณ อาคารอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เพื่อเป็นพื้นที่สำคัญของการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และมุมมองใหม่ๆ ในการพัฒนาแนวทางการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) ซึ่งเป็นเครื่องมือภายใต้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550
สำหรับเวที HIA FORUM 2025 ครั้งนี้นับเป็นการจัดขึ้นครั้งที่ 4 โดยมีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มธ. เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลัก ซึ่งกิจกรรมตลอดทั้งสองวันประกอบด้วยเวทีเสวนา และการบรรยายในหลากหลายหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับกลไก HIA การแสดงบูธนิทรรศการและนำเสนอผลงานวิชาการ จากองค์กรภาคีภาคส่วนต่างๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งภาควิชาการจากเครือข่ายสถาบันวิชาการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA Consortium) ทั้ง 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมในสถานที่ (on-site) อย่างคึกคักมากกว่า 800 คน รวมทั้งผู้ที่เข้าร่วมผ่านระบบทางไกล (online) อีกจำนวนมาก
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า โลกในยุคปัจจุบันเผชิญกับความท้าทายจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ไปจนถึงประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลให้เกิดภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤต ซึ่งส่วนตัวมีมุมมองว่าการจะรับมือและก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ ไปได้นั้น นอกจากที่จะต้องอาศัย ‘ความรู้’ แล้วอีกส่วนหนึ่งยังต้องใช้ ‘ความรัก’ ซึ่งหมายถึงความร่วมมือร่วมใจ การมีความช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน เพื่อที่จะก้าวผ่านปัญหาไปได้ดังเช่นตัวอย่างจากสถานการณ์โควิด-19
นพ.สุเทพ กล่าวว่า สำหรับกระบวนการ HIA เองถือเป็นเครื่องมือที่มีความคล้ายคลึงกันในการผสานทั้งสองส่วน คือนอกจากที่จะใช้องค์ความรู้ โดยมีกฎหมายรองรับคือมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติฯ แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความรักความสามัคคี พร้อมที่จะนำเครื่องมือ HIA ไปใช้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในชุมชนและพื้นที่ได้ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้เป็นเครื่องมือในการสร้างสุขภาวะที่ดี หรือสุขภาพในความหมายที่กว้างขึ้นครอบคลุมทั้งมิติของกาย จิตใจ สังคม และปัญญา
นพ.สุเทพ กล่าวอีกว่า ในส่วนของงาน HIA Forum ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องโดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมหาวิทยาลัยเจ้าภาพ มีจุดประสงค์เพื่อสร้างบรรยากาศในการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและองค์ความรู้ รวมถึงทำให้เกิดการร่วมมือเป็นภาคีเครือข่าย สร้างการมีส่วนร่วมเพื่อขับเคลื่อนกลไก HIA ไปสู่การมีสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะที่ยั่งยืน โดยปีนี้ได้มีการมุ่งเน้นไปที่บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการร่วมขับเคลื่อนสู่เป้าหมายให้เกิดเมืองที่มีสุขภาวะดี

รศ. นพ.พฤหัส ต่ออุดม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เวที HIA FORUM ถือเป็นโอกาสสำคัญของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ปฏิบัติงาน และหน่วยงานภาคส่วนต่างๆ ที่จะนำไปสู่การพัฒนากลไกการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพที่เข้มแข็ง สามารถประยุกต์ใช้ในระดับพื้นที่ได้อย่างแท้จริง ซึ่งแนวคิดของการจัดเวที HIA FORUM 2025 ครั้งนี้ มีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ มธ. ที่มุ่งสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยสุขภาวะดีแห่งอนาคต” โดยการส่งเสริมการใช้ข้อมูลทางสุขภาพเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย ยกระดับบริการสุขภาวะด้วยนวัตกรรม และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาคมมหาวิทยาลัยและสังคมโดยรอบ
รศ. นพ.พฤหัส กล่าวว่า นับเป็นบทบาทหน้าที่โดยตรงของมหาวิทยาลัย ในการสนับสนุนเรื่องขององค์ความรู้ บริการวิชาการ เมื่อมาผนวกกับ อปท. ที่มีบทบาทรับผิดชอบในการดูแลพื้นที่ต่างๆ โดยตรง จะเป็นประโยชน์ต่อการนำเอาองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย กลับไปตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาในระดับท้องถิ่น ตลอดจนการร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่นโยบายระดับชาติต่อไปได้

ขณะที่ นพ.ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย สธ. กล่าวว่า กรมอนามัย ตระหนักถึงความสำคัญของ HIA ซึ่งนับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างรอบด้าน เพื่อทราบถึงผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระดับโครงการ ระดับนโยบาย รวมถึงในระดับท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด โดยกรมอนามัยได้ส่งเสริมให้มี HIA ในระดับท้องถิ่น ผ่านกระบวนการพัฒนาคุณภาพระบบบริการอนามัยสิ่งแวดล้อม (EHA) นอกจากนี้ยังมีการบูรณาการประเด็นสุขภาพเข้าไปในการดำเนินงานของ อปท. ผ่านแนวคิด ‘เมืองสุขภาพดี’ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเมืองโดยคำนึงถึงสุขภาพของประชาชนเป็นศูนย์กลาง
นพ.ธิติ กล่าวว่า ในปัจจุบันมี อปท. ขับเคลื่อนสู่เมืองสุขภาพดีจำนวนทั้งสิ้น 422 แห่ง ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึงบริการด้านส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพ และอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี โดยกรมฯ มีเป้าหมายให้เกิดเมืองสุขภาพดีอย่างน้อย 1,000 แห่ง ภายในปี 2570 ซึ่งภายในเวที HIA Forum ครั้งนี้ยังได้จัดให้มีพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ อปท. และส่งเสริมการดำเนินงานดังกล่าวด้วย

ด้าน ผศ. ดร.สร้อยสุดา เกสรทอง คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ทาง สช. ได้เล็งเห็นความสำคัญถึงบทบาทของนักวิชาการและสถาบันการศึกษา จึงได้จัดให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ด้าน HIA ร่วมกับภาคีเครือข่ายทางวิชาการมาตั้งแต่ปี 2551 ก่อนที่จะมีการจัดเวทีประชุม HIA Forum ขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2565 โดยมีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นเจ้าภาพ ครั้งที่สอง ปี 2566 มีสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นเจ้าภาพ ครั้งที่สาม ปี 2567 มีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นเจ้าภาพ และครั้งที่สี่ ในปีนี้ ซึ่งทางคณะฯ ของ มธ. เป็นเจ้าภาพ
“HIA เป็นเครื่องมือหนึ่งในการทำให้ชุมชนและทุกภาคส่วน คำนึงถึงเรื่องของสุขภาพในการพัฒนาโครงการหรือแผนงานต่างๆ ปรับเปลี่ยนวิธีคิดนอกจากมิติของเศรษฐกิจ สังคม ไปสู่ในเชิงของสุขภาพ สภาพแวดล้อม การสร้างความยั่งยืนให้กับพื้นที่มากขึ้น ซึ่ง มธ. เองที่มีพันธกิจในการรับใช้สังคม และมุ่งเน้นในเรื่องของความยั่งยืน ทางคณะฯ จึงมีการขับเคลื่อนทั้งในเชิงวิชาการ โดยหลักสูตรของคณะฯ ไม่ว่าปริญญาตรี โท เอก เราให้นักศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับ HIA เพื่อมีแนวคิดในการมองบริบทด้านสุขภาพแบบองค์รวม นอกจากนี้ยังมีในเชิงของวิจัย โดยดำเนินการร่วมกับ อปท. ชุมชน เพื่อสร้างองค์ความรู้และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น เหมือง ขยะชุมชน โรงไฟฟ้า ภัยพิบัติ ฯลฯ


////////////////////////////////////


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
กลุ่มงานสื่อสารสังคม สช.
โทร. 02-8329141

💗นำร่อง ‘นครปฐม’ ต้นแบบลด ‘NCDs’‘อนุชา’ ผุดสายตรวจในโรงเรียนให้ นร.แจ้งหากพบอาหาร ‘หวาน มัน เค็ม’ “รมช.อนุชา” เป็นประธาน...
14/08/2025

💗นำร่อง ‘นครปฐม’ ต้นแบบลด ‘NCDs’
‘อนุชา’ ผุดสายตรวจในโรงเรียน
ให้ นร.แจ้งหากพบอาหาร ‘หวาน มัน เค็ม’

“รมช.อนุชา” เป็นประธานการลงนามความร่วมมือ “ลดโรคไม่ติดต่อ NCDs” ภายในสถานศึกษา จ.นครปฐม มุ่งดึงพลังเด็ก-เยาวชนกว่า 1.2 แสนชีวิต เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม-ลดปัจจัยเสี่ยง หวังปลูกฝังจากรั้วโรงเรียนก่อนถ่ายทอดสู่ครอบครัว เผยเตรียมคัดเลือกนักเรียนแต่งตั้งเป็น ‘สายตรวจ NCDs’ คอยสอดส่องอาหารภายในโรงเรียน พร้อมแจ้งเมื่อมี “หวาน มัน เค็ม” มากเกิน

เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2568 นายอนุชา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และรองประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือในการพัฒนาระบบสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ด้วยธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษาพื้นที่ จังหวัดนครปฐม ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาภายในจังหวัด ณ โรงเรียนราชินีบูรณะ (เทพผดุงพร) อ.เมือง จ.นครปฐม

สำหรับ MOU ดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการสานพลังสถานศึกษาในพื้นที่ จ.นครปฐม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ ปรับพฤติกรรม ลดปัจจัยเสี่ยงจากโรค NCDs อย่างยั่งยืน ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ภายใต้นโยบายคนไทยห่างไกล NCDs ของ สธ. รวมไปถึงกรอบทิศทางนโยบายของ สมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วย การสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและสังคม เพื่อลดโรคไม่ติดต่อ และธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2565

นายอนุชา เปิดเผยว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญของโรค NCDs มาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทานอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม ในวันนี้จึงจะมุ่งเป้ามายังสถานศึกษาเป็นพื้นที่สำคัญของการเริ่มต้นปลูกฝังพฤติกรรมการลดปัจจัยเสี่ยงเพื่อลดโรค NCDs ซึ่งเชื่อว่าโรงเรียนราชินีบูรณะ รวมถึงเด็กและเยาวชนกว่า 1.2 แสนชีวิตใน จ.นครปฐม จะเป็นพลังสำคัญของการขับเคลื่อนและสามารถเป็นต้นแบบเพื่อขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไปได้
“เราปรารถนาอยากให้เยาวชนเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้โรค NCDs หายไป หรือลดลงเหลือให้น้อยที่สุด โดยเริ่มจากครัวของเราคืออาหารในโรงเรียน อย่างไรก็ตาม อาหารในโรงเรียนเราก็คงเคร่งได้เพียงมื้อเที่ยงมื้อเดียวเท่านั้น แต่อีกสองมื้อนั้นไปตกอยู่ที่บ้าน คือตอนเช้าและตอนเย็น รวมถึงพฤติกรรมการกินจุบจิบที่อาจไม่ตระหนักถึงโรคภัย ดังนั้นเราจึงมีความมุ่งมั่นที่จะปลูกฝังให้เยาวชนเป็นผู้ที่มีความตระหนักรู้ แล้วนำสิ่งเหล่านี้ไปเผยแพร่ ไปแนะนำให้กับผู้ปกครองและครอบครัว เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่ทิศทางที่ดีต่อสุขภาพ” รมช.สธ. กล่าว
นายอนุชา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้อำนวยทุกโรงเรียน รวมถึงผู้อำนวยการเขตการศึกษาทุกเขตใน จ.นครปฐม ในการร่วมกันดำเนินการเพื่อปกป้องเยาวชนไม่ให้เจ็บป่วยจากโรค NCDs โดยจะมีการคัดเลือกนักเรียนในทุกโรงเรียนขึ้นมาเป็น ‘สายตรวจ NCDs’ คอยทำหน้าที่สอดส่องสำรวจอาหารภายในโรงเรียน ว่ามีร้านไหน หวาน มัน เค็ม มากเกินไปหรือไม่ แล้วให้รายงานมาที่ นายศุภโชค ศรีสุขจร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 1 จ.นครปฐม ซึ่งตนจะแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสายตรวจ NCDs ร่วมเป็นเครือข่ายที่จะปกป้องสุขภาพเยาวชน และหวังที่จะเป็นโมเดลขับเคลื่อนไปทั่วประเทศต่อไป

ขณะที่ นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องของสุขภาพสามารถส่งผลกระทบกับการศึกษาได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวนักเรียนเอง หากมีสุขภาพที่ไม่ดีคงจะทำผลการเรียนให้ดีได้ลำบาก หรือหากสุขภาพของพ่อ แม่ ผู้ปกครองไม่ดี กระทบเศรษฐกิจรายได้ ก็ส่งผลมาถึงการศึกษาของลูกได้ด้วยเช่นกัน และแม้ประเทศไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษา แต่ค่าเดินทางหรือการที่ต้องสูญเสียรายได้ไปก็เป็นผลกระทบไม่น้อย ดังนั้นหลักการสำคัญก่อนที่ต้องรักษา จึงเป็นการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคเพื่อให้เกิดโอกาสป่วยได้น้อยที่สุด
นพ.สุเทพ กล่าวว่า พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 จึงเกิดขึ้นจากฐานคิดของการสร้างนำซ่อม โดยระบบสุขภาพไม่ใช่เพียงแค่การจัดบริการ แต่ยังมีปัจจัยแวดล้อมอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นสังคมดี สิ่งแวดล้อมดี หรือการมีนโยบายที่ดี ดังนั้นหน่วยงาน สช. จึงเป็นกลไกในการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนมิติต่างๆ ให้คนมีสุขภาพที่ดี หนึ่งในนั้นคือการร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา เป็นข้อตกลงร่วมกันเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อสุขภาพเด็กและเยาวชนภายในโรงเรียนหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพจิต การบูลลี่ หรือบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น
“โรค NCDs ซึ่งเป็นเรื่องของพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม จึงเป็นงานที่ทำคนเดียวไม่สำเร็จ แต่ต้องมาร่วมกันทำเป็นหมู่คณะ ไม่เช่นนั้นต่อไปจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และจุดตั้งต้นของเรื่องนี้ก็คงไม่ใช่ที่โรงพยาบาล เราจะไปรอให้คนอายุมากแล้วมาแก้ก็คงไม่ทัน ดังนั้นจุดสำคัญคือครอบครัว และโรงเรียน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่อายุยังน้อย ให้เคยชินกับการทานที่ไม่ติดรสหวาน มัน เค็ม พวกนี้ลิ้นเราปรับได้แต่อาจต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งโรงเรียนจะเป็นที่ที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้” นพ.สุเทพ กล่าว

ด้าน นพ.สุรชัย โชคครรชิตไชย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม กล่าวว่า พฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนใน จ.นครปฐม ค่อนข้างติดรสหวาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นตั้งแต่ประโยคแรกในคำขวัญประจำจังหวัด โดยการทานหวานมักเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเป็นโรค NCDs ที่ส่วนใหญ่จะมีลำดับไล่ไปจากการเป็นเบาหวาน ความดัน หลอดเลือด มะเร็ง ฯลฯ ส่วนความน่าเป็นห่วงของเด็กไทยในทุกวันนี้ คือมีภาวะโรคอ้วนมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานอาหารหวาน มัน เค็ม เช่น ฟาสต์ฟูด กับอีกส่วนก็มาโรคเครียด เป็นต้น
นพ.สุรชัย กล่าวว่า สำหรับข้อกำหนด 6 ประการ ซึ่งเป็นแนวทางที่อยากให้เด็กและเยาวชนยึดถือไปใช้ เพื่อป้องกันโรค NCDs ได้แก่ 1. อาหาร ลดหวาน มัน เค็ม เลือกทานผักผลไม้หลากสี ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวาน เลี่ยงของทอด ขนมซอง ฯลฯ 2. ออกกำลังกาย ให้ได้อย่างน้อย 30-60 นาทีต่อวัน เป็นประจำอย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ รวมถึงการออกไปกลางแจ้งเพื่อรับแสงแดดบ้าง จะมีส่วนช่วยต่อการเจริญเติบโตด้วย 3. การนอนหลับ ต้องนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน และการนอนที่ดีควรเข้านอนก่อน 22.00 น. ที่สำคัญคืองดการเล่นมือถือหรือดูหน้าจอก่อนนอนอย่างน้อย 30 นาที
4. การจัดการความเครียด ปรึกษาพูดคุยกับเพื่อน ครอบครัว เมื่อเกิดความเครียด ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำกิจกรรมที่ชอบ 5. ความสัมพันธ์ที่ดี การพูดคุยหรือทำกิจกรรมต่างๆ กับพ่อ แม่ เพื่อน 6. หลีกเลี่ยงสารเสพติด ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุหรี่ไฟฟ้า ที่ปัจจุบันเป็นภัยอันตรายที่สามารถเข้าถึงรั้วโรงเรียนได้หลายรูปแบบ

/////////////////////////////////////



สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
กลุ่มงานสื่อสารสังคม สช.
โทร. 02-8329141

ที่อยู่

บ้านทิวเขา
Krabi
81000

เบอร์โทรศัพท์

+66958105655

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ นั่งเทียนนิวส์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง นั่งเทียนนิวส์:

แชร์