แพทย์ทางเลือกและแพทย์บูรณาการ

แพทย์ทางเลือกและแพทย์บูรณาการ เพจสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ ด

สำหรับทุกๆท่านที่รักสุขภาพ
หรือว่าอาจจะสนใจเรื่องการดูแลรักษาการเจ็บป่วยด้วยสมุนไพร
ไม่ว่าจะเป็นหลินจือ,โสม,รากปลาไหลเผื่อก ฯลฯ
หรือว่าหายป่วยด้วยแพทย์ทางเลือกทางใดๆมาแล้วก็ตาม..
มาสนทนากัน,มาแลกเปลี่ยนความรู้กัน
เชิญเลยนะครับ...

ประโยชน์ของลูกหม่อน หรือ มัลเบอร์รี่1. ลดความเสี่ยงของมะเร็งสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกั...
21/04/2025

ประโยชน์ของลูกหม่อน หรือ มัลเบอร์รี่

1. ลดความเสี่ยงของมะเร็ง

สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรง ทั้งยังกระตุ้นการทำงานของเซลล์และป้องกันเซลล์ต่างๆ ในร่างกายไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระที่ไม่ดี มากไปกว่านั้นสารต้านอนุมูลอิสระยังมีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโต หรือลดโอกาสในการเป็นมะเร็ง

ลูกหม่อน หรือ มัลเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) อย่างแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ไซยานิดิน (Cyanidin) ไมริเซติน (Myricetin) กรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic Acid) รูทิน (Rutin) การรับประทานลูกหม่อนอย่างสม่ำเสมอจึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งได้

2. ดีต่อการลดน้ำหนัก

ลูกหม่อนมีไฟเบอร์สูงและให้แคลอรี่ต่ำ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก หรือควบคุมอาหาร โดยไฟเบอร์จะไปทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น ทำให้ไม่หิวบ่อยๆ และไม่ทำให้แคลอรี่พุ่งสูงเพราะมีแคลอรี่ต่ำ สามารถจำกัดหรือควบคุมแคลอรี่ในแต่ละวันได้อย่างสบายใจ

3. ดีต่อสุขภาพตับ

ตับเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อร่างกายของเรา โดยเฉพาะการทำหน้าที่สำคัญในเพื่อกรองสารพิษต่างๆ ทำหน้าที่ในการสลายไขมัน รวมถึงป้องกันการแข็งตัวของเลือดด้วย ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระในลูกหม่อนถือว่าเป็นสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพตับอย่างมาก เนื่องจากมีส่วนช่วยในการล้างสารพิษที่ตับ และยังมีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมไว้ที่ตับ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคไขมันพอกตับ

4. ปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่

ระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูง สามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ และโรคเบาหวานได้ ซึ่งเพื่อป้องกันความเสี่ยงของโรคเรื้อรังเหล่านั้น การให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะกับลูกหม่อนซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง และการกินไฟเบอร์เป็นประจำจะมีส่วนช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือด จึงช่วยป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงได้

5. อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก

แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วธาตุเหล็กมักจะพบได้ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์หรือเครื่องในสัตว์ แต่ในผลไม้ก็อุดมไปด้วยธาตุเหล็กเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะลูกหม่อน ที่ให้ปริมาณของธาตุเหล็กสูงถึง 2.6 มิลลิกรัม (ต่อลูกหม่อนหนึ่งถ้วย) ซึ่งคิดเป็น 14 เปอร์เซ็นต์ต่อปริมาณของธาตุเหล็กที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน

โดยธาตุเหล็กนี้มีประโยชน์ในการช่วยจัดเก็บและขนส่งออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะออกซิเจนต่ำ รวมถึงยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และมีส่วนป้องกันภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ด้วย

🚩ข้อควรระวังในการรับประทาน

ลูกหม่อน หรือ มัลเบอร์รี่ แม้จะให้คุณค่าทางโภชนาการสูง และมีส่วนช่วยป้องกันอาการทางสุขภาพต่างๆ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังบางประการเกี่ยวกับลูกหม่อนที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะถ้าหากมีอาการแพ้ลูกหม่อน หรือแพ้ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ซึ่งถึงแม้จะพบได้น้อย แต่ก็ควรระวัง และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานลูกหม่อน เพื่อป้องกันไม่ให้อาการแพ้กำเริบ
Credit : https://www.sanook.com/health/25241/

5 ข้อควรรู้ก่อนทานทุเรียน1. ทุเรียน เป็นผลไม้ที่แคลอรี่สูง เพราะทุเรียน 4-6 เม็ด ให้ปริมาณแคลอรี่ถึง 400 กิโลแคลอรี่ เที...
19/04/2025

5 ข้อควรรู้ก่อนทานทุเรียน

1. ทุเรียน เป็นผลไม้ที่แคลอรี่สูง เพราะทุเรียน 4-6 เม็ด ให้ปริมาณแคลอรี่ถึง 400 กิโลแคลอรี่ เทียบเท่าน้ำอัดลม 2 กระป๋อง หรือข้าว 1 จานเต็มๆ เพราะฉะนั้นทานเพลินระวังน้ำหนักขึ้นนะเออ

2. ทุเรียน มีปริมาณน้ำตาลสูงมากอีกเช่นกัน ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง

3. นอกจากผู้ป่วยโรคเบาหวานแล้ว ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง หัวใจ เส้นเลือด และไขมันในเลือด ควรทานทุเรียนให้น้อยที่สุด

4. ทุเรียน เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อน ทานเพียวๆ ก็มีฤทธิ์ร้อนอยู่แล้ว หากทานพร้อมกับแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเหล้า เบียร์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใดๆ ก็ตาม จะยิ่งทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายมากขึ้น ร่างกายจะเกิดความร้อนสูง จนถึงขั้นเสียชีวิตได้

5. ในเมื่อทุเรียนให้พลังงานสูง ดังนั้นมื้อใด หรือวันไหนที่ทานทุเรียน ควรหลีกเลี่ยงอาหารอื่นๆ ที่ให้พลังงานสูงด้วยเช่นกัน เช่น อาหารประเภททอด อาหารที่ปรุงด้วยกะทิ อาหารหวานมันอื่นๆ หรือลองลดปริมาณอาหารลงส่วนหนึ่งในมื้อถัดไป ถ้าเป็นไปได้ควรออกกำลังกายเพิ่มด้วย เพื่อเผาผลาญพลังงานที่ได้รับเพิ่มเข้าไป

เราไม่ได้ห้ามว่า ห้ามทานทุเรียน แต่ก่อนทานทุเรียนจะต้องมีสติให้มากๆ รู้ตัวว่าทานไปมากเท่าไรแล้ว ห้ามปากห้ามใจตัวเองได้ พร้อมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากทำได้ตามนี้ รับรองว่าทานทุเรียนได้อิ่มอร่อย ปลอดภัยต่อร่างกาย ไม่มีเรื่องต้องกังวลใจแน่นอนค่ะ
Credit : https://www.sanook.com/health/3441/

8 สูตรสมุนไพรแก้ "เจ็บคอ" อร่อยดี มีประโยชน์ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก หลายๆ คนที่สุขภาพเคยแข็งแร...
09/05/2024

8 สูตรสมุนไพรแก้ "เจ็บคอ" อร่อยดี มีประโยชน์

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก หลายๆ คนที่สุขภาพเคยแข็งแรงก็กลับอ่อนแอลง ทั้งเป็นหวัด คัดจมูก มีไข้ หรือแม้แต่มีอาการเจ็บคอให้กังวลใจ วันนี้เรามีความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการบรรเทาอาการเจ็บคอแบบได้ผล ประหยัด ทำได้ง่ายมากๆ และที่สำคัญ เป็นสูตรจากธรรมชาติ มาฝากกัน

1. น้ำ+เกลือ
สูตรมรดกตกทอดกันมานานเลยทีเดียวสำหรับการใช้น้ำอุ่น (1ถ้วย) + เกลือ (1/4 ช้อนชา) นำมากลั้วคอสักพัก ก่อนจะบ้วนทิ้ง น้ำอุ่นกับเกลือจะช่วยลดเชื้อแบคทีเรียตัวร้าย อาการเจ็บคอจึงลดลงไปด้วย

2. น้ำผึ้ง + มะนาว + ขิง + น้ำ
เพิ่มความเข้มข้นกันสักนิด สำหรับใครที่เจ็บคอมากหน่อย ลองใช้ น้ำผึ้ง (1 ช้อนชา) + น้ำมะนาว (ประมาณครึ่งซีก) + น้ำขิง ( 1 ช้อนชา) + น้ำอุ่น เสร็จแล้ว นำมากลั้วคอสักพัก น้ำผึ้งจะช่วยกำจัดเชื้อไวรัส และ แบคทีเรียที่มาสร้างความระคายเคืองให้กับคอของเรา และน้ำมะนาวจะช่วยให้ลำคอชุ่มชื่น จะช่วยในเรื่องการรักษาโรคภูมิแพ้ สูตรนี้นอกจากจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ดีแล้ว ยังช่วยให้สดชื่น และลำคอโล่งขึ้นเยอะเลย

3. พริกป่น + น้ำ
สูตรนี้เหมาะสำหรับคนใจเด็ด ใช้พริกป่น (2 ช้อนชา) + น้ำร้อน 1 ถ้วย เช่นเคยค่ะ นำมากลั้วคอสัก 15 นาที ด้วยความเผ็ดร้อนของพริกจะช่วยไปบรรเทาอาการเจ็บคอได้ โดยพริกจะทำหน้าที่เป็นเหมือนยาแก้อักเสบกลายๆ เมื่อลดอาการอักเสบได้คอของเราก็จะกลับมาแข็งแรงได้โดยไว ห่างหายจากอาการไอ อาการเจ็บคอ

4. กานพลู + น้ำ
สูตรนี้หอมเป็นพิเศษ ลองหากานพลูแบบอบแห้ง นำมาบดให้ละเอียด สูตรนี้จะใช้ กานพลูบดละเอียด (2 ช้อนชา) + น้ำร้อน 1 ถ้วย นำมากลั้วคอ อาจจะกลั้วบ่อยสักนิดนะคะ กานพลูมีสารต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยลดอาการอักเสบ

5. ขมิ้นชัน + เกลือ + น้ำ
ลองหาขมิ้นชัน จะเป็นแบบที่บดแล้ว หรือแบบที่เป็นผงก็จะสะดวกดี สูตรนี้จะใช้ ขมิ้นชัน ( 1 ช้อนชา) + เกลือ ( 1 ช้อนชา) + น้ำร้อน 1 ถ้วย ได้ส่วนผสมแล้วก็นำมากลั้วคอสักพัก คุณสมบัติของขมิ้นชั้นนี้เป็นเสมือนสารต้านอนุมูลอิสระอย่างดี ส่วนเกลือก็จะช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย จึงเป็นอีกสูตรที่จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ดีทีเลยเดียว

6. แอปเปิ้ลไซเดอร์ + เกลือ
สูตรนี้จะเหมาะกับคนที่เจ็บคอ และมีอาการไอร่วมด้วย ลองใช้ แอปเปิ้ลไซเดอร์ (1ช้อนชา) + น้ำร้อน 1 ถ้วย แล้วนำมากลั้วคอสักพัก แอปเปิลไซเดอร์จะไปช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อโรคบางชนิดในคอของเรา จึงช่วยลดอาการเจ็บคอ และยังทำให้ไอน้อยลงด้วย

7. ชาเขียวร้อน
สูตรนี้ไม่มีส่วนผสมอะไรมาก ใช้เพียงชาเขียวกับน้ำร้อนมาจิบ ใช้ชาที่เข้มข้นสักหน่อย แล้วใช้วิธีการจิบไปเรื่อยๆ ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดอาการติดเชื้อ แค่จิบชาเขียวบ่อยๆ เรื่อยๆ น้ำอุ่นๆ จะช่วยละลายเสมหะ ทำให้หายเจ็บคอไปในที่สุด

8. ชาราสเบอร์รี
นอกจากชาเขียวแล้ว ชาราสเบอร์รี่ก็ช่วยได้ ลองชงชาราสเบอร์รี่มาจิบ หรือจะนำมากลั้วคอก็ได้ ชาราสเบอร์รี่นอกจากจะมีกลิ่นหอมหวนชวนรับประทานแล้ว ยังมีคุณสมบัติในการป้องกัน และบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก สมานแผล จึงเหมาะกับการนำมาทานแก้เจ็บคอ
ขอขอบคุณข้อมูล : ไลฟ์เซ็นเตอร์บล็อก

ว่านจักจั่น สมุนไพรล้ำค่า หรือแค่ซากสัตว์ขึ้นรา?กำลังเป็นที่นิยม และพูดถึงอยู่ในโลกออนไลน์กันอย่างมาก สำหรับ “ว่านจักจั่...
07/05/2024

ว่านจักจั่น สมุนไพรล้ำค่า หรือแค่ซากสัตว์ขึ้นรา?
กำลังเป็นที่นิยม และพูดถึงอยู่ในโลกออนไลน์กันอย่างมาก สำหรับ “ว่านจักจั่น” ที่มีลักษณะเหมือนซากจักจั่นที่ตายแล้ว และมีเหมือนต้นไม้ต้นเล็กๆ งอกออกมาจากตัวของจักจั่น เชื่อกันว่าว่านจักจั่นเป็นพืชมงคล ชาวบ้านมักเก็บไว้บูชาเพื่อความเจริญก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน และร่ำรวยมีเงินมีทองใช้ บ้างก็นำว่านจักจั่นไปต้มน้ำดื่มทานกันเป็นกิจวัตร เพราะเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บได้สารพัด
แต่อันที่จริงแล้ว นายแพทย์อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เคยได้รับรายงานพบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษจากการกินว่านจักจั่น จำนวน 2 ราย (แม่ลูกกัน) จากจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยทั้งสองคนเข้าไปหาเก็บเห็ดป่าแล้วขุดเจอว่านจักจั่น จึงนำมาทอดกินเย็นกันสองคนในช่วงเย็น จากนั้นตอนดึกของวันเดียวกัน ทั้งสองคนเริ่มมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึม ชัก และเกร็งกระตุก ลูกอาการหนักญาติจึงพาไปพบแพทย์ในโรงพยาบาล ส่วนแม่อาการไม่หนักให้รอที่บ้าน และญาติได้นำตัวอย่างว่านจักจั่นที่ทั้งสองคนกินก่อนมีอาการดังกล่าว มาให้แพทย์วินิจฉัยด้วย แพทย์จึงได้แจ้งทางญาติให้รีบพาผู้เป็นแม่เข้ามารับการรักษาทันที ขณะนี้ทั้งสองคนยังอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ซึ่งเหตุการณ์คล้ายกันแบบนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อปี 2557 ที่เกิดพร้อมกันถึง 9 ราย จากที่กินทั้งหมด 11 ราย หลังจากนำว่านจักจั่นมาทอดกินแกล้มเหล้า ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว ชัก การรู้สึกตัวเปลี่ยน กล้ามเนื้อเกร็งกระตุก อ่อนแรง ใจสั่น และเวียนศีรษะ เป็นต้น ซึ่งทั้ง 9 ราย เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล มีผู้อาการหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจ 1 ราย ส่วน 2 รายที่ไม่มีอาการ เพราะกินเข้าไปแล้วรู้สึกรสชาติเฝื่อนจึงคายทิ้งก่อน ทั้งนี้ จากการสอบสวนโรคผู้ป่วยเป็นช่างรับทำโครงการหมู่บ้านจัดสรร ที่ขุดเจอว่านจักจั่นแล้วนำมาทอดกินเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ในครั้งนี้
สำหรับว่านจักจั่น ที่ชาวบ้านนำมาทอดกิน นั้น เป็นเพียงซากของจักจั่นที่ติดเชื้อราแมลงและมีอยู่ในธรรมชาติ ไม่ใช่ว่านหรือพืชที่มีต้นคล้ายเห็ดอยู่เหนือดินและหัวใต้ดินอย่างที่เข้าใจ ว่านจักจั่นจะพบมากในช่วงฤดูฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีความชื้นสูง เมื่อจักจั่นตัวอ่อนที่กำลังโผล่ขึ้นจากดิน เพื่อลอกคราบ จักจั่นจะอ่อนแอ จึงมีโอกาสติดเชื้อราแมลงได้ง่ายและตายในที่สุด เชื้อราแมลงก็จะเจริญเติบโตในซากจักจั่น และแทงเส้นใยออกมานอกตัวจักจั่นและเจริญโครงสร้างสำหรับสืบพันธุ์ ทำให้ดูเหมือนมีราก หรือเขาออกมาจากตัวจักจั่น ซึ่งราแมลงที่ทำให้เกิดจักจั่นติดเชื้อรานี้ มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับแมลงชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น มด แมงมุม เพลี้ย ด้วง และหนอน เป็นต้น
นายแพทย์อำนวย กล่าวต่อไปว่า จากที่ชาวบ้านนำว่านจักจั่นมาทอดกินและทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ อาจเกิดจากเชื้อราหรือจากจักจั่นหรือผลร่วมกันของทั้งเชื้อราและจักจั่น ทั้งนี้ เพราะจักจั่นสามารถอยู่ในดินได้ในระยะเวลานาน ทำให้บางคนอาจจะแพ้เชื้อรา แพ้จักจั่น หรือได้รับพิษสารเคมีที่อยู่ในดินที่ซากจักจั่นนั้นอยู่ก็ได้ ดังนั้น จึงขอเตือนประชาชนไม่ควรนำซากจักจั่นติดเชื้อรา หรือว่านจักจั่นมาบริโภค เพราะอาจเจ็บป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ หรืออาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ทางด้านของ หมอแล็บแพนด้า นักเทคนิคการแพทย์ชื่อดัง กล่าวเอาไว้ในเฟซบุ๊คว่า ว่านจักจั่น นอกจากจะไม่ใช่พืชอย่างที่ทุกคนเข้าใจกันแล้ว ยังไม่มีคุณสมบัติในการรักษาโรคอย่างที่เข้าใจกันเลย เพราะเป็นเพียงตัวจักจั่นที่ตายจากเชื้อราเท่านั้น และเชื้อราก็เป็นเชื้อราคนละประเภทกับ “ถังเช่า” ที่เป็นสมุนไพรของจีนอีกด้วย เพราะเชื้อราในว่านจักจั่นเป็นเชื้อราที่ทำให้เกิดพิษในร่างกายได้นั่นเอง
อ่านคำตอบของ หมอแล็บแพนด้าเต็มๆ ได้ด้านล่าง👇

____________________

"ว่านจั๊กจั่น" ไม่ใช่ว่าน ไม่มีส่วนไหนเกี่ยวกับพืชเลยครับ แต่มันคือ "จั๊กจั่นที่ตายจากการติดเชื้อรา" นึกภาพตามนะครับ

ในขณะที่จั๊กจั่นตัวอ่อนมันขึ้นมาลอกคราบบนดิน มันจะอ่อนแอมาก เชื้อราบริเวณนั้นสามารถแทงเส้นใยเข้าไปเติบโตในตัวจั๊กจั่นได้ โดยดูดสารอาหารในตัวจั๊กจั่นเป็นอาหาร จนจั๊กจั่นตาย มองผิวเผินเหมือนจั๊กจั่นงอกมาจากดิน คล้ายๆว่าน

บางคนก็เอาไปบูชา บางกลุ่มเอาไปต้มน้ำกิน เพราะเชื่อว่าเป็นยา ตายได้นะครับ สารพิษจากราบางชนิด ทนความร้อนได้สูงมากๆ อย่าเอาไปกิน

____________________
ขอขอบคุณข้อมูล : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข , เพจ หมอแล็บแพนด้า

 #เจียวกู่หลาน กับ 10 สรรพคุณเด็ดน่ารู้1. ชะลออาการต่างๆ ที่มาพร้อมกับอายุที่มากขึ้น เช่น ฟื้นฟูสภาพร่างกายโดยรวมให้แข็ง...
05/05/2024

#เจียวกู่หลาน กับ 10 สรรพคุณเด็ดน่ารู้

1. ชะลออาการต่างๆ ที่มาพร้อมกับอายุที่มากขึ้น เช่น ฟื้นฟูสภาพร่างกายโดยรวมให้แข็งแรง ฟื้นฟูความจำ นอนหลับสบาย อาการปวดเอวปวดหลังดีขึ้น เป็นต้น

2. ต้านมะเร็ง และช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของมะเร็ง จะกินเพื่อป้องกัน หรือช่วยลดอาการของมะเร็งก็ได้

3. ลดคอเลสเตอรอล ลดไขมันในเลือด

4. ลดความดันโลหิต

5. บำรุงหัวใจให้แข็งแรง ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. แก้อาการไอ ลดเสมหะ รักษาไข้หวัด

7. ช่วยให้หลอดลมแข็งแรง ฟื้นฟูจากการอาการอับเสบ หรือแข็งตัว

8. รักษาแผลในกระเพาะอาหาร

9. ยับยั้งการเกาะตัวของเลือด

10. บำรุงตับให้แข็งแรง
🚩ข้อควรระวังในการดื่มชาเจียวกู่หลาน

ชาวจีนมักนำใบเจียวกู่หลานแห้งมาชงเป็นชาดื่มหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน โดยจะดื่มเพียง 7 วัน แล้วให้หยุดดื่มไป 1-2 วัน แล้วค่อยดื่มต่อ ใครที่ดื่มแล้วมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดหรือเวียนศีรษะ ตาลาย ให้หยุดดื่มทันที

แม้จะเป็นสมุนไพรที่เดินทางมาไกลจากต่างแดน แต่การที่บ้านเรามีเครื่องดื่มสมุนไพรดีๆ แบบนี้ให้ทานกันในราคาที่เอื้อมถึงได้แบบนี้ จะลองหันมาดื่มดูบ้างก็ดีเหมือนกันนะคะ ใครดื่มแล้วให้ผลดีต่อร่างกายอย่างไรบ้าง มาแบ่งปันประสบการณ์ให้คนอื่นๆ ได้ทราบกันบ้างสิคะ





ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก palapanyo.com, medthai.com

8 พฤติกรรมเสี่ยง “มะเร็งลำไส้ใหญ่”1. รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงมากเกินไป2. รับประทานอาหารประเภทเนื้อแดง ปิ้งย่าง ที่มีล...
03/05/2024

8 พฤติกรรมเสี่ยง “มะเร็งลำไส้ใหญ่”

1. รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงมากเกินไป

2. รับประทานอาหารประเภทเนื้อแดง ปิ้งย่าง ที่มีลักษณะไหม้เกรียมบ่อยๆ

3. รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป

4. สูบบุหรี่

5. ดื่มแอลกอฮอล์

6. ขาดการออกกำลังกาย

7. มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง เช่น นักดูทีวีทั้งวัน นั่งติดเก้าอี้ นอนติดเตียง

8. น้ำหนักเกินมาตรฐาน (อ้วน)
🚩มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีอาการอย่างไร?

ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่อยู่ แต่จะแสดงสัญญาณเตือนที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่าย เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย อุจจาระก้อนเล็กลง อุจจาระมีเลือดปน (ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นโรคริดสีดวงทวาร) และอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ซีด หรือน้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุอีกด้วย
ที่มา : bumrungrad.com , bangkokhospital.com

3 อาหารลดความดันโลหิตสูง ป้องกันเส้นเลือดสมองแตก1. ผัก และผลไม้ที่มีโพสแทสเซียมสูง เพราะโพแทสเซียมจะช่วยควบคุมความดันโลห...
01/05/2024

3 อาหารลดความดันโลหิตสูง ป้องกันเส้นเลือดสมองแตก

1. ผัก และผลไม้ที่มีโพสแทสเซียมสูง เพราะโพแทสเซียมจะช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้ ผัก และผลไม้ที่มีโพแทสเซียม ได้แก่ ลูกพรุน ลูกเกด เมล็ดทานตะวัน อินทผาลัม ผักโขม เห็ด กล้วย ส้ม แต่ใครที่เป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงนะคะ

2. ผลไม้ที่มีโพสแทสเซียมสูงผลไม้ที่มีโพสแทสเซียมสูง
ธัญพืชต่างๆ โดยเฉพาะถั่ว โดยอาจเลือกธัญพืชที่อบแห้งแบบไม่อบเกลือ (โซเดียมจะได้ไม่หนัก) นอกจากจะช่วยลดความดันโลหิตสูงแล้ว ยังมีไขมันดีที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายอีกด้วย แต่ต้องทานในระดับพอดีๆ เพราะธัญพืชก็ให้พลังงานอยู่เหมือนกันนะ ถ้ากะปริมาณไม่ถูกก็ทานประมาณ 1 กำต่อวันค่ะ

3. อาหารคลีน หมายถึงอาหารที่ปรุงด้วยวิธีที่ใช้ไขมันต่ำ แป้งไม่ขัดสี เช่นข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท และผ่านการปรุงรสน้อยๆ หากทานอาหารคลีนเป็นประจำ จะช่วยลดปริมาณโซเดียมในร่างกาย และช่วยลดความดันโลหิตได้ในระยะยาว
นอกจากอาหารที่ควรทานแล้ว ยังมีอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับของความดันโลหิตสูงไปกว่าเดิมด้วยคือ

- แอลกอฮอล์

- กาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

- อาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ทอด แกงกะทิ ผัดพริกแกง
ที่มา : https://www.sanook.com/health/4609/

5 ประโยชน์สุดล้ำของ “แมลงทอด”1. โปรตีนสูงงงงงง  แมลงดิบแค่ 100 กรัม มีโปรตีนถึง 9-65 กรัมเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับชนิดแมลงท...
05/10/2023

5 ประโยชน์สุดล้ำของ “แมลงทอด”

1. โปรตีนสูงงงงงง แมลงดิบแค่ 100 กรัม มีโปรตีนถึง 9-65 กรัมเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับชนิดแมลงที่คุณกิน แมลงที่ให้โปรตีนมากที่สุดคือ ตั๊กแตนปาทังก้า และแมงมัน นั่นเอง โปรตีนที่ได้จากแมลงใกล้เคียงกับโปรตีนที่ได้จากไข่ไก่ 1 ฟอง หรือหมูบด เนื้อไก่ 100 กรัมเลยเชียว แต่หนอนไหมเป็นแมลงที่มีโปรตีนคุณภาพดีมากที่สุดนะ

2. ช่วยลดคอเลสเตอรอล เชื่อไหมว่าในแมลงมีสารไคติน เมื่อไคตินถูกย่อยจนส่วนหนึ่งได้ออกมาเป็นไคโทซาน ทั้งไคติน และไคโทซานสามารถจับตัวกับไขมัน แล้วทำให้ระดับคอเลสเตอรอลของเราลดลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

3. ช่วยต่อต้านการติดเชื้อจากยีสต์ในระบบทางเดินอาหาร เป็นผลพวงมาจากไคติน และไคโทซานอีกเหมือนกัน

4. แมลงเป็นแหล่งอาหารชั้นดีราคาถูกสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ จึงมีแม้กระทั่งรายงานจากองค์การอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO เกี่ยวกับ “แมลงที่กินได้ เป็นความหวังแห่งอนาคตสำหรับความมั่นคงทางอาหารและอาหารสัตว์”

5. นอกจากโปรตีนสูง หากินได้ง่ายแล้ว ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุอื่นๆ อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นเกลือแร่อย่างฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และวิตามินบี



📌ข้อควรระวังในการกินแมลงทอด

แม้แมลงทอดจะอร่อยถูกปากชาวไทย และชาวต่างประเทศมาก แต่แมลงทอดก็มีข้อควรระวังในการกินเช่นเดียวกับอาหารอื่นๆ

1. แม้ว่าแมลงจะมีไคตินอย่างที่กล่าวไปแล้วว่าช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ แต่หากนำไปทอดกับน้ำมัน แมลงจะดูดซับน้ำมันเอาไว้มาก จนทำให้แมลงทอดเต็มไปด้วยไขมันเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว และแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย ที่มาจากน้ำมันสัตว์คุณภาพต่ำ และใช้ทอดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของผู้ขายนั่นเอง

2. ไคตินและไคโทซานที่ว่าดี อาจทำร้ายร่างกายเราได้หากเรากินแมลงทอดมากเกินไป เพราะเมื่อทั้ง 2 ตัวนี้เข้าไปจับไขมันในร่างกาย อาจเข้าไปรบกวนการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันอย่าง วิตามินเอ ดี และอี รวมไปถึงเกลือแร่ และในระยะยาวอาจก่อให้เกิดความบกพร่องในการดูดซึมแคลเซียมอีกด้วย

3. บุคคลที่ไม่ควรกินแมลงทอด หรือไม่ควรกินแมลงทอดมากเกินไป ได้แก่

- ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หอบหืด ที่อาจแพ้ส่วนประกอบของแมลง จนเกิดอาการแพ้ และอาจรุนแรงจนเสียชีวิตได้

- ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องกระดูก และหญิงมีครรภ์ เพราะอันตรายจากการทำงานของไคติน และไคโทซานต่อการดูดซึมแคลเซียม จนอาจทำลายกระดูก หรือก่อให้เกิดความผิดปกติของการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์

- ผู้ที่มีภาวะไขมันสูง หรือเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน เพราะแมลงทอดอุดมไปด้วยพลังงานสูง ไขมันจากน้ำมันที่ทอดก็สูง หากกินในปริมาณมาก หรือกินเป็นของว่าง เป็นกับแกล้ม อาจกำหนดปริมาณที่กินได้ไม่ถูกต้อง จนเป็นเหตุให้กินมากเกินไป และเสี่ยงต่อไขมันอุดตันเส้นเลือด และโรคอ้วนได้

- ผู้ป่วยโรคไต เพราะเครื่องปรุงที่ใช้ใส่เพื่อเพิ่มรสชาติของแมลงทอด อาจเป็นเครื่องปรุงจำนวนมากที่มีโซเดียมสูง

Credit : https://www.sanook.com/health/4569/

ประโยชน์ของ "แทนนิน" สารรสฝาดขมที่พบได้ในพืช #แทนนิน (Tannin) หรือบางทีก็เรียกว่า กรดแทนนิก (Tannic acid) คือสารประกอบที...
03/10/2023

ประโยชน์ของ "แทนนิน" สารรสฝาดขมที่พบได้ในพืช

#แทนนิน (Tannin) หรือบางทีก็เรียกว่า กรดแทนนิก (Tannic acid) คือสารประกอบที่ได้มาจากกรดฟีนอลิก (Phenolic acids) และจัดอยู่ในกลุ่มของสารประกอบที่เรียกว่า โพลีฟีนอล (Polyphenols)

โมเลกุลของสารแทนนินนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่า สารประกอบอื่นๆ ในกลุ่มของสารโพลีฟีนอล อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการเข้ายึดจับกับโมเลกุลอื่น เช่น โปรตีน เซลลูโลส (cellulose) สตาร์ซ (starch) และแร่ธาตุได้ง่าย จึงทำให้สารแทนนินนั้นไม่ละลายน้ำ และทนทานต่อการสลายตัวมากกว่าสารประกอบอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน

ตามปกติแล้ว เราสามารถพบสารแทนนินได้ตามธรรมชาติ ในส่วนต่างๆ ของพืช ทั้งส่วนที่กินได้และกินไม่ได้ เช่น รากไม้ เปลือกไม้ ดอกไม้ ผล ใบ และเมล็ด พืชผลิตสารแทนนินที่มีรสขมเหล่านี้ออกมา เพื่อช่วยป้องกันตัวจากศัตรูพืชตามธรรมชาติ ไม่ให้เข้ามากัดกินทำลายพืช ส่วนอาหารที่มีส่วนประกอบของสารแทนนินนั้น จะสามารถพบได้มากที่สุดในอาหารจำพวก ชา กาแฟ ช็อกโกแลต และไวน์ เป็นต้น
📌ประโยชน์ของสารแทนนิน

สารแทนนิน เป็นสารที่จัดอยู่ในกลุ่มของสารประกอบโพลีฟีนอล สารเคมีที่มีคุณสมบัติหลักคือการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการอักเสบ และอาจช่วยต่อต้านมะเร็ง การรับประทานอาหารที่มีสารแทนนินสูง จึงสามารถช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ หนึ่งในปัญหาสำคัญที่นำไปสู่ความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย และอาจนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งได้ สารต้านอนุมูลอิสระอย่างแทนนินนั้นยังสามารถช่วยป้องกันและลดการอักเสบ ทำให้แผลฟื้นฟูได้ไวยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยล่าสุดชิ้นหนึ่งพบว่า สารแทนนินนั้นมีคุณสมบัติในการช่วยต่อต้านเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ได้ ทำให้ในอุตสาหกรรมเครื่องหนัง จึงได้มีการใช้สารแทนนินในการย้อมสีหนังให้มีสีน้ำตาลเข้มยิ่งขึ้น และช่วยฆ่าเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ที่อาจจะอยู่ในเครื่องหนัง ทำให้หนังนั้นมีความทนทานและมีสีสันที่สวยงามมากยิ่งขึ้น

📌ข้อควรระวังเกี่ยวกับสารแทนนิน

แม้ว่าสารแทนนินนั้นอาจจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่การรับประทานอาหารที่มีสารแทนนินสูง โดยเฉพาะการรับประทานมากเกินไป อาจนำไปสู่ผลร้ายได้ดังต่อไปนี้

◾️ ลดการดูดซึมสารอาหาร

มีรายงานพบว่า การรับประทานอาหารที่มีสารแทนนินสูง อาจจะส่งผลให้ร่างกายมีอัตราการเจริญเติบโตน้อยลง บริโภคอาหารได้น้อยลง และได้รับพลังงานจากอาหารน้อยลง นั่นก็เป็นเพราะว่า สารแทนนินนั้นอาจลดการดูดซึมของสารอาหารต่างๆ ในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือธาตุเหล็ก โดยการเข้าไปยึดจับกับสารอาหารเหล่านี้ ทำให้ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ได้ยากขึ้น แม้ว่าการลดการดูดซึมนั้นอาจจะไม่มากพอที่จะทำให้เกิดอันตราย แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาขาดสารอาหารอยู่ก่อนแล้ว อาจทำให้ปัญหานั้นเพิ่มมากกว่าเดิมได้

ผู้ที่มีปัญหาเรื่องการขาดสารอาหาร เช่น ผู้ที่มีภาวะขาดธาตุเหล็ก จึงควรเว้นระยะห่างระหว่างการรับประทานอาหาร กับการรับประทานอาหารที่มีสารแทนนินสูง เช่น เปลี่ยนจากการดื่มชาหรือกาแฟพร้อมกับมื้ออาหาร ไปเป็นดื่มในช่วงก่อนมื้ออาหารถัดไปแทน

◾️ คลื่นไส้

ในบางครั้งการดื่มเครื่องดื่มที่มีสารแทนนินสูงในช่วงขณะท้องว่าง อาจทำให้เรารู้สึกคลื่นไส้และอาเจียน ดังนั้นทางที่ดีจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีสารแทนนินสูงในช่วงขณะท้องว่าง หรืออาจจะเติมนมเข้าไป เพื่อช่วยลดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้
ขอขอบคุณข้อมูล : พลอย วงษ์วิไล

 #แมกนีเซียมบรรเทาอาการไมเกรนได้อย่างไรจากการวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีปัญหาไมเกรนนั้นมีระดับแมกนีเซียมในร่างกาย...
01/10/2023

#แมกนีเซียมบรรเทาอาการไมเกรนได้อย่างไร

จากการวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีปัญหาไมเกรนนั้นมีระดับแมกนีเซียมในร่างกายที่ต่ำกว่าผู้ที่ไม่มีปัญหาไมเกรน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าการบริโภคแมกนีเซียมเป็นประจำนั้นมีส่วนช่วยลดความถี่ในการเกิดไมเกรนได้ถึงร้อยละ 41.6 นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการได้รับอาหารเสริมแมกนีเซียมมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดไมเกรนที่มาจากประจำเดือนได้อีกด้วย

🚩อาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม

สำหรับผู้ที่มีปริมาณแมกนีเซียมต่ำ และต้องการเสริมแมกนีเซียมให้ร่างกาย อาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่มีแมกนีเซียมอยู่ตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะพบแมกนีเซียมในผักใบเขียว เช่น ผักโขม ผักใบเขียวหนึ่งถ้วยให้แมกนีเซียมมากถึงร้อยละ 38-40 ของปริมาณที่แนะนำต่อวันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีอาหารอื่นๆ ที่มีปริมาณแมกนีเซียมอีกมากมาย ดังนี้

- เมล็ดพืช เช่น เมล็ดฟักทอง
- อัลมอนด์
- ปลาทูน่า
- โยเกิร์ตไขมันต่ำ
- ถั่วดำและพืชตระกูลถั่ว
- อะโวคาโด
- มะเดื่อ
- กล้วย
- ดาร์กช็อกโกแลต

หากคุณต้องการเพิ่มปริมาณแมกนีเซียม ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีแมกนีเซียมตามธรรมชาติจะช่วยเพิ่มพลังที่ดีกว่า นอกจากร่างกายจะได้รับปริมาณแมกนีเซียมแล้ว ยังได้วิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ ที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย

🚩ข้อควรระวังในการรับประทานแมกนีเซียม

แม้แมกนีเซียมจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้ แต่สำหรับบางคนที่มีอาการป่วยเหล่านี้ อาจจะต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานแมกนีเซียม หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้แมกนีเซียม

- ผู้ที่มีความผิดปกติในการไหลของเลือด เพราะแมกนีเซียมอาจทำให้เลือดแข็งตัวได้ช้า
- มีโรคเบาหวาน
- ภาวการณ์สูบฉีดโลหิตของหัวใจห้องล่างและบนไม่ประสานกัน (heart block)
- ปัญหาไตหรือไตวาย
- มีปัญหาทางเดินอาหาร เช่น ลำไส้อักเสบ ติดเชื้อในกระเพาะอาหาร

ปัญหาข้างต้นที่ได้กล่าวมานั้น อาจส่งผลต่อการดูดซึมปริมาณแมกนีเซียมเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้แมกนีเซียมยังทำปฏิกิริยากับยาบางชนิดอีกด้วย หากคุณกำลังอยู่ในระหว่างที่ใช้ยาเหล่านี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้แมกนีเซียม
- ยาปฏิชีวนะ
- ยาขับปัสสาวะ
- ยาคลายกล้ามเนื้อ
- ยารักษาโรคหัวใจ

นอกจาก หากอยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานแมกนีเซียม

การรับประทานแมกนีเซียมในปริมาณที่มีความปลอดภัยต่อร่างกายนั้น มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการรับประทานแมกนีเซียมนั้นมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้ยาในการรักษาไมเกรน แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่จะรับประทานแมกนีเซียมแล้วมีอาการไมเกรนดีขึ้น อย่างไรก็ตามก่อนที่จะใช้แมกนีเซียมควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้เสมอ เพื่อความปลอดภัย
ขอขอบคุณข้อมูล : ชลธิชา จันทร์วิบูลย์

5 อาหารที่อุดมไปด้วยไขมันดี1. น้ำมันมะกอก อาจช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดีและลดการอักเสบในร่างกายที่เกิดจากไขมันชนิดไม่ดี เน...
04/09/2023

5 อาหารที่อุดมไปด้วยไขมันดี

1. น้ำมันมะกอก อาจช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดีและลดการอักเสบในร่างกายที่เกิดจากไขมันชนิดไม่ดี เนื่องจากในน้ำมันมะกอกมีโพลีฟีนอล (Polyphenols) ที่อาจช่วยเพิ่มไขมันดีให้กับร่างกาย โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับอิทธิพลของสารโพลีฟีนอลในน้ำมันมะกอกต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Internal Medicine ของประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2549 ซึ่งให้อาสาสมัครผู้ชายสุขภาพดี 200 คน รับประทานน้ำมันมะกอกที่มีสารประกอบฟีนอลิค (Phenolic) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกในระดับสูง กลาง ต่ำ พบว่าระดับไขมันเลวของผู้เข้าร่วมการทดลองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

2. ธัญพืช ธัญพืชที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ซีเรียล ขนมปังโฮลเกรน อุดมไปด้วยไฟเบอร์ซึ่งอาจช่วยลดไขมันไม่ดีในร่างกายได้

3. ปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน เป็นปลาทะเลน้ำลึกที่มีโอเมก้า 3 ซึ่งอาจช่วยลดไขมันเลวและเพิ่มไขมันดีให้กับร่างกาย

4. อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่มีโฟเลต (Folate) กรดโอเลอิก (Oleic Acid) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งอาจเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ รวมถึงมีเบต้า-ซิโตสเตอรอล (Beta-Sitosterol) ที่อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้

5. ถั่วเหลือง มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ไอโซฟลาโวน (Isoflavones) เลซิติน (Lecithin) ซาโปนิน (Saponins) ทั้งยังมีไฟเบอร์และโปรตีนจากถั่วเหลืองที่อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์บางอย่าง เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาที/วัน หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ รวมถึงรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายก็อาจช่วยลดไขมันเลวในร่างกายได้เช่นกัน

 #ถั่วเขียว และประโยชน์ต่อร่างกาย🚩ลดคอเลสเตอรอลถั่วเขียว มีไขมันชนิดที่ดีต่อร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอ...
02/09/2023

#ถั่วเขียว และประโยชน์ต่อร่างกาย

🚩ลดคอเลสเตอรอล

ถั่วเขียว มีไขมันชนิดที่ดีต่อร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด จากงานวิจัยที่ทดลองในหนู ระบุว่า หนูที่กินถั่วเขียวผสมบุก มีระดับไขมันและคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีลดลง รวมทั้งมีไขมันดีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ถั่วเขียวจึงอาจเป็นตัวเลือกที่ดีในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในร่างกายได้

นอกจากนี้ ถั่วเขียวยังอาจช่วยป้องกันภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ได้ด้วย มาจากผลการทดลองในหนูที่กินถั่วเขียว เสี่ยงไขมันในตับน้อยกว่าหนูที่กินถั่วเหลืองติดต่อกัน 4 สัปดาห์

แต่ทั้งหมดยังเป็นการทดลองในหนู และการทดลองบางชิ้นใช้ส่วนเปลือกถั่วเขียวมาสกัด หรือผสมถั่วเขียวกับพืชชนิดอื่น ดังนั้นควรรอการศึกษาระยะยาวกับกลุ่มคนจำนวนมากเพิ่มเติมต่อไป

🚩ลดเสี่ยงโรคอันตรายจากหัวใจ

มีงานวิจัยบางชิ้น ระบุว่า ถั่วเขียวอาจช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ และยังอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อหัวใจถูกทำลาย จากการศึกษากับหนูทดลองชิ้นหนึ่ง พบว่า สารโพลีฟีนอลซึ่งสกัดจากถั่วเขียวช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังช่วยยับยั้งไม่ให้เนื้อเยื่อหัวใจถูกทำลาย ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้

แต่เนื่องจากยังไม่มีผลการทดลองในคน จึงควรติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจากงานวิจัยอื่นๆ ในอนาคตต่อไป

การกินถั่วเขียวให้ดีต่อสุขภาพ คือการกินในปริมาณที่เหมาะสม ราว 1 กำมือต่อวัน หลีกเลี่ยงการปรุงถั่วเขียวกับน้ำตาล หรือหากชอบกินถั่วเขียวต้มน้ำตาล เต้าส่วน ถั่วกวน ลูกชุบ หรือน้ำถั่วเขียว ควรบริโภคในปริมาณที่จำกัด เพื่อหลีกเลี่ยงการกินน้ำตาลมากเกินไป
ขอขอบคุณข้อมูล : พบแพทย์

ที่อยู่

Maha Sarakham

เบอร์โทรศัพท์

+66891381721

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ แพทย์ทางเลือกและแพทย์บูรณาการผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง แพทย์ทางเลือกและแพทย์บูรณาการ:

แชร์