Stockjibjib เพจที่ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องการลงทุน

รวม Link ความรู้เรื่องหุ้นกู้ สำหรับมือใหม่ที่สนใจ....======================✅หุ้นกู้คืออะไร? เข้าใจง่ายใน 3 นาทีhttps://...
05/09/2025

รวม Link ความรู้เรื่องหุ้นกู้ สำหรับมือใหม่ที่สนใจ....
======================
✅หุ้นกู้คืออะไร? เข้าใจง่ายใน 3 นาที
https://bit.ly/4p6pv2i

✅การลงทุนในหุ้นกู้ - บริษัทไหนบ้างที่ออกหุ้นกู้ และทำไมถึงเลือกใช้วิธีในี้ในการระดมทุน
https://bit.ly/3V1VbZa

✅"หุ้น" กับ "หุ้นกู้" ต่างกันอย่างไร?
https://bit.ly/3UYmIKX

✅ตัวอย่างหุ้นกู้ MTC
https://bit.ly/4mRSxkW

✅ผลตอบแทนหุ้นกู้
https://bit.ly/4mNG8hI

✅ความเสี่ยงของหุ้นกู้
https://bit.ly/45PRXy4

✅Credit Rating คืออะไร
https://bit.ly/4p9R3UE

✅ประเภทของหุ้นกู้
https://bit.ly/4gjCRnZ

✅อายุของหุ้นกู้
https://bit.ly/4n96tGW

✅หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Debenture) คืออะไร?
https://bit.ly/4lXio9B

✅เทคนิคการอ่านหนังสือชี้ชวน 📄 คู่มือฉบับย่อสำหรับมือใหม่
https://bit.ly/47pytkY

✅การวิเคราะห์หุ้นกู้ ORI
https://bit.ly/4mQbm84

✅รู้จักกับ "ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้" (Debenture Holder Representative)
https://bit.ly/45PGj6b

✅ตลาดรองของหุ้นกู้: ซื้อ-ขายหุ้นกู้ที่ไหนได้บ้าง?
https://bit.ly/47vNH8c

✅หุ้นกู้ของ "เงินติดล้อ" น่าสนใจหรือไม่?
https://bit.ly/4p6qTSE

✅หุ้นกู้มีสภาพคล่องต่ำกว่าหุ้นสามัญจริงหรือ?
https://bit.ly/4mWDHd2

✅ความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นกู้
https://bit.ly/3I4MsCt

✅ลงทุนหุ้นกู้ต้องเสียภาษีไหม?
https://bit.ly/4g8c8dX

✅กระจายความเสี่ยงด้วยหุ้นกู้
https://bit.ly/41CLh3I

✅วางแผนการลงทุนในหุ้นกู้ให้เหมาะกับเป้าหมายชีวิต 📈
https://bit.ly/47uwfAW

✅สรุปทั้งหมด: หัวใจสำคัญของการลงทุนในหุ้นกู้
https://bit.ly/3I4oqr6

ณัฐพล พัชราพิมล ,CISA, CFP

❤️สรุปทั้งหมด: หัวใจสำคัญของการลงทุนในหุ้นกู้ 🚀วันนี้เราจะมาสรุปทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปตลอดเส้นทาง เพื่อให้คุณพร้อมเริ่ม...
04/09/2025

❤️สรุปทั้งหมด: หัวใจสำคัญของการลงทุนในหุ้นกู้ 🚀

วันนี้เราจะมาสรุปทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปตลอดเส้นทาง เพื่อให้คุณพร้อมเริ่มต้นลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างมั่นใจ

📌หัวใจสำคัญของการลงทุนในหุ้นกู้

1. หุ้นกู้คือการ "ให้บริษัทกู้ยืมเงิน": จำง่ายๆ ว่าคุณกำลังอยู่ในฐานะ "เจ้าหนี้" ที่จะได้รับดอกเบี้ยและเงินต้นคืนตามกำหนด ไม่ใช่ "เจ้าของ" อย่างการซื้อหุ้นสามัญ

2. ความเสี่ยงหลักคือ "เครดิต": ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือการที่บริษัทจะผิดนัดชำระหนี้ ดังนั้นการตรวจสอบ "อันดับความน่าเชื่อถือ" (Credit Rating) จึงสำคัญที่สุด ยิ่งอันดับสูง ความเสี่ยงยิ่งต่ำ

3. อ่านหนังสือชี้ชวนให้ละเอียด: เอกสารนี้เป็นเหมือนคู่มือและสัญญาที่บอกทุกอย่าง ทั้งวัตถุประสงค์การใช้เงิน เงื่อนไข และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

4. หุ้นกู้มีสภาพคล่องต่ำกว่าหุ้นสามัญ: การจะขายหุ้นกู้คืนก่อนกำหนดอาจทำได้ยากหรือต้องขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ลงทุนไป ดังนั้นควรวางแผนถือหุ้นกู้ให้ครบกำหนดไถ่ถอน

5. ใช้หุ้นกู้เพื่อกระจายความเสี่ยง: การมีหุ้นกู้ในพอร์ตจะช่วยสร้างสมดุลและความมั่นคง ทำให้พอร์ตโดยรวมไม่ผันผวนมากเกินไป

📌คำแนะนำสำหรับนักลงทุนมือใหม่: ควรเริ่มต้นอย่างไรดี?

1. เริ่มต้นจากหุ้นกู้ของบริษัทขนาดใหญ่และมีชื่อเสียง: เลือกหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง (เช่น A ขึ้นไป) เพื่อให้คุณคุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดก่อน

2. เริ่มด้วยจำนวนเงินที่ "ไม่เดือดร้อน": ไม่จำเป็นต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนมากในครั้งแรก ลองซื้อด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ที่คุณพร้อมจะเรียนรู้จากมันก่อน

3. กำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน: ถามตัวเองว่าต้องการลงทุนเพื่ออะไร เช่น เพื่อเก็บเงินก้อนในระยะ 3 ปี หรือเพื่อสร้างรายได้จากดอกเบี้ยในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้คุณเลือกประเภทของหุ้นกู้ที่เหมาะสมได้

4. อย่าเพิ่งมองหา "ดอกเบี้ยที่สูงที่สุด": ดอกเบี้ยที่สูงมักมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงกว่า หุ้นกู้ที่มีดอกเบี้ยสูงเกินไปอาจไม่ใช่การลงทุนที่ปลอดภัยสำหรับมือใหม่

5. ศึกษาอย่างต่อเนื่อง: ตลาดการเงินมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การอัปเดตความรู้และติดตามข่าวสารจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

การลงทุนในหุ้นกู้เป็นการเดินทางที่ต้องอาศัยความเข้าใจและรอบคอบ แต่ถ้าคุณเริ่มอย่างถูกวิธี การลงทุนนี้จะเป็นเครื่องมือชั้นเยี่ยมที่ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ครับ ขอให้คุณโชคดีกับการลงทุน

ณัฐพล พัชราพิมล,CISA,CFP

❤️วางแผนการลงทุนในหุ้นกู้ให้เหมาะกับเป้าหมายชีวิต 📈การลงทุนในหุ้นกู้ไม่ใช่แค่การหาผลตอบแทน แต่เป็นการวางแผนเพื่อบรรลุเป้...
03/09/2025

❤️วางแผนการลงทุนในหุ้นกู้ให้เหมาะกับเป้าหมายชีวิต 📈

การลงทุนในหุ้นกู้ไม่ใช่แค่การหาผลตอบแทน แต่เป็นการวางแผนเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินในชีวิตครับ การเลือกหุ้นกู้ที่เหมาะสมกับเป้าหมายแต่ละช่วงชีวิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ

1. 📌เป้าหมายระยะสั้น-กลาง (1-5 ปี)

สำหรับเป้าหมายที่ต้องการใช้เงินในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เช่น เก็บเงินดาวน์บ้าน, ซื้อรถ, หรือวางแผนแต่งงาน คุณควรเน้นความปลอดภัยและสภาพคล่องเป็นหลัก

• หุ้นกู้ที่เหมาะสม: หุ้นกู้ระยะสั้น (อายุ 1-3 ปี) ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง (เช่น AAA หรือ AA)
• เหตุผล:

• #ความเสี่ยงต่ำ: โอกาสที่บริษัทจะผิดนัดชำระหนี้ในระยะสั้นนั้นน้อยกว่า

• #ผันผวนน้อย: ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยน้อย

• #เงินไม่จม: สามารถนำเงินต้นมาใช้ได้ตามกำหนดเวลาที่วางแผนไว้

2. 📌เป้าหมายระยะยาว (มากกว่า 5 ปี)

สำหรับเป้าหมายระยะยาว เช่น วางแผนเกษียณอายุ หรือ สร้าง Passive Income คุณสามารถเพิ่มสัดส่วนความเสี่ยงได้เล็กน้อยเพื่อแลกกับผลตอบแทนที่สูงขึ้น

• หุ้นกู้ที่เหมาะสม: หุ้นกู้ระยะยาว (อายุ 5 ปีขึ้นไป) และอาจพิจารณาหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่ยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เช่น A หรือ BBB เพื่อให้ได้ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

• เหตุผล:

• #ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น: หุ้นกู้ระยะยาวมักจะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าเพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย

• #ใช้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้น: การถือหุ้นกู้ระยะยาวและนำดอกเบี้ยที่ได้รับไปลงทุนต่อ จะช่วยให้เงินต้นเติบโตได้มากขึ้นตามหลักการดอกเบี้ยทบต้น

3.📌 การสร้างกระแสเงินสด (Passive Income)

หากเป้าหมายของคุณคือการมีรายได้จากดอกเบี้ยเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือช่วงเกษียณ คุณควรเลือกหุ้นกู้ที่จ่ายดอกเบี้ยบ่อยๆ

• หุ้นกู้ที่เหมาะสม: หุ้นกู้ที่จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 หรือ 6 เดือน

• เหตุผล: คุณจะได้รับกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถนำมาใช้จ่ายหรือลงทุนต่อได้ทันที

✅ข้อแนะนำเพิ่มเติม:
ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นอะไร การกระจายการลงทุนในหุ้นกู้หลายๆ ตัวจะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาบริษัทใดบริษัทหนึ่ง และอย่าลืมตรวจสอบอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้และบริษัทผู้ออกเสมอ เพราะนั่นคือหัวใจสำคัญของการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ครับ

ณัฐพล พัชราพิมล,CISA,CFP

🎯กระจายความเสี่ยงด้วยหุ้นกู้: ควรมีสัดส่วนเท่าไหร่ในพอร์ต?การลงทุนที่ดีไม่ใช่แค่การเลือกสินทรัพย์ที่ทำกำไรได้มากที่สุด แ...
02/09/2025

🎯กระจายความเสี่ยงด้วยหุ้นกู้:

ควรมีสัดส่วนเท่าไหร่ในพอร์ต?

การลงทุนที่ดีไม่ใช่แค่การเลือกสินทรัพย์ที่ทำกำไรได้มากที่สุด

แต่เป็นการจัดพอร์ตให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ครับ วันนี้เราจะมาคุยกันว่าควรจัดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกู้เท่าไหร่เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตโดยรวม

❤️หุ้นกู้: ตัวช่วยสร้างสมดุลให้พอร์ต

อย่างที่เราได้เรียนรู้กันมา หุ้นกู้เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นสามัญ เพราะให้ผลตอบแทนในรูปของ ดอกเบี้ยที่ค่อนข้างแน่นอน และมีสิทธิในการได้รับชำระหนี้ก่อนหากบริษัทล้มละลาย

การมีหุ้นกู้ในพอร์ตจึงเปรียบเสมือนการสร้างฐานที่แข็งแรง ทำให้พอร์ตของคุณไม่ผันผวนมากนักเมื่อตลาดหุ้นมีความไม่แน่นอน เปรียบเหมือนพอร์ตของคุณเป็นรถแข่ง หุ้นสามัญคือคันเร่งที่ช่วยให้รถวิ่งเร็ว แต่หุ้นกู้คือเบรกที่ช่วยให้รถชะลอและปลอดภัยเมื่อเจอทางโค้ง

📌สัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย

ไม่มีสัดส่วนตายตัวว่าทุกคนต้องลงทุนในหุ้นกู้เท่ากันหมดครับ สัดส่วนที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับ "เป้าหมาย" และ "ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้" ของแต่ละคน

• ผู้เริ่มต้นและผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ:
• สัดส่วนที่แนะนำ: 30-50% ของพอร์ต

• เหตุผล: เน้นการรักษามูลค่าเงินต้นเป็นหลัก และสร้างกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้คุณรู้สึกมั่นคงและลดความกังวลจากความผันผวนของตลาดหุ้น

• ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง:
• สัดส่วนที่แนะนำ: 15-30% ของพอร์ต
• เหตุผล: พอร์ตของคุณจะเน้นไปที่การเติบโตจากหุ้นสามัญมากขึ้น แต่ยังคงมีหุ้นกู้เพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้พอร์ตติดลบมากเกินไปเมื่อตลาดไม่ดี

• ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง:
• สัดส่วนที่แนะนำ: 0-15% ของพอร์ต
• เหตุผล: พอร์ตจะมุ่งเน้นไปที่การเติบโตในระยะยาวจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้นสามัญ หุ้นกู้จะถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อรักษาสภาพคล่องหรือเป็นที่พักเงินในระยะสั้นเท่านั้น

❤️ข้อควรจำ: ลงทุนใน "คุณภาพ" ไม่ใช่แค่ "จำนวน"

สิ่งสำคัญกว่าสัดส่วนคือ คุณภาพของหุ้นกู้ที่คุณเลือก การมีหุ้นกู้ในพอร์ต 50% ที่มีความเสี่ยงสูง (เช่น มีอันดับเครดิตต่ำ) ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณปลอดภัยเท่าที่ควร

เพราะฉะนั้นอย่าลืมกลับไปทบทวนความรู้ที่เราเรียนมาในวันก่อนๆ เพื่อเลือกหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตดีและเหมาะกับพอร์ตของคุณนะครับ

ณัฐพล พัชราพิมล,CISA,CFP

อย่าดูแต่ตัวเลขแล้วรีบเคาะขวานาาา…การเข้าใจธุรกิจคือส่วนที่สำคัญที่สุด
02/09/2025

อย่าดูแต่ตัวเลขแล้วรีบเคาะขวานาาา…
การเข้าใจธุรกิจคือส่วนที่สำคัญที่สุด

เวลาเราพูดถึง “การเลือกหุ้น”
หลายคนมักจะมองไปที่ P/E ต่ำ ๆ แล้วรีบคิดว่าใช่เลย ต้องซื้อลงทุนทันที

แต่จริง ๆ แล้ว… หัวใจของการเลือกหุ้น ไม่ใช่แค่มองตัวเลข แต่คือ การเข้าใจตัวธุรกิจ

📌 คลาส LIB Fundamental 101: วิเคราะห์พื้นฐานหุ้นเพื่อการลงทุนที่มั่นคง
โดย โค้ชจิ๊บ ณัฐพล พัชราพิมล, CFP®, CISA
เจ้าของเพจ Stockjibjib และนักลงทุนที่มีประสบการณ์ในตลาดหุ้นกว่า 20 ปี

สิ่งที่จะได้เรียนรู้ในคลาสนี้
✅ Framework การวิเคราะห์หุ้นอย่างเป็นระบบ: เข้าใจธุรกิจ → อ่านงบการเงิน → ประเมินมูลค่า → ตัดสินใจลงทุน
✅ เจาะลึก “ธุรกิจคืออะไร” ตั้งแต่โมเดลรายได้, ลูกค้า, จุดแข็ง–จุดอ่อน จนถึงการแข่งขันในตลาด

✅ วิธีอ่านงบการเงิน 3 ส่วนหลัก (งบดุล, กำไรขาดทุน, กระแสเงินสด) ให้เห็นจุดแข็งจุดอ่อนของบริษัทจริง ๆ
✅ การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยเครื่องมือยอดนิยม: P/E, P/BV, DDM พร้อม Case Study

✅ Mindset นักลงทุน: ไม่ใช่แค่ “ราคาถูก” แต่คือ “ธุรกิจแข็งแรง” และ “การลงทุนที่ยั่งยืน”

เพราะการลงทุนไม่ใช่แค่การหาของถูก แต่คือการเข้าใจธุรกิจ และเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเราในระยะยาว

🎯ลงทุนหุ้นกู้ต้องเสียภาษีไหม? คำตอบคือ... "เสีย" ครับเมื่อพูดถึงการลงทุน หลายคนอาจจะโฟกัสแต่เรื่องผลตอบแทน แต่เรื่องภาษี...
01/09/2025

🎯ลงทุนหุ้นกู้ต้องเสียภาษีไหม?

คำตอบคือ... "เสีย" ครับ

เมื่อพูดถึงการลงทุน หลายคนอาจจะโฟกัสแต่เรื่องผลตอบแทน

แต่เรื่องภาษีก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามครับ วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยกันว่า การลงทุนในหุ้นกู้จะต้องเสียภาษีอย่างไรบ้าง

ภาษีดอกเบี้ยหุ้นกู้: หัก ณ ที่จ่าย 15%

รายได้หลักจากการลงทุนในหุ้นกู้คือ "ดอกเบี้ย" ซึ่งตามกฎหมายไทยแล้ว ดอกเบี้ยที่ได้รับจากหุ้นกู้ถือเป็นเงินได้ประเภทหนึ่งที่ต้องเสียภาษี

• อัตราภาษี: ภาษีดอกเบี้ยหุ้นกู้จะถูกหัก 15% ณ ที่จ่าย

• ใครเป็นผู้หัก? บริษัทผู้ออกหุ้นกู้หรือตัวแทนผู้จ่ายดอกเบี้ย (เช่น ธนาคาร) จะเป็นผู้ดำเนินการหักภาษี 15% จากยอดดอกเบี้ยที่เราได้รับแต่ละงวด และนำส่งกรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ

ตัวอย่าง:

สมมติว่าคุณได้รับดอกเบี้ยจากหุ้นกู้จำนวน 1,000 บาท

• เงินดอกเบี้ยที่ได้รับจริง: 1,000 บาท
• ภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย (15%): 150 บาท
• เงินที่คุณจะได้รับสุทธิ: 850 บาท

สิทธิในการขอคืนภาษี: ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีปลายปี
สำหรับภาษีดอกเบี้ยที่ถูกหักไปแล้วนั้น ถือเป็น "ภาษีสุดท้าย" (Final Tax) ซึ่งหมายความว่า:

• คุณสามารถเลือกที่จะไม่นำเงินได้จากดอกเบี้ยนี้ไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในตอนสิ้นปีได้

• หากคุณเลือกที่จะไม่นำไปรวม ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อขอภาษีคืน

ข้อยกเว้น:
• หากคุณมีรายได้รวมทั้งปีน้อยกว่าเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี และต้องการขอภาษีที่ถูกหักไปคืน ก็สามารถเลือกที่จะนำเงินได้จากดอกเบี้ยไปรวมคำนวณในแบบแสดงรายการภาษีปลายปีได้ ซึ่งในกรณีนี้คุณอาจได้รับภาษีที่ถูกหักไปแล้วคืนทั้งหมดหรือบางส่วน

✅สรุปง่ายๆ

การลงทุนในหุ้นกู้มีระบบการหักภาษีที่ชัดเจนและเรียบง่าย โดยส่วนใหญ่แล้วจะถูกหัก ณ ที่จ่าย 15% และจบไปในตัว ไม่ต้องกังวลเรื่องการคำนวณภาษีที่ซับซ้อนในตอนสิ้นปี ทำให้คุณสามารถวางแผนการลงทุนได้ง่ายขึ้น

แต่ก็อย่าลืมว่า ผลตอบแทนที่คุณจะได้รับสุทธิหลังหักภาษีแล้วคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจลงทุนครับ

ณัฐพล พัชราพิมล,CISA,CFP

🎯ความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นกู้: ความเสี่ยงด้านเครดิตและอัตราดอกเบี้ย 📉แม้ว่าหุ้นกู้จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นสามัญ แต่ก็...
01/09/2025

🎯ความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นกู้: ความเสี่ยงด้านเครดิตและอัตราดอกเบี้ย 📉

แม้ว่าหุ้นกู้จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นสามัญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความเสี่ยงเลยนะครับ วันนี้เราจะมาเจาะลึกความเสี่ยงสำคัญ 2 ประเภทที่คุณต้องรู้ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นกู้

1. #ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk)

ความเสี่ยงด้านเครดิต คือ ความเสี่ยงที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้อาจไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือคืนเงินต้นได้ตามที่สัญญาไว้ หรือที่เรียกว่า "ผิดนัดชำระหนี้" (Default)

สาเหตุอาจมาจากหลายปัจจัย เช่น:

* ปัญหาทางการเงินของบริษัท: เช่น ขาดทุนต่อเนื่อง หรือมีหนี้สินจำนวนมาก

* การบริหารงานที่ผิดพลาด: ส่งผลให้ธุรกิจไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย

* ภาวะเศรษฐกิจซบเซา: ธุรกิจได้รับผลกระทบจากภาพรวมของเศรษฐกิจ

ทำไมถึงสำคัญ? หากบริษัทผิดนัดชำระหนี้ คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนไปทั้งหมดหรือบางส่วน และเป็นความเสี่ยงหลักของการลงทุนในหุ้นกู้เลยก็ว่าได้

#วิธีลดความเสี่ยงนี้:

* ตรวจสอบอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating): ยิ่งอันดับสูง (เช่น AAA) ความเสี่ยงยิ่งต่ำ

* ศึกษาฐานะการเงินของบริษัท: อ่านงบการเงินและวิเคราะห์ว่าบริษัทมีแนวโน้มที่จะมั่นคงหรือไม่

* เลือกลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทขนาดใหญ่และมีชื่อเสียง: โดยปกติแล้วจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า

2. #ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk)

ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย คือ ความเสี่ยงที่ราคาของหุ้นกู้จะลดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มสูงขึ้น

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?

ลองนึกภาพว่าคุณซื้อหุ้นกู้ที่มีดอกเบี้ย 3% ต่อปี แต่หลังจากนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้หุ้นกู้ออกใหม่มีอัตราดอกเบี้ย 5% หุ้นกู้ที่คุณถืออยู่ (3%) จึงมีความน่าสนใจน้อยลงในสายตานักลงทุนคนอื่น ๆ และหากคุณต้องการขายในตลาดรอง ก็อาจจะต้องลดราคาลงมาเพื่อให้ขายได้

#วิธีลดความเสี่ยงนี้:

* ลงทุนในหุ้นกู้ระยะสั้น: หุ้นกู้ที่ใกล้ครบกำหนดไถ่ถอนจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าหุ้นกู้ระยะยาว

* พิจารณาอัตราดอกเบี้ย ณ ขณะนั้น: หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดอยู่ในระดับต่ำ ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงที่อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นในอนาคต

สรุปแล้ว การเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้คุณประเมินการลงทุนได้อย่างรอบคอบมากขึ้น และเลือกหุ้นกู้ที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ครับ

ณัฐพล พัชราพิมล,CISA,CFP

📌หุ้นกู้มีสภาพคล่องต่ำกว่าหุ้นสามัญจริงหรือ? คำตอบคือ "จริงครับ" และนี่คือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการลงทุนในหุ้นกู้กับ...
27/08/2025

📌หุ้นกู้มีสภาพคล่องต่ำกว่าหุ้นสามัญจริงหรือ?

คำตอบคือ "จริงครับ" และนี่คือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการลงทุนในหุ้นกู้กับหุ้นสามัญที่คุณต้องทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน

#สภาพคล่องคืออะไร?

สภาพคล่อง (Liquidity) คือความสามารถในการเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดได้ง่ายและรวดเร็ว โดยที่ราคาไม่ลดลงมากนัก

หุ้นสามัญ: มีสภาพคล่องสูงมาก เพราะสามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาในตลาดหลักทรัพย์ที่มีนักลงทุนจำนวนมาก ทำให้หาผู้ซื้อผู้ขายได้ง่าย

หุ้นกู้: โดยทั่วไปมีสภาพคล่องต่ำกว่าหุ้นสามัญมาก เพราะตลาดรองของการซื้อขายหุ้นกู้ยังเล็กและมีข้อจำกัด

#ทำไมหุ้นกู้ถึงมีสภาพคล่องต่ำกว่า?

ตลาดรองยังไม่แพร่หลาย: แม้จะมีตลาดรอง แต่การซื้อขายส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นไปอย่างอัตโนมัติเหมือนในตลาดหุ้นสามัญ คุณอาจจะต้องติดต่อโบรกเกอร์เพื่อหาผู้ซื้อ ซึ่งใช้เวลาและอาจมีค่าธรรมเนียม

ขาดกลไกราคาที่โปร่งใส: การซื้อขายหุ้นกู้ในตลาดรองส่วนใหญ่เป็นแบบ Over-the-Counter (OTC) ที่ราคาจะขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้ไม่สามารถเห็นราคาเสนอซื้อ-เสนอขายได้แบบเรียลไทม์เหมือนในตลาดหลักทรัพย์

ไม่มีการรับซื้อคืน: บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ไม่มีหน้าที่รับซื้อคืนก่อนกำหนดไถ่ถอน หากคุณต้องการขายก่อนเวลา ต้องหาผู้ซื้อรายใหม่มาซื้อต่อจากคุณเท่านั้น

#การขายคืนก่อนครบกำหนด

หากคุณมีความจำเป็นต้องใช้เงินและต้องการขายหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน คุณอาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังนี้:

#ขายไม่ได้หรือขายยาก:

หากหุ้นกู้นั้นไม่มีสภาพคล่องเลย อาจจะไม่มีผู้สนใจซื้อ ทำให้คุณต้องถือไว้จนครบกำหนดเท่านั้น

#ราคาขายต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว:

ในกรณีที่สามารถหาผู้ซื้อได้ คุณอาจต้องขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ลงทุนไปในตอนแรก เพื่อจูงใจให้ผู้ซื้อยอมรับความเสี่ยงที่เหลืออยู่

🎯ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นกู้ ควรวางแผนให้ดีว่าสามารถถือได้จนครบกำหนดไถ่ถอนตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนหรือไม่ เพราะการคาดหวังว่าจะขายคืนก่อนกำหนดได้ง่ายๆ อาจไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไปครับ

ณัฐพล พัชราพิมล ,CISA, CFP

🎯หุ้นกู้ของ "เงินติดล้อ" น่าสนใจหรือไม่?การลงทุนในหุ้นกู้ตัวนี้ถือว่ามีความน่าสนใจในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่...
27/08/2025

🎯หุ้นกู้ของ "เงินติดล้อ" น่าสนใจหรือไม่?

การลงทุนในหุ้นกู้ตัวนี้ถือว่ามีความน่าสนใจในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอนและรับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากนัก เนื่องจากเป็นหุ้นกู้ของบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีอันดับความน่าเชื่อถือค่อนข้างดี

📌ปัจจัยที่ทำให้หุ้นกู้ตัวนี้น่าสนใจ (ข้อดี)

#อันดับความน่าเชื่อถือสูง:

อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทและตัวหุ้นกู้อยู่ที่ A+ ซึ่งถือเป็นอันดับที่ค่อนข้างสูงมาก สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีเยี่ยม และความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่ต่ำ

#ผลตอบแทนที่ชัดเจน:

ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยที่ค่อนข้างแน่นอน อยู่ในช่วง 2.70-2.95% ต่อปี

#มีอายุไม่นานเกินไป:

หุ้นกู้อายุ 3 ปี ถือเป็นระยะกลางที่ทำให้เงินไม่ถูกล็อกไว้นานเกินไป เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการวางแผนการเงินในระยะกลาง

#มีผู้จัดการการจัดจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ:

ผู้จัดการการจัดจำหน่ายคือ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ

📌ปัจจัยที่ต้องพิจารณา (ความเสี่ยง)

#ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk):

แม้ว่าอันดับความน่าเชื่อถือจะสูงถึง A+ แต่ความเสี่ยงที่บริษัทจะผิดนัดชำระหนี้ก็ยังคงมีอยู่ แม้จะต่ำมากก็ตาม

#ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย:

หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น หุ้นกู้ตัวนี้อาจมีความน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับหุ้นกู้ออกใหม่ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า

#ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง:

ตามที่เคยกล่าวไปแล้ว หุ้นกู้มีสภาพคล่องต่ำกว่าหุ้นสามัญ หากต้องการขายคืนก่อนครบกำหนด อาจทำได้ยากและอาจต้องขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ลงทุนไป

📌หุ้นกู้ตัวนี้เหมาะกับนักลงทุนประเภทไหน?

#นักลงทุนมือใหม่:

เหมาะมากครับ เพราะเป็นหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง ความเสี่ยงต่ำ และมีเงื่อนไขไม่ซับซ้อน เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการเริ่มต้นลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ

#นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ:

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง

#นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง:

เหมาะสำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้นสามัญอยู่แล้ว และต้องการเพิ่มหุ้นกู้เข้าไปในพอร์ตเพื่อสร้างสมดุลและลดความผันผวนโดยรวม

✅โดยสรุปแล้ว หุ้นกู้ของบริษัทเงินติดล้อตัวนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างปลอดภัยและน่าสนใจครับ แต่ก็อย่าลืมพิจารณาปัจจัยเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนของตัวเองประกอบการตัดสินใจด้วย

ณัฐพล พัชราพิมล ,CISA, CFP

📌ตลาดรองของหุ้นกู้: ซื้อ-ขายหุ้นกู้ที่ไหนได้บ้าง?1.  #หุ้นกู้ในตลาดรองคืออะไรตลาดรอง = ตลาดที่ใช้ซื้อขายหุ้นกู้ที่ออกมาแ...
26/08/2025

📌ตลาดรองของหุ้นกู้: ซื้อ-ขายหุ้นกู้ที่ไหนได้บ้าง?

1. #หุ้นกู้ในตลาดรองคืออะไร

ตลาดรอง = ตลาดที่ใช้ซื้อขายหุ้นกู้ที่ออกมาแล้ว (Primary = ตลาดแรก, Secondary = ตลาดรอง)

หลังจากที่บริษัทเอกชนหรือรัฐบาลออกหุ้นกู้ให้ประชาชนจองซื้อเสร็จแล้ว นักลงทุนสามารถขายต่อให้ผู้อื่นได้ โดยใช้ ตลาดรอง เป็นตัวกลาง

ในไทย ตลาดรองหุ้นกู้หลัก ๆ มี 2 ช่องทาง:

OTC (Over-the-Counter) ผ่านธนาคาร, โบรกเกอร์, หรือสถาบันการเงิน

TBX (ThaiBMA Bond Exchange) บนตลาดหลักทรัพย์

2. #ช่องทางซื้อขายหุ้นกู้ในตลาดรอง

2.1 ซื้อขายผ่านธนาคารหรือโบรกเกอร์

นักลงทุนส่วนใหญ่ซื้อขายผ่าน ธนาคารพาณิชย์ หรือ โบรกเกอร์ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายหุ้นกู้

ตัวอย่าง: กสิกร, SCB, BBL, กสิกรภัทร, KGI, ฟินันเซีย, บัวหลวง

#วิธีการทำธุรกรรม:

ติดต่อเจ้าหน้าที่ของธนาคาร/โบรกเกอร์

แจ้งรหัสหุ้นกู้หรือ ISIN Code

เจ้าหน้าที่จะเสนอราคา Bid/Offer ให้ดู

ตกลงราคา → โอนเงิน → รับหุ้นกู้เข้าพอร์ต

ข้อดี:
สภาพคล่องสูงกว่าการซื้อขายออนไลน์ได้ราคาต่อรองโดยตรง

ข้อเสีย:
ส่วนต่าง Bid-Offer อาจสูง ขั้นต่ำในการซื้อค่อนข้างใหญ่ เช่น 100,000 บาทขึ้นไป

2.2 #ซื้อขายผ่าน TBX (ThaiBMA Bond Exchange)

เป็น ระบบซื้อขายหุ้นกู้รายย่อย บนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

หุ้นกู้ที่จดทะเบียน TBX สามารถซื้อขายเหมือนหุ้นสามัญผ่านบัญชีโบรกเกอร์ที่เราใช้อยู่

#วิธีซื้อขาย:

เปิดบัญชีหุ้นกับโบรกเกอร์ที่รองรับ TBX
เข้าระบบ Streaming หรือแอปเทรด
ค้นหาชื่อหุ้นกู้หรือสัญลักษณ์ เช่น “ADVANC25OA”
วางคำสั่งซื้อขายเหมือนหุ้นทั่วไป

#ข้อดี:

ใช้แอปเทรดหุ้นที่คุ้นเคย
ไม่มีการเจรจาราคาเอง ระบบจับคู่ให้อัตโนมัติ
เงินลงทุนเริ่มต้นต่ำกว่า OTC มาก (ขั้นต่ำ 1 หน่วย ≈ 1,000 บาท)

ข้อเสีย:

สภาพคล่องต่ำกว่า OTC
หุ้นกู้ที่อยู่ใน TBX ยังมีจำนวนไม่มาก

3. #ราคาหุ้นกู้ในตลาดรอง

ราคาหุ้นกู้ในตลาดรอง ไม่ได้คงที่ 100% แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง:

#อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Interest Rate)
ถ้าดอกเบี้ยตลาดขึ้น → ราคาหุ้นกู้เดิมลดลง
ถ้าดอกเบี้ยตลาดลด → ราคาหุ้นกู้เดิมเพิ่มขึ้น

#เครดิตเรตติ้งของบริษัทผู้ออก

ถ้าบริษัทถูกปรับลดเครดิต → ราคาหุ้นกู้ร่วง

#สภาพคล่องและอุปสงค์-อุปทานในตลาด

#ระยะเวลาครบกำหนด (Maturity)
ยิ่งใกล้ครบกำหนด ราคาจะเข้าใกล้ 100% (มูลค่าที่ตราไว้)

4. #ภาษีและค่าธรรมเนียม

ดอกเบี้ยที่ได้รับ → หักภาษี ณ ที่จ่าย 15%
กำไรจากส่วนต่างราคา → ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้ (ถ้าซื้อถูก-ขายแพง)

#ค่าธรรมเนียมโบรกเกอร์:
OTC: ประมาณ 0.05%–0.10%
TBX: ประมาณ 0.10%–0.15% ของมูลค่าซื้อขาย

5. #ข้อควรระวังในการซื้อขายหุ้นกู้ตลาดรอง

สภาพคล่องต่ำ โดยเฉพาะหุ้นกู้เอกชนรายย่อย
ราคาผันผวน หากซื้อหุ้นกู้ยาว ๆ แล้วขายก่อนครบอายุ

#ความเสี่ยงเครดิตของผู้ออก

ตรวจสอบเรตติ้งจาก TRIS Rating หรือ Fitch ก่อนซื้อ
ต้นทุนแฝง เช่น ค่าธรรมเนียม OTC ที่ซ่อนอยู่ในส่วนต่าง Bid-Offer

ณัฐพล พัชราพิมล ,CISA, CFP

📌รู้จักกับ "ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้" (Debenture Holder Representative)ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ "ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้" ก็เหมือนก...
25/08/2025

📌รู้จักกับ "ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้" (Debenture Holder Representative)

ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ "ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้" ก็เหมือนกับทนายความหรือตัวแทนของเราในฐานะนักลงทุนครับ หน้าที่หลักของเขาคือ ดูแลผลประโยชน์ของผู้ลงทุน ตั้งแต่วันแรกที่ออกหุ้นกู้จนกระทั่งถึงวันไถ่ถอน

📌บทบาทและหน้าที่หลักของ "ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้"

#ตรวจสอบการปฏิบัติตามเงื่อนไข:

ผู้แทนฯ จะทำหน้าที่ตรวจสอบว่าบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อตกลงที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนอย่างเคร่งครัดหรือไม่ เช่น การจ่ายดอกเบี้ยตรงเวลา การใช้เงินตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ และการรักษาสัดส่วนหนี้สินตามที่กำหนด

#เป็นตัวกลางสื่อสาร:

หากมีข้อมูลสำคัญที่ต้องแจ้งให้ผู้ถือหุ้นกู้ทราบ เช่น การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข หรือสถานะทางการเงินของบริษัท ผู้แทนฯ จะเป็นผู้ประสานงานและสื่อสารข้อมูลเหล่านั้นให้เราทราบ

#รักษาสิทธิเมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้:

นี่คือบทบาทที่สำคัญที่สุด! หากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้น ผู้แทนฯ จะเป็นผู้ดำเนินการทางกฎหมายเพื่อรักษาสิทธิในการได้รับชำระหนี้คืนในนามของผู้ถือหุ้นกู้ทั้งหมด

#ให้คำแนะนำและจัดประชุม:

หากมีประเด็นที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน ผู้แทนฯ จะเป็นผู้ให้คำแนะนำและจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้เพื่อขอความเห็นชอบ เช่น ในกรณีที่บริษัทต้องการขอผ่อนผันเงื่อนไขบางอย่าง

📌ทำไมถึงต้องมี "ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้"?

ลองนึกภาพว่าถ้าหุ้นกู้ที่เราซื้อมีผู้ลงทุนเป็นร้อยเป็นพันคน แต่ละคนก็มีปัญหาที่ต้องจัดการเอง ถ้าไม่มีผู้แทนฯ เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือบริษัทมีปัญหาทางการเงิน ทุกคนจะต้องดำเนินการทางกฎหมายเอง ซึ่งยุ่งยากและไม่มีประสิทธิภาพ

การมี "ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้" จึงเป็นกลไกที่ช่วยรวมกลุ่มผู้ลงทุนเข้าด้วยกัน และให้มืออาชีพเข้ามาดูแลสิทธิของเราแทน ทำให้การลงทุนของเรามีความปลอดภัยและมีระบบมากขึ้นนั่นเองครับ

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นกู้ครั้งต่อไป อย่าลืมดูว่าหุ้นกู้ตัวนั้นมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้หรือไม่ และเป็นสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือแค่ไหน เพราะสิ่งนี้เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การลงทุนของคุณมั่นใจขึ้นได้เยอะเลยครับ

ณัฐพล พัชราพิมล ,CISA , CFP

25/08/2025

ผู้บริหารที่ดีในตลาดหุ้น ถ้าเชียร์แมนฯยูแสดงว่าเป็นคนรักจริงพร้อมอยู่กับบริษัทไปตลอดแม้ยามบริษัทเจอวิกฤต...ถือเป็นผู้บริหารที่ดีนะ

ที่อยู่

Nonthaburi

เบอร์โทรศัพท์

+66895195456

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Stockjibjibผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Stockjibjib:

แชร์