29/10/2025
นี่คือสรุป รายละเอียดของข้อตกลงระหว่างประเทศ ไทย และ สหรัฐ เกี่ยวกับ “แรร์ เอิร์ธ” (rare earth / critical minerals) ซึ่งเซ็นโดย อนุทิน ชาญวีรกูล (นายกรัฐมนตรีไทย) และ Donald J. Trump (ประธานาธิบดีสหรัฐ) พร้อมข้อสังเกตสำคัญที่ควรทราบ —
✅ สิ่งที่ตกลงกัน
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2025 ขณะที่ประชุม ASEAN ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU: Memorandum of Understanding) ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา เรื่องการร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานแรร์ เอิร์ธ (critical minerals/rare earths) และพลังงาน/การค้าโดยรวม
ใน MOU ระบุว่าเป็นเฟรมเวิร์กเพื่อ “การสำรวจ, การผลิต/สกัด, การแปรรูป, การรีไซเคิล และการกู้คืน” แรร์ เอิร์ธและแร่สำคัญต่างๆ ร่วมกันระหว่างไทย–สหรัฐฯ
ไทยยืนยันว่า MOU ฉบับนี้ ไม่ใช่สัญญาผูกมัดทางกฎหมาย (non-binding) และไม่ได้ให้สิทธิพิเศษแก่สหรัฐฯ ในการเข้าถึงทรัพยากรของไทยโดยตรงเหนือกฎหมายไทยทั่วไป
ไทยระบุว่า หากมีการค้นพบแหล่งแร่ที่มีศักยภาพในไทยจริงๆ ก็จะมีความร่วมมือด้านเทคโนโลยี, ตลาด, และการพัฒนาศักยภาพในไทยเอง โดยสหรัฐฯจะสามารถมีส่วนร่วมในเทคโนโลยีและตลาดที่สหรัฐฯถนัด
ข้อตกลงนี้ยังมีการเชื่อมโยงกับการเจรจาการค้าและลดอุปสรรคทางภาษี/การส่งออก-นำเข้า ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยไทยตั้งความหวังว่าอาจจะทำให้สินค้าส่งออกไทยได้เงื่อนไขที่ดีกว่าในอนาคต
⚠️ ประเด็นที่ควรสังเกต / ข้อกังวล
ฝ่ายค้านในไทยวิจารณ์ว่า การเซ็น MOU ครั้งนี้ “ไม่มีการหารือล่วงหน้าอย่างกว้างขวาง” กับสภาหรือสาธารณชน และเกรงว่าไทยอาจเสียเปรียบในเรื่องสิ่งแวดล้อม, สิทธิชุมชน หรืออาจกลายเป็นฐานแร่ของต่างชาติได้ง่ายขึ้น
ถึงแม้จะเป็น MOU ที่ไม่ผูกมัดทางกฎหมาย แต่การดำเนินงานจริง (เช่น การสำรวจ การขุด การแปรรูป) จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย และต้องผ่านกระบวนการประมูลเปิดและแข่งขันตามมาตรฐานธรรมาภิบาลไทย
ไทยยังไม่มีระบบการจัดประเภท “critical minerals” ที่ชัดเจนเท่าประเทศอื่นๆ และศักยภาพด้านการแปรรูป (down-stream processing) ในไทยยังถือว่ายังเริ่มแรกอยู่มาก — ดังนั้นหากจะให้เห็นผลจริงอาจใช้เวลานานมาก
มีความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน หากมีการสกัดแร่และแปรรูป โดยเฉพาะข้อเรียนรู้จากแหล่งแร่ในประเทศเพื่อนบ้านว่ามีผลกระทบทางน้ำ/ดิน/ชุมชนได้
ในมุมทางภูมิรัฐศาสตร์ การเซ็น MOU นี้ถือว่าไทยกำลังอยู่ในจุดที่ “กึ่งกลาง” ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยจีนถือครองอำนาจสูงในตลาดแรร์ เอิร์ธโลก (~70% ของการสกัด และ ~90% ของการแปรรูป)
🎯 ทำไมดี / โอกาส
สำหรับไทย: โอกาสในการได้รับเทคโนโลยี สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ (ไม่ใช่แค่ขายวัตถุดิบ) และเป็นการขึ้นแท่นเป็นฐานในห่วงโซ่อุปทานใหม่ของแรร์ เอิร์ธ ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุนและการจ้างงานในอนาคต
สำหรับสหรัฐฯ: เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาจีนในแรร์ เอิร์ธ และหาห่วงโซ่อุปทานสำรองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
---
📌 สรุป
MOU ไทย-สหรัฐฯ คือ ข้อห้วงความเข้าใจ (framework cooperation) มากกว่าข้อตกลงฉบับผูกมัด
ไทยไม่ได้มอบสิทธิพิเศษล่วงหน้าให้สหรัฐฯ ต่อแร่ไทยโดยอัตโนมัติ — ทุกอย่างต้องผ่านกฎหมายไทยและกระบวนการแข่งขัน
ผลจริงขึ้นอยู่กับว่าไทยจะสามารถพัฒนาแหล่งแร่ การแปรรูป และตลาดได้มากแค่ไหน — ซึ่งอาจใช้เวลานาน
ต้องจับตาเรื่องสิ่งแวดล้อม, ชุมชน, และการกำกับดูแลให้ดี เพื่อให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุด และไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนี่คือสรุป รายละเอียดของข้อตกลงระหว่างประเทศ ไทย และ สหรัฐ เกี่ยวกับ “แรร์ เอิร์ธ” (rare earth / critical minerals) ซึ่งเซ็นโดย อนุทิน ชาญวีรกูล (นายกรัฐมนตรีไทย) และ Donald J. Trump (ประธานาธิบดีสหรัฐ) พร้อมข้อสังเกตสำคัญที่ควรทราบ —
✅ สิ่งที่ตกลงกัน
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2025 ขณะที่ประชุม ASEAN ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU: Memorandum of Understanding) ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา เรื่องการร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานแรร์ เอิร์ธ (critical minerals/rare earths) และพลังงาน/การค้าโดยรวม
ใน MOU ระบุว่าเป็นเฟรมเวิร์กเพื่อ “การสำรวจ, การผลิต/สกัด, การแปรรูป, การรีไซเคิล และการกู้คืน” แรร์ เอิร์ธและแร่สำคัญต่างๆ ร่วมกันระหว่างไทย–สหรัฐฯ
ไทยยืนยันว่า MOU ฉบับนี้ ไม่ใช่สัญญาผูกมัดทางกฎหมาย (non-binding) และไม่ได้ให้สิทธิพิเศษแก่สหรัฐฯ ในการเข้าถึงทรัพยากรของไทยโดยตรงเหนือกฎหมายไทยทั่วไป
ไทยระบุว่า หากมีการค้นพบแหล่งแร่ที่มีศักยภาพในไทยจริงๆ ก็จะมีความร่วมมือด้านเทคโนโลยี, ตลาด, และการพัฒนาศักยภาพในไทยเอง โดยสหรัฐฯจะสามารถมีส่วนร่วมในเทคโนโลยีและตลาดที่สหรัฐฯถนัด
ข้อตกลงนี้ยังมีการเชื่อมโยงกับการเจรจาการค้าและลดอุปสรรคทางภาษี/การส่งออก-นำเข้า ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยไทยตั้งความหวังว่าอาจจะทำให้สินค้าส่งออกไทยได้เงื่อนไขที่ดีกว่าในอนาคต
⚠️ ประเด็นที่ควรสังเกต / ข้อกังวล
ฝ่ายค้านในไทยวิจารณ์ว่า การเซ็น MOU ครั้งนี้ “ไม่มีการหารือล่วงหน้าอย่างกว้างขวาง” กับสภาหรือสาธารณชน และเกรงว่าไทยอาจเสียเปรียบในเรื่องสิ่งแวดล้อม, สิทธิชุมชน หรืออาจกลายเป็นฐานแร่ของต่างชาติได้ง่ายขึ้น
ถึงแม้จะเป็น MOU ที่ไม่ผูกมัดทางกฎหมาย แต่การดำเนินงานจริง (เช่น การสำรวจ การขุด การแปรรูป) จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย และต้องผ่านกระบวนการประมูลเปิดและแข่งขันตามมาตรฐานธรรมาภิบาลไทย
ไทยยังไม่มีระบบการจัดประเภท “critical minerals” ที่ชัดเจนเท่าประเทศอื่นๆ และศักยภาพด้านการแปรรูป (down-stream processing) ในไทยยังถือว่ายังเริ่มแรกอยู่มาก — ดังนั้นหากจะให้เห็นผลจริงอาจใช้เวลานานมาก
มีความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน หากมีการสกัดแร่และแปรรูป โดยเฉพาะข้อเรียนรู้จากแหล่งแร่ในประเทศเพื่อนบ้านว่ามีผลกระทบทางน้ำ/ดิน/ชุมชนได้
ในมุมทางภูมิรัฐศาสตร์ การเซ็น MOU นี้ถือว่าไทยกำลังอยู่ในจุดที่ “กึ่งกลาง” ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยจีนถือครองอำนาจสูงในตลาดแรร์ เอิร์ธโลก (~70% ของการสกัด และ ~90% ของการแปรรูป)
🎯 ทำไมดี / โอกาส
สำหรับไทย: โอกาสในการได้รับเทคโนโลยี สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ (ไม่ใช่แค่ขายวัตถุดิบ) และเป็นการขึ้นแท่นเป็นฐานในห่วงโซ่อุปทานใหม่ของแรร์ เอิร์ธ ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุนและการจ้างงานในอนาคต
สำหรับสหรัฐฯ: เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาจีนในแรร์ เอิร์ธ และหาห่วงโซ่อุปทานสำรองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
---
📌 สรุป
MOU ไทย-สหรัฐฯ คือ ข้อห้วงความเข้าใจ (framework cooperation) มากกว่าข้อตกลงฉบับผูกมัด
ไทยไม่ได้มอบสิทธิพิเศษล่วงหน้าให้สหรัฐฯ ต่อแร่ไทยโดยอัตโนมัติ — ทุกอย่างต้องผ่านกฎหมายไทยและกระบวนการแข่งขัน
ผลจริงขึ้นอยู่กับว่าไทยจะสามารถพัฒนาแหล่งแร่ การแปรรูป และตลาดได้มากแค่ไหน — ซึ่งอาจใช้เวลานาน
ต้องจับตาเรื่องสิ่งแวดล้อม, ชุมชน, และการกำกับดูแลให้ดี เพื่อให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุด และไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ