Radio Thailand Narathiwat

Radio Thailand Narathiwat สารพันข่าวสารที่น่าสนใจ ย่อยข่าวที่คุณสนใจที่นี่ที่เดียว

08/08/2025
08/08/2025
“มาริษ” ถก 70 ทูตและผู้แทนไทยทั่วโลก ชื่นชมผล GBC กำชับติดตามประเมินเฟคนิวส์กัมพูชา-ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” ระบุจะเจร...
07/08/2025

“มาริษ” ถก 70 ทูตและผู้แทนไทยทั่วโลก ชื่นชมผล GBC กำชับติดตามประเมินเฟคนิวส์กัมพูชา-ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” ระบุจะเจรจาทางการทูต ต้องเคารพข้อตกลง 13 ข้อ

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศ ทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบาย และแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน

นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อว่า เป็นพัฒนาการ และก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงฯ พร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขา การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป

นายมาริษ ขอบคุณเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ที่ทำหน้าที่ชี้แจงข้อมูล และนำเสนอความจริงกับประเทศต่าง ๆ และองค์การระหว่างประเทศอย่างเข้มแข็งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตามนโยบาย และแนวทางของรัฐบาล ซึ่งกระทรวงฯ พร้อมสนับสนุนการดำเนินการของสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลใหญ่ทุกแห่งต่อไป

นายมาริษ ยังระบุว่า ตนเองได้ย้ำในการบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้แก่คณะทูต และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทยว่า ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไทยต้องการ และไทยไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้ แต่ในเมื่อฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากโจมตีไทยก่อน โดยเฉพาะการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ซึ่งละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ไทยจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องดำเนินการตอบโต้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และประเทศไทย ไม่เคยละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ไม่เคยเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน และรัฐบาลไทย ยังคงยึดมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนกับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ด้วยความจริงใจและสุจริตใจ และหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะตอบสนองในลักษณะเดียวกัน โดยขอให้เอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ ยังคงเดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริงกับประเทศเจ้าภาพต่อไป ซึ่งเหล่านี้ เป็นเนื้อหาหลักที่สำคัญในการชี้แจงกับต่างประเทศ ที่ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” และขอให้เอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศทั่วโลก ดำเนินการเชิงรุกในการเดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์และพิสูจน์ได้ เพื่อย้ำความสุจริตใจ และความน่าเชื่อถือของประเทศไทย และการเป็นประเทศที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศด้วย

ส่วนในเรื่องข่าวปลอม ซึ่งที่ผ่านมากัมพูชาดำเนินการอย่างเป็นระบบในทุกระดับนั้น นายมาริษ ได้กำชับขอให้เอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศทั่วโลก ติดตามข่าวสารในสื่อท้องถิ่น ตลอดจนเครือข่ายต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ยุติการโจมตีด้วยข้อมูลที่บิดเบือนตามข้อตกลงแล้วหรือไม่ และรายงานกลับมายังส่วนกลาง และหากยังมีการดำเนินการเช่นนั้นอยู่ จะได้เร่งชี้แจงฝ่ายต่าง ๆ อย่างทันท่วงที พร้อมเน้นย้ำให้ประชาคมโลก อย่าหลงเชื่อข่าวปลอมของฝ่ายกัมพูชา โดยไม่ตรวจสอบข้อมูลกับฝ่ายไทยก่อน

นายมาริษ ยังขอให้สถานทูต และกงสุลใหญ่ในประเทศที่มีชุมชนชาวกัมพูชาอยู่เป็นจำนวนมาก ติดตามความเคลื่อนไหว ถึงการเผยแพร่ข่าวเท็จที่จะกระทบกับภาพลักษณ์ของไทย และอาจจะเป็นการละเมิดข้อตกลงจากที่ประชุม GBC ด้วย และสำหรับเวทีพหุภาคีต่าง ๆ ทั้งเวทีสหประชาชาติ อาเซียน UNESCO ICRC และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ หรือ HRC และอื่น ๆ ขอให้เอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ คงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ และฝ่ายเลขานุการของกลไกนั้น ๆ เพื่อชี้แจงจุดยืนของไทยในเวทีโลก และกรอบสำคัญที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะภายใต้อนุสัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาท่าที ย้ำบทบาทที่สร้างสรรค์ และแสดงความยึดมั่นต่อพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย

สำหรับประเด็นกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หรือ IHL นั้น นายมาริษ ย้ำว่า เป็นกรอบสำคัญที่สามารถแสดงให้ต่างชาติเห็นว่า กัมพูชา เป็นฝ่ายละเมิดกฎหมายและหลักสากล โดยไทยดำเนินการตามกรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ โดยการประสานงานกับกองทัพบก ได้อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของ ICRC ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมและสังเกตการณ์สภาพความเป็นอยู่ของทหารกัมพูชาจำนวน 18 คนที่ยังคงถูกควบคุมตัวในฐานะเชลยศึก เพื่อยืนยันถึงความโปร่งใสของการดำเนินการของไทย และการปฏิบัติต่อเชลยศึกที่ยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมภายใต้อนุสัญญาเจนีวาและกฎหมายระหว่างประเทศ

นายมาริษ ยังย้ำว่า ไทยยังคาดหวังให้ฝ่ายกัมพูชา ยึดมั่น และดำเนินการตามข้อตกลงอย่างจริงจังและจริงใจ ซึ่งไทยเองก็มีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าเจรจา เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ ให้สามารถกลับมาเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะของประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน และของภูมิภาคอาเซียนโดยรวม

//////////

07/08/2025

การแถลงข่าวผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ (GBC) โดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษก ศบ.ทก.ด้านความมั่นคง จากประเทศมาเลเซีย เวลา 14.30 น.

Press Conference of the Thai-Cambodian General Border Committee (GBC) Meeting, by General Nattapon Nakpanit, Deputy Minister of Defence, acting Minister of Defence, and Rear Admiral Surasant Kongsiri, Spokesperson of the Ad Hoc Centre for the Thailand-Cambodia Border Situation.

📍 Live from Malaysia
🕝 7 August 2025 at 14:00 hrs. (Thai local time)


#รวมใจไทยเป็นหนึ่ง

ครม. ขยายโครงการ “คุณสู้ เราช่วย”  ระยะที่ 2 เพิ่มเติมให้ครอบคลุมคุณสมบัติกลุ่มลูกหนี้มากขึ้นมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่...
07/08/2025

ครม. ขยายโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 2 เพิ่มเติมให้ครอบคลุมคุณสมบัติกลุ่มลูกหนี้มากขึ้น
มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 2 และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
1. เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 2 ของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณตามที่ได้รับการจัดสรรเพื่อดำเนินโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 และได้มีการปรับปรุงกรอบวงเงินงบประมาณของแต่ละสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions: SFIs) ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแล้ว ทั้งนี้ มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ทั้ง 6 แห่ง ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) แต่ละแห่งต่อไป
2. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบ
จาก COVID-19 ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. รับทราบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปรวมทั้งรับทราบเป้าหมายลูกหนี้ที่จะได้รับการช่วยเหลือลดภาระหนี้ผ่านมาตรการของกระทรวงการคลัง
เรื่องเดิม
1. โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” คณะรัฐมนตรีมีมติ (11 ธันวาคม 2567) เห็นชอบการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises:SMEs) (โครงการ
“คุณสู้ เราช่วย”) ของธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. ธอท. ธสน.
และ ธพว. พร้อมอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวนรวมทั้งสิ้น 38,920 ล้านบาท เพื่อชดเชยการสูญเสียรายได้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ทั้ง 6 แห่ง ตามโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และรับทราบการปรับลดอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF Fee) เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินมาตรการฯ รวมทั้งมีมติในส่วนอื่น ๆ
2. มาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 คณะรัฐมนตรีมีมติ (5 พฤษภาคม 2564) เห็นชอบมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 อนุมัติงบประมาณวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินมาตรการดังกล่าว มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ สาระสำคัญ
วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตให้แก่ประชาชนและบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
แนวทางการดำเนินการ ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท (แห่งละ 10,000 ล้านบาท) ให้แก่ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้มีรายได้ประจำ
(ยื่นคำขอสินเชื่อ ผ่านธนาคารออมสิน) และเกษตรกรรายย่อยหรือลูกจ้างภาคการเกษตร (ยื่นคำขอสินเชื่อ ผ่าน ธ.ก.ส.) วงเงินสินเชื่อไม่เกินรายละ 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ไม่เกิน ร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี (ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก)
ระยะเวลาการยื่นขอสินเชื่อ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (4 มกราคม 2565) ขยายระยะเวลาออกไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2565
งบประมาณ รัฐบาลชดเชยความเสียหายที่เกิดจากหนี้ NPLs รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 10,000 ล้านบาท (แห่งละไม่เกิน 5,000 ล้านบาท)

แนวทางการดำเนินโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 2
ภายใต้เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง จากทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ส่งผลให้ความสามารถทางการแข่งขันลดลง และความท้าทายจากนโยบายการค้าโลกที่มีความไม่ชัดเจน และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ขณะที่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางจำนวนมากยังคงเผชิญกับปัญหาในการชำระหนี้ส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อยังมีแนวโน้มปรับด้อยลง โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และรายย่อย ดังนั้น กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้มีการหารือร่วมกันเพื่อพิจารณาขยายคุณสมบัติโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ภายใต้ โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 2 ซึ่งมีหลักการสำคัญเช่นเดียวกับการดำเนินโครงการคุณสู้ เราช่วย ในระยะแรก คือ (1) ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้หนี้ (2) มาตรการเฉพาะกลุ่มที่เน้นช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีโอกาสรอดให้สามารถฟื้นตัวกลับมาชำระหนี้ได้ หรือกลับมาเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้และ (3) เป็นมาตรการชั่วคราว ที่มีแนวทางป้องกันมิให้ลูกหนี้เสียวินัยในการชำระหนี้ (Moral Hazard) โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ ขยายคุณสมบัติลูกหนี้ให้ครอบคลุมลูกหนี้ที่มีสถานะดังต่อไปนี้ โดยยังคงใช้ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 (Cut-off Date)
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ในครั้งนี้

(1) หนี้ที่มีการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 30 วัน จนถึง 365 วัน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ หรือ
(2) หนี้ที่ไม่มีการค้างชำระหรือค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ที่เคยมีประวัติการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 30 วัน และได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามมาตรการแก้หนี้
อย่างยั่งยืน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 รวมถึงภายใต้หลักเกณฑ์การ
ให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)
ในปี 2567

(3) หนี้ที่ไม่มีการค้างชำระหรือค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันไม่เกินกว่า 30 วัน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ
ที่เคยมีประวัติการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันไม่เกินกว่า 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 และได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามมาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 รวมถึงภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ในปี 256

(4) หนี้ที่มีการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 365 วันเป็นต้นไป นับแต่วันถึงกำหนดชำระ

ทั้งนี้ ประเภทสินเชื่อและวงเงินสินเชื่อ สถาบันการเงินที่เข้าร่วมมาตรการ และรูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไขของมาตรการ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567

2. มาตรการจ่าย ปิด จบ ขยายคุณสมบัติลูกหนี้และประเภทสินเชื่อ ดังนี้
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567


ข้อเสนอของกระทรวงการคลัง
ในครั้งนี้

ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่ถูกจัดชั้นเป็น NPLs และมีภาระหนี้คงค้างไม่เกิน 5,000 บาท โดยครอบคลุมสินเชื่อทุกประเภทที่กู้ในนามบุคคลธรรมดา โดยใช้ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 (Cut-off Date)
(1) ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่ค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 90 วัน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567
(2) ลูกหนี้ต้องมีภาระหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 ตุลาคม2567 ไม่เกินเพดานที่กำหนดของแต่ละประเภทสินเชื่อ ดังนี้
(2.1) กรณีสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) กำหนดภาระหนี้คงค้าง ไม่เกิน 10,000 บาทต่อบัญชี
(2.2) กรณีสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Secured Loan) กำหนดภาระหนี้คงค้างไม่เกิน 30,000 บาท
ต่อบัญชี และมีวงเงินสินเชื่อต่อบัญชีตามที่กำหนดโดยลูกหนี้แต่ละรายสามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากกว่า 1 บัญชี
ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่เข้าร่วมมาตรการ รูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไขของมาตรการ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567

เพิ่มเติมมาตรการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเติมสำหรับหนี้ NPLS ที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) (มาตรการจ่าย ตัด ต้น) (เป็นมาตรการใหม่ที่เสนอมาในครั้งนี้)
หัวข้อ สาระสำคัญ
วัตถุประสงค์ เพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ลูกหนี้สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) ที่มียอดหนี้ไม่สูงและเป็น NPLs เพื่อให้ลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น
สถาบันการเงินที่เข้าร่วมมาตรการ (1) ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งรวมถึงบริษัทลูกในกลุ่มธุรกิจ
(2) สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. ธอท. ธสน. และ ธพว.
คุณสมบัติลูกหนี้
และประเภทสินเชื่อ เป็นหนี้ที่ค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 90 วัน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ และเป็นสินเชื่อ Unsecured Loan ที่มียอดหนี้คงค้างไม่เกิน 50,000 บาทต่อบัญชี ทั้งนี้ ประเภทสินเชื่อไม่รวมถึงประเภทลูกหนี้ตามมาตรการ จ่ายตรง คงทรัพย์ โดยต้องเป็นสัญญาสินเชื่อที่ทำขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 และสถานะลูกหนี้ข้างต้นใช้ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 (Cut-off Date)
รูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไข
(1) ปรับโครงสร้างหนี้ให้มีเงื่อนไขเป็นการผ่อนชำระคืนเป็นงวด (Term Loan)และกำหนดอัตราผ่อนชำระค่างวดต่อเดือนขั้นต่ำที่ร้อยละ 2 ของยอดเงินต้นคงค้างสินเชื่อ ก่อนเข้าร่วมมาตรการ เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยค่างวดที่ลูกหนี้ชำระจะนำไปชำระ ต้นเงินทั้งจำนวน สำหรับดอกเบี้ยจะพักการชำระไว้ทั้งหมดในช่วงระยะเวลา 3 ปี
(2) ลูกหนี้ที่อยู่ในมาตรการจะไม่สามารถก่อหนี้อุปโภคบริโภคใหม่ใน 12 เดือนแรก
(3) หากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ตลอดระยะเวลา 3 ปี สถาบันการเงินจะยกเว้นดอกเบี้ยที่พักไว้ให้ลูกหนี้ โดยสถาบันการเงินจะขอชดเชยดอกเบี้ยจากแหล่งเงินทุนภาครัฐร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยที่ยกเว้นให้ลูกหนี้ และสถาบันการเงินจะรับภาระร้อยละ 50

แหล่งเงินจากภาครัฐในการดำเนินโครงการคุณสู้ เราช่วย ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567
มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) กระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือลดภาระให้แก่ลูกหนี้รายย่อยของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ซึ่งมีความเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19

ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
ลูกหนี้ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่ยังไม่มีความพร้อมในการชำระหนี้คืน ดังนี้
สถาบันการเงิน บัญชี ภาระหนี้คงเหลือ
ธนาคารออมสิน 291,132 บัญชี 2,732 ล้านบาท
ธ.ก.ส. 13,146 บัญชี 70 ล้านบาท
รวม 304,278 บัญชี 2,802 ล้านบาท
โดยบางส่วนเป็นลูกหนี้ที่เคยมีประวัติการชำระหนี้ที่ดีมาตลอด แต่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ส่งผลให้ขาดสภาพคล่องจนไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้ และลูกหนี้บางส่วนที่เป็นหนี้ครั้งแรกเพราะต้องการเงินทุนไปหมุนเวียนในช่วงสถานการณ์ COVID-19 แต่ไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้ จนกลายเป็น NPLs ซึ่งหากไม่ได้รับการช่วยเหลือจะส่งผลให้ลูกหนี้มีประวัติเป็นหนี้เสียในข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau: NCB) และทำให้สูญเสียโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินในอนาคต

แนวทางการช่วยเหลือ
มติคณะรัฐมนตรี 5 พฤษภาคม 2564 ข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ในครั้งนี้
รัฐบาลชดเชยความเสียหายที่เกิดจากหนี้ NPLs
รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 10,000 ล้านบาท
ให้ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. ดำเนินการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ตามสมควรแก่กรณี โดยที่ยังไม่ดำเนินการตัดหนี้สูญออกจากบัญชี พร้อมทั้งให้ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.

นำงบประมาณที่ได้รับชดเชยความเสียหายจาก NPLs ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 มาให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้เพื่อไม่ให้เป็น NPLs หรือหมดสิ้นภาระหนี้ที่เกิดจากมาตรการดังกล่าวต่อไป

มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล
แนวทางการช่วยเหลือ
(1) ธนาคารออมสินดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาลอื่น ๆ ที่ได้รับการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก NPLs ที่มีภาระหนี้คงเหลือไม่เกิน 40,000 บาท ซึ่งมีจำนวนประมาณ 226,382 บัญชี ภาระหนี้ประมาณ 6,605 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินจะติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่มากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร และจะดำเนินการปิดบัญชีเนื่องจากลูกหนี้ไม่นำเงินมาชำระและตัดเป็นหนี้สูญทั้งหมด โดยไม่ติดใจทวงถามอีกต่อไป ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้หมดภาระหนี้ หลุดพ้นจากประวัติหนี้เสียและมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบ
ได้เร็วขึ้น
(2) เพื่อให้ความช่วยเหลือครอบคลุมถึงลูกหนี้กลุ่มเกษตรกรและลูกหนี้กลุ่มเปราะบางมากขึ้น เห็นควรให้ธ.ก.ส. พิจารณามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ของลูกหนี้ให้หมดภาระหนี้ได้เร็วขึ้นและหลุดพ้นจากประวัติหนี้เสียโดยเร็ว

เป้าหมายลูกหนี้ที่จะได้รับการช่วยเหลือลดภาระหนี้ ผ่านมาตรการของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการคลัง ได้มีมาตรการเพื่อช่วยเหลือลดภาระหนี้ให้กับลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะช่วยเหลือลดภาระลูกหนี้ได้สูงสุด 6.1 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ทั้งสิ้นจำนวน 1.2 ล้านล้านบาท มีผลการดำเนินมาตรการและเป้าหมาย ดังนี้
ผลการดำเนินมาตรการ
มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
ธนาคารออมสินช่วยเหลือลูกหนี้ NPLs ตามโครงการฯ เพื่อไม่ให้เป็น NPLs หรือหมดภาระหนี้แล้วจำนวน835,242 บัญชี ภาระหนี้ 5,854 ล้านบาท และ ธ.ก.ส. ช่วยเหลือลูกหนี้แล้วจำนวน 256,921 บัญชี
ภาระหนี้ 1,763 ล้านบาท
การจัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (ARI-AMC)
เป็นการร่วมทุนระหว่างธนาคารออมสินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็น NPLs ให้เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ หรือไกล่เกลี่ยหนี้ โดย ARI-AMC รับโอนหนี้จากธนาคารออมสิน ครั้งที่ 1 แล้ว เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 จำนวน 133,687 บัญชี ต้นเงินจำนวน 10,712 ล้านบาท และคาดว่าจะรับโอนลูกหนี้ครั้งถัดไปภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ในเบื้องต้นจำนวน 261,872 บัญชี ต้นเงิน จำนวน 13,168 ล้านบาท
(1) เดิมกระทรวงการคลัง คาดว่าลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติที่ได้รับการช่วยเหลือผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มีจำนวน 1.9 ล้านราย
หรือ 2.1 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 890,000
ล้านบาท
(2) จากการสำรวจข้อมูลผลการคัดกรองคุณสมบัติจากสถาบันการเงิน ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 พบว่าลูกหนี้ที่ลงทะเบียนและ มีคุณสมบัติเข้าข่ายร่วมโครงการได้ จำนวน 0.59 ล้านราย (คิดเป็น
ร้อยละ 30 ของลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 1.9 ล้านราย)
เป็นยอดหนี้ 430,000 ล้านบาท (คิดเป็น ร้อยละ 49 ของยอดหนี้
ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 890,000 ล้านบาท)

เป้าหมายมาตรการ
โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 2
(1) คาดว่ามีลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติที่ได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติมจำนวน 1.8 ล้านราย หรือ 2.0 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 310,000 ล้านบาท
(2) เมื่อรวมความช่วยเหลือทั้งในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 แล้ว จะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้จำนวน 3.7 ล้านราย หรือ 4.1 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 1.2 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 20 ของจำนวนบัญชีสินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์/รถจักรยานยนต์และสินเชื่อธุรกิจทั้งหมด
มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19
คาดว่ามีลูกหนี้ของธนาคารออมสินที่มีคุณสมบัติที่ได้รับการช่วยเหลือ จำนวน 291,132 บัญชี ภาระหนี้คงเหลือ 2,732 ล้านบาท และมีลูกหนี้ของ ธ.ก.ส. ที่มีคุณสมบัติที่ได้รับการช่วยเหลือ จำนวน 13,146 บัญชี ภาระหนี้ คงเหลือ 70 ล้านบาท
มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินชื่อตามนโยบายรัฐบาล
คาดว่ามีลูกหนี้ของธนาคารออมสินที่มีคุณสมบัติที่ได้รับการช่วยเหลือจำนวนประมาณ 220,000 บัญชี ภาระหนี้ประมาณ 6,600 ล้านบาท
กระทรวงการคลัง ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วยแล้ว

#ประเด็นIOC
#สำนักงานประชาสัมธ์จังหวัดยะลา

ครม. อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ลดภาระค่าใช้จ่าย ด้านพลังงานของประเทศ ที่ประชุมคณะรัฐ...
07/08/2025

ครม. อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ลดภาระค่าใช้จ่าย ด้านพลังงานของประเทศ

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. ... และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงพลังงาน เสนอ

มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้เองในที่อยู่อาศัยหรือในสถานประกอบกิจการ โดยมุ่งเน้นให้กระบวนการติดตั้งอุปกรณ์เป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ควบคู่กับการวางกรอบการกำกับดูแลการติดตั้งและการใช้ไฟฟ้าให้เป็นไปอย่างถูกต้องและมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและวิศวกรรม เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายกลางที่ส่งเสริมและสนับสนุนการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) เพื่อใช้เองเป็นการเฉพาะ ส่งผลให้ในการดำเนินการต่าง ๆ ต้องอ้างอิงกฎหมายและระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฉบับทำให้ขาดความเป็นเอกภาพ ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนในการขออนุญาตหรือการจดแจ้งยกเว้นเกี่ยวกับการติดตั้ง Solar Rooftop สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงพลังงานและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ประชาชนและภาคธุรกิจแบกรับภาระด้านเวลาและค่าใช้จ่าย และยังลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประเทศ ตลอดจนลดการพึ่งพาด้านพลังงาน และการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างชาติ รวมทั้งยังช่วยให้การเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศไทยไปสู่พลังงานสะอาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ ยังเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการลดและปรับโครงสร้างราคาพลังงานและนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy หรือ Eco-friendly Economy) และการสานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)

กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน จึงได้ยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. ... ขึ้น โดยพระราชบัญญัติฉบับนี้ มีเนื้อหาสาระสำคัญทั้งหมด 5 เรื่อง ประกอบด้วย

1. การกำหนดวัตถุประสงค์ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ที่สนับสนุนส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยหรือในสถานประกอบกิจการ เพื่อให้การติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop เป็นไปด้วยความปลอดภัย สะดวกและรวดเร็ว เป็นประโยชน์ในการรวบรวมข้อมูล สถิติ และจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในที่อยู่อาศัย หรือสถานประกอบกิจการ ซึ่งกรณีนี้ไม่ถือเป็นการประกอบกิจการพลังงานตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงาน และไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยโรงงาน กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กฎหมายว่าด้วยการพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน และไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร

2. การติดตั้ง Solar Rooftop กรณีดังกล่าวไม่ต้องขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐ แต่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ การติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้แล้ว ไม่ต้องขออนุญาตการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าอีก การติดตั้งต้องจัดให้มีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างหลังคาหรือสิ่งคลุมสถานที่ติดตั้งว่าสามารถติดตั้งได้อย่างปลอดภัย ให้เจ้าของสถานที่ที่จะติดตั้งอุปกรณ์ระบบ Solar Rooftop แจ้งที่อยู่ของสถานที่ติดตั้ง และข้อมูลของอุปกรณ์ระบบ Solar Rooftop ที่ติดตั้ง หลักฐานการรับรองความปลอดภัย และข้อมูลอื่น ตามหลักเกณฑ์ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน กำกับให้มีการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จาก Solar Rooftop เฉพาะในสถานที่ติดตั้งเท่านั้น ไม่สามารถจำหน่ายหรือให้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากสถานที่ติดตั้งได้ เว้นแต่เป็นการจำหน่ายหรือให้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แก่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)

3. การกำกับติดตามอุปกรณ์ Solar Rooftop ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และการห้ามถอดแยกชิ้นส่วนซากอุปกรณ์ Solar Rooftop เว้นแต่ เป็นการถอดและประกอบกลับเข้าตามเดิม การซ่อมแซมเพื่อนำกลับมาใช้ซ้ำการดำเนินการเพื่อการศึกษา ทดลอง และวิจัย หรือการถอดแยกของสถานกำจัดซากอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์

4. กำหนดหน้าที่และอำนาจของเจ้าพนักงาน เพื่อการตรวจสอบและติดตามการติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์

5. กำหนดบทลงโทษสำหรับการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ ดังนี้

- ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่แจ้งการติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ภายใน 30 วัน ให้ชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 5,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 1,000 บาท จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

- ผู้ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้เกี่ยวกับการติดตั้งระบบอุปกรณ์ Solar Rooftop หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และถ้าการกระทำผิดดังกล่าวน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

- ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับการใช้และการจำหน่ายไฟฟ้าที่ได้จาก Solar Rooftop ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและปรับอีกไม่เกินวันละ 1,000 บาท จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

- ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับการกำกับติดตามอุปกรณ์ Solar Rooftop ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละ 1 หมื่นบาทจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

- ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับการถอดแยกชิ้นส่วนซากอุปกรณ์ Solar Rooftop ให้ชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 5 หมื่นบาท

ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้จะไม่กระทบต่องบประมาณและการสูญเสียรายได้ของรัฐอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ซื้อไฟฟ้าจากโรงงานไฟฟ้าเอกชนมาจำหน่ายให้ประชาชนเป็นปริมาณที่สูงกว่าการผลิตไฟฟ้าจำหน่ายเอง ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต คือ ค่าไฟฟ้าที่ซื้อจากโรงไฟฟ้าเอกชน

กระทรวงการคลัง ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย -กัมพูชาคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบใ...
07/08/2025

กระทรวงการคลัง ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย -กัมพูชา

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือ
ผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 โดยยังคงหลักการเดิม เพื่อให้การดำเนินการและการใช้จ่ายเงินทดรองราชการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ชัดเจน ถูกต้อง และเหมาะสม รวมทั้งสอดคล้องกับสภาพการณ์ของภัยพิบัติ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังมีการปรับเพิ่มวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน 4 หน่วยงาน เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ดังนี้
1. สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จาก 50 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท
2. สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จาก 50 ล้านบาท
เป็น 100 ล้านบาท
3. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จาก 50 ล้านบาท
เป็น 100 ล้านบาท
4. สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด จากแห่งละ 20 ล้านบาท เป็น 50 ล้านบาท
ขณะที่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ มาตรการในระดับพื้นที่ และมาตรการ
ของสถาบันการเงินของรัฐ
1. มาตรการในระดับพื้นที่
1) ขยายวงเงินทดรองราชการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดละ 100 ล้านบาท และพร้อมพิจารณาขยายเพิ่มหากไม่เพียงพอ เพื่อให้จังหวัดสามารถบริหารจัดการได้อย่างคล่องตัวและตอบโจทย์ความต้องการในพื้นที่
2) อำนวยความสะดวกในการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เกี่ยวข้องกับภารกิจด้านความมั่นคงให้สามารถดำเนินการได้อย่างเร่งด่วน ผ่านวิธีเฉพาะเจาะจง

3) เตรียมมาตรการด้านสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชน
ผ่านธนาคารของรัฐ เช่น ธ.ก.ส. โดยจะให้สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง
แก่เกษตรกร รวมถึงสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) สำหรับผู้ได้รับความเสียหาย
2. มาตรการด้านภาษี เลื่อนเวลาการยื่นแบบและการชำระภาษี ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ จากเดิมระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม - 31 สิงหาคม 2568 เป็นภายในวันที่ 30 กันยายน 2568ประชาชนสามารถหักลดหย่อนค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยจากเหตุการณ์ความเสียหายได้ตามจริงไม่เกิน 100,000 บาท และสำหรับยานพาหนะไม่เกิน 30,000 บาท

3. มาตรการจากสถาบันการเงินของรัฐ
3.1 ธนาคารออมสิน
พักชำระเงินต้นให้กับลูกหนี้ที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบจนถึงงวดเดือนธันวาคม 2568 และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยบางส่วน
• สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไม่ต้องมีหลักประกัน วงเงิน 20,000 บาท/ราย ผ่อนชำระ 12 เดือน ดอกเบี้ย 0.60%/เดือน
• สินเชื่อเพื่ออาชีพ ผ่อนชำระ 60 เดือน ดอกเบี้ย 0.75%/เดือน
• สินเชื่อ SMEs ลูกค้าเดิมไม่เกิน 5 ล้านบาท รายใหม่
ไม่เกิน 3 ล้านบาท ผ่อนชำระ 7 ปี ดอกเบี้ยปีแรก MLR -2.65% ปีถัดไป MLR
• ยกเว้นค่าธรรมเนียม Front End Fee (ค่าธรรมเนียมการใช้สินเชื่อ) และ Prepayment Fee (ค่าปรับจากการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด)
3.2 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
• สินเชื่อฉุกเฉิน วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท/ราย ดอกเบี้ย MRR (6.725%) ผ่อน 3 ปี ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือน
• สินเชื่อฟื้นฟูชีวิตและทรัพย์สิน วงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ดอกเบี้ย MRR - 2% ต่อปี ผ่อนสูงสุด 15 ปี
3.3 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
• มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ เช่น ลดดอกเบี้ยเหลือ 0.01% นาน 5 ปี
• ผู้ที่บ้านเสียหายทั้งหลัง หรือทุพพลภาพ/เสียชีวิต ได้สิทธิอัตราดอกเบี้ย 0.01% ตลอดอายุสัญญา

• กรณีกู้สร้างบ้านใหม่ ดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก เดือนที่ 7 - 12 = 0.50% ต่อปี
3.4 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME D Bank)
• พักชำระเงินต้น ลดค่างวด ขยายเวลา
• สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เช่น “ปลุกพลัง SME” และ “Beyond ติดปีก SME” ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ผ่อน 10 ปี
• สินเชื่อรีไฟแนนซ์ SMEs เริ่มต้นที่ 2.99%
SME : ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง/ SMEs : ผู้ประกอบการหลายราย
3.5 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank)
• ขยายเวลาชำระหนี้ 365 วัน ลดดอกเบี้ยสูงสุด 20%
• เพิ่มวงเงินชั่วคราว 1 ปี สูงสุด 30 ล้านบาท
• มาตรการเสริม เช่น เงินทุนหมุนเวียนเพื่อออกงาน, Safe Trade, Export Credit Insurance
3.6 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (IBank)
• พักชำระเงินต้นและกำไรสูงสุด 6 เดือน ขยายได้อีก 6 เดือน
• สินเชื่อเพื่อซ่อมบ้าน เริ่มต้น 1.99% ต่อปี วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท
• สินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจ เริ่มต้น 3.25% วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท
3.7 บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
• โครงการ PGS11 “SMEs ยั่งยืน” ค้ำประกันรายละ 0.5 - 10 ล้านบาท สูงสุด 7 ปี ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก
• โครงการ SMEs Micro Biz ค้ำประกัน 10,000 - 500,000 บาท ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ปีแรกเช่นกัน
• เปิดรับคำขอจนถึง 30 ธันวาคม 2568

ครม. เห็นชอบผ่อนผันแรงงานกัมพูชาที่ใช้ Border Pass และทำงานชายแดนไทย-กัมพูชา อยู่ทำงานต่อในไทยได้อีก 6 เดือน จากสถานการณ...
07/08/2025

ครม. เห็นชอบผ่อนผันแรงงานกัมพูชาที่ใช้ Border Pass และทำงานชายแดนไทย-กัมพูชา อยู่ทำงานต่อในไทยได้อีก 6 เดือน
จากสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และได้มีมาตรการควบคุมการผ่านแดนระหว่างประเทศทั้งสอง ส่งผลให้กลุ่มแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ที่ใช้บัตรผ่านแดน หรือ Border Pass
ที่สามารถเดินทางเข้ามาทำงานได้ครั้งละไม่เกิน 3 เดือน และพำนักในราชอาณาจักรได้ครั้งละ 30 วัน เมื่อมีอายุการทำงานหรือระยะเวลาการอนุญาตให้พำนักสิ้นสุดแล้วจะต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อเดินทางกลับเข้ามาใหม่นั้น ขณะนี้ไม่สามารถเดินทางเข้า - ออกได้ ทำให้ต้องอยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุญาต ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีสถานะที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานของนายจ้างหรือผู้ประกอบการ จนส่งผลกระทบต่อสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ แนวทางผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติกัมพูชาเข้ามาทำงานบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา โดยผ่อนผันให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ที่ใช้เอกสารประจำตัวบุคคลประเภทบัตรผ่านแดน (Border Pass) ทั้งที่มีอายุหรือหมดอายุซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักร และการอนุญาตให้พำนักในเขตพื้นที่ชายแดนสิ้นสุดลง สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อทำงานได้เป็นระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยมีผลใช้บังคับ (วันที่ 7 มิถุนายน 2568) หรือจนกว่ามาตรการควบคุมการผ่านแดนระหว่างประเทศทั้งสองกลับสู่ภาวะปกติ และให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรต่อไปได้อีก 7 วัน เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับประเทศ โดยแรงงานสัญชาติกัมพูชาที่เข้ามาทำงานบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา จะต้องไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองครั้งแรกภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2568

#ครมผ่อนผันแรงงานกัมพูชาอยู่ทำงานต่อได้อีก6เดือน #แรงงานกัมพูชาที่ใช้BorderPass #ชายแดนไทยกัมพูชา #กระทรวงแรงงาน #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

ที่อยู่

220 หมู่ 10 ตำบลลำภู อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส
Narathiwat
96000

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:00
อังคาร 09:00 - 17:00
พุธ 09:00 - 17:00
พฤหัสบดี 09:00 - 17:00
ศุกร์ 09:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+6673532147

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Radio Thailand Narathiwatผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Radio Thailand Narathiwat:

แชร์