นายบอม วิทวัสศิวัช

นายบอม วิทวัสศิวัช นายบอมหรือครูบอม วิทวัสศิวัช ก็ได้?

นายบอม วิทวัสศิวัช


สอนวิชาภาษาจีนนะครับ
ชอบเล่นกีฬาและดนตรี

ฝากเพจติดตามผมด้วยนะครับ
เนื้อหาก็จะเป็นเกี่ยวกับการสอนของผม และสตรีมเกม และกิจกรรมที่ผมทำนะครับ
https://m.facebook.com/GTBWittawassiwat/?ref=bookmarks

ผลงานกานแข่งขัน E-Sport​s
- เข้าร่วมการแข่งขัน ROV 5v5 Fighter Tournamnet​(Garena) ทีม MasterStar E-Sport​s(นักแข่ง)​
-​ ROV Goldcitytournament Season 1
รอ

บ32 ทีม ทีม MasterStar Gamer (ผู้จัดการทีม)
-​ รายการแข่งขัน ROV Temple of Light Tournament​
MasterStar Gamer (A) 16 ทีม (ผู้จัดการทีม)​
MasterStar E-Sport​s (B)​ 32ทีม (ผู้จัดการทีม&นักแข่ง)​

ฝากติดตามผลงานด้วยนะครับ
ผลงานวิชาการช่วงนี้จะน้อยมาก

ขอบคุณนะครับ
^___^"

สุดๆเลยครับบบเมื่อ"ครูเปลี่ยน ห้องเรียนก็เปลี่ยน"และเมื่อ"ห้องเรียนเปลี่ยน เด็กคนหนึ่งก็อาจเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตได้"  #ก...
09/07/2025

สุดๆเลยครับบบ

เมื่อ"ครูเปลี่ยน ห้องเรียนก็เปลี่ยน"
และเมื่อ"ห้องเรียนเปลี่ยน เด็กคนหนึ่งก็อาจเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตได้"

#ก่อการครู
#โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา
#มูลนิธิใจกระทิง


#ห้องเรียนที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง
#การเรียนรู้ที่มีความหมาย
#ครูผู้สร้างพื้นที่แห่งการเติบโต

09/07/2025

อยากได้ EF แต่ไม่รู้จัก EF เลยไม่ได้สักที

พ่อแม่ยุคใหม่เกือบทุกคนพูดเหมือนกันว่า
“อยากให้ลูกคิดเป็น แก้ปัญหาได้ คุมอารมณ์เก่ง วางแผนได้ มีวินัย รู้หน้าที่”

แต่พอเจอวิธีการเลี้ยงดู เรียนรู้ที่เด็กพัฒนา EF “ของจริง” ขึ้นมา กลับเข้าไม่ถึง ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่านี่แหละได้ EF จริงๆ

ให้ความสำคัญกับการสะท้อนอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกไปทำไม? เน้นภาษาอังกฤษก่อน เข้าใจตัวเองไว้ทีหลังค่ะ...ใช่ไหม?

เล่นอิสระเหรอ? ไม่เอาอะ เล่นมาก เดี๋ยวเรียนไม่ทันค่ะ

ฮะ! ให้เด็กวางแผน จัดตารางเรียนเอง?
จะบ้าหรอ เด็กจะทำได้ยังไง? เป็นไปไม่ได้ ถ้าครูไม่ได้จัดให้หมด...

คิดแบบนั้นอยู่ใช่ไหม?

แล้วอะไรอีก? เขียนบันทึก สะท้อนความคิด สิ่งที่ได้เรียน? เด็กต้องคิดเอง?

ไม่ใช้ workbook เลยหรอ? แล้วมันจะเรียนครบ unit ได้ยังไง ทุกอย่างต้องมีฟอร์มสิ ต้องแก้สิ! วงแดง ๆ ใหญ่ ๆ ให้เก็กเขียนใหม่จนกว่าจะถูกสิคะ!

ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้เมื่อเจอปัญหา
หมายความว่า...ต้องปล่อยให้เด็กเจอปัญหา? ตัดสินใจผิดพลาดหรอคะ!?
แปลว่าอาจจะมีวันที่ลูก “ไม่ได้เรียนไม่ครบ” หรอคะ?

แปลว่าบางวันลูกอาจจะกินของว่างมากไป กินข้าวน้อยลงหรอคะ!?

ลูกจะพลาดเรื่องแบบนั้นได้ยังไง — ไม่ได้ค่ะ!

ทำงานจริง เจอทีมจริง จำลองสังคมจริงแบบที่มีเด็กหลากหลายแบบ หลายอายุหรอคะ? เป็นไปไม่ได้ อายุต่างกันจะเรียนด้วยกันได้ยังไง จะสอนได้ยังไง

สุดท้ายแล้ว มันเพราะหลายคนยังไม่ได้เข้าใจ EF จริงๆ อีกนั่นแหละ ถ้าคิดวิเคราะห์ได้ลึกพอ จะรู้ว่าอะไรจะทำให้เด็กมีเป้าหมาย วางแผน และกำกับตัวเองไปจนถึงเป้าหมายให้ได้จนสำเร็จ

รู้จักมันแต่ชื่อ แต่มันไม่แตกฉาน

ถ้าคิดว่า

“อ่านนิทานจบ → เด็กได้ EF”
“ให้เก็บของเล่น → เด็กได้ EF”

มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ

ถ้าอ่านนิทานแล้วเด็กไม่ค่อยได้คุย ได้ถกประเด็นหรือได้สะท้อนสิ่งที่ฟัง

ถ้าทำงานบ้าน เก็บของเล่น กินข้าว เข้าเรียน เพราะถูกสั่งให้ทำ ไม่ได้เกิดจากการคิด-วางแผน-ตัดสินใจด้วยตัวเอง

ถ้าไม่เคยเจอสถานการณ์ที่ทำให้เกิดอารมณ์หลายแบบ ทั้งลบและบวก ไม่เคยต้องควบคุมอารมณ์หรือรับมือความเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้ได้จากการเล่นอิสระกับเพื่อนค่ะ

เพราะเด็กจะต้องวางแผน จัดการเวลา และทรัพยากรของตัวเอง เช่น จะเล่นอะไร? เล่นกับใคร? ใช้ของเล่นชิ้นไหนก่อน?

หงุดหงิดเมื่อเพื่อนไม่แบ่งของเล่น ต้องรอคอย หรือปรับแผนเมื่อไม่ได้ของเล่นชิ้นนั้น เห็นไหมว่ามันได้ทุกเรื่องเลย การเล่น

EF ไม่ใช่แค่พฤติกรรมภายนอกที่ดูดี
แต่คือ “กลไกในสมอง” ที่ต้องฝึกบ่อยๆ
จากการใช้ชีวิตเท่านั้น

ทุกคนมักตกใจกับ “อิสระ” ที่เราให้เด็ก
แต่ถ้าไม่มีอิสระ แล้วเขาจะฝึกควบคุมตัวเองยังไง?

เด็กที่โดนจับนั่งเก้าอี้ กับเด็กที่สามารถเดินไปตรงไหนก็ได้ แต่ “เลือก” ที่จะนั่งตรงนี้ และรับผิดชอบงานของตัวเอง

แบบไหนยากกว่ากัน?
แบบไหนมีแนวโน้มจะรับผิดชอบแม้ไม่มีผู้ใหญ่คุมมากกว่ากัน?

อยากได้ EF
แต่ไม่อยากให้ลูกสะดุด
ไม่อยากให้ลูกพลาดผิด
ไม่อยากให้ลูกเสียเวลาเข้าใจตัวเอง
ไม่อยากให้ลูกตัดสินใจเอง เพราะ "มันไม่ดีพอ"

อ่านไปล้านเล่มก็ยังไม่ได้ค่ะ

ปล. เด็กไทยบกพร่องพฤติกรรม EF
https://mgronline.com/qol/detail/9590000115758

09/07/2025

Sir Ken Robinson ผู้สร้างแรงบันดาลใจใน TED TALK ไม่ได้ตำหนิครู แต่เชิญให้เราคิดทบทวนบทบาทของการสอน
เขาเห็นว่าครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่คนที่รู้มากที่สุด แต่เป็นคนที่สามารถ "จุดประกายความอยากรู้" ในใจเด็กได้ เพราะการเรียนรู้ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กรู้สึกปลอดภัยที่จะสำรวจ ลองผิดลองถูก และแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่เมื่อพวกเขาอยู่ในความกลัว และถูกตัดสินด้วยไม้บรรทัดของคนอื่น
เขาเชื่อว่าเด็กทุกคนมีความสามารถพิเศษ และครูที่ดีคือคนที่ช่วยให้เด็กค้นพบความพิเศษนั้นในตัว และช่วยพวกเขาหล่อเลี้ยงความสามารถนั้น ไม่ใช่บังคับให้เด็กทุกคนเก่งในรูปแบบเดียวกัน
นี่ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์ครู แต่เป็นการเชิญชวนให้เราทุกคนกลับมาถามตัวเองว่า "เราอยากเห็นเด็กเป็นอย่างไร? และเราจะช่วยให้พวกเขาไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร?"
เพราะในท้ายที่สุด การศึกษาที่ดีที่สุดไม่ได้เกิดจากการบังคับ แต่เกิดจากความสัมพันธ์ ระหว่างครูกับเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับความสนใจ และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่กับสิ่งที่เป็นไปได้
============================
ทำความรู้จักกับ SIR KEN ROBINSON และแนวคิดของเขาได้ที่ July Thought ตลอดทั้งเดือนได้ที่นี่ เร็วๆ นี้
============================

09/07/2025

ไม่มีใครสร้างชาติได้ด้วยเด็กที่รู้แต่ท่องจำ
แต่สร้างได้ด้วยเด็กที่ฝันได้ แล้วลงมือทำ
รัฐบาลไทยกำลังจะจัดงาน SPLASH ซึ่งเป็นงานที่พูดถึง Soft Power ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในชุดนี้
Mappa ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับ SPLASH พวกเราเพียงอยากฝากบทความที่เป็นเคสน่าสนใจจากประเทศนอร์เวย์ ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนใน “เศรษฐกิจสร้างสรรค์”​ โดยเริ่มต้นจากฐานที่สำคัญที่สุดก็คือ “เด็ก”
โครงการนี้คือ The Cultural Schoolbag ซึ่งเป็นโครงการระดับชาติ ต่อเนื่องทุกปี และทุกรัฐบาลไม่ว่าจะเปลี่ยนมาแล้วกี่รัฐบาลก็ให้ความสนใจและความใส่ใจสานงานกันอย่างต่อเนื่อง พวกเขาทำโครงการนี้เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ความฝันของเด็ก ๆ ในประเทศนอร์เวย์ ไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็น “สิทธิ” ที่รัฐต้องจัดส่งถึงมือเด็กทุกคน ซึ่ง “Schoolbag” หรือกระเป๋านักเรียนใบนั้น ไม่ได้บรรจุหนังสือเรียน แต่บรรจุ “ศิลปะ จินตนาการ และโอกาส” เข้าไปในชีวิตของเด็กทุกคน ในทุกภูมิภาคอย่างเท่าเทียม
The Cultural Schoolbag ไม่ใช่กิจกรรมอาสา แต่มีงบถาวร มีระบบกระจายถึงโรงเรียนห่างไกล มีความร่วมมือข้ามกระทรวง และที่สำคัญที่สุด เด็กไม่ได้แค่ผู้ดู ผู้เสพย์ แต่ได้ลองฝัน ได้เป็นผู้สร้าง ได้เล่าเรื่องของตัวเองผ่านศิลปะ และเขาได้เห็นว่าความฝันและจินตนาการของพวกเขา คือส่วนหนึ่งของประเทศนี้
โครงการนี้กำลังตอบคำถามที่สังคมไทยควรถามให้ชัดเจนขึ้นทุกวัน:
"เราจะจัดระบบยังไง ให้เด็กทุกคนฝันได้เท่ากัน?"
====================
อ่านบทความฉบับเต็มที่นี่ 👉 https://mappamedia.co/posts/the-cultural-schoolbag
====================

สมัครเลย มีดีมากกว่าที่คิดนะ  #ก่อการครู
08/07/2025

สมัครเลย มีดีมากกว่าที่คิดนะ #ก่อการครู

“ก่อการครู รุ่น 7” เปิดรับสมัครวันสุดท้าย!
ร่วมเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง พร้อมสัมผัสถึงหัวใจและความเป็นมนุษย์
ตระหนักถึงคุณค่า อำนาจภายใน เพื่อก่อร่างสร้างห้องเรียนที่มีความสุขและมีความหมายไปด้วยกัน
📌สมัครเลย! : https://forms.gle/DxLjQ1v6BfGkzNSe7
กรอกใบสมัครได้ถึงวันนี้ (8 ก.ค. 68) เวลา 23.59 น.
อย่าลืมเผื่อเวลาเขียนคำตอบในใบสมัครด้วยนะคะ 🥰
🎉ประกาศผลผู้มีสิทธิ์สัมภาษณ์ วันศุกร์ที่ 18 ก.ค. 68
🎉ประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือก วันอังคารที่ 29 ก.ค. 68
หน้าเพจ facebook @ก่อการครู
#ก่อการครู #ครูบันดาลใจจุดไฟการเรียนรู้ #ก่อการครูรุ่น7 #สสส

05/07/2025

#การปลูกฝังกาลเทศะ ไม่ใช่การบังคับ แต่คือ การสร้างวินัยอย่างค่อยเป็นค่อยไป สอนด้วยการชวนคิด ไม่ใช่ดุด่า ชมในทุกก้าวเล็ก ๆ ที่ลูกทำได้
เพราะ "พ่อ-แม่" คือ "คนสำคัญ" ที่จะทำให้ #กาลเทศะ กลายเป็นเรื่องธรรมชาติของลูกในทุก ๆ วัน 💛
📚 อ่านต่อ : https://thaip.bs/c8IJ8d6
#ไทยพีบีเอสคิดส์

ช่วงนี้ฝนตกบอกเลยว่าช่วยได้จริงของจริงลองแล้วhttps://s.shopee.co.th/9f9f3o1uZo
05/07/2025

ช่วงนี้ฝนตกบอกเลยว่าช่วยได้จริง

ของจริงลองแล้ว

https://s.shopee.co.th/9f9f3o1uZo

เปิดตัว ผลิตภัณฑ์เคลือบสีสูตรใหม่ ตัวนี้จะเป็นรุ่นเงาใส ความคงทนจะน้อยกว่า รุ่น Enigma ต้องลงบ่อยกว่า แต่มาใ.....

แนะนำเลย โรงคั่วนี้ ชิมมาแล้ว
01/07/2025

แนะนำเลย โรงคั่วนี้ ชิมมาแล้ว

Blueberry Blend Ethiopia + Colombia + Thailand Tasting Notes : Blueberry , Peach , Strawberry , Lychee , Caramel , Chocolate. —————— รายละเอียดเมล็ดกาแฟที่ใช้เบลน Ethiopia Yirgacheffe CM Colombia Supremo Thailand เทพเส.....

22/06/2025

มนุษย์มีความแตกต่างกัน แต่ก็ต้องอยู่ร่วมกัน

ในอดีต มีนักปรัชญาจีนโบราณ 2 คน นามว่า "ขงจื่อ" กับ "เหลาจื่อ" ปราชญ์ทั้งสอง เกิดร่วมสมัยกัน แต่มีแนวทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ขงจื่อ เชื่อในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ส่วนเหลาจื่อ เลือกที่จะหลีกลี้สังคม เพื่ออยู่กับธรรมชาติเดิมแท้

***

ยุคที่ปราชญ์ทั้ง 2 เกิดมานั้น เป็นยุคที่สังคมจีนเกิดความขัดแย้งไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ทุกหนทุกแห่งมีแต่ความวุ่นวาย คนจำนวนไม่น้อยสิ้นหวัง และเลือกที่จะหลีกลี้สังคมเพื่อรักษาชีวิตของตน และไม่คิดที่จะทำอะไรเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ขงจื่อไม่เห็นด้วยกับผู้หลีกลี้สังคม ขงจื่อเชื่อว่ามนุษย์มีความสามารถที่จะสร้าง "ชุมชนที่มีมนุษยธรรม" ขึ้นมาได้ ซึ่งการจะสร้างชุมชนดังกล่าวให้เป็นจริง มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ประสานสอดคล้อง เหมือนวงดนตรีที่แม้เครื่องดนตรีจะต่างกัน แต่สามารถร่วมบรรเลงจนเกิดเพลงที่ไพเราะได้

ส่วนเหล่าจื่อ วิธีคิดของเขาไปไกลกว่าสิ้นหวังหรือไม่สิ้นหวัง แต่มีความเชื่อว่าชีวิตของมนุษย์เดิมนั้นใกล้ชิดธรรมชาติ แต่เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกัน ทำให้มนุษย์ออกห่างจากธรรมชาติดั้งเดิมของตน ธรรมชาติมิได้สับสนวุ่นวาย ธรรมชาติไม่ได้แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ธรรมชาติที่ดำรงอยู่ของมันเช่นนั้น

***

การบ่มเพาะ Empathy มีกรอบคิดที่สามารถอ้างอิงทั้งขงจื่อและเหลาจื่อได้ ส่วนที่อ้างอิงขงจื่อ เห็นจะเป็นประเด็นเรื่องของการที่มนุษย์จะต้องเรียนรู้ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์มีศักยภาพที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามได้ หากไม่อยู่ร่วมกันแล้ว แน่นอนว่าสิ่งดีงามนั้นก็ไม่มีโอกาสจะเกิดขึ้น แต่มนุษย์ที่มีจำนวนประชากรมากมายในปัจจุบันย่อมมีความแตกต่างหลากหลาย ทำอย่างไรที่จะทำให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น หนึ่งในนั้นคงไม่พ้นเรื่องของการมี Empathy ระหว่างกัน

ส่วนที่อ้างอิงเหลาจื่อ เห็นจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการมองโลกตามที่เป็นจริง กล่าวคือโลกดั้งเดิมมิได้มีการแบ่งขั้ว ความขัดแย้งของมนุษย์ มักเกิดขึ้นจากมุมมองของมนุษย์เอง อาทิ มุมมองทางศีลธรรมที่ไม่เหมือนกัน หากเราตระหนักว่า สิ่งต่าง ๆ ที่ยึดอยู่ในใจของเรา เป็นสิ่งที่มนุษย์ตั้งเกณฑ์ขึ้น และไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เราอาจจะสามารถหาวิธีอยู่ร่วมกันได้อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยได้มากขึ้น

หากมนุษย์ไม่พยายามที่จะหาวิธีอยู่ร่วมกัน มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการปะทะระหว่างกัน เหตุไม่ลงรอยกันเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ แต่หากเราตั้งแกนว่า "ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นที่ต่างจากเรา" เมื่อนั้น Empathy ก็ไม่จำเป็น เพราะไม่มีความรู้สึกว่าต้องแคร์อีกฝ่ายต่อไปแล้ว

ภาวะต่างคนต่างอยู่ อาจพัฒนาไปสู่การกีดกัน ผลักไส หรือถึงขั้นใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ แต่จะทำอย่างไรให้อยู่กันอย่างราบรื่น กลมเกลียว สมดุล เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องร่วมกันขบคิด บนพื้นฐานที่ว่า "อย่างไรเสีย มนุษย์ก็จำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน"

19/06/2025

โรงเรียนแมวๆ by Sa-ard สะอาด : ระบบการศึกษาฆ่าฉัน
#โรงเรียนแมวๆ #ระบบการศึกษา

19/06/2025

BRIEF: อีกกี่ชีวิต ระบบถึงจะเปลี่ยน? จดหมายฉบับสุดท้ายของ ‘ครูมัท’ ก่อนเสียชีวิต เมื่อครูไทยต้องแบกรับ ‘ภาระงานที่มากเกินไป’ เหนื่อยใจกับเอกสาร ถูกโยนความผิด จนเครียดสะสม
Trigger Warning : ข่าวนี้มีการพูดถึงเรื่องการฆ่าตัวตาย
กี่ครั้งแล้วที่เราต้องพูดถึงปัญหาภาระงานที่มากล้นเกินไปที่ครูไทยต้องเผชิญ? ในกรณีล่าสุด ยังเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เมื่อมีครูคนหนึ่งที่จังหวัดบุรีรัมย์ ได้เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายก่อนเสียชีวิตถึงความเครียดจากภาระงานที่มากเกินไป
ในจดหมายของ ‘ครูมัท’ ข้าราชการครูวัย 39 ปี ได้เล่าถึงความเครียดที่เธอต้องเผชิญอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การเงิน การบัญชี ที่เธอต้องอยู่กับงานที่คั่งค้างและแก้ไขได้ยาก ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการที่ไม่มีประสิทธิภาพภายในโรงเรียน
ครูมัทเล่าในจดหมายว่า เธอต้องอยู่กับการทำงานที่ไม่เป็นระบบของโรงเรียน ให้เบิกเงินก่อน แล้วมาเคลียร์เอกสารภายหลัง แต่เวลาต้องมาเคลียร์เอกสารแล้วทำไม่ได้ เธอก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องมานั่งเครียดเองทุกวัน
ไม่เพียงแค่ภาระที่ต้องรับมือ ครูมัทยังต้องเครียดจากผลของระบบที่เธอถูกทำให้เป็น ‘คนผิด’ ในเรื่องราวเหล่านี้เสียเอง ทั้งที่เธอต้องทำตามคำสั่งอีกทีหนึ่ง
ครูมัทไม่ใช่ครูเพียงในระบบการศึกษาไทยที่ต้องเผชิญกับความเครียดเพราะเอกสารราชการ และการเบิกจ่ายทางราชการเช่นนี้
เคยมีผลการสำรวจจากเครือข่ายครูขอสอน ที่พบว่า ครูไทยร้อยละ 95 ต้องทำงานนานกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน และร้อยละ 58 ต้องทำงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ที่ผ่านมามีครูไทยจำนวนมากที่ต้องเครียดสะสมเพราะภาระงานที่มากเกินไป จนทำให้พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ ‘ครู’ ที่มีเวลาเต็มที่กับการสอนหนังสือ และเตรียมเนื้อหา ออกแบบการเรียนการสอนให้กับนักเรียนได้ เนื่องจากพวกเขาต้องรับผิดชอบกับ ‘งานเอกสาร’ และความเป็นพิษในระบบราชการกันอยู่ทุกวัน
ครูหลายคนยังถูกผลักภาระโดยอ้างว่าครูต้อง ‘เสียสละ’ ทั้งเวลาส่วนตัวและทรัพย์สินของตัวเองเพื่อแก้ปัญหาให้กับโรงเรียน บางคนกลายเป็นว่าต้องรับจบกับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบ หรือบางทีก็เป็นปัญหามาจากผู้บริหารของโรงเรียน
มิหนำซ้ำ ปัญหาภาระงานที่ล้นมากเกินไป ยังมาคู่กับค่าตอบแทนและเงินเดือนที่ไปทางตรงกันข้าม จนทำให้ครูหลายคนต้องยอมทิ้งความฝันของตัวเอง ลาออกจากการเป็นครู เพราะไม่สามารถอดทนอยู่กับระบบที่มีปัญหาได้อีกต่อไป
Policy Watch จาก ThaiPBS ระบุว่าต้นตอของปัญหานี้อยู่ที่โครงสร้างการบริหารแบบรวมศูนย์ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่การลดภาระงานเป็นช่วงๆ หรือเป็นงานละชนิดไป อาจไม่สามารถแก้ปัญหาระยะยาวได้ (เพราะลดไปช่วงเดียว ปัญหาก็จะกลับมาอีกในอนาคต)
สำหรับทางออกของเรื่องนี้จึงเป็นการแก้ปัญหารวมศูนย์ โดยเฉพาะนโยบายส่วนกลางคิดแล้วสั่งการออกไปโดยไม่ได้ตระหนักถึงข้อจำกัดและเงื่อนไขที่แต่ละโรงเรียนมีอยู่แต่เดิม รวมถึงวัฒนธรรมในระบบราชการที่เน้นเอกสาร มากกว่าประสิทธิผลที่แท้จริง
ล่าสุดนี้ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการในฐานะโฆษกของกระทรวงศึกษาฯ ระบุว่า ได้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในจังหวัดบุรีรัมย์แล้ว โดยยอมรับว่า ปัญหาของภาระงานครูมีอยู่ในหลายมิติ ถึงแม้กระทรวงจะพยายามลดสิ่งนี้ให้ได้แล้ว แต่สองปีที่ผ่านมา ปัญหาเรื่องนี้ก็ยังคงกลับมาอยู่ พร้อมกับหวังว่า กรณีของครูมัทจะเป็นกรณีสุดท้ายที่เกิดเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ขึ้นมา

19/06/2025

BRIEF: ทำไมครูถึงลาออก? รวมสาเหตุหลักที่ฝังรากลึก จนทำให้ครูไทยอยากลาออก
ทำไมครูถึงลาออก?
คำถามที่เราได้ยินวนเวียนกันอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม ไม่ว่าจะตัวระบบราชการที่กดทับคุณครูทุกระดับชั้น หรือภาระงานที่มีอะไรให้ทำมากกว่าการให้ความรู้และขัดเกลาเยาวชนของชาติ ซึ่งแลกมาด้วยค่าแรงที่แทบไม่พอหล่อเลี้ยงชีวิต ในขณะที่กระทรวงศึกษาฯ ก็ยังคงหาวิธีแก้ปัญหาที่เป็นเหมือนรากไม้ใหญ่นี้ไม่ได้เสียที The MATTER รวบรวมเหตุผลใหญ่ๆ ที่ทำให้ครูอยากลาออกมาให้ทุกคนลองอ่านกัน
#ภาระงานมากเกินไป
“คำว่าแบบเป็นครูแล้วสบายจะตาย คือตอนนี้จะตายแล้วแต่ยังไม่สบายเลย” สิ่งที่ครูโรงเรียนมัธมยมแห่งหนึ่งในภูเก็ตเคยให้สัมภาษณ์กับทาง The MATTER ซึ่งเธอเล่าว่า ภาระงานที่ต้องแบกไว้นั้นหนักหนาเหลือเกิน นอกเหนือไปจากงานเตรียมสอนแล้ว ยังต้องทำงานเอกสารอื่นๆ เพิ่มอีกมายมาย ไหนจะเข้าเวร จัดกิจกรรม จนทำให้มีเวลาในการจัดตารางเรียนให้มีประสิทธิภาพและน้อยลงไป ในขณะที่เวลาส่วนตัวของเธอเองก็ลดน้อยลงด้วยเช่นกัน
ภาระงานที่มากเกินไปได้นำไปสู่ข้องเรียกร้องจากกลุ่มครูต่างๆ เพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการ ‘คืนครูให้ห้องเรียน’ เพื่อให้ครูได้ทำหน้าที่เป็นครูจริงๆ

#ค่าตอบแทนน้อย
เมื่อพูดถึงหน้าที่สารพัดอย่าง ที่ครูหนึ่งคนต้องทำแล้ว เราอาจจะเข้าใจว่าค่าตอบแทนที่พวกเขาได้คงจะสมน้ำสมเนื้อเหมาะสมกับงานและความรับผิดชอบที่มหาศาล แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่เลย หลายเสียงของครูต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าได้รับค่าตอบแทนน้อยมากเมื่อเทียบกับแรงกายแรงใจที่เสียไป
โดยเงินเดือนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ตามพ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลกรทางการศึกษา (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 พบว่า
- ครูผู้ช่วย ขั้นต่ำ 15,050 บาท, ขั้นสูง 24,750 บาท
- ครู คศ.1 ขั้นต่ำ 15,440 บาท, ขั้นสูง 34,310 บาท
- ครู คศ.2 ขั้นต่ำ 16,190 บาท, ขั้นสูง 41,620 บาท
- ครู คศ.3 ขั้นต่ำ 19,860 บาท, ขั้นสูง 58,390 บาท
- ครู คศ.4 ขั้นต่ำ 24,400 บาท, ขั้นสูง 69,040 บาท
- ครู คศ.5 ขั้นต่ำ 29,980 บาท, ขั้นสูง 76,800 บาท
ซึ่งก็จะมีการประเมินเพื่อปรับเงินเดือน หรือหากใครต้องการให้เงินเดือนขยับสูงขึ้นเร็วกว่าระบบปกติ ก็ต้องทำวิทยฐานะเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือน อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากเรื่องค่าตอบแทนแล้ว สวัสดิการต่างๆ ของครูเองก็ไม่ได้ถูกทำความเข้าใจขนาดนั้น ทั้งการทำงานล่วงเวลา ถูกเกณฑ์ไปช่วยงานในวันหยุด หรือบ้านพักครูที่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่ปลอดภัย
#วัฒนธรรมองค์กร
ครูหลายคนที่ให้สัมภาษณ์กับ The MATTER ยอมรับว่า วัฒนธรรมองค์กรนั้นมีผลต่อจิตใจและทิศทางในการทำงานของพวกเขามาก เช่น โดนผู้บริหารสั่งให้ทำงานส่วนตัว ต้องคอยเสิร์ฟอาหารให้ หรือแม้กระทั่งเชิญมาขึ้นหน้าเสาธง ครูคนหนึ่งบอกเราว่า “ผู้บริหารมองว่าครูรุ่นใหม่ก็อดทนไปสิ สมัยเขาเป็นครูยังทนได้ แต่แทนที่เขาจะเข้าใจว่าเขาเคยลำบากมาก่อน คนรุ่นใหม่ๆ ก็ไม่ควรจะมาโดนแบบเขาอะไรแบบที่เขาโดน แต่เขาไม่ได้คิดแบบนั้น”
อีกหนึ่งปัญหาใหญ่คือ ‘อำนาจนิยมในโรงเรียน’ โดยครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล จากกลุ่มครูขอสอน เคยให้สัมภาษณ์ว่าด้วยกลไกทั้งโครงสร้างระบบราชการและวัฒนธรรมในระบบราชการ และวัฒนธรรมไทย มันอาจจะสร้างผู้คน ไม่ว่าจะผู้บริหาร หรือครู หรือเป็นใครก็ตามที่มีลักษณะของอำนาจนิยมให้เห็นในสังคม
ครูทิวอธิบายว่า หากอธิบายตามหลักการแล้วมันเป็นความเคยชิน การปลูกฝังมันหล่อหลอม ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งชนชั้นในโรงเรียนหรือในสังคม ซึ่งมันก็เกี่ยวโยงกับตำแหน่งด้วย ทำให้พวกเขาต้องกอดรัดหรือหวงแหนสถานภาพนั้นไว้ เมื่อมีใครก็ตามมาตีตัวเสมอหรือเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้ มันเลยทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะหากเสียสิ่งที่เรียกว่าเป็นเหมือน ‘เปลือก’ นี้ไป เขาอาจจะไม่เหลืออะไรเลย
#อำนาจกระจุกอยู่ที่ส่วนกลาง
ขณะที่อำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ อยู่ที่ส่วนกลาง ทำให้โรงเรียนไม่ได้มีอำนาจและโอกาสในการเลือก และจัดการได้อย่างเหมาะสมตามบริบทของโรงเรียน ถ้าหากโรงเรียนไหนที่มีเด็กเข้ามาเรียนน้อย ส่วนกลางก็อาจจะจัดสรรทรัพยากรมาให้น้อยตาม ขณะที่โรงเรียนที่มีขนาดเล็ก ก็ยังต้องทำตามนโยบายส่วนกลางที่ไม่ได้คำนึงถึงข้อจำกัดต่างๆ มากพอ นั่นกลายเป็นว่า ภาระงานที่ครูจะต้องแบกรับอาจจะหนักขึ้นกว่าปกติ เช่น ต้องดูแลเด็กๆ ในห้องมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการกำหนดนโยบายโดยส่วนกลางและกระจายลงมายังท้องถิ่น เช่น อำนาจในการเปิดสอบ เปิดคัดเลือก หรือบรรจุครูด้วยตัวเอง จึงเป็นที่มาของการเรียกร้องในปัจจุบันของกลุ่มครู ที่ต้องการให้มีการกระจายอำนาจจากกระทรวงฯ สู่โรงเรียนเพื่อให้จัดการตัวเองและแก้ปัญหาครู-นักเรียนอย่างเหมาะสม
อ้างอิงจาก
https://thematter.co/brief/thaiteacherpain/223774?fbclid=IwY2xjawK933RleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFEU0x6U051REplUTc2NWxyAR52lpy8x1rAmy-g9dMrDPwAS64w-aoCeV-GD7TgiefASbP53Pp9jTphNUAxGw_aem_j8Y8fpBaCF_QwrJDuU_Y1Q

https://otepc.go.th/th/content_page/item/2636-3-2558-2.html

https://thematter.co/social/education/why-thai-teachers-wanna-quit/160415

#ทำไมครูถึงลาออก

ที่อยู่

Kalasin

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ นายบอม วิทวัสศิวัชผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง นายบอม วิทวัสศิวัช:

แชร์