14/08/2025
พรรคการเมืองไทย คือต้นแบบเลวทรามของระบบเลือกตั้งไทย
พรรคการเมือง เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆของระบบการปกครอง เรียกว่าเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น แต่ในเมืองไทย นักการเมืองสร้างบทบาทให้แก่ไทยยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผ่านการเลือกตั้งทางตรงและทางอ้อมให้พรรคการเมืองคือคำตอบเบ็ดเสร็จที่ยอดเยี่ยมสำหรับยุคสมัยใหม่
แต่ข้อแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างนักบริหารที่มาจากระบบเลือกตั้งโดย
พรรคการเมืองถือหาง และข้าราชการจากระบบแต่งตั้งโดยระบบราชการก็คือเมื่อผู้ใดมาจากพรรคการเมืองแล้ว เมื่อดำรงตำแหน่งจะใช้อำนาจตามบังคับของพรรคการเมือง จึงเกิดระบบพรรคพวก ส่วนข้าราชการใดมาจากการแต่งตั้งก็จะบริหารด้วยกลุ่มก้อนและพวกพ้องของตนเอง จึงเกิดระบบพวกของฉัน เส้นสายของฉัน ทั้งสองวิถีล้วนแต่มีข้อดีและด้อย
ความสำคัญของนักบริหารในระบบการปกครอง คือมีหน้าที่และความรับผิดชอบ มันมาพร้อมกับสิทธิในการสั่งงานแก่เจ้าหน้าที่ในสายงานทุกสาย ทุกระดับตามลำดับชั้น(Hierarchy) มันง่ายมากที่จะทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ โดยยึดมั่นระเบียบวิธีและเป้าหมายด้วยสติและปัญญา การทำงานแบบนี้คือทำแบบทีมคนฉลาดที่วิธีการและเป้าหมายควรจะตรึงตัวและชัดเจนเพื่อเจ้าหน้าที่ทุกระดับมองเห็นในสิ่งเดียวกันและทำงานในทิศทางเดียวกัน
แต่นักการเมืองที่ถูกล้างสมองหรือมีความโลภขั้นหนักหนา เมื่อใดก็ตามที่เขาเหล่านี้มองไม่เห็นเป้าหมายปลายทางหรือจงใจไม่เลือกเป้าหมายที่ดีงาม ไม่มีสติปัญญาที่หยั่งได้ ก็ทำให้ดียาก เอะอะก็แล้วแต่นายแล้วแต่หัวหน้าสั่ง นายก็ชอบเพราะสั่งได้ดังใจ ขนาดรองนายก ยังคิดเองไม่ได้ กลายเป็นคำตำหนิที่น่าอับอาย หมานำฝูงราชสีห์ นายกเด็กน้อยอ่อนหัด ตรงนี้แหละที่เป็นจุดชี้ขาดว่านักบริหารผู้มาจากสายไหนจะมีคุณค่าและสายใดเป็นหายนะกว่ากัน
การทำงานด้วยระบบพรรค ตามอำเภอใจในบทบาทของนักการเมือง สส สว รัฐมนตรี ซึ่งระบบประชาธิปไตยจัดลำดับความรู้ความสามารถของคนเหล่านี้ไว้สูงและสำคัญ แต่มันเป็นเรื่องเกินฝันของนักการเมืองไทย เพราะพรรคการเมืองไร้อุดมการณ์ นักการเมืองมีความรู้และความสามารถมักไม่เข้าสู่ระบบเลือกตั้ง เพราะเป็นความจริงว่าการคัดเลือกไม่ใช่ระบบที่สะท้อนความรู้ความสามารถ แต่มันเป็นมายาที่สะท้อนความชอบหรือชัง การเลือกไม่ใช่วิถีที่จะได้คนเก่ง คนดี แต่จะได้คนที่ถูกใจ ความถูกใจเป็นอารมณ์ของมนุษย์ที่ไร้เหตุผล แม้จะกล่าวว่าเป็นเพียงระดับความเหมาะสมก็ยังไม่ได้ เมื่อใดก็ตามที่ความเหมาะสมคือคำอธิบาย นั่นหมายความว่า “อยุติธรรม” กำลังบ่มเพาะตัวมันอย่างรวดเร็ว และการเห็นแก่ตัวกำลังเกิดขึ้นและขยายวง
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึงวันนี้ นับแต่มีคณะราษฎรซึ่งแม้จะเคยร่ำเรียนเมืองนอก มีความรู้ระดับหนึ่ง แต่เขาเหล่านั้นก็ขาดการบ่มเพาะ “หลักการปกครองบ้านเมือง” ซึ่งไม่อาจเรียนรู้จากตำราหรือมหาวิทยาลัยใด ๆ ได้ อีกทั้ง ความ”อ่อนหัด” เรื่องวัฒนธรรมการวิจารณ์ ล้วนเป็นเหตุให้คนหนุ่มเหล่านี้มีใจกำเริบ คิดว่า “อำนาจ” การบริหารบ้านเมืองคือหัวใจของการปกครอง ฝีปาก สำคัญกว่า ฝีมือ
ก่อนหน้านี้ คนหนุ่มเหล่านี้แต่เดิมล้วนเป็นความหวังของบ้านเมือง แต่เมื่อเขาเหล่านั้นยึดอำนาจได้ ก็เกิดความโลภในใจ เพราะในชั่วชีวิตยังไม่เคยลิ้มรส “อำนาจ” ขนาดนี้ หลักการสำคัญของ “สิทธิ”ในการสั่งงานซึ่งต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบก็ถูกมองข้ามไป เขาเหล่านั้นก็หลงคิดว่านั่นคือ “อำนาจ” ที่เกิดและสำเร็จได้จากความรู้ความเก่งของตัวเอง ความรับผิดชอบซึ่งเป็นหัวใจของ ”การปกครอง” จึงเปลี่ยนไปเป็น”อำนาจ” อย่างไร้สติ ซ้ำซ้อนและซ้ำซากตลอด ๙๐ ปีที่ผ่านมา วิธีการแก้ความขัดแย้งคือใช้ระบบคะแนนเสียงตัดสินด้วยความนิยมชมชอบ ด้วยเสียงข้างมากนั้น สิ่งที่นิยมชมชอบจึงกลายเป็นสิ่งถูกต้อง ตามเหตุผลของเสียงข้างมาก เมื่อเหตุผลจากเสียงข้างมาก ยังขัดต่อเหตุผลตามหลักคิดและหลักการที่ถูกต้อง ความแตกต่างจึงค้างคาใจและในที่สุด การยอมจำนนก็เปลี่ยนไปเป็นการต่อต้านและล้มล้างทางเลือกนั้น กลายเป็นการรัฐประหาร (ช่วงเวลาจาก ๒๔๗๕ - ๒๕๐๐ ไทยมีการรัฐประหารจากผู้บริหารกลุ่มเดียวกันมากถึง ๑๑ ครั้ง)
แม้จนถึงวันนี้ ปีพ.ศ.๒๕๖๐ นี้ก็ตาม ก็ยังเป็นความจริงมากยิ่งขึ้น แต่คนหนุ่มทั้งหลายที่ล้วนได้สิทธิ ได้อำนาจ เหล่านั้นจะยอมจำนนหรือ? นานวันเข้า ระบบการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยกลายเป็นการแย่งชิงอำนาจเพื่อเป็นผู้บริหารบ้านเมือง หรือเพื่อให้ตนเองมี “อำนาจ” เด็ดขาดในการบริหารบ้านเมืองเหมือนพระมหากษัตริย์ในอดีต
แต่สิทธิ์ในการบริหารบ้านเมืองไม่ใช่อำนาจ แต่มันคือความรับผิดชอบต่างหาก อำนาจของนักการเมืองหรือนักปฏิวัติ จึงเป็นอำนาจที่ปราศจากหลักธรรมในการปกครองบ้านเมือง และยิ่งนานวันก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า คนเหล่านี้ไม่เข้าใจความหมายอันเรียบง่ายของ “ความรับผิดชอบ” ต่อราษฎร ตัวอย่างเด่นชัดในอดีตเมื่อเกิดสงครามระหว่างราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์จะถูกบังคับให้ยอมแพ้ ด้วยเหตุผลที่เรียบว่ายว่า “..อย่าให้อาณาประชาราษฎร์เดือดร้อน...” แต่ทุกวันนี้ ผู้ปกครองในระบบพรรค มักจะมีข้ออ้างว่า “...ต้องรวบอำนาจให้เด็ดขาด ต้องมีเสียงให้มากกว่า เหนือกว่าจึงจะบริหารบ้านเมืองได้...” ซึ่งในสมการนี้ ไม่มีคำว่าประชาชนอยู่ แม้แต่น้อย แต่พรรคการเมืองก็มีวิธีการหลอกลวง ปกปิดพฤติกรรม โดยใช้วาจาหลอกล่อว่าทั้งหมดที่ทำไปเพื่อราษฏรทั้งสิ้น และหากมองย้อนหลังพฤติกรรมเพื่อก้าวสู่อำนาจ มันคือการรวบรวม “เสียง” หรือพวกให้มากกว่าเพื่อต่อรองอำนาจของพรรคทั้งสิ้น “วาทกรรม” ให้ราษฎรหลงเชื่อเป็นอาชญากรรมที่เลวร้ายของการเลือกตั้ง
เมื่อการเลือกตั้งมาถูกหยิบยกเป็นตัวชี้ขาดความถูกต้องและชอบธรรมของตน ผู้กระหายอำนาจแต่เรียกตัวเองใหม่ ว่า “นักการเมือง” ก็จะถูกรับรองความถูกต้องด้วยการเลือกตั้ง เช่น นักบริหารทีดีที่ถูกต้อง ต้องมาจากการเลือกตั้ง เสียงส่วนมากคือคำตอบที่ถูกต้อง นักการเมืองหลอกลวงคนทั้งประเทศพร้อม ๆ กันไม่ได้หรอกนักการเมืองที่ประชาชนนิยมจึงต้องดี ถ้าไม่ดีประชาชนจะนิยมได้อย่างไร โดยลืมไปว่า การเลือกและการหลอกนั้น คนละเรื่องกัน เรื่องถูกใจอาจไม่ถูกต้อง เมื่อหลักคิดตามเหตุผลผิดพลาดหรือใช้ตรรกะผิดเพี้ยน ผลที่ได้ก็ย่อมผิดพลาดหรือผิดเพี้ยน
กว่า ๙๐ปีที่ผ่านมา พรรคการเมืองบ่มเพาะ ความคิดและความหลงอย่างนี้ตลอดมา หน้าที่ในการพัฒนาประชาธิปไตยกลายเป็นตัวอักษรที่เขียนไว้ในพันธกิจของพรรคเท่านั้น แต่ไม่เคยถูกนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง และนักการเมืองกลายเป็นสัตวประหลาด เป็นอาชีพเดียวที่ไม่ต้องมีประสบการณ์ เป็นอาชีพเดียวที่ได้รับสิทธิคุ้มครองพิเศษมากมายจากกฏหมาย ทั้งที่มันคือ “หน้าที่” ที่อาสาเข้ามาทำ แต่เมื่อเข้ามาแล้วกลับลืมและยังทวงถามสิทธิพิเศษที่อ้างว่าเป็นการทำงาน ลืมไปว่ามันคือการ “อาสา” เข้ามา กลายเป็นพฤติกรรมนักการเมืองปกติ รับชอบแต่ไม่รับผิด ทำอะไรก็ไม่เกรงใจใคร หนักข้อเข้าก็ใช้เงินเป็นยาวิเศษแก้ได้ทุกปัญหา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันเป็นการบ่มเพาะความเข้าใจผิด จนกลายเป็นพฤติกรรมเลวร้าย และความเลวทรามของการบริหารบ้านเมือง เพราะพรรคการเมืองจำนวนมาก ตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งจุดรวมพลของคนคิดเหมือนๆ กัน เราเห็นนักการเมืองกักขฬะ หยาบคาย กดขี่ทางเพศ ค้ายาเสพติด เล่นพนัน โกงกินเป็นนิสัย ฯลฯ สารพัดความเลวทรามของผู้คนล้วนพบเห็นได้จากนักการเมืองและพรรคการเมือง อย่างเหลือเชื่อ
.. จึงมาถึงบทสรุปสำคัญที่คนไทยควรตื่น พรรคการเมืองไทย คือต้นแบบเลวทรามของระบบเลือกตั้งไทย...