04/08/2025
#สันนิษฐานรูปแบบปราสาทโดนตวล ชวนมองคุณค่า และความสัมพันธ์ทางมรดกทางวัฒนธรรมข้ามเส้นเขตแดน #คิดเล่นให้เป็นอย่าง
—-----------------------------------------------
#ย้อนมองภูมิศาสตร์-ประวัติศาสตร์
ปราสาทโดนตวล (Prasat Don Tuan) บ้านภูมิซรอล จังหวัดศรีสะเกษ คือหนึ่งในเทวาลัยบนเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งอยู่ท่ามกลางการสู้รบจากปัญหาเส้นเขตแดนไทยและกัมพูชา สิ่งก่อสร้างที่ยังเหลือของปราสาทแห่งนี้ ได้แก่ ปราสาทประธานที่มีมณฑปอยู่ด้านหน้า สภาพค่อนข้างดี หันหน้าไปทางทิศตะวันออก, อาคารบริวาร 2 หลัง เหลือเพียงฐาน และสระน้ำ
ปราสาทโดนตวลไม่มีประวัติการก่อสร้างแน่ชัด แต่พบจารึก 1 หลัก บริเวณกรอบประตูทางเข้ามณฑป กล่าวถึง บรมบพิตรให้เผยแพร่คำประกาศจับสองข้าทาส 2 คน มอบให้เป็นข้าทาสแก่พระกัมรเตงชคัต ในปี 1002 (พ.ศ. 1545) อันเป็นปีสุดท้ายของรัชกาลพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 1 และเป็นปีแรกในการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 [1]
บริเวณปราสาทโดนตวล และช่องตาเฒ่า ถือเป็นพื้นที่หนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างที่ราบสูงโคราช กับพื้นที่ราบลุ่มโตนเลสาบ รวมทั้งเชื่อมกับเมืองและรัฐต่าง ๆ ในสมัยเขมรโบราณในปัจจุบันทางสัญจรเหล่านี้หลงเหลือวัตถุสถานตลอดรายทางเป็นจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงเครือข่ายชุมชนที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น
หากเราลงจากช่องตาเฒ่าลงมายังพื้นที่เขมรต่ำ แล้วมุ่งหน้าเลียบพนมดงรักไปทางตะวันออกราว ๆ 50 - 60 กิโลเมตร ไปยังบริเวณเชิงเขาพนมฉัตร ส่วนหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรัก คือที่ตั้ง ปราสาทนาคบวช (Prasat Neak Buos) เทวาลัยที่ปราสาทประธานเสมือนคู่แฝดของปราสาทโดนตวล
ปราสาทนาคบวชเป็นเทวาลัยขนาดใหญ่ ที่มีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น และชาญฉลาดในการวางแผนผัง โดยกลุ่มปราสาทประธานตั้งอยู่บนที่ลาดเชิงเขา หันหน้าไปทางทิศใต้อันเป็นที่ราบ ฐานเทวาลัยก่อด้วยศิลาแลงซ้อนเป็นชั้น ๆ ทับบนเชิงเขา และมีบันไดเพื่อให้ศาสนิกชนขึ้นไปยังปราสาทได้ การวางผังรับกับภูมิประเทศเช่นนี้คล้ายกับปราสาทตาเมือนธม
ปราสาทนาคบวชมีอาคารและจารึกจำนวนมาก หลายยุคหลายสมัย มีการกล่าวถึง ศิวบาทบุรพา หรือ ศิวบาทตะวันออก (Śivapāda pūrvva) มาตั้งแต่สมัยก่อนพระนคร อาจารย์กังวล คัชชิมา คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร ได้อธิบายไว้ว่าศิวบาทบุรพาน่าจะมีคติเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับศิวบาทปัศจิม (ตะวันตก) ซึ่งเป็นประธานของปราสาทตาเมือนธม
สำหรับบทความนี้สนใจจารึก 2 หลัก ที่สลักไว้บริเวณกรอบประตูปราสาทบริวารคู่หน้าปราสาทประธาน (K.342E และ K.342W) เนื้อความในจารึกได้อ้างถึง พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 มีพระราชโองการให้ขุนนางถวายสิ่งของที่ดิน ข้าทาส แด่ศิวบาทบุรพพา และลิงคปุระ (Liṅgapura ณ ที่นี้น่าจะหมายถึง วัดพู) ในปี 1008 (พ.ศ. 1551) และ 1015 (พ.ศ. 1558) [2]
—-----------------------------------------------
#สืบหาที่มาศิลปะสถาปัตยกรรม
—-----------------------------------------------
ปราสาทโดนตวล และปราสาทประธานของปราสาทนาคบวช แม้จะมีขนาดที่แตกต่างกันพอสมควร แต่มีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันอย่างมาก โดยทั่วไปตัวปราสาทเป็นแบบมาตรฐานที่นิยมมาตั้งแต่ศิลปะสมัยพะโคถึงสมัยแปรรูป แผนผังแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม ประตูทางเข้ามีเพียงด้านหน้าด้านเดียว ภายในเป็นห้องครรภคฤหะประดิษฐานรูปเคารพ เรือนธาตุก่อสร้างแบบผนังรับน้ำหนัก ส่วนยอดก่อแบบสันเหลื่อม อย่างไรก็ตามปราสาททั้งสองมีลักษณะพิเศษที่โดดเด่นแตกต่างจากที่อื่น คือเป็น ปราสาทประธานครึ่งอิฐครึ่งศิลาแลงที่มีมณฑปด้านหน้า
ลักษณะพิเศษที่ว่าดูมีความเกี่ยวข้องกับสกุลช่างที่เมืองเกาะแกร์อย่างน่าสนใจ หากกล่าวถึง เกาะแกร์ หรือ โฉกครรคยาร์ หรือ ลิงคะปุระ เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเขมรในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงราว 17 ปี (ปี 928-944, พ.ศ. 1471-1487) แต่สถาปัตยกรรมกลับโดดเด่นหลากหลาย และมีการพลิกแพลงผสมผสานวัสดุการก่อสร้างศิลาแลง อิฐ และหินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ศิลปะสมัยเกาะแกร์ได้ส่งต่อรูปแบบและเทคนิคการก่อสร้างในศิลปะสมัยถัด ๆ ไป โดยเฉพาะนอกเมืองหลวง คู่ขนานไปกับรูปแบบช่างหลวงของยโศธรปุระ ปราสาทโดนตวลและปราสาทนาคบวชเองก็น่าจะได้รับอิทธิพล #สายพัฒนาการศิลปะสถาปัตยกรรมนอกเมืองหลวง มาไม่น้อย ที่สำคัญได้แก่
I การใช้วัสดุผสม: ศิลปะสมัยเกาะแกร์เริ่มใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้างปราสาทประธานอย่างแพร่หลาย แต่การใช้ครึ่งอิฐครึ่งศิลาแลงพบที่เกาะแกร์ ในสมัยที่ไม่ได้เป็นเมืองหลวงแล้ว โดยพบอย่างน้อย 2 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ ปราสาทดาน (Prasat Dan) มีจารึก K.674 ระบุ ปี 966 (พ.ศ. 1509) ช่วงปลายรัชกาลพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 (ร่วมสมัยศิลปะแปรรูป) [3] ช่วงนั้นเมืองยโศธรปุระเป็นเมืองหลวง
I เทคนิคการก่อสร้าง: การผสมผสานวัสดุและเทคนิคการก่อสร้างที่ใช้โครงสร้างเสาหิน แปหัวเสาหิน ผนังศิลาแลงเจาะรูสำหรับรับโครงสร้างหลังคาไม้ แบบเดียวกับที่ปราสาทโดนตวลและนาคบวช เริ่มพบร่องรอยตั้งแต่ศิลปะสมัยพะโค เมืองหริหราลัย ที่ปราสาทบริวารปราสาทพะโค แต่ที่ชัดเจนในเมืองเกาะแกร์ เช่น ที่โคปุระปราสาทกระจับ (Prasat Krachap) อาคารบริวารปราสาทธม (Prasat Thom) ศิลปะสมัยเกาะแกร์ และพบเรื่อยมาจนถึงศิลปะสมัยแปรรูปที่เมืองยโสธรปุระ
I แผนผังและรูปแบบศิลปะ: แผนผังเทวาลัยปราสาทนาคบวช
ที่ปราสาทประธานล้อมรอบด้วยปราสาทบริวารขนาดเล็ก 8 หลัง ดูคล้ายกับปราสาทบันทายปีร์จอน (Prasat Banteay Pir Choan) ที่เมืองเกาะแกร์ (ศิลปะสมัยเกาะแกร์) และปราสาทดัป (Prasat Dap) เทวาลัยนอกพระนครที่อยู่ไม่ห่างจากเทือกเขาพนมดงรักมากนัก (สภาพรกร้าง ไม่ทราบอายุสมัย) ส่วนทับหลังของนาคบวชคล้ายคลึงกับศิลปะเกาะแกร์
I พัฒนาการของมณฑป: นอกจากนี้การทำมณฑปยื่นหน้าปราสาทประธานก็อาจจะมีต้นสายพัฒนาการมาจาก ปราสาทประธานอิฐ ที่ปราสาทธม (Prasat Thom) เมืองเกาะแกร์ (ศิลปะสมัยเกาะแกร์) อย่างไรก็ตาม ปราสาทโดนตวลก็มีรูปแบบสถาปัตยกรรมมณฑปที่พัฒนาไปมากกว่ามณฑปสมัยเกาะแกร์รวมไปถึงศิลปะสมัยแปรรูปและบันทายสรี
โดยมณฑปประกอบด้วยเสาในประธาน (เสาร่วมใน) ที่รองรับคานคอสอง และหลังคาปีกนก ซึ่งเป็นลักษณะที่เราพบในปราสาทหินศิลปะสมัยคลังถึงต้นบาปวน เช่น วิหารหน้าปราสาทประธานที่ปราสาทพระวิหาร มณฑปที่ปราสาทบาเสท (Prasat Baset) มณฑปที่ปราสาทเอกพนม (Prasat Ek Phnom) และปราสาทอิฐ ณ มณฑปที่ปราสาทพนมจีสอร์ (Prasat Phnom Chisor) หากมองในประเด็นนี้จะเห็นว่าปราสาทโดนตวล และปราสาทนาคบวชเป็นชิ้นส่วน (Jigsaw) สำคัญหนึ่งในกลุ่มศิลปะสถาปัตยกรรมนอกเมืองหลวง ที่อาจจะช่วยเชื่อมต่อ และอธิบายพัฒนาการด้านสถาปัตยกรรมเขมรโบราณได้หลายมิติมากขึ้น
#บทส่งท้าย #ความสัมพันธ์ทางมรดกทางวัฒนธรรมข้ามเส้นเขตแดน
ความคล้ายคลึงกันด้านวัสดุ การก่อสร้าง และรูปแบบศิลปสถาปัตยกรรมที่เปรียบเทียบข้างต้นด้วยการมองผ่านสายสัมพันธ์จากจุดเริ่มต้นที่ ปราสาทโดนตวลเชื่อมโยงมาถึงเทวาลัยสำคัญที่เกี่ยวเนื่อง ได้แสดงให้เห็นร่อยรอยของการเชื่อมโยงกันศิลปะสถาปัตยกรรมตั้งแต่สมัยเกาะแกร์ถึงต้นสมัยบาปวน ในช่วงกลางศตวรรษที่ 10 ถึงต้นศตวรรษที่ 11 (ปลายพุทธศตวรรษที่ 15 - กลางพุทธศตวรรษที่ 16) โดยเฉพาะที่บริเวณเมืองและชุมชนต่าง ๆ ทางตอนเหนือของพระนครไปจนถึงพนมดงรักพบเทวาลัยจำนวนมากที่ผสมผสานการใช้วัสดุอิฐ หิน และศิลาแลง
ช่วงเวลาการเกิดขึ้นและพัฒนาการของรูปแบบลูกผสม (Hybrid) ดังกล่าวอาจกินเวลายาวมาถึงสมัยพระเจ้าสูริยวรมันที่ 1 ช่วงต้น ขณะที่พระองค์ครองราชย์นอกเมืองหลวง ยโศธรปุระ ปัจจุบันนักวิชาการให้น้ำหนักว่าพระองค์มีฐานที่มั่นทางตะวันออกของเมืองหลวง [4] และมีภูมิภาคพนมดงรักก็เป็นอีกฐานกำลังหนึ่งของพระองค์ [5] ซึ่งหลังจากปี 1010 (พ.ศ. 1553) ที่พระองค์ชนะสงครามกลางเมืองที่ยโศธรปุระอย่างเด็ดขาด การก่อสร้างเทวาลัยโดยใช้หินในบริเวณนอกพระนครหลวงจึงมีเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ในบริเวณที่ราบสูงโคราชยังคงนิยมก่อสร้างปราสาทด้วยอิฐเป็นวัสดุหลักมาอย่างยาวนานมาถึงสมัยบาปวน และบางแห่งล่วงมาถึงสมัยนครวัด หากแต่มีการผสมผสานหินมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของปราสาทประธานมากขึ้น ยกเว้นในกรณีราชวงศ์มหินธรปุระที่ได้สะสมกำลังอำนาจได้อย่างยิ่งใหญ่ จนสามารถสร้างปราสาทหินอันโดดเด่นได้สำเร็จตั้งแต่สมัยบาปวน ในกรณี ปราสาทพิมาย
การสันนิษฐานรูปแบบปราสาทโดนตวลฉบับสังเขปนี้ ได้ใช้หลักฐานเชื่อมโยงกับรูปแบบศิลปะสถาปัตยกรรมในช่วงกลางศตวรรษที่ 10 ถึงต้นศตวรรษที่ 11 ได้แก่ ศิลปะเกาะแกร์ บันทายสรี แปรรูป คลัง และบาปวน มาเทียบเคียงเพื่อสร้างจินตภาพให้เห็นถึงรูปแบบและความสัมพันธ์ทางศิลปะวัฒนธรรมในโลกที่ยังไม่มีเส้นเขตแดนรัฐชาติ
ท่ามกลางบรรยากาศอันคุกรุ่นไปด้วยอารมณ์ คิดอย่างอยากพาแฟนเพจสำรวจอีกมุมมองหนึ่ง และชวนให้ลองมองหาสายสัมพันธ์ของมรดกทางวัฒนธรรมรวมถึงผู้คนในภูมิภาคพนมดงรักไปด้วยกัน.
—-----------------------------------------------
ภาพสันนิษฐานโดย คิดอย่าง x บทความโดย
โครงการวิจัยการก่อสร้างปราสาทอิฐสมัยพระนครฯ ในชุดโครงการวิจัยอาเซียนเป็นหนึ่ง
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.ศิลปากร
—-----------------------------------------------
รายการอ้างอิง
[1] ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย, จารึกปราสาทโดนตวล 1, เข้าถึงได้จาก https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/1168
[2] Coedès, G. (1954). Inscriptions du Cambodge, vol. VI. p. 236-239. สืบค้นใน http://sealang.net/ok/classic.htm
[3] Coedès, G. (1959). Inscriptions du Cambodge, vol. VII. p. 89-90. สืบค้นใน http://sealang.net/ok/classic.htm
[4] Dominique Soutif and Julia Estève, “Texts and Objects Exploiting the Literary Sources of Medieval Cambodia,” in The Angkorian World, ed. Mitch Hendrickson, Miriam T. Stark, and Damian Evans (London: Routledge, 2023), p. 36-37.
[5] มีจารึกหลายหลักในบริเวณเทือกเขาพนมดงรักที่กล่าวถึงพระเจ้าสูริยวรมันที่ 1 ก่อนพระองค์ครองราชย์ที่เมืองยโศธรปุระ เช่น จารึก K. 381 ที่ปราสาทพระวิหาร ระบุว่าพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 ทรงสถาปนา “วีราศรม" (vīrāśrama) ขึ้นในปี ค.ศ. 1002 ซึ่งเป็นปีแรกของการอ้างสิทธิ์ในราชสมบัติ , จารึก K.342 ที่ปราสาทนาคบวช ซึ่งกล่าวไปแล้วในบทความ อ้างใน Chea Socheat , Julia Estève , Dominique Soutif and Edward Swenson, “Āśramas, Shrines, and Royal Power,” in The Angkorian World, ed. Mitch Hendrickson, Miriam T. Stark, and Damian Evans (London: Routledge, 2023), p. 282.